(ต่อครับ)
เบื้องหน้าเป็นสุสานแบบคนจีนที่ทอดยาวไปตลอดทั้งสองฝั่งจนเกือบครบแนวเขา ป้ายหินขัดสลักเรียงรายเป็นรูปทรงโค้งเล็กใหญ่หลั่นกันไปตามขนาด ดูเหมือนว่าร่างสูงจะเริ่มเข้าใจเหตุผลแล้วว่าของฝากต่างๆ นานา หรือแม้แต่การโทรศัพท์บอกล่วงหน้าดูจะไม่จำเป็นอีกแล้วในเวลานี้ รถยนต์ตรงไปตามทางเล็กๆ ข้างหน้า และเพียงอีกไม่กี่เมตรก็ดับเครื่องลง
คะน้าเดินตรงไปแผ่นหินสลักแผ่นหนึ่งซึ่งอยู่เยื้องไปด้านหน้าช้าๆ ในมือถือไดอารี่ที่กำแน่นมาตลอดทาง ทิมมองตามด้วยแววตาที่หม่นลงแล้วค่อยๆ เดินตามแบบรักษาระยะห่างไว้ไม่ให้ประชิดนัก
“ป๋ากับแม่อยู่ไกลกับเรา ไกลจนเราคงโทรไปหาหรือติดต่อไม่ได้” คะน้าหยุดยืนที่สุสานหนึ่งแล้วค่อยๆ ย่อตัวนั่งลง
“ยี่สิบสองปีก่อน ป๋าจากไปอย่างกะทันหันด้วยอุบัติเหตุ วันนั้นเป็นวันที่ฝนตกหนัก แต่มันก็เหมือนกับทุกๆ วันที่แม่นั่งรอป๋าอยู่ที่ตลาด ผมกับเจ้ที่ยังเป็นเด็กได้แต่วิ่งซนจนเจ๊เป็ดที่ตอนนั้นเป็นผู้ช่วยแผงผักของแม่บ่นแล้วบ่นอีก ...ไม่มีใครรู้ว่าวันนั้นป๋าจะไม่กลับมา” คะน้าก้มหน้าลง รอยยิ้มน้อยๆ ยังเปื้อนเปรอะอยู่บนใบหน้า หากแต่แววตาคู่นั้นหมองเศร้าลงอย่างเห็นได้ชัด
“แม่เสียใจอย่างมาก ทุกๆ วันแม่จะนั่งอยู่ที่แผงนี้แล้วมองไปที่ปากตลาด แม่บอกว่าเผื่อว่าวันไหนป๋าจะกลับมา รู้ทั้งรู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ แต่แม่ก็ยังรอ แม่รอจนตลาดปิด จนตลาดไม่มีคนทุกวัน แม่ทานข้าวน้อยลง แต่ละคืนแทบจะไม่นอน จนร่างกายอ่อนแอ ล้มป่วย และไม่กี่เดือนนับจากที่ป๋าจากไป แม่ก็จากเราสองคนไปเช่นกัน”
ร่างสูงมีสีหน้านิ่ง ก่อนจะค่อยๆ ขยับตัวเดินมาใกล้ๆ แล้วทรุดตัวนั่งลง ทิมยกมือขึ้นไหว้แผ่นหินตรงหน้าด้วยความเคารพจากใจจริง เขาพนมมือนิ่งแล้วจ้องมองไปที่แผ่นหินสลักตัวที่โค้งเนิ่นนาน สักพักก็ค่อยๆ ลดมือลง
“ผมไม่รู้เลย”
คะน้ายิ้มให้น้อยๆ เขาค่อยๆ เปิดไดอารี่ออก หยิบกระดาษแผ่นเก่าๆ สีเหลืองที่สอดแทรกอยู่ในหน้าแรกขึ้นมาแล้วส่งให้ทิม
