♣ ผมไม่อยากอยู่คนเดียวบนดวงจันทร์ ♣
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ♣ ผมไม่อยากอยู่คนเดียวบนดวงจันทร์ ♣  (อ่าน 430486 ครั้ง)

ออฟไลน์ candynosugar+

  • กลัวแล้ว
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 190
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-2
    • CDNSG+
หืม.. ขออีกทีซิ
พี่หั่นครึ่งตอนเหรอคะ?

หั่นตอนรึหั่นหัวใจคนอ่านคะพี่

 :z3: :z3: :z3: :z3: :เฮ้อ: :m31:

ออฟไลน์ Jaiko★

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 175
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
เห่ยยย ต่ายน้อย เชื่อใจทิมหน่อยเถอะลูก 5555555555
บางทีก็รู้สึกขัดแย้งนะ ว่ากันว่าคะน้าเป็นคนเชื่อคนง่าย แต่กลับไม่ค่อยเชื่อใจคนที่ตัวเองรักเลย โดนกระทบทีก็เขวที- -
ส่วนพ่อพระเอกคนเหล็กก็หายหัวไปอีกละ มาอยู่ปลอบกระต่ายน้อยให้หายฟุ้งซ่านเร็วๆเถอะพ่อคุณณณ 55555555 รอตอต่อไปอยู่จ้า สู้ๆ :)

hongyia

  • บุคคลทั่วไป
อะไรของทิมอีกเนี่ย

ออฟไลน์ tulakom5644

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 587
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +75/-1
อยากอ่านตอนต่อไปแล้วอ่ะ....................รอทิมอยู่น้าาาาาาาาาาาาาา

ออฟไลน์ loverken

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 504
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-0

ออฟไลน์ Noo_Patchy

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1055
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +123/-4

ออฟไลน์ Lucea

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 312
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +292/-0
สวัสดีครับ และแล้วก็เดินทางด้วยกันมาถึงตอนสุดท้ายกันแล้วล่ะครับ :o8:
เป็นตอนที่ยาวมา อัดแน่นไปด้วยตัวหนังสือละลานตา อ่านแล้วมีอาการสลบเอาได้ง่ายๆ
ยาวมากและเยอะมากขนาดต้องแบ่งออกเป็นสามรีพลายเป็นตัวอักษรเกิน
แต่ก็หวังว่าจะชอบกันนะครับ ต่อกันเลยครับ ...ตอนอวสาน :o12:



++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++




ตอนที่ 40



นานมาแล้ว... โลกมีพระจันทร์สองดวงที่รักกันมากอยู่คู่กันไม่เคยห่าง ทุกๆ คืนเมื่อแหงนมองไปบนฟ้าจึงจะเห็นดวงจันทร์ทั้งคู่อยู่เคียงข้างกันเสมอ แต่แล้ววันหนึ่งดวงจันทร์ดวงหนึ่งก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย พระจันทร์อีกดวงจึงได้แต่ตามหาไปทุกหนทุกแห่ง คืนแล้วคืนเล่าจนวันเวลาล่วงผ่านไป แต่พระจันทร์ดวงนั้นก็ไม่สามารถหาดวงจันทร์อีกดวงที่ตัวเองรักมากได้พบ ด้วยความคิดถึงและอยากพบดวงจันทร์ที่หายไปให้เร็วที่สุด ...จึงตัดสินใจระเบิดตัวเองเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยไปทั่วทั้งจักรวาล ...กลายเป็นดวงดาวที่ส่องแสงประกายรอดวงจันทร์อยู่ทุกค่ำคืน

เป็นเรื่องเล่าที่ผมอดถามตัวเองไม่ได้ว่าผมกำลังเป็นดั่งพระจันทร์ดวงนั้นหรือเปล่า สองปีแล้วนับตั้งแต่เหตุการณ์ในวันนั้น ความรู้สึกของผมยังเหมือนเดิม การรอคอยนั้นก็ดูเหมือนจะไม่มีที่สิ้นสุด โลกของผมยังหมุนด้วยความเร็วเท่าเดิมทุกวัน ยังเป็นแบบเดิมแม้ทุกอย่างรอบๆ ตัวจะเปลี่ยนแปลงไปแค่ไหนก็ตาม

สองปี... เกิดความเปลี่ยนแปลงมากมายเหลือเกิน แน่ล่ะ ก็โลกมันไม่เคยหยุดหมุนเลยไม่ใช่หรือ แรงเหวี่ยงของลูกกลมๆ ขนาดยักษ์นี่ทำให้ผมกลายเป็นมนุษย์เงินเดือนเต็มตัวไปเสียแล้ว ผมเริ่มนับหนึ่งใหม่กับงานที่ตัวเองถนัด จนเดี๋ยวนี้กลายเป็นผู้จัดการฝ่ายการตลาดของบริษัทต่างชาติแห่งหนึ่ง ในเรื่องการงานผมมีความสุขมากเลยล่ะ มีรถคันใหม่ มีสังคมใหม่ รู้จักคนใหม่ๆ แต่มันก็แค่เปลือกนอกที่ห่อหุ้ม หากเอามีดกรีดออกก็คงจะได้เห็นเนื้อในที่แอบซ่อนไว้ ผมยังเหมือนเดิม ยังทำตัวโง่ๆ แบบวันเก่าๆ ออกตามหาคนๆ นั้นไปทุกที่ และรอคอยอยู่ที่เดิมๆ

เคยมีคนบอกว่าผมเหมือนกับแม่ชนิดโคลนกันออกมา เชื่อไหมว่าผมกลับไม่รู้สึกแบบนั้นสักครั้ง เพราะลึกๆ แล้วผมไม่ค่อยเข้าใจในการกระทำของแม่หลายต่อหลายอย่าง แต่พอนานวันเข้า น่าตลกที่ผมเริ่มเข้าใจความรู้สึกของแม่ขึ้นทีละน้อย เข้าใจแล้วว่าทำไมแม่ถึงรักคนๆ หนึ่งได้มากมายขนาดนั้น ผมเข้าใจแล้วว่าทำไมแม่ถึงยังรอคอยให้พ่อกลับมาทั้งๆ ที่รู้ว่ามันคงไม่มีทางเกิดขึ้นจริง

“เป็นอะไรหรือเปล่าพี่ ดูเงียบไปตั้งแต่เมื่อกี้นะ” เสียงคนข้างตัวดังขึ้น ดึงคะน้าให้กลับออกมาจากโลกแห่งความคิดอีกครั้ง มองอย่างผิวเผิน เด็กหนุ่มที่อายุน้อยกว่าคนนั้นให้ความรู้สึกบางอย่างที่ไม่ว่าใครที่ได้เห็นก็รู้สึกคุ้นตา

“ไม่มีอะไรหรอกนัท ว่าแต่เราจะไปไหนล่ะ” เขาปั้นยิ้มให้กับชายหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างๆ

หลายคนบอกว่านัทมีหลายอย่างที่คล้ายกับทิม ไม่ใช่แค่รูปร่างหน้าตาที่มีส่วนละม้าย ดวงตาคู่นั้นก็แข็งขืนไม่ยอมคนเหมือนกับถอดแบบกันมา ท่าทางที่ยียวนหรือแม้แต่รอยยิ้มกวนๆ นั่นก็เรียกได้ว่าพิมพ์เดียวกันไม่ผิดเพี้ยน แต่ไม่ใช่หรอก ...นัทไม่ใช่ทิม ...คล้ายแต่ไม่ใช่ นับแต่แรกที่รู้จักกันที่ทำงาน คะน้าไม่เคยรู้สึกเลยสักครั้งว่านัทเหมือนกับทิม

“เดินด้วยกัน แต่เหมือนมองหา เหมือนคอยใครอยู่ตลอดเวลา แบบนี้หรือเปล่าถึงปฏิเสธผม” นัทตั้งคำถามที่ไม่คิดว่าตัวเองจะได้คำตอบ คะน้าหันมายิ้มให้คนข้างตัวแล้วเดินต่อ ร่างสูงที่ยืนใกล้ๆ ได้แต่ทำหน้าที่สื่อถึงความน้อยใจ กระนั้นก็เดินกระฟัดกระเฟียดตามไปไม่ห่าง ไม่ใช่ว่าคะน้าไม่มีคำตอบ หากแต่ถ้อยคำในใจเขานั้นดูจะเป็นเรื่องงมงายเกินกว่าจะพูดถึง

คะน้าไม่รู้ว่ามันเริ่มต้นจากตรงไหน จู่ๆ เด็กหนุ่มรุ่นน้องต่างแผนกก็เข้ามาเวียนวนอยู่รอบๆ ตัว เดิมทีเดียวเขาแค่รู้สึกแปลกใจในท่าทางวางก้ามไม่มีสัมมาคารวะ การปฏิบัติต่อเขาผิดกับคนอื่นๆ ทั้งการพูดจาที่ขัดหูไม่น่าฟัง หรือท่าทางแปลกประหลาดเหมือนหาเรื่องได้ตลอดเวลา แต่พอนานไป การทำงานก็ทำให้กลายเป็นสนิทเข้าขากันได้โดยไม่รู้ตัว กระทั่งวันหนึ่ง ก็เหมือนกับฟ้าผ่าลงกลางกระหม่อมเขา เมื่อจู่ๆ นัทก็พูดว่าคิดกับเขามากกว่าเพื่อนร่วมงานหรือพี่น้อง นั่นเป็นสิ่งที่ทำเอาคะน้ามึนไปหลายวัน เขาไม่รู้ว่าอะไรทำให้นัทคิดไปแบบนั้น ทั้งๆ ที่ตัวเองก็เป็นแค่คนที่แสนธรรมดา หนำซ้ำไปกว่านั้น เขาก็เป็นผู้ชายไม่ใช่หรือ?

ไมใช่ว่านัทไม่ดีอะไร เด็กหนุ่มคนนี้ดีพร้อมไปทุกอย่างด้วยซ้ำ รูปร่างหน้าตา บุคลิก นิสัยใจคอ คะน้าไม่เห็นว่ามีข้อเสียอะไรจะให้ตำหนิ แต่เขาเป็นคนลืมช้า ความรู้สึกมันฝังแน่นจนลืมไม่ลงไปแล้ว เวลาของเขาเหมือนจะหยุดเดินไปนานมากจนแม้แต่ตัวเขาเองก็จำไม่ได้ คะน้าจำแต่ภาพในอดีต ความทรงจำนั้นทิ้งร่องรอยต่างๆ เอาไว้ในใจเขามากมาย มากพอที่จะทำให้เขาเริ่มต้นใหม่กับใครไม่ได้อีก

นัทเดินนำหน้าคะน้าลงไปชั้นล่างที่เป็นศูนย์อาหารและส่วนพลาซ่าที่มีข้าวของต่างๆ ขาย เขาชักฝีเท้าตามไปช้าๆ  ระหว่างเขากับนัท ไม่มีอะไรมากเกินไปกว่าเพื่อนร่วมงานและพี่น้อง ความจริงในข้อนี้ ตัวนัทเองก็ยอมรับได้ แม้ว่าจะไม่อยากยอมรับก็ตาม

สองปีแล้ว อะไรๆ ก็เปลี่ยนไป ที่แห่งนี่ก่อตัวเป็นรูปร่างและกลายเป็นแม่เหล็กดึงดูดผู้คนมากมายให้แวะมาเยี่ยมเยือน ไม่เหลือเค้าของพื้นที่เดิมที่เป็นตลาดสดที่มีเสียงจอแจแบบแต่ก่อนอีกแล้ว มีเพียงอาคารทรงโดมครึ่งวงกลมขนาดใหญ่ตระหง่านคู่กับคอนโดมิเนียมสุดหรูของธาดาพิพัฒน์ ไม่มีอากาศที่ร้อนอบอ้าว เสียงตามสายเปิดเพลงลูกทุ่งสลับกับเพลงเกาหลี หรือกลิ่นคาวตามแผงอาหารเก่าๆ ที่คุ้นในความทรงจำ ที่นี่เย็นสบายด้วยเครื่องปรับอากาศแม้ในวันที่แสนร้อนอบอ้าว มีเพลงคลาสสิกที่บรรเลงด้วยเปียโนสบายหู และร้านรวงจากเหล่าสินค้าแบรนด์เนมทั้งของไทยและต่างประเทศมากมาย

ในวันที่เปิดตัว นับเป็นครั้งแรกที่เขาได้มีโอกาสได้เห็นตัวจริงของคุณธาดา ประธานกรรมการบริหารของธาดาพิพัฒน์ได้มาร่วมงานเปิดตัวโปรเจ็กต์หลายหมื่นล้านแห่งนี้ คนๆ นั้นประกาศกร้าวว่าจะกระตุ้นเม็ดเงินในตลาดบ้านเราให้กลับมาคึกคักอีกครั้งด้วยคอมเพล็กซ์ที่มีเนื้อที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย เขากลายเป็นวีรบุรุษที่ได้รับการยกย่องในวงสังคม สื่อมวลชนต่างขนานนามว่าเขาเป็นพ่อมดที่กุมบังเหียนเศรษฐกิจในยุคปัจจุบันของบ้านเรา คุณธาดาเป็นคนที่ใครๆ ก็ต่างชื่นชม นับหน้าถือตา

