สวัสดีวันศุกร์ครับ ขอบคุณเพื่อนๆ ทุกคนที่แวะมาทักทายกันนะครับ +1 ทุกคนเลยนะ
ต่อจากตอนที่แล้วเลยนะครับ ตอนต่อไปที่จะได้อ่านนี่เป็นตอนที่สาระหนักหน่อย เอาจริงเอาจังกันมาก
ให้ความรู้สึกออกแนวสืบสวนสอบสวนเล็กๆ คือจะเอามันให้ครบทุกรสในนิยายเรื่องเดียวให้ได้ 5555
หลังจากที่ตลาดไฟไหม้ และตุลก็กลับมาแล้ว อะไรจะเกิดขึ้นต่อไป อ่านได้จากตอนที่ 32 โลดดดด
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ตอนที่ 32ผมตื่นขึ้นพร้อมกับความอ่อนล้าและปวดแสบ หน้าแข้งข้างซ้ายหนักชา กลิ่นยาฉุนๆ พวกนี้ทำให้รู้สึกมึนหัว พอๆ กับเครื่องปรับอากาศที่ครางหึ่ง เป็นเวลาหลายนาทีกว่าที่จะปรับสายตาตัวเองให้ชินกับเพดานสีขาวที่กดห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆ ให้ดูอุดอู้และทึบแคบ สิ่งต่อมาที่เห็นก็คือสายน้ำเกลือโยงระยางจนเกะกะ ผมพยายามกระพริบตา ปรับสติที่เลือนพร่าให้แจ่มชัดขึ้น และในพริบตานั้น ความรู้สึกที่จู่โจมทันทีก็คือความเจ็บปวดที่ปะทะเข้าข้างแก้มพร้อมกับกำปั้นของหญิงสาวที่อัดเข้าเต็มรักจนเจ็บชาไปทั้งหน้า
“ทำไมไม่รู้จักห่วงตัวเองบ้าง!!!”เสียงของผักกาดดังก้องไปทั่วทั้งห้อง พอๆ กับเสียงร้องหลงของพยาบาลสาวด้วยความตกใจ คะน้าอยากจะยกมือขึ้นจับแก้มตัวเองด้วยความเจ็บที่ถาโถม หากแต่แขนทั้งสองข้างก็ถูกตรึงด้วยสายสารพัดจนขยับไม่ไหว แล้วนาทีถัดมาร่างของคนที่เหวี่ยงหมัดลงเมื่อครู่ก็โผเข้ากอดจนแน่นพร้อมกับร่างที่ไหวสะเทิ้น เพียงคู่เดียว ชายหนุ่มก็รับรู้ถึงความเปียกชื้นบนบ่าของตัวเอง สองมือของคะน้าจึงค่อยๆ ขยับขึ้นแล้วโอบร่างเล็กๆ บนตัวเองหลวมๆ ไม่มีถ้อยคำสื่อสารใดๆ ไปมากกว่าดวงตาทั้งสองข้างที่รู้สึกถึงความชื้นที่เอ่อคลอ
“โทษทีนะเจ้ ผมมันดันโง่ เลยถนัดใช้แต่แรงมากกว่า” ว่าแล้วก็หัวเราะร่วนทั้งน้ำตาที่คลอหน่วย คะน้าพยายามพูดติดตลก ไม่อยากจะสร้างฉากดราม่าเพิ่มอีกแล้วกับอะไรๆ ที่เกิดขึ้น ผักกาดดันตัวเองขึ้นแล้วฟาดมะเหงกลงกลางกระหม่อมจนน้องชายร้องเสียงโอดโอยด้วยความเจ็บ
“แกมันโง่” หญิงสาวมุ่ยหน้าที่ยังเปื้อนน้ำตา แล้วทอดมองน้องชายที่เต็มไปด้วยสารพันผ้าพันแผลและสายโยงไปทั่วทั้งตัว
“แต่เจ้ภูมิใจในความโง่ของแกนะ คะน้า”ชายหนุ่มที่รับฟังยิ้มให้กับพี่สาวด้วยสีหน้าที่แช่มชื่นขึ้น “เจ้เป็นยังไงบ้าง?”
“ก็ได้อยู่ แต่เราสิหลับไปหนึ่งวันเต็มๆ เลย”
หนึ่งวันเต็มๆ อย่างนั้นหรือ ถ้าอย่างนั้นทุกอย่างจะเป็นอย่างไรบ้าง ทุกๆ คนที่นั่น รวมถึงตลาดที่ไฟไหม้ คืนนั้นภาพที่จำได้ก่อนที่จะหลับไปก็คือกลุ่มควันตรงหน้าที่เริ่มเบาบางลงเหลือแค่เพียงความร้อนระอุจากการเผาไหม้ และซากปรักหักพังที่ประเมินด้วยสายตาไม่ได้ว่าสภาพหลังจากนั้นจะเป็นอย่างไร
“แล้วทุกคนปลอดภัยไหม ไม่มีใครเป็นอะไรใช่ไหมเจ้” แม้กระทั่งในเวลาแบบนี้ ชายหนุ่มก็ยังจะมีกระใจเป็นห่วงคนรอบข้างมากกว่าตนเอง ผักกาดยิ้มแล้วพยักหน้า น้ำหนักที่กดในใจของชายหนุ่มจึงรู้สึกเบาลงอีกนิด “แล้วที่ตลาด ...เป็นอย่างไรบ้าง” คะน้าถามด้วยความรู้สึกที่หวั่นใจ ความกังวลที่ฉายชัดบนใบหน้าทำให้ผักกาดแจงความเป็นไปหลังจากที่น้องชายหลับไหลไปกว่ายี่สิบสี่ชั่วโมงเต็ม
“ค่อนข้างเสียหายเยอะ ต้องปิดตลาดเป็นเวลาอีกสักพัก อย่างน้อยก็เพื่อให้ทางตำรวจกับบริษัทประกันสรุปมูลเหตุต่างๆ ทำอะไรไม่ได้แม้แต่ซ่อมแซม”
“แล้วคนที่ตลาดล่ะเจ้ ทุกคนจะทำอะไรกินกัน มันจะต้องรออีกนานแค่ไหน” ความรู้สึกในใจของชายหนุ่มเริ่มพล่าน ในสายตาคนภายนอกอาจจะมองว่าเป็นเรื่องเล็ก แต่คนที่คลุกคลีอยู่กับตลาดจะรู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องที่เล็กแบบที่จินตนาการไว้เลย เมื่อแต่ละวันที่ผ่านไปล้วนหมายถึงรายได้ที่แปรเป็นศูนย์ การไหวหน้านิดๆ ของหญิงสาวทดแทนคำตอบที่ไม่น่าฟังได้เป็นอย่างดี คะน้าได้แต่ถอนหายใจแล้วมองเพดานนิ่ง สักพักก็เปลี่ยนเรื่องพูด
“ผมมาที่นี่ได้ยังไง”
“ตุลพามาพร้อมกับรถพยาบาลน่ะ เป็นหมอเจ้าของไข้แกด้วยต่าย อีกเดี๋ยวก็คงมาตรวจล่ะ” คำตอบของผักกาดทำให้คะน้ารู้สึกชะงัก ...ในคืนนั้นอีกภาพที่ยังจดจำได้ติดตาก็คือตุลที่มีสภาพยับเยินไม่ต่างกัน ปากพะงาบเหมือนคนที่ขาดอากาศหายใจอยู่ข้างๆ กัน
“แล้ววันนั้นเขาโผล่ไปได้ยังไง”
“ก็ไม่รู้เหมือนกัน พอเห็นแกกระโดดเข้าไปในไฟแบบนั้น อยู่ๆ ก็วิ่งตามเข้าไป ใครจะห้ามก็ไม่ฟัง คนดึงไว้ตั้งหลายคน แต่แรงเยอะมาก ยื้อไว้ได้ไม่นานก็สะบัดแล้วก็กระโจนตามกันไปนั่นล่ะ”
คำตอบของผักกาดทำให้ชายหนุ่มนิ่งเงียบ ทั้งๆ ที่ข่าวลือที่ได้รับมาตลอดเวลาคือตุลยังคงทำวิจัยอยู่ ซ้ำร้ายไปกว่านั้นก็คือข่าวที่บอกว่าอาจจะเลือนระยะเวลาการวิจัยออกไป แม้แต่อาจจะไม่กลับมาที่ไทยอีกนานก็ได้ แน่นอนว่ายังไม่นับรวมกลับการย้ายข้าวของออกจากคอนโดกลับไปที่บ้านซึ่งเป็นการย้ำให้ข่าวนั้นน่าเชื่อถือขึ้นไปอีก ...แต่บทจะโผล่มา ชายหนุ่มก็โผล่มาแบบไม่ทันรู้เนื้อรู้ตัว แถมยังโผล่ในเวลาที่พอดิบพอดีเหมือนกับว่าเป็นคนที่อยู่ใกล้และรู้ความเคลื่อนไหวตลอดเวลา ยังมีคำถามมากมายอยู่ในใจของคะน้าในตอนนี้ หากแต่เมื่อเกิดเรื่องวุ่นๆ ขึ้น อะไรๆ ก็ดูจะลดความสำคัญลงไปหมดเมื่อเทียบกับเรื่องที่ตลาด
“เจ้... ทิมล่ะ” คำถามต่อมาของน้องชายทำเอาผักกาดทำหน้าหมั่นไส้
“ห่างกันบ้างไม่ได้เลยใช่ไหม ฝ่าไฟไม่ตายแต่จะมาขาดใจตายตอนไม่เห็นกันหรือไง” ผักกาดส่งเสียงเสียดสีน้องชาย “เมื่อวานนี้มาเฝ้าแกทั้งวันทั้งคืน ถ้าไม่รู้จักกันมาก่อน คงนึกว่าเป็นหมาที่น้องเจ้เลี้ยงไว้นะเนี่ย”
“บ้าสิ... ก็พูดไปนั่น” แม้จะพูดแบบนั้นแต่ในใจคะน้ากลับรู้สึกดีขึ้นมาอย่างประหลาด ยิ่งรู้ว่าใส่ใจดูแลกัน ยิ่งรู้สึกมีแรงขึ้นมาเสียเฉยๆ
“หน้าอย่างกับหมาหงอย เพิ่งจะเคยเห็นคนไม่เจ็บดูหมดสภาพกว่าคนเจ็บก็ตอนนี้ล่ะ” คำพูดประชดประชันของพี่สาวเรียกรอยยิ้มขึ้นมาได้ในเวลาหน้าสิ่วหน้าขวาน และถ้าความรู้สึกของตัวเองไม่ผิดแผกจนเพี้ยน คะน้ารู้สึกว่าตัวเองกำลังเขินเล็กๆ ด้วยซ้ำ
“เจ้ๆ แล้วตำรวจเขาว่าไงบ้าง”
“ดูเหมือนจะยุ่งยากกว่าที่คิดนะ เดี๋ยวบ่ายนี้ก็คงมาอีก ไม่รู้จะมีความคืบหน้าอะไรขึ้นมาบ้าง ...น้ำสักหน่อยไหม” ผักกาดรินน้ำใส่แล้วแล้วเตรียมปักหลอด หากแต่น้องชายกลับส่ายหน้า น้ำเกลือทำให้เขารู้สึกอยากจะลุกขึ้นไปเข้าห้องน้ำเสียด้วยซ้ำ
“ผมขอดูหนังสือพิมพ์ได้ไหม” ผักกาดทำหน้าชั่งใจ สักพักก็เดินกลับไปที่โต๊ะเล็กๆ ในห้องที่อยู่ห่างจากเตียงออกไปเล็กน้อยแล้วหยิบสิ่งที่ชายหนุ่มเรียกหากลับมาส่งให้
พาดหัวข่าวตัวหนาทำให้ใจของคะน้าตกไปอยู่แทบเท้า ยิ่งภาพที่เต็มไปด้วยสีแดงที่ชั่วร้ายนั้นยิ่งทำให้เขาหวนนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ในวันก่อน คะน้าก็ตอบตัวเองไม่ได้ว่าทำไมเขาถึงบ้าบิ่นได้มากมายขนาดนั้น คงเพราะแบบนี้หรือเปล่าที่หลายคนบอกว่าเวลาที่เราตกใจกับอะไรมากๆ สักอย่าง ความหวาดกลัวที่จะสูญเสียในสิ่งที่เรารักจะผลักให้สัญชาตญาณบางอย่างดึงเอาพลังที่ซ่อนอยู่ในตัวมนุษย์เราออกมา
เนื้อหาข่าวระบุถึงตัวเลขของความเสียหายที่ประเมินเป็นหลักหลายล้านบาท และบทสัมภาษณ์เล็กน้อยของเจ้าหน้าที่ตำรวจถึงความน่าจะเป็นของมูลเหตุ แน่นอนว่าไม่มีอะไรชัดเจนในเนื้อหาข่าวนั้นนอกจากความสูญเสียและคราบน้ำตา คะน้าพับกระดาษที่เต็มไปด้วยหลักฐานแห่งความสิ้นหวังนั้นแล้ววางนิ่งๆ ข้างตัว เขาไม่รู้จะพูดอะไร ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรต่อ ในหัวสมองเต็มไปด้วยควันสีเทาที่ขมุกขมัวจนมองไม่เห็นทางออก
“ต่าย... บางทีเราอาจจะต้องขายมันก็ได้”
เสียงเรียบๆ ของผักกาดที่เลี่ยงจะพูดตรงๆ ให้บาดใจกันนั้นเขาเข้าใจดี ผักกาดหมายถึงตลาดแห่งนี้ และเขาก็เชื่อว่ากว่าที่ผู้เป็นพี่สาวจะเอ่ยประโยคนั้นออกมาคงผ่านกระบวนการคิดขึ้นมาไม่ใช่น้อย สีหน้าที่เซียวเหมือนกับคนที่นอนไม่หลับ หรือแม้แต่ดวงตาหรือรอยยิ้มที่ดูแห้งผากนั้นเป็นตัวบ่งชี้ได้ดี
“อาจจะมีวิธีอื่นหรือเปล่าเจ้ ค่อยๆ คิดกันไป คนที่เขาอยู่กับเราเขาจะเอาอะไรกิน เราทิ้งเขาแบบนี้ไม่ได้หรอก เขาก็เหมือนคนในครอบครัวเรานะเจ้ ผมขายที่นี่ไม่ได้” ชายหนุ่มไม่ยอมรับ เขาจะลองพยายามดู คงต้องมีวิธีไหนสักวิธี ซึ่งเป็นทางออกที่เหมาะสมกับทุกฝ่าย
“บริษัทพัฒนาอสังหาฯ ที่ติดต่อเรามาให้ข้อเสนอที่น่าสนใจ ไม่ใช่แค่เรื่องของเงิน เขาจะสร้างคอมเพล็กซ์ขนาดใหญ่ แล้วใช้พื้นที่ของด้านล่างทั้งหมดทำเป็นตลาดแนวใหม่ พ่อค้าแม่ค้าที่อยู่กับเรา สามารถเข้าทำการค้าขายได้ และถ้าเราตกลง ทันทีที่เรื่องราวจากทางบริษัทประกันและเจ้าหน้าที่ตำรวจแล้วเสร็จ เขาจะสร้างพื้นที่ชั่วคราวให้พ่อค้าแม่ค้าเข้าค้าขายได้ทันทีภายใน 15 วัน” นับว่าข้อเสนอที่ผักกาดพูดขึ้นมานั้นมีน้ำหนักและตรงใจจนเกินจะคาดคิด แต่อย่างไรก็ตาม เขาก็ไม่อยากให้ตลาดซึ่งเต็มไปด้วยความทรงจำมากมายของป๊ากับแม่ต้องเปลี่ยนไปเป็นอื่น ...ยังไงก็ยอมรับไม่ได้
“เจ้... ผมขออะไรได้ไหม เราพอจะใช้เงินที่เรามีซ่อมแซมมันได้ไหม” คะน้าพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่พยายามกดให้นิ่งสนิทอย่างเต็มที่ ทั้งๆ ที่ลึกๆ ในใจเขานั้น ทำใจกับเรื่องราวต่างๆ พวกนี้ไม่ได้เลย
“เราไม่มีเงินมากมายขนาดนั้น และต่อให้ได้รับเงินชดเชยจากบริษัทประกันแล้วก็ยังเทียบกับมูลค่าความเสียหายไม่ได้เลย ค่าใช้จ่ายต่างๆ มัน...” เสียงเล็กๆ ของผักกาดขาดห้วง หญิงสาวมีสีหน้าที่หนักใจ
“...เราทำอะไรไม่ได้จริงๆ ใช่ว่าเจ้อยากจะยอมรับข้อเสนอ หรือว่าอยากจะขายปล่อยออก เราสองคนมีความรู้สึกไม่ต่างกัน เจ้ก็รักที่นี่ไม่ต่างกับต่าย เราสองคนโตมาที่นี่ ...ที่นี่เป็นที่ที่ป๋ากับแม่รักกัน ที่นี่เป็นความฝันของเราทุกคน”
“แต่เราอยู่ในโลกของความจริง ทางเลือกเรามีแค่ปล่อยให้มันเสื่อมโทรมอยู่แบบนั้น หรือขายมันเพื่อให้คนอื่นๆ ทำมาหากินต่อไปได้ เราไม่ได้ถูกบีบจากใคร แต่เหตุและผลบนพื้นฐานความเป็นจริงทำให้เราต้องยอมรับข้อเสนอแล้วพิจารณาดู” เหตุผลของผักกาดแรงและตรงจนเกิดกว่าจะรับได้ง่ายๆ แต่ถึงแบบนั้นคะน้าก็ไม่รู้ว่ามีมีจุดไหนที่เขาจะแย้งความคิดนั้นได้สักทาง
“...เราไม่มีอะไรสักอย่าง แต่เขามีพร้อมทุกอย่าง กำลังคน กำลังเงิน เจ้อยากต่ายลองคิดดู จริงๆ แล้วเราในตอนนี้ ไม่ได้มีทางเลือกเลย”
ความเป็นจริงที่ตีเป็นเส้นขนานกับความฝันทำให้เขาจำนน หากเป็นอย่างนั้นจริงๆ ดูเหมือนว่าทางเลือกสำหรับเขาแล้วมีไม่มากเลย แต่ถึงอย่างนั้น คะน้าก็ไม่อยากถอดใจ ความผูกพัน ความรัก ทำให้เขาทำใจกับมันไม่ได้
“แล้วการแสดงที่ทุกๆ ตั้งใจทำเพื่อตลาดของเราล่ะ”
“จะไม่มีการแสดงพวกนั้นอีกแล้ว” ผักกาดตอบเสียงเรียบๆ หญิงสาวคว้าหนังสือพิมพ์ที่พับวางอยู่ข้างๆ มือเขาแล้วเดินกลับไปคืนบนโต๊ะ ความเงียบงันดำดิ่งไปถึงทุกอณูความรู้สึก คะน้าได้แต่ปล่อยให้ความสงบนั้นเป็นยาสมานความเจ็บปวดกับความเป็นจริงที่ยากจะรับไหว
“เจ้... เรามีเวลาถึงเมื่อไหร่” คะน้าถามด้วยเสียงแผ่ว
“อีกห้าวัน เขาอยากคุยกับเรา”
“ผมจะไปคุย”
เสียงตอบนั้นดูราวกับคนที่ไม่มีชีวิต แม้ร่างกายจะแน่นิ่ง แต่ภายในใจนั้นตรงกันข้าม ทุกอย่างดูรวดเร็ว วุ่นวาย สับสน ยิ่งคิดก็ยิ่งไม่เจอคำตอบ ไม่นานนัก ความเพลียจากพิษไข้และเรื่องหนักอึ้งต่างๆ หรือบางทีอาจเป็นเพราะฤทธิ์ยาสารพัดที่ให้ผ่านทางสายน้ำเกลือนั้นทำให้คะน้ารู้สึกอ่อนแรง และไม่ช้าชายหนุ่มก็เข้าสู่นิทรารมย์โดยไม่รู้ตัว
คะน้าตื่นขึ้นอีกครั้งก็พบกับร่างสูงที่ขดตัวฟุบอยู่ข้างเตียง ท่อนแขนที่ต่างหมอนหนุนล้อมกรอบใบหน้าที่เหนื่อยจนดูเหมือนเด็กหลงทางนั้นให้ชวนมองยิ่งขึ้น กลิ่นกาแฟจางๆ ลอยอยู่ในอากาศ คะน้ามองใบหน้าที่นิ่งสงบของทิมแล้วปล่อยให้เวลาผ่านไป ไม่รู้ว่าเข็มนาฬิกาบอกเวลาเท่าไร ร่างสูงที่เหนื่อยอ่อนก็ฟื้นขึ้นมาพร้อมกับหน้ากากแห่งความเงียบขรึม ดูเหมือนว่าทิมเพิ่งจะรู้ตัวว่าผล็อยหลับไปคาเก้าอี้ที่ถูกลากมาวางข้างๆ เตียง
“ยังเจ็บมากไหม” ทิมที่ยังคงงัยเงียจากการนอนเมื่อครู่ เอ่ยถามเสียงเบา
“พอไหว ไม่ค่อยแล้ว”
“งั้นย้ายโรงพยาบาล” ทิมพูดเอาง่ายๆ แล้วก็คว้าโทรศัพท์ข้างหัวเตียงขึ้นมาแล้วตั้งท่ากดต่อสาย เล่นเอาคะน้าส่งเสียงปรามไม่ทัน
“จะย้ายทำไม นี่ก็ดีแล้ว”
“หมอมันห่วย ไม่ได้เรื่อง” น้ำเสียงที่ดูหงิดหงิดของทิมนั้นเทียบไม่ได้เลยกับใบหน้าของเจ้าตัวในเวลานี้ ว่าแล้วชายหนุ่มก็ลุกขึ้นยืนแล้วเดินกลับไปเปิดตู้เสื้อผ้า แต่เมื่อพบกับความว่างเปล่าก็กระแทกบานประตูปิดเสียงดัง “ไปทั้งแบบนี้ล่ะ แล้วค่อยเอาชุดโรงพยาบาลมาคืนทีหลัง”
“หมอไม่อนุญาตครับ” เสียงของตุลดังขึ้นมาจากทางด้านหน้าก่อนที่เจ้าของเสียงจะก้าวฝีเท้าเข้ามาในห้อง สีหน้าของหมอหนุ่มดูเรียบเฉย และปฏิบัติราวกับในห้องพักในเวลานี้มีเพียงคะน้าเท่านั้น
“แผลของคุณยังไม่แห้งสนิทนะครับ การย้ายผู้ป่วยอาจจะทำให้เกิดการติดเชื้อ หมอจะไม่ส่งคนไข้ออกนอกจนกว่าจะอยู่ในสภาวะปลอดภัยนะครับ” ฝ่ามือกว้างอังที่หน้าผากแล้วยิ้มขึ้นน้อยๆ อย่างพึงพอใจ
“เหมือนไข้จะลดลงแล้ว แต่เดี๋ยวหมอขอวัดอุณหภูมิอีกครั้งนะครับ” ตุลหยิบปรอทวัดไข้ขึ้นมาแล้วโน้มตัวลงมาหาคะน้าที่นอนอยู่
“ใกล้ไปมั๊ง” ทิมส่งเสียงเข้ม ดวงตาจ้องเขม็งเหมือนพร้อมจะขย้ำคนตรงหน้าได้ทุกเมื่อ ตุลเพียงแค่ส่งรอยยิ้มบางๆ กลับแล้วหันมาสนใจคนตรงหน้าต่อ ...โน้มตัวลงมาอีกนิด
“คนไข้อ้าปากหน่อยนะครับ” ตุลก้มลงมองที่นาฬิกาข้อมือตนเองแล้วเดินไปหยิบแฟ้มผู้ป่วยที่ปลายเตียงขึ้นมา เปิดพิจารณาข้อมูลต่างๆ ที่บันทึกไว้ คะน้าเหลือบมองไปที่ชายหนุ่มอีกคนที่ยืนอยู่ สันกรามของทิมถูกกดแน่นจนขึ้นนูน ร่างสูงเกร็งตัวแข็งค้างราวกับกำลังขืนตัวเองต้านกระแสโทสะที่มีแต่เจ้าตัวที่รู้สึกได้ ผิดกับชายหนุ่มในชุดกาวน์ ตุลยังคงนิ่งสงบเหมือนกับผิวน้ำที่เรียบราบ ดวงตากวาดมองเอกสารก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาส่งรอยยิ้มกว้างให้
“หมออธิบายคนไข้หน่อยนะครับ สำหรับแผลที่เกิดจากสะเก็ดไฟและน้ำมัน ถือว่าโชคดีที่มาถึงไว หมอจึงดูแลได้ทันท่วงที ดังนั้นหมอรับรองว่าคนไข้จะไม่มีแผลเป็นใดๆ บนร่างกายครับ ในส่วนของช่วงหน้าแข้งที่โดนทับนั้น ผลเอ็กซเรย์กระดูกไม่พบรอยร้าวหรือแตก คงมีเพียงอาการบาดเจ็บจากข้อเท้าแพลงและอาการปวดร้อนเฉยๆ หมอให้ยาแก้ปวดและลดไข้ที่ดีที่สุดทางน้ำเกลือนะครับ ดังนั้นจะค่อนข้างมึนอยู่บ้างแต่จะหายไวขึ้นครับ” ตุลขยับเท้าเข้ามาหาแล้วเอามือลูบไปตามลำคอและใบหน้า พริบตาคะน้าก็รู้สึกถึงสายลมฉิวที่มากระทบผิวกายพร้อมกับร่างสูงของทิมที่มายืนนิ่งอยู่ข้างเตียง ดวงตาที่ดุดันแบบสัตว์ป่าจ้องไปที่แพทย์เจ้าของไข้ ตุลแค่เพียงเงยหน้าขึ้นมองผ่าน ก่อนจะดึงเอาปรอทออกจากคนป่วยที่กำลังหน้าเครียด
“เก่งมากครับ ไม่มีไข้แล้ว” คะน้ายิ้มแห้ง กลัวว่าอีกไม่นานไข้จะตีกลับเอา
“ขอบคุณครับตุล” คะน้าเอ่ยขอบคุณ ความรู้สึกถึงน้ำใจและความห่วงใยพ่วงไปด้วยกับเหตุการณ์เมื่อคืนก่อนนั้น หมอหนุ่มก้มลงสบตา สักพักรอยยิ้มก็คลี่ออก
“หมอก็แค่ทำไปตามหน้าที่น่ะครับ”
“หมดธุระแล้วใช่ไหม? คนไข้ต้องการพักผ่อนและความเป็นส่วนตัว” ทิมพูดลอยๆ หากแต่เนื้อเสียงนั้นแข็งจนดูกร้าว ตุลถอนหายใจเบาๆ ใบหน้าสงบนิ่ง รอยยิ้มที่โค้งตัวบนริมฝีปากนั้นค่อยๆ คลายตัวลง เป็นครั้งแรกที่แพทย์หนุ่มเงยหน้าขึ้นและสบตาชายหนุ่มอีกคนที่ยืนอยู่
“ถ้าคนไข้ต้องการพักผ่อนและความเป็นส่วนตัว หมอออกคำสั่งห้ามเยี่ยมให้ได้นะครับ”
“จะลองดูก็ได้นะ”
ทิมแสยะยิ้มกลับอย่างไม่เกรงกลัวจนคะน้ามีสีหน้าที่ลำบากใจ
(มีต่อข้างล่างอีกครับ)