▓ ▒ ░ ∞ ต้น-สน ∞ มิตรภาพของเพื่อนที่แสนรัก ❉ V2 ❉ ROMANTIC DRAMA ░ ▒ ▓
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ▓ ▒ ░ ∞ ต้น-สน ∞ มิตรภาพของเพื่อนที่แสนรัก ❉ V2 ❉ ROMANTIC DRAMA ░ ▒ ▓  (อ่าน 134209 ครั้ง)

ออฟไลน์ SungMinKRu

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 570
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +151/-0
    • https://www.facebook.com/pages/SungMinKRu-Boys-Love/311662138876399

 :m1: :m1: :m1:

ได้อ่านอีกแล้ววว

อิอิ

ต้นจะหาทางไหนนะ ช่วยสนนะ

เป็นกำลังใจให้คุณคนเขียนค่ะ

 :give2: :give2: :give2:

ออฟไลน์ ordkrub

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4157
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +341/-12
ซึ้งใจกับเพื่อนทั้งสอง

ออฟไลน์ z-Time

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 295
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
สนยังดีที่ยังกลับมาเป็นเพื่อนที่รักของต้นได้ทัน

ไม่งั้นความสัมพันธ์ต้องแย่ลงแน่ๆ  o22

ต้นดีแบบจริงจังเลยอ่ะ  o13

ออฟไลน์ badcow

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +112/-10
ดา คงไม่หยุดแค่นี้

icyblue

  • บุคคลทั่วไป
สน อย่าสับสนบ่อยนะ

เดี๋ยวต้นก็เหงาอีก  ดูแลต้นให้ดีๆ หน่อยสิ   :m15:


ออฟไลน์ Kfc_Pizza

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2195
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +65/-1
 :angellaugh2:
ตามมาเจอแล้ว

ปล.เมื่อคืนเพิ่งอ่านทิวกับบูม ตื่นมาตาบวมโคตร
 :pig4:

ออฟไลน์ sarawatta

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 714
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +300/-10
ขออภัยที่เงียบหายไปนาน มีงานยุ่งๆ อยู่นิดหน่อยครับ ตอนนี้กลับมาแล้ว

ตอนที่ 8: เพื่อนผู้เสียสละ



ต้นเก็บเงินสี่หมื่นบาทใส่กระเป๋าเป้ของเขาอย่างช้าๆ แล้วก็เดินออกมาจากธนาคาร นี่เป็นครั้งแรกที่เขาถอนเงินจากบัญชีนี้หลังจากที่เก็บหอมรอมริบมาตั้งแต่เด็กๆ หลายปี แต่เขาก็ไม่เสียดายมันหรอกถ้าหากมันจะช่วยทำให้เพื่อนของเขาคนหนึ่งมีอนาคตที่ดีกว่าที่เป็นอยู่ได้ สิ่งที่ต้นกำลังหนักใจก็คือเขาจะบอกสนอย่างไรดีต่างหากล่ะ ถ้าอยู่ดีๆ ถือเงินไปให้สน เขาต้องไม่รับอย่างแน่นอน ต้นรู้นิสัยเพื่อนดี แต่ไม่ว่าจะอย่างไร เขาก็จะต้องเกลี้ยกล่อมสนให้ได้

ก่อนหน้านี้ต้นเฝ้าเกลี้ยกล่อมสนและครอบครัวให้เห็นความสำคัญของการศึกษาอยู่นานหลายเดือนกว่าจะสำเร็จ เขาพาสนไปสมัครขอทุนจากรัฐบาลที่ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรเพราะคนที่ไปสมัครก็ได้กันเกือบทุกคน จึงไม่น่าจะต้องห่วงเรื่องค่าเทอม

ก่อนสอบเอนทรานซ์ต้นก็มาช่วยติวให้เพื่อนแทบทุกวัน แล้วสนก็สอบติดในคณะเทคโนโลยีสารสนเทศที่เขาอยากเรียนในมหาวิทยาลัยที่ต้นเองก็สอบติดด้วย แต่ค่าใช้จ่ายที่จะใช้สำหรับการเข้าเรียนก็มีอยู่มากพอสมควร ที่บ้านสนมีเงินไม่พอ น้าสาวของสนก็ประสบปัญหาด้านการเงินช่วงนี้พอดีเนื่องจากสามีป่วยออดๆ แอดๆ เข้าออกโรงพยาบาลเป็นว่าเล่น ทำให้หมดเงินไปมากจึงพอมีเงินช่วยได้ไม่มากนัก สนจึงงอแงที่จะไปไม่ไปเรียนอีกเพราะไม่อยากให้ครอบครัวลำบาก ทั้งๆ ที่เขาก็สอบได้แล้ว ครั้นต้นจะให้พ่อกับแม่ช่วย ต้นก็รู้สึกเกรงใจเพราะตอนนี้พ่อกับแม่ก็ต้องใช้เงินไม่น้อยสำหรับการศึกษาของเขา วิธีนี้จึงเป็นวิธีสุดท้ายที่ต้นพอจะนึกออก ไม่รู้เหมือนว่าถ้าพ่อกับแม่ของต้นรู้แล้วจะเกิดอะไรขึ้น แต่ด้วยความที่ต้นไม่มีพี่ไม่มีน้องเช่นเดียวกับสน พ่อกับแม่ของต้นจึงรักสนมากจนแทบจะเรียกได้ว่าเป็นลูกชายอีกคนหนึ่ง ด้วยเหตุผลนี้ พ่อกับแม่ก็น่าจะเข้าใจและให้อภัยต้นได้เมื่อรู้ความจริง

ต้นมาหาสนที่บ้านด้วยความรู้สึกกังวลและประหม่าเพราะกลัวมากว่าสนจะปฏิเสธการช่วยเหลือของเขาในครั้งนี้ พอสนรู้ว่าต้นมาหา เขาก็พาต้นมานั่งคุยที่โต๊ะหินอ่อนหน้าบ้านใต้ต้นมะม่วง ดูท่าทางสนเครียดๆ จนพอสังเกตเห็นได้

“สน...นายเรียนต่อเถอะนะ อดทนลำบากอีกแค่สี่ปีเอง จบแล้วนายก็จะมีงานดีๆ ทำ พ่อแม่ของนายจะได้สบาย” ต้นบอกเพื่อนด้วยประโยคเดิมที่เขาพูดมาแล้วหลายครั้งแล้ว

สนถอนหายใจ เขารู้ว่าต้นหวังดีกับเขา แต่ครอบครัวเขาจะต้องลำบากมากขึ้นอีกหลายเท่าถ้าเขาเรียนมหาวิทยาลัย แม้ว่าจะไม่ต้องจ่ายค่าเทอมแต่ก็ต้องมีค่าใช้จ่ายอื่นๆ อีกหลายอย่าง สนสงสารพ่อกับแม่ที่ต้องเหน็ดเหนื่อย ถ้าสนออกมาทำงานตอนนี้ พ่อแม่ก็จะได้เหนื่อยน้อยลง เขาก็จะได้เป็นอีกแรงที่ช่วยหาเลี้ยงครอบครัวได้อย่างเต็มที่

พอเห็นเพื่อนเงียบ ต้นก็พูดต่อ “เรารู้ว่านายกังวลเรื่องเงิน รู้ว่านายเป็นห่วงพ่อแม่ที่จะต้องลำบาก แต่สนคิดให้ดีๆ นะ พ่อแม่ของสนจะลำบากไปอีกไม่กี่ปีเท่านั้น แล้วเราหรือพ่อแม่ของเราก็จะช่วย นายไม่ต้องกลัวเรื่องนั้นหรอกสน เราจะช่วยให้สนเรียนจนจบให้ได้”

สนถอนหายใจอย่างหนักใจ เห็นความพยายามของเพื่อนแล้วสนก็ลำบากใจเหมือนกัน

“ต้น...เรารบกวนนายและครอบครัวนายมาเยอะแล้ว เราเกรงใจนะต้น เรารู้ว่าตอนนี้ครอบครัวนายก็ต้องใช้เงินมากเหมือนกัน ค่าใช้จ่ายของนายเองก็ไม่ใช่น้อยๆ นะต้น นายอย่าห่วงเราเลย เราเคยบอกนายแล้วไงว่าเราไม่กลัวความลำบากหรอก เราลำบากมาเยอะแล้ว” สนยังคงยืนกราน

“เราเต็มใจนะสน พ่อแม่เราก็เต็มใจที่จะช่วย ถ้าสนเรียนจบมีงานดีๆ ทำ สนจะใช้คืนทีหลังก็ได้ เราอยากให้นายเรียนจริงๆ นะสน” ต้นพยายามอ้อนวอน

สนดูเงียบไปเหมือนคิดอะไรบางอย่าง ต้นจึงพูดสืบไปว่า “นายจะบอกให้เราไม่ต้องห่วงนายไม่ได้หรอก ก็นายเป็นเพื่อนรักของเรานี่นา ยังไงเราก็ห่วงนาย เราอยากเห็นนายมีอนาคตที่ดี มีการศึกษา มีงานทำ เลี้ยงตัวเอง เลี้ยงครอบครัวได้ มันอาจจะลำบากตอนนี้ แต่มันจะคุ้มค่าเมื่อนายเรียนจบนะสน เรายินดีช่วย เราทำได้ทุกอย่างเลย ขอแค่ให้นายยอมเรียนหนังสือต่อ เราพูดจริงๆ นะสน...”

สนมองหน้าเพื่อนด้วยความตื้นตันใจ เขารู้ว่าต้นห่วงใยเขามาก ที่ผ่านมาต้นได้พยายามทุกวิถีทางที่จะให้เขาเรียนต่อ จนทุกวันนี้ต้นก็ไม่เคยลดความพยายามลง เขาเองก็อยากเรียนต่ออย่างที่ต้นขอร้อง แต่มันติดตรงที่ว่าพ่อกับแม่เขาจะต้องลำบากมากขึ้นเท่านั้นเอง

“สน” ต้นเรียกเพื่อนแล้วหยุดไปเหมือนกำลังตัดสินใจอะไรบางอย่าง ต้นหยิบห่อเงินออกมาจากกระเป๋าแล้ววางลงบนโต๊ะตรงหน้าสนอย่างช้าๆ สนมองตามอย่างไม่วางตาด้วยความสงสัยว่าในนั้นมีอะไรอยู่

“อะไรเหรอต้น” สนถามด้วยสีหน้าสงสัย

ต้นกลืนน้ำลายอย่างยากเย็นก่อนจะบอกเพื่อนว่า “นี่คือเงินที่เราพอมีอยู่ คิดว่าคงพอจะช่วยให้นายเข้าเรียนได้ นายรับไว้นะสน”

แล้วก็เป็นอย่างที่ต้นคิด สนปฏิเสธทันที

“ไม่ เราไม่รับอย่างเด็ดขาด นายอย่าทำแบบนี้เลยต้น นายช่วยเรามามากแล้ว อย่าให้เราต้องละอายใจไปมากกว่านี้เลย เก็บเงินนายไว้สำหรับอนาคตของนายเถอะ ถ้าพ่อแม่นายรู้มันจะไม่ดีนะต้น” สนบอกปฏิเสธเสียงแข็งแล้วก็ผลักเงินคืนมาให้ต้น

“สน...เราอยากให้นายเรียนต่อจริงๆ นะ เราไม่อยากเห็นนายลำบาก เราอยากเห็นนายเรียนจบสูงๆ มีงานดีๆ ทำ เลี้ยงพ่อกับแม่ได้ พ่อกับแม่นายจะภูมิใจในตัวนายมากนะสน อีกอย่าง...เราจะไม่มีความสุขไปตลอดชีวิตเลยถ้ารู้ว่าเราพอจะช่วยนายได้แต่เราก็ไม่ทำ” ต้นหยุดมองหน้าเพื่อนด้วยสายตาอ้อนวอนแล้วพูดต่อว่า

“สน...ครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายที่เราจะขอนาย แล้วเราจะไม่ขออะไรจากนายอีกเลย ถือว่าเราขอร้องละกัน นายจะเอามาคืนเราเมื่อไรก็ได้ที่นายพร้อม เราจะไม่เสียดายเงินนี้เลยถ้ามันช่วยให้เพื่อนที่เรารักมีอนาคตที่ดี เราเต็มใจอย่างที่สุดที่จะทำอะไรก็ได้ให้นายยอมเรียนหนังสือ ถ้าวันนี้ไม่สำเร็จ...เราก็จะพยายามอีก เราสัญญานะสน เราจะไม่ขออะไรนายอีกเลยในชีวิตนี้ ขอแค่ให้นายรับเงินก้อนนี้ไปแล้วเรียนต่อ นายจะช่วยทำอย่างที่เพื่อนคนนี้ขอได้ไหม”

เมื่อเจอไม้นี้เข้าไป สนก็พูดแทบไม่ออก

“ได้ไหมสน” ต้นย้ำคำถามเดิม “จะให้เราก้มกราบกรานหรือทำอะไรก็ได้ ขอให้นายรับเงินก้อนนี้ไปแล้วเรียนหนังสือต่อ...ได้ไหมสน”

เห็นความพยายามของเพื่อนขนาดนี้สนก็คงต้องยอมแพ้ แพ้อย่างราบคาบให้กับความดีของเพื่อน เขารู้ว่าต้นเหนื่อย เครียดและใช้ความพยายามอย่างมากตลอดหลายเดือนที่ผ่านมาเพื่อที่จะทำให้เขาตกลงใจเรียนต่อให้ได้ ที่สำคัญ ต้นก็ได้แสดงให้เขาเห็นแล้วว่าต้นทำอะไรก็ได้เพื่อให้เขามีอนาคต ต้นยอมเหนื่อยและเสียสละเพื่อเขาขนาดนี้ ทำไมเขาจะทำตามที่เพื่อนขอไม่ได้ “เอาวะ อะไรมันจะเกิดก็คงต้องเกิด พ่อกับแม่ทนเหนื่อยเพื่อสนอีกหน่อยก็แล้วกัน แล้วสนจะไม่ทำให้พ่อแม่ผิดหวังเลย สนจะตอบแทนคุณของพ่อแม่ให้ได้อยู่อย่างสุขสบายเมื่อสนเรียนจบและมีงานทำ” สนคิดในใจ

สนพยักหน้ารับอย่างช้าๆ เมื่อตัดสินใจแน่วแน่แล้ว “ขอบใจนายมากต้น เราไม่รู้ว่าเราขอบคุณนายเป็นครั้งที่เท่าไรแล้วตั้งแต่รู้จักกันมา” สนพูดพร้อมกับน้ำตาแห่งความตื้นตันใจที่ไหลลงมาตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้ เขาไม่มีนิสัยเป็นคนขี้แยเลย แต่ก็ต้องร้องให้ด้วยความซาบซึ้งใจกับเพื่อนคนนี้หลายครั้งแล้ว

“แค่นายตั้งใจเรียนให้จบ มีงานดีๆ ทำก็พอแล้วสน แค่นั้นเราก็พอใจแล้ว ไม่ต้องขอบคุณอะไรเราก็ได้ ถึงวันนั้นเราก็จะไม่ห่วงนายแล้ว”

พอต้นพูดจบ สนก็ดึงเพื่อนมากอดด้วยความซาบซึ้งใจ สนรักเพื่อนคนนี้เหลือเกิน นอกจากพ่อกับแม่แล้ว เขาไม่เคยคิดเลยว่าชีวิตนี้จะมีใครที่สามารถรักและเป็นห่วงเขาได้มากขนาดนี้

“นายอย่าบอกพ่อแม่เรานะสน บอกพ่อกับแม่นายด้วย อย่าบอกใครเรื่องนี้นะ”

สนพยักหน้ารับคำ เขาควรต้องเลิกดื้อและฟังต้นบ้าง เพื่อนช่วยเขามาเยอะแล้ว เรื่องแค่นี้ไม่มีปัญหาอะไรสำหรับเขาอยู่แล้ว แม้ว่าจะไม่ค่อยเข้าใจเท่าไร สนรู้ดีว่าเขาโชคดีที่ได้มาเจอกับ “กัลยาณมิตร” ที่มีเพียงไม่กี่คนในโลกนี้เท่านั้นที่จะได้เจอมิตรที่จริงใจแบบนี้ “เพื่อนรัก แม้แต่ชีวิตเราก็ให้นายได้” สนบอกตัวเองในใจ

เมื่อสนเอาเรื่องนี้มาบอกพ่อกับแม่ในตอนเย็น แม่ของสนถึงกับร้องให้ ส่วนพ่อก็น้ำตาซึม ทุกคนต่างซาบซึ้งใจในความดีของต้น พ่อกับแม่ของสนได้แต่กำชับสนว่าให้รักเพื่อน ช่วยเพื่อนทุกอย่างเท่าที่จะทำได้ อย่าทิ้งเพื่อนและอย่าทำให้เพื่อนผิดหวัง สนก็รับคำพ่อกับแม่เป็นอย่างดี

------------------------------------------------------------------------------------------------

แล้วชีวิตของต้นกับสนในรั้วมหาวิทยาลัยก็เริ่มต้นขึ้น ช่วงที่เข้ามาเรียนใหม่ๆ ต้นกับสนได้มาเจอกับเพื่อนใหม่สองคนที่ชื่อ “นิก” และ “ปั้นจั่น” โดยบังเอิญในวันแรกที่มามอบตัวที่มหาวิทยาลัย เมื่อคุยกันจึงได้รู้ว่านิกกับปั้นจั่นเช่าบ้านอยู่ไม่ไกลจากมหาวิทยาลัยนัก บ้านหลังนั้นเป็นบ้านที่เพื่อนรุ่นพี่ที่นิกกับปั้นจั่นรู้จักและเพิ่งจบไป นิกกับปั้นจั่นก็เลยขอเช่าต่อ ตอนนี้ยังมีห้องว่างอยู่อีกสองห้อง จึงอยากให้มีคนมาอยู่ด้วยอีกเพื่อช่วยกันแบ่งเบาค่าเช่าบ้าน ต้นกับสนจึงรีบตอบตกลงทันทีเพราะทั้งสองคนต่างก็ไม่ชอบอยู่หอพัก เป็นเรื่องธรรมดาของเด็กต่างจังหวัดที่ไม่ค่อยชอบอยู่ในที่แคบๆ เพราะบ้านในต่างจังหวัดนั้นมีพื้นที่ใช้สอยมากมายไม่เหมือนในกรุงเทพ

วันรับน้องใหม่วันแรก สนก็แสดงฤทธิ์เดชให้คนในมหาวิทยาลัยรู้เสียแล้วว่า “เพื่อนสน ใครอย่าแตะ” เรื่องมันเกิดขึ้นเพราะว่าสนกลับมาถึงบ้านพักที่เขาเพิ่งย้ายเข้ามาอยู่ร่วมกับนิกและปั้นจั่นแล้วปรากฏว่าต้นก็ยังไม่กลับ พอโทรศัพท์ไปหาต้นก็ไม่รับสาย ด้วยความเป็นห่วงเพื่อน สนจึงกลับไปมหาวิทยาลัยอีกครั้งเพื่อไปตามหาเพื่อน

สนถามคนในมหาวิทยาลัยแล้วก็เลยรู้ว่าคณะของต้นนั้นยังรับน้องกันไม่เสร็จเลย สนจึงตามไปดูว่าคณะนั้นเขารับน้องอย่างไรกันถึงต้องใช้เวลานานขนาดนั้น เมื่อไปถึง สิ่งที่เขาเห็นก็คือ ต้นกำลังกระโดดโหนราวที่พาดไว้ค่อนข้างสูงมาก ใครที่สามารถกระโดดโหนราวและไต่ไปได้จนสุดก็จะผ่านด่าน ส่วนคนที่ไม่ผ่านก็ถูกบังคับให้กระโดดจนกว่าจะผ่าน

ในคณะของต้นนั้นมีแต่ผู้ชาย คนอื่นๆ กระโดดผ่านกันไปหมดแล้วเหลือแต่ต้นคนเดียว ต้นต้องกระโดดแล้วกระโดดอีกจนแทบจะไม่มีแรง พอต้นล้มลงเขาก็ถูกด่าว่าอ่อนแอและถูกหัวเราะเยาะ จากนั้นก็ถูกบังคับให้กระโดดอีก สนเริ่มกัดฟันกรอดๆ ด้วยความโมโหที่เห็นต้นถูกบังคับทารุณเกินกว่าความจำเป็น แม้จะรู้ว่านี่คือการรับน้อง แต่เขาก็รู้สึกว่ามันมากเกินไป พอต้นล้มลงอีกครั้ง เขาก็ปรี่เข้าไปหาเพื่อนและต่อว่ารุ่นพี่อย่างไม่เกรงกลัวใคร

“พอได้แล้ว พวกพี่จะให้เพื่อนผมกระโดดจนตายเลยหรือไง ไม่เห็นหรือไงว่าเพื่อนผมเขากระโดดไม่ไหวแล้ว ทำไมจะต้องบังคับอะไรกันขนาดนั้นด้วย” แล้วสนก็หันมาบอกเพื่อนว่า “ต้น นายไม่ต้องกระโดดแล้ว กลับบ้าน”

“เฮ้ย มึงเป็นใครวะ มายุ่งอะไรเนี่ยหา” หนึ่งในรุ่นพี่ของต้นตะคอกถามแล้วเดินเข้ามาหาสนด้วยท่าทางหาเรื่อง

สนลุกขึ้นยืน ขึงหน้าใส่คนที่เดินเข้ามาอย่างไม่กลัวเกรง “ผมเป็นเพื่อนต้น ถ้าพวกพี่ไม่หยุดแกล้งเพื่อนผม ผมจะเอาเรื่องนี้ไปฟ้องมหาลัย” สนขู่และก็ได้ผลเพราะเพื่อนรุ่นพี่ของต้นมีสีหน้ากลัวสิ่งที่เขาพูดอย่างเห็นได้ชัด

“มึงกล้าเหรอ” ชายคนนั้นพูดพร้อมกับผลักอกสน แต่สนเป็นคนที่แข็งแรงมากจึงไม่ล้มง่ายๆ ที่สำคัญคือสนดูตัวโตและแข็งแรงกว่าอย่างเห็นได้ชัด ผู้ชายคนนี้ไม่มีทางสู้สนได้อย่างแน่นอนแม้จะอายุมากกว่าก็ตาม

“นึกว่าเป็นรุ่นพี่แล้วจะทำอะไรก็ได้เหรอ” สนว่าพร้อมกับแสดงท่าทีให้เห็นว่าเขาพร้อมที่จะสู้ถ้าหากชายคนนี้ไม่หยุด

“เฮ้ย สนอย่ามีเรื่องกันเลย” ต้นร้องบอกด้วยเสียงเบาหวิวเหมือนคนที่ติดอยู่ในทะเลทรายที่เหน็ดเหนื่อยและหิวโหยมาเป็นแรมเดือน

เพื่อนรุ่นพี่คนอื่นๆ ก็รีบมาห้ามทั้งสองคนไว้ก่อนที่เรื่องจะบานปลาย “เฮ้ย ไม่เอาน่า อย่ามีเรื่องกันเลย” เพื่อนรุ่นพี่ที่ดูท่าทางเหมือนจะเป็นที่ยำเกรงของคนอื่นๆ เข้ามาห้ามด้วย

“เดี๋ยวเถอะมึง” ชายคนนั้นหันมาอาฆาตสน

งานรับน้องของคณะต้นจึงต้องหยุดลงกลางคัน ส่วนหนึ่งเป็นเพราะว่ารุ่นพี่ของต้นกลัวว่าสนจะเอาเรื่องไปฟ้องทางมหาวิทยาลัยจริงๆ เพราะทางมหาวิทยาลัยเข้มงวดเรื่องการรับน้องมากและไม่ต้องการให้มีข่าวไม่ดีเกี่ยวกับการรับน้องเผยแพร่ออกไปอีก รุ่นพี่คนไหนทำเกินกว่าเหตุก็อาจเจอโทษไล่ออกได้

“ลุกไหวไหมต้น” สนหันมาถามเพื่อน ต้นส่ายหน้าเพราะเขารู้สึกเหนื่อยมากจนเหมือนขาจะหลุดออกจากกัน ข้าวปลาก็ยังไม่ได้กินตั้งแต่เช้าเพราะรุ่นพี่ไม่ให้กิน สนจึงต้องช่วยพยุงต้นให้ค่อยๆ ยืนขึ้น

“ขี่หลังเราไหม” สนถาม เพราะดูแล้วต้นอาจจะเดินไม่ไหวด้วย ต้นพยักหน้า

สนให้ต้นขี่หลังแล้วพาเพื่อนออกไปโดยไม่สนใจรุ่นพี่บางคนที่มองเขาด้วยสายตาไม่พอใจ

สนพาต้นมาบริเวณหน้ามหาวิทยาลัยเพื่อเรียกแท็กซี่กลับบ้าน แม้ว่าจะเหนื่อยแต่ต้นก็แอบรู้สึกอบอุ่นใจที่ได้ขี่หลังเพื่อนเป็นครั้งแรก เหมือนพระเอกกับนางเอกในหนังรักโรแมนติกที่เขาเคยดูเลย บางครั้งความน่ารักของสนก็ทำให้เขาคิดไปไกลเหมือนกัน ตอนนี้ต้นรู้ตัวแล้วว่าไม่ได้คิดกับสนแค่เพื่อนเท่านั้น แต่มีความรักอีกแบบหนึ่งที่ก่อตัวขึ้นโดยที่ต้นไม่รู้ตัวเลยว่ามันเกิดขึ้นมาตั้งแต่ตอนไหน

------------------------------------------------------------------------------------------------

สนพยุงต้นเข้ามาในบ้าน นิกกับปั้นจั่นที่มาถึงก่อนแล้วก็วิ่งเข้ามาช่วยพลางถามว่าเกิดอะไรขึ้น

“โห...มึงโคตรกล้าเลยว่ะสน ดีนะที่พวกมันไม่รุมมึง ไม่งั้นตายคาตีนพวกมันแน่” ปั้นจั่นชมเมื่อฟังสนเล่าจบ

“ไม่กลัวหรอกเว้ย ทำเกินไปนี่หว่า ไม่รู้ว่าเล่นพิเรนทร์อะไรกันมั่ง ถ้ามหาลัยรู้พวกนี้มีหวังโดนไล่ออก” สนว่าแล้วหันมามองเพื่อนที่นั่งหมดแรงอยู่บนโซฟาข้างๆ เขาด้วยความห่วงใย บ้านหลังนี้มีชุดโซฟา เก้าอี้และโต๊ะอยู่ตรงกลางโถงชั้นล่าง ใช้นั่งพักผ่อนและกินข้าวได้ นอกจากนี้ก็มีห้องครัวและมีห้องนอนอีกสี่ห้องสำหรับสี่คนพร้อมห้องน้ำในตัวด้วย

นิกกับปั้นจั่นเห็นสายตาที่สนมองต้นแล้วก็รู้สึกแปลกใจเพราะรู้สึกได้ถึงความห่วงใยที่ไม่ธรรมดา สายตาที่สนมองเพื่อนนั้นมีความหมายพิเศษกว่าเพื่อนทั่วไปมากนัก

“หายเหนื่อยหรือยังต้น ให้เรานวดให้ไหม” สนถามด้วยน้ำเสียงห่วงใย

“ค่อยยังชั่วแล้วล่ะ” ต้นตอบ

“เอางี้ เดี๋ยวเราช่วยนวดขานายให้ดีกว่า” สนว่าพลางช่วยจัดแขนขาต้นให้นอนสบายๆ บนโซฟาแล้วลงไปนั่งช่วยนวดขาให้โดยไม่รู้ตัวว่าเพื่อนอีกสองคอยสังเกตดูบางสิ่งบางอย่าง จริงๆ ช่วยเหลือกันก็คงไม่แปลก แต่แปลกตรงที่สายตาของทั้งสองคนเวลามองกันนั้นมันมีความหมายบางอย่างที่นิกและปั้นจั่นไม่เข้าใจนั่นเอง

“พวกมึงรู้จักกันมากี่ปีแล้ววะเนี่ย” นิกถาม

สนพักนวด นับนิ้วมือแล้วก็ตอบไปว่า “เก้าปีแล้ว” ตอบเสร็จแล้วก็หันไปนวดให้เพื่อนต่อ

“โห...รู้จักกันนานเหมือนกันนะเนี่ย” นิกว่า

“แล้วพวกมึงล่ะ รู้จักกันกี่ปีแล้ว” สนถามบ้าง แต่ไม่หันไปมองหน้าเพื่อนอีกสองคน

“ไม่กี่ปีหรอก สองสามปีเอง ตอนเรียน ม. ปลาย” ปั้นจั่นตอบ

“สนพอเหอะ เราโอเคแล้ว” ต้นบอกเมื่อรู้สึกว่าอาการดีขึ้น สนจึงหยุด ต้นค่อยๆ ย้ายขาลงจากโซฟาแล้วลุกขึ้นนั่ง

“หิวข้าว มีอะไรกินไหม เรายังไม่ได้กินอะไรสักคำตั้งแต่เช้าเลย” ต้นบอกพลางนิ่วหน้า

“ไม่มีว่ะ เมื่อกี้ก็ลืมซื้อเข้ามา เออ...หิวเหมือนกันแฮะ” นิกเออออตาม

“เดี๋ยวเราออกไปซื้อตรงปากซอยให้” สนอาสา

“เราไปด้วยได้ปะ” ต้นถามแต่ก็รู้ว่าสนต้องไม่ให้ไปแน่ๆ

“ไม่ได้ นายอยู่นี่แหละ พักให้หายเหนื่อยก่อนเถอะ”

“ทำไมมึงสองคนดูเป็นห่วงกันจังเลยวะ” ปั้นจั่นถามด้วยความสงสัย

ต้นกับสนมองหน้ากันเพราะไม่ค่อยเข้าใจจุดประสงค์ของคำถาม “อ้าว...ก็เป็นเพื่อนกันก็ต้องเป็นห่วงกันสิ แปลกตรงไหน แล้วพวกมึงไม่ห่วงเพื่อนเหรอ” สนถามกลับบ้าง

“ก็ห่วง แต่ไม่เหมือนอย่างนี้” ปั้นจั่นบอก

สนไม่รู้หรอกว่า “อย่างนี้” คืออย่างไหน เขาแค่เป็นห่วงเพื่อนทำไมจะต้องสงสัยด้วย

“เออๆ เดี๋ยวไปหาอะไรมากินดีกว่า ต้นหิวแย่ละ” สนตัดบทแล้วก็เดินออกไป
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-07-2012 12:56:10 โดย sarawatta »

ออฟไลน์ gambee

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 451
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
เรื่องซึ้งๆกับความผูกพันระหว่างเพื่อนรัก
เรื่องนี้ต้องเตรียมผ้าเช็ดหน้าไว้มะคะ
รออ่านตอนต่อไปค่า

ออฟไลน์ z-Time

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 295
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
ต้นเพื่อนรักที่แสนดี   สนเอ๊ย เมื่อไหร่จะคิดเกินเพื่อนซะทีอ่ะ  :z2:

ออฟไลน์ sarawatta

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 714
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +300/-10
ไม่แน่ใจว่าต้องเตรียมผ้าเช็ดหน้าไหม แต่ก็เป็นอีกเรื่องที่ดราม่าครับ มีอะไรให้ต้องเสียน้ำตาอยู่พอสมควร

---------------------------------------------------------------------

ตอนที่ 9: จุดเริ่มต้นของความสงสัย



“มึงสองคนนี่ดูเป็นเพื่อนที่รักกันดีนะ” ปั้นจั่นเอ่ยขึ้นขณะนั่งกินข้าวด้วยกัน ต้นกับสนนั่งด้วยกันฝั่งหนึ่ง นิกกับปั้นจั่นนั่งด้วยกันอีกฝั่งหนึ่งของโต๊ะ

ต้นกับสนยิ้มเล็กน้อย เขาทั้งสองคนได้ยินคำพูดคล้ายๆ กันนี้มานับครั้งไม่ถ้วนตั้งแต่เด็กจนถึงปัจจุบัน

“ถามจริงๆ เถอะ เคยทะเลาะกันบ้างไหมวะ” ปั้นจั่นถามอีก

ต้นกับสนส่ายหน้าแทบจะพร้อมกัน “ถ้าหมายถึงทะเลาะชกต่อยกันน่ะไม่เคย แต่ก็อาจจะมีเคืองๆ กันบ้างนิดหน่อย แต่ก็คุยกันได้ จริงไหมต้น” สนบอกพลางหันไปยิ้มกับต้น ต้นยิ้มตอบ “แล้วพวกมึงทะเลาะกันหรือเปล่า” สนถามบ้าง

“โอย...บ่อยจะตาย ไอ้นี่มันกวนตีน” นิกรีบแย่งบอก ทุกคนหัวเราะชอบใจ

“มึงนั่นแหละกวนตีนยิ่งกว่ากูอีก อย่างเมื่อเช้านี้ก็เหมือนกัน กูบอกให้ช่วยปลุกกูหน่อย แม่งพอตื่นแล้วมันก็ไปก่อนซะงั้น กูเกือบจะไปสาย เกือบโดนรุ่นพี่มันเขกกะบาลเอาแน่ะ” ปั้นจั่นแฉบ้างแล้วพูดต่อว่า “แล้วตอนอยู่ ม.5 นะ มันมีแฟนเว้ย แล้วมันก็หายหัวไปเลยไม่เคยมาดูดำดูดีเพื่อนเล้ย พอโดนแฟนทิ้งถึงได้มาหากู กูอยากล่ะอยากจะกระทืบซ้ำ” ปั้นจั่นว่าเพื่อนพลางหัวเราะ แต่ดูเหมือนต้นกับสนจะไม่ขำด้วยเพราะเคยมีเหตุการณ์คล้ายกันนี้เกิดขึ้นเช่นกัน

“แล้วมึงสองคนเคยมีแฟนเปล่าวะ” ปั้นจั่นหันมาถามต้นกับสนซึ่งต่างก็มองหน้ากันเหมือนไม่รู้ว่าจะตอบยังไง

“ก็มีบ้างแหละ แต่ไม่จริงจังอะไรหรอก สุดท้ายอยู่กับเพื่อนสบายใจกว่า ต้นเป็นเพื่อนที่ดีมากของกูเลยนะเว้ย เพราะฉะนั้นกูบอกไว้ก่อนว่ากูรักเพื่อนคนนี้มาก พวกมึงห้ามมาทำอะไรเพื่อนกูอย่างเด็ดขาด ไม่งั้นแล้วจะหาว่าไม่เตือน มึงเคยได้ยินไหม เพื่อนสน ใครอย่าแตะ คนที่โรงเรียนเก่าเขารู้จักดี” สนเป็นฝ่ายตอบก่อนและพยายามดึงประเด็นอื่นเข้ามาแทน เขาพูดอย่างภูมิใจเสมอเวลาที่บอกว่าต้นเป็นเพื่อนที่ดีของเขาและพูดได้โดยไม่รู้สึกอาย ส่วนเรื่องที่เขาเคยมีแฟนแล้วลืมเพื่อนนั้น แม้ว่าต้นจะไม่เคยต่อว่าอะไรเขาเลย แต่พอนึกถึงเหตุการณ์ตอนนั้นทีไรเขาก็เสียใจทุกครั้ง

“แล้วต้นล่ะ มึงเคยมีแฟนหรือเปล่า” นิกหันมาถามต้น

“ไม่เคย ยังเด็กอยู่นี่หว่า” ต้นบอก เขารู้สึกอึดอัดและไม่ค่อยอยากสนทนาเรื่องนี้เท่าใดนัก

“เฮ้ยอะไรกัน เด็กตรงไหนวะ อายุ 19 นี่ไม่เด็กแล้วนะเว้ย” นิกว่าแล้วก็หัวเราะ

“เฮ้ยเอาอย่างนี้ สมมติว่ามึงมีแฟน แล้วมึงจะลืมเพื่อนเปล่าวะ” ปั้นจั่นถาม เพิ่มความอึดอัดให้ต้นกับสนมากยิ่งขึ้นโดยไม่รู้ตัว เพราะเหมือนเป็นการสะกิดแผลเก่าที่มันหายไปแล้วให้กลับฟื้นขึ้นมาอีก แม้จะไม่ได้ทำให้เจ็บปวดแต่ก็กระอักกระอ่วนใจ

“ตอนนี้ยังไม่มีเว้ย ถามมาก็ตอบไม่ได้หรอก รอให้มีก่อนแล้วค่อยว่ากัน คุยเรื่องอื่นกันบ้างเหอะ ถามแต่เรื่องแฟนอยู่ได้” ต้นรีบช่วยตัดบทเพราะยิ่งคุยเรื่องนี้เขาก็ยิ่งรู้สึกอึดอัด

“อะไรวะ ถามก็ไม่ได้ มีอะไรกับเรื่องแฟนหรือเปล่าเนี่ย” ปั้นจั่นว่า แต่สุดท้ายก็ยอมเปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่น

ขณะที่กำลังกินข้าวและคุยกัน ก็มีเสียงเคาะประตูหน้าบ้าน สนเป็นคนอาสาเดินไปเปิดประตูแทนเพื่อนๆ

“สวัสดีจ้ะหนุ่มๆ กำลังกินข้าวกันเหรอ พี่ซื้อขนมมาฝากแน่ะ” พี่พิมพ์ หญิงวัยสามสิบปลายๆ ซึ่งเป็นเจ้าของบ้านเช่านั่นเอง สนรับของฝากมาพลางกล่าวขอบคุณ

พี่พิมพ์เดินเข้ามาในบ้านแล้วถาม “เป็นไงจ้ะ บ้านอยู่ได้ไหม โอเคไหม”

“โอเคครับ พวกเราชอบมาก อยู่สบายมากๆ เลยครับ” ปั้นจั่นตอบ

“ถ้ามีปัญหาอะไรก็บอกพี่นะ ถ้าใครลืมกุญแจก็โทรไปหาพี่ได้ ไฟดับ น้ำไม่ไหล หลังคารั่ว หรือปัญหาอะไรก็แล้วแต่ โทรบอกพี่ได้เลยตลอด 24 ชั่วโมง”พี่พิมพ์บอก บ้านหลังนี้เป็นบ้านที่พ่อกับแม่เธอสร้างไว้นานแล้ว ทำด้วยไม้ทั้งหลัง พอลูกๆ โตกันหมดก็แยกย้ายกันไปไม่มีใครอยู่ พอพ่อแม่เสีย พี่พิมพ์ก็ซ่อมแซมบ้านหลังนี้ใหม่เพื่อให้คนมาเช่าอยู่ รายได้ที่เกิดขึ้นก็เป็นของพี่พิมพ์ทั้งหมดเพราะพี่น้องคนอื่นๆ ไปอยู่ต่างจังหวัดกันหมดและไม่มีใครอยากได้บ้านหลังนี้แล้ว ตั้งแต่เปิดให้เช่าก็มีคนมาเช่าตลอดเพราะบ้านหลังนี้อยู่ใกล้กับมหาวิทยาลัย สามารถเดินไปได้เลย

“พี่พิมพ์กินข้าวด้วยกันไหมครับ” ต้นชวน

“ไม่หรอกจ้ะ ตามสบายเลย พี่กินมาแล้ว พี่แวะมาดูแค่นี้แหละ ถ้าไม่มีปัญหาอะไรพี่ก็จะกลับละ บ๊ายบายจ้ะ มีปัญหาอะไรก็โทรหาพี่นะ” พี่พิมพ์บอกแล้วก็เดินออกไป

พอกินข้าวเสร็จ หนุ่มๆ ก็แบ่งเวรกันล้างจานโดยเริ่มจากนิกก่อนแล้วก็จะสลับไปเป็นปั้นจั่น ต้นและสนตามลำดับ ส่วนคนอื่นๆ ที่เหลือก็ช่วยกันเก็บกวาดให้เรียบร้อย เมื่อหมดภาระแล้วจึงแยกย้ายกันไปห้องของตัวเอง

------------------------------------------------

ต้นถอดเสื้อผ้าออกทิ้งใส่ตะกร้าแล้วก็เอาผ้าเช็ดตัวมานุ่ง ยังไม่ทันจะได้เข้าไปอาบน้ำ ก็มีเสียงคนมาเคาะประตู ต้นจึงเดินมาเปิด ภาพที่เห็นทำให้ต้นตกใจเล็กน้อยเพราะสนใส่กางเกงในสีขาวตัวเดียวยืนอยู่หน้าห้องเขา แม้ว่าจะเคยอาบน้ำด้วยกันมาตั้งแต่เด็กๆ แต่พอโตแล้วเขาก็ไม่ค่อยได้เห็นเพื่อนในสภาพแบบนี้เท่าไรนัก

“นายมีแชมพูให้เรายืมไหม เราลืมซื้อน่ะ” สนบอกสาเหตุที่เขาต้องมาในสภาพนี้

“มีสิ รอก่อนนะ นายเข้ามาข้างในก่อนสิ” ต้นบอกแล้วก็เดินเข้าไปในห้องน้ำ หยิบแชมพูและครีมนวดผมสำหรับผู้ชายมาให้เพื่อน

“ทำไมไม่นุ่งผ้าเช็ดตัวมาล่ะ วิ่งออกมาแบบนี้คนอื่นเขาก็ตกใจแย่” ต้นว่าพลางขำ

“ลืมน่ะ แต่จะอายทำไมล่ะมีแต่ผู้ชายด้วยกัน” สนบอกพลางขำไปด้วย เขามองรูปร่างของต้นด้วยความสนใจ ต้นไม่ค่อยเป็นคนที่เปิดเผยรูปร่างของตัวเองมากนัก ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นว่าเพื่อนเขามีรูปร่างที่เปลี่ยนไปจากที่เคยเห็นตอนเด็กๆ มากทีเดียว

“โห นายก็หุ่นดีเหมือนกันนะเนี่ย มีซิคแพ็คด้วย ตัวโตขึ้นเยอะเลย ไหนขอดูไอ้นั่นหน่อยสิว่าโตขึ้นด้วยหรือเปล่า” สนไม่พูดเปล่า แต่เดินเข้ามาแกล้งกระตุกผ้าเช็ดตัวที่ต้นนุ่งอยู่

ต้นดึงไว้พลางห้าม “เฮ้ยไม่เอา”

สนหยุดแล้วต่างคนก็ต่างหัวเราะ “ไปอาบน้ำละ เดี๋ยวเอามาคืนนะ” สนบอกแล้วเดินออกไป แล้วก็หยุดเหมือนนึกอะไรได้ “แล้วนายจะใช้ตอนนี้หรือเปล่า”

“ไม่เป็นไร เราสระตอนเช้าก็ได้ นายเอาไปก่อนเถอะ”

“โอเค เดี๋ยวเราเอามาให้ อ้อ...เดี๋ยวเรามาคุยด้วยนะ อย่าเพิ่งนอนล่ะ” สนกำชับแล้วก็เดินออกจากห้องของต้นไป

อาบน้ำเสร็จแล้ว สนก็มาเคาะประตูห้องเพื่อน เขาใส่ยืดสีขาวบางๆ ไม่มีลายและกางเกงบ๊อกเซอร์ ต้นเดินมาเปิดประตูให้เพื่อน เขาอยู่ในชุดนอนปิจามาสซึ่งสนชอบล้อว่าเหมือนคุณชาย ต่างคนก็ต่างเป็นหนุ่มเต็มตัวกันแล้ว สำหรับสน ด้วยชุดที่เขาใส่ทำให้เขาดูมีเสน่ห์ดึงดูดทางเพศเป็นอย่างยิ่ง ต้นจึงรู้สึกใจคอไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัวเมื่อเพื่อนมานั่งคุยใกล้ๆ แต่สักพักก็เริ่มชิน

พอมาถึงสนก็ลงไปนอนเล่นบนเตียงของต้นอย่างคุ้นเคย เขาตบมือลงตรงที่ว่างข้างๆ ตัวเป็นสัญญาณบอกให้ต้นตามมานอนข้างๆ

"อะไรเนี่ย นี่มันห้องนอนใครกันแน่ เราต้องเป็นคนชวนนายไม่ใช่เหรอ" ต้นแซวพลางขำ เขาเดินไปข้างๆ เตียงแล้วก็นั่งลงแทนที่จะนอนลงไป

"ทำไมล่ะ ห้องนายก็เหมือนห้องเรานั่นแหละ ไม่นอนคุยกันเหรอ"

ต้นส่ายหน้า "ยังไม่ง่วง" ต้นบอกพลางขยับขาขึ้นมาไว้บนเตียงอยู่ในท่ากึ่งนั่งกึ่งนอน

สนเห็นแบบนั้นก็เลยเลียนแบบบ้าง เขาเขยิบตัวลุกขึ้นมาอยู่ในท่ากึ่งนั่งกึ่งนอนข้างๆ ต้นแล้วก็หันมายิ้มให้ ไม่ได้รู้เลยว่ายิ่งทำแบบนั้นก็ยิ่งทำให้ต้นจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว

"นอนตักเราไหม" สนชวน ไม่รู้เหมือนกันว่าทำเขาถึงชวนแบบนั้น เวลาอยู่ลำพังกับต้นแล้วเขารู้สึกอยากดูแลผู้ชายคนนี้ ต้นเป็นเพื่อนที่สนรู้สึกอยากทนุถนอมมากกว่าที่จะเล่นแผลงๆ ด้วย

ต้นเลิกคิ้วด้วยความสงสัย สนไม่รอช้า เขาเอื้อมมือไปจับไหล่ต้นแล้วก็ดึงให้นอนลง ต้นขืนตัวนิดๆ แต่ก็ยอมทำตามในที่สุด

"อยากหลับก็หลับไปเลยนะ ทำตัวตามสบาย ไม่ต้องเกร็งหรอก" สนบอก

"เดี๋ยวนายเมื่อยขาแย่" แม้จะบอกไปอย่างนั้นแต่ต้นก็นอนเหยียดขาอย่างสบายอารมณ์ เขากับสนมักจะใกล้ชิดและสัมผัสเนื้อตัวกันแบบนี้แหละ ไม่ว่าจะกอดคอ กอดตัว จับมือหรือแม้กระทั่งนอนตักแบบนี้

"ไม่เมื่อยหรอก" สนบอกพลางขำเบาๆ "วันนี้มีใครแกล้งอะไรนายหรือเปล่า ถ้ามี...นายต้องบอกเรานะ เดี๋ยวเราไปจัดการให้"

"โธ่...ใครจะกล้ามาแกล้งเรา แค่วันนั้นที่นายแผลงฤทธิ์กับรุ่นพี่ก็ไม่มีใครกล้ามายุ่งกับเราแล้ว" ต้นบอกพลางหัวเราะชอบใจ

อันที่จริงต้นเป็นคนที่มีความเป็นผู้นำสูงเพราะเขาได้รับเลือกให้เป็นหัวหน้าห้องมาตลอด ตั้งแต่เด็กๆ เวลาอยู่กับเพื่อนคนอื่นๆ ต้นจะกลายเป็นอีกคนหนึ่งที่สนต้องแปลกใจ ต้นเป็นผู้นำและจัดการปัญหาต่างๆ ได้เป็นอย่างดี ต้นเหมือนมีอำนาจที่คนอื่นๆ จะต้องฟังและทำตามเขา จะว่าไปแล้วต้นก็เป็นต้นแบบให้สนในหลายๆ ด้าน ทั้งด้านการเรียน การเป็นผู้นำและการช่วยเหลือผู้อื่น แต่พอต้นอยู่กับเขา ต้นก็ยังคงเป็นเด็กชายต้นที่เขาเคยเจอเมื่อ 7-8 ปีก่อน

พอคุยกันจนหนำใจแล้ว สนก็เดินกลับเข้าห้องของเขาไป ในขณะที่เขาออกมาจากห้องต้นนั้น ปั้นจั่นก็บังเอิญเห็นพอดีระหว่างที่ลงมากินน้ำข้างล่างก่อนจะขึ้นไปนอน เขาอดทึ่งไม่ได้ที่สองคนนี้เป็นเพื่อนที่รักกันมาก มากจนดูออกทั้งจากสีหน้าและการกระทำ

------------------------------------------------------------------------------------------------

ตอนเช้า ต้นกับสนก็เดินไปมหาวิทยาลัยด้วยกันพร้อมกับนิกและปั้นจั่น แต่เดินไปเดินมาสุดท้ายก็แยกกันเดินเป็นคู่ๆ เหมือนไม่ได้มาด้วยกันเพราะคุยกันไปมาแล้วต้นกับสนก็ดูเหมือนจะชอบคุยกันเองมากกว่า สนเดินมาส่งต้นที่คณะของต้นเพราะถึงก่อนของเขา จากนั้นสนจึงเดินต่อไปคณะของเขาเอง ชีวิตในช่วงปีแรกของต้นกับสนก็ดำเนินไปเช่นนี้ ในตอนหลังๆ ก็เริ่มสนิทสนมกับนิกและปั้นจั่นมากขึ้น ที่จริงสองคนนี้ก็เป็นเพื่อนที่ดี แต่ปั้นจั่นจะเป็นคนที่พูดตรงและโผงผาง คิดหรือสงสัยอะไรก็จะถามอย่างนั้น ส่วนนิกก็จะออกแนวคล้ายๆ กัน แต่เขาจะไม่พูดโผงผางมากเท่ากับปั้นจั่น แต่โดยรวมแล้วถือว่าเป็นเพื่อนที่ดี ไว้ใจได้

สิ่งหนึ่งที่เพื่อน ใหม่อีกสองคนตระหนักก็คือความมีน้ำใจของต้น ต้นมีน้ำใจกับเพื่อนทุกคน ต้นช่วยเพื่อนทุกคนถ้าเขาช่วยได้ซึ่งต่างกับสนอยู่บ้าง สนเองก็ถือว่าเป็นคนที่มีน้ำใจแต่จะไม่ละเอียดอ่อนและใส่ใจสิ่งเล็กๆ น้อยๆ เท่ากับต้น ความใส่ใจในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ของต้นนี่เองที่เป็นเหตุให้นิกกับปั้นจั่นเริ่มสงสัยอะไรบางอย่าง แม้ว่าดูภายนอกต้นจะเหมือนผู้ชายทั่วไป เรียนวิศวะที่มีแต่ผู้ชายเต็มห้อง ไม่แต่งตัวหรือมีท่าทางที่เหมือนเกย์หรือกะเทยให้เห็น แต่เขาก็ไม่ค่อยสนใจเรื่องผู้หญิงทั้งๆ ที่เขาก็เป็นคนหน้าตาดี ในขณะเดียวกันต้นก็ไม่ได้แสดงท่าทีสนใจผู้ชายเช่นกัน คงมีแต่สนเท่านั้นที่ดูต้นจะสนิทมากกว่าใคร เป็นผู้ชายเพียงคนเดียวที่ต้นอยู่ใกล้แล้วจะมีแววตาแปลกๆ ที่ทำให้นิกกับปั้นจั่นงุนงงสงสัย รวมทั้งยังมีจุดเล็กๆ น้อยๆ บางอย่างที่พอสังเกตได้ซึ่งทำให้ต้นดูแตกต่างจากผู้ชายทั่วไป

------------------------------------------------------------------------------------------------

ความสงสัยของนิกกันปั้นจั่นก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นเมื่อได้เห็นความสนิทสนมที่ไม่ธรรมดาระหว่างต้นกับสน เช่นครั้งนี้ เย็นวันอาทิตย์ที่ทุกคนไม่ได้ไปไหน นิก ปั้นจั่น ต้นและสนลงมานั่งดูทีวีด้วยกันหลังจากที่อาบน้ำอาบท่ากันเรียบร้อยแล้ว นิกกับปั้นจั่นเป็นคนที่ชอบดูทีวีเพราะเป็นเด็กในเมืองที่ถูกเลี้ยงมาด้วยทีวี ส่วนต้นกับสนไม่ค่อยชอบดูเท่าไรนักเพราะโตมากับการเล่นตามธรรมชาติ

“ต้นมานั่งนี่” สนเรียกเมื่อเห็นต้นเดินไปนั่งอีกฝั่งของโต๊ะ เขาตบมือลงบนโซฟาที่เขาต้องการให้ต้นมานั่งด้วย

ต้นจึงเดินมานั่งกับสนโดยไม่รู้ว่านิกกับปั้นจั่นคอยสังเกตอยู่ พอมานั่งแล้วต้นกับสนก็ไม่ค่อยได้สนใจทีวีเท่าไรนักแต่คุยกันเองเสียมากกว่า

“เราเพิ่งไปอ่านหนังสือดูลายมือมา” สนบอกพลางยิ้ม

“นายชอบเรื่องพวกนี้ด้วยเหรอ” ต้นถามอย่างสงสัย

“เปล่าหรอก แค่อยากรู้เฉยๆ ว่าเขาดูยังไง เราดูเป็นอย่างหนึ่งแน่ะ นายเอามือมาสิ”

ต้นยื่นมือไปให้เพื่อนแล้วก็ถาม “จริงเหรอ อะไรล่ะ”

สนดึงมือของต้นมาไว้ตรงบริเวณหน้าอกของเขาแล้วก็ตอบพลางขำว่า “เนื้อคู่ไง” แล้วสนก็หันมาสนใจกับลายมือของต้น พอดูอยู่สักพักสนก็ร้องว่า “นายเจอเนื้อคู่หรือยังเนี่ย ทำไมเส้นเนื้อคู่ของนายมันชัดมากเลย”

“จริงเหรอ ไหนล่ะ” ต้นร้องถามอย่างตื่นเต้น

“นี่ไงล่ะ นายดูสิ เห็นไหมมันชัดเจนมากเลย สงสัยนายจะเจอเนื้อคู่แล้วแน่ๆ”

ต้นชะโงกไปดูตามที่สนชี้ให้ดู นิกกับปั้นจั่นหันมามองดูแล้วก็ตกใจเล็กน้อยเมื่อเห็นต้นกับสนใกล้ชิดถึงเนื้อตัวกันขนาดนั้น ดูเผินๆ ก็เหมือนต้นกำลังซบอยู่บนหน้าอกของสน

“มึงเห็นอย่างที่กูเห็นไหมวะ” ปั้นจั่นกระซิบถามนิก

นิกพยักหน้ารับ “สายตาสองคนนี้มันแปลกๆ ว่ะ กูเห็นแล้วกูขนลุก” นิกว่าพลางทำท่าทางไปด้วย

แล้วทั้งสองคนก็หันกลับไปดูทีวีต่อ แต่ก็คอยชำเลืองมองเป็นระยะๆ

“เส้นนี้เราเห็นตั้งนานแล้ว ไม่ใช่เส้นเนื้อคู่หรอกมั้ง เรายังไม่มีแฟนเลยจะมีเนื้อคู่ได้ยังไง” ต้นแย้ง

“ไม่มีแฟนแล้วมีคนที่ชอบหรือเปล่าล่ะ”

คำถามนี้ทำให้ต้นนิ่งอึ้งไปเล็กน้อยก่อนจะส่ายหัวปฏิเสธ ต้นจะบอกได้อย่างไรว่าต้นชอบใคร แค่คิดก็ผิดแล้ว

“สงสัยถ้าจะเชื่อไม่ได้” สนว่าพลางขำ

“แล้วนายมีเส้นนี้หรือเปล่าล่ะ” ต้นอยากรู้

“ก็มีเหมือนกัน ดูสิ นี่ไง ไม่รู้ว่ามันขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไร ไม่เคยสังเกต” สนบอกพลางแบมือให้เพื่อนดูบ้าง

ต้นชะโงกมาดูอีกทีแล้วก็ยิ้ม “แล้วนายเจอเนื้อคู่หรือยังล่ะ”

“ยังไม่เห็นเจอเลย สงสัยจะมั่วจริงๆ นั่นแหละ เราว่าแล้ว เราถึงไม่ชอบดูของพวกนี้ไง เราว่าเขาเดาเอามากกว่า หรือไม่ก็บังเอิญ”

“บางทีพวกมึงสองคนอาจจะเจอเนื้อคู่แล้วแต่ยังไม่รู้ตัวก็ได้มั้ง” ปั้นจั่นหันมาแซวอย่างมีเลศนัย

“หมายความว่าไงวะ” สนถามอย่างสงสัย

“ไม่รู้เว้ย คิดเอาเองละกัน” แล้วปั่นจั่นก็เปลี่ยนเรื่องถาม “นี่กูถามจริงๆ เถอะ พวกมึงจะคุยกันแค่สองคน ไม่คุยกับคนอื่นบ้างหรือไงวะ”

ต้นกับสนทำหน้าเลิ่กลั่ก

“ไม่มีอะไรหรอก คุยกันต่อไปเถอะ แต่เบาๆ หน่อย กูดูทีวีไม่ค่อยรู้เรื่อง” ปั่นจั่นตัดบทแล้วก็หันไปสนใจทีวีต่อ

ส่วนต้นกับสนก็หันกลับมาคุยกันเช่นเดิมโดยไม่ได้สนใจที่จะดูทีวีมากนัก

“เฮ้ยต้น เราว่านายมีผมหงอก มานี่เราถอนให้” สนพูดไม่พูดเปล่า สนค่อยๆ ใช้มือดึงเส้นผมสีขาวที่เขาเห็นบนหัวของเพื่อนออก แล้วก็เอาให้ต้นดู

“เห็นไหม สงสัยนายจะใช้สมองเยอะเวลาเรียน ผมก็เลยหงอกไว มานี่ เดี๋ยวเราจะดูให้ ท่าจะมีเยอะนะเนี่ย”

ต้นก้มหัวลงให้เพื่อนหาผมหงอกได้สะดวกขึ้น ต่างคนต่างก็ไม่รู้ตัวว่ามีคนคอยสังเกตพฤติกรรมอยู่ตลอด ผ่านไปสักพักใหญ่ นิกกับปั้นจั่นหันมาก็เห็นต้นนอนหลับอยู่บนตักของสนเสียแล้ว ด้วยความสงสัยนิกจึงถามว่า “อ้าว ต้นเป็นอะไร”

“สงสัยช่วงนี้ต้นจะเรียนหนัก ไม่ค่อยได้นอน เล่นหัวหน่อยก็เลยหลับไปเลย” สนว่าพลางขำเล็กน้อย แล้วก็นั่งดูทีวีโดยปล่อยให้ต้นนอนหลับอยู่บนตักอย่างนั้น เวลาที่เขาได้ดูแลหรือทำอะไรให้เพื่อนบ้าง สนจะมีความสุขมาก

ตั้งแต่เกิดมา นิกกับปั้นจั่นยังไม่เคยเห็นเพื่อนผู้ชายที่ไหนนอนหนุนตักกันแบบนี้เลย นอกจากที่เห็นวันนี้แล้ว วันอื่นๆ หรือแทบจะเรียกได้ว่าทุกวัน นิกกับปั้นจั่นมักจะสังเกตเห็นความใกล้ชิดระหว่างต้นกับสนที่ไม่ธรรมดาอยู่ตลอด แม้ว่าเขาสองคนไม่ได้ละเอียดอ่อนที่จะสังเกตเห็นอะไรลึกซึ้งตามธรรมชาติของผู้ชาย แต่พอเจอบ่อยเข้าก็ทำให้สะดุดใจได้ จนแอบสงสัยว่าสองคนนี้เป็นเพื่อนกันจริงๆ หรือเปล่า?
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30-12-2012 08:49:55 โดย sarawatta »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ SungMinKRu

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 570
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +151/-0
    • https://www.facebook.com/pages/SungMinKRu-Boys-Love/311662138876399


เข้ามาจิ้มๆ ขอเจิมตอนนี้ไว้ก่อนนะ

ภาคนี้จะออกมาเศร้ารึเปล่านะ ไม่เอาชะนีนะ แงแง 555

เริ่มกลัวดราม่า แต่ภูมิคุ้นกันเราดีมากก  :m18: :m18:

ตอนเข้าห้องน้ำ ทำไมสนไม่ถกผ้าขนหนูซะก็หมดเรื่อง จะได้รู้ๆกันไปเลย <หื่นซะงั้นเรา  :haun4:>

5555  :laugh: :laugh: :laugh:

เป็นกำลังใจให้คนเขียน รักษาสุขภาพด้วยนะค่ะ

ดราม่ายังไง ขอแบบ Happy ending นะค่ะ

 :m1: :m1: :m1:

icyblue

  • บุคคลทั่วไป
เพื่อนนิก กับ ปั้นจั่น ช่างสังเกตจริงๆนะ

สนก็ชอบยั่วต้นบ่อยๆ  ทำเอาต้นหวั่นไหวตลอดๆ  :z2:

ออฟไลน์ owo llยมuมข้u

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 459
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-4

ออฟไลน์ sarawatta

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 714
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +300/-10
ตอนที่ 10: วันฟ้าใส



ในช่วงพักกลางวัน นักศึกษาทุกคนจากทุกคณะจะมากินอาหารกันที่โรงอาหารกลางของมหาวิทยาลัย วันนี้ สนเลือกที่จะมากินข้าวกับต้นเพราะยังไม่ค่อยสนิทกับเพื่อนใหม่ดีนัก ในขณะที่นั่งกินข้าวด้วยกัน บังเอิญมีสาวสวยกลุ่มหนึ่งเดินผ่านมา สนเผลอหันมองตามตามประสาคนวัยหนุ่มโดยไม่รู้ตัวและไม่รู้ว่าต้นสังเกตดูและครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่

“แบบนี้สเปคนายหรือเปล่า” ต้นถาม ทำให้สนได้สติ

“อ๋อ...ก็สวยดี จริงๆ เราไม่มีสเปคหรอก ถ้าเกิดชอบก็ชอบ แต่คนจนๆ อย่างเราคงไม่มีสาวคนไหนสนใจหรอก” ประโยคท้ายสนพูดกึ่งประชดพลางแค่นหัวเราะนิดๆ

“ทำไมนายคิดอย่างนั้นล่ะสน คนที่เขาไม่ได้สนใจเรื่องฐานะก็มี บางทีมีแฟนเป็นคนดีก็อาจจะดีกว่ามีแฟนเป็นคนรวยก็ได้” ต้นแย้ง

“จะมีสักกี่คนที่คิดอย่างนั้นล่ะต้น เราว่าน้อยมาก นายรู้ไหม ในห้องของเรามีแต่ลูกคนรวยทั้งนั้น นามสกุลดังๆ ก็เยอะ มีแต่เราที่เป็นใครก็ไม่รู้อยู่คนเดียว ถ้าไม่ใช่เพราะนายช่วยทั้งเรื่องเงินและความรู้ เราก็คงไม่มีโอกาสได้เข้ามาสัมผัสสังคมแบบนี้หรอก” สนพูดด้วยน้ำเสียงแฝงความน้อยใจบางอย่าง

“อย่าคิดมากน่ะสน ใครจะรวยจะจนก็ช่างเขาเถอะ เราตั้งใจเรียนให้จบดีกว่าดีไหม”

สนพยักหน้าเห็นด้วยแล้วยิ้มกึ่งเม้มริมฝีปาก

“สน” ต้นเรียกเพื่อนเหมือนจะบอกอะไรบางอย่าง สนหันมามอง “ถ้านายอยากจะมีแฟนหรือเจอคนที่ชอบ นายไม่ต้องห่วงเราหรอกนะ” ต้นบอกเพียงเท่านี้ซึ่งเขาคิดว่าสนคงเข้าใจว่าเขาหมายถึงอะไร

“เรายังไม่อยากคิดเรื่องนั้นหรอกต้น เรียนให้จบก่อนดีกว่า เอาตัวก็ยังจะไม่รอดเลย มีแฟนตอนนี้ก็คงยิ่งลำบากเข้าไปใหญ่ ว่าแต่นายเถอะ นายก็เป็นคนที่หน้าตาดีเหมือนกันนะ มีสาวๆ มาชอบบ้างหรือยังล่ะ ถ้าสนใจใครบอกได้นะเว้ย เดี๋ยวเราช่วย” สนพูดด้วยน้ำเสียงทีเล่นทีจริง

“เราก็คิดเหมือนนายนั่นแหละ เรียนให้จบก่อนดีกว่าแล้วค่อยคิด แต่ของแบบนี้มันก็เดายากนะ มันจะมาเมื่อไรก็ไม่รู้ ถ้ามันถึงเวลามันก็มาเองแหละ จริงๆ นายอาจจะไม่รู้ก็ได้ว่าบางทีเราอาจจะมีคนที่เราชอบมานานแล้ว”

ประโยคท้ายทำให้สนเกิดความอยากรู้ขึ้นมาทันที “ใครวะต้น ทำไมเราไม่เห็นรู้เรื่องเลยล่ะ เราก็อยู่กับนายแทบทุกวัน ใครเหรอ นายแอบชอบใครเหรอ”

“เราแค่สมมติเฉยๆ ไม่มีอะไรหรอก” ต้นรีบแก้ตัว ชาตินี้ต้นคงไม่มีโอกาสได้บอกคนๆ นั้นอย่างแน่นอน เพราะคนที่ต้นรักนั้นคงไม่ได้คิดกับเขาอย่างนั้น และอาจจะรับไม่ได้ถ้าเกิดเขาได้รู้ความจริงบางอย่าง ความจริงที่ต้นไม่กล้าบอกใคร ได้แต่เก็บซ่อนไว้ลึกๆ แต่สนก็ยังไม่วายสงสัย แต่ก่อนจะถามอะไรต่อก็มีเสียงร้องทักมาจากข้างหลัง

“เฮ้ยสองคนนี้ แอบมาจู๋จี๋กันอยู่นี่เอง มากินข้าวก็ไม่ชวนกันบ้างเลย”

นิกกับปั้นจั่นนั่นเอง ทั้งสองคนเพิ่งได้หยุดพักเที่ยงตอนเกือบเที่ยงครึ่งแล้ว

“อ้าว ทำไมลงมาช้าล่ะ” สนถาม เขาไม่ได้รู้สึกผิดสังเกตกับการใช้คำว่า “จู๋จี๋” ของเพื่อนเท่าไรนัก มีแต่ต้นเท่านั้นที่รู้สึกว่าสองคนนี้พูดอะไรแปลกๆ

“มีงานนิดหน่อย” ปั่นจั่นบอก

“เดี๋ยวพวกกูไปซื้อข้าวก่อน รอด้วยนะเว้ย” นิกบอก แล้วก็พาปั้นจั่นเดินไปซื้ออาหาร

---------------------------------------------------------------------

วันนี้เป็นวันเสาร์ วันหยุดสบายๆ อีกวันหนึ่งที่ต้น สน นิกและปั้นจั่นว่าจะไปเที่ยวด้วยกันด้วยการไปขี่จักรยานเล่นที่สวนหลวง ร. 9 ตอนสายๆ และไปดูหนังตอนบ่ายๆ

ในขณะที่ต้นกำลังแต่งตัวเตรียมออกไปกับเพื่อนๆ อยู่นั้น เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น ต้นกำลังใส่กางเกงยีนส์อยู่ ยังไม่ได้ใส่เข็มขัดเลย แต่ก็ต้องรีบเดินไปเปิด เขาเดาว่าน่าจะเป็นสนอย่างแน่นอน เพราะส่วนมากก็จะเป็นสนนั่นแหละที่มาเคาะห้องเขาบ่อยๆ

พอต้นเปิดประตูโผล่ออกไปดูก็เห็นว่าเป็นสนยืนยิ้มเผล่อยู่

"ต้น...กางเกงที่เราซื้อมาใหม่มันคับไปน่ะ นายมีตัวอื่นให้เราใส่ก่อนไหม พอดีตัวอื่นๆ ยังไม่ได้ซักน่ะ"

ไม่ว่าจะมีปัญหาหรือเรื่องอะไร สนก็จะนึกถึงต้นเป็นคนแรกเสมอ ต้นก้มดูกางเกงที่สนใส่มาแล้วก็ตกใจเล็กน้อยเพราะสนยังไม่ได้รูดซิป อาจจะเป็นเพราะมันคับก็เลยรูดไม่ได้ จึงเห็นสนน้อยอยู่ในกางเกงในสีเทาๆ โผล่ออกมาด้วย

"เข้ามาก่อนสิ"

สนเดินตามต้นเข้ามาในห้อง พอปิดประตูห้อง สนก็จัดการถอดกางเกงออกทันที

"สงสัยจะใส่ไม่ได้แล้วล่ะ ตอนซื้อก็มัวแต่รีบเลยไม่ได้ลอง เอ...แต่เราว่านายน่าจะใส่ได้นะ นายจะเอาไว้ใส่ไหม" สนชูกางเกงที่เขาซื้อมาให้ต้นดู

ต้นเห็นเพื่อนเปลือยท่อนล่างเหลือแต่กางเกงในตัวเดียวแล้วก็รู้สึกใจคอไม่เป็นปกติ "ก็น่าจะได้นะ ถ้านายใส่ไม่ได้เราใส่เองก็ได้ เท่ห์ดีเหมือนกัน"

ต้นรับกางเกงตัวนั้นมาแล้วก็วางพาดไว้บนเตียงก่อน กำลังจะเดินไปที่ตู้เสื้อผ้าหากางเกงให้สนใส่เขาก็ต้องตกใจเมื่อสนทักขึ้นมาว่า

"เฮ้ยต้น...เราว่ากางเกงที่นายใส่อยู่มันหลวมๆ นะ เอางี้ดีกว่า เราแลกกางเกงกัน นายเอาตัวนี้ของเราไป เราก็เอาตัวนี้ของนาย ดีไหม"

ต้นหันมามองพลางเลิกคิ้ว "เอางั้นเหรอ"

สนพยักหน้า "ดีไหมล่ะ นายถอดตัวนั้นให้เราสิ เดี๋ยวเราจะลองใส่ดูก่อน"

"เอางั้นเลยเหรอ" ต้นถามย้ำ

สนเห็นต้นชักช้าก็เลยเดินไปหาเพื่อน "มานี่ เดี๋ยวเราถอดให้"

ต้นใช้มือจับตะขอกางเกงไว้เมื่อรู้ว่าสนกำลังจะทำอะไร "เดี๋ยวเราถอดเองก็ได้" ต้นร้องบอก

แต่ไม่ทันเสียแล้ว สนจับมือต้นออก เขาปลดตะขอกางเกง รูดซิปแล้วก็ดึงกางเกงต้นลงอย่างรวดเร็ว ตอนแรกต้นว่าจะเอามือมาปิดเป้าไว้ แต่ก็กลัวว่าสนจะสงสัยว่าทำไมเขาต้องอายด้วยในเมื่อเป็นผู้ชายเหมือนกัน ก็เลยต้องปล่อยให้ต้นน้อยที่อยู่ในกางเกงในสีขาวอวดสายตาเพื่อน

สายตาของสนจ้องมองที่ส่วนนั้นของต้นด้วยความสนใจ ยังไม่ทันที่ต้นจะได้ปกป้องตัวเอง สนก็จับหมับเข้าให้

"โห...ไม่ใช่เล่นเหมือนกันนะเนี่ย" สนปล่อยแล้วก็ยิ้มและหัวเราะชอบใจ ส่วนต้นได้แต่ยืนหน้าแดงด้วยความอาย

"จะเอาคืนก็ได้นะ" สนบอกพลางทำหน้าทะเล้น

"ไม่เอาหรอก" ต้นบอกด้วยเสียงเบาพร้อมกับทำปากขมุบขมิบ แล้วก็ถอดกางเกงที่ถูกถอดลงไปกองที่ต้นขาออกแล้วส่งให้สน

สนรับกางเกงต้นมาใส่ก็ปรากฎว่าใส่ได้พอดี ไม่คับและไม่หลวมจนเกินไป

"พอดีเลย นายเอาของเรามาลองใส่ดูสิ หรือว่าจะให้ช่วยใส่ให้"

ท่าทางทีเล่นทีจริงของสนทำให้ต้นรีบเดินไปเอากางเกงของสนที่เขาวางพาดไว้บนเตียงแทบไม่ทัน

"ใส่เองก็ได้" ต้นบอกแล้วก็ยังคอยชำเลืองดูสนอย่างไม่ไว้ใจ เวลาที่สนเล่นกับเขาแบบถึงเนื้อถึงตัวแบบนี้ทำให้ต้นกังวลอยู่เหมือนกันว่าร่างกายของเขาจะฟ้องความต้องการบางอย่างออกมา เกิดสนสงสัยขึ้นมาจะกลายเป็นเรื่องได้

สนยืนยิ้มมองเพื่อนที่คอยระแวงเขาด้วยความชอบใจ บางทีก็ขำ ดูไปแล้วต้นก็น่ารักดีเหมือนกัน แต่จะว่าไปแล้ว ตั้งแต่รู้จักต้นมา เขาก็รู้สึกว่าต้นน่ารักแบบนี้เสมอ

"ขำอะไร" ต้นหันมาถามด้วยความสงสัย สายตาสนที่มองเขาอย่างเอ็นดูนั้นทำให้ต้นรับรู้ได้ถึงความพิเศษของเขาที่มีต่อเพื่อน ต้นเห็นสายตาแบบนี้มานานแล้วล่ะ บางทีก็ชิน แต่บางทีก็ทำให้รู้สึกอะไรบางอย่าง แต่ก็ไม่เคยคิดหรอกว่าสนจะให้ความสำคัญกับเขาเกินเพื่อน

"เปล่า" สนปฏิเสธ แต่ก็ยังขำอีกจนได้

"พอใส่ได้อยู่ เกือบคับแน่ะ" ต้นบอกเมื่อใส่กางเกงเสร็จแล้ว

"เราบอกแล้วว่านายต้องใส่ได้"

--------------------------------------------------------------

สนเดินกอดคอต้นลงมาข้างล่างก็เจอนิกกับปั้นจั่นนั่งรออยู่ ปั้นจั่นเห็นเพื่อนสองคนที่เดินคลอเคลียกันลงมาก็อดแซวไม่ได้

"สวีทกันจริงนะเพื่อนรักสองคนนี้"

"ทำไม ก็คนเขาเป็นเพื่อนรักกันไม่เห็นจะแปลก" สนบอกเหมือนกับเห็นเป็นเรื่องธรรมดา เขาก็กอดคอกับต้นออกบ่อยไป ไม่เห็นมีอะไรเลย มากกว่านี้ก็ทำ

"กอดก็ยังได้เลย เนาะต้นเนาะ" สนพูดพลางกอดต้นในลักษณะรวบแขนจากด้านหลัง

ต้นไม่ได้รู้สึกเขินอายหรือแปลกใจมากนักเพราะสนก็ทำแบบนี้บ่อยๆ จนต้นรู้สึกเป็นเรื่องธรรมดา ตั้งแต่ที่สนกับเขาเคยเกือบเลิกคบกันเพราะถูกเพื่อนล้อว่าเป็นคู่เกย์กัน พอปรับความเข้าใจกันได้แล้ว สนก็เลิกแคร์เรื่องนี้ ไม่ว่าใครจะล้อเขาก็ไม่สนใจ แถมบางทียังทำใส่อีก เช่น กอดต้นต่อหน้าคนที่ล้อเสียเลย แถมยังบอกคล้ายๆ ที่เพิ่งพูดเมื่อกี้อีกว่า "ก็คนเขาเป็นเพื่อนรักกัน มันแปลกตรงไหนวะ" เพราะฉะนั้น ใครอยากล้อก็ล้อไป เขาไม่ปล่อยให้เรื่องนี้มากวนใจ จนในที่สุดคนก็เลิกสนใจไปเอง

"เออ...แน่จริงก็หอมแก้มกันเลยสิวะ" นิกแซวบ้าง ไม่ได้คาดหวังว่าสนจะต้องทำอย่างนั้นจริงๆ หรอก

"ทำไมจะไม่ได้ล่ะ" สนพูดไม่พูดเปล่า แต่หอมแก้มต้นให้สองคนนั้นดูเลยทันที

"เห็นไหม ไม่เห็นมีอะไรเลย คนเขาบริสุทธิ์ใจซะอย่าง เนาะต้น" สนพูดพลางใช้มือที่โอบไหล่ต้นไว้เขย่าตัวต้นเบาๆ หารู้ไม่ว่าคนที่ถูกหอมแก้มยืนตัวแข็งทื่อด้วยความตกใจ

"ไปเหอะ สายแล้ว" สนพูดพลางเดินนำเพื่อนๆ ออกไป แต่ก็ต้องแปลกใจที่ต้นไม่ยอมเดินตามมาด้วย สนหันไปมองแล้วก็เดิมกลับมาดึงแขนต้นให้เดินตาม

"เป็นไรต้น ไปเถอะ เดี๋ยวแดดจะร้อน"

"ไอ้บ้า มึงไม่เห็นหรือไงว่าไอ้ต้นมันตกใจ อยู่ดีๆ ก็ไปหอมแก้มมันแบบนั้น กูแค่พูดเล่นเว้ย ไม่ต้องทำขนาดนั้นก็ได้ มึงก็เสือกทำจริง" นิกว่าพลางหัวเราะ

"อ้าวเหรอ" สนทำหน้าเหรอหรา "ขอโทษนะต้น อย่าคิดมากสิ เพื่อนกันทำอะไรก็ไม่น่าเกลียดหรอก" สนว่าพลางโอบไหล่เพื่อนไว้

ต้นยิ้มแล้วก็ขำเบาๆ บางทีสนก็ดูล้นนิดๆ โดยเฉพาะเรื่องนี้ สนคงไม่อยากทำให้ต้นรู้สึกไม่ดีเหมือนครั้งนั้น เวลาใครล้อสนก็เลยมักทำแบบนี้โชว์ แม้จะรู้ว่าบางทีมันก็มากเกินไป แต่ต้นก็เข้าใจความตั้งใจของเพื่อน

-----------------------------------------------

ช่วงปลายๆ หน้าฝนเข้าหน้าหนาวแบบนี้ท้องฟ้ากำลังสวยทีเดียว วันนี้ก็เป็นอีกวันที่ท้องฟ้าสดใส หนุ่มน้อยทั้งสี่คนเองก็สนุกและสดใสตามวัยของพวกเขาเช่นกัน พวกเขาขี่จักรยานที่เช่ามาอย่างสนุกสนาน สักพักก็แยกกันเป็นคู่ๆ อีกเช่นเคย บางทีนิกกับปั้นจั่นก็รู้สึกว่า ต้นกับสนต้องการพื้นที่ส่วนตัว

"ท้องฟ้าสวยจังเลย นายว่าไหม" ต้นบอกขณะที่ปั่นจักรยานช้าๆ ไปรอบๆ ทะเลสาบ เด็กนอกเมืองอย่างพวกเขามักจะได้เห็นหรือได้ยินชื่อสถานที่สำคัญๆ ในกรุงเทพฯ หลายแห่ง ก็ได้แต่ใฝ่ฝันว่าสักวันจะได้มาเห็นด้วยตัวเอง ก็เหมือนกับที่แห่งนี้ เด็กๆ ที่ได้ยินชื่อและเห็นภาพในทีวีต่างก็ใฝ่ฝันที่จะมาให้ได้สักครั้งในชีวิต

"อืม...อากาศดีด้วย แต่นายรู้เปล่าว่าที่บ้านเก่าเรานะ...ท้องฟ้าสวยกว่านี้อีก" สนถือโอกาสคุย

"จริงดิ...เรายังไม่เคยไปเที่ยวภาคเหนือเลย สงสัยต้องให้นายพาไปเที่ยวบ้างแล้วล่ะ"

"ได้เลย ไปวันไหนบอกเราก็แล้วกัน"

"นายไม่คิดจะกลับไปอยู่ที่น่านอีกเหรอ"

สนทำท่าครุ่นคิด "ไม่หรอก...เราว่าอยู่นี่ก็ดีแล้ว อีกอย่าง...เราอยู่ไหนก็ได้ขอให้มีนาย"

ต้นถึงกับสะดุดกึกและหยุดรถจักรยานเมื่อได้ยินเช่นนั้น สนขี่เลยไปเล็กน้อยแล้วก็หยุดหันมาถามด้วยความเป็นห่วง

"เป็นไรหรือเปล่าต้น"

"เปล่า..." ต้นปฏิเสธพลางยิ้มแล้วก็ค่อยๆ ปั่นจักรยานออกไป สนมองตามอย่างงงๆ แล้วก็ปั่นตามไป

"เห็นแล้วคิดถึงบ้านนะ นายว่าอาทิตย์หน้าเรากลับบ้านมั่งดีไหม" ต้นหันไปถาม

"ดีเหมือนกัน เราก็คิดถึงพ่อกับแม่ อ้อ...คิดถึงพ่อกับแม่ของนายด้วย นายอยากกินแกงผักกาดจอไหม เดี๋ยวเราจะบอกแม่ให้ทำไว้ให้"

ต้นได้ยินแบบนั้นก็ตาโต เขาชอบกินแกงผักกาดจอมากๆ ได้ลองครั้งเดียวก็ติดใจ แม่ของสนทำแกงผักกาดจอทีไรต้นจะต้องมากินข้าวที่บ้านสนทุกที "กินๆๆๆๆ"

"นึกแล้ว..." สนลากเสียงยาวแล้วก็ขำ

"ก็เราชอบนี่"

"เดี๋ยวเราโทรบอกแม่ให้"

สนบอกแล้วก็เร่งฝีเท้าขึ้น พลางหันมามองต้นเพื่อให้สัญญาณว่าให้ต้นรีบตามมา ต้นจึงต้องเร่งฝีเท้าตามไปด้วยพร้อมกับเสียงหัวเราะสดใส

ถ้าหากชีวิตของคนเราสดใสได้แบบนี้ทุกวันก็คงดี แต่ชีวิตก็ย่อมต้องมีอุปสรรคขวากหนามบ้าง วันนี้เราอาจจะหัวเราะสดใส แต่อีกวันเราก็อาจจะร้องไห้ แต่เราก็ต้องเรียนรู้ที่จะอยู่กับชะตากรรมเหล่านี้ ต้นกับสนก็เช่นกัน ในวันข้างหน้าพวกเขาก็ต้องเรียนรู้อะไรอีกมาก รวมถึงปัญหาชีวิตที่พวกเขาเองก็อาจไม่คาดฝันมาก่อนด้วย แต่ความสดใสในวัยเยาว์เช่นนี้ก็จะช่วยเติมพลังให้กับชีวิตในวันข้างหน้าได้เป็นอย่างดี
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-05-2012 13:07:07 โดย sarawatta »

ออฟไลน์ SungMinKRu

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 570
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +151/-0
    • https://www.facebook.com/pages/SungMinKRu-Boys-Love/311662138876399

กำลังหื่นอยู่พอดี  :haun4:

สนทำบ้าอะไรไม่รู้ เขินแทนต้น 555

ตอนไปขี่จักรยานดูอบอุ่นจัง

แต่เหมือนมีลางๆ แปลกๆในบรรทัดสุดท้ายย

รอมาม่าา  :interest: :oni1:


ปล. ขอบถามนิดนึงนะค่ะว่าต้นสนที่โพสไว้ในเล้า มันยังอยู่ใช่ไหมค่ะ เหรอลบไปแล้