เมื่องานบนเวทีเสร็จสิ้น เป็นช่วงเวลาที่คะน้าได้มีโอกาสได้เห็นตัวตนที่แท้จริงของคุณธาดา ตัวตนที่เป็นตัวตนจริงๆ ไม่ใช่คราบที่ฉาบไว้เป็นเปลือกห่อหุ้ม ชายสูงวัยคนนั้นไม่ได้มีท่าทีที่โหดเหี้ยมร้ายกาจเลือดเย็น ไม่ได้มีแม้แต่ท่าทางของคนที่มีความสุขกับการเปิดตัวโครงการใหญ่โตจนเป็นที่กล่าวขาน ตัวตนที่แท้จริงของคุณธาดาผิดแผกกว่าจินตนาการที่คะน้าเคยคาดคิดไว้ไปไกลแสนไกล และแตกต่างจากคนธรรมดาทั่วไปที่เมื่อเสร็จสิ้นงานก็แยกย้ายกันไปกับครอบครัว กับเพื่อนฝูงคนรัก

หากแต่คนๆ นั้นกลับแค่ยืนนิ่งๆ อยู่กับที่ มองทุกอย่างรอบๆ ตัว สถานที่ที่คุ้นเคย...ดูไม่คุ้นเคย แวดล้อมด้วยลูกน้องคนรู้จัก...ที่ไม่รู้จัก ดวงตาคู่นั้นตรงกันข้ามกับความสุข ปราศจากความรู้สึกยินดี ดวงตาคู่นั้นกำลังโรยราด้วยความเดียวดาย คุณธาดาเป็นเพียงชายสูงวัยที่ยืนอยู่คนเดียวลำพัง ...ในนรกของการถูกลืม

“หอยทอดครับ ทานที่นี่” คะน้าเดินมาหยุดที่หน้าร้านอาหารแล้วเอ่ยปากสั่งเมนูกับแม่ค้าคนสวยที่ง่วนอยู่หน้าเตา นัทเดินตามมาข้างๆ มองดูรายการอาหารต่างๆ แล้วเลือกที่จะสั่งอีกอย่าง

“ผมขอผัดไทย” คนที่ยืนข้างแม่ค้าหน้าเตาจดใส่กระดาษก่อนจะเงยหน้าขึ้นอีกรอบแล้วตะโกนลั่น

“พี่คะน้าหรือเปล่าฮะ!!” เสียงห้าวจากหญิงสาวที่ซอยผมสั้นทำให้คะน้าหันกลับไปมอง แม้จะรู้สึกคุ้นตาแต่ก็แปลกใจไม่น้อย คะน้านึกไม่ออกว่าเคยเจอกับหญิงสาวท่าทางห้าวคนนี้ที่ไหน

“จันทูไงครับ! จำได้ไหม”

“จ..จันทู!!!!” คะน้าเอ่ยเสียงดังพร้อมด้วยอาการตกใจถึงขีดสุด

“กริ๊ดดดดดดดด! พี่คะน้าเหรอคะ จำสายใจได้ไหม” แม่ค้าหน้าตาสะสวยที่ยืนอยู่ที่หน้าเตาเงยหน้าขึ้นมาเอ่ยทัก “ตายจริง มัวแต่ยุ่งๆ หนูก็ไม่ทันได้มอง เดี๋ยวมื้อนี้ฟรีเลยนะคะ ขอหนูเลี้ยงเอง”

“สายใจหรือนี่ โอ้โห จำไม่ได้เลย จันทูก็ด้วย โอ้ยยย... จำไม่ได้จริงๆ สบายดีกันนะ” สองสาวยิ้มร่าโดยมีนัทยืนทำหน้างงๆ อยู่ใกล้ๆ คะน้ายกกำปั้นขึ้นทุบหัว คุ้นตาแต่เขากลับนึกไม่ถึง สายใจแต่งตัวรัดกุมขึ้น ไม่ได้แต่งหน้าจัดจ้านหรือทำผมฟูฟ่องแบบที่เคยเห็น สายใจในตอนนี้ดูอิ่มเอิบเหมือนดอกไม้สะพรั่งที่งดงามตามธรรมชาติของมัน แต่ที่แย่ไปกว่านั้น ...เขาจำจันทูไม่ได้เลย จันทูดูห้าวขึ้น แต่งตัวแบบทอมบอย ซอยผมสั้น มองเผินๆ เหมือนเด็กหนุ่มทั่วไปมากกว่าจะเป็นเด็กสาวสุดซ่าอย่างที่คุ้นในความทรงจำ ที่สำคัญ จันทูในตอนนี้พูดภาษาไทยได้อย่าฉะฉานเหมือนกับคนไทยปกติตามท้องถนนทั่วไป “จำไม่ได้จริงๆ ...จันทู”

“เจมส์ฮะ ผมเปลี่ยนชื่อเป็นเจมส์แล้วนะฮะ” จันทูแย้งแล้วเสยผมเท่ เล่นเอาคะน้าทำหน้าไม่ถูก

“เอ่อ...เจมส์ ...เจมส์เลยเหรอ? เอ่อ... คือแล้วยังไง...เจมส์ถึงมาขายของกับสายใจได้ล่ะ” คะน้าเรียกชื่อใหม่ของจันทูอย่างตะกุกตะกัก ยังรู้สึกแปร่งปากตัวเองไม่หายเมื่อนึกถึงภาพในอดีตของผู้ช่วยชาวพม่าคนนี้

“พี่คะน้าคะ จะว่ายังไงดีล่ะ จริงๆ มันก็เริ่มตั้งแต่ตอนนั้นแล้วแต่เราสองคนก็ยังไม่กล้าพูดออกไป อยากรอให้มันชัดเจนกว่านี้ คือว่า... หลังช่วงซ้อมเต้นนั่น เราสองคนก็เริ่มคบๆ กันแล้วน่ะค่ะพี่คะน้า” สายใจบิดตัวเป็นเกลียวด้วยอาการขวยเขิน

“ห๊ะ!!!!!!!!!!!” คะน้าอุทานด้วยความตกใจอีกครั้งจนนัททำหน้าตาประหลาด ถึงแบบนั้นเด็กหนุ่มรุ่นน้องก็ไม่ได้คิดจะพูดท้วงอะไรตามนิสัยไว้ตัวของเจ้าตัว

“ตอนนั้นน่ะ ที่เผลอไปจูบโดนกัน มันก็สปาร์กๆๆๆ นะฮะ ผมรู้เลยว่าเนี่ย...มันใช่อ่ะ!!!” จันทูโอบเอวของสายใจแล้วหอมฟอดลงที่แก้ม ช่างหวานได้ไม่แคร์สื่อจริงๆ

“นานแล้วสินะ ผมไม่รู้เลย” แม้จะเป็นเรื่องสุดยอดเกินกว่าที่คะน้าจะเคยคาดคิดจินตนาการไว้ แต่เขาก็รู้สึกยินดีด้วยจากใจจริง ท่าทางของจันทู ...เจมส์กับสายใจดูมีความสุขเหมือนกับคู่รักที่ผูกพันกันมากมาย “แล้วก็เลยมาลงแรงเปิดร้านกัน ก็ดีนะ ช่วยๆ กัน”

“อะไรจะเหมาะสมกับเราไปกว่านี้อีกล่ะครับ เรื่อง หอยๆ น่ะ หอยสด หอยอร่อย หอยใหญ่ๆ ต้องนึกถึงหอยเราสองคน” จันทูส่งเสียงลั่น ทำเอาคนรอบข้างหันมามองแล้วอมยิ้ม บางคนก็อ้าปากค้าง ขณะที่บางคนถึงกับกลั้นไม่อยู่ต้องหัวเราะขำออกมา คะน้ารู้สึกชาแทน จันทูในวันนี้ อาจจะเปลี่ยนไปเป็นเจมส์แล้วก็จริง แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมดหรอก

“เอ่อ... เจ๊เป็ดเป็นยังไงบ้าง ขายของอยู่ในนี้หรือเปล่า คนอื่นๆ ด้วยล่ะ พอได้ข่าวไหม” เขาจงใจหันไปถามสายใจที่ดูจะได้เรื่องได้ราวกว่า

“เปล่าหรอกจ๊ะพี่คะน้า เจ๊แกเลิกขายแผงแล้วกลายเป็นเถ้าแก่เนี๊ยะไปแล้ว ตอนนี้ทำสวนผักปลอดสารพิษส่งขายให้กับร้านพวกเราน่ะพี่ ส่วนคนอื่นๆ ก็เหมือนกัน เฮียตี๋แกก็ส่งหมูให้กับพวกเรานี่แหละ พี่ป้าน้าอาทั้งหมดก็พึ่งพาอาศัยกันหมด ไปไหนเราไปกันไม่ทอดทิ้งกัน จะว่ายังไงล่ะ พวกหนูคงติดนิสัยมาจากพี่คะน้านี่แหละ เราอยู่กันเหมือนครอบครัวกันไปแล้ว ถึงวันนี้อะไรๆ มันจะเปลี่ยนไป แต่พวกเราก็ยังเหมือนเดิมนะ ดีใจที่ได้เจอพี่อีก พวกเราทุกคนคิดถึงพี่นะ” สายใจผัดอาหารในกระทะที่ร้อนฉ่าพร้อมรอยยิ้ม

“คิดถึงจริงๆ พี่คะน้าก็เป็นเหมือนกับพี่แท้ๆ ของผม วันนี้ได้เห็นพี่แต่งตัวโก้ มีงานการดีๆ ก็โคตรดีใจ เดี๋ยวเจมส์จะเอาไปโม้ให้ทุกคนฟังเลยว่าวันนี้ได้เจอพี่ เอาให้พวกมันอิจฉา” จันทูหัวเราะร่าอย่างมีความสุข

...เหมือนพี่น้อง เหมือนครอบครัวอย่างนั้นเหรอ

คะน้ารู้สึกเหมือนตัวเองพูดอะไรไม่ออก คำพูดง่ายๆ จากปากของคนที่อยู่ในความทรงจำทำให้ภาพวันเก่าๆ หวนคืนมา เขาเคยยิ้ม หัวเราะชวนหัว ร้องเล่นเต้นรำ กินข้าวกับพี่น้องทุกคนที่นี่จนกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตไปแล้ว แม้จะจากกันไปนานแต่พอได้กับมาเห็นอีกครั้ง ได้รู้ข่าวว่าทุกคนสบายดี มีงานที่ดีมีความสุขกันทำ คล้ายกับคนที่แจวเรือพาผู้โดยสารส่งถึงอีกฝั่งอย่างปลอดภัย มันเป็นความรู้สึกที่ตัวของคะน้าเองก็บรรยายไม่ถูก

“ได้แล้วจ๊ะพี่ ผัดไทยก็ได้แล้วนะจ๊ะ แต่ต้องให้หนูเลี้ยงนะ” สายใจยิ้มหวานแล้วส่งจานให้

“รับไปเถอะ ของซื้อของขาย อย่าให้พี่ลำบากใจเลย” คะน้ายัดเงินใส่มือของจันทู หญิงสาวหรืออันที่จริงควรจะเรียกว่าชายหนุ่มทำสีหน้าลำบากใจ แต่เมื่อเขาแข็งขืน จันทูก็จำใจรับไปอย่างเสียไม่ได้

“เวลาเปลี่ยนไปตั้งนาน จนเดี๋ยวนี้อะไรๆ มันเปลี่ยนไปไหนต่อไหนแล้ว พี่คะน้าแต่งตัวโก้เป็นหนุ่มออฟฟิศ ทำงานในตึกหรูๆ ...แต่พี่กลับไม่เปลี่ยนไปเลย พี่ยังเป็นพี่คะน้าของพวกเราจริงๆ”

“เราก็เหมือนกันน่ะ จะเจมส์หรือจันทู สายใจ รวมทั้งคนอื่นๆ ก็ด้วย ...สำหรับพี่แล้ว เราสองคนยังเป็นคนเดิมที่พี่รู้จักนะ ฝากความระลึกถึงเจ๊เป็ด เฮียตี๋ พี่ศักดิ์ บังอร ลำไย และคนอื่นๆ ด้วยนะ ไว้พี่จะแวะมาเยี่ยมบ่อยๆ” คะน้ารับจานแล้วเดินออกมาโดยมีนัทตามมาติดๆ

“คุยซะนาน สนิทเหรอ?”

“เหมือนคนในครอบครัวเลยล่ะ” คะน้าตอบพร้อมกับรอยยิ้ม

เวลาผ่านไป มีหลายอย่างเกิดขึ้นมากมายจริงๆ ...สองปี จะว่าสั้นก็สั้น จะว่านานก็นาน แต่เป็นสองปีแห่งความเปลี่ยนแปลงจริงๆ เริ่มจากคนใกล้ตัวเขาที่สุด ในที่สุดผักกาดก็ยอมผิดคำพูดของตัวเองด้วยการกระโดดลงจากคานอย่างไม่คาดฝัน ชายหนุ่มผู้โชคดีนั้นคือมาจิมะ นักธุรกิจด้านนำเข้าส่งออกชาวญี่ปุ่น เดิมทีเดียวคะน้าก็รู้สึกสงสัยในชายหนุ่มสายเลือดซามูไรคนนี้ว่ามีอะไรดีนักหนาถึงทำให้พี่สาวของเขายอมแต่งงานด้วย แต่เมื่อดูความจริงใจและความสม่ำเสมอที่มาจิมะให้กับพี่สาวเขาตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาแล้วนั้น คะน้าไม่แปลกใจเลยที่ผักกาดจะใจอ่อนมอบความรักให้กับคนๆ นี้

สองปีที่ผ่านมา เป็นช่วงเวลาที่เขาต้องห่างกับตุลอีกครั้ง เมื่อหมอหนุ่มอนาคตไกลตัดสินใจไปต่อเฉพาะทางที่เยอรมันตามที่ตัวเองฝัน นานๆ ทีจะมีอีเมล์มาถามไถ่สารทุกข์สุกดิบรวมถึงบอกเล่าเรื่องราวต่างๆ ให้ฟัง การศึกษาและงานวิจัยกำลังคืบหน้า ตุลกำลังไล่ตามความฝันของตัวเองเป็นแพทย์เฉพาะทางด้านศัลยศาสตร์ระบบกระดูกและข้อ ผักกาดก็เช่นกัน พี่สาวของเขาฝันว่าจะได้สร้างตำนานรักหวานซึ้งจนเป็นตำนานไม่แพ้นวนิยายชื่อดังอย่าง คู่กรรม ผักกาดยังมีกระใจพูดติดตลกว่าจะเป็นนางเอกนิยายรันทดก็ไม่หวั่น ขอให้สามีหล่อ รวย และตายก่อนเป็นใช้ได้ แม้กระนั้นก็ตามที คะน้าเห็นแววตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรักที่มีต่อพี่เขยของเขาผ่านดวงตาของผักกาดนั้น สุกสว่างเหมือนพระอาทิตย์ที่ส่องแสงในยามเช้าตลอดเวลา


ใครๆ ก็มองวันพรุ่งนี้ ...คงมีแต่เขาคนเดียวที่ยังอยู่กับช่วงเวลาในอดีตที่ย้อนกลับมาไม่ได้อีกแล้ว



(ต่อด้านล่างครับ)

ออฟไลน์ Lucea

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 312
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +292/-0
(ต่อครับ)



“เดี๋ยวผมกลับบ้านเลยดีกว่า” เสียงนัทดังขึ้นอีกครั้งพร้อมกับช้อนส้อมที่ถูกวางลงบนจานข้าวที่แทบไม่พร่องไป

“อาหารไม่อร่อยเหรอ ทำไมทานน้อยจัง” คำถามของคะน้าทำเอาเด็กหนุ่มที่นั่งอยู่ตรงข้ามถอนหายใจหน่วงแล้วส่ายหน้า ดูเหมือนว่าอาการนั้นจะไม่เกี่ยวกับรสชาติของอาหารเลย นัทนิ่งเงียบ ดวงตาที่คมกริบนั้นแปรเปลี่ยนเป็นความเศร้าสร้อย

“พี่เคยคิดจะมีใครบ้างไหม”

จู่ๆ นัทก็ถามขึ้นมา ดวงตาคู่นั้นจ้องลึกมาที่เขาราวกับจะค้นหาคำตอบที่ซุกซ่อนอยู่ข้างใน

“บางทีพี่ก็เหมือนคนเหงาอย่างบอกไม่ถูก เป็นคนเหงาที่ดูเหมือนไม่มีหัวใจ”

คะน้าได้แต่นั่งนิ่งเงียบๆ ไมได้ตอบรับ ไม่ได้ปฏิเสธในคำพูดนั้น เขาเคี้ยวอาหารในปากไปเรื่อยๆ ...อาหารทำหน้าที่เพียงประทังความหิว คะน้าไม่ได้รับรู้รสชาติของมันอย่างที่ควรจะเป็นเลย

“เอาเถอะ ผมไปก่อน แล้วพบกันที่ออฟฟิศ” นัทลุกขึ้นแล้วเอ่ยคำลา คะน้าตั้งใจจะลุกเพื่อเดินไปส่งที่รถแต่เด็กหนุ่มรุ่นน้องก็ห้ามเขาเอาไว้จนคะน้าต้องนั่งอยู่ที่โต๊ะต่อเพื่อจัดการอาหารที่เหลือในจานให้หมด นัทเดินจากไปพร้อมกับประโยคสั้นๆ ที่ทิ้งร่องรอยเอาไว้ในใจเขา

“ผมอิจฉาคนๆ นั้นนะ ...คนที่พี่รอ”

เนิ่นนานแล้วที่คะน้าจ้องมองดูมือของตัวเองพร้อมกับตะกอนที่ลอยขึ้นในใจ เขาอยากจะรอจริงๆ หรือเปล่า หรือรอเพราะว่าเขาขลาดกลัวที่จะเดินหน้าต่อ และถ้าเขารอ ...การรอคอยนั้นจะยาวนานแค่ไหน เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาอยากจะจำหรืออยากจะลืมมัน เขาแค่ใช้ชีวิตไปแต่ละวัน ปล่อยความคิดของตัวเองให้จมอยู่กับความอาดูรเหมือนอาการป่วยที่ไม่มีทางเยียวยา





รถยนต์ของคะน้ากลืนตัวไปกับพาหนะคันอื่นๆ บ้นท้องถนน หลายวันที่ผ่านมา ...อันที่จริงคงต้องบอกว่าตลอดเวลาที่มีโอกาส เขามักจะเวียนวนไปในที่เดิมๆ ร้านอาหารที่เคยไป ถนนที่เคยผ่าน ทางเดินในคอนโดที่พักอาศัย หรือแม้แต่ในลิฟต์ โดยส่วนมากเขาก็มักพาตัวเองกลับมาอยู่ที่เดิมๆ แบบนี้ทุกครั้ง อยู่กับบรรยากาศเดิมๆ แล้วปล่อยให้สมองเต็มไปด้วยความคิดถึง บางทีคะน้าก็เบื่อที่ตัวเองเป็นแบบนี้ วันเวลาผ่านไปแค่ไหน แต่ความเจ็บปวดจากการรอคอยนั้นไม่ได้ลดเลือนไปเลย แม้จะมีผู้คนมากมายแวะเวียนมาจับมือ ตบหลังตบไหล่ทักทาย หากแต่ความอบอุ่นที่เคยโอบอุ้มบนบ่านั้น ยังอยู่เคียงข้างกับเขาตลอดเวลา

อันที่จริงยังมีอีกที่ที่เขาไม่ได้กลับไป เพียงที่เดียวที่เขาไม่ได้มีความคิดจะกลับย้อนคืนไปหา เขาไม่ได้ลืม เพียงแต่ลึกๆ แล้วคะน้ากลับรู้สึกไม่กล้าที่จะเห็นมันอีกครั้ง ...บ้านเก่าของป๊าและแม่ ไม่รู้ว่ากาลเวลาจะเปลี่ยนมันไปแค่ไหน คะน้าไม่มั่นใจว่าตัวเองจะรับกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นได้หรือเปล่า แม้จะเกิดการลังเลในความคิด แต่สุดท้ายคนไม่มีที่ไปก็มาหยุดอยู่หน้าหนึ่งในสถานที่แห่งความทรงจำนั้นในที่สุด

...กลับมายืนอยู่ที่เดิม

คะน้าอุ่นใจขึ้นเมื่อบ้านไม้สีขาวนั้นยังดูอบอุ่นเหมือนกับวันเก่าไม่ผิดเพี้ยน คล้ายกับเจ้าของบ้านใหม่จะพยายามเก็บบรรยากาศแบบเดิมๆ เอาไว้และเลือกจะปรับปรุงภูมิทัศน์บางอย่างให้ดูลงตัวมากขึ้น คะน้าจอดรถห่างจากตัวบ้านออกไปหลายเมตรแล้วค่อยๆ เดินไล่ไปตามรั้ว อดไม่ได้ที่จะชะโงกเข้าไปด้านในนั้นที่ครั้งหนึ่งมีคนๆ หนึ่งเคยช่วยเขาขนย้ายข้าวของอย่างไมรู้จักเหน็ดเหนื่อย

ทุกสิ่งเปลี่ยนไปจากเมื่อก่อน ต้นไม้เก่าๆ ที่เขาไม่เคยรดน้ำจนแห้งทรุดโทรมถูกแทนที่ด้วยกาสะลองที่ปลูกเรียงรายอยู่ริมรั้ว ดอกสีขาวเรียงหลั่นเป็นม่านกำแพงที่ดูอ่อนหวานสวยงาม พวงดอกหอมนั้นสลับกับพุ่มไม้ดอกเล็กๆ ของบุหงาส่าหรีที่ปลูกแซมในกระถาง กลิ่นหอมเย็นๆ ของมันทำให้บ้านดูร่มรื่นและเหมาะแก่การเอนกายพักผ่อนจากวันอันเหนื่อยล้ายิ่งนัก

บ้านหลังนี้ดูเป็นบ้านมากขึ้น อบอุ่นและมีชีวิตชีวาเหมือนความทรงจำในอดีตของคะน้าในตอนเด็กๆ มีไม้สูงแผ่กิ่งก้านออกด้านกว้างแล้วทอดกายคลุมชิงช้าเล็กๆ ที่อยู่ด้านข้างบ่อปลาด้านซ้ายของตัวบ้าน ขณะที่อีกด้านก็มีต้นมะม่วงและกล้วยน้ำว้าปลูกสูงอยู่ริมรั้ว ทางเดินที่เคยรกไม่ค่อยเป็นระเบียบนั้นถูกปูด้วยหินและล้อมกรอบด้วยพุ่มกุหลาบสีแดง ดูก็รู้ว่าเจ้าของบ้านคนใหม่นั้นคงจะใส่ใจไม่น้อยกับการดูแลรักษา สภาพบ้านจึงน่าอยู่และให้บรรยากาศที่อบอุ่นได้ถึงเพียงนี้

คะน้าเดินจากมาพร้อมกับรอยยิ้ม เขาเงยหน้าขึ้นมองขอบฟ้าที่เห็นเงาของพระจันทร์เพียงดวงเดียวที่สุดสายตา คะน้าปล่อยความรู้สึกไปเรื่อยเปื่อย ไม่ได้รู้สึกผิดหวังหรือสมหวังใดๆ ไม่มีอะไรไปมากกว่าการได้ตามใจตัวเองอีกครั้ง เขาเพียงต้องการเก็บเศษเสี้ยวความทรงจำเล็กๆ ที่กระจัดกระจายอยู่ทุกที่ ต่อเรี่ยวแรงที่อ่อนล้าจากการรอคอยอย่างไร้จุดหมาย แม้ทุกอย่างจะเงียบเหงา แต่กลิ่นความทรงจำที่หอมหวานนั้นยังเจือจางอยู่ไม่หาย เขาเลาะขอบรั้วไปเรื่อยๆ ราวกับคนที่มีเวลาไม่จำกัด ดวงตายังคงมองเห็นภาพเก่าๆ ที่เคยคุ้นตา คะน้าดีใจที่ยังจำทุกอย่างได้ ...และดีใจที่กลับมาได้เห็นอีกครั้ง

เขาเดินไปเรื่อยๆ ผ่านบ้านหลังแล้วหลังเล่า ลัดเลาะจนมาถึงมุมถนนที่ตัดกับถนนเส้นใหญ่ เขาพบกับหญิงท้วมวัยกลางคนคนหนึ่งนั่งทรุดอยู่ริมทาง ใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยแห่งวัยนั้นแสดงออกถึงความเหนื่อยอ่อนและเจ็บปวด คะน้ารีบเข้าไปหาโดยไม่ลังเล ไต่ถามเรื่องราวต่างๆ จนได้รู้ว่าหญิงสาวเจ้าของผมสีดอกเลานี้ปวดขาจนเดินต่อไม่ไหว คะน้าจึงอาสาพยุงกลับมาส่งที่บ้านของเธอให้ หญิงท้วมวัยกลางคนได้แต่ส่งยิ้มให้แล้วกล่าวขอบคุณเขาอยู่อย่างนั้นจนคะน้ารู้สึกลำบากใจ

ก้าวต่อก้าวที่ค่อยขยับไปข้างหน้าช้าๆ มีความรู้สึกบางอย่างที่ทำให้คะน้ารู้สึกคุ้นเคยกับหญิงวัยกลางคนคนนี้ ท่าทีและรอยยิ้มที่อ่อนโยน แววตาที่เป็นมิตร หรือแม้แต่น้ำเสียงที่อบอุ่นนั้นทำให้คะน้ารู้สึกดีอย่างประหลาด ผู้หญิงคนนี้ให้ความรู้สึกบางอย่างที่คล้ายกับคนที่ใกล้ชิดคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก ...ผู้หญิงที่เขารักมากกว่าใครๆ

...เหมือนกับแม่

เดินต่อไปอีกนิด ในที่สุดคะน้าก็กลับมายืนที่เดิม เขามาหยุดอยู่ที่จุดเริ่มต้น หน้าบ้านหลังเก่าของเขา คะน้าช่วยไขประตูรั้วไม้สีขาวนั้น พยุงไหล่เข้าไปถึงในบ้านจนถึงที่โซฟาที่อยู่มุมห้อง หญิงท้วมนั่งลงช้าๆ แล้วออกปากขอบคุณอีกครั้ง ใบหน้าที่หอบถูกแต่งแต้มด้วยรอยยิ้มแห่งความสุข อารามเป็นห่วง อยากดูแล และความคิดถึงที่มีต่อแม่ที่จากไปแสนไกล คะน้าจึงไม่ลังเลที่จะก้มลงดูข้อเท้าของหญิงวัยกลางคน นวดเฟ้นราวกับเป็นคนในครอบครัว

คิดแล้วก็น่าขำ เขากำลังรู้สึกเหมือนกับว่ากำลังดูแลแม่ของตัวเองที่จากไปตั้งแต่วัยเด็ก หากแม่ยังมีชีวิต แม่ของเขาก็คงอยู่ในวัยไล่เลี่ยกับผู้หญิงคนนี้ คะน้าไม่ได้รู้สึกรังเกียจแม้แต่น้อยที่จะนวดยาคลายเส้นต่างๆ ให้กับหญิงท้วม นิ้วมือของเขาค่อยๆ นวดลงบนข้อเท้าทั้งสองข้างอย่างเบามือ

“ลูกเต้าเหล่าใครกันนะพ่อหนุ่ม มีน้ำใจเหลือเกิน” คะน้าเงยหน้าขึ้นมองแล้วตอบคำถามด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม

“คุณพ่อคุณแม่ผมเสียไปนานแล้วล่ะครับคุณป้า ตอนนี้ก็เหลือแค่ผมกับพี่สาวสองคน” หญิงคนนั้นตกใจจนอุทานขึ้นมาพร้อมกล่าวขอโทษเสียยกใหญ่ คะน้าไม่ได้ถือว่าเป็นเรื่องที่ควรเอามาถือให้วุ่นวาย เขาจึงรีบชวนคุยไปเรื่อยเปื่อยก่อนจะต้องฟังคำขอโทษอีกเป็นกระบุง  “ต้นไม้ในบ้านคุณป้างามมากนะครับ ออกดอกสวยเลยทีเดียว ผมปลูกอะไรแบบนี้ไม่ได้แน่ๆ”

“ค่อยๆ ปลูกไปน่ะจ๊ะ คนแก่ก็หาอะไรทำไปเรื่อยๆ ไม้ดอกไม้ผลก็ปลูกไปดูแลไป จริงสิ แบ่งมะม่วงเอาไปกินไหมพ่อหนุ่ม ปีนี้เขียวเสวยติดเยอะทีเดียว” คะน้ายิ้มขอบคุณแล้วส่ายหน้า คุณป้าคนนั้นยิ้มให้แล้วผ่อนลมหายใจ “ป้าอยู่คนเดียว ทานยังไงก็ไม่หมดหรอก ทิ้งไปก็เสียดาย”

คะน้าขอบคุณเสียยกใหญ่แล้วชวนคุยไปเรื่อยเปื่อย “คุณป้าพักที่นี่มานานแล้วหรือครับ”

“ก็ประมาณสองปีได้แล้วล่ะ ปรับปรุงจากเจ้าของเดิมนิดหน่อย ลูกป้าเขาจะเอาที่นี่ให้ได้ บอกให้เก็บอะไรๆ ให้ไว้ให้มากที่สุด เขาชอบที่นี่มาก”

“ลูกอย่างนั้นหรือครับ” คะน้าเอ่ยคล้ายกับจะตั้งคำถามกับตัวเองด้วยในที นอกจากระยะเวลาแล้วยังมีเรื่องบางเรื่องกำลังสั่นอยู่ในระบบความคิดจนเกิดความรู้สึกคลางแคลง

“เดิมทีเดียวเขาอยู่คอนโดน่ะ แต่คนแก่กับคอนโดสูงๆ มันก็ไม่สะดวกล่ะนะ เขาก็เลยซื้อที่นี่ มีสวนเล็กๆ ให้คนแก่ปลูกต้นไม้ดอกไม้ที่ตัวเองชอบนั่นล่ะ”

“ลูกของคุณป้า... เป็นผู้หญิงหรือครับ”

หญิงวัยกลางคนส่ายหน้าพร้อมกับระบายรอยยิ้มภูมิใจ “เปล่าเลย เป็นผู้ชายตัวโตๆ เลยล่ะ ห่างกันไปนาน เพิ่งจะได้กลับมาเจออีกครั้งเมื่อวานนี้เอง มีธุระอะไรต้องจัดการมากมาย เลยไม่อยู่ติดบ้านเท่าไหร่ อีกเดี๋ยวก็คงจะกลับมาล่ะจ๊ะ”

คะน้าข่มความสงสัยต่างๆ เหล่านั้นไว้ในใจ พยายามหาเรื่องอื่นดึงความสนใจของตัวเองไปเรื่อย เขากวาดสายตามองในบ้าน ทุกสิ่งทุกอย่างดูเหมือนกับถูกจัดวางไว้ที่เดิมราวกับภาพถ่ายในความทรงจำ ประตูและขอบหน้าต่างถูกทาสีใหม่โดยจงใจให้คงเอกลักษณ์ของเดิมเอาไว้ โซฟาหนังสีเข้มถูกขัดจนขึ้นเงา แม้แต่ผ้าม่านสีอ่อนที่กรุขอบด้วยลูกไม้ หรือโคมไฟเก่าๆ ที่เขาเคยใช้นั่งเขียนบันทึกประจำวัน ก็ยังถูกเปลี่ยนใหม่ให้คงลักษณะรูปแบบคล้ายกับเดิม ราวกับทุกอย่างในบ้านแห่งนี้ถูกย้อนเวลากลับไปเมื่อประมาณยี่สิบปีก่อนที่เขาเคยอยู่ ครัวที่มีกลิ่นอาหารติด มีโมบายที่ส่งเสียงกรุ๊งกริ๊งทักทายสายลมอยู่ริมหน้าต่าง

ที่นี่เป็นบ้าน ...บ้านที่ทำให้เขานอนฝันดีทุกคืน

คะน้านั่งชวนคุยกับคุณป้าคนนั้นไปเรื่อยๆ จนแม้แต่ตัวเองก็นึกแปลกใจที่สามารถพูดจากับคนที่ไม่เคยแม้แต่จะเห็นหน้ามาก่อนได้เป็นเรื่องเป็นราวมากมายได้ขนาดนี้ ผ่านไปหลายนาทีจนแสงอาทิตย์สีส้มที่ระบายขอบฟ้าเริ่มถูกเกลี่ยด้วยสีม่วง กระทั่งมีเสียงรถยนต์จอดที่หน้าประตูรั้ว หญิงวัยกลางคนชะเง้อหน้าไปทางหน้าต่างแล้วยิ้มกว้าง

“ตาทิมเหมือนจะกลับมาแล้วล่ะ”

ประโยคสั้นๆ ที่ดูเหมือนไม่มีอะไรนั้นกลับให้ความรู้สึกเหมือนถูกฟาดด้วยอาวุธหนัก คะน้าไม่เคยเชื่อในเรื่องบังเอิญ เขาเชื่อในโชคชะตา แต่ถ้าหากจะกล่าวเช่นนั้น เขาคงได้แต่เยาะตัวเองที่โดนโชคชะตาล้อเล่นจนต้องตื่นตูมทุกครั้งที่ได้ยินชื่อนั้น แค่เพียงได้ยินชื่อนี้ หัวใจเขาก็เต้นไม่เป็นจังหวะ

แผ่นดินรอบๆ ตัวกำลังสั่นสะเทือน และคะน้าก็รู้ดีว่าอีกสักครู่มันก็ผ่านไป แต่ความหวังในใจนั้นช่างร้ายกาจ สุดท้ายเขาก็ฝืนใจตัวเองไม่ไหว คะน้าค่อยๆ หันไปเผชิญหน้ากับความเป็นจริงที่ปรากฏตัวขึ้นในสถานการณ์ที่แปลกประหลาดเช่นนี้ แม้อาทิตย์จะพลบและมีเพียงแสงไฟช่วยให้แสงสว่างลอดกิ่งไม้ที่ระริมรั้วนั่น แต่คะน้าจดจำร่างสูงนั้นได้ดี เขาได้แต่นั่งค้าง รู้สึกว่าน้ำตาของตัวเองเริ่มรื้นออกมา

“ลูกชายน่ะจ๊ะ ดูทะโมนไปหน่อยแต่ก็พอจะพึ่งพาได้”

หัวใจของคะน้าเหมือนจะระเบิดทันทีที่เห็นทิมยืนอยู่ที่นั่น ผู้หญิงร่างท้วมที่ท่าทางใจดี หญิงสาวที่มีผมสีดอกเลาและให้ความรู้สึกคล้ายกับคุณแม่ของเขา ...คนๆ นี้เป็นคุณแม่ของทิม คะน้าขยับเขยื้อนไม่ได้ พูดไม่ออก ได้แต่จ้องมองใบหน้าและดวงตาคู่นั้นของผู้ที่เพิ่งมาถึง ในใจของเขากำลังนึกไปถึงความฝันที่พร่ำเพ้อเกือบทุกคืนตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา ในจินตนาการเขาได้พบกับทิม ได้กอด เอามือลูบไปบนริมฝีปากที่ยิ้มกวนๆ นั่น คะน้าในตอนนี้อดไม่ได้ที่จะคิดว่าเดี๋ยวเขาก็คงจะตื่นขึ้น แล้วทุกอย่างที่เกิดตรงหน้าในตอนนี้ก็จะกลายเป็นเพียงแค่อาการเพ้อเจ้อฝันเฟื่อง และหากเป็นเช่นนั้นจริงๆ ...คราวนี้ เขาได้ตายอยู่ตรงนี้แน่ๆ

“พอดีแม่ออกไปข้างนอกแล้วเจ็บขาน่ะลูก ก็ได้พ่อหนุ่มคนนี้แหละที่ช่วยพากลับบ้านเรา เอ๊ะ... ว่าแต่พ่อหนุ่มชื่ออะไรนะ ป้าก็คุยเพลินจนลืมถามไปเลย”

ทิมกำลังมองมาที่เขา ร่างสูงนั้นนิ่งงันราวกับไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง และในวินาทีต่อมา ใบหน้าที่คมคายนั้นก็ค่อยๆ คลี่ยิ้มออก รอยยิ้มนั้นกำลังส่งมาที่เขา

“ถ้าเป็นคนนี้ ...ผมรู้จักดีเลยล่ะครับคุณแม่”

ดูเหมือนว่าทิมจะอ่านความรู้สึกของเขาในตอนนี้ออก ร่างสูงนั้นจึงพยักหน้าพร้อมรอยยิ้มที่เป็นเอกลักษณ์นั้นราวกับบอกว่านี่เป็นของจริง ทิมกำลังเดินเข้ามาหาคะน้า และนั่นทำให้เขาหายใจไม่ออก ฝ่ามือที่คุ้นเคยนั้นจับมือของเขาไว้แล้วรีบดึงให้วิ่งขึ้นไปที่ชั้นบนท่ามกลางความมึนงงของผู้เป็นแม่

“แม่ครับ ผมขอเวลาสักหน่อย แล้วผมจะเล่าทุกอย่างให้แม่ฟัง”

ทิมหันไปส่งยิ้มให้กับหญิงวัยกลางคนที่หน้าตาใจดีผู้นั้น แววแห่งความไม่เข้าใจจึงค่อยๆ คลายออกจากใบหน้าที่เปล่งปลั่งด้วยความงามแห่งวัย คุณป้าคนนั้นยิ้มออกมา แทบไม่น่าเชื่อว่าดวงตาที่อบอุ่นคู่นั้นจะสามารถอ่อนโยนกว่าที่ผ่านมาได้อย่างมากมายมหาศาล

“พ่อหนุ่มคนนี้ใช่ไหมลูก”

ทิมยักคิ้วแล้วพยักหน้า จากนั้นยกมือขึ้นเกาหัวเหมือนคนปั้นหน้าไม่ถูก สักพักก็ปรับหน้าเข้ม หากแต่สีหน้าที่แข็งกระด้างนั้นกลับระเรื่อไปทั้งบริเวณ ใครๆ ก็ดูออกว่านั่นคืออาการของคนเขินจัดที่พยายามฝืนไม่รับความจริง

“แล้วลงมาทานข้าวกันกับแม่นะ”

เสียงที่อ่อนโยนนั้นเปลี่ยนเป้าหมายมาที่คะน้าจนเขาปรับตัวไม่ทัน ดวงตาที่อบอุ่นคู่นั้นทอดมองมาที่เขา หากแต่ถ้อยคำนั้น... ควรจะส่งถึงทิม...ไม่ใช่หรือ?

“แม่ดีใจจริงๆ ในที่สุดก็ได้รู้จักกันเสียที”

ความสงสัยของคะน้าเป็นอันได้รับคำอธิบายที่ชัดเจน เขาทำอะไรไม่ถูก ไม่รู้จะทำตัวอย่างไรกับการต้อนรับเขาราวกับคนในครอบครัวแบบนี้ หันรีหันขวางไปมาคะน้าก็รั้งมือที่ถูกทิมดึงไว้ขึ้นมาแล้วประนมที่หน้าอก

“ส..สวัสดีครับ”

คะน้าไม่เข้าใจว่าทำไมเสียงของเขาถึงสั่นแบบนั้น ต่อหน้าผู้หญิงที่แสนจะใจดีนี้ เขากำลังประหม่าจนทำอะไรไม่ถูก อันที่จริงเขาเพิ่งสวัสดีไปเมื่อสองหรือสามชั่วโมงที่แล้ว แต่ในเวลานั้นเขากลับจนใจจะสรรหาคำพูดอื่นเพื่อตอบรับในความเมตตาของหญิงสาวด้านล่าง คุณแม่ของทิมไหวมือขึ้นแล้วยิ้ม เป็นรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความสุขของคนที่มองเห็นโลกมานาน

“แม่เข้าใจแล้วว่าทำไมตาทิมถึงเรียกเราว่า รอยยิ้มที่เดินได้ ลูกเป็นเหมือนรอยยิ้มของทิมจริงๆ”

คะน้าเหรอหรา ไม่เคยได้ยินถ้อยคำที่แปลกประหลาดแบบนั้นมาก่อน ความพะว้าพะวงของคะน้าทำให้ทิมวาดแขนขึ้นมาล็อคคอของเขา ออกแรงดึงขึ้นชั้นบนอย่างเร่งรีบจนคะน้าสะดุ้งร้องโอดโอย โทษทัณฑ์ที่ได้รับของผู้ลงมือคือสายตาที่คาดโทษของผู้เป็นแม่ ทิมทำหน้าไม่รู้ไม่เห็นแล้วดื้อดันทุรังดึงร่างคะน้าขึ้นมาต่อ เมื่อพ้นบันไดจนขึ้นสู่ชั้นบน คะน้าก็เหมือนถูกดึงเข้าสู่บรรยากาศที่คุ้นเคย ไม่เพียงแต่ชั้นล่าง ทุกอย่างที่บนบ้านนั้นเรียกได้ว่าแทบจะเหมือนเดิมไม่ผิดเพี้ยน มีเพียงบางอย่างที่ถูกปรับที่ทางให้ดูเป็นระเบียบมากขึ้นและซ่อมบำรุงจนดูเหมือนใหม่ เพราะเหตุนี้หรือเปล่าที่ทำให้ทิมบอกให้เขาทิ้งข้าวของไว้มากมายในตอนที่ขนย้าย

น่าจะเป็นอย่างนั้น ทิมยังเป็นคนเจ้าเล่ห์และวางแผนการไว้ล่วงหน้าเสมอ เจ้าของบ้านใหม่ดึงดันคะน้าให้เข้าไปในห้องนอนที่เคยเป็นของตัวเอง ทิมยกฝ่ามือทั้งสองข้างขึ้นตระกองใบหน้าของคะน้า ก่อนจะโน้มตัวลงมา

...จูบแรกนั้นช่างแสนวิเศษ คล้ายกับเป็นจุดปะทะกันระหว่างความร้อนรนและความอ่อนหวาน ความรู้สึกคุ้นเคยที่ขาดหายไปนานกำลังถูกเติมเต็ม ฤดูแล้งกำลังจะเปลี่ยนเป็นฤดูฝนที่เย็นฉ่ำ ความเจ็บปวดจากการรอคอยมาเนิ่นนานนั้นจบสิ้นลงด้วยสัมผัสที่อบอุ่น ทิมยกศีรษะของตัวเองขึ้นและกดดวงตาคู่นั้นลงมา แววตาที่โหยหากำลังจ้องมาที่ใบหน้าของคะน้าจนเขาไม่อาจขยับเขยื้อนร่างกายของตัวเองได้

“...ขอโทษนะครับ”

“ไอ้บ้าเอ้ย!”

โกรธเหรอ? ...เขาลืมความรู้สึกพวกนั้นไปหมดแล้ว คะน้ากอดทิมแน่น เขาจะไม่ปล่อยมือทั้งสองข้างของตัวเองให้คนๆ นี้หายไปอีก คะน้าออกแรงรัดแต่กลับช้ากว่า กลายเป็นทิมที่รัดร่างกายของเขาจนแทบจะฝังร่างทั้งร่างให้จมหายไปในแผ่นอกที่ขยับตัวแรงนั้น ฝ่ามือทั้งสองข้างของคะน้าสัมผัสบนกล้ามเนื้อของแผ่นหลังอย่างแนบแน่น

รู้สึกถึงลมหายใจผ่าวร้อนของทิมที่พรมรดแก้ม ...และได้ยินเสียงจังหวะหัวใจที่กำลังเต้นแรงกว่าของตัวเองในตอนนี้ มีคำถามมากมาย ทั้งถ้อยคำต่อว่า และคำพร่ำจำนรรจาที่เต็มไปด้วยความคิดถึง แต่เขาในตอนนี้กลับไม่รู้จะเริ่มจากอะไร ความรู้สึกปิติยินดีมันเบ่งบานจนทำให้คะน้าแทบเป็นใบ้

“อย่าหนีไปอีก อย่าหายไปแบบนี้” คะน้าออกแรงกดเพิ่มขึ้นอีกนิด ใบหน้าฝังลงบนซอกคอของคนที่ตัวสูงกว่า เขาคลอเคลียอยู่อย่างนั้นราวกลับกลัวความอบอุ่นนั้นจะจางหาย

“ไม่มีวัน”

ทิมคำรามเสียงดังแล้วจูบลงบนริมฝีปากเขานับครั้งไม่ถ้วน ครั้งแล้วครั้งเล่าเหมือนกับคนจมน้ำที่ตะเกียกตะกายสุดความสามารถเพื่อตักตวงอากาศหายใจ จูบนั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกมากมายและเต็มเปี่ยมไปด้วยรสชาติหวานหอม การรอคอยที่เนิ่นนานเหมือนบ่มความรู้สึกของเขาให้สุกงอม รสจูบนั้นจึงหวานจนเขาไม่อยากอิ่ม เป็นเวลาหลายนาทีกว่าที่คะน้าจะสามารถผละห่างพร้อมกับความรู้สึกหอบและอาการร้อนบนริมฝีปาก เขายังคงส่งเสียงงึมงำเหมือนกับไม่เชื่อในสิ่งที่เห็นตรงหน้า


“บ้าชะมัด ...นี่เป็นฝันแน่ๆ”



(ต่ออีกอันครับ)

ออฟไลน์ Lucea

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 312
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +292/-0
(สุดท้ายแล้ว)



ทิมกอดคะน้าแน่นแล้วดันร่างของเขาลงบนเตียง ก่อนจะกดริมฝีปากที่เปียกชื้นนั้นลงบนคอของคะน้า คนตัวสูงกว่ายังคงโหยหากับรสสัมผัสที่อยู่ตรงหน้าเหมือนกับคนไม่รู้จักอิ่ม

“คิดถึงจะตายอยู่แล้ว”

ทิมปลดกระดุมเสื้อของตัวเองออกแล้วโยนไปเหมือนกับของที่เกะกะ ร่างกายในตอนนี้ของทิมเหมือนกับชายหนุ่มที่เติบโตเต็มไว สองปีที่จากกันเปลี่ยนแปลงอะไรไปมากมาย ใบหน้านั้นคมคายด้วยแนวกระดูกที่เป็นโครงชัด มีไรหนวดสากๆ ขึ้นเหนือริมฝีปากและใต้คางเหมือนลูกผู้ชายที่ใช้ชีวิตแบบง่ายๆ แผ่นอกของทิมนั้นกว้างและผายออกจนดูสง่ากว่าที่เขาเคยเห็น เรือนร่างแน่นไปด้วยกล้ามเนื้อที่ชัดเจนจนดูเหมือนปฏิมากรรมที่ไร้ซึ่งที่ติ ทิมในตอนนี้ต่างกับในวันวาน เป็นเหมือนกับไวน์ที่บ่มหมักจนหอมได้ที่ ให้ทั้งกลิ่นและรสชาติที่ชวนหลงใหล

หากแต่แผลเป็นนั่นเป็นดั่งตำหนิแห่งความปวดร้าว บาดแผลที่เยื้องไปที่หัวไหล่ด้านซ้ายและที่อยู่ข้างช่องท้องนั่นทำให้คะน้ารู้สึกไม่ดี เพราะความวุ่นวายของเขา ร่างกายนี้จึงมีรอยแผลที่เกือบเอาชีวิตไม่รอดนี้ ทิมทอดสายตามองเขาด้วยแววตาอ่อนโยน ฝ่ามืออุ่นๆ นั้นกวาดมือของเขาขึ้นมาลูบไปบนร่องรอยบาดแผลของตนเอง ทิมส่งยิ้ม... ไม่ใช่ยิ้มยียวน แต่เป็นรอยยิ้มที่หวานกว่ารอยยิ้มไหนๆ

“ผมว่ามันโรแมนติกนะ”

คะน้าเบี่ยงสายตาจากคนที่คร่อมอยู่ด้านบน เขาไม่อาจทานทนกับความรู้สึกที่ล้นเอ่อขึ้นมาจากกลางอกของตัวเองในตอนนี้ได้ คนที่อยู่ตรงหน้าในตอนนี้กำลังทำให้เขาลืมวิธีหายใจ คะน้ารู้สึกทรมาน แต่เป็นการทรมานด้วยความสุข และเขาก็รู้สึกยินดีเหลือเกิน

“แต่มันเป็นแผลเป็น มันเป็นตำหนิ”

“ไม่เลย สองปีที่ผ่านมา มันเป็นสิ่งที่เตือนใจผมว่า...พี่รักผมมากแค่ไหน

ทิมกดร่างของตัวเองแนบลงบนตัวเขา ฝ่ามือของคะน้ายังเกาะกุมอยู่ที่แผลเหนือแผ่นอกด้านซ้าย ในความอึดอัดของการกดทับ ทิมค่อยๆ เลื่อนมือของคะน้าลงจนอยู่เหนือตำแหน่งของหัวใจ คะน้าสัมผัสได้ถึงการปะทะด้วยจังหวะที่รุนแรงของสิ่งที่เต้นอยู่ภายใน เจ้าของหัวใจดวงนั้นกดหน้าลงแล้วกระซิบคำแผ่วที่ข้างๆ หู

“ขอบคุณนะ”

คะน้าเบือนหน้าไปอีกทาง ดูเหมือนหัวใจของเขากำลังทำงานหนักเกินไป และมันก็ทำให้สติรับรู้ผิดชอบชั่วดีลางเลือนลงทุกที เขาไม่รู้เหตุผลของการหายตัวไปด้วยซ้ำ แต่ดูเหมือนใจมันจะเตลิดจนลืมสองปีแห่งความปวดร้าวไปเสียหมดแล้ว

“...นายหายไป”

เสียงครางเบาๆ ในลำคอของทิมขึ้นมาทันที ทิมฝังปลายจมูกลงบนแก้มของเขาแล้วเผาให้ร้อนวาบไปถึงหัวใจด้วยไออุ่นของลมหายใจ เสียงทุ้มที่น่ารำคาญยังคงตามมาคลอเคลียอยู่ที่ข้างใบหู ราวกับจะไม่ยอมปล่อยให้คะน้าเป็นอิสระ

“ผมพร้อมจะบอกพี่ในทุกๆ เรื่อง แต่ต้องตอบมาก่อน ...คิดถึงกันบ้างไหม?

“ไอ้...” คะน้าตวาด ผิดกับทิมที่คำรามเบาๆ ในลำคอเหมือนได้ยินคำตอบที่พึงพอใจ รอยยิ้มและดวงตาคู่นั้นทำให้ทิมดูเจ้าชู้จนน่ากลัว

“แล้วยังรักกันหรือเปล่า” แม้อยากจะพลิกตัวหลบแค่ไหน แต่น้ำหนักทั้งตัวของคนที่นอนทับอยู่ทำให้คะน้าได้แต่เบี่ยงหน้าและหลบสายตาไปอีกทาง

“ว่าไง ...หึ้มมมม?”

จากฝ่ายที่ควรจะเป็นผู้ไล่ล่ากลับกลายเป็นถูกต้อนเสียจนมุม คะน้าไม่เข้าใจว่าทำไมตัวเองถึงแพ้พ่ายเอากับคนๆ นี้อยู่เรื่อย ไม่ว่าจะมาแนวไหน ไม่มีสักครั้งที่เขาจะรับมือได้ด้วยหัวใจที่เต้นด้วยจังหวะปกติได้เลย

“อนุญาตให้ใช้จูบแทนคำตอบ”

คะน้ายังคงแชเชือน ไม่ใช่ว่าตัวเองไม่อยากรู้ถึงเหตุผลต่างๆ นานา แต่เงื่อนไขของการรับฟังนั้นช่างไร้สาระ สุดท้ายเขาก็เป็นฝ่ายถูกเอาเปรียบเล็กๆ น้อยๆ ตลอดเวลา ท่าทางของคะน้านั้นเรียกรอยยิ้มของทิมขึ้นมาอีกครั้ง ทิมจ้องมองเขาสักพัก ในที่สุดคนที่นอนทับอยู่ก็เป็นฝ่ายปราชัยในคำพูดที่ตัวเองลั่นไว้ ทิมโน้มใบหน้าตัวเองเข้ามาจูบคะน้า

“กติกาเดียวกัน อยากพูดเองก็ต้องเป็นฝ่ายจูบเอง”

คะน้าส่ายหน้าแล้วถอนหายใจให้กับกติกาที่แปลกประหลาดนั้นจนคนที่อยู่ตรงหน้าส่งเสียงหัวเราะ ทิมกอดเขาแน่นแล้วจับพลิกตัวของคะน้าขึ้นมานอนอยู่บนตัวเอง มืออุ่นๆ เอื้อมขึ้นลูบใบหน้าของคะน้าแล้วยกคิ้วสูง

“ให้ตายเถอะ อะไรทำให้พี่ขายที่ดินให้ธาดาพิพัฒน์”

คะน้าสบตาคู่นั้นแล้วตอบตามความจริง “เพราะโอกาสในการให้อาชีพแก่คนที่ค้าขายอยู่เดิมในตลาด คงไม่มีนายทุนคนไหนที่จะผูกมัดตัวเองด้วยสัญญาแบบอีกแล้ว คนที่เป็นคนร่างสัญญามันคงเป็นคนที่บ้าเอามาก” สิ้นเสียง ทิมก็หัวเราะขึ้นทันที

“ไม่รู้เหรอว่าไอ้หมอนั่นน่ะ มันพร้อมจะบ้าเสมอเพื่อพี่” คราวนี้เป็นคะน้าที่ยิ้มขำ ทิมกดใบหน้าของเขาแนบลงบนแผ่นอก นิ้วที่แข็งแกร่งนั้นลูบไล้ไปบนผมของเขาอย่างแผ่วเบา “เดิมทีเดียว ตั้งใจให้ธาดาพิพัฒน์ดิ้นไม่หลุดแท้ๆ ใครจะคิดว่าพี่จะทำแบบนั้น”

“ทั้งๆ ที่นั่นเป็นบริษัทของคนที่เป็นพ่อนายน่ะเหรอ”

“พูดตรงๆ คนแบบผมมันลูกบ้าเยอะว่ะ แล้วก็บ้าพอจะทำตามที่ตัวเองคิดว่ามันถูกต้อง ผมกลัวว่าจะทำให้แม่เสียใจนะ แต่มันเป็นบ้าอะไรก็ไม่รู้ อย่างที่เคยบอกไปน่ะ ...ผมให้พี่ได้ทุกอย่าง

คำพูดของทิมทำเอาคะน้ารู้สึกรื้นขึ้นมาในดวงตาทันที เขาจำคำนั้นได้ คำสัญญาที่ทิมเคยพูดเอาไว้กับเขาต่อหน้าป๊ากับแม่ ความรู้สึกในวันนั้นยังคงอยู่ วันที่เขาตัดสินใจที่จะเข้มแข็งเสียที คะน้ายิ้มให้กับคนที่เขาเชื่อใจมาโดยตลอด ทิมเป็นคนแบบนั้นจริงๆ

“ถ้าวันหนึ่งพี่กลายเป็นคนเลวล่ะ”

“ผมก็จะเลวเพื่อพี่”

ทิมตอบได้อย่างไม่ลังเล เสียงนั้นเต็มไปด้วยน้ำหนักที่มหาศาล คะน้ารู้สึกเหมือนกับตัวเองกำลังกลายสภาพเป็นขนนกที่ปลิวอยู่บนท้องฟ้า ล่องลอยไปกับสายสมที่พัดพริ้วจนใจแช่มชื่น ที่ผ่านมาถึงแม้จะตอบตัวเองไม่ได้ว่าทำไมเขาถึงใช้ชีวิตอยู่กับความหวังลมๆ แล้งๆ แบบนั้น แต่ความรู้สึกบางอย่างบอกเขา มันคงเป็นลางสังหรณ์สักอย่างหรืออาจจะเป็นสัญชาตญาณ มันกระซิบบอกเขาว่าทิมจะกลับมา

“ผมถูกย้ายออกจากโรงพยาบาลทั้งๆ ที่ยังไม่ค่อยได้สติ คนๆ นั้นส่งผมไปที่โรงพยาบาลเอกชนชื่อดังที่มีห้องหับกว้างกว่า สะดวกสบายกว่า พวกเขาดำเนินการทุกอย่างโดยที่ผมไม่รู้เรื่องเลย ผมลาออกจากบริษัท ทิ้งจากทุกอย่างที่เป็นของเขา ใช้เงินเก็บทั้งหมดที่มีซื้อบ้านหลังนี้ของพี่”

“พี่ครับ... ตอนนี้ผมเป็นแค่คนธรรมดา ไม่ได้ร่ำรวย ขับรถแพงๆ ผมไม่ได้มีหน้ามีตาในสังคมอีกต่อไปแล้ว เป็นคนตกงานเดินเตะฝุ่น ผมในตอนนี้เป็นได้แค่นี้ ...ระหว่างเรามันจะยังเหมือนเดิมได้ไหม

“คิดอะไรโง่ๆ”

ทิมสะแหยะรอยยิ้มให้กับตัวเอง ความรู้สึกมั่นใจถดถอยในน้ำเสียงที่แผ่วลงนั้น “ผมไม่รู้ว่าความเสี่ยงที่ผมแบกรับมันจะคุ้มไหม อะไรมันไม่ได้ง่ายดายไปทุกเรื่องหรอก แต่ผมต้องทำตามข้อแลกเปลี่ยนกับเขาคนนั้น ผมต้องสงบปากสงบคำของตัวเอง จะว่าไปก็ตลกดี ผมเพิ่งมารู้ทีหลังว่าตัวเองให้การไปสองครั้ง”

“เงินทำได้ทุกอย่างแหละ” เขาวางฝ่ามือตัวเองบนแผ่นอกที่ต่างหมอนหนุน ใช่ว่าคะน้าจะไม่รู้สึกอะไรกับสิ่งที่เกิดขึ้น หน้าอกของทิมพองขึ้น คะน้าได้ยินเสียงถอนหายใจเบาๆ ของคนที่อยู่ด้านล่าง

“สิ่งแลกเปลี่ยนอีกข้อเพื่อไม่ให้พวกเขามาข้องเกี่ยวกับพี่อีก ก็คือผมไปต้องเรียนต่อโปรแกรมบริหารต่อยอดจากเดิมที่ต่างประเทศ และต้องออกเดินทางทันทีที่รักษาตัวหาย มันยากสำหรับผมมาก ...พี่น่าจะรู้ว่านับจากเหตุการณ์นั้น ไม่มีทางผมจะยอมห่างพี่ได้อีกแล้ว มันทรมานชะมัด” ทิมยังระบายลมหายใจหนักขึ้น มือที่อบอุ่นนั้นยกกลับมาคลอเคลียอยู่บนศีรษะเขาไม่ห่าง

“เรื่องที่ทุเรศที่สุดที่คนๆ นั้นทำก็คือการไม่ยอมรับว่าความรักแบบนี้ เขาคนนั้นบอกว่ามันแปลกปลอม ผิดเพี้ยน และฉาบฉวย เป็นความรักที่ขาดความมั่นคง และปราศจากสติรับรู้ชั่วดี เขาไม่ยอมรับ จะขัดขวางทุกอย่างและจะทำทุกทางเพื่อให้เลิกกัน เว้นแต่ว่าจะสามารถพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นได้ว่าความรู้สึกของเรา ทุกอย่างมันเป็นเรื่องจริง”

“โดยการพิสูจน์ความไว้เนื้อเชื่อใจกันตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา” คะน้าสรุปขึ้นตามความคิดของตัวเอง ทิมพยักหน้าแล้วเริ่มพูดต่ออีกครั้ง

“ห้ามผมติดต่อกับพี่ไม่ว่าทางไหน อันที่จริงห้ามติดต่อพูดคุยกับใครๆ ที่เมืองไทยเลยล่ะ ผมต้องอยู่คนเดียว และอยู่ให้ได้โดยไม่มีใครจนกว่าผมจะจบโปรแกรมแล้วกลับมา ถ้าผมพิสูจน์ได้ เขาจะยอมรับและสัญญาว่าจะเลิกข้องเกี่ยว”

“สองปีที่ผ่านมา... ผมอยู่กับความหวาดหวั่น ผมไม่รู้พี่จะคิดกับผมยังไง จะโกรธ จะเกลียดผมหรือเปล่า วันนี้เราจะยังเหมือนเดิมไหม ผมถามตัวเองแบบนี้ทุกๆ วัน นับวันตั้งตารอคอยวันที่จะได้กลับมา ผมในตอนนั้นเป็นเหมือนคนบ้า ยิ่งตั้งใจอยากเรียนให้จบก็ยิ่งไม่มีสมาธิ ผมแทบทิ้งข้อแลกเปลี่ยนบ้าๆ แล้วกลับมา จะเกิดอะไรก็เกิด จะสู้กับมันให้เห็นดีกันไปข้าง”

ทิมทอดสายตามองมาที่คะน้าด้วยแววตาที่อ่อนโยน เทียบกันแล้วกับสิ่งที่คะน้าเจอะเจอยังนับว่าน้อยมาก เมื่อเขายังใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ ยังมีผักกาด มีเพื่อนฝูงคนอื่นๆ มากมายเป็นกำลังใจให้เสมอ แต่ทิมนั้นถึงแม้จะรู้สาเหตุการลาจากทุกอย่าง แต่ก็ไม่มีใครเลย

“นายอยู่ได้ยังไง”

ทิมยิ้มแล้วลากมือของคะน้าไปแตะบนแผลเป็นที่ฝากไว้จากเหตุการณ์คราวนั้น ทุกสัมผัสที่ถ่ายเทมาที่เขาดูเหมือนจะทดแทนคำตอบได้เป็นอย่างดี

“ไม่โกรธใช่ไหมถ้าผมจะเก็บมันเอาไว้”

คะน้าส่ายหน้าพร้อมความรู้สึกร้อนวาบ ทิมรั้งร่างเขาเข้ากอดอย่าแนบแน่นขึ้นอีก แม้ปมความสงสัยในใจเรื่องต่างๆ นั้นจะคลี่คลายออกมาจนกลายเป็นเส้นไหมที่ดูสวยงาม หากแต่ความกังวลใจลำดับต่อมาของคะน้าก็คือสิ่งที่รออยู่นับจากนี้ เขาไม่รู้ว่าจะเข้าหน้ากับคุณแม่ของทิมอย่างไร ไม่รู้ว่าจะวางตัวแบบไหน เขาร้างรากับวิถีชีวิตแบบครอบครัวจริงๆ มาหลายปี คะน้าไม่สันทัดกับเรื่องพวกนี้เอาเสียเลย

“แล้ว...คุณแม่”

ทิมยิ้มแล้วยกมือขยี้หัวของคะน้าจนยุ่ง “ก็เล่าให้ฟังตรงๆ นะ บอกตรงๆ ว่ามันรู้สึกกับพี่แบบนี้ไปแล้ว แล้วก็รู้สึกมากด้วย จะให้เปลี่ยนใจคงไม่ไหว แม่รู้ทุกเรื่องนั่นล่ะ รู้มานานแล้วด้วย แม่อยากเจอพี่จะตาย”

คะน้าถึงกับเหวอ กระนั้นก็รู้สึกเบาใจไปมาก แต่คะน้าในตอนนี้กลับหวนคิดไปอีกด้าน การที่ทิมพาคุณแม่ออกมาอยู่ด้วยแบบนี้นั้นจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดกับครอบครัวหรือเปล่า แม้ว่าดูเหมือนจะเป็นข้อตกลงที่จากกันด้วยดีก็ตาม สิ่งนั้นเป็นเรื่องที่คะน้ายังจนปัญญาจะคาดคิดได้ออก

“แล้วคุณธาดา...”

ทิมยิ้มเศร้า แต่กระนั้นก็เป็นรอยยิ้มที่แฝงไปด้วยความเข้มแข็ง “แม่บอกว่านั่นเป็นครั้งแรกที่เขาแสดงออกว่าผมอยู่ในฐานะของลูก เขาห่วง กังวล อยากดูแล และทำหน้าที่ที่เขาควรทำ แต่ในใจก็รู้ว่าสิ่งที่ตัวเองทำลงไปมันแย่แค่ไหน เขาคนนั้นบังคับให้ผมไปเรียนต่อโปรแกรมที่ดีที่สุด ให้ตักตวงทรัพย์สินในรูปแบบความรู้ที่ไม่มีขีดจำกัด แม่บอกว่าเขาเรียนจบที่นั่น และสิ่งที่เขาทำลงไปก็เพราะต้องการให้มีหลักประกันว่าผมจะดูแลแม่และตัวเองได้...ในวันที่ไม่มีเงินของเขา” ทิมหัวเราะ เป็นเสียงหัวเราะที่บอกไม่ถูกว่ามีความสุขหรือเย้ยหยันกับโชคชะตาที่เผชิญอยู่

“เขาบังคับไม่ให้ติดต่อกับพี่ เพราะอยากจะให้แน่ใจว่าคนที่ผมเลือกเป็นคนดีและมั่นคงมากพอจะไม่หวั่นไหว ความรักแบบนี้มันไม่มีอะไรยึดเหนี่ยวได้เลย ไม่มีกฎหมายรองรับ ไม่มีประเพณีใดๆ ไม่มีแม้แต่พยานรักที่จะยื้อกันให้อยู่ด้วยความเกรงใจ เขาเติบโตขึ้นจากเป็นวิศวกรระดับสามัญที่สุด คนๆ นั้นจึงรู้ดีว่างานวิศวะโยธามันไม่ใช่งานที่อยู่กับที่ บางครั้งต้องไปต่างจังหวัดนานเป็นเดือน หลายๆ เดือนก็มี แม่บอกว่าเขาคนนั้นเพียงแต่อยากให้แน่ใจว่าคนที่ผมรักเป็นคนที่มีจิตใจเข้มแข็งและเหมาะสมกับผมจริงๆ”

“เขาเพียงแค่ทำหน้าที่ของคนพ่อเป็นครั้งสุดท้าย...ก่อนที่ทุกอย่างจะจบลง”

คะน้านึกถึงภาพตอนที่เขาพบกับคุณธาดาโดยบังเอิญในวันก่อน และเมื่อเทียบกับเรื่องราวต่างๆ ที่ได้ยินจากปากของทิม คะน้าคิดว่าตัวเองเข้าใจตัวของผู้ชายคนนั้นมากขึ้น เหมือนกับเหรียญที่มีสองด้าน ในบางแง่มุมของคุณธาดาก็ไม่ได้ถือว่าเป็นคนที่เลวร้ายอะรไปเสียหมดอย่างที่เขาเคยคิดไว้แต่ก่อน

“ถึงวันนี้ ผมก็พิสูจน์ให้ทุกคนเห็นแล้วว่าความรู้สึกระหว่างเราไม่ใช่สิ่งที่ฉาบฉวย” ทิมส่งรอยยิ้มให้กับเขา

นี่คือตอนจบของเรื่องราวทั้งหมด นับตั้งแต่วันแรกที่ได้รู้จัก ก้าวแรกที่ได้เรียนรู้เข้าใจกันกัน จนรวมไปถึงการเดินทางของการรอคอยตลอดระยะเวลาสองปีนั้น สิ้นสุดลงด้วยความเข้าใจและการยอมรับ ไม่ใช่เพียงแต่คนที่ชิดใกล้อย่างผักกาด หรือครอบครัวของทิม ตุล แนน เจ และคนอื่นๆ แต่มันรวมไปถึงตัวของเขาหรือแม้แต่ตัวของทิมด้วย กาลเวลาที่ผันผ่านนั้นแม้สร้างความเหงาที่แสนเจ็บปวด ในความเงื่อนไขต่างๆ ที่ทั้งเขาและทิมต้องแบกรับเอาไว้นั้นทำให้ได้เรียนรู้ถึงความรู้สึกที่แท้จริงของตนเอง ความห่างไกล ความไม่เข้าใจ และอุปสรรคต่างๆ เป็นเพียงบททดสอบความรู้สึกของเขา...ที่คงจะมีให้ได้เพียงแค่คนๆ เดียว

“พี่ครับ... ผมไม่เคยแปลกใจเลยว่าทำไมผมถึงรักพี่ได้มากมายขนาดนี้” วงแขนของทิมกอดร่างเขาไว้แนบแน่น

ชีวิตของคะน้าเริ่มต้นจากคืนที่แสนเบื่อหน่ายในห้องนอนเล็กๆ แห่งนี้ เขาในตอนนั้นไม่ต่างอะไรกับกระต่ายที่มีแค่พระจันทร์ดวงกลมๆ เป็นเพื่อนแก้เหงา ผ่านไปเนิ่นนานกระทั่งการเดินทางที่แสนยาวไกลนั้นได้สิ้นสุดลง คะน้ากลับมาสู่จุดเดิมอีกครั้ง ห้องเล็กๆ เตียงนุ่มๆ กับใครบางคนที่มีความหมายต่อหัวใจ

ทิมจ้องมองที่ดวงตาของเขาด้วยแววตาที่เหมือนอัดแน่นไปด้วยประกายของดาวทั้งฟ้า คะน้าสบตาคู่นั้นกลับ เขายิ้มแล้วค่อยๆ กดใบหน้าลงบนแผลที่เหนือหน้าอกด้านซ้าย จูบลงเบาๆ แล้วเลื่อนลงสู่ตำแหน่งของหัวใจ

โลกใบนี้ของผม เมื่อก่อนมันเป็นไปด้วยสีเทาแห่งความเหงา ผมไม่รู้จักความสุข ไม่รู้จักความเศร้า ผมแค่เดินไปข้างหน้าโดยไม่รู้ว่าไปไหน ใช้ชีวิตให้ผ่านไปแต่ละนาทีอย่างไร้เป้าหมาย แต่โลกใบนี้มันค่อยๆ เปลี่ยนไป คนๆ นี้ทำให้ผมได้เรียนรู้โลกในมุมใหม่ ได้รู้จักความรู้สึกทั้งทุกข์และสุข ไม่ใช่แค่เพียงด้านที่อ่อนหวาน เขาบ้าบิ่นและกล้าพอที่จะทำให้ผมได้เห็นโลกที่เต็มไปด้วยสีสันที่สั่นสะเทือน

“แล้วนี่มันเกี่ยวอะไร”

คะน้าเงยหน้าขึ้นมาตั้งคำถามกับทิมเมื่อฝ่ามืออุ่นๆ นั้นวางทาบลงบนเป้ากางเกงของเขา เจ้าของมือที่ซุกซนดูจะไม่ใส่ใจกับคำถามนั้นเท่าไรซ้ำยังลอยหน้าลอยตายิ้มอย่างมีความสุข

“ก็แค่คำพูด ...มันไม่พอกับความรู้สึกที่อยากบอกแล้วนี่นา”

นี่แหละเขา... คนที่เป็นได้ทั้งหมาป่าเจ้าเล่ห์และสุนัขเฝ้าบ้านที่ซื่อสัตย์ เป็นเหมือนพ่อมดที่ร่ายมนต์ผสมทุกๆ อย่าง เป็นเชฟที่ปรุงแต่งรสชาติของชีวิตผมให้มีทั้งหวานและเปรี้ยวจนกลายเป็นรสที่จัดจ้าน ทุกนาทีที่ผ่านไปเหมือนการผจญภัยบนรถไฟเหาะตีลังกา เขาไม่ใช่คนรักแบบอุดมคติที่มีแต่แสงสีขาวเจิดจ้า คนๆ นี้ให้ได้ครบทุกสีสันที่สายตามนุษย์จะจำแนกได้

“ใส่เสื้อแล้วลงไปกินข้าวได้แล้ว ไม่หิวหรือไงกัน”

คะน้าปรามอีกครั้งกับคนที่เผลอเป็นไม่ได้ แต่คำอุทธรณ์ของกระต่ายนั้นไม่เคยมีผลกับจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ แม้แต่สุนัขเฝ้าบ้านผู้ซื่อสัตย์ก็ตาม มีสักครั้งไหมที่มันจะไม่โผเข้าหากระดูกแสนอร่อยที่วางอยู่ตรงหน้า ทิมปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตของคะน้าทีละเม็ดๆ ปลายนิ้วทั้งสิบค่อยๆ คลายผ้าสีขาวออกจนเผยผิวกายที่ซุกซ่อนอยู่ภายใน

“หิวโซเลยล่ะ”

เจ้าของดวงตาที่ร้ายกาจคู่นั้นยกมุมปากขึ้นแล้วยิ้มโชว์เขี้ยวขาว สีดำที่วับวาวคู่นั้นยังคงจ้องมองมาที่เขาอย่างไม่ให้คลาดสายตา ใบหน้าของทิมโน้มลง... เลื่อนลง... ค่อยๆ ฝังคมเขี้ยวลงบนผิวกายที่นวลขาวราวกับแสงจันทร์

ยังมีหนังสืออีกหลายเล่มที่รอเราเปิดอ่าน อาหารมากมายที่รอให้เราลองลิ้มชิมรส มีเพลงเพราะๆ อีกเป็นหมื่นพันเพลงรอให้เราโยกหัวไปตาม มีเส้นทางอีกหลายเส้นที่รอให้เราเดินสำรวจ และยังมีความฝันต่างๆ อีกมากมายที่รอให้เราทำให้กลายเป็นจริง ...โลกสีเทาที่น่าเบื่อ แท้จริงนั้นเป็นสถานที่ซึ่งเต็มไปด้วยการผจญภัยแสนสนุก


...แล้วใครจะอยากอยู่คนเดียวบนดวงจันทร์



++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


:L2: จบแล้วครับ :L2:

ออฟไลน์ Lucea

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 312
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +292/-0
ขอบคุณมากๆ นะครับที่ติดตามกันมาจนถึงตอนนี้ นิยายที่มีความยาวประมาณ 600 หน้ากระดาษ A4
ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองแต่งไปได้ยังไง ทั้งๆ ที่จุดเริ่มต้นเป็นเพียงแค่แต่งแบบนึกสนุก
ไม่มีพล็อต ไม่มีอะไรในใจทั้งสิ้น ไปๆ มาๆ กลับกลายเป็นว่ากลายเป็นนิยายที่มีมันทุกรสชาติ
โรแมนติก คอมมาดี้ เศร้าน้ำตาแตก บู้ล้างผลาญ ไปจนกระทั่งสืบสวนสอบสวนเล็กๆ
ขอบคุณที่ติดตามกัน ขอบคุณที่แวะมาทักทายกัน ทั้งแนะนำ เสนอแนะ ท้วงติง และทักทายเวิ่นเว้อ
อ่านทุกๆ คอมเมนต์เหมือนคนบ้า จนจำได้เกือบทุกคนจริงๆ ขอบคุณสหายที่ร่วมติดตามมาตั้งแต่ตอนแรกๆ
มาถึงตอนนี้ก็ยังเห็นอยู่หลายคน อยากจะบอกว่าขอบคุณจริงๆ ที่ติดตามกันมาจนถึงป่านนี้
แล้วก็ยินดีรู้จักกับเพื่อนๆ คนอื่นๆ ที่แวะเวียนกันเข้ามาอ่านนิยายเรื่องนี้นะครับ ขอบคุณมากๆ เลย

หวังลึกๆ ว่าจากความเพ้อเจ้อเล็กๆ ที่ไม่คิดหน้าคิดหลังจะพอสร้างความสุขให้เพื่อนๆ ได้บ้าง
ดีใจที่ได้รู้จักกันนะครับ สำหรับคนที่อยากจะเก็บเป็นที่ระลึกนะครับ นิยายเรื่องนี้จะมีรวมเล่มให้ได้เก็บกันครับ
เดี๋ยวทราบข่าวยังไงจะมาแจ้งให้ทราบกันอีกทีนะครับ คงจะอีกสักพักกว่าจะเปิดจองกัน

ขอบคุณทุกๆ คนมากอีกครั้งนะครับ ไว้ว่างๆ จะแวะเข้ามาวิ่งเล่นพูดคุยกันเป็นระยะนะ :-[
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-03-2013 00:46:34 โดย Lucea »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ bebe

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 672
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-5
ชอบๆ จบดีมากเรย แต่น่าจะมีต่ออีกนิดนึง
อยากเห็นโมเม้น ของคุณแม่ทิมกับคะน้าบ้าง

ออฟไลน์ AfternoonTea

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 186
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
 o13 o13 o13 o13 o13 o13 o13 o13 o13 o13
สุดยอดมากๆเลย
ก่อนอื่นขอชื่นชมคนแต่งมากๆเลยนะคะ แต่งได้ดีมาก ชอบสำนวนแล้วก็การเปรียบเปรย อ่านแล้วลื่นไหลดี ^^

ตอนที่คะน้าเจอกับทิมที่บ้าน นี่เราน้ำตาซึมไปด้วยเลย 2ปีมันตั้ง2ปี หรือ 730วันเลยนะ TT คนแต่งแอบใจร้าย 5555
แต่ก็แอบสงสัย ว่าทิมเองจะไม่ไปหาคะ้น้าเองบ้างหรอ หรือว่ายังไง? 555

เป็นนิยายเรื่องหนึ่งที่ทำให้ต้องเข้ามาดูในเล้าทุกวันว่าอัพรึยังน้า
เห็นความรักของทิมกับคะน้าเป็นแบบนี้แล้วก็แอบอิจฉาา ทิมจะน่ารักเกินไปแล้ว  :o8: :o8: :o8: :o8:

สุดท้าย ขอตอนพิเศษด่วนค่ะ 55555555555555  :bye2: :bye2: :bye2:

ออฟไลน์ oaw_eang

  • Global Moderator
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2122/-586

ออฟไลน์ pichayakamon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 290
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-0
    • My Facebook
อ่านไปน้ำตาคลอไป  มันรู้สึกปลื้มอ่ะไม่รู้จะบรรยายยังไง 
น้ำตาจะไหลทั้งๆที่ปากยิ้มแฉ่ง  รู้สึกดีสุดๆค่ะ
ขอบคุณสำหรับเรื่องราวดีๆ นะคะ อ่านแล้วสัมผัสได้เลยว่าคนเขียนตั้งใจถ่ายทอดทุกตัวอักษรจริงๆ
ในแต่ละตอนให้ความรู้สึกหลากหลายมาก ตัวเองสิงอยู่ในเล้ามา เกือบ 6 ปีแล้ว
อ่านนิยายมาเยอะ และค่อนข้างจะเดาการเดินเรื่องออก
แต่เรื่องของคุณ ดิฉันเดาถูกอย่างเดียวค่ะ คือพระเอกต้องเป็นทิม นอกนั้นนี่ หักมุมจากความคิดสุดๆ
ความรู้สึกตอนอ่านนี่ไม่ได้อ่านชิลๆ เลยค่ะ บางตอนนี่อึดอัดมาก ได้แต่คิดในใจ ทำไมๆ ทำไมต้องเป็นอย่างงี้
ไม่เอาแบบนี้ จะเอาอย่างงี้ คือ อ่านไปโวยวายไปอ่ะค่ะ มันไม่ได้ดั่งใจ หมายถึง มันไม่ happy เหมือนที่เราหวังอ่ะค่ะ ปวดใจมาก คือ คิดไปว่ามันเป็นชีวิตตัวเอง
สรุปคือ อินไปกับตัวละครนั่นแหละ หนักๆเข้านี่น้ำตาไหลพรากๆ
พอเป็นฉากซึ้งๆ หรือกุ๊กกิ๊ก ก็ทำเอาเขินหลุดโลก มีความสุขจนยิ้มแก้มปริ เพ้อเจิบิดซ้ายบิดขวาไปคนเดียว
สรุป ขอชื่นชมคนเขียนมากๆๆๆๆๆๆเลยนะคะ คุณสุดยอดจริงๆ ดิฉันเป็นคนนึงค่ะที่เห็นในความตั้งใจจริงๆ ของคุณ โครงเรื่องซับซ้อนหักมุมไปมาขนาดนี้ ต้องรักจริงตั้งใจจริงนะถึงจะสร้างมันขึ้นมาได้ 
และตอนนี้ความตั้งใจของคุณได้ถูกถ่ายทอดออกมาในภาษาที่จับใจ
ตัวละครทุกตัวของคุณมีคุณค่า คำพูดและความคิดที่ถ่ายทอดจากตัวละครล้วนให้แง่คิด
ไม่แปลกที่จะมีคนมากมายรักและชื่นชมนิยายของคุณรวมทั้งความสามารถของคุณ
และดิฉันเป็นหนึ่งในนั้นค่ะ ^_^

ปล.ดิฉันก็ไม่อยากอยู่คนเดียวบนดาวเคราะห์ค่ะ (เอ๊ะ! เกี่ยวไหม?)

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7208
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
บทสรุปค่อยยังชั่วหน่อย ที่ให้ทั้งสองคนกลับมาเจอกัน ได้ครองรักกันต่อไป
ถ้าคะน้าไม่เตร่มาแถวนี้อยากรู้เหมือนกันว่าทิมจะไปหาหรือเปล่า
แต่เซอร์ไพร้ซ์สุด ๆ ก็คงจะเป็นจันทู เอ๊ยเจมส์นั่นเอง เหอ ๆๆ
โลกใบนี้อะไรก็เป็นไปได้
ขอบคุณคนเขียนที่สุดแสนจะแอ็กทีฟ ต่อนิยายได้รวดเร็วมาก อ่านจุใจ
แม้บางครั้งจะต้องลุ้นต้องเดาแบบคลำทางไม่เจอก็เถอะ

ออฟไลน์ Millet

  • `ヅ
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1667
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +663/-5
มาถึงตอนจบจนได้

พูดไม่ออกเลยอะ อ่านไปก็คิดนะว่าเดี๋ยวจะเมนท์อะไรดี

พอมาถึงตอนนี้ มันตื้อไปหมดเลยยยย มันดีมากกกกกกกก

ชอบตัวละครทุกตัว เรียกว่า รักเลยดีกว่า

ขอบคุณมากกกกกก ร้องไห้ก่อนนะ ฮือออออ





ออฟไลน์ aorpp

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1274
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +250/-3
มีความสุขไปกับคะน้าและทิม
ขอบคุณคนแต่งมากค่ะ
+1  :กอด1:

ออฟไลน์ NONSENSE

  • เพ้อฝัน ไปวันวัน
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 644
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +66/-2
สนุกอ่า.. ยิ้มไม่หุบเลยเรา
ขอบคุณนะคะ
+1ค่ะ

 :L2: :L2:

ออฟไลน์ bobby_bear

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 419
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-5
อืมมมมมม

ตอนจบก็ไม่ต่างจากที่คิดเท่าไหร่
แต่สิ่งที่แตกต่างคือสำนวนการแต่ง ทำได้ดีมาก
ตื้นตันจริง ๆ

จริง ๆ อยากเม้นยาว ๆ มั่งนะ แต่ทำไม่ได้ ทำไม่เป็นแต่
บอกได้แค่ว่านิยายเรื่องนี้เป็นอีกเรื่องที่ประทับใจมาก
ครบรส ครบเครื่อง

ดีใจที่จบและก็เสียใจที่จบ ไม่ค่อยชอบบรรยากาศตอนนิยายจบเท่าไหร่
มันเหมือนเพื่อนที่เจอกันบ่อย ๆ หายไป
เข้าเล้ามาแล้วกวาดหาชื่อนิยายเรื่องนี้ก็จะม่มีในห้องนี้อีก
อยากบอกว่าเราคงคิดถึงนิยายเรื่องนี้จริง ๆ

รอเค้ากลับไทยเดือนมิถุนานะ ตอนนี้มีแต่แม่อยู่บ้าน
เดี๋ยวให้แม่สั่งให้จะไม่ได้อ่านกันพอดี 555

ออฟไลน์ inpurplethief

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-0
อิ่มใจ
บอกได้แค่อิ่มใจ 
จบได้ลงตัว ถูกใจ

เคยเจอแต่ตัวละครที่แรงๆ
หรือไม่ก็อ่อนเป็นนางเอกปลาบู่ทอง
และเคยคิดว่าคนธรรมดาๆ คงไม่มีทางจะเป็นตัวเอกในนิยายเรื่องไหนๆ

คะน้าเป็นตัวละครบุคลิกเรียบๆ
แต่คนแต่งสามารถทำให้คนอ่านเข้าใจเหตุผลในการกระทำแบบคะน้า
ซึ่งเป็นด้านที่ไม่เคยคิดมาก่อน

ทิม นายยอดมาก เชียร์มาตั้งแต่แรก
คิดถูกที่เชื่อมั่นในตัวแกว่ะ


ขอบคุณเรื่องดีๆและสนุกมากๆ เรื่องนี้
ถูกจัดอยู่ใน TOP 5 ในใจเราเลยเชียว


 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-03-2013 06:31:11 โดย inpurplethief »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ MiU

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 229
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-3
จบแล้วเหรอออ อยากให้มีตอนพิเศษหวาน ๆ บ้างจังเลย  :o8: :o8:

อ่านแล้วก็พยายามทำความเข้าใจกับคุณธาดานะ แต่อีกแง่นึงก็ยังรู้สึกโกรธไม่หาย พึ่งจะมาทำหน้าที่ของพ่อตอนสุดท้ายเนี่ยนะ มันน่าโมโหจริง ๆ สรุปแล้วรักแล้วไม่แสดงออกกับลูกหรือยังไง  :m31:


แต่ในที่สุดเรื่องก็คลี่คลายลงด้วยดีอ่ะเนอะ ดีใจกับพี่ทิมและต่ายน้อยด้วยจ้า  :L2: :กอด1:

ออฟไลน์ -west-

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1393
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1875/-12
    • FACEBOOK PAGE
แล้วทิมเคอะ   อีทิมเคอะ ถ้าคะน้าไม่มาเจอ แกคิดว่าจะกลับไปหาคะน้าบ้างมะ
สุดท้ายก็หักมุมอีกจนได้ สุดๆเลยคนนี้ จันทูแม่ยอดหญิง  โถ่... หมดกัน 555555555555
ตอนจบ จบแบบบ  ห๊ะ?  ไม่หวานหน่อยเหรอคุณ  มีแต่หมาหิวให้คนอ่านจินตนาการไปเองถึงดวงจันทร์
แบบนี้ต้องทวงตอนพิเศษสินะ เอาแบบให้น้ำตาลจืดบ้างอะไรบ้าง สมกับที่ขมกันมาหลายตอน
สุดท้ายคนแต่งก็โดนอีก สงสารคะน้าบ้างสิ เหงาตั้งนาน ไม่หวานโชว์บ้างเลออออ
ทั้งหมดทั้งมวลเพื่อทวงตอนพิเศษแบบโรม๊านครับ 5555555
ขอบคุณมากที่เข็นจนจบ คือช่วงนึงที่หายไปใจเสียมากกลัวคนแต่งจะทิ้ง ฮือๆๆๆ เป็นนิยายที่ประทับใจมากครับ   ดูเป็นคนที่รักกันและไว้ใจกันมากไม่ว่าอีกฝ่ายจะเป็นยังไงก็ตาม   บั่บแว่รักแล้วอ่ะ ไม่สนติ่งอะไรใดใดในโลกอีกแล้วว
ซึ้ง~~~

ออฟไลน์ indy❣zaka

  • กระซิกๆ เบื่อดราม่า...
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4582
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +625/-26
ขอตอนพิเฉดดดดด  ใส่ไข่ ใส่หมู โดยเฉพาะน้ำตาล ใส่ไปเยอะๆเลยยยยย  :o8:  ( แต่ไม่ต้องใส่มาม่านะคะ แหะๆ )


แล้วก็  ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆสนุกๆ  เรื่องนี้นะคะ    :L2:
เลิฟคะน้าและคนเขียนมากกกก  :กอด1:

ออฟไลน์ anchoviiz

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 315
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-1
เขียนดีมั่กมากกกกกก
ซึ้งเลยตอนจบ

พิมอะไรยาวๆไม่ค่อยเป็นสะด้วยสิ
ชอบทุกๆฉากที่บรรรยายเลย ชอบสุดตอนฉากบู๊นี่แหละ
ยังอึ้งอยู่จริงๆนะ =______=

ก็ต้องขอบคุณสำหรับนิยายดีๆอีกเรื่อง
ที่แต่งให้เราได้อ่านได้ลุ้นกัน(อ่านเรื่อนี้งจนกลัวการหักมุมไปแล้วจริงๆ)
สมุกมากกกกกกกกกกกก
รอตอนพิเศษ หรือไม่ก็เรื่องใหม่
เป็นกำลังใจให้นะคะ ^^v

ออฟไลน์ Lunatan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 217
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1
ความรักของทิมกับคะน้าเป็นความรักที่มั่นคงจริงๆ
ถึงช่วงเวลาที่ได้คบกันจะไม่นานเท่ากับเวลาที่รเพราะอิทิมหายตัวได้ตลอด
แต่ความรู้สึกมันมีค่ากว่านั้นมากกกกกกกก
ดีใจที่เชียร์ทิมมาตั้งแต่ต้นและดีใจที่ได้อ่านได้ติดตาม
นิยายเรื่องนี้ให้เราได้หลายอารมณ์จริงๆและต้องนั่งลุ้นจนตัวโก่งทุกตอน
ขอบคุณจริงๆค่ะที่เขียนดีๆแบบนี้ให้ได้อ่านกัน :L2:

ออฟไลน์ Rafael

  • เพราะคนเราเกิดมาเพื่อแตกต่าง
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4377
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +685/-7
ขำจันทูมาก ตอนที่บอกว่าชื่อเจมส์ 55 ขำพรืดดด
แต่ขอบอกเลยว่า อ่านตอนนี้แล้วชอบคุณธาดา 5555
ไม่รู้สิ
ดูเหมือนจะเป็นตัวร้าย
แต่ตอนนี้มันให้อารมณ์พระเอกสุดๆ
ทรัพย์สินที่ใช้ได้ไม่มีวันหมด
คำนี้มันซึ้งกินใจจัง อะไรมันจะจีรังไปมากกว่ากว่าความรู้ที่ไม่มีวันหมด
การทำหน้าที่ของพ่อ อาจจะเรียกว่าครั้งแรกและครั้งสุดท้าย
บทพิสูจน์ที่ทำให้เข้าใจอะไรหลายๆอย่าง สมแล้วที่เป็นนักธุรกิจ
มองการไกลสุดๆ 55555 ไม่มีบทแต่ชอบชะมัด กร๊ากก
จบแบบนี้ดีที่สุด ยังจำได้ตอนที่ตามอ่านเป็นคนแรกๆของเรื่องนี้ จนถึงวันนี้
ดูเป็นเวลาที่นานเหมือนกัน ลุ้นแล้วลุ้นอีก
ขอบคุณมากกกกกๆๆๆๆๆ นะคะ อิอิ

ออฟไลน์ kissme

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 457
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-0
ขอบคุณจ๊ะ....จบได้ซึ้งมาก ๆ มีความสุขที่ได้อ่านจริง ๆ

ออฟไลน์ Acacha

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1645
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-2
ดีจัง ทุกคนมีความสุข
แต่อึ้งเรื่องจันทู อึ้งตั้งแต่ฉากเปิดตัวจนฉากสุดท้าย 555+

ออฟไลน์ janamanza

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 649
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-2
อ่านแล้วได้อะไรเยอะแยะมากมายจากเรื่องนี้ทุกๆตัวละครสอนแง่คิดและมุมมองผ่าน
บทบาทของพวกเขา  สะท้อนออกมาให้เห็นผ่านตัวหนังสือที่เรียบเรียงเป็นเรื่องราวของคุณ
ขอบคุณและดีใจมากที่ได้อ่านเรื่องดีๆอย่างนี้ รอติดตามผลงานใหม่ๆนะคะ

ออฟไลน์ pigarea

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 748
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
แวะมาแสดงตัว ตามอ่านแบบเงียบๆ มานาน
แต่งดีมากคะ ไม่น่าเชื่อว่าจะแต่งเป็นเรื่องแรก
ติดตามผลงานนะคะ
 :L2: :L2: :L2:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด