♣ ผมไม่อยากอยู่คนเดียวบนดวงจันทร์ ♣
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ♣ ผมไม่อยากอยู่คนเดียวบนดวงจันทร์ ♣  (อ่าน 430474 ครั้ง)

hongyia

  • บุคคลทั่วไป
ยัยแนนคิดจะจับคะน้า มันเร็วไป1000ปีย่ะ

zerea

  • บุคคลทั่วไป
เอิ่ม...หนูแนน  :sad3:

ทิมต้องเป็นของคะน้า
คะน้าต้องเป็นของทิม...
แอบปันใจให้ตุลได้เป็นบางครั้งนะ  :really2:

 o13

ออฟไลน์ myd3ar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1531
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-4
น้องแนนร้ายไม่เบานะคะเนี่ย


ออฟไลน์ fullmoonny

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 411
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
อร๊าย คะน้าเวลาเมาก็น่ารักดีนะ
แต่ทำไมแนนต้องทำแบบนี้ด้วย โว๊ะ!!

ออฟไลน์ Maple

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 69
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
เป็นความรู้สึกดีๆเป็นโมเม้นดีๆที่อ่านเรื่องนี้
เป็นอารมณ์เสพติด เหมือนเป็นเรื่องจริง
ฝังลึกแล้วก็ซึมซับกับมัน
หลงรักและประทับใจ เหมือนเป็นเรื่องที่ฝันหา
น้ำตาไหล สะเทือนใจ ยิ้มกว้างเหมือนคนบ้า

ถ้าหากจะเป็นอะไรที่ถ่ายทอดได้คงเป็นคำว่า"รัก"เรื่องนี้
ไม่อยากอยู่คนเดียวบนดวงจันทร์ ดวงจันทร์ในความคิดเราเปี่ยมล้นไปด้วยความรัก
ท้วมท้นไปด้วยความห่วงใยและรอยยิ้ม
ที่นี่คงเป็นดวงจันทร์ อบอุ่นมากเลย^^

พิมเองอ่านเองไม่รู้ว่าคนเขียนจะเข้าใจมั้ย
แต่รักเรื่องนี้จริงจัง รักคะน้า รักทิม และรักตุล(ถ้าไม่ว่าอะไรตัดใจจากคะน้าคบกันเหอะน๊าาา 555)
 รักคนเขียนด้วยย o13


ออฟไลน์ Lunatan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 217
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1
ทิมคงต้องจับคะน้าใส่กระเป๋าพกไปทุกที่แล้วแทนล่ะ

ออฟไลน์ ่patsaporn

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4338
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +227/-6
ตัดออกทำไมค้า เอามายาว ๆ เต็ม ๆ จะได้เห็นมารยานังน้องแนนเยอะ ๆ
ยังไ่ม่ค่อยเข้าใจจุดประสงค์คุณทิม ต้องการพาคะน้ามาเปิดตัวเหรอ คือถ้าพามาแล้วจะหวงกับเืพื่อนชายขนาดนี้อ่ะนะ
เอาตัวบังสุดฤทธิ์ แต่กับสาว ๆ ไม่หวงแฮะ พระเอกเราสุดยอด
แหมมมมม นังน้องแนนพอรู้ว่าคะน้าจบจากนอกหล่อนก็ทำมาปลื้ม (แบบลวง ๆ ) ที่ยั่วไปทั้งหมดนั่นเพราะ
อยากรู้ว่าคะน้าเป็นเกย์มั้ยใช่มะเพราะแกเล็งทิมอยู่ ทำซะขนาดนี้นิสัยหล่อนก็คงไม่ธรรมดา
ประเด็นคือคะน้าโดนผู้หญิงมอมเหล้าจ๊ะ ฉันล่ะกลุ้มกับความใสซื่อของนายเอก ตาทิมอย่าปล่อยให้่ห่างตา
ตอนทิมมารับไว้นี่โล่งใจมากเพราะคิดว่าจะไม่รอดซะแล้ว น่าเอ็นดูดีเนอะขี่หลังกันไป ทิมเองก็ตามหา
คะน้าอยู่เหมือนกันใช่มั้ย แล้วรู้สันดานนังน้องแนนยังล่ะฮึ  :angry2:

ขอบคุณค่าาา

ออฟไลน์ bobby_bear

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 419
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-5
เม้นตอนที่แล้วก่อน
รู้สึกไม่ค่อยชอบคะน้าตอนนี้เท่าไหร่ ไม่รู้สิ ไม่ชอบคนแบบนี้ ทำไมถึงให้ความสำคัญกับตุลซะขนาดนั้น
ไม่พอใจแทนทิมเลย อินเนาะ 555

ตอนนี้ชะนีแนนน่าตบมาก อยากจับใส่ห่อไปปาให้จันทูลองเป็นแบบแต่งหน้าน่าจะดี อิอิ

ออฟไลน์ Rafael

  • เพราะคนเราเกิดมาเพื่อแตกต่าง
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4377
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +685/-7
ยัยยยแนนน
ยัยชะนี
มาเจ๊าะแจ๊ะอะไรเนี่ย
ไม่ชอบนะค้าา ฮ่าๆ
รีบไสหัวไปไกลๆก่อนที่จะโดนเหล่าแม่ยกรุม หึหึ

ออฟไลน์ -west-

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1393
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1875/-12
    • FACEBOOK PAGE
เป็นชะนีที่โผล่มาได้แบบเหนือความคาดหมายขริงๆค่ะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ indy❣zaka

  • กระซิกๆ เบื่อดราม่า...
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4582
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +625/-26
ป๊าดดดด นังแนน  เธอช่างกล้ามาก  คิดจะข่มขืนผู้ชายเชียวรึ  :z3:

ออฟไลน์ yuyie

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2112
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +92/-5
เพิ่งอ่านจบตอนแรกค่ะ มาเม้นให้ก่อน

เนื้อเรื่องน่าสนใจ สนุกค่ะ สำนวนก็โอเค อ่านไม่สะดุดเลย :m4:

เห็นผ่านตาอยู่นานแล้ว แต่ไม่ได้เข้ามาอ่านเพราะชื่อเรื่องแปลกๆ เดาแนวไม่ถูกอ่ะ  :m28:

แต่พอเข้ามาอ่านแล้ว ไม่ผิดหวังเลยค่ะ  o13

ออฟไลน์ Lucea

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 312
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +292/-0
สวัสดีครับ จากตอนที่แล้ว เรามาตั้ง Anti-Fans ให้แนนกันเถอะ 555555555 o18
เรื่องของเรื่องคืออยากให้ในเรื่องมีตัวแรงๆ ให้หมั่นไส้กันเล่นๆ นั่นเอง (เหตุผลเสื่อมมาก)
ตอนที่ 26 นี้เป็นอีกตอนที่แต่งแล้วมีบางจุดที่ชอบมาก ลองอ่านกันเล่นๆ ดูนะครับ
+ 1 ให้กับทุกคอมเมนต์ คำแนะนำ ติชม และมาทักทายกันนะครับ ขอบคุณมากๆ จริงๆ ครับ



++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++



ตอนที่ 26



“สรุปว่าจะพูดดีๆ ไหม”

ทิมขมวดคิ้วมุ่น หัวเสียกับการแค่นถามถึงเรื่องราวต่างๆ ที่ทำให้คะน้ามีสภาพแบบนั้นในตอนที่เจ้าตัวมาพบ ตลอดทางที่ออกจากกรุงเทพมาตามถนนสายมอเตอร์เวย์ คนนั่งอยู่หลังพวงมาลัยแทบจะหันมาหักคอเขาเป็นสิบรอบ อันที่จริงคงต้องบอกว่าอาการแบบนี้เสถียรมานับตั้งแต่หลังจากที่กลับมาจากงานและไม่มีทีท่าว่าจะหายไปง่ายๆ แน่ๆ

“คิดไหมว่าถ้ามาเจอช้ากว่านี้จะเป็นยังไง”

“สงสัยมีได้ลงไปจับกบอยู่ที่พื้นนั่นแหละ ฮ่ะๆๆ”

คะน้าพยายามตีมึนตลกบริโภคไปเรื่อยๆ รู้ดีว่านอกจากจะไม่ได้ผลแล้วรังแต่จะทำให้อีกฝ่ายหัวเสียไปยิ่งกว่าเดิม แต่จะให้เขาทำอย่างไร เมื่อในความเป็นจริงที่เกิดขึ้นดูเหมือนจะแย่เกินกว่าที่คะน้าจะเอามาเล่าให้รู้สึกมองหน้ากันไม่ติดเปล่าๆ

“นับจากนี้ ห้ามไปที่ไซด์งานอีกเข้าใจไหม”

“คร้าบบ ทราบแล้วคร้าบบบบบบบ” คะน้าลากเสียงยาว เอาแค่วันนี้ก็นับเป็นรอบที่ยี่สิบแล้วนับตั้งแต่นั่งรถมา

ก็ใครจะไปคาดคิดว่าผู้หญิงที่มาจากชาติตระกูลที่ดี ได้รับการศึกษาที่ดี หน้าที่การงานก็จัดได้ว่าไม่น้อยหน้าไปกว่าใครๆ ซ้ำร้ายไปกว่านั้น แนนเป็นผู้หญิงซึ่งจัดได้ว่าอยู่ในประเภทผู้หญิงในฝันของผู้ชายหลายคน ดวงตากลมโตแบบกวางตัวน้อยๆ ผิวขาวละเอียด รูปร่างเล็กกะทัดรัด ดูบอบบางน่าทะนุถนอม และมีใบหน้าที่จัดได้ว่าสวยมากคนหนึ่งเลยทีเดียว รวมๆ แล้วเอาเป็นว่าความเป็นจริงที่เกิดขึ้นนั้นเรียกได้ว่าต่อให้อมพระประธานในโบสถ์มาพูดก็ไม่มีใครเชื่อ คะน้าเหลือบมองไปที่ชายหนุ่มที่นั่งกระฟัดกระเฟียดอยู่ข้างๆ แล้วอมยิ้ม



...โอเค เว้นอยู่หนึ่งคน

‘พูดแล้วได้อะไร ไม่พูดแล้วเสียอะไร’ เป็นเรื่องที่คะน้าหยิบขึ้นมาถามตัวเองอยู่เสมอ ถ้าเขาเลือกที่จะพูดเรื่องราวต่างๆ ออกไป สำหรับตัวคะน้าแล้วสิ่งที่เสียคงไม่มี คนที่เสียดูเหมือนว่าจะเป็นผู้หญิงมากกว่า หรือแม้แต่ทิมเอง แม้จะดูไม่ชอบใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นเท่าไหร่ แต่ก็น่าจะพอไหว อย่างมากคะน้าก็คงโดนบ่นไปอีกวันสองวัน ซึ่งนับว่าทนไหวไม่หนักหนา

ส่วนสิ่งที่เขาจะได้รับกลับมาคงไม่มีอะไรที่ดีขึ้นเลย แม้แต่ความสะใจ สักนิดเขาก็ไม่เคยรู้สึก แนวความคิดประเภทแรงมาก็ต้องแรงกลับดูจะเป็นเรื่องที่ห่างไกลตัวมากโข ซ้ำร้ายการทำงานของทิมคงจะลำบากไม่น้อย ไม่ใครก็ใครคงต้องพังไปข้าง ซึ่งดูรูปการแล้วไม่น่าจะใช่ทิมแน่ๆ

เป็นเพราะรู้ถึงนิสัยคนที่นั่งอยู่ข้างๆ นั้นเป็นอย่างไร คะน้าจึงเลือกที่จะเงียบไว้ดีกว่า จากนี้ไปก็ระวังตัวเองให้มากขึ้นเอา

“สรุปคือมันเป็นยังไง! ไอ้แนนใช่ไหม!”

“เหออออ ดูทางสิ เดี๋ยวได้หลงทางเอา”

“ช่างมัน!” ทิมพ่นควันออกหูอย่างหัวเสีย “เลิกพูดว่าอยากกินด้วย ไม่เชื่อโว้ย!”

บทจะแรงก็จัดมาซะเต็มจนคะน้าได้แต่นั่งหนาวๆ ร้อนๆ กระนั้นเมื่อนึกย้อนไปถึงก็รู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก ฟังดูแล้วอาจจะเป็นเรื่องที่คนพูดกันว่าสถานการณ์แย่ๆ ทำให้เกิดวีรบุรุษ คะน้าไม่ได้คิดไกลขนาดนั้น เขาเพียงแต่คิดว่าเลือกมองสิ่งที่ดีในสิ่งร้ายๆ ที่เกิดขึ้นมากกว่า เรื่องราวที่ทำให้เราไม่สบายใจล้วนเกิดขึ้นได้ทุกวัน แต่สุดท้ายแล้วก็ขึ้นอยู่กับใจเราเองว่าจะเลือกจดจำอะไร เรื่องที่ทำให้เสียเจ็บใจ ...หรือเรื่องดีๆ ที่ทำให้หัวใจเราอิ่มเอม






“เจ้... คือเจ้คิดว่ายังไง ถ้าผมอยากพาทิมไปเจอป๋ากับแม่”

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นยิ่งทำให้คะน้ารู้สึกมั่นใจกับความรู้สึกของตัวเองจนเกิดความคิดอย่างที่เขาไม่เคยคิดมาก่อนนี้ขึ้นมา คำพูดของคะน้าถึงกับทำให้ผักกาดนิ่งไปเนิ่นนาน ราวกับกำลังชั่งใจอย่างหนักและคิดทบทวน

“รออีกสักหน่อยดีกว่าไหม ให้อะไรๆ ในใจเรามันชัดเจนก่อนดีกว่านะต่าย” ผักกาดแย้งขึ้นด้วยความเป็นห่วง หากแต่ผู้เป็นน้องชายดูจะแน่วแน่กับความคิดที่เหมือนจะทบทวนมาหลายครั้งเป็นอย่างดีแล้ว

“อยากให้ป๋ากับแม่รู้ ตอนนี้มันเหมือนปิดบัง แอบซ่อนอะไรอยู่ก็ไม่รู้ ไม่ดีเลย” ผู้เป็นพี่สาวถอนหายใจเบาๆ ผักกาดเดินเข้ามาใกล้แล้วเอามือวางบนหัวไหล่น้องชาย

“เจ้เข้าใจนะ เฮ้อ... จะว่าไป อันที่จริงแล้ว ส่วนหนึ่ง ตัวเจ้เองก็มีส่วน”

“ไม่หรอก ทั้งหมดมันเป็นที่ผมเอง ผมเลือกเอง ถ้าเจ้... คือหมายถึงถ้าเจ้ยังรับกับทิมได้ คิดว่าป๋ากับแม่ก็น่าจะเข้าใจและยอมรับได้ไม่ใช่เหรอ” คะน้าหันไปตอบกลับผักกาดด้วยแววตาที่เชื่อมั่น แม้จะตรงกับความคิดของผู้เป็นพี่สาว หากแต่ในใจก็อดไม่ได้ที่จะกังวลใจ

“แล้วจะไปกันเมื่อไหร่ ให้เจ้ไปด้วยนะ”

“คงวันหยุดนี้แหละ ทิมก็ว่างด้วย”

“ช่วงนี้ เจ้ติดงานตลอดเลย เลื่อนอีกนิดได้ไหม เจ้ห่วงเราจริงๆ” ผักกาดแย้งสีหน้าดูลำบากใจ

“ขอบคุณนะผักกาด แต่ไหวแหละ ไหวจริงๆ” คะน้าหันกลับมาสบตาพี่สาวด้วยความรู้สึกขอบคุณในน้ำใจ หากแต่เขาในเวลานี้รู้สึกเชื่อมั่นในว่าตัวเองจะรับมือกับความรู้สึกต่างๆ นานาที่จะถาโถมมาได้

“คงเพราะอะไรหลายๆ อย่างที่มันเกิดขึ้นทำให้เชื่อมั่นแบบนั้นมั๊ง” แต่พี่สาว ยังไงก็ยังเป็นพี่สาว ผักกาดระบายลมหายใจด้วยความเป็นห่วงน้องชายขึ้นมาจับใจ

“สัญญาได้ไหมว่าถ้ามีอะไร โทรหาเจ้นะ”

“ครับ”

หญิงสาวรู้สึกใจชื้นขึ้นหลังจากคะน้ารับคำมั่นเหมาะ เธอมองดูน้องชายเพียงคนเดียวที่ค่อยเติบใหญ่ขึ้นทีละน้อยๆ จนเข้มแข็งขึ้นมากกว่าเด็กตัวเล็กที่เอาแต่วิ่งซนไปวันๆ แบบภาพในความทรงจำที่ยังติดตา บางทีอาจถึงเวลาแล้วที่ผักกาดจะต้องปรับเปลี่ยนมุมมองใหม่ๆ ที่มีต่อตัวน้องชายของเธอเองเสียที



“เผลอแป๊บเดียว โตขึ้นเยอะเลยนะเรา พอรู้สึกตัวอีกทีก็กลายเป็นผู้ใหญ่เสียแล้ว”

คะน้ายิ้มร่าแล้วกอดผักกาดแน่น ชายหนุ่มครุ่นคิดถึงช่วงเวลาต่างๆ ที่ผ่านมา ทุกเศษเสี้ยวในความทรงจำ หญิงสาวในอ้อมกอดคนนี้มีแต่ความห่วงใยดูแลไม่เคยขาด นอกจากจะไม่เคยพร่องต่อฐานะความเป็นพี่แล้ว ผักกาดยังช่วยเติมเต็มทุกความสุขของคะน้าจนล้นปรี่ตลอดเวลา คนเป็นน้องชายกระชับวงแขนตัวเองแน่นๆ อีกครั้ง รอยยิ้มที่โค้งตัวเพียงเล็กน้อยเหยียดตัวออกกว้างกว่าที่เคย


“มีอะไรมากมายที่อยากบอกให้ผักกาดฟัง แต่ก็รู้ว่าเจ้คงรู้ไปหมดแล้ว”

ผักกาดยิ้มตอบรอยยิ้มนั้นด้วยความสุขที่อัดแน่นไปหมดทั้งใจ


“ก็เราเป็นพี่น้องกันนี่นา”






คะน้ายิ้มให้กับภาพความคิดอีกครั้งแล้วก้มมองไดอารี่ที่กระชับแน่นในมือ หลายปีที่ผ่านมาเขาเก็บทุกความทรงจำบันทึกลงบนสมุดจด บางวันก็เป็นเรื่องราวที่เล่ากันไม่จบเป็นหลายหน้ากระดาษ แต่บางวันความทรงจำกลับเป็นเพียงแค่เส้นยึกๆ ยือๆ ไม่มีแม้แต่อักษรสักตัว อาจเป็นเรื่องที่ดูประหลาดที่เขามักจะพกไดอารี่พวกนี้ติดตัวไปด้วยทุกครั้งเวลาที่ไปเยี่ยมป๋ากับแม่ ความที่อยู่ห่าง และไม่มีโอกาสได้คุยกันแบบครอบครัวอื่นๆ ทำให้ชายหนุ่มเลือกที่จะบันทึกเรื่องราวผ่านตัวอักษรให้นึกถึงทุกครั้งเมื่อเวลาผ่านไปเป็นการทดแทน

นับว่าเนเวลาหลายนาทีที่แววตาอันเต็มไปด้วยความสงสัยของคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ทำให้คะน้ายิ้มขึ้นมา

“ไดอารี่น่ะ” หากแต่ความสงสัยในแววตาคู่นั้นยังไม่จางหาย เจ้าของสมุดเล่มเล็กจึงเลือกที่จะบอกปัดไปเรื่องอื่นด้วยความที่ขี้เกียจแจกแจง “เดี๋ยวถึงไฟแดงข้างหน้าแล้วเลี้ยวขวานะ”

ถ้าไม่นับรวมกับวันที่ไปงานแล้ว ถือว่าวันนี้ชายหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างๆ เขาหล่อเป็นพิเศษ เชิ้ตลายสก็อตช์สีอ่อนพอดีตัวปล่อยชาย และกางเกงยีนส์สีน้ำเงินครามดูดีกับรองเท้าผ้าใบสีขาวที่หุ้มถึงข้อ ใบหน้าของทิมดูสะดุดตาอยู่แล้วไม่ว่ากับผมทรงไหนๆ แม้วันนี้จะดูเซ็ตแบบง่ายๆ แต่กลิ่นน้ำหอมอ่อนๆ นั้นก็บอกได้ว่าชายหนุ่มดูจะพิถีพิถันกว่าทุกวัน

บ่อยครั้งที่ทิมระบายลมหายใจแรง ไม่ใช่เพียงแค่เพื่อระบายความเครียดจากเรื่องที่คะน้าเมามายเมื่อวันก่อนออก หากแต่หลายคราที่คะน้าต้องเผลอขำเมื่อชายหนุ่มกระสับกระส่ายถามถึงระยะทางว่าอีกไกลแค่ไหนซ้ำๆ พร้อมกับปรับเครื่องปรับอากาศให้แรงยิ่งขึ้น

“อีกไกลไหมครับ” ...เรียกว่าบ่อยไม่แพ้กับคำสั่งห้ามไปไซด์งานเลยทีเดียว

“ถ้าไปได้เรื่อยๆ แบบนี้ก็ไม่น่าจะถึงชั่วโมงนะ” คะน้าตอบกลับแบบอารมณ์ดี ไม่ใช่เพียงแต่ทิมหรอกที่รู้สึกประหม่า ลึกๆ แล้วเขาเองก็แทบไม่ต่างกันสักเท่าไหร่ แต่คนข้างๆ กลับเรียกรอยยิ้มขึ้นมาเรื่อยๆ จนเขาคลายความประหม่าไปได้อย่างไรก็ยากอธิบาย

“ป๋ากับแม่พี่ใจดีจริงน่ะ” ทิมถามอีกครั้ง ท่าทีงุ่นง่านดูพิกลจนคะน้าอดที่จะแซวไม่ได้

“จริงสิ ถามบ่อยนี่ฝ่อเหรอ”

“เปล๊า แค่ถามเผื่อไว้ ยังไงล่ะ จะว่าไปพี่ผักกาดก็ดูดุๆ นะ” คะน้าขำกับเหตุผลประหลาด ผักกาดน่ะหรือดุ ถ้าเปิดสีข้างของทิมขึ้นดูตอนนี้ ได้มีรอยแผลซิบๆ บ้างล่ะน่า คะน้ายิ้มอารมณ์ดี

“ไม่บอกล่วงหน้าเลย จะได้หาซื้ออะไรไปฝากหน่อย” ทิมยังไม่เลิกบ่น สีหน้าดูแปลกกว่าที่ผ่านมา

“ไม่ต้องหรอก” คะน้าไหวไหล่นิดๆ ได้ยินชัดเต็มสองหู ทิมก็พยักหน้าเข้าใจ แต่ขับไปได้อีกสักพัก จู่ๆ ร่างสูงก็หันมาทำหน้าซีเรียสจริงจัง

“แวะซื้ออะไรสักหน่อยเถอะ ติดไม้ติดมือนะ”

“ไม่ต้องหรอก”

“เอางั้นเหรอ”

“อืม” คะน้าทั้งพยักหน้า ทั้งพูด และถ้ามีอะไรที่จะยืนยันได้มากกว่านี้เขาก็จะทำ กระนั้นคนอายุน้อยกว่าที่ปกติดูมาดเข็ม ก็ดูจะกลายเป็นเหมือนคนอายุน้อยกว่าจริงๆ ซึ่งนับว่าผิดกับภาพลักษณ์ที่ดูมั่นใจนักหนาทุกครั้ง ถึงบัดนี้ ทิมยังไม่เลิกบ่นปอดแปดไปตลอดทาง

“ดีเหรอ รู้สึกไม่ดีเลย”

รถเลี้ยวเข้าโค้งสุดท้ายก่อนจะถึงจุดหมายปลายทาง ในใจของคะน้ากลับรู้สึกค่อยๆ นิ่งขึ้นผิดกับที่คิดกังวลมาโดยตลอด หลายสิ่งหลายอย่างที่ผ่านมากับทุกสิ่งทุกอย่างที่คนข้างๆ ได้ทำลงไป จริงอยู่ที่แม้อาจจะมีบางอย่างยังติดค้างอยู่ในใจ แต่คะน้าก็ไม่เคยไต่ถาม เมื่อคนเราทุกคนต่างก็ต้องการพื้นที่ส่วนตัว อาจเพราะลึกๆ แล้ว คะน้าเชื่อมั่นว่าถ้าเป็นเรื่องที่สำคัญจริงๆ ทิมคงเลือกที่จะบอกเล่าให้เขาฟังทุกอย่างเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมเอง

คนที่ขับรถอยู่เริ่มทำสีหน้าประหลาดเมื่อมองดูทุกอย่างรอบๆ ตัว ถนนทั้งฝั่งถูกล้อมไปด้วยเนินเขาสูงราวกับกำแพงสีเขียวร่มรื่นตา และกินอาณาเขตกว้างมากกว่าพื้นที่แบบย่านที่อยู่อาศัย

“เราไม่ได้หลงทางใช่ไหม”

“ไม่หรอก ถูกทางแล้ว เลี้ยวซ้ายข้างหน้าอีกนิดเดียวก็ถึงแล้ว”

“โทรบอกสักหน่อยไหมว่าใกล้ถึงแล้ว”

“ไม่ต้องหรอก โทรจิตบอกแล้ว”

ทิมหันมาเขม่นคิ้วใส่ คะน้าหัวเราะขำ จากนั้นร่างสูงก็ทำตามที่คะน้าบอกทุกอย่าง เมื่อถึงทางแยกก็เลี้ยวซ้ายเข้าไป สิ่งที่อยู่เบื้องหน้า ทำให้ชายหนุ่มหันมาทำหน้าแปลกๆ ใบหน้าของทิมเต็มไปด้วยคำถามและดูจะไม่สู้ดี หากแต่คะน้ายืนยันว่าให้ขับต่อไปตามทาง ทิมก็ดูนิ่งสงบลงและค่อยๆ เคลื่อนรถไปข้างหน้าช้าๆ แต่โดยดี


กระทั่งแน่ใจกับสิ่งที่ตนเองได้เห็น...


(มีต่อด้านล่างนะครับ)

ออฟไลน์ Lucea

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 312
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +292/-0
(ต่อครับ)



เบื้องหน้าเป็นสุสานแบบคนจีนที่ทอดยาวไปตลอดทั้งสองฝั่งจนเกือบครบแนวเขา ป้ายหินขัดสลักเรียงรายเป็นรูปทรงโค้งเล็กใหญ่หลั่นกันไปตามขนาด ดูเหมือนว่าร่างสูงจะเริ่มเข้าใจเหตุผลแล้วว่าของฝากต่างๆ นานา หรือแม้แต่การโทรศัพท์บอกล่วงหน้าดูจะไม่จำเป็นอีกแล้วในเวลานี้ รถยนต์ตรงไปตามทางเล็กๆ ข้างหน้า และเพียงอีกไม่กี่เมตรก็ดับเครื่องลง

คะน้าเดินตรงไปแผ่นหินสลักแผ่นหนึ่งซึ่งอยู่เยื้องไปด้านหน้าช้าๆ ในมือถือไดอารี่ที่กำแน่นมาตลอดทาง ทิมมองตามด้วยแววตาที่หม่นลงแล้วค่อยๆ เดินตามแบบรักษาระยะห่างไว้ไม่ให้ประชิดนัก

“ป๋ากับแม่อยู่ไกลกับเรา ไกลจนเราคงโทรไปหาหรือติดต่อไม่ได้” คะน้าหยุดยืนที่สุสานหนึ่งแล้วค่อยๆ ย่อตัวนั่งลง

“ยี่สิบสองปีก่อน ป๋าจากไปอย่างกะทันหันด้วยอุบัติเหตุ วันนั้นเป็นวันที่ฝนตกหนัก แต่มันก็เหมือนกับทุกๆ วันที่แม่นั่งรอป๋าอยู่ที่ตลาด ผมกับเจ้ที่ยังเป็นเด็กได้แต่วิ่งซนจนเจ๊เป็ดที่ตอนนั้นเป็นผู้ช่วยแผงผักของแม่บ่นแล้วบ่นอีก ...ไม่มีใครรู้ว่าวันนั้นป๋าจะไม่กลับมา” คะน้าก้มหน้าลง รอยยิ้มน้อยๆ ยังเปื้อนเปรอะอยู่บนใบหน้า หากแต่แววตาคู่นั้นหมองเศร้าลงอย่างเห็นได้ชัด

“แม่เสียใจอย่างมาก ทุกๆ วันแม่จะนั่งอยู่ที่แผงนี้แล้วมองไปที่ปากตลาด แม่บอกว่าเผื่อว่าวันไหนป๋าจะกลับมา รู้ทั้งรู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ แต่แม่ก็ยังรอ แม่รอจนตลาดปิด จนตลาดไม่มีคนทุกวัน แม่ทานข้าวน้อยลง แต่ละคืนแทบจะไม่นอน จนร่างกายอ่อนแอ ล้มป่วย และไม่กี่เดือนนับจากที่ป๋าจากไป แม่ก็จากเราสองคนไปเช่นกัน”

ร่างสูงมีสีหน้านิ่ง ก่อนจะค่อยๆ ขยับตัวเดินมาใกล้ๆ แล้วทรุดตัวนั่งลง ทิมยกมือขึ้นไหว้แผ่นหินตรงหน้าด้วยความเคารพจากใจจริง เขาพนมมือนิ่งแล้วจ้องมองไปที่แผ่นหินสลักตัวที่โค้งเนิ่นนาน สักพักก็ค่อยๆ ลดมือลง



“ผมไม่รู้เลย”

คะน้ายิ้มให้น้อยๆ เขาค่อยๆ เปิดไดอารี่ออก หยิบกระดาษแผ่นเก่าๆ สีเหลืองที่สอดแทรกอยู่ในหน้าแรกขึ้นมาแล้วส่งให้ทิม

ทิมค่อยๆ ยื่นมือมารับกระดาษสีหม่นไปตามกาลเวลาแผ่นนั้นจากมือคะน้ามา แม้กระดาษจะกรอบจนอาจจะฉีกขาดได้อย่างง่ายดาย แต่ร่องรอยที่ยับจนย่นนั้นก็บ่งบอกได้ดีว่าถูกเปิดอ่านมานับครั้งไม่ถ้วน ชายหนุ่มค่อยๆ คลี่ออกช้าๆ ลายมือที่เขียนหวัดด้วยปากกาหมึกแห้งดูไม่เป็นระเบียบและขาดห้วงราวกับเจ้าของลายมือพยายามอย่างหนักที่จะฝืนเขียนตัวอักษรเหล่านั้นจนจบข้อความ

ทิมเหลือบตาขึ้นมองคะน้าอีกครั้ง เจ้าของจดหมายยิ้มกว้างแล้วพยักหน้า ร่างสูงจึงก้มหน้าลงแล้วอ่านออกเสียงเนื้อความในกระดาษแผ่นเก่าๆ ด้วยใบหน้าที่สงบนิ่ง


กระต่ายลูกแม่

ตอนที่ลูกได้อ่านจดหมายฉบับนี้ แม่คงอยู่ห่างจากลูกไกลแสนไกลจนไม่อาจพบกัน
ถึงเวลานี้ แม่รู้ว่าแม่ หรือแม้กระทั่งป๋า คงเป็นเหมือนความทรงจำอันเลือนลางของลูก
มันคงเป็นเวลาที่แสนยาวนานจนลูกอาจจำอะไรไม่ได้ ซึ่งมันก็ไม่แปลกเลย
เมื่อเราทั้งสองคนไม่มีโอกาสจะได้มองดูลูกเติบโต วิ่งเล่น พาลูกไปเรียนหนังสือ
แม้แต่ทำอาหารให้ลูกๆ ทานแบบครอบครัวใครๆ


ทิมหยุดนิ่งราวกับพยายามปรับความรู้สึกของตนเองอย่างหนัก เพื่อไม่ให้เสียงที่เปล่งออกนั้นสั่นไหวกับข้อความที่ได้อ่านในมือ ร่างสูงกลืนน้ำเหนียวๆ ลงคออย่างฝืดเคือง กระนั้นก็ฝืนก้มลงอ่านตัวหนังสือที่สั่นและขาดห้วงนั้นต่อ


ไม่มีโอกาสปลอบลูกเวลาที่ร้องไห้ ยิ้ม หรือแม้แต่หัวเราะอย่างมีความสุขไปกับลูก
ลูกคงโตขึ้นมาก ลูกคงมีรอยยิ้มและจิตใจที่อ่อนโยนเหมือนป๋า
แม่เดาว่าตอนนี้ ลูกของแม่คงว่ายน้ำหรือถีบจักรยานแข็งแล้วใช่ไหม


ทิมปิดประดาษนั้นลงช้าๆ อย่างไม่อาจทนอ่านต่อไปไหว ชายหนุ่มค่อยๆ พับเก็บอย่างเดิม ดวงตาไหวจนสั่นสะท้าน เขาก้มหน้านิ่งแล้วจ้องมองแผ่นหินที่นิ่งสงบตรงหน้า กระทั่งเสียงของคะน้าค่อยๆ ดังขึ้นมาในสายลมราวกับจดจำทุกตัวอักษรซึ่งเรียงร้อยต่อในกระดาษแผ่นนั้นได้เป็นอย่างดี



แม่กับป๋าคงไม่มีโอกาสได้ดูแลลูก แต่โปรดรับรู้ไว้ว่า เราจะอยู่ตรงนี้เสมอ
เพื่อช่วยลูกฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆ และเราสองคนจะอยู่ตรงนี้ตลอดไป

แม่ภูมิใจที่ได้ให้กำเนิดลูก ได้เป็นแม่ของลูก และภูมิใจ ที่มีลูกเป็นลูกแม่
ฝากลูกดูแลผักกาดด้วยนะ ดูแลพี่ให้เท่ากับที่ต่ายดูแลป๋าและแม่นะ


ทิมหันกลับมามองที่ต้นเสียง คะน้าค่อยๆ ย่อตัวนั่งลงตรงหน้าหลุมศพ เอ่ยข้อความที่อยู่ในจดหมายฉบับนั้นต่อพร้อมกับรอยยิ้มน้อยๆ


ขอให้ลูกจงเติบใหญ่ เป็นคนดีของสังคม เป็นสุภาพบุรุษ และผู้ชายที่เข้มแข็ง
ลูกจงเป็นตัวของตัวเอง ทำในสิ่งที่ลูกฝันและตั้งใจ
ไม่ว่าสิ่งที่ลูกเลือกทำนั้นจะเป็นสิ่งไหน โปรดจำเอาไว้ว่าลูกทั้งคู่เกิดจากสิ่งที่ดีที่สุดในตัวของป๋าและแม่
และจำเอาไว้ว่าพ่อและแม่จะอยู่ที่ตรงนี้ ...เคียงข้างลูกตลอดไป

ดีใจที่เราได้เป็นครอบครัวเดียวกัน

ป๋าและแม่


คะน้าเงยหน้าขึ้นมองทิมด้วยรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความภูมิใจ ดวงตาแม้เอ่อชื้นไปด้วยหยดน้ำของความรู้สึกแต่ก็อิ่มเอิบไปด้วยความสุข ...ความสุขที่แม้จะไม่ได้สวยหรูดั่งภาพฝัน แต่เป็นความสุขที่ได้เติบโตขึ้นอย่างมั่นคงในโลกของความเป็นจริง

ทิมค่อยๆ สวมกอดคะน้าจากด้านหลัง ร่างทั้งร่างกอดรัดด้วยวงแขนที่แนบแน่นราวกับจะปกป้องคนที่อยู่ในอ้อมแขนนั้นจากโลกทั้งใบที่หมุนตัวไปข้างหน้าทุกวัน คะน้ายกแขนขึ้นโอบซ้อนวงแขนของทิมอีกครั้งอย่างอ่อนโยน หยดน้ำตาของคนที่ตัวสูงกว่าทิ้งตัวลงมาอย่างง่ายดาย



...เป็นครั้งแรกที่คะน้าได้เห็นน้ำตาของทิม

“ผมแค่อยากให้ทิมได้รู้จักครอบครัวของผม อยากให้รู้จักกับคนที่ผมรักทุกคน” คะน้ายกมือขึ้นช้าๆ นิ้วโป้งเกลี่ยน้ำใสๆ ที่เปรอะเปื้อนดวงตาที่เคยเข้มแข็งนั้นออกอย่างแผ่วเบา “ผักกาดก็ได้จดหมายจากแม่เหมือนกัน อาจเพราะแบบนี้มั๊ง เราสองคนเลยเชื่อว่าป๋ากับแม่อยู่กับเราเสมอ คอยมองเรา และให้กำลังใจเราอยู่ใกล้ๆ เหมือนเมื่อก่อน”



“...ต่างกันก็เพียงแค่วันนี้ ป๋ากับแม่อาจพูดคุยกับเราไม่ได้แบบที่ผ่านมา มันก็เท่านั้นเอง”

เป็นเวลานานหลายนาทีที่ชายหนุ่มทั้งสองคนนั่งเงียบๆ แล้วจ้องมองไปที่แผ่นหินที่เขียนตัวอักษรภาษาจีนซึ่งแม้แต่ตัวของคะน้าเองก็อ่านไม่ออก รู้เพียงแต่ว่าเป็นชื่อของป๋าและแม่ แค่นั้นก็มากพอที่จะเรียกความทรงจำดีๆ ให้กลับมาทุกครั้งที่ได้เห็น

“ทุกครั้งที่ผมมาที่นี่ ก็มักจะร้องไห้แบบเดิมๆ ไม่จบสิ้น อ่อนแอแบบนี้ซ้ำๆ ทุกครั้งจนผักกาดรู้สึกห่วงและไม่ค่อยอยากจะให้มา และถึงแม้ว่าจะรั้นมาให้ได้จริงๆ ผักกาดก็จะตามมาด้วยทุกครั้ง” คะน้าเปรยขึ้นมาเบาๆ รอยยิ้มน้อยๆ นั้นยังคงอยู่บนใบหน้า

“ผมเขียนไดอารี่ทุกวัน เพื่อที่จะมาเปิดอ่านไปทีละหน้าๆ ที่ตรงนี้ บอกเล่าทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับผมและผักกาดให้กับแผ่นหินซีดๆ ที่เป็นตัวแทนของป๋าและแม่ บอกว่าลูกชายคนนี้ของป๋ากับแม่เติบโตขึ้น พบเจออะไรมาบ้างในแต่ละวัน”


“แปลก...ที่ครั้งนี้ ผมไม่ได้รู้สึกอยากจะร้องไห้แบบที่ผ่านๆ มา แต่กลายเป็นนายที่นั่งร้องไห้ไม่หยุดแทน”

คะน้าซับน้ำตาที่เปื้อนรอยยิ้มของคนที่ตัวสูงกว่าอีกครั้ง อิ่มเอิบในความรู้สึกเมื่อทอดมองคนที่ตัวเขาเองเลือกที่จะอีกมุมหนึ่งอีกมุมหนึ่ง ...เป็นมุมที่เขาเองไม่ค่อยจะได้พูดถึงสักเท่าไหร่

“ผมไม่ชอบขายของเลย ทักษะเรื่องค้าขายผมแย่มาก แต่ผมรักตลาดนี้ รักเพราะเป็นที่ที่ป๋าและแม่รัก ที่นี่มีความทรงจำมากมายสำหรับเราทุกคน เป็นที่ๆ เราวิ่งเล่นหลังเลิกเรียนตั้งแต่เด็กๆ ทำการบ้านก็ที่ตลาด มื้อเย็นของที่บ้านไม่ใช่ที่โต๊ะกินข้าว แต่เป็นที่แผงผักที่แม่ขายของ แม่เริ่มทำไอติมเพราะป๋าบอกว่าแม่ทำอร่อยที่สุดในโลก และแม่ก็ทำได้อร่อยที่สุดในโลกแบบป๋าบอกจริงๆ” คะน้ารู้สึกถึงอ้อมกอดที่กระชับแน่นขึ้นอีก เขาหันกลับยิ้มน้อยๆ ให้กับทิมที่ดวงตาก็ยังคงความชื้นเอ่ออยู่แม้เพียงบางเบา

“ถึงเจ้จะอยากให้ทำงานออฟฟิศแบบที่ถนัดและเรียนมา แต่ผมก็อยากอยู่ที่ตลาดนั่นต่อไปเรื่อยๆ อยากดูแลความทรงจำที่มีของครอบครัวเราต่อไป แม้ว่ามันอาจไม่ได้ทำรายได้เป็นกอบเป็นกำ ขาดทุนซ้ำๆ จนท้อ ...แต่ที่นี่คือความฝันของป๋า ...ที่นี่คือความทรงจำของแม่ ...และที่นี่คือบ้านอีกหลังที่อบอุ่นสำหรับผมและผักกาด”

“ตลาดแห่งนี้จะต้องอยู่ต่อไปให้ได้ และผมจะทำทุกอย่างเพื่อให้มันมีชีวิตอยู่ต่อ” แม้ว่าน้ำเสียงของคะน้าจะราบเรียบ หากแต่ความมุ่งมั่นนั้นฉายชัดเจน คะน้าหันกลับมาส่งยิ้มบางๆ ให้กับคนที่อยู่แนบชิด เขาเรียกชื่อคนๆ นั้นเบาๆ ด้วยความรู้สึกร้องขอ

“ทิม...”

“ครับ”

“นายอยู่ข้างๆ กับผมได้ไหม ขอกำลังใจให้ผมได้หรือเปล่า”

“จะให้ทุกอย่างที่มี”

หัวเข่าที่ชันซ้อนร่างของคะน้านั้นดูมั่นคง ทิมตอบสั้นๆ แล้วกอดคนในอ้อมแขนให้แน่นขึ้น ร่างสูงโคลงหัวตัวเองไปแอบอิงที่ศีรษะของคะน้า

“ขอบคุณนะ” คะน้ายิ้มรับกับสัมผัสด้านข้างศีรษะที่อ่อนโยน

“ไม่ต้องกลัว ทำทุกอย่าง อย่างที่ตั้งใจ” ทิมหันกลับมาสบตาของคะน้า แววตาคู่นั้นดูมั่นคงไม่สั่นไหว

แต่รู้ใช่ไหม ว่าอยู่ตรงนี้... ก็... พยายามให้เต็มที่นะ”

“อืมมม”

คะน้ารับคำพร้อมรอยยิ้ม เห็นดังนั้น ชายหนุ่มที่อายุน้อยกว่าก็ระบายรอยยิ้มออกมาบ้าง “ชีวิตก็แบบนี้ล่ะ บางครั้งก็อาจจะต้องยอมเสียอะไรบางอย่าง เพื่อทำให้ได้อีกอย่างที่มีความหมายมากกว่า”

คะน้ายิ้มตาม บางทีทิมก็ดูเหมือนกับเด็กที่เอาแต่ใจ แต่บางมุมกลับมีความคิดหรือมุมมองราวกับผู้ใหญ่ที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาหลายปี อย่างไรก็ตาม คะน้ารู้สึกดีที่ทิมยังเป็นทิมแบบนี้เป็นแบบที่เขารู้จัก ไม่ใช่คนพูดอะไรมาก แต่กลับเหมือนเข้าใจอะไรมากมาย บางครั้งชายหนุ่มก็รู้สึกว่าทิมเข้าใจตัวเขา มากกว่าที่เขาจะเข้าใจตัวเองด้วยซ้ำ จึงไม่แปลกเลยที่หลายครั้งเขาจะเห็นด้วยกับความคิดของทิมโดยไม่มีข้อโต้แย้ง และครั้งนี้ก็เช่นกัน

“อืม... ทำงานที่นี่ถึงจะไม่ถนัด ไม่ร่ำไม่รวย แต่มันก็สนุกดี ผมชอบที่ตลาดนะ มันอบอุ่น แล้วก็มีชีวิตชีวาไปอีกแบบ”

สายลมเย็นที่พัดหวือหยอกล้อยอดหญ้าดูจะอุ่นขึ้นเมื่อพระอาทิตย์พ้นจากเงาบดบังของไรเมฆ ไม่รู้ว่าจะเรียกความรู้สึกในตอนนี้ว่าอย่างไร แต่ในใจคะน้ารู้สึกอิ่มและเบาสบายเหมือนสายลม สถานที่แห่งนี้ก็เหมือนเดิมแบบทุกครั้งที่เขาแวะมา ท้องฟ้าก็เหมือนเดิม ต้นหญ้าแห้งๆ พวกนั้นก็ไม่ต่างกัน หรือแม้แต่บนท้องถนน คะน้าก็รู้ดีว่ารถก็ยังติดเหมือนเดิมทุกวัน แต่ลึกๆ ในใจตอนนี้ เขากลับรู้สึกว่าบางสิ่งบางอย่างนั้นเปลี่ยนไป

“ทิม... ผมคิดว่าคงจะหยุดเขียนหรืออ่านไดอารี่พวกนี้แล้ว” คะน้าเอ่ยขึ้นเบาๆ คนที่กอดอยู่เพียงแค่เหลือบตามองแล้วอยู่นิ่ง รับฟังเงียบๆ อยู่ใกล้ๆ

“ผมไม่ได้ร้องไห้อีกแล้ว นี่คงเป็นสิ่งที่บอกได้ว่าลูกชายคนนี้ที่ป๋าและแม่เคยห่วงได้โตขึ้นแล้ว และเขาจะกลายเป็นอีกคนที่มีความสุขมากๆ คนหนึ่งบนโลกที่เหงาๆ ใบนี้ ตัวอักษรต่างๆ เพื่อยืนยันความสุขของผม มันคงไม่จำเป็นอีกต่อไป” ริมฝีปากของทิมยกตัวขึ้นสูงเมื่อรอยยิ้มของคนที่อยู่ในอ้อมแขนนั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขแบบที่เขาไม่เคยเห็น คะน้าเงยหน้าขึ้นมองฟ้ากว้างแล้วทิ้งน้ำหนักตัวเองลงบนแผ่นอกของคนที่ซ้อนตัวอยู่ สูดอากาศในยามเย็นจนอัดแน่นเต็มปอด

ผมไม่รู้ว่าวันข้างหน้ามันจะเป็นยังไง ไม่รู้ว่าตัวเองจะทำความฝันบ้าๆ นี้ไปได้อีกนานแค่ไหน ไม่เคยรู้ และไม่เคยแน่ใจอะไรสักอย่าง รู้เพียงแค่ว่าในตอนนี้...



ป๋าครับ แม่ครับ วันนี้ผมมีความสุขจัง

คะน้าขยับตัวเล็กน้อย แต่เหมือนคนที่ซ้อนตัวอยู่ข้างหลังจะไวพอๆ กับความคิดของตัวเขาเอง ทิมลุกขึ้นยืนแล้วยื่นมือลงมาให้คะน้าเอื้อมจับสำหรับพยุงตัวขึ้น ชายหนุ่มสบตาคนที่ยืนสูงกว่า ดวงตาคู่นั้นยังเป็นสีดำที่ลึกล้ำเช่นเดิม จะผิดเพี้ยนไปก็เพียงแค่ว่าแววตาที่ดูจะทื่อแข็งนั้น อ่อนโยนลงทุกครั้งที่คะน้าจ้องมอง


“กลับบ้านกันไหม ป่านนี้เจ้ผักกาดเป็นห่วงแย่แล้ว”

คะน้าหันไปถามคนที่ยืนนิ่งอยู่ใกล้จนเกือบจะแนบชิด ทิมยังคงนิ่งเงียบอยู่แบบนั้น ดูเหมือนว่าเจ้าตัวไม่ได้มีข้อโต้แย้งใดๆ คะน้าจึงค่อยๆ ก้าวเท้าออกเดินไปข้างหน้า ครู่หนึ่งก็รู้สึกถึงน้ำหนักของวงแขนที่โอบลงบนบ่าตัวเอง แล้ววาดเข้ากอดคอแบบหลวมๆ หัวไหล่ของคะน้าเบียดกับแผ่นอกด้านซ้ายที่ของคนที่อยู่ข้างๆ มีเสียงทุ้มที่ดังขึ้นเบาๆ ที่ข้างหูของคะน้า



“วันนี้... ขอบคุณมากนะ”

คะน้าค่อยๆ หันกลับไปยิ้มกว้างให้กับเจ้าของเสียงทุ้มๆ นั้น ดูเหมือนว่าทิมจะเข้าใจความนัยของการเดินทางในวันนี้ได้เป็นอย่างดี จุดหมายปลายทางไม่ใช่การบอกให้รับรู้ถึงเรื่องราวของความทรงจำในอดีต แต่เป็นการบอกให้รับรู้ถึงการยอมรับของตัวคะน้าเองต่ออนาคตนับจากนี้ ...และทุกสิ่งที่เขาเลือก

คะน้าทอดสายตามองไปเบื้องหน้าแล้วอมยิ้ม ที่ปลายขอบฟ้าพระอาทิตย์ส่องแสงสีแดงอมส้ม



...สีเดียวกับแก้มของทิม



++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++



หลังจากที่เนียนมานาน ขอปล่อยก๊อกสำหรับเรื่องที่หมกไว้ของป๋ากับแม่ต่ายน้อยเสียที
เป็นอันรู้เสียทีว่าทำไมสองพี่น้องตระกูลผัก เขาถึงรักและห่วงกันมากมายแบบนี้ล่ะเนอะ

ตอนนี้เป็นอีกตอนที่แต่งแล้วชอบมาก เพราะให้ทั้งความรู้สึกที่เศร้า และความรู้สึกที่อบอุ่น
อีกเรื่องที่ชอบก็คือการแสดงออกทางความรักของแต่ละคน ไม่ว่าจะระหว่าง ป๋าและแม่กับคะน้า
ระหว่างคู่พี่น้อง หรือระหว่างต่ายและทิม ทั้งหมดไม่มีการบอกว่ารักกันเลยสักคำ
(มากสุดก็คือการกอดที่แสนจะธรรมดา) แต่คนแต่งรู้สึกว่าทั้งหมดดูรักกันมากๆ
เพราะแบบนี้ก็เลยรู้สึกชอบตอนนี้นั่นเอง แต่หวังว่าจดหมายจากคุณแม่ถึงกระต่าย
คงไม่ทำให้เศร้ากันเกินไปนะครับ (จริงๆ แล้ว มันออกจะอบอุ่นนะ) :-[

ขอบคุณสำหรับทุกคอมเมนต์ ทุกกำลังใจ ที่ร่วมเวิ่นเว้อ เพ้อเจ้อไปพร้อมๆ กันจนถึงบัดนาว
รัก และขอบคุณทุกคนมากๆ จากใจจริงนะขอรับ มาม๊ะๆ มาให้ข้าน้อยขอกอดหนึ่งที :กอด1:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-02-2013 06:45:29 โดย Lucea »

ออฟไลน์ fullmoonny

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 411
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
อ่านตอนนี้เราแอบน้ำตาซึมๆเลยอ่ะ อ่านตอนนี้แล้วชอบมาก

ออฟไลน์ Millet

  • `ヅ
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1667
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +663/-5
แล้วทำไมแม่ไม่พยายามมีชีวิตอยู่ต่อไปเพื่อลูก แม่ตรอมใจตามป๊าไปทำไมอะ ไม่คิดจะเข้มแข็งเพื่อลูกเลยหรือ ฮือ TvT

ทำไมอ่านแล้วรู้สึกน้อยใจ (จริงๆนะ) แปลกอีกละเรา 5555

ออฟไลน์ aorpp

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1274
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +250/-3
 o13 o13 o13 ตอนนี้อ่านแล้วเหมือนมีลมแห่งความรักหมุนวนอยู่รอบตัว
อบอุ่นมากกกก จนน้ำตาไหลพรากๆๆ คนแต่งเยี่ยมไปเลยค่ะ  o13 o13 o13

ออฟไลน์ oaw_eang

  • Global Moderator
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2122/-586

ออฟไลน์ ่patsaporn

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4338
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +227/-6
จดหมายฉบับนั้นมันเศร้าค่ะ น้ำตาซึม  :monkeysad: ดีใจที่คะน้ามีความสุขเพิ่มมากขึ้น
ดีใจที่ทิมได้รับการยอมรับจากคะน้าแบบเต็มหัวใจ พามาพบพ่อและแม่ด้วย
“นายอยู่ข้างๆ กับผมได้ไหม ขอกำลังใจให้ผมได้หรือเปล่า” “จะให้ทุกอย่างที่มี”
ประโยคนี้ของคุณพระเอก กีสสสสสส เอาใจคนอ่านไปจ๊ะ เชื่อว่าทิมก็จะทำได้อย่างนั้นจริง ๆ
ตอนทิมประหม่าน่ารักมากเลย เรื่องวันนั้นพระเอกก็ยังไม่หายแคลงใจ แต่คะน้ามองโลกในแง่ดีมากนะ
ไม่พูดไปก็อาจจะดีกว่า (รึป่าวนะ) เรื่องนังน้องแนน ถ้ามันจะจบแค่นี้อ่ะนะ เป็นเราหน่อยไม่ได้
จะแฉให้เพลิน 555

ขอบคุณค่ะ

ออฟไลน์ indy❣zaka

  • กระซิกๆ เบื่อดราม่า...
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4582
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +625/-26
คะน้าเงียบไม่เป็นไร  ไม่ว่ากัน
แต่หวังว่า ยัยแนนนั่น คงไม่มาทำ หรือสร้างปัญหาอะไรอีกก็แล้วกัน  o18

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ devotionNightmare

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 94
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
อ่านไปน้ำตาไหลพราก T^T

ออฟไลน์ iforgive

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-80
แล้วทำไมแม่ไม่พยายามมีชีวิตอยู่ต่อไปเพื่อลูก แม่ตรอมใจตามป๊าไปทำไมอะ ไม่คิดจะเข้มแข็งเพื่อลูกเลยหรือ
นั่นสิ

ออฟไลน์ arisa_sa

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 481
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +38/-1
น้ำตาซืมเลย ซึ้งอะ สู้ๆๆจ้า  o13

ขอบคุณมากมาย  :pig4: :L1:

ออฟไลน์ bobby_bear

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 419
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-5
เป็นตอนที่อบอุ่นมาก ตะหงิด ๆ แล้วล่ะว่าพ่อแม่ของสองคนนี้น่าจะเสียไปแล้ว
แล้วก็เป็นอย่างนั้นจริง ๆ

ชอบตอนนี้ที่สุด เหมือนคะน้าเลือกแล้วว่าคนนี้แหละใช่
เปิดรับเข้ามาในครอบครัว มีคนนี้แล้วก็เหมือนมีคนอยู่ข้าง ๆ มีคนดูแลแล้ว
ยอมให้พ่อและแม่ยืนดูอย่างสงบอยู่บนสวรรค์ได้อย่างสบายใจ

เหลืออีกไหมครับคุณคนแต่ง ตุลจะกลับาเมื่อไหร่ครับ อิอิ
ถามแบบนี้เพราะแอบคิดว่าคนแต่งต้องเอาตุลกลับมาแน่ ๆ เลยอ่ะ

ออฟไลน์ Zinub

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 255
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-0
อบอุ่น ซึ้งใจ น้ำตาไหลพรากกกกก......... :monkeysad:

มามะขอกอดคนเขียนที :กอด1:

คุณเยี่ยมมาก     o13    o13    o13

ออฟไลน์ poompoo

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 107
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-0
ชอบความรู้สึกของตอนนี้จังคะ  o13

 :pig4:

ออฟไลน์ -west-

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1393
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1875/-12
    • FACEBOOK PAGE
ชอบมากกกก
รุ้สึกอินกับบรรยากาศตลาดชะมัด เป็นเรื่องที่หาอ่านได้ยากนะ ในนิยายทำนองที่ว่าครอบครัวพอเพียง ส่วนใหญ่จะร่ำรวยอู้ฟู่ ทำกิจการสืบต่อที่บ้านทั้งๆที่ไม่อยาก
เห็นได้ถึงความรักของครอบครัว

ไปเดินตลาดกันเถอะ

namtarn11

  • บุคคลทั่วไป
ตอนแรกก็โกรธยัยแนนนั่นนะ แต่พอเจอโมเม้นต์น่ารักๆของทิมกับคะน้าแล้ว น่ารักอ่ะ รู้สึกว่าน้องทิมหื่นนะจ๊ะ อยู่ไม่ห้องไม่ได้จับต่ายทำภารกิจตลอด 5555

ออฟไลน์ Acacha

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1645
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-2
อ่านรวดเดียวตั้งแต่เมื่อคืน ซึ้งจัง
ตอนก่อนหน้านี้แอบสงสารตุลพอสมควร รู้สึกว่าเป็นพระรองที่โชคร้ายสุดๆ :เฮ้อ: หวังว่าจะไปได้ดิบได้ดี ได้ลาภเป็นสัตว์สองเท้าที่เยอรมันนะ


zerea

  • บุคคลทั่วไป
อ่านไปตอนแรกแอบอมยิ้มกับทิม ><
แต่พออ่านไปอีกนิดทำเอาน้ำตาซึม...
ก็ดูอบอุ่นจริงๆแหละ :กอด1:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-02-2013 14:45:07 โดย zerea »

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด