(สุดท้ายแล้ว)
ทิมกอดคะน้าแน่นแล้วดันร่างของเขาลงบนเตียง ก่อนจะกดริมฝีปากที่เปียกชื้นนั้นลงบนคอของคะน้า คนตัวสูงกว่ายังคงโหยหากับรสสัมผัสที่อยู่ตรงหน้าเหมือนกับคนไม่รู้จักอิ่ม
“คิดถึงจะตายอยู่แล้ว”
ทิมปลดกระดุมเสื้อของตัวเองออกแล้วโยนไปเหมือนกับของที่เกะกะ ร่างกายในตอนนี้ของทิมเหมือนกับชายหนุ่มที่เติบโตเต็มไว สองปีที่จากกันเปลี่ยนแปลงอะไรไปมากมาย ใบหน้านั้นคมคายด้วยแนวกระดูกที่เป็นโครงชัด มีไรหนวดสากๆ ขึ้นเหนือริมฝีปากและใต้คางเหมือนลูกผู้ชายที่ใช้ชีวิตแบบง่ายๆ แผ่นอกของทิมนั้นกว้างและผายออกจนดูสง่ากว่าที่เขาเคยเห็น เรือนร่างแน่นไปด้วยกล้ามเนื้อที่ชัดเจนจนดูเหมือนปฏิมากรรมที่ไร้ซึ่งที่ติ ทิมในตอนนี้ต่างกับในวันวาน เป็นเหมือนกับไวน์ที่บ่มหมักจนหอมได้ที่ ให้ทั้งกลิ่นและรสชาติที่ชวนหลงใหล
หากแต่แผลเป็นนั่นเป็นดั่งตำหนิแห่งความปวดร้าว บาดแผลที่เยื้องไปที่หัวไหล่ด้านซ้ายและที่อยู่ข้างช่องท้องนั่นทำให้คะน้ารู้สึกไม่ดี เพราะความวุ่นวายของเขา ร่างกายนี้จึงมีรอยแผลที่เกือบเอาชีวิตไม่รอดนี้ ทิมทอดสายตามองเขาด้วยแววตาอ่อนโยน ฝ่ามืออุ่นๆ นั้นกวาดมือของเขาขึ้นมาลูบไปบนร่องรอยบาดแผลของตนเอง ทิมส่งยิ้ม... ไม่ใช่ยิ้มยียวน แต่เป็นรอยยิ้มที่หวานกว่ารอยยิ้มไหนๆ
“ผมว่ามันโรแมนติกนะ”
คะน้าเบี่ยงสายตาจากคนที่คร่อมอยู่ด้านบน เขาไม่อาจทานทนกับความรู้สึกที่ล้นเอ่อขึ้นมาจากกลางอกของตัวเองในตอนนี้ได้ คนที่อยู่ตรงหน้าในตอนนี้กำลังทำให้เขาลืมวิธีหายใจ คะน้ารู้สึกทรมาน แต่เป็นการทรมานด้วยความสุข และเขาก็รู้สึกยินดีเหลือเกิน
“แต่มันเป็นแผลเป็น มันเป็นตำหนิ”
“ไม่เลย สองปีที่ผ่านมา มันเป็นสิ่งที่เตือนใจผมว่า...
พี่รักผมมากแค่ไหน”
ทิมกดร่างของตัวเองแนบลงบนตัวเขา ฝ่ามือของคะน้ายังเกาะกุมอยู่ที่แผลเหนือแผ่นอกด้านซ้าย ในความอึดอัดของการกดทับ ทิมค่อยๆ เลื่อนมือของคะน้าลงจนอยู่เหนือตำแหน่งของหัวใจ คะน้าสัมผัสได้ถึงการปะทะด้วยจังหวะที่รุนแรงของสิ่งที่เต้นอยู่ภายใน เจ้าของหัวใจดวงนั้นกดหน้าลงแล้วกระซิบคำแผ่วที่ข้างๆ หู
“ขอบคุณนะ”
คะน้าเบือนหน้าไปอีกทาง ดูเหมือนหัวใจของเขากำลังทำงานหนักเกินไป และมันก็ทำให้สติรับรู้ผิดชอบชั่วดีลางเลือนลงทุกที เขาไม่รู้เหตุผลของการหายตัวไปด้วยซ้ำ แต่ดูเหมือนใจมันจะเตลิดจนลืมสองปีแห่งความปวดร้าวไปเสียหมดแล้ว
“...นายหายไป”
เสียงครางเบาๆ ในลำคอของทิมขึ้นมาทันที ทิมฝังปลายจมูกลงบนแก้มของเขาแล้วเผาให้ร้อนวาบไปถึงหัวใจด้วยไออุ่นของลมหายใจ เสียงทุ้มที่น่ารำคาญยังคงตามมาคลอเคลียอยู่ที่ข้างใบหู ราวกับจะไม่ยอมปล่อยให้คะน้าเป็นอิสระ
“ผมพร้อมจะบอกพี่ในทุกๆ เรื่อง แต่ต้องตอบมาก่อน ...