ทิมค่อยๆ ยื่นมือมารับกระดาษสีหม่นไปตามกาลเวลาแผ่นนั้นจากมือคะน้ามา แม้กระดาษจะกรอบจนอาจจะฉีกขาดได้อย่างง่ายดาย แต่ร่องรอยที่ยับจนย่นนั้นก็บ่งบอกได้ดีว่าถูกเปิดอ่านมานับครั้งไม่ถ้วน ชายหนุ่มค่อยๆ คลี่ออกช้าๆ ลายมือที่เขียนหวัดด้วยปากกาหมึกแห้งดูไม่เป็นระเบียบและขาดห้วงราวกับเจ้าของลายมือพยายามอย่างหนักที่จะฝืนเขียนตัวอักษรเหล่านั้นจนจบข้อความ
ทิมเหลือบตาขึ้นมองคะน้าอีกครั้ง เจ้าของจดหมายยิ้มกว้างแล้วพยักหน้า ร่างสูงจึงก้มหน้าลงแล้วอ่านออกเสียงเนื้อความในกระดาษแผ่นเก่าๆ ด้วยใบหน้าที่สงบนิ่ง
กระต่ายลูกแม่
ตอนที่ลูกได้อ่านจดหมายฉบับนี้ แม่คงอยู่ห่างจากลูกไกลแสนไกลจนไม่อาจพบกัน
ถึงเวลานี้ แม่รู้ว่าแม่ หรือแม้กระทั่งป๋า คงเป็นเหมือนความทรงจำอันเลือนลางของลูก
มันคงเป็นเวลาที่แสนยาวนานจนลูกอาจจำอะไรไม่ได้ ซึ่งมันก็ไม่แปลกเลย
เมื่อเราทั้งสองคนไม่มีโอกาสจะได้มองดูลูกเติบโต วิ่งเล่น พาลูกไปเรียนหนังสือ
แม้แต่ทำอาหารให้ลูกๆ ทานแบบครอบครัวใครๆ
ทิมหยุดนิ่งราวกับพยายามปรับความรู้สึกของตนเองอย่างหนัก เพื่อไม่ให้เสียงที่เปล่งออกนั้นสั่นไหวกับข้อความที่ได้อ่านในมือ ร่างสูงกลืนน้ำเหนียวๆ ลงคออย่างฝืดเคือง กระนั้นก็ฝืนก้มลงอ่านตัวหนังสือที่สั่นและขาดห้วงนั้นต่อ
ไม่มีโอกาสปลอบลูกเวลาที่ร้องไห้ ยิ้ม หรือแม้แต่หัวเราะอย่างมีความสุขไปกับลูก
ลูกคงโตขึ้นมาก ลูกคงมีรอยยิ้มและจิตใจที่อ่อนโยนเหมือนป๋า
แม่เดาว่าตอนนี้ ลูกของแม่คงว่ายน้ำหรือถีบจักรยานแข็งแล้วใช่ไหม
ทิมปิดประดาษนั้นลงช้าๆ อย่างไม่อาจทนอ่านต่อไปไหว ชายหนุ่มค่อยๆ พับเก็บอย่างเดิม ดวงตาไหวจนสั่นสะท้าน เขาก้มหน้านิ่งแล้วจ้องมองแผ่นหินที่นิ่งสงบตรงหน้า กระทั่งเสียงของคะน้าค่อยๆ ดังขึ้นมาในสายลมราวกับจดจำทุกตัวอักษรซึ่งเรียงร้อยต่อในกระดาษแผ่นนั้นได้เป็นอย่างดี
แม่กับป๋าคงไม่มีโอกาสได้ดูแลลูก แต่โปรดรับรู้ไว้ว่า เราจะอยู่ตรงนี้เสมอ
เพื่อช่วยลูกฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆ และเราสองคนจะอยู่ตรงนี้ตลอดไป
แม่ภูมิใจที่ได้ให้กำเนิดลูก ได้เป็นแม่ของลูก และภูมิใจ ที่มีลูกเป็นลูกแม่
ฝากลูกดูแลผักกาดด้วยนะ ดูแลพี่ให้เท่ากับที่ต่ายดูแลป๋าและแม่นะ
ทิมหันกลับมามองที่ต้นเสียง คะน้าค่อยๆ ย่อตัวนั่งลงตรงหน้าหลุมศพ เอ่ยข้อความที่อยู่ในจดหมายฉบับนั้นต่อพร้อมกับรอยยิ้มน้อยๆ
ขอให้ลูกจงเติบใหญ่ เป็นคนดีของสังคม เป็นสุภาพบุรุษ และผู้ชายที่เข้มแข็ง
ลูกจงเป็นตัวของตัวเอง ทำในสิ่งที่ลูกฝันและตั้งใจ
ไม่ว่าสิ่งที่ลูกเลือกทำนั้นจะเป็นสิ่งไหน โปรดจำเอาไว้ว่าลูกทั้งคู่เกิดจากสิ่งที่ดีที่สุดในตัวของป๋าและแม่
และจำเอาไว้ว่าพ่อและแม่จะอยู่ที่ตรงนี้ ...เคียงข้างลูกตลอดไป
ดีใจที่เราได้เป็นครอบครัวเดียวกัน
ป๋าและแม่
คะน้าเงยหน้าขึ้นมองทิมด้วยรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความภูมิใจ ดวงตาแม้เอ่อชื้นไปด้วยหยดน้ำของความรู้สึกแต่ก็อิ่มเอิบไปด้วยความสุข ...ความสุขที่แม้จะไม่ได้สวยหรูดั่งภาพฝัน แต่เป็นความสุขที่ได้เติบโตขึ้นอย่างมั่นคงในโลกของความเป็นจริง
ทิมค่อยๆ สวมกอดคะน้าจากด้านหลัง ร่างทั้งร่างกอดรัดด้วยวงแขนที่แนบแน่นราวกับจะปกป้องคนที่อยู่ในอ้อมแขนนั้นจากโลกทั้งใบที่หมุนตัวไปข้างหน้าทุกวัน คะน้ายกแขนขึ้นโอบซ้อนวงแขนของทิมอีกครั้งอย่างอ่อนโยน หยดน้ำตาของคนที่ตัวสูงกว่าทิ้งตัวลงมาอย่างง่ายดาย
...เป็นครั้งแรกที่คะน้าได้เห็นน้ำตาของทิม
“ผมแค่อยากให้ทิมได้รู้จักครอบครัวของผม อยากให้รู้จักกับคนที่ผมรักทุกคน” คะน้ายกมือขึ้นช้าๆ นิ้วโป้งเกลี่ยน้ำใสๆ ที่เปรอะเปื้อนดวงตาที่เคยเข้มแข็งนั้นออกอย่างแผ่วเบา “ผักกาดก็ได้จดหมายจากแม่เหมือนกัน อาจเพราะแบบนี้มั๊ง เราสองคนเลยเชื่อว่าป๋ากับแม่อยู่กับเราเสมอ คอยมองเรา และให้กำลังใจเราอยู่ใกล้ๆ เหมือนเมื่อก่อน”
“...ต่างกันก็เพียงแค่วันนี้ ป๋ากับแม่อาจพูดคุยกับเราไม่ได้แบบที่ผ่านมา มันก็เท่านั้นเอง”
เป็นเวลานานหลายนาทีที่ชายหนุ่มทั้งสองคนนั่งเงียบๆ แล้วจ้องมองไปที่แผ่นหินที่เขียนตัวอักษรภาษาจีนซึ่งแม้แต่ตัวของคะน้าเองก็อ่านไม่ออก รู้เพียงแต่ว่าเป็นชื่อของป๋าและแม่ แค่นั้นก็มากพอที่จะเรียกความทรงจำดีๆ ให้กลับมาทุกครั้งที่ได้เห็น
“ทุกครั้งที่ผมมาที่นี่ ก็มักจะร้องไห้แบบเดิมๆ ไม่จบสิ้น อ่อนแอแบบนี้ซ้ำๆ ทุกครั้งจนผักกาดรู้สึกห่วงและไม่ค่อยอยากจะให้มา และถึงแม้ว่าจะรั้นมาให้ได้จริงๆ ผักกาดก็จะตามมาด้วยทุกครั้ง” คะน้าเปรยขึ้นมาเบาๆ รอยยิ้มน้อยๆ นั้นยังคงอยู่บนใบหน้า
“ผมเขียนไดอารี่ทุกวัน เพื่อที่จะมาเปิดอ่านไปทีละหน้าๆ ที่ตรงนี้ บอกเล่าทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับผมและผักกาดให้กับแผ่นหินซีดๆ ที่เป็นตัวแทนของป๋าและแม่ บอกว่าลูกชายคนนี้ของป๋ากับแม่เติบโตขึ้น พบเจออะไรมาบ้างในแต่ละวัน”
“แปลก...ที่ครั้งนี้ ผมไม่ได้รู้สึกอยากจะร้องไห้แบบที่ผ่านๆ มา แต่กลายเป็นนายที่นั่งร้องไห้ไม่หยุดแทน”
คะน้าซับน้ำตาที่เปื้อนรอยยิ้มของคนที่ตัวสูงกว่าอีกครั้ง อิ่มเอิบในความรู้สึกเมื่อทอดมองคนที่ตัวเขาเองเลือกที่จะอีกมุมหนึ่งอีกมุมหนึ่ง ...เป็นมุมที่เขาเองไม่ค่อยจะได้พูดถึงสักเท่าไหร่
“ผมไม่ชอบขายของเลย ทักษะเรื่องค้าขายผมแย่มาก แต่ผมรักตลาดนี้ รักเพราะเป็นที่ที่ป๋าและแม่รัก ที่นี่มีความทรงจำมากมายสำหรับเราทุกคน เป็นที่ๆ เราวิ่งเล่นหลังเลิกเรียนตั้งแต่เด็กๆ ทำการบ้านก็ที่ตลาด มื้อเย็นของที่บ้านไม่ใช่ที่โต๊ะกินข้าว แต่เป็นที่แผงผักที่แม่ขายของ แม่เริ่มทำไอติมเพราะป๋าบอกว่าแม่ทำอร่อยที่สุดในโลก และแม่ก็ทำได้อร่อยที่สุดในโลกแบบป๋าบอกจริงๆ” คะน้ารู้สึกถึงอ้อมกอดที่กระชับแน่นขึ้นอีก เขาหันกลับยิ้มน้อยๆ ให้กับทิมที่ดวงตาก็ยังคงความชื้นเอ่ออยู่แม้เพียงบางเบา
“ถึงเจ้จะอยากให้ทำงานออฟฟิศแบบที่ถนัดและเรียนมา แต่ผมก็อยากอยู่ที่ตลาดนั่นต่อไปเรื่อยๆ อยากดูแลความทรงจำที่มีของครอบครัวเราต่อไป แม้ว่ามันอาจไม่ได้ทำรายได้เป็นกอบเป็นกำ ขาดทุนซ้ำๆ จนท้อ ...แต่ที่นี่คือความฝันของป๋า ...ที่นี่คือความทรงจำของแม่ ...และที่นี่คือบ้านอีกหลังที่อบอุ่นสำหรับผมและผักกาด”
“ตลาดแห่งนี้จะต้องอยู่ต่อไปให้ได้ และผมจะทำทุกอย่างเพื่อให้มันมีชีวิตอยู่ต่อ” แม้ว่าน้ำเสียงของคะน้าจะราบเรียบ หากแต่ความมุ่งมั่นนั้นฉายชัดเจน คะน้าหันกลับมาส่งยิ้มบางๆ ให้กับคนที่อยู่แนบชิด เขาเรียกชื่อคนๆ นั้นเบาๆ ด้วยความรู้สึกร้องขอ
“ทิม...”
“ครับ”
“นายอยู่ข้างๆ กับผมได้ไหม ขอกำลังใจให้ผมได้หรือเปล่า”
“จะให้ทุกอย่างที่มี”หัวเข่าที่ชันซ้อนร่างของคะน้านั้นดูมั่นคง ทิมตอบสั้นๆ แล้วกอดคนในอ้อมแขนให้แน่นขึ้น ร่างสูงโคลงหัวตัวเองไปแอบอิงที่ศีรษะของคะน้า
“ขอบคุณนะ” คะน้ายิ้มรับกับสัมผัสด้านข้างศีรษะที่อ่อนโยน
“ไม่ต้องกลัว ทำทุกอย่าง อย่างที่ตั้งใจ” ทิมหันกลับมาสบตาของคะน้า แววตาคู่นั้นดูมั่นคงไม่สั่นไหว
“
แต่รู้ใช่ไหม ว่าอยู่ตรงนี้... ก็... พยายามให้เต็มที่นะ”
“อืมมม”
คะน้ารับคำพร้อมรอยยิ้ม เห็นดังนั้น ชายหนุ่มที่อายุน้อยกว่าก็ระบายรอยยิ้มออกมาบ้าง “ชีวิตก็แบบนี้ล่ะ บางครั้งก็อาจจะต้องยอมเสียอะไรบางอย่าง เพื่อทำให้ได้อีกอย่างที่มีความหมายมากกว่า”
คะน้ายิ้มตาม บางทีทิมก็ดูเหมือนกับเด็กที่เอาแต่ใจ แต่บางมุมกลับมีความคิดหรือมุมมองราวกับผู้ใหญ่ที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาหลายปี อย่างไรก็ตาม คะน้ารู้สึกดีที่ทิมยังเป็นทิมแบบนี้เป็นแบบที่เขารู้จัก ไม่ใช่คนพูดอะไรมาก แต่กลับเหมือนเข้าใจอะไรมากมาย บางครั้งชายหนุ่มก็รู้สึกว่าทิมเข้าใจตัวเขา มากกว่าที่เขาจะเข้าใจตัวเองด้วยซ้ำ จึงไม่แปลกเลยที่หลายครั้งเขาจะเห็นด้วยกับความคิดของทิมโดยไม่มีข้อโต้แย้ง และครั้งนี้ก็เช่นกัน
“อืม... ทำงานที่นี่ถึงจะไม่ถนัด ไม่ร่ำไม่รวย แต่มันก็สนุกดี ผมชอบที่ตลาดนะ มันอบอุ่น แล้วก็มีชีวิตชีวาไปอีกแบบ”
สายลมเย็นที่พัดหวือหยอกล้อยอดหญ้าดูจะอุ่นขึ้นเมื่อพระอาทิตย์พ้นจากเงาบดบังของไรเมฆ ไม่รู้ว่าจะเรียกความรู้สึกในตอนนี้ว่าอย่างไร แต่ในใจคะน้ารู้สึกอิ่มและเบาสบายเหมือนสายลม สถานที่แห่งนี้ก็เหมือนเดิมแบบทุกครั้งที่เขาแวะมา ท้องฟ้าก็เหมือนเดิม ต้นหญ้าแห้งๆ พวกนั้นก็ไม่ต่างกัน หรือแม้แต่บนท้องถนน คะน้าก็รู้ดีว่ารถก็ยังติดเหมือนเดิมทุกวัน แต่ลึกๆ ในใจตอนนี้ เขากลับรู้สึกว่าบางสิ่งบางอย่างนั้นเปลี่ยนไป
“ทิม... ผมคิดว่าคงจะหยุดเขียนหรืออ่านไดอารี่พวกนี้แล้ว” คะน้าเอ่ยขึ้นเบาๆ คนที่กอดอยู่เพียงแค่เหลือบตามองแล้วอยู่นิ่ง รับฟังเงียบๆ อยู่ใกล้ๆ
“ผมไม่ได้ร้องไห้อีกแล้ว นี่คงเป็นสิ่งที่บอกได้ว่าลูกชายคนนี้ที่ป๋าและแม่เคยห่วงได้โตขึ้นแล้ว และเขาจะกลายเป็นอีกคนที่มีความสุขมากๆ คนหนึ่งบนโลกที่เหงาๆ ใบนี้ ตัวอักษรต่างๆ เพื่อยืนยันความสุขของผม มันคงไม่จำเป็นอีกต่อไป” ริมฝีปากของทิมยกตัวขึ้นสูงเมื่อรอยยิ้มของคนที่อยู่ในอ้อมแขนนั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขแบบที่เขาไม่เคยเห็น คะน้าเงยหน้าขึ้นมองฟ้ากว้างแล้วทิ้งน้ำหนักตัวเองลงบนแผ่นอกของคนที่ซ้อนตัวอยู่ สูดอากาศในยามเย็นจนอัดแน่นเต็มปอด
ผมไม่รู้ว่าวันข้างหน้ามันจะเป็นยังไง ไม่รู้ว่าตัวเองจะทำความฝันบ้าๆ นี้ไปได้อีกนานแค่ไหน ไม่เคยรู้ และไม่เคยแน่ใจอะไรสักอย่าง รู้เพียงแค่ว่าในตอนนี้...
ป๋าครับ แม่ครับ วันนี้ผมมีความสุขจังคะน้าขยับตัวเล็กน้อย แต่เหมือนคนที่ซ้อนตัวอยู่ข้างหลังจะไวพอๆ กับความคิดของตัวเขาเอง ทิมลุกขึ้นยืนแล้วยื่นมือลงมาให้คะน้าเอื้อมจับสำหรับพยุงตัวขึ้น ชายหนุ่มสบตาคนที่ยืนสูงกว่า ดวงตาคู่นั้นยังเป็นสีดำที่ลึกล้ำเช่นเดิม จะผิดเพี้ยนไปก็เพียงแค่ว่าแววตาที่ดูจะทื่อแข็งนั้น อ่อนโยนลงทุกครั้งที่คะน้าจ้องมอง
“กลับบ้านกันไหม ป่านนี้เจ้ผักกาดเป็นห่วงแย่แล้ว”
คะน้าหันไปถามคนที่ยืนนิ่งอยู่ใกล้จนเกือบจะแนบชิด ทิมยังคงนิ่งเงียบอยู่แบบนั้น ดูเหมือนว่าเจ้าตัวไม่ได้มีข้อโต้แย้งใดๆ คะน้าจึงค่อยๆ ก้าวเท้าออกเดินไปข้างหน้า ครู่หนึ่งก็รู้สึกถึงน้ำหนักของวงแขนที่โอบลงบนบ่าตัวเอง แล้ววาดเข้ากอดคอแบบหลวมๆ หัวไหล่ของคะน้าเบียดกับแผ่นอกด้านซ้ายที่ของคนที่อยู่ข้างๆ มีเสียงทุ้มที่ดังขึ้นเบาๆ ที่ข้างหูของคะน้า
“วันนี้... ขอบคุณมากนะ”
คะน้าค่อยๆ หันกลับไปยิ้มกว้างให้กับเจ้าของเสียงทุ้มๆ นั้น ดูเหมือนว่าทิมจะเข้าใจความนัยของการเดินทางในวันนี้ได้เป็นอย่างดี จุดหมายปลายทางไม่ใช่การบอกให้รับรู้ถึงเรื่องราวของความทรงจำในอดีต แต่เป็นการบอกให้รับรู้ถึงการยอมรับของตัวคะน้าเองต่ออนาคตนับจากนี้ ...และทุกสิ่งที่เขาเลือก
คะน้าทอดสายตามองไปเบื้องหน้าแล้วอมยิ้ม ที่ปลายขอบฟ้าพระอาทิตย์ส่องแสงสีแดงอมส้ม
...สีเดียวกับแก้มของทิม
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
หลังจากที่เนียนมานาน ขอปล่อยก๊อกสำหรับเรื่องที่หมกไว้ของป๋ากับแม่ต่ายน้อยเสียที
เป็นอันรู้เสียทีว่าทำไมสองพี่น้องตระกูลผัก เขาถึงรักและห่วงกันมากมายแบบนี้ล่ะเนอะ
ตอนนี้เป็นอีกตอนที่แต่งแล้วชอบมาก เพราะให้ทั้งความรู้สึกที่เศร้า และความรู้สึกที่อบอุ่น
อีกเรื่องที่ชอบก็คือการแสดงออกทางความรักของแต่ละคน ไม่ว่าจะระหว่าง ป๋าและแม่กับคะน้า
ระหว่างคู่พี่น้อง หรือระหว่างต่ายและทิม ทั้งหมดไม่มีการบอกว่ารักกันเลยสักคำ
(มากสุดก็คือการกอดที่แสนจะธรรมดา) แต่คนแต่งรู้สึกว่าทั้งหมดดูรักกันมากๆ
เพราะแบบนี้ก็เลยรู้สึกชอบตอนนี้นั่นเอง แต่หวังว่าจดหมายจากคุณแม่ถึงกระต่าย
คงไม่ทำให้เศร้ากันเกินไปนะครับ (จริงๆ แล้ว มันออกจะอบอุ่นนะ)
ขอบคุณสำหรับทุกคอมเมนต์ ทุกกำลังใจ ที่ร่วมเวิ่นเว้อ เพ้อเจ้อไปพร้อมๆ กันจนถึงบัดนาว
รัก และขอบคุณทุกคนมากๆ จากใจจริงนะขอรับ มาม๊ะๆ มาให้ข้าน้อยขอกอดหนึ่งที