(ครึ่งจบครับ)
“แต่ก็ต้องทำงานน่ะ ทนๆ กันหน่อยนะ” คะน้าพูดเสียงเรียบๆ เขารู้สึกโล่งขึ้น แปลกที่คำพูดง่ายๆ แบบนั้นทำให้ทิมหายเซ็งกับอะไรๆ ลงไปได้เยอะ “นี่ดึกแล้วเหมือนกัน รีบทำงานต่อเถอะครับ จะได้เสร็จไวๆ”
รอยยิ้มคลี่ขึ้นบนมุมปาก ทำงานก็ทำงาน ถ้าขยันขึ้น ตั้งใจขึ้น บางทีงานอาจจะเสร็จเร็วขึ้นกว่าที่คะเนเอาไว้สักครึ่งวันหรือหนึ่งวัน ซึ่งนั่นก็แปลว่าจะได้เจอกันเร็วขึ้นอีก คะน้าวางสายไปแล้ว ทิมไหวหัวไหล่ตัวเอง เริ่มเซ็งเล็กๆ ที่ลืมอวยพรให้นอนหลับฝันดี (แบบที่แอบทำทุกคืน)
หนึ่งชั่วโมง สองชั่วโมงผ่านไป อาจจะสั้นกว่าหรืออาจจะยาวกว่านั้น เขาไม่รู้เพราะไม่ได้สังเกตเวลาที่อยู่บนข้อมือตัวเองเลยแม้แต่น้อย ในสายตามีเพียงงานที่รออยู่ใต้ไฟสีเหลืองของเครื่องปั่นไฟ แต่เสียงร้องของหัวหน้ายามทำให้วิศวกรหนุ่มต้องพักงานทุกอย่างของตัวเองไว้ทันที
“นายครับ..นายช่างครับๆ นายช่างช่วยด้วย” หัวหน้าคนงานวิ่งหืบหอบมาแต่ไกล
“มีอะไรหรือครับ” ทิมหันกลับมามองด้วยความตกใจระคนไปกับความสงสัย
“ก็ไอ้คนงานที่มันไม่เชื่อที่นายช่างเตือนน่ะสิครับ มันไปแอบดูผีที่ด้านหลังโครงการมา ตรงรั้วที่นายบอกน่ะครับ แล้วมันก็วิ่งป่าราบกลับมาโวยไปทั่วว่าผีเฮี้ยนมาก มันกลัว มันไม่กล้าทำอะไรแล้ว ตอนนี้คนงานทุกคนกลัวผีกันหมดเลย ไม่มีใครยอมทำงานเลยครับ นายช่างไปช่วยดูหน่อยได้ไหมครับ”
ทิมรู้สึกหงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูก นี่พวกคนงานคงแอบกุเรื่องหาทางอู้งานกันแน่ๆ มันจะมีอย่างที่พูดได้ยังไง ในเมื่อเขาต่างหากที่เป็นคนปั้นเรื่องขึ้นมาขู่เหล่าคนงานไม่ให้ไปแอบหลับตรงท้ายโครงการที่เงียบ ซ้ำไปกว่านั้น ก่อนก่อสร้างโครงการ ทางบริษัทก็ทำพิธีทุกอย่างเรียบร้อยดิบดี
ทิมเดินหัวเสียตามหัวหน้าคนงานไปดูเหล่าช่างที่บอกว่าเจอผีทันที เมื่อเห็นใบหน้าของแต่ละคน ชายหนุ่มก็มีแต่ความสงสัย เมื่อใบหน้าคนงานสามสี่คนที่เข้มเพราะผิวที่กรำแดดกลับดูซีดจนเหมือนไม่มีสีเลือด ผมที่ตัดสั้นดูตั้งชี้ขึ้นมาจริงๆ ริมฝีปากของพวกคนงานดูแห้งผาก ทุกคนได้แต่ยกมือไหว้ประหลกๆ แล้วพร่ำพูดแต่คำขอโทษขอโพยเป็นภาษาถิ่นที่ไปลบหลู่ดูหมิ่น ทิมฟังรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง แต่นั่นไม่ใช่อะไรที่เขาจะมาใส่ใจตอนนี้ แม้ทิมจะไม่เชื่อเรื่องผีสางเลยแม้แต่น้อย แต่ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไป งานคืนนี้ไม่ไปถึงไหนแน่ๆ และถ้าเสร็จและส่งมอบไม่ทันตามกำหนด นั่นหมายความถึงความผิดใหญ่หลวง ทิมหันไปสั่งหัวหน้าคนงานให้ดูแลคนงานทุกคนให้อยู่เฉยๆ จนกว่าเขาจะกลับมา
เห็นหัวหน้าคนงานรับคำมั่นเหมาะ ชายหนุ่มก็รีบสาวเท้าเดินไปด้านหลังของโครงการทันที บรรยากาศที่นี่ในเวลากลางคืนเงียบและดูวังเวงกว่าที่เขาจินตนาการไว้มาก กระนั้นทิมก็ไม่ได้รู้สึกหวั่นกลัวอะไรแบบที่คนงานพูดกัน กระทั่งสายตาของเขาไปปะทะกับร่างหนึ่งที่ยืนอยู่ใต้ร่มไม้ริมกำแพงสังกะสีที่ล้อมอีกชั้นด้วยลวด
...แม้ในที่มืด เขาก็จำได้ดี
“คะน้าใช่ไหม?”
คนที่ถูกเรียกชื่อหันขวับกลับมาทันที เมื่อเห็นเขาที่ยืนอยู่คะน้าก็โถมทั้งตัวเข้ากอด พร่างพรูถ้อยคำมากมายที่เหมือนอัดแน่นในใจ
“ขอโทษที่มาที่นี่ทั้งที่เคยห้ามว่าไม่ให้มา ขอโทษที่อยู่ๆ ก็มาหา แต่มันทนไม่ไหว ยังไงก็ต้องได้เจอ” ทิมยิ้มแล้วลูบหัวคนที่อยู่ตรงหน้าอย่างเบามือ บทจะคิดถึงก็โผล่มาให้หายคิดถึงเอาเสียง่ายๆ เหมือนเล่นกล
“ทิมมม...”
“ว่าไง”
“คิดถึงนะ อยากกอด ...กอดแน่นๆ แบบนี้” คะน้ากอดเขาแน่นอย่างที่พูดจริงๆ ทิมยิ้มแล้วก้มหน้าลงจูบคนตรงหน้าให้หายคิดถึง
“ได้จูบแล้ว” ทิมยิ้มด้วยหัวใจที่เบิกบาน ในความมืดเขาเห็นบนหน้าของคนที่เพิ่งจูบเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดง
“รีบออกจนลืมเอามือถือมา จะเข้าด้านหน้าพี่ยามก็คงไม่ให้เข้า เลยแอบปีนเข้าด้านหลังเอา กว่าจะขึ้นมาได้ก็เอาเรื่องน่าดู” คะน้ายังไม่หยุดพูดถึงวีรกรรมที่แม้แต่ทิมที่ได้ยินยังนึกขำ
“จะทำให้ลำบากไหม เมื่อกี้ตอนที่อยู่บนกำแพงเห็นพวกคนงานด้วย แต่พอกวักมือเรียกเขาก็วิ่งหนีกันไปหมดเลย เรียกไม่ทันจริงๆ ไม่รู้จะทำยังไง ปีนออกก็ไม่ไหว เลยยืนคิดอยู่ตรงนี้ พอดีมีคนงานผ่านมาอีก เลยรีบเรียกใหม่ เขาก็วิ่งหนี” ฟังถึงตรงนี้ทิมถึงกับต้องรีบยกมือขึ้นปิดปากไว้ไม่ให้ปล่อยขำออกมา และเมื่อมองดูคนตรงหน้าในชุดนอนสีขาวซีดและผมที่กระเซิงก็นับว่าเข้าเค้า เอาเป็นว่าปริศนาทั้งหมดคลี่คลายแล้ว
“ไหนดูสิ เป็นไงบ้าง ดึกๆ แบบนี้ มันอันตรายรู้ไหม” ทิมยกมือของคะน้าขึ้นดูอย่างอารมณ์ดี เห็นฝ่ามือและปลายนิ้วมือที่แดงช้ำ ก็จูบลงไปราวกับจะร่ายมนตร์รักษา
“อะไรน่ะ”
“ชู่ว์... เวทย์มนตร์รักษาไง หายไวๆ นะ” กระนั้นก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มให้กับคนที่คิดถึงเสียมากมายมาตลอดทั้งวัน “...นายนี่มันบ้าระห่ำจริงๆ แล้วบาดเจ็บอะไรอีกไหม”
“เมื่อกี้ผิดจังหวะก็เจ็บที่หลังนิดหน่อย แล้วก็ตกกระแทกพื้น ก้นเลยจ้ำเบ้าไปอีกที” คะน้าหัวเราะแหยอย่างเก้อเขิน ดวงตาระริกไหวน่ารักจนทิมไม่อาจหยุดสายตาได้ เขาไม่เคยเข้าใจว่าทำไมถึงรู้สึกติดใจกับคะน้าหนักหนา ไม่เคยรู้ในเหตุผลที่นึกคิดถึงอยู่ตลอดเวลาจนเหมือนกับคนบ้าได้ขนาดนี้
แต่ตอนนี้ ...ทิมคิดว่าเขาพอจะเข้าใจขึ้นมาบ้างแล้ว
ทิมพลิกตัวของคะน้าให้กลับหลังแล้วถลกเสื้อขึ้น ฝ่ามือค่อยๆ ลูบไปบนรอยสีแดงอ่อนๆ ที่กลางแผ่นหลังแล้วก้มหน้าลง ริมฝีปากจูบไล้เบาๆ ที่กลางหลังในขณะที่สองมือก็เลื่อนไล้ไปทั่วทั้งตัวของคนที่อยู่ด้านหน้า คะน้าเอี้ยวตัวหนี เบี่ยงหน้าไปอีกฝั่งแล้วอุทธรณ์
“อย่าทำนะทิม เดี๋ยวมีคนมาเห็นเข้า” คะน้ารีบบ่ายเบี่ยงแข็งขืน แต่ทิมเลิกเสื้อที่ดูเกะกะนั่นจนร่นขึ้นเกือบหมด จากนั้นก็กดน้ำหนักของตัวลงบนหลังของคะน้า ริมฝีปากพรมรอยจูบไปทั้งแผ่นหลังที่ค่อยๆ เผยให้เห็นมากขึ้น
“ที่ก้นก็เจ็บด้วยใช่ไหม ขอดูหน่อยนะ” ชายหนุ่มยิ้มเจ้าเล่ห์ ออกแรงเหนี่ยวกางเกงยางยืดของคนที่อยู่ด้านล่างแล้วกระตุกลงต่ำ
“แต่นี่มันกลางแจ้งเลยนะ ที่ทำงาน... อ๊ะ! อย่า...”
เขาไม่หยุด ...ยังไงก็ไม่หยุด ทิมโถมความรู้สึกที่อัดแน่นทั้งหมดแล้วระบายออกด้วยความอ่อนโยน โหยหา และลึกล้ำ ทั้งร่างกายตักตวงสัมผัสจากคนที่อยู่ด้านล่างและส่งกลับความสุขทั้งหมดที่ได้รับด้วยความกำซาบดื่มด่ำ โรมรันจนทั้งร่างกายและทั้งถ้อยคำของคะน้าปราศจากการปฏิเสธหรือป้องปัดใดๆ อีกต่อไป ทิมจูบเน้นลงบนริมฝีปากของคะน้าอย่างพึงใจ เสียงทุ้มกระซิบเบาๆ ที่ข้างหู
“ร่างกายพี่ดูมีความรู้สึกกว่าทุกทีเลยนะครับ ...ผมชอบจัง”
ภายใต้แสงสีเงินของพระจันทร์ที่ทาบทอลงมาที่พื้นจนเกิดเงาดำตัดกับสีส้มจากฟลูออเรสเซนต์ เงาของชายหนุ่มสองคนที่เดินเคียงข้างกันนั้นแนบชิดกว่าทุกครั้งที่เคยเห็นมา ทิมโอบเอวของคะน้าจนแนบชิดเหมือนกับว่าจะไม่ยอมให้มีช่องว่างแม้แต่อากาศให้แทรกตัว
“กลับประตูใหญ่ก็ได้ เดี๋ยวเดินไปส่ง” ทิมหันมาถามคะน้าด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน คนที่ถูกถามยิ้มรับแล้วเกาท้ายทอยแกรกๆ เหมือนกับไม่รู้จะทำอะไรได้ดีไปกว่านั้น “ขับรถได้ไหม ให้ไปส่งไหม”
คะน้าส่ายหน้าแล้วชูกุญแจรถที่แอบจิ๊กมาจากผู้เป็นพี่สาว เป็นอันเข้าใจว่าไม่น่าจะมีปัญหาแม้ผ่านการจัดหนัก?!?ให้หายคิดถึงมาหยกๆ สดๆ ร้อนๆ ก็ตาม
“กลับดีๆ นะ ถึงแล้วแมสเซจมาบอกด้วยแล้วกัน”
ที่หน้าประตูทางออก ลุงยามหันมามองคะน้าที่เดินออกมาพร้อมกับทิมแล้วทำหน้างง กระนั้นชายสูงวัยก็กุลีกุจอรีบเปิดประตูให้โดยดี คะน้าหันมายิ้มให้อีกครั้งแล้วโบกมือลา เป็นอีกครั้งที่ทิมทำอะไรแปลกๆ โดยที่เขาไม่รู้ตัว เขายกมือขึ้นโบกให้คะน้า ...โบกไกวทั้งที่รอยยิ้มยังเปื้อนเต็มหน้า ถือว่าเป็นภาพที่แปลกมากสำหรับคนที่เห็นหน้ากันมาหลายเดือนสำหรับลุงยาม ...แปลก ...แต่น่ามอง จนชายสูงวัยอดไม่ได้ที่จะยิ้มตาม
ทิมเดินขึ้นมาบนส่วนก่อสร้างที่เหล่าช่างไปรวมตัวกันอีกครั้ง ได้ยินเสียงหัวหน้าช่างตะโกนโหวกเหวกมาแต่ไกล “นายช่างงงงงง... นายช่างมาแล้วววว... ดีจัง พวกเรานึกว่านายจะโดนผีจับหักคอกินไปแล้ว นายไม่เป็นอะไรใช่ไหมครับ”
“นายหายไปเป็นชั่วโมงเลย พวกเรากลัวมากเลยครับ ทุกคนไม่กล้าไปไหนเลย” เหล่าช่างทั้งหลายค่อยๆ ตามออกมาสบทบอย่างหวาดๆ
“ใช่ๆ พวกเราได้ยินเสียงแปลกๆ ด้วย เหมือนกับคนกรีดร้องอะไรสักอย่าง เดี๋ยวก็มีเสียงคนร้องโอ้ยๆ อะไรไม่รู้ อีกประเดี๋ยวมีเสียงกระแทกลูกกรงเป็นจังหวะด้วย น่ากลัวมากเลยครับ” ถึงตอนนี้ เล่นซะคนวางแผนแบบเขาก็ไม่รู้จะพูดอะไร ได้แต่ยืนอึ้งอึ้งถึงต้นเหตุหรือที่มีที่ไปของสิ่งที่เหล่าคนงานทั้งหลายพูดถึง
ตอบว่าอะไรดีล่ะกู?“เอ่อ... คือ...”
“พวกผมเห็น มันใส่ชุดขาวๆ นั่งห้อยขาอยู่บนรั้วแล้วมองมาทางพวกผม จ้องผมตาเขม็งเลย โหดมาก มันกวักมือเรียกด้วย นายช่าง...ผมเผลอฉี่แตกรดกางเกงเลย”
“ผมเห็นมันยืนอยู่ใต้ต้นไม้ เป็นผู้ชายใส่ชุดขาวๆ ตัวมันก็ขาวๆ มันยิ้มแล้วกวักมือให้ เรียกให้ผมเข้าไปหามันด้วย นี่คิดแล้วยังขนลุกไม่หายเลย”
ทิมกวาดสายตามองเหล่าคนงานหลายสิบคนที่จ้องเขาเหมือนจะค้นหาคำตอบในสิ่งที่ตนหวาดกลัว ทิมหลับตาลงแล้วทำสมาธิ ถอนหายใจแบบคิดหนักแล้วลืมตาขึ้น ร้อนวาบๆ ที่บนหน้า แต่ก็ช่างมัน
“มาถึงขนาดนี้ ผมคงปิดบังทุกคนไม่ได้แล้ว!” ในที่สุดทิมก็เลือกที่จะตอบในที่สุด เพียงแต่เขาเองก็ไม่รู้ว่าสิ่งที่ตัวเองจะทำลงไปนับจากนี้นั้นจะดีหรือไม่ดีมากไปกว่ากัน
“เมื่อกี้ผมได้เจอมันแล้ว แบบระยะประชิดเลย มันเป็นผู้ชายนี่แหละ ตัวประมาณผมได้ ผิวขาวมากกกก... เอ้ย! ซีดมากน่ะ แต่ก็เนียนนะ ตัวหอมแล้วก็นิ่มสุดๆ เอ่อ... ไม่ใช่สิ ช่างมันๆ คือมันโผเข้ามาหาเหมือนจะกระชากวิญญาณผมให้ไปอยู่กับมันเลย ผมออกแรงกับมันไปเยอะมาก มันร้ายมากเลย! เล่นเอาผมขาสั่นแทบยืนไม่ไหวแน่ะ!! ก็เลยต้องซ้ำไปอีกที คราวนี้เหมือนวิญญาณจะหลุดจากร่างจริงๆ แต่เพื่อทุกคน งานนี้ตายเป็นตาย มีเท่าไหร่ ผมจัดเต็มใส่ไปหมดตัวเลย!!!” ทิมก้มหน้างุด รู้สึกร้อนวาบแปลกๆ บนหน้า
ก็... มันเรื่องจริงนี่ ไม่ได้โกหกนี่หว่า“เอ่อ... พอรู้ตัวอีกที ...มันก็จากผมไปแล้ว!” ทิมกระพริบตาปริบๆ หลบสายตาเหล่าคนงานแต่ละคนที่แทบจะถลนตาออกจากเบ้า หลบไปด้านซ้ายก็ต้องย้ายไปด้านขวา มองไปข้างหน้าก็เห็นหัวหน้าคนงานที่ยืนอ้าปากหวอ ลงท้ายทิมก็เลยเดินหันหลังกลับลงไปข้างล่างเอาเสียดื้อๆ ไม่รู้จะพูดอะไรไปมากกว่านั้น ได้แต่เงียบๆ แล้วฟังเสียงเหล่าคนงานซุบซิบตามหลังมาไม่ขาดห้วง
“โห กูว่าแล้วไง นายช่างแกมีของ!!! แต่ไอ้ผีตนนี้นี่มันน่ากลัวจริงๆ นะมึง ไงล่ะ กูบอกพวกมึงแล้วววว... ไม่ได้นายนะ พวกมึงตาย มึงต้องขอบคุณไว้มากๆ นะโว้ย”
บ่ายแก่ๆ ของวันรุ่งขึ้น ช่วงเวลาที่แดดกำลังร้อนอบอ้าวเหมือนใครเอาน้ำมันมาราดพื้นแล้วจุดไฟเผา เสียงของคะน้าก็ดังมาแต่ไกลจนทำให้วิศวกรหนุ่มเงยหน้าขึ้นมอง
“นี่ทิม เรื่องใหญ่แล้ว รู้หรือเปล่าว่าคนทั้งตลาดซุบซิบกันใหญ่เลย” วิ่งหอบจนตัวโยนมาพร้อมกับข้าวของพะรุงพะรังเต็มมือจนทิมหยุดความสนใจกับข้าวของหน้าตาแปลกๆ พวกนั้นมากกว่ารอยยิ้มของคนที่หิ้วมา
“หืมมม?”
มาถึงก็เอาวางข้าวของบางส่วนลงกับพื้นแล้วยกมือขึ้นพนม สวดมนต์ท่องอาขยานอะไรสักอย่างงุบงิบ เบาและเร็วจนทิมฟังไม่รู้เรื่อง “นี่พระของหลวงพ่อที่วัดนะ เอาห้อยคอไว้ แล้วนี่ก็น้ำมนต์”
“เอามาทำอะไร” มองคนตรงหน้าแบบงงๆ ทิมไม่เข้าใจกับสองสิ่งที่คะน้ายื่นมาให้จนทำอะไรไม่ถูก
“ผมไม่อยากพูดถึงเลย เขาถือกัน” คะน้าตอบกลับด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียด “ไว้กำจัดพวกภูติผีปีศาจน่ะ เรื่องแบบนี้ ไม่เชื่ออย่าลบหลู่นะ ติดตัวไว้”
“เอ่อ... แล้วคือยังไง ผมทำไม่เป็น” ลึกๆ แล้วทิมก็ยังแปลกใจกับท่าทางแปลกๆ ของคะน้า แต่จะว่าไปสีหน้าตื่นๆ นั่น ก็ดูน่ารักไปอีกแบบนะ
...เฮ้อออ อาการกำเริบอีกแล้วสินะคะน้ารีบเอาสร้อยพระแขวนลงบนคอทิมทันที ชายหนุ่มมองอย่างงงๆ แล้วก็ยกมือขื้นพนมไหว้ด้วยไม่รู้ว่าควรทำอะไรแล้วหันกลับมามองคนตรงหน้าต่อ คนหน้าตื่นยกขวดน้ำขึ้นในมือแล้วพนมมืออีกครั้ง ขมุบขมิบปากเท่าที่ทิมพอจะอ่านริมฝีปากได้ก็ประมาณ นะโม พุทโธ ธัมโม สังโฆอะไรแนวๆ นี้ ก่อนจะพร่าเลือนไปด้วยความรู้สึกว่าริมฝีปากนั้นอิ่มเรื่อจนอยากจะจูบขึ้นมาเอาดื้อๆ อีกครั้ง จนต้องสะบัดหัวไล่ความคิดอกุศลออกไป คะน้ายื่นขวดน้ำให้ทิมแล้วบอกว่าให้ดื่ม ร่างสูงเปิดฝาขวดออกแล้วจิบนิดๆ กลิ่นเทียนลอยขึ้นมาในจมูก ทิมย่นจมูกเล็กน้อยแล้วหันมายิ้มเฝื่อนๆ ให้คะน้า
คือว่า...มันอะไรของเขาหว่า?“เขาบอกว่าที่ไซด์งานนี่น่ะ ตรงด้านหลังโครงการมันจะมีปีศาจหน้าตาน่ากลัวโผล่ตัวออกมาช่วงคืนวันวาเลนไทน์ เขาบอกด้วยนะว่ามันเฮี้ยนมาก มีสี่ปีก มีตาสีแดงแบบสีเลือด แล้วเขี้ยวแหลมมากเลยนะ แล้วที่นี่นะเป็นจุดรวมวิญญาณเลยล่ะ ส่งเสียงโหยหวนกันน่าดูเลย ดึกๆ อย่าไปแถวๆ นั้นรู้ไหม” ทิมพยักหน้าหงึกๆ ถึงจะไม่เข้าใจอะไรแบบร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ก็ไม่น่าจะผิดไปจากที่เขาคิดนัก เหมือนว่าข่าวลือประหลาดที่เขากุขึ้นเมื่อคืนจะกระจายไปไกลและไวมาก ...ที่สำคัญเนื้อความก็ไปไกลจนกู่ไม่กลับทีเดียว
คะน้ายังคงหอบด้วยอาการเหนื่อยจากการวิ่งมาไกล ทิมพอจะนึกออกว่าคงจะไปวัดวาต่างๆ ที่คนในตลาดบอกว่าศักดิ์สิทธิ์เป็นแน่ เจ้าถิ่นจึงพาผู้มาเยือนไปหลบใตร่มเงาไม้สักหน่อย อย่างน้อยก็ใบไม้พวกนี้ก็กรองความร้อนให้ได้ระดับหนึ่ง สักพักจนคะน้าเริ่มหอบน้อยลง ริมฝีปากสีสดก็เจื้อยแจ้วต่ออย่างลืมเหน็ดเหนื่อย
“จริงสิ วันนี้วันวาเลนไทน์แต่ผมมัวแต่ไปที่วัด นี่ไม่ได้ไปหาซื้อช็อคโกแลตเลย มีแต่ไอ้นี่ล่ะ จะพอแทนกันจะได้ไหมนะ” แค่เห็นก็รู้ทันทีว่าคืออะไร ทิมยิ้มให้คะน้า รับกระติกมาแล้วเปิดออกดู ด้านในเป็นไอศกรีมกะทิ เอาเข้าจริงเขาควรจะไม่ชอบเท่าไหร่เพราะมันหวาน แล้วเขาก็ขยาดรสหวานๆ เสียด้วย หากแต่สิ่งที่อยู่ในกระติกนี้ถือเป็นข้อยกเว้นสำหรับทิม ...เขายินดีทานมันด้วยความเต็มใจ และมันก็อร่อยกว่าขนมประเภทไหนๆ ที่เขาเคยทานมา
“ได้สิ”
ทิมยิ้มอย่างอารมณืดี เขาหยิบช้อนจากมือของคะน้า ตักเกล็ดน้ำแข็งรสหวานขึ้นมาคำโต แทนที่จะส่งเข้าปากตัวเอง ทิมกลับป้อนให้คนที่แบกมาทานก่อน คะน้าชะงักไปพร้อมกับสีหน้างง สักพักก็ยิ้มเขิน อ้าปากแล้วยื่นหน้ามาทาน ทิมตักไอศกรีมขึ้นต่อ คราวนี้เป็นเขาที่ทานเอง รู้สึกว่ามันทั้งหวานทั้งชื่นใจอย่างบอกไม่ถูกเมื่อแกล้มกับรอยยิ้มแป้นที่ของคนที่ยืนอยู่ข้างๆ ตัวเขา
“ดอกกุหลาบก็ไม่มี ตอนเช้ารีบไปวัดจนไม่ได้เข้าไปดูที่แผงดอกไม้เลย แต่... คือผมก็อยากให้ทิมนะ” ทำหน้าเขินๆ แล้วยื่นดอกบัวตูมสีขาวที่เริ่มงุ้มงอจากไอร้อนของแดดแล้วส่งให้ “ไม่มีตังค์ซื้อดอกกุหลาบสวยๆ ขอแบบนี้แทนกันสักปีนะ ติดไว้ก่อน”
“ได้สิ”
ทิมเอื้อมมือไปรับมาถือไว้ เขาอมยิ้มแล้วมองดอกไม้สีขาวอมเขียวที่ปกติมักจะเห็นที่บนหิ้งพระ ศาลพระภูมิต่างๆ หรือไม่ก็ที่วัด ดอกไม้ที่เป็นสัญลักษณ์ของความบริสุทธิ์ ...เหมาะกับคะน้าดี เหลือบไปมองคนที่ยื่นให้ก็เห็นยิ้มกริ่ม เหงื่อกาฬผุดขึ้นเต็มหน้า รอยยิ้มนั้นเหมือนคนที่ไม่รู้จักความร้อนเอาเสียเลย ซ้ำยังมีเรี่ยวแรงมากมายพูดได้จนเขาฟังไม่เบื่อจริงๆ
“แต่ว่าไปแล้วก็โชคดีจังที่เมื่อคืนเราไม่ได้เจออะไร และที่สำคัญ...”
เหนื่อยไหมครับ?ทิมยกมือขึ้นเช็ดเม็ดเหงื่อไรผมที่ขมับของคะน้า “พูดต่อสิครับ ...รอฟังอยู่” คะน้าชะงักแล้วพูดตะกุกตะกัก
“เอ่อ... ครับ คือที่สำคัญ... นายก็ไม่ได้เป็นอะไรด้วย มันน่ากลัวมาก” คะน้าหันมามองหน้าเขาด้วยสีหน้าไม่สู้ดี
“ผีวันวาเลนไทน์เหรอ” ทิมทอดสายตามองแววตาคู่นั้นด้วยความรู้สึกที่อ่อนโยน
“ใช่ๆ ผีวันวาเลนไทน์ น่ากลัวมาก” คะน้าพยักหน้ารัว แล้วทำท่าขนลุกขนพอง
พี่ไม่รู้หรือครับ เจ้าผีโหดร้ายที่เขาลือกันนี่น่ะ...ทิมจับสร้อยพระที่แขวนอยู่บนคอตัวเอง มืออีกข้างก็หมุนดอกบัวตูมสีขาวเล่น ไอศกรีมในปากค่อยๆ ละลายความหวานช้าๆ ดับไอร้อนรอบๆ ตัวจนเย็นชื่นใจ คนไม่กลัวผีมองคนข้างๆ ด้วยรอยยิ้ม ...ยิ้มแบบที่ในชีวิตนี้ เขาไม่เคยคิดจะยิ้มให้กับใคร
วันแห่งความรักที่พี่มีของให้กับผมมากมาย แต่ผมในตอนนี้กลับไม่มีอะไรให้พี่เลย
ผมมีแค่ความรู้สึก ไม่มีอะไรที่จับต้องได้ ไม่มีอะไรที่ทำให้พี่ยิ้มมีความสุขแบบคนอื่นเขา
แต่ความรู้สึกที่ผมมีนี้ ผมไม่เคยคิดว่าตัวเองจะรู้สึกได้กับใคร
...ผมมีแค่นี้ ...และพร้อมจะให้ทั้งหมดที่ผมมี
พี่ครับ สุขสันต์วันแห่งความรักครับ
You are and you’ll always be...
...My only Valentine++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
อ่านคะน้ามาเยอะแล้ว คราวนี้เลยกลับมาให้เป็นทิมเป็นคนเล่าเรื่องบ้าง จะได้ดูต่างจากตอนปกติเนอะ
ผลสรุปก็เลยออกมาว่าเราได้เห็นผีที่น่ากลัวมากกก พิมพ์ไปมือไม้สั่นไปหมด 555555555555
เอาเป็นว่าอ่านกันสนุกๆ รับเทศกาลแห่งความสุขวันพรุ่งนี้ก็แล้วกันนะครับ
สุดท้ายนี้ ขอเลียนแบบคำพูดของทิมเป็นการส่งท้ายแล้วกันครับ
สุขสันต์วันแห่งความรักครับ