คิดถึงกันบ้างไหม?”
“ไอ้...” คะน้าตวาด ผิดกับทิมที่คำรามเบาๆ ในลำคอเหมือนได้ยินคำตอบที่พึงพอใจ รอยยิ้มและดวงตาคู่นั้นทำให้ทิมดูเจ้าชู้จนน่ากลัว
“แล้วยังรักกันหรือเปล่า” แม้อยากจะพลิกตัวหลบแค่ไหน แต่น้ำหนักทั้งตัวของคนที่นอนทับอยู่ทำให้คะน้าได้แต่เบี่ยงหน้าและหลบสายตาไปอีกทาง
“ว่าไง ...หึ้มมมม?”
จากฝ่ายที่ควรจะเป็นผู้ไล่ล่ากลับกลายเป็นถูกต้อนเสียจนมุม คะน้าไม่เข้าใจว่าทำไมตัวเองถึงแพ้พ่ายเอากับคนๆ นี้อยู่เรื่อย ไม่ว่าจะมาแนวไหน ไม่มีสักครั้งที่เขาจะรับมือได้ด้วยหัวใจที่เต้นด้วยจังหวะปกติได้เลย
“อนุญาตให้ใช้จูบแทนคำตอบ”
คะน้ายังคงแชเชือน ไม่ใช่ว่าตัวเองไม่อยากรู้ถึงเหตุผลต่างๆ นานา แต่เงื่อนไขของการรับฟังนั้นช่างไร้สาระ สุดท้ายเขาก็เป็นฝ่ายถูกเอาเปรียบเล็กๆ น้อยๆ ตลอดเวลา ท่าทางของคะน้านั้นเรียกรอยยิ้มของทิมขึ้นมาอีกครั้ง ทิมจ้องมองเขาสักพัก ในที่สุดคนที่นอนทับอยู่ก็เป็นฝ่ายปราชัยในคำพูดที่ตัวเองลั่นไว้ ทิมโน้มใบหน้าตัวเองเข้ามาจูบคะน้า
“กติกาเดียวกัน อยากพูดเองก็ต้องเป็นฝ่ายจูบเอง”
คะน้าส่ายหน้าแล้วถอนหายใจให้กับกติกาที่แปลกประหลาดนั้นจนคนที่อยู่ตรงหน้าส่งเสียงหัวเราะ ทิมกอดเขาแน่นแล้วจับพลิกตัวของคะน้าขึ้นมานอนอยู่บนตัวเอง มืออุ่นๆ เอื้อมขึ้นลูบใบหน้าของคะน้าแล้วยกคิ้วสูง
“ให้ตายเถอะ อะไรทำให้พี่ขายที่ดินให้ธาดาพิพัฒน์”
คะน้าสบตาคู่นั้นแล้วตอบตามความจริง “เพราะโอกาสในการให้อาชีพแก่คนที่ค้าขายอยู่เดิมในตลาด คงไม่มีนายทุนคนไหนที่จะผูกมัดตัวเองด้วยสัญญาแบบอีกแล้ว คนที่เป็นคนร่างสัญญามันคงเป็นคนที่บ้าเอามาก” สิ้นเสียง ทิมก็หัวเราะขึ้นทันที
“ไม่รู้เหรอว่าไอ้หมอนั่นน่ะ มันพร้อมจะบ้าเสมอเพื่อพี่” คราวนี้เป็นคะน้าที่ยิ้มขำ ทิมกดใบหน้าของเขาแนบลงบนแผ่นอก นิ้วที่แข็งแกร่งนั้นลูบไล้ไปบนผมของเขาอย่างแผ่วเบา “เดิมทีเดียว ตั้งใจให้ธาดาพิพัฒน์ดิ้นไม่หลุดแท้ๆ ใครจะคิดว่าพี่จะทำแบบนั้น”
“ทั้งๆ ที่นั่นเป็นบริษัทของคนที่เป็นพ่อนายน่ะเหรอ”
“พูดตรงๆ คนแบบผมมันลูกบ้าเยอะว่ะ แล้วก็บ้าพอจะทำตามที่ตัวเองคิดว่ามันถูกต้อง ผมกลัวว่าจะทำให้แม่เสียใจนะ แต่มันเป็นบ้าอะไรก็ไม่รู้ อย่างที่เคยบอกไปน่ะ ...
ผมให้พี่ได้ทุกอย่าง”
คำพูดของทิมทำเอาคะน้ารู้สึกรื้นขึ้นมาในดวงตาทันที เขาจำคำนั้นได้ คำสัญญาที่ทิมเคยพูดเอาไว้กับเขาต่อหน้าป๊ากับแม่ ความรู้สึกในวันนั้นยังคงอยู่ วันที่เขาตัดสินใจที่จะเข้มแข็งเสียที คะน้ายิ้มให้กับคนที่เขาเชื่อใจมาโดยตลอด ทิมเป็นคนแบบนั้นจริงๆ
“ถ้าวันหนึ่งพี่กลายเป็นคนเลวล่ะ”
“ผมก็จะเลวเพื่อพี่”
ทิมตอบได้อย่างไม่ลังเล เสียงนั้นเต็มไปด้วยน้ำหนักที่มหาศาล คะน้ารู้สึกเหมือนกับตัวเองกำลังกลายสภาพเป็นขนนกที่ปลิวอยู่บนท้องฟ้า ล่องลอยไปกับสายสมที่พัดพริ้วจนใจแช่มชื่น ที่ผ่านมาถึงแม้จะตอบตัวเองไม่ได้ว่าทำไมเขาถึงใช้ชีวิตอยู่กับความหวังลมๆ แล้งๆ แบบนั้น แต่ความรู้สึกบางอย่างบอกเขา มันคงเป็นลางสังหรณ์สักอย่างหรืออาจจะเป็นสัญชาตญาณ มันกระซิบบอกเขาว่าทิมจะกลับมา
“ผมถูกย้ายออกจากโรงพยาบาลทั้งๆ ที่ยังไม่ค่อยได้สติ คนๆ นั้นส่งผมไปที่โรงพยาบาลเอกชนชื่อดังที่มีห้องหับกว้างกว่า สะดวกสบายกว่า พวกเขาดำเนินการทุกอย่างโดยที่ผมไม่รู้เรื่องเลย ผมลาออกจากบริษัท ทิ้งจากทุกอย่างที่เป็นของเขา ใช้เงินเก็บทั้งหมดที่มีซื้อบ้านหลังนี้ของพี่”
“พี่ครับ... ตอนนี้ผมเป็นแค่คนธรรมดา ไม่ได้ร่ำรวย ขับรถแพงๆ ผมไม่ได้มีหน้ามีตาในสังคมอีกต่อไปแล้ว เป็นคนตกงานเดินเตะฝุ่น ผมในตอนนี้เป็นได้แค่นี้ ...
ระหว่างเรามันจะยังเหมือนเดิมได้ไหม”
“คิดอะไรโง่ๆ”
ทิมสะแหยะรอยยิ้มให้กับตัวเอง ความรู้สึกมั่นใจถดถอยในน้ำเสียงที่แผ่วลงนั้น “ผมไม่รู้ว่าความเสี่ยงที่ผมแบกรับมันจะคุ้มไหม อะไรมันไม่ได้ง่ายดายไปทุกเรื่องหรอก แต่ผมต้องทำตามข้อแลกเปลี่ยนกับเขาคนนั้น ผมต้องสงบปากสงบคำของตัวเอง จะว่าไปก็ตลกดี ผมเพิ่งมารู้ทีหลังว่าตัวเองให้การไปสองครั้ง”
“เงินทำได้ทุกอย่างแหละ” เขาวางฝ่ามือตัวเองบนแผ่นอกที่ต่างหมอนหนุน ใช่ว่าคะน้าจะไม่รู้สึกอะไรกับสิ่งที่เกิดขึ้น หน้าอกของทิมพองขึ้น คะน้าได้ยินเสียงถอนหายใจเบาๆ ของคนที่อยู่ด้านล่าง
“สิ่งแลกเปลี่ยนอีกข้อเพื่อไม่ให้พวกเขามาข้องเกี่ยวกับพี่อีก ก็คือผมไปต้องเรียนต่อโปรแกรมบริหารต่อยอดจากเดิมที่ต่างประเทศ และต้องออกเดินทางทันทีที่รักษาตัวหาย มันยากสำหรับผมมาก ...พี่น่าจะรู้ว่านับจากเหตุการณ์นั้น ไม่มีทางผมจะยอมห่างพี่ได้อีกแล้ว มันทรมานชะมัด” ทิมยังระบายลมหายใจหนักขึ้น มือที่อบอุ่นนั้นยกกลับมาคลอเคลียอยู่บนศีรษะเขาไม่ห่าง
“เรื่องที่ทุเรศที่สุดที่คนๆ นั้นทำก็คือการไม่ยอมรับว่าความรักแบบนี้ เขาคนนั้นบอกว่ามันแปลกปลอม ผิดเพี้ยน และฉาบฉวย เป็นความรักที่ขาดความมั่นคง และปราศจากสติรับรู้ชั่วดี เขาไม่ยอมรับ จะขัดขวางทุกอย่างและจะทำทุกทางเพื่อให้เลิกกัน เว้นแต่ว่าจะสามารถพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นได้ว่าความรู้สึกของเรา ทุกอย่างมันเป็นเรื่องจริง”
“โดยการพิสูจน์ความไว้เนื้อเชื่อใจกันตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา” คะน้าสรุปขึ้นตามความคิดของตัวเอง ทิมพยักหน้าแล้วเริ่มพูดต่ออีกครั้ง
“ห้ามผมติดต่อกับพี่ไม่ว่าทางไหน อันที่จริงห้ามติดต่อพูดคุยกับใครๆ ที่เมืองไทยเลยล่ะ ผมต้องอยู่คนเดียว และอยู่ให้ได้โดยไม่มีใครจนกว่าผมจะจบโปรแกรมแล้วกลับมา ถ้าผมพิสูจน์ได้ เขาจะยอมรับและสัญญาว่าจะเลิกข้องเกี่ยว”
“สองปีที่ผ่านมา... ผมอยู่กับความหวาดหวั่น ผมไม่รู้พี่จะคิดกับผมยังไง จะโกรธ จะเกลียดผมหรือเปล่า วันนี้เราจะยังเหมือนเดิมไหม ผมถามตัวเองแบบนี้ทุกๆ วัน นับวันตั้งตารอคอยวันที่จะได้กลับมา ผมในตอนนั้นเป็นเหมือนคนบ้า ยิ่งตั้งใจอยากเรียนให้จบก็ยิ่งไม่มีสมาธิ ผมแทบทิ้งข้อแลกเปลี่ยนบ้าๆ แล้วกลับมา จะเกิดอะไรก็เกิด จะสู้กับมันให้เห็นดีกันไปข้าง”
ทิมทอดสายตามองมาที่คะน้าด้วยแววตาที่อ่อนโยน เทียบกันแล้วกับสิ่งที่คะน้าเจอะเจอยังนับว่าน้อยมาก เมื่อเขายังใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ ยังมีผักกาด มีเพื่อนฝูงคนอื่นๆ มากมายเป็นกำลังใจให้เสมอ แต่ทิมนั้นถึงแม้จะรู้สาเหตุการลาจากทุกอย่าง แต่ก็ไม่มีใครเลย
“นายอยู่ได้ยังไง”
ทิมยิ้มแล้วลากมือของคะน้าไปแตะบนแผลเป็นที่ฝากไว้จากเหตุการณ์คราวนั้น ทุกสัมผัสที่ถ่ายเทมาที่เขาดูเหมือนจะทดแทนคำตอบได้เป็นอย่างดี
“ไม่โกรธใช่ไหมถ้าผมจะเก็บมันเอาไว้”
คะน้าส่ายหน้าพร้อมความรู้สึกร้อนวาบ ทิมรั้งร่างเขาเข้ากอดอย่าแนบแน่นขึ้นอีก แม้ปมความสงสัยในใจเรื่องต่างๆ นั้นจะคลี่คลายออกมาจนกลายเป็นเส้นไหมที่ดูสวยงาม หากแต่ความกังวลใจลำดับต่อมาของคะน้าก็คือสิ่งที่รออยู่นับจากนี้ เขาไม่รู้ว่าจะเข้าหน้ากับคุณแม่ของทิมอย่างไร ไม่รู้ว่าจะวางตัวแบบไหน เขาร้างรากับวิถีชีวิตแบบครอบครัวจริงๆ มาหลายปี คะน้าไม่สันทัดกับเรื่องพวกนี้เอาเสียเลย
“แล้ว...คุณแม่”
ทิมยิ้มแล้วยกมือขยี้หัวของคะน้าจนยุ่ง “ก็เล่าให้ฟังตรงๆ นะ บอกตรงๆ ว่ามันรู้สึกกับพี่แบบนี้ไปแล้ว แล้วก็รู้สึกมากด้วย จะให้เปลี่ยนใจคงไม่ไหว แม่รู้ทุกเรื่องนั่นล่ะ รู้มานานแล้วด้วย แม่อยากเจอพี่จะตาย”
คะน้าถึงกับเหวอ กระนั้นก็รู้สึกเบาใจไปมาก แต่คะน้าในตอนนี้กลับหวนคิดไปอีกด้าน การที่ทิมพาคุณแม่ออกมาอยู่ด้วยแบบนี้นั้นจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดกับครอบครัวหรือเปล่า แม้ว่าดูเหมือนจะเป็นข้อตกลงที่จากกันด้วยดีก็ตาม สิ่งนั้นเป็นเรื่องที่คะน้ายังจนปัญญาจะคาดคิดได้ออก
“แล้วคุณธาดา...”
ทิมยิ้มเศร้า แต่กระนั้นก็เป็นรอยยิ้มที่แฝงไปด้วยความเข้มแข็ง “แม่บอกว่านั่นเป็นครั้งแรกที่เขาแสดงออกว่าผมอยู่ในฐานะของลูก เขาห่วง กังวล อยากดูแล และทำหน้าที่ที่เขาควรทำ แต่ในใจก็รู้ว่าสิ่งที่ตัวเองทำลงไปมันแย่แค่ไหน เขาคนนั้นบังคับให้ผมไปเรียนต่อโปรแกรมที่ดีที่สุด ให้ตักตวงทรัพย์สินในรูปแบบความรู้ที่ไม่มีขีดจำกัด แม่บอกว่าเขาเรียนจบที่นั่น และสิ่งที่เขาทำลงไปก็เพราะต้องการให้มีหลักประกันว่าผมจะดูแลแม่และตัวเองได้...ในวันที่ไม่มีเงินของเขา” ทิมหัวเราะ เป็นเสียงหัวเราะที่บอกไม่ถูกว่ามีความสุขหรือเย้ยหยันกับโชคชะตาที่เผชิญอยู่
“เขาบังคับไม่ให้ติดต่อกับพี่ เพราะอยากจะให้แน่ใจว่าคนที่ผมเลือกเป็นคนดีและมั่นคงมากพอจะไม่หวั่นไหว ความรักแบบนี้มันไม่มีอะไรยึดเหนี่ยวได้เลย ไม่มีกฎหมายรองรับ ไม่มีประเพณีใดๆ ไม่มีแม้แต่พยานรักที่จะยื้อกันให้อยู่ด้วยความเกรงใจ เขาเติบโตขึ้นจากเป็นวิศวกรระดับสามัญที่สุด คนๆ นั้นจึงรู้ดีว่างานวิศวะโยธามันไม่ใช่งานที่อยู่กับที่ บางครั้งต้องไปต่างจังหวัดนานเป็นเดือน หลายๆ เดือนก็มี แม่บอกว่าเขาคนนั้นเพียงแต่อยากให้แน่ใจว่าคนที่ผมรักเป็นคนที่มีจิตใจเข้มแข็งและเหมาะสมกับผมจริงๆ”
“เขาเพียงแค่ทำหน้าที่ของคนพ่อเป็นครั้งสุดท้าย...ก่อนที่ทุกอย่างจะจบลง”
คะน้านึกถึงภาพตอนที่เขาพบกับคุณธาดาโดยบังเอิญในวันก่อน และเมื่อเทียบกับเรื่องราวต่างๆ ที่ได้ยินจากปากของทิม คะน้าคิดว่าตัวเองเข้าใจตัวของผู้ชายคนนั้นมากขึ้น เหมือนกับเหรียญที่มีสองด้าน ในบางแง่มุมของคุณธาดาก็ไม่ได้ถือว่าเป็นคนที่เลวร้ายอะรไปเสียหมดอย่างที่เขาเคยคิดไว้แต่ก่อน
“ถึงวันนี้ ผมก็พิสูจน์ให้ทุกคนเห็นแล้วว่าความรู้สึกระหว่างเราไม่ใช่สิ่งที่ฉาบฉวย” ทิมส่งรอยยิ้มให้กับเขา
นี่คือตอนจบของเรื่องราวทั้งหมด นับตั้งแต่วันแรกที่ได้รู้จัก ก้าวแรกที่ได้เรียนรู้เข้าใจกันกัน จนรวมไปถึงการเดินทางของการรอคอยตลอดระยะเวลาสองปีนั้น สิ้นสุดลงด้วยความเข้าใจและการยอมรับ ไม่ใช่เพียงแต่คนที่ชิดใกล้อย่างผักกาด หรือครอบครัวของทิม ตุล แนน เจ และคนอื่นๆ แต่มันรวมไปถึงตัวของเขาหรือแม้แต่ตัวของทิมด้วย กาลเวลาที่ผันผ่านนั้นแม้สร้างความเหงาที่แสนเจ็บปวด ในความเงื่อนไขต่างๆ ที่ทั้งเขาและทิมต้องแบกรับเอาไว้นั้นทำให้ได้เรียนรู้ถึงความรู้สึกที่แท้จริงของตนเอง ความห่างไกล ความไม่เข้าใจ และอุปสรรคต่างๆ เป็นเพียงบททดสอบความรู้สึกของเขา...ที่คงจะมีให้ได้เพียงแค่คนๆ เดียว
“พี่ครับ... ผมไม่เคยแปลกใจเลยว่าทำไมผมถึงรักพี่ได้มากมายขนาดนี้” วงแขนของทิมกอดร่างเขาไว้แนบแน่น
ชีวิตของคะน้าเริ่มต้นจากคืนที่แสนเบื่อหน่ายในห้องนอนเล็กๆ แห่งนี้ เขาในตอนนั้นไม่ต่างอะไรกับกระต่ายที่มีแค่พระจันทร์ดวงกลมๆ เป็นเพื่อนแก้เหงา ผ่านไปเนิ่นนานกระทั่งการเดินทางที่แสนยาวไกลนั้นได้สิ้นสุดลง คะน้ากลับมาสู่จุดเดิมอีกครั้ง ห้องเล็กๆ เตียงนุ่มๆ กับใครบางคนที่มีความหมายต่อหัวใจ
ทิมจ้องมองที่ดวงตาของเขาด้วยแววตาที่เหมือนอัดแน่นไปด้วยประกายของดาวทั้งฟ้า คะน้าสบตาคู่นั้นกลับ เขายิ้มแล้วค่อยๆ กดใบหน้าลงบนแผลที่เหนือหน้าอกด้านซ้าย จูบลงเบาๆ แล้วเลื่อนลงสู่ตำแหน่งของหัวใจ
โลกใบนี้ของผม เมื่อก่อนมันเป็นไปด้วยสีเทาแห่งความเหงา ผมไม่รู้จักความสุข ไม่รู้จักความเศร้า ผมแค่เดินไปข้างหน้าโดยไม่รู้ว่าไปไหน ใช้ชีวิตให้ผ่านไปแต่ละนาทีอย่างไร้เป้าหมาย แต่โลกใบนี้มันค่อยๆ เปลี่ยนไป คนๆ นี้ทำให้ผมได้เรียนรู้โลกในมุมใหม่ ได้รู้จักความรู้สึกทั้งทุกข์และสุข ไม่ใช่แค่เพียงด้านที่อ่อนหวาน เขาบ้าบิ่นและกล้าพอที่จะทำให้ผมได้เห็นโลกที่เต็มไปด้วยสีสันที่สั่นสะเทือน“แล้วนี่มันเกี่ยวอะไร”
คะน้าเงยหน้าขึ้นมาตั้งคำถามกับทิมเมื่อฝ่ามืออุ่นๆ นั้นวางทาบลงบนเป้ากางเกงของเขา เจ้าของมือที่ซุกซนดูจะไม่ใส่ใจกับคำถามนั้นเท่าไรซ้ำยังลอยหน้าลอยตายิ้มอย่างมีความสุข
“ก็แค่คำพูด ...มันไม่พอกับความรู้สึกที่อยากบอกแล้วนี่นา”
นี่แหละเขา... คนที่เป็นได้ทั้งหมาป่าเจ้าเล่ห์และสุนัขเฝ้าบ้านที่ซื่อสัตย์ เป็นเหมือนพ่อมดที่ร่ายมนต์ผสมทุกๆ อย่าง เป็นเชฟที่ปรุงแต่งรสชาติของชีวิตผมให้มีทั้งหวานและเปรี้ยวจนกลายเป็นรสที่จัดจ้าน ทุกนาทีที่ผ่านไปเหมือนการผจญภัยบนรถไฟเหาะตีลังกา เขาไม่ใช่คนรักแบบอุดมคติที่มีแต่แสงสีขาวเจิดจ้า คนๆ นี้ให้ได้ครบทุกสีสันที่สายตามนุษย์จะจำแนกได้“ใส่เสื้อแล้วลงไปกินข้าวได้แล้ว ไม่หิวหรือไงกัน”
คะน้าปรามอีกครั้งกับคนที่เผลอเป็นไม่ได้ แต่คำอุทธรณ์ของกระต่ายนั้นไม่เคยมีผลกับจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ แม้แต่สุนัขเฝ้าบ้านผู้ซื่อสัตย์ก็ตาม มีสักครั้งไหมที่มันจะไม่โผเข้าหากระดูกแสนอร่อยที่วางอยู่ตรงหน้า ทิมปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตของคะน้าทีละเม็ดๆ ปลายนิ้วทั้งสิบค่อยๆ คลายผ้าสีขาวออกจนเผยผิวกายที่ซุกซ่อนอยู่ภายใน
“หิวโซเลยล่ะ”
เจ้าของดวงตาที่ร้ายกาจคู่นั้นยกมุมปากขึ้นแล้วยิ้มโชว์เขี้ยวขาว สีดำที่วับวาวคู่นั้นยังคงจ้องมองมาที่เขาอย่างไม่ให้คลาดสายตา ใบหน้าของทิมโน้มลง... เลื่อนลง... ค่อยๆ ฝังคมเขี้ยวลงบนผิวกายที่นวลขาวราวกับแสงจันทร์
ยังมีหนังสืออีกหลายเล่มที่รอเราเปิดอ่าน อาหารมากมายที่รอให้เราลองลิ้มชิมรส มีเพลงเพราะๆ อีกเป็นหมื่นพันเพลงรอให้เราโยกหัวไปตาม มีเส้นทางอีกหลายเส้นที่รอให้เราเดินสำรวจ และยังมีความฝันต่างๆ อีกมากมายที่รอให้เราทำให้กลายเป็นจริง ...โลกสีเทาที่น่าเบื่อ แท้จริงนั้นเป็นสถานที่ซึ่งเต็มไปด้วยการผจญภัยแสนสนุก
...แล้วใครจะอยากอยู่คนเดียวบนดวงจันทร์++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
จบแล้วครับ