♣ ผมไม่อยากอยู่คนเดียวบนดวงจันทร์ ♣
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ♣ ผมไม่อยากอยู่คนเดียวบนดวงจันทร์ ♣  (อ่าน 430480 ครั้ง)

ออฟไลน์ bebe

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 672
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-5
แง่สงสารทิมมม จะร้องเรยอะ

ออฟไลน์ nunamicky

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2285
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +182/-3
คู่รักทรหด
ขอให้รอดนะคะ
ทิมนี่อึดสุดยอด o13

ออฟไลน์ myd3ar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1531
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-4
ช่างทรหดกันแท้ตอนนี้

นึกว่าคนอื่นจ้างมาที่แท้ก็พ่อตัวเองจ้างมานี่เอง

ออฟไลน์ fuku

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +462/-20
โอ๊ยยยยยย ลุ้นจนม้ามบิดเป็นเลข8 แล้วนะคะ


จะรอดไปในสภาพไหนเนี่ย

ออฟไลน์ Zinub

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 255
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-0
อึดดีจริงๆ พระเอกนายเอกของเรา :m5: อย่าตายน้าาทิม

พวกเราเชียร์กันหน่อย.....((( สู้โว๊ยยย...))) :m31:

ออฟไลน์ oaw_eang

  • Global Moderator
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2122/-586
อาจไม่ค่อยสมจริงในบางส่วน

ปรพมาณว่า ระดับของคำที่ใช้ ไม่ค่อยเข้ากะสถานการณ์ของท้องเรื่อง

แต่ก็ไม่เป็นไร  เพราะของแบบนี้มันขึ้นอยู่กับประสบการณืปูมหลังของแต่ละบุคคล  จึงอาจมีระดับความตึงเครียดของเหตุการณืไม่เท่ากัน

แต่บรรยายได้สนุกนะ  ลุ้นดี


สู้ๆ

babynevercry

  • บุคคลทั่วไป
เหลือสอบอีกสองวิชา เช่นเดียวกับนิยายที่เหลืออีกสองตอน บังเอิญจริงๆ ฮ่าๆๆๆ

นี่ๆ ตอนอ่านน่ะ ลุ้นสุดๆเลย ลุ้นกว่าตอนเข้าห้องสอบอีก เดี๋ยวจะเล่าให้ฟัง หรือ อ่าน ???

สถานการณ์ โต๊ะม้าหิน หลังซุ้มคณะ

ผม : อร๊าาาาา ฮืออออออ โอ้ววววว ม๊ายยยยยย ฮือออออออออ โฮๆๆๆๆๆ (ตอนที่คะน้าทำแผลให้ทิม)
เพื่อน : สลัด เป็นเชี่ยไรมึง ไอ้บ้า แหกปากทำไม
ผม : กูลุ้น กูเครียด
เพื่อน : ไม่ต้องเครียด อย่างมึงน่ะ ทำได้สบาย ผ่านฉลุย
ผม : กูไม่ได้เครียดเรื่องสอบ
เพื่อน : แล้วเป็นเชี่ยไร
ผม : ลุ้นนิยาย
เพื่อน : ไอ่สลัด
ผม : ฮ่าๆๆๆ

ปล. ลุ้นจริง ลุ้นจัง ลุ้นกว่าทำข้อสอบอีกนะเออ ฮ่าๆๆๆ

ออฟไลน์ hewlett

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 560
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-3
นะ สุดท้าย ทิมก็คือพระเอกสำหรับต่ายน้อยจริงๆ :กอด1:
พ่อทิมร้ายมาก
แต่เราก็หวังว่าความโลภที่ต้องทำให้ลูกชายคนเดียวของตัวเองเกือบตายนั้นจะทำให้พ่อของทิมคิดได้ :เฮ้อ:

หรือว่าเพราะรู้ว่าทิมจะขัดขวางแผนการนี้แน่ๆเลยย้ายทิมออกจากต่าย
แล้วแผลที่ทิมได้ก่อนหน้านี้จะเป็นเพราะขัดใจพ่อหรือเปล่าหว่า

ออฟไลน์ PlenG

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 136
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
ขอให้ปลอดภัย

อยากอ่านตอนคุณธาดารู้เรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดคงสนุกดี จะฆ่าลูกสะใภ้กลายเป็นฆ่าลูกชายไปด้วย ช่วยไม่ได้นะคะ

ที่จริงคิดว่าเริ่มตอนนี้ทิมจะไปอยู่ที่โรงพยาบาลแล้วแท้ๆ แต่ยังไม่ไปไหน ไอ้ทิมเอ๊ย ถึกแท้!

ความจริงค่อยๆเปิดเผยแล้ว รอตอนต่อไป มาต่อไวๆนะคะ

ขอบคุณค่ะ

ออฟไลน์ indy❣zaka

  • กระซิกๆ เบื่อดราม่า...
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4582
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +625/-26
ทำไมทิมโดนยิงโดนกระทืบ  ถึงถึกกว่าคะน้าได้ขนาดนั้นล่ะนั่น  :a5:

คะน้า  ทนไว้นะจ๊ะ  นายเอกสมัยนี้ต้องถึกเกินพัน  เพราะคนเขียนชอบรังแกกกกกก  :z3:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ NONSENSE

  • เพ้อฝัน ไปวันวัน
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 644
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +66/-2
อ๊ากกกก ซึ้งเลย กับประโยคนี้

“...ไอ้เหี้ยนั่นต่างหากที่เป็นคนฆ่าลูกชายตัวเอง”

 :z3: :z3:

ออฟไลน์ cinquain

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1125
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +247/-0
รอดไปได้คงต้องหยอดน้ำข้าวต้มกันเป็นเดือนทั้งสองคน

ตอนนี้ขาข้างหนึ่งของคนอ่านก็ลงไปอยู่ในเรือแล้วนะคะ ^_^
เพราะฉะนั้นตอนต่อไปรีบมาไวๆ 55

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7208
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
คนเขียนใจร้ายมาก เล่นแปดต่อสอง อัดพระเอก-นายเอกเราซะเละ ไม่ใช่คนเหล็กไม่ใช่แรมโบ้เน้อ (บ่งบอกอายุ)
ไอ้ผู้ร้ายก็ไม่รู้แค้นเคืองแต่ชาติปางไหน ทำงานเกินค่าจ้างหรือเปล่าเนี่ย
ตอนหน้าไม่บู๊แล้วนะ เครียด...

ออฟไลน์ ~มือวางอันดับ1~

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1583
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +145/-7
drama สุด ๆ   :o12: พี่ต่าย น้องทิม :m15:

ThePtk_

  • บุคคลทั่วไป
มาต่อเร็วๆนะ >< ชอบมากๆๆ ร้องไห้เลยยย TT

ออฟไลน์ devotionNightmare

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 94
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
อ่านแล้วเครียดดด เครียดกว่าสอบไฟนอลอีก อ๊ากกกก

ออฟไลน์ whitefang

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 232
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-0
ทิม ทิม ทิม ทิมมมม
โอ๊ยยย มาให้กอดเเน่นๆที :กอด1:

zerea

  • บุคคลทั่วไป
คะน้าจ๋า อย่าพักนานนักนะ...สงสารทิม
แล้วก็ เอาใจช่วยทั้งสามคน...ทิม คะน้า คนแต่ง

ปล.แอบกลัวต่ายตอนเย็บแผล
 :sad4:

ออฟไลน์ ~ณิมมานรฎี~

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1070
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +139/-2
 :a5:    คะน้าาาาาาาาาาาา  ชีวิตลูกน่าสงสารจริงๆ   :o12:

ออฟไลน์ Lunatan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 217
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1
ได้โปรดส่งคนมาช่วยทิมกับคะน้าที
ไม่ไหวแล้ว สงสารมากๆ  :sad4:
คุณธาดาอยู่เบื่องหลังเรื่องนี้สินะ :fire:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






hongyia

  • บุคคลทั่วไป
เฮ้ย มันจะดราม่าเกินไปแล้วนะ จะให้คนอ่านน้ำตาไหลหมดตัวเลยเหรอไง

ออฟไลน์ พิรุณสีเงิน

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 184
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1
คนเขียนขาาาาาา มาต่อได้แล้วคะ

เราคิดถึง  :monkeysad: :monkeysad: :monkeysad:

ออฟไลน์ Lucea

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 312
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +292/-0
อรุณสวัสดิ์เช้าวันอาทิตย์ครับ พอดีต่อไว เลยลุกขึ้นมาอัพนิยายให้อ่านกันแต่เช้าเลย
ขอบคุณเพื่อนๆ ทุกคนที่แวะมาทักทายกันนะครับ ขอบคุณด้วยสำหรับคำแนะนำต่างๆ นะครับ
จะเก็บเอาไปพยายามปรับปรุงทักษะการเขียนในภายภาคหน้าให้ดีขึ้นนะครับ
หลังจากอึดอัดกันมาหลายตอน ได้เวลาที่จะคลี่คลายเรื่องปวดหัวออกซะทีล่ะนะ
ตอนที่ 38 นี้น่าจะทำให้รู้จักกับทิมมากขึ้นอีกนิดครับ ว่าแล้วก็ไปอ่านกันเลย


++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


ตอนที่ 38



ความเย็นสดชื่นของน้ำบนผิวและสัมผัสอ่อนโยนทำให้คะน้าสะดุ้งตื่นขึ้น อีกครั้งที่ความรู้สึกหนาวๆ ร้อนๆ ซึ่งคุ้นเคยวูบขึ้นที่ข้างลำตัว ร่างกายยังจดจำความเจ็บปวดที่ได้รับราวกับว่าจะไม่มีวันลืมเลือน เขาทบทวนภาพในความฝันเพื่อหาว่าอะไรที่ทำให้ตัวเองรู้สึกยะเยือกได้ขนาดนั้น อณูความทรงจำค่อยๆ ประกอบตัวกลายเป็นรูปร่าง คะน้าโดนซ้อม ...จากด้ามปืน หมัด เข่า หรือแม้แต่เท้าจากพวกมัน ในสติที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ คะน้ายังรู้สึกจุกแน่นที่ท้องจนขยับตัวเพียงนิดก็รู้สึกแปลบปลาบ และเมื่อเหลือบมองไปรอบๆ ตัว เขาก็พบกับแววตาที่เต็มไปด้วยความโล่งใจของคนที่อยู่เคียงข้าง ทิมใช้เสื้อของตัวเองแทนผ้าเช็ดตัวซับความร้อนออกจากร่างกาย

“พี่มีไข้ อย่าเพิ่งขยับมาก เดี๋ยวระบม”

คะน้าพยักหน้ารับรู้ ไม่มีอะไรน่ากลัวในตัวของทิมอีกต่อไปแล้ว ไม่มีสักอย่างที่สร้างความหวาดหวั่นในแววตาที่นุ่มนวลของทิมซึ่งมองมาที่ใบหน้าของคะน้า ท่ามกลางความสกปรกซึ่งดูเวิ้งว้างนี้ ทุกสิ่งดูสุกสกาวด้วยรอยยิ้มกวนประสาทที่ถูกแย้มขึ้นบนใบหน้าของคนข้างๆ ฝ่ามือกว้างลูบไปบนหัวเบาๆ ราวกับคำทักทายที่อ่อนโยน มันอบอุ่นจนคะน้าค่อยๆ ขยับเข้าไปใกล้โดยไม่รู้ตัว ราวกับกำลังถูกดึงดูดเข้าหาคนข้างๆ กายเหมือนกับแมลงเม่าที่โบยบินเข้ากองไฟ

“ถ้าอีกห้านาทียังไม่ฟิ้น จะกลั้นหายใจตายแล้วรู้ไหม?”

คะน้าหัวเราะ ทิมก็เป็นแบบนี้ ทำเหมือนกับเรื่องทุกอย่างไม่ใช่อะไรที่หนักหนา ซึ่งเขาก็ยอมรับว่ามันได้ผล บางทีคะน้าก็รู้สึกว่าตัวเองตกเล่ห์พรางของคำพูดพวกนั้นเข้าให้แล้ว เขารู้สึกว่าความตึงเครียดมากมายถูกคลายออกเอาเสียง่ายดาย คล้ายกับว่าตัวเองจะปลอดภัยทุกครั้งถ้ามีรอยยิ้มนี้อยู่ข้างๆ

“แล้วนี่มันที่ไหน”

“ฮาเร็มของพี่ทิมเอง จนไปหน่อยเลยไม่หรูหราแบบใครๆ โว๊ะ! ...อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ” ทิมส่งเสียงประท้วงเมื่อเจอสายตาดุๆ ของคะน้าจ้องกลับเหมือนคาดโทษ กระนั้นก็ยอมสลดแล้ววกเข้าสู่คำตอบจริงๆ เสียที “ก็อย่างที่เห็นนั่นล่ะ เราถูกพวกมันจับขังไว้ในนี้ ชั้นบนของบ้านสักหลังในละแวกตลาด มันปิดตายทางออกทั้งหมด แล้วที่ดินรอบๆ ก็ถูกกว้านซื้อไปหมดแล้ว ไม่ต่างอะไรกับติดอยู่บนเกาะร้างที่ไม่มีอาหาร” ทิมพูดด้วยน้ำเสียงเฉยเมยไม่ได้รู้สึกยินดีกับสถานการณ์ที่เผชิญอยู่แม้แต่น้อย คะน้ามองไปรอบๆ ตัวอีกครั้ง เข้าใจความรู้สึกของคนข้างๆ ดี

“มีเรื่องดีๆ ให้ฟังบ้างไหม” เขาแค่อยากสร้างบรรยากาศให้ดีขึ้น

“เรามีห้องน้ำใช้ขับถ่าย แน่นอนว่าใช้น้ำได้ฟรี ...อย่างน้อยก็จนกว่าน้ำประปาจะถูกตัด” ทิมพยุงตัวของเขาให้ลุกนั่ง คะน้าค่อยๆ เอนหลังพิงผนังที่เย็นเฉียบ

“แค่นี้น่ะนะ” คะน้าถอนหายใจพร้อมส่งรอยยิ้มบางๆ ให้กับคนที่ยกมือขึ้นโอบบ่าเขาในตอนนี้ รู้สึกอุ่นขึ้นมานิดหน่อยเมื่อวงแขนนั้นดึงเข้าหา ทิมส่ายหน้าแล้วยิ้มแฉ่ง

“ได้อยู่กันสองต่อสองไง โรแมนติกดีนะ”

คะน้าส่ายหน้าพร้อมรอยยิ้ม เขารู้สึกว่าวันเวลาที่ผนวกเข้ากับสถานการณ์ต่างๆ ทำให้ตัวเองเข้าใจทิมมากขึ้นทีละน้อย บ่อยครั้งที่ทิมมักจะพูดจาทะเล้นกวนประสาท นั่นไม่ใช่เพราะนิสัยยียวนที่ติดมาแต่กำเนิด หากแต่มันคือรูปแบบหนึ่งของเกราะกำบังที่เจ้าตัวสร้างขึ้นมาเพื่อปกปิดสิ่งที่ตรงกันข้ามในใจ ลึกๆ แล้วแววตาสีเข้มคู่นั้นแฝงไปด้วยความรู้สึกกดดันไม่ต่างกับเขาในตอนนี้ หน้ากากแห่งรอยยิ้มทำหน้าที่สองอย่าง อย่างแรกคือการซ่อนความอ่อนแอของตัวเอง สิ่งอีกอย่างคือการสร้างความเข้มแข็งให้กับคนรอบข้าง คะน้ายิ้มให้กับทิม ไม่ใช่เพราะมุกตลกที่ขบขัน รอยยิ้มนั้นแทนคำขอบคุณให้กับสิ่งที่คนๆ นี้ทำให้เขามาโดยตลอดและไม่เคยเปลี่ยนแปลง



“เราจะยังมีโอกาสรอดใช่ไหม”

“เดาเอาว่าตอนนี้พี่ผักกาดน่าจะรู้แล้วว่าพี่หายไปแล้ว แต่คงต้องใช้เวลาอีกวันกว่าจะแจ้งความได้ และอย่างน้อยอีกวันในการขอหลักฐานกล้องวงจรปิดจากราชการ ถึงแม้พวกนั้นจะยิงจนพังไปหมดแล้วก็เถอะ แต่ก่อนหน้านั้นมันคงบันทึกไว้ในเซิร์ฟเวอร์ส่วนกลางไว้แล้ว เท่ากับอย่างเร็วก็สามวัน หรืออย่างช้าไม่น่าจะเกินห้าวันหรือหนึ่งสัปดาห์ก็จะมีคนมาพบเราที่นี่”

“แล้วแผลนั่น...” คะน้าเอ่ยขึ้นมาทันทีด้วยความเป็นห่วง ในระยะยาวเขาหวั่นว่าบาดแผลนั้นอาจเกิดเป็นปัญหา ทิมส่ายหน้าเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่ ชายหนุ่มผ่อนลมหายใจเบาๆ แล้วระบายรอยยิ้ม

“ขอบคุณที่ช่วยผมเอาไว้ ไม่อย่างนั้นคงได้ไปยมโลกแล้ว ...แต่แอบมือหนักไปนิดนึงนะ” ทิมส่งเสียงหัวเราะขันล้อเลียนก่อนจะหันกลับมาพูดจริงจังอีกครั้ง “เรามีน้ำให้ดื่ม มีห้องน้ำสำหรับขับถ่าย ที่เหลือก็คือต้องทนจนกว่าจะมีคนมาพบให้ได้”

พูดจบ ทิมก็นิ่งไปพร้อมกับเสียงนั้นของตัวเอง ชายหนุ่มค่อยๆ หยิบเสื้อที่มอซอที่หมาดเพราะซับไข้ขึ้นมาสวมทับแบบลวกๆ แล้วนั่งอยู่นิ่งๆ คะน้าหันไปสำรวจรอบๆ ตัวอีกครั้งก่อนจะลุกขึ้นยืน เขาเดินไปตรวจโดยรอบ ลองขยับเหล็กดัดที่หน้าต่างหรือแม้แต่ที่บานประตู ทุกอย่างล้วนแต่ไม่ขยับเขยื้อนใดๆ เขาไม่รู้ว่าตอนนี้เป็นเวลากี่โมง เห็นแต่เพียงแสงแดดรำไรที่ส่องลอดมาทางบานหน้าต่างให้พอเดาได้ว่าเป็นเวลากลางวัน

“กินน้ำสักหน่อยไหม” ทิมถามขึ้นพร้อมกับมือซ้ายที่ถือขันน้ำ คะน้ารับขึ้นมาดื่มแล้วเช็ดปาก พลันสายตาก็เหลือบเห็นที่มือขวาที่ปล่อยลงข้างๆ ตัว ข้อมือนั้นบวมเปล่งและเริ่มเห็นรอยช้ำเลือดเป็นจ้ำ ทิมบอบช้ำกว่าเขามากเหลือเกิน หากแต่ถามไปก็คงได้คำตอบแบบเดิมๆ จากเจ้าตัวว่าสบายมาก คะน้าจึงเลี่ยงที่จะอยู่เฉยๆ แล้วคอยระวังให้อยู่ห่างๆ เขาเดินกลับไปนั่งข้างกำแพงที่เดิม ทิมเดินตามลงมานั่งใกล้ชิดไม่ห่างไกล

“เรามีเวลาที่นี่อีกเหลือเฟือเลยสินะ”

“ก็คงอย่างนั้น” ทิมระบายลมหายใจแล้วหันมาส่งยิ้ม

“ถ้าแบบนั้นผมคงมีเวลาฟังเรื่องทุกอย่างแล้ว ถึงเวลาที่จะพูดความจริงทุกอย่างกันเสียทีดีไหม” สีหน้าของทิมชะงักไปเล็กน้อยเมื่อประโยคนั้นสิ้นสุด ร่างสูงนั้นมีแววตาที่ดูครุ่นคิด สักพักทิมก็เบือนหน้ามาที่เขาพร้อมยิ้มเจ้าเล่ห์แบบที่กลายเป็นสัญลักษณ์ประจำตัวไปแล้ว



“ได้สิ แต่พี่ต้องจูบผมก่อน”

ทิมนั่งนิ่งอยู่กับที่ มีเพียงรอยยิ้มยั่วเย้าและสายตาที่ส่งคำท้าทายมาให้เขา ไม่ต้องเสียเวลาคิดอะไรให้เนิ่นนาน ถึงแม้ไม่มีข้อต่อรองนั่น ไม่ช้าก็เร็วคะน้าก็คงต้องทำแบบนั้นกับทิมอยู่ดี เขาโน้มตัวเข้าไปหา เอื้อมมือประคองใบหน้านั้นขึ้นแล้วบดริมฝีปากตัวเองเข้ากับความเนื้อสีระเรื่อด้วยความรู้สึกทั้งหมด ทิมตอบรับรสจูบนั้นด้วยสัมผัสที่เร่าร้อน พริบตาเดียวชายหนุ่มก็จู่โจมกลับด้วยความรู้สึกมากมายที่ทะลักออกมาจากหัวใจ เป็นเวลานานกว่าที่คะน้าจะได้ผละตัวออกห่าง เขาก้มหน้าของตัวเองลง ซ่อนร่องรอยแห่งความสุขให้มีแต่ตัวเองที่รับรู้

...ให้ตายสิ เขารักคนๆ นี้เหลือเกิน




“พี่... อีกทีได้ไหม”

คนอายุน้อยกว่าประท้วงแบบเด็กๆ ใบหน้าเปลี่ยนสีเหมือนถูกแต้มวาดจนปลั่ง ลำคอเป็นสีสดเกือบเท่าสีของริมฝีปาก ปฏิกิริยาแบบนั้น คะน้ารู้ดีว่าสิ่งที่ทิมร้องขอนั่นไม่ใช่แค่เพียงจูบแน่ๆ

“ได้แน่นอน ถ้าเหตุผลของอะไรบ้าๆ ที่ผ่านมาพวกนั้นมันจะน่าฟังพอ”

“ก็ได้” ทิมถอนหายใจหนักเหมือนขัดใจ ถึงกระนั้น ก็ไม่วายตอดเล็กตอดน้อยตามนิสัย ทิมฉีกขาที่ชันขึ้นของตัวเองออกกว้างจนพอให้คนๆ หนึ่งเข้าไปนั่งได้ คนเจ้าเล่ห์ไหวหัวเบาๆ เหมือนส่งสัญญาณกึ่งบังคับและเว้าวอน

“นั่งนี่สิ มาให้กอดหน่อย”

คะน้าถอนหายใจให้กับความเจ้าเล่ห์ก่อนจะขยับตัวเข้าไปแทรกระหว่างเข่าที่ชันขึ้นทั้งสอง ทิมโอบร่างของเขาไว้แล้วดึงเข้าหาทันที หากแต่คะน้าก็ยั้งตัวไว้เพราะกลัวจะกระเทือนแผลเสียง ทิมประท้วงอย่างไม่ยอมจบเรื่องง่ายๆ

“พิงมาเลย”

“อืมม...” เมื่อเห็นว่าไม่น่าเป็นปัญหา คะน้าก็ค่อยๆ ถ่ายน้ำหนักของร่างกายตัวเองไว้บนแผ่นอกคนที่อยู่ข้างหลัง ทิมกดปลายจมูกเข้าที่หลังหู จูบเบาๆ ที่ซอกคอแล้วกระซิบถ้อยคำเบาๆ ข้างแก้ม

“ผมไม่เคยทรยศอะไรเลย ทุกความรู้สึกที่ผ่านมาเป็นความจริง”

แค่ประโยคแรกก็ทำเอาเขาฉีกยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว หัวใจรู้สึกพองตัวขึ้นช้าๆ ด้วยความสุขที่ค่อยๆ แทรกตัวผ่านผิวกายที่สัมผัสกัน คะน้าคิดว่าบางทีนี่อาจจะดีกว่าสำหรับเขา เพราะไม่ว่าอย่างไร ทิมก็จะไม่มีทางเห็นใบหน้าของเขาที่คงซ่อนความรู้สึกพวกนี้ไว้ไม่ไหว

“ที่ห้องประชุมนั่น ผมอึดอัดแทบบ้าที่จำต้องพูดแบบนั้นเพราะในห้องนั้นมีกรรมการครบทุกคน ไหนจะเครื่องดักฟังและกล้องวงจรปิดอีก คนๆ นั้นไม่เคยไว้ใจใครนอกจากตัวเอง เขาทำได้ทุกอย่างเพื่อสิ่งที่เขาต้องการ” ทิมค่อยๆ ระบายความจริงออกมา คำพูดเหล่านั้นทำให้คะน้าฉุกคิด

“หมายความว่าเรื่องไฟไหม้ตลาดมีคุณธาดาอยู่เบื้องหลังอย่างนั้นหรือ?” เขาถามย้ำอีกครั้งให้แน่ใจว่าตีความหมายไม่ผิด จู่ๆ ในใจของคะน้าก็รุ่มร้อนขึ้นอย่างประหลาด ลางสังหรณ์ของเขาแม่นยำ และแม้ว่าจะเคยคิดจินตนาการไว้แบบนั้นมาโดยตลอด แต่พอได้ฟังความจริง เขากลับทนไม่ไหว ทิมเองก็แสดงออกถึงความอึดอัดไม่ต่างกัน

“ผมลำบากใจที่จะบอกว่าเป็นแบบนั้น แต่... คะน้า ผมขอโทษที่ต้องบอกว่ามันเป็นอย่างที่คุณคิดจริงๆ” ทิมระบายลมหายใจที่ติดขัด คะน้าคิดหนัก ถ้าแม้ว่าทุกอย่างที่เขาคิดมาโดยตลอดนั้นเป็นความจริง แล้วเรื่องทุกอย่างคืออะไร

“หมายถึงพ่อของนาย... คนๆ นั้น...” คะน้าเอ่ยขึ้นด้วยเสียงหวาดๆ นึกไม่ถูกว่าทิมจะรู้สึกอย่างไร

“ครับ”

“เป็นคนร้าย”

ทิมผ่อนลมหายใจหนักอึ้ง เขานิ่งไปชั่วขณะ ใบหน้าเต็มไปด้วยความสับสนมากมายเหมือนพยายามอย่างหนักในการจับต้นชนปลายทุกอย่างเพื่อหาบทสรุปของเรื่องที่ยุ่งเหยิงทั้งหมด

“โปรดฟังผมให้จบ อย่าหนีผมไปไหน และเมื่อผมเล่าทุกอย่างจบ จะเกลียดจะแค้น ผมก็ยินยอม” ทิมเอ่ยขึ้นพร้อมกับอาการสั่นที่เจืออยู่ในน้ำเสียง

“ผมจะเล่าให้ฟังตั้งแต่แรก ตั้งแต่เริ่มต้น ชีวิตของผมก่อนที่จะได้รู้จักกับพี่” ความสั่นสะเทือนบางๆ ในอากาศนั้นหยุดนิ่ง ดวงตาสีดำคู่นั้นจ้องมองตรงไปข้างหน้าสู่ความเวิ้งว้างที่มืดดำ ราวกับว่าในเวลานั้น ทิมเห็นเด็กผู้ชายตัวเล็กๆ ยืนสะอื้นอยู่ในความมืดมัวเบื้องหน้า

“ผมเติบโตมาลำพังเพียงคนเดียว มีพี่เลี้ยงเป็นทั้งพ่อและแม่ บ้านเล็กของครอบครัวผู้มั่งคั่ง มันก็ต้องแบบนี้อยู่แล้วใช่ไหม” คะน้าชะงักจนนิ่งกับน้ำเสียงที่แห้งจนน่าใจหาย แปลว่าทิมไม่ใช่ลูกที่เกิดจากภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณธาดาอย่างนั้นหรือ?

“แม่กับผมเป็นเหมือนคนที่ไม่มีตัวตน ไม่มีการสมรสหรือแม้แต่จดทะเบียนที่กฎหมายรองรับ คนๆ นั้นมีแม่เพียงเพราะความเชื่อในคำทำนายบ้าๆ ว่าดวงของแม่จะเสริมดวงของเขาให้ก้าวหน้า กิจการจะเติบใหญ่และทำกำไรมหาศาล โดยที่แม่นั้นไม่เคยรู้อะไรพวกนั้นมาก่อนเลย ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขามีครอบครัวอยู่แล้ว แม่รักเขาด้วยความจริงใจ ความรักของแม่ถูกตอบแทนกลับด้วยความหลอกลวงและชดเชยด้วยเงินทองทรัพย์สิน” ตาของทิมเบือนจากเด็กชายที่ไร้ตัวตนแล้วหันกลับมามองที่คะน้า รอยยิ้มบางๆ ฝืนระบายขึ้นเพื่อกดความอ่อนแอที่ซ่อนไว้ในใจ

“เราทุกคนรับผลจากชะตากรรมและความต้องการที่ไม่มีที่สิ้นสุดนั่น เขาไม่เคยยอมรับหรือแม้แต่เรียกผมสักครั้งว่าลูก คำพูดว่าดวงผมชงกับดวงของเขาทำให้ผมห้ามเข้าบ้านใหญ่ ตั้งแต่ตอนเด็กๆ แล้วที่ผมต้องอยู่คนเดียวในโรงเรียนประจำจนชิน คำว่าครอบครัวของผมมีแต่...แม่ ส่วนสำหรับเขา ครอบครัวคือคนอื่นที่ไม่ใช่เรา” ในห้องที่แคบๆ นั้น ดูเหมือนว่าตัวตนของทิมจะค่อยๆ ลดขนาดลงอีกจนแทบจะกลายเป็นอากาศธาตุ คะน้ายกมือขึ้นบีบวงแขนที่กอดเขาไว้ ทิมตอบรับความรู้สึกของเขาด้วยการยิ้มขึ้นมาในที่สุด ราวกับทิมจะบอกว่าตัวตนที่อ่อนแอของเด็กคนนั้นได้ตายจากไปนานแล้ว

“ผมใช้ชีวิตอยู่โรงเรียนประจำที่ต่างประเทศมาโดยตลอด แล้ววันหนึ่งลูกตัวจริงที่ถูกกฎหมายก็ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต ผมไม่ได้ไปงานศพหรอก ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหน้าตาของคนที่ผมเรียกว่าพี่นั้นเป็นอย่างไร แต่ในที่สุดแม่ก็มีตัวตนในสายตาของคนๆ นั้น เขาเรียกให้แม่กลับไปอยู่ในบ้านอีกหลังในรั้วเดียวกัน ผมไม่รู้ว่าในตอนนั้นแม่ตกลงลับๆ กับเขาว่าเมื่อผมจบให้รับผมเข้าทำงานในธาดาพิพัฒน์และยอมรับผมในฐานะลูกคนหนึ่ง ที่นั่นแม่ไม่เคยมีความสุข แต่แม่ก็ยังทำเพื่อลูกที่ไม่ค่อยได้เรื่องได้ราวแบบผม จนเด็กคนนั้นกลับมาพร้อมกับตำแหน่งใหญ่โต เป็นรองประธานฯ ที่กลับมีหน้าที่เพียงแค่คุมงานก่อนสร้างตามไซด์งานโปรเจ็กต์ต่างๆ” สีหน้าในตอนนี้ยากที่จะคาดเดาความรู้สึกได้ ทิมแค่นั่งนิ่งๆ พูดด้วยน้ำเสียงเรียบที่สม่ำเสมอ

“ผมได้พบกับพี่ แล้วมันก็เป็นอย่างที่พี่เห็น ไม่ได้มีอะไรแอบแฝงไปในทุกสิ่งที่ผมทำ จนวันที่ผมพาพี่ไปงานเลี้ยง จริงๆ แล้วผมเพียงแค่อยากให้พี่ได้รู้จักกับแม่ แต่มันก็เกิดเรื่องยุ่งๆ จนเรื่องไปเข้าหูเขา ไม่นานผมก็ได้รับคำสั่งให้ทำยังไงก็ได้ให้พี่ขายที่ดินให้บริษัทของเขา คนๆ นั้นบอกว่าถ้าผมทำสำเร็จ เขาให้ทำให้แม่ของผมได้อยู่ในฐานะที่ไม่ต้องแอบๆ ซ่อนๆ อีกต่อไป” ทิมกลืนน้ำลายเหนียวๆ ลงคอ แววตากลับมาเต็มไปด้วยความสับสนอีกครั้ง

“ผมไม่รู้ว่าควรดีใจหรือเสียใจกับสิ่งที่เฝ้าฝันมาตั้งแต่เด็กๆ กับหน้าที่ที่แบกความหวังของธุรกิจของคนที่เป็นเลือดเนื้อเชื้อไข ซึ่งมันสวนทางกับหัวใจของตัวเอง” เสียงนั้นเต็มไปด้วยความอ่อนล้าและอ่อนเพลียจนคะน้ารู้สึกได้

“วันนั้นที่พี่ผักกาดถามว่าถ้าเป็นผม จะตัดสินใจขายหรือเก็บตลาดไว้ต่อ มันยากกับผมที่จะพูดออกไป ผมอยากช่วยพี่ทุกอย่าง อยากเป็นกำลังใจให้พี่ต่อสู้ในสิ่งที่ใฝ่ฝัน แต่อีกด้าน ผมก็อยากให้แม่ได้รับในสิ่งที่สมควรจะได้รับเหมือนกัน ผมสารภาพว่าผมอยากให้พี่ขายที่ดินให้กับเรา ...แต่นั่นต้องด้วยความสมัครใจ โปร่งใสทุกอย่าง” ทิมขบริมฝีปากจนแน่น ร่างสูงนิ่งเงียบไปชั่วอึดใจ

“แล้วผมก็ทำทุกอย่างเพื่อให้พี่กลับมาพิจารณาธาดาพิพัฒน์อีกครั้ง อะไรก็ได้ให้พี่ไม่ปฏิเสธเรา ผมรู้ว่าพี่ห่วงคนที่ตลาด ผมจึงสั่งปรับแบบคอมเพล็กซ์ใหม่ให้มีศูนย์การค้าด้านล่าง ยอมให้คนที่ตลาดเข้าค้าขายได้ต่อ ผมจะสร้างพื้นที่ชั่วคราวให้ค้าขายจนกว่าจะเริ่มก่อสร้าง แต่พี่กับพี่ผักกาดก็ยังไม่คิดขาย ผมก็จะสั่งปรับโครงการอีกครั้ง ...แต่คราวนี้เขาก็ไม่ยอม” คะน้าพยักหน้า เริ่มเข้าใจในเรื่องราวต่างๆ มากขึ้นทีละน้อย

“เลยเล่นวิธีสกปรกสินะ”

ทิมขยับหน้ากากแห่งความเฉยชาให้เข้าที่ก่อนจะเริ่มพูดต่อ “ผมไม่รู้จะทำยังไง ผมไม่อยากให้พี่ไม่สบายใจ ถ้าเป็นไปได้ผมก็อยากจัดการทุกอย่างให้เสร็จด้วยตัวเอง แต่ผมนึกวิธีในการสื่อสารอื่นไม่ออกในเวลาที่กระชั้นแบบนั้น สิ่งเดียวที่ผมคิดออกคือ...เวลา”

“สิบห้าวันสำหรับทำทุกอย่างให้เรียบร้อย ไม่ใช่แค่ปรับแบบและปลูกสร้างที่ค้าขายชั่วคราว ...แต่หมายถึงขอเวลาสิบห้าวันสำหรับทำทุกอย่างจริงๆ” คะน้าเอ่ยออกมาเองด้วยเสียงแผ่ว เขาสะดุดใจแต่ไม่เคยเอะใจเลยแม้แต่น้อย ทิมพยักหน้าแล้วระบายลมหายใจหนักอึ้งออกมา

“พี่ก็ทำเอาผมแทบคว่ำ ทุกสิ่งที่ผมฝืนไว้มันแทบพังไม่เป็นท่าเพราะท่าทางของพี่ในตอนนั้น ทำเอาผมอยากสารภาพออกไปเหลือเกิน ถ้าด่าผมสักหน่อยหรือต่อยผม จะทำอะไรก็ได้ อย่างน้อยผมก็โล่งใจว่ามันพอปรับความเข้าใจได้ แต่การที่พี่หมางเมินใส่นี่...” ทิมเว้นห้วงในอากาศแล้วหัวเราะแห้ง “เหอะๆๆ พี่เกือบฆ่าผมให้ตาย ...แล้วไหนจะไอ้เหี้ยแว่นที่อยู่ๆ ก็โผล่มาอีก มันจะกลับมาทำไมของมัน เห็นแล้วหงุดหงิดชะมัด”

“เรียกตุลดีๆ สิ เขาเป็นคนดีนะ” คะน้าส่งเสียงดุ แต่ในใจก็อดไม่ได้ที่จะทึ่งในสิ่งที่ทิมพยายามจะทำเพื่อเขามาโดยตลอด กระนั้นอีกใจก็นึกขำ ท่าดีแต่ดันมาทีเหลวเพราะตัวเร่งปฏิกิริยาแบบตุลตลอด แม้กระทั่งในเวลาแบบนี้

“ออกหน้าแทนตลอด ไม่รู้มันจะกลับมาหาสวรรค์วิมานอะไรของมัน” ทิมยังคงแสดงอาการไม่สบอารมณ์จนคะน้าต้องดึงให้คนขี้หงุดหงิดให้กลับมาในเรื่องราวต่อ

“เล่าต่อสิครับ” ทิมทำฟึดฟัดอีกนิดหน่อยก่อนจะกลับมาเริ่มนิ่งอีกครั้ง

“ที่กลัวที่สุดคือพี่ผักกาด ผมรู้ว่าตัวเองปิดพี่ผักกาดได้ไม่สนิท เหตุผลมันดูไม่สมเหตุสมผลพอ ตอนนั้นก็ได้แต่ภาวนาว่าพี่ผักกาดจะไม่ทำให้แผนเสีย ...แต่ผมพลาดสนิท เพราะสุดท้ายแล้วผมกลับทำทุกอย่างเจ๊งเอง พี่รู้ไหมว่าผมแทบคลั่งที่รู้ว่าพี่เอาตัวเองมาเสี่ยงแบบนี้”

“ผมขอโทษ ผมไม่รู้เลย แต่นายน่าจะบอกกันตรงๆ” คะน้าส่ายศีรษะตัวเองไปมา นึกทบทวนดูแล้ว เขาก็หุนหันพลันแล่นจริงๆ ทิมเม้มปากแล้วระบายลมหายใจด้วยความท้อ

“ผมไม่มีพยาน ไม่มีหลักฐานอะไรเลย ผมมีแค่คำพูด คนที่ไหนจะบ้าพอจะเชื่อคำพูดลอยๆ ของคนแบบผม”

คำพูดนั้นทำเอาคะน้าแทบจะแย้งออกมาทันที หากทิมพูดสักหน่อย คนแบบเขาก็พร้อมจะเชื่อโดยไม่มีข้อสงสัยแม้แต่น้อย ไม่ใช่ว่าหูเบา แต่เขาเชื่อว่าทิมจะไม่ปั้นเรื่องขึ้นมาแบบนั้น มันไม่มีประโยชน์เลย

หากแต่เมื่อทบทวนดูแล้ว ความเชื่อมั่นหรือไว้ใจในอะไรง่ายๆ นับเป็นปัญหาของตัวเขาเองที่ทำให้ใครต่อใครเป็นห่วงมาโดยตลอด ก่อนที่จะได้ละอายใจกับตัวเองมากไปกว่านี้ คะน้าจึงหยุดข้อโต้แย้งทั้งหมดแล้วซ่อนไว้ในแววตาที่ไม่เห็นด้วย ...หากแต่มันแย่ตรงที่ว่าตาคู่นั้นก็ยังชัดเจนแจ่มแจ้งพอจะทำให้คนที่สบตาอยู่อ่านความนัยได้ ทิมชะงักจนค้าง สีหน้าบ่องบอกถึงความรู้สึกดีใจจนปิดไม่มิด




“เหี้ยเอ้ย!”

ทิมสบถออกมาเสียงดังพร้อมกับรอยยิ้มที่กว้างขวาง

“ขอโทษที่พูดไม่เพราะ ...ผมโคตรรักพี่เลยว่ะ”

คะน้ารู้สึกร้อนวาบขึ้นบนหน้า คนอายุน้อยกว่ารัดเขาจนแน่นจนแทบหายใจไม่ออก ทิมหัวเราะร่วนไม่หยุด ซ้ำยังเอนหัวมาโขกขมับเขาเบาๆ อีกหลายหน คะน้าย่นหน้าผากด้วยความหงุดหงิดที่ก่อตัวขึ้นเพราะเสียงกวนประสาทนั่นไม่น้อย หลายนาทีกว่าที่ทิมจะค่อยๆ สงบลงแล้วกระซิบด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนข้างๆ ใบหู

“ผมขอโทษจริงๆ แต่ว่าพี่ครับ ไม่มีใครอยากให้คนที่ตัวเองรักต้องถูกฆ่าหรอกนะ”

คะน้าชะงักจนสะดุ้ง เขาเหลียวหน้ากลับไปหาทิม “คืออะไร หมายถึงรู้มาก่อนหรือว่ามีพวกนี้คอยทำงานให้”


(เหลืออีกครึ่งครับ ต่อด้านล่างนะ)

ออฟไลน์ Lucea

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 312
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +292/-0
(ครึ่งที่เหลือครับ ต่อเลยนะ)




ทิมกลืนน้ำลาย สีหน้าดูลำบากใจ ข้อมือและวงแขนขยับไปมา “พี่ครับ มีอีกเรื่องที่ผมต้องขอโทษ ตอนนั้น... แผลต่างๆ บนตัวนั่น ผมหมายความว่า... คือมันไม่ได้เกิดจากปัญหากับพวกคนงานตามไซด์ ผมรู้ว่าจะทำให้เป็นห่วงแต่ผมอยากให้พี่เบาใจ ความจริงก็คือผมได้ข่าวมาว่าพวกมันวางแผนชั่วเอาไว้ เลยมาดูที่ตลาดตอนกลางคืนอยู่หลายวัน แล้วก็เจอพวกมันเข้า คิดว่าจัดการกับมันไปแล้วแท้ๆ ไม่คิดว่ามันจะไม่ยอมรามือ”

“บ้าจริง คิดไหมว่าถ้าเป็นอะไรไป... ทำไมถึงทำเพื่อคนอื่นมากมายขนาดนั้น” คะน้าน้ำตาซึมออกมา ไม่เคยรู้เลยว่าจะมีใครที่เพื่อเขามากมายถึงเพียงนี้

“เคยบอกแล้วไงว่าอย่าร้องไห้” ทิมระบายรอยยิ้มแล้วลูบหัวคะน้าอย่างอ่อนโยน คะน้ารีบหลบสายตาคู่นั้นก่อนจะกลั้นความเอ่อชื้นเอาไว้ไม่อยู่


“พี่ครับ... สำหรับผม พี่ไม่ใช่คนอื่น พี่เป็นคนสำคัญ”

ทิมพูดให้ทุกอย่างกลายเป็นเรื่องธรรมดา แต่ยิ่งเนิ่นนานคำสารภาพเหล่านั้นกลับมีแต่ทำให้หัวใจของคะน้าสั่นไหวอย่างแรงจนเหมือนจะหยุดเต้นเอาง่ายๆ เขาพยายามอย่างหนักในการวางตัวให้อยู่นิ่งๆ ทั้งที่ในใจกระเจิดกระเจิงไปไหนต่อไหนแล้ว

“ผมไม่ไว้ใจใคร ผมไม่รู้ว่าผมไว้ใจใครได้บ้าง ก็อย่างที่พี่เห็น ขนาดเขาวางแผนเผาตลาด ใครก็ยังหาเรื่องมาเอาผิดแทบไม่ได้ นับประสาอะไรกับชีวิตคน พี่ไม่ใช่คนโกหกที่เก่งเลย มันออกมาหมด พี่เป็นคนดีเกินกว่าจะทำเรื่องแย่ๆ แบบนั้นได้” ทิมกอดคะน้าแน่นแล้วผ่อนลมหายใจพร้อมเสียงหัวเราะในลำคอ

“แต่ผมทำได้ ...ทำได้ดีด้วย ละครตบตาเรื่องนี้ ถ้าจะมีใครสักคนเหมาะกับเป็นตัวโกงเป็นคนเลว ผมคิดว่าผมเหมาะสมที่สุดแล้ว”

“นั่นไม่ใช่ความจริงเลย”

คะน้าแย้งขึ้นอย่างไม่รีรอ เขาคิดว่าบางทีน้ำตาพวกนั้นที่เริ่มเอ่อบนดวงตาทั้งคู่ ได้ละลายก้อนแข็งๆ ที่กัดกร่อนในใจมาเป็นเวลานานจนเกือบหมดไม่มีเหลือ ทิมส่งยิ้มให้เขา นั่นเหมือนกับรอยยิ้มในวันแรกที่คะน้าเห็นไม่มีผิด

“ขอบคุณนะครับ แต่รู้ไหม ผมอยากให้พี่เป็นพี่มากกว่าต้องฝืนตัวเองนะ ...และผมก็รักพี่ที่เป็นแบบนั้นด้วย” ทิมหยุดพักเพื่อสูดลมหายใจชั่วครู่ “แต่ผมก็พลาด สุดท้ายมันก็เกิดความสูญเสียขึ้น”

“มีคนบอกว่านายอยู่ที่นั่นตอนเกิดไฟไหม้”

“ผมพยายามดับไฟ แต่มันไม่สำเร็จ พวกมันวางแผนมาดี จุดเชื้อจากไฟฟ้าที่ทำให้ลัดวงจรด้วยฝีมือพวกมัน มีการวางเชื้อไฟในตลาดไว้มาก กว่าจะฟื้นตัวมาได้ ผมก็รีบโทรเรียกรถดับเพลิง แจ้งเจ้าหน้าที่ให้ตัดไฟฟ้า และปลุกชาวบ้านละแวกนั้นให้ลุกขึ้นมาช่วยกัน ผมช่วยดับไฟอยู่ตรงต้นเพลิง พยายามติดต่อเรียกรถดับเพลิงจากเขตอื่นๆ แต่พอกลับมาทางเข้า ผมก็เห็นพี่อยู่กับ...หมอ”

เสียงของทิมหยุดอยู่แค่นั้น สั่นและดูคล้ายกับคนที่ไม่หลงเหลือความเชื่อมั่น ร่างสูงนั้นดูเหมือนจะย้อนวัยกลับไปสู่ภาพของเด็กชายตัวเล็กๆ ที่ยืนอยู่เดียวดายในความมืดอีกครั้ง ทิมมองจ้องตรงไปกำแพงด้านหน้าที่ว่างเปล่า “ผมพยายามเชื่อมั่นในตัวพี่ รู้ทั้งรู้ว่าคนแบบพี่ไม่มีทางเป็นแบบนั้นได้ แต่ไม่รู้สิ ผมห้ามความคิดตัวเองไม่ได้ ตอนที่ผมเห็นพี่ดูรูปเก่าๆ ที่ถ่ายกับมันในคอมฯ ผม... กลัว”

คะน้ายกมือลูบไปบนวงแขนของทิมเบาๆ ก่อนจะโอบทับเอาไว้ด้วยความรู้สึกทั้งหมดที่มี “ขอโทษที่ทำให้รู้สึกแบบนั้นนะ ผมควรทำให้นายรู้สึกมั่นใจกว่านี้”

ทิมยิ้มหยันให้กับตัวเองแล้วเงยหน้าขึ้น เอนหัวพิงไปบนกำแพงเย็นๆ นั่นอย่างยอมรับ “อย่าโทษตัวเองเลย ถึงผมจะไม่ชอบขี้หน้าไอ้แว่นนั่นเอามากๆ แต่ผมก็ยอมรับนะ ...เขาเป็นคนที่ดีมากๆ เลย เทียบกับตัวผมแล้ว ไม่มีอะไรไปสู้ได้เลย”

“ทิมมม...”

“อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ ตอนนี้ผมโล่งใจนะ อย่างน้อยผมก็พอจะช่วยพี่หรือทำอะไรเพื่อพี่ได้บ้าง ที่ผ่านมาผมได้แต่รู้สึกอิจฉาหมอนั่นมาโดยตลอด ตอนนี้ ผมก็พิสูจน์ตัวเองแล้วว่าผมก็พอเป็นคนดีกับเขาได้เหมือนกัน พอได้ระบายอะไรๆ ออกมาตอนนี้มันก็โล่งดีนะ” ทิมยกมุมปากขึ้นน้อยๆ ด้วยความรู้สึกที่ผ่อนคลาย คะน้ามองรอยยิ้มนั้นแล้วคิดทบทวน เขาเองก็มีสิ่งที่อยากระบายออกมาเช่นกัน สิ่งที่คั่งค้างอยู่ในใจมาเนิ่นนาน สิ่งที่เขาอยากรู้แต่กลับไม่กล้าที่จะถามสักครั้ง

“มีเรื่องที่ผมคาใจอยู่มานานมากแล้ว พอจะบอกผมได้ไหม”

ทิมหันมาสบตาคะน้าด้วยแววตาที่อ่อนโยน “ได้สิครับ ไม่มีอะไรให้ต้องเล่นละครกันอีกแล้ว”

“มันเป็นเรื่องยากมากที่ผมจะเข้าใจ แล้วมันก็ทำให้อึดอัดใจมาโดยตลอด ถ้าเป็นไปได้ ก็จากฟังจากปากของนายเอง ตอนนั้น... นายจูบกับตุลไปทำไม”

ชายหนุ่มเงียบไปสักพักราวกับพยายามกลั่นกรองถ้อยคำต่างๆ ที่มีในใจเพื่อที่จะให้คำตอบตรงกับความรู้สึกจริงๆ ทั้งหมดที่มี “ผมไม่รู้ แต่มันไม่ใช่ความรักหรือความต้องการทางเพศ มีเหตุผลหลายๆ อย่างที่แม้แต่ตัวเองก็อธิบายไม่ถูก”

“มีเวลาฟังอีกเหลือเฟือ ผมอยากรู้จริงๆ พูดมาตรงๆ เถอะทิม” ทิมนิ่งคิดอย่างตรึกตรอง ร่างสูงนั้นเงียบไปครู่ใหญ่ราวกับจะเลี่ยงพูดคำตอบที่ถูกถามนั้น

“...อิจฉา” ทิมตอบออกมาในที่สุด “ผมอิจฉาที่เขาคบกับพี่ในฐานะแฟน ผมไม่ยอมรับ รับไม่ได้ และผมจะไม่ยอมเลิกรา ผมจะทำทุกอย่างให้พี่กับเขาเลิกกัน”

“มันไม่เด็กไปหน่อยเหรอ”

คะน้าหันกลับมามองดูที่อยู่ด้านหลัง ทิมในตอนนี้เหมือนกับเด็กวัยรุ่นอายุยี่สิบต้นๆ ธรรมดา ไม่ได้ดูทันเกมธุรกิจ หรือคิดรอบคอบแตกฉานแบบทุกครั้ง สุดท้ายแล้ว ทิมก็เป็นคนธรรมดาคนหนึ่ง ไม่ได้มีแต่ข้อดีที่ดูเพียบพร้อมไปทุกอย่าง เป็นเพียงคนธรรมดาที่มีด้านดีและด้านไม่ดีคละๆ กันไป และคะน้าเองก็ชอบกว่าที่ทิมจะเป็นอย่างนั้นมากกว่าจะเป็นหุ่นยนต์ที่สมบูรณ์ไปทุกด้าน

“ผมขอโทษ ผมคิดว่าพี่รักผม ผมแอบมองพี่ทุกวันและไม่คิดว่าตัวเองมองพลาด ผมคิดว่าลึกๆ เราน่าจะชอบกัน แต่ทำไมพี่ถึงเลือกเขา ทำไมผมต้องช้าไปทุกที ให้ตายซะดีกว่า ผมเสียพี่ไปไม่ได้จริงๆ” ทิมระบายความรู้สึกที่อัดแน่นออกมาราวกับระเบิด

“เท่านั้นน่ะเหรอ” คะน้าถามพร้อมรอยยิ้ม จริงอยู่ที่เขาให้ความสำคัญกับคำตอบของทิมมาก แต่ก็ไม่ได้ถือว่าเป็นเรื่องจริงจังขนาดคอขาดบาดตาย เรื่องนิสัยเอาแต่ใจแบบเด็กๆ ไม่ได้ร้ายแรงอะไรแบบที่เขายอมรับไม่ไหว

“...ผมสับสน” ทิมระบายลมหายใจอุ่นๆ ออกมาอีกครั้ง “ผมไม่แน่ใจว่าตัวเองจะ... คือยังไงดีล่ะ มันไม่เคยอยู่ในความคิดเลย การที่จะมารักผู้ชายด้วยกันแบบนี้ ผมหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้ ถ้าผมจูบกับพี่แล้วรู้สึก แล้วผมจะรู้สึกกับคนอื่นอีกไหม จะว่ายังไงดีล่ะ ใครๆ ก็บอกว่าหมอตุลเป็นผู้ชายที่หล่อมากๆ คนหนึ่งไม่ใช่เหรอ ดูเป็นผู้ชายที่เพียบพร้อมจนน่าอิจฉาเลยล่ะ ถ้าผมชอบเพราะอยากลอง มันก็น่าจะทำให้ผมได้พบกับคำตอบที่ค้นหาหรือเปล่า”

“แล้วรู้สึกยังไงบ้างล่ะ”

คะน้าถามเสียงนิ่ง หากแต่ในใจรู้สึกขบขันอยู่พอสมควร เขาเองก็ผ่านช่วงเวลาแบบนั้นมาเช่นกัน ทั้งสับสน ลังเล คิดไม่ตก ผิดกันตรงที่ว่าตัวคะน้าดันเป็นฝ่ายถูกจู่โจมจากผู้ชายสองคนจนไม่ได้มีโอกาสไปคิดทำอะไรวุ่นวายแบบนั้น ถ้าเขามีแค่คนเดียวที่เข้ามา บางทีคะน้าอาจจะทำอะไรพิสดารกว่าทิมก็ได้ คนที่ต้องตอบคำถามทำหน้าแปลกประหลาด ทิมกลืนน้ำลายแล้วทำหน้าคล้ายอยากสำรอก

“เอาเป็นว่าเราเปลี่ยนเรื่องคุยได้ไหม มันไม่ได้มีอะไรแบบนั้นเลย”

“ไม่ใช่ว่าจริงๆ อยากเปลี่ยนเรื่องเพราะรักตุลหรอกเหรอ ซื้อดอกกุหลาบสีแดงไปให้ที่ห้องพักด้วยนี่นา” คะน้ายังไม่เลิกเย้า อันที่จริงแล้วเรื่องนี้ก็เป็นสิ่งที่เขายังสงสัย

“ช่วงนั้นผมต้องไปโรงพยาบาลทุกวัน ผมไปเยี่ยมแม่ที่อยู่โรงพยาบาล ผมก็แค่ซื้อดอกไม้ไปขอบคุณ ผมไม่ได้เล่าเพราะแค่ไม่อยากให้พี่เป็นกังวลแทน แต่มันไม่มีอะไรมากไปกว่านั้นเลยจริงๆ ผมสาบานได้ หมอก้อยเป็นหมอที่ดูแลคุณแม่ผมเอง” ทิมชูนิ้วสามนิ้วขึ้นมาเหมือนตั้งคำปฏิญาณ

“ตุลบอกว่ารู้จักกับนายมาก่อน”

คะน้าถามขึ้นอีกครั้ง ทิมเงียบสงบไปในทันที วินาทีนั้นคะน้ารับรู้ถึงความสั่นไหวที่อาจทำลายแม้คำสัญญาที่ทิมลั่นไว้ว่าจะพูดความจริงทุกอย่าง ...ไม่สิ ทิมพูดความจริงทุกอย่าง คะน้ารู้สึกได้ว่ามันเป็นความจริงนับตั้งแต่ต้น เพียงแต่ดูเหมือนว่าร่างที่กำลังสั่นไหวเล็กๆ ในตอนนี้ ยังไม่ค่อยเชื่อมั่นในตัวเองต่างหากว่าจะยอมพูดทุกอย่างที่เป็นความจริงออกมาได้แบบที่ทำอยู่นี้

“นั่นสินะ หมอนั่นยังจำคนเลวๆ แบบผมได้จริงๆ ด้วย” ดวงตาสีดำคู่นั้นหม่นลงคล้ายกับย้อนตัวเองกลับไปในความทรงจำที่ถูกฝังไว้เนิ่นนาน คะน้านั่งนิ่งๆ เขาไม่ได้ตั้งใจรื้ออดีตขึ้นมาเพื่อเป็นเครื่องมือทำร้ายใคร

“จริงๆ แล้วผมไม่อยากพูดเรื่องอดีตเลย แต่มันสั่นคลอนความรู้สึกในใจ ทิม... ผมพอทราบว่าเคยมีผู้ชายมา... เอ่อ... ชอบนาย ตอนนั้น นายก็ประกาศตัวว่าเกลียดอะไรพวกนี้ รับไม่ได้ ซ้ำยังทำอะไรต่างๆ นานา” คะน้ามองลึกไปในม่านตาคู่นั้น และเห็นเพียงแค่สีดำที่ว่างเปล่า “สำหรับผมแล้ว อดีตไม่ได้สำคัญขนาดนั้น ใครๆ ก็เคยมีเรื่องผิดพลาดที่ตัวเองก็ไม่อยากจดจำ แต่การแสดงออกว่าเกลียดแบบนั้น ผมจะมั่นใจได้ยังไงว่า...นายเปลี่ยนไปแล้ว”

“นั่นสินะ ผมมันเลวจริงๆ” ทิมหยุดคำพูดเหมือนกับจะหยุดลมหายใจตัวเอง “...ในตอนนั้น ผมไม่เคยรู้มาก่อนเลย ว่านภจะคิดแบบนั้น เราสนิทกัน ...หมายถึงเราเป็นเพื่อน เป็นเหมือนกับพี่น้อง รวมทั้งพี่ตุลด้วย พวกเขาดีกับผมมาก กับคนที่ไม่เคยมีใครแบบผมแล้ว... ตลกไหมนะ ผมคิดว่าพวกเขาเป็นพี่น้องจริงๆ” ทิมยักไหล่แล้วยิ้มเศร้า

“วันนั้นเรากินเบียร์กัน มันก็เหมือนปกติทั่วไป แล้วจู่ๆ นภก็บอกเรื่องนั้นกับผม ผมตกใจและไม่รู้จะทำยังไง ผมไม่เคยคิดอย่างอื่นกับนภไปมากกว่าเพื่อนหรือพี่น้อง ผมปฏิเสธ แต่นภบอกว่าจะรอ ผมไม่รู้ ผมไม่ชอบให้ความหวังใคร ยิ่งเขาไม่เลิก ยิ่งดีกับผมเท่าไหร่ ผมยิ่งทำให้เขาไปไกลๆ มากขึ้นเท่านั้น” เสียงทุ้มนั้นเนิบช้าลง

“ความมีน้ำใจ บางทีมันก็โหดร้ายไม่ใช่เหรอ เพราะมันจะทำให้เราเคยชินกับความสุขจนไม่อยากขาด และพอยิ่งนานก็ยิ่งถลำตัว ยิ่งผูกพัน”

คะน้าตรึกตรอง สิ่งที่ทิมคิดนั้นไม่ใช่เรื่องผิด หากปัญหาต่างๆ นั้นเปรียบกับโรคภัยที่ต้องกำจัดรักษา วิธีที่จะใช้รับมือกับปัญหาของคนเรานั้นก็คล้ายกับยาสารพัด มียามากมายให้เลือกใช้ให้เหมาะกับการวินัจฉัยของแพทย์เจ้าของไข้ที่มีความถนัดต่างกันออกไป วิธีการของทิมอาจดูเหมือนคนเลือดเย็น แต่ก็ไม่ต่างอะไรกับการจ่ายยาแรงที่ไม่เลี้ยงไข้ ทว่าเห็นผลชัดเจน กระนั้นคะน้าก็อดที่จะตั้งคำถามกับบางเรื่องไม่ได้



“แล้วทำไมถึงเป็นผม”

“ถ้าถามว่าทำไมพี่ถึงดึงดูดผม ผมตอบได้อย่างไม่ลังเล พี่เป็นคนดี มีน้ำใจ พี่ไม่เคยคิดร้ายกับใคร และอะไรอีกเยอะแยะ ...พี่ครับ มันมีเหตุผลมากมายที่ผมจะตอบและมันคงไม่จบไม่สิ้น แต่ถ้าพี่ถามว่าทำไมผมถึงรักพี่ ผมเองก็ตอบไม่ได้” ทิมไหวหน้าตัวเองไปมา นึกในสิ่งที่ค้นหาอยู่ไม่เจอจริงๆ “เชื่อไหมว่าเคยถามตัวเองนับครั้งไม่ถ้วน แต่ผมหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้เลย ความรู้สึกมันบอกแค่ว่ามันใช่ล่ะมั๊ง จนถึงทุกวันนี้ก็ยังตอบตัวเองไม่ได้เลย”

“มันก็น่าจะมีเหตุผลอะไรบ้างไม่ใช่เหรอ สิ่งที่แตกต่าง นิสัยใจคอ รูปร่างหน้าตาหรือเหตุผลอะไรสักอย่าง”



“การที่ผมจะรักพี่มันต้องมีเหตุผลด้วยเหรอ?”

ทิมตอบด้วยเสียงนิ่ง เสียงทุ้มนั้นยังดังอย่างต่อเนื่อง “ถ้าวันหนึ่งรูปร่างหน้าตาแบบที่ชอบมันเปลี่ยนไป ถ้าวันหนึ่งพี่สูงขึ้น อ้วนขึ้นผอมลง ขาวหรือคล้ำกว่าเดิม ขี้บ่นหรือเงียบมากขึ้น ถ้าวันหนึ่งพี่เลิกชอบทำอะไรแบบที่ผมชอบ แล้วแบบนั้น ผมก็ต้องเลิกรักพี่สินะ” คะน้าอยากจะอ้าปากค้าน แต่เขาก็จนถ้อยคำ ทิมพูดเหตุผลได้น่าสนใจทีเดียว



“ความรักของผมไม่เคยมีเหตุผลเลย ผมแค่ชอบพี่ในแบบที่พี่เป็น”

ชั่วขณะหนึ่งที่ทิมทำให้คะน้ากลับมารู้สึกประหลาดใจได้อีกครั้ง เขาพยายามเสาะหาหลักฐานบางอย่างว่านั่นคือการปั้นคำที่สวยหรูชวนฟังหรือคำสัตย์ หากแต่ผู้พูดนั้นกลับรักษาท่าทีที่เป็นธรรมชาติของตัวเองเอาไว้ได้อย่างจริงใจ จนคะน้าต้องยอมจำนนพร้อมกับหัวใจของตัวเองที่กำลังพองโตเหมือนรอเวลาระเบิด

“เกลียดผมหรือเปล่า บางทีก็ทำแต่เรื่องแย่ๆ ให้หนักใจ” คะน้าส่ายหน้าไปมาพร้อมรอยยิ้ม ดูเหมือนนั่นจะทำให้สีหน้าของทิมดูโล่งใจขึ้น



“...นึกว่าจะถูกเกลียดเสียแล้ว

ทิมขยับตัวเล็กน้อยแล้วกระชับอ้อมแขน ริมฝีปากนั้นเบียดแนบเข้าด้านข้างของใบหน้าคะน้า กระซิบคำถามที่สงสัยด้วยน้ำเสียงที่เว้าวอน



“บอกผมทีได้ไหม พี่ยังรักคนๆ นี้อยู่หรือเปล่า”

คะน้ากดใบหน้าของตัวเองลงกับซอกคอของเจ้าของไออุ่นจากด้านหลัง รู้ตัวดีว่าร่างกายตัวเองกำลังร้อนผ่าวไปด้วยคำหวานที่ตรงเป็นขวานผ่าซาก และถึงแม้จะพยายามสะกดความรู้สึกของตัวเองแค่ไหน ในใจก็ยังสั่นวาบ ...เขากำลังรู้สึกเขิน และมากด้วย

พูดมาได้ยังไงวะ? ไอ้หน้าด้าน ไม่รู้จักอาย

“นั่นอยู่เหนือข้อตกลง ผมจะไม่พูดอะไรทั้งนั้น”

บางทีคะน้าก็รู้สึกว่าพักหลังๆ ตัวเขาเองกลับกลายเป็นคนมีจริตขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ และแปลกที่ความรู้สึกนี้จะเด่นชัดขึ้นทุกครั้งเวลาที่อยู่ต่อหน้าทิม หากแต่ดูเหมือนว่าเจ้าตัวจะไม่ใคร่สนใจอะไรมากมาย ทิมยังส่งยิ้มหวานด้วยท่าทางที่กวนๆ แบบเดิมมาเช่นทุกครั้ง

“ผมเล่าให้ฟังทุกๆ เรื่องแล้ว ขอทวงสัญญาแล้วกัน”

“สัญญาอะไร”

คะน้าถามด้วยความรู้สึกสงสัยระคนกับความหวั่นใจเล็กๆ ทิมกระชับวงแขนตัวเองขึ้นอีกนิดแล้วยื่นหน้าเข้ามาใกล้จนรับรู้ถึงลมหายใจที่ผ่าวร้อน มือข้างนั้นลูบเบาๆ บนเส้นผมของเขา ทิมยิ้มอย่างอ่อนโยน




“จูบอีกทีได้ไหม”

“ในหัวไม่มีเรื่องอื่นเลยหรือไงกัน?”

คำบ่นนั้นทำให้ทิมหัวเราะเสียงใส คะน้าถอนหายใจแล้วโน้มใบหน้าเข้าหาคนที่ร้องขอ ทิมทวงคำสัญญาด้วยริมฝีปากที่บดเข้าหาความนุ่มนวลนั้นเหมือนกับจะไม่ยอมให้สิ้นสุด ครั้งแล้วครั้งเล่า เริ่มต้น และเริ่มต้นอีกครั้งไม่จบสิ้น

เขาไม่รู้เลยว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร หากนี่เป็นครั้งสุดท้าย วันสุดท้ายที่จะมีชีวิตอยู่ได้ คะน้าก็อยากตามใจตัวเองให้เต็มที่ เหตุการณ์ร้ายๆ ที่ผ่านไปทำให้ได้เรียนรู้อะไรมากมาย ...รวมไปถึงคุณค่าของเวลา คะน้าตอบรับทุกสัมผัสที่ผ่าวร้อนนั้นอย่างเต็มความรู้สึก ร่างกายจดจำทุกครั้งที่ริมฝีปากนั้นแนบชิดแล้วบดเน้นบนเนินปากของตัวเองราวกับจะไม่มีวันเลือนลืม เป็นเวลาหลายนาทีกว่าทั้งคู่จะได้พักหายใจหายคอ

“จะทำยังไงต่อไป” คะน้าเอนหัวพิงเข้ากับใบหน้าของคนที่อยู่ด้านหลัง ยังรู้สึกเหนื่อยเหมือนกับตัวเองหายใจไม่ทัน มือซ้ายของทิมคลายตัวออกจากอ้อมกอดแล้วมาบีบมือเขาไว้เบาๆ

“ไม่รู้เลย”

“แล้วเรื่องคุณธาดา กับบริษัทล่ะ” ทิมชะงักสีหน้าไปเล็กน้อยก่อนจะตอบออกมา

“เขาผิดจริง แต่ผมก็หวังว่าจะยังตกลงพูดจากันดีๆ ได้ มันไม่ควรเลยเถิดมาไกลขนาดนี้ด้วยซ้ำ แต่มันก็แล้วแต่พี่กับพี่ผักกาด ผมจะไม่ขัดขวางอะไรเลย แล้วแต่พี่ตัดสินใจเถอะครับ” นับเป็นสิ่งที่ทำให้คะน้าตั้งคำถามย้อนกลับสู่ตัวเอง หากแม้นเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกับตัวเขา คะน้าก็นึกไม่ออกเช่นกันว่าเขาจะทำตัวอย่างไร เขาเลียริมฝีปากตัวเอง พยายามนึกหาถ้อยคำที่เหมาะสมและไม่ทำร้ายความรู้สึกกันเกินไป จนแล้วจนรอด เขาก็หาทางเลี่ยงไม่ได้

“แม้ว่าพ่อของนายจะต้องติดคุก หรือบริษัทจะล่มอย่างนั้นหรือ”

ทิมพยักหน้ายอมรับ ดวงตาคู่นั้นเวิ้งว้างเหมือนท้องฟ้าในคืนเดือนมืด “มันเป็นผลจากการกระทำของเขาเอง ผมแค่ทำในสิ่งที่ผมควรทำคือดูแลคุณแม่กับพี่ แล้วก็พี่ผักกาดให้มีความสุข ...ส่วนพ่อ ผมไม่ได้ผูกพันกับความรู้สึกนั้นแต่ต้นแล้ว จะมีหรือไม่มี ความรู้สึกของผมไม่เคยบอกว่าตัวเองขาดอะไรไป”

คะน้าโบกมือหยุดคำพูดของทิมไว้แค่นั้น เพียงเท่านี้ทิมและเขาก็บอบช้ำจนเกินพอกับเรื่องราวต่างๆ เหล่านี้แล้ว เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะมีชีวิตรอดไปจากที่นี่หรือเปล่า คำถามมากมายก็เพื่อเส้นทางหลังการอยู่รอดเท่านั้น และสิ่งที่คะน้าอยากรู้จากปากของทิม ก็ได้รับคำตอบที่ชัดเจนไปหมดแล้ว

“คิดว่ามันจะมีทางลับหรืออุโมงค์ใต้พื้นดินแบบในนิยายไหม ถึงเวลาคับขัน เราก็พบกับทางออกปริศนาให้รอดไปได้” สมมติฐานแปลกประหลาดของคะน้าที่เหมือนจะรำพันออกมาให้ตัวเองฟังมากกว่าจะแบ่งปันกับใครนั้นเรียกรอยยิ้มของคนที่ได้ยินจุดขึ้นอีกครั้ง ทิมส่งยิ้มกว้างมาให้เขา สบตาแล้วพูดความมั่นใจ



“เราจะรอด”

คะน้าเบือนสายตากับมามองแล้วตั้งคำถาม “ทำไมมั่นใจแบบนั้น”

“ผมพูดแต่เรื่องจริง พี่ก็รู้แล้วนี่ว่าถึงจะถ่อย พูดเพราะๆ ไม่ค่อยเก่ง แต่ผมก็ไม่เคยโกหกสักครั้ง” ทิมยกมือซ้ายขึ้นลูบคางของตัวเองไปมา ดวงตาคู่นั้นกลับมาวับวาวอีกครั้ง

“ก็ใช่” คะน้ารับคำไปตามความเป็นจริง คิดทบทวนดูแล้ว ถ้าไม่นับเรื่องที่เอาตัวเองไปข้องเกี่ยวกับปัญหาแทนเขาจนได้แผลกลับมา เหมือนกับว่าทิมจะไม่เคยโกหกเขาเลยสักครั้ง



“นั่นรวมไปถึงที่บอกว่าแค่เห็นก้นพี่ ผมก็แข็งได้แล้วด้วย”

“อ้อ นั่นก็นับว่าเป็นเรื่องจริงด้วยเหรอ”

คะน้าขืนหัวเราะในลำคอ แม้จนปัญญาจะต่อความแต่ก็อดไม่ได้ที่จะแขวะขึ้นมาให้พอหายอาการประเภทขอสักนิด ทิมหันมาส่งยิ้มหวานแล้วทำหน้ากวนประสาท คะน้าจำดวงตาเจ้าเล่ห์นั้นได้ แววตาที่ให้ความรู้สึกอันตราย แต่ก็อดไม่ได้สักครั้งที่จะจ้องมอง


“ผมไม่โกหกพี่ ...จะพิสูจน์ก็ได้”

รอยยิ้มนั้น เจ้าเล่ห์ชะมัด!

 
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++



คิดแล้วก็แอบเซ็งตัวเองอยู่ไม่หาย ไม่น่าพลาดเขียนตอนพิเศษขึ้นมาเลย
ไม่อย่างนั้นมาถึงช่วงท้ายๆ นี่คงจะลุ้นกันมากกว่านี้ (แค่นี้ยังไม่พออีกเรอะ!!!)
อย่าพลาดตอนหน้านะครับ มาถึงบทสรุปแล้ว ลุ้นกันว่าเรื่องนี้จะจบแบบไหน
+ 1 สำหรับทุกๆ คอมเมนต์นะครับ ขอบคุณมากๆ จริงๆ พบกันใหม่คราวหน้าครับ
อาจจะช้าหน่อยนะ เหมือนว่าจะเริ่มยุ่งๆ นิดนึง แต่ก็ไม่เกิน 1 สัปดาห์แน่นอนครับ

:กอด1: ขอกอดทิ้งทวนสักหนึ่งที แล้วพบกันใหม่ตอนหน้าครับ

ออฟไลน์ evanescence_69

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 193
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-3
ตอนสุดท้ายอย่า ให้รอนานนะ

ออฟไลน์ Millet

  • `ヅ
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1667
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +663/-5
ทิมของช้านนนนน คือผู้บริสุทธิ์

แหมหมั่นใส้นะ จะเอาชีวิตไม่รอดกันอยู่แล้ว จูบกันอยู่นั่นล่ะ 555 อิจฉาว้อยยยย

ออฟไลน์ ~มือวางอันดับ1~

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1583
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +145/-7
 :z13: จองที่นั่ง  :z2: ไปอ่านก่อนค่ะ .............
อ่านจบตอนแล้ว กริ๊ด น้องทิม กะพี่คะน้า เขาหวาน กันจริงๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ :o8: :o8: :o8: ชอบอ่ะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10-03-2013 09:05:17 โดย ~มือวางอันดับ1~ »

hongyia

  • บุคคลทั่วไป
ทิมเป็นคนดีจิงๆด้วย

ออฟไลน์ -west-

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1393
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1875/-12
    • FACEBOOK PAGE
ทิมแม่งพระเอกมาก!!!
แต่กะล่อนไม่ไหว  เวลาแบบนี้ยังทำพูดเล่น จริงจังหน่อยสิ โดยเฉพาะประโยคสุดท้ายอะ  พิสูจน์เลยๆๆ
แต่ชีวิตฮีรันทดอยู่นะ  แบบถูกตราหน้าว่าแย่ตั้งแต่ไหนแต่ไร แล้วคือแบบไม่แก้ตัว ไม่พยายามเป็นคนดีอะไรซักอย่างด้วย  แบบใครมองยังไงก็ช่างมึง เห็นชัดๆในเรื่องนภ ซึ่งแบบ เข้าใจในวิธีปฏิบัตินะ จริงๆก็เข้าใจทุกฝ่ายอะ ถึงได้บอก ทิมแม่งน่าสงสาร
มานี่มา กอดที~~~~
คอมเม้นนี้เม้นตอนจะข้ามไปลาว ฮือๆ  ดูเวลาที่เทออัพเส่ะ

ออฟไลน์ bebe

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 672
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-5

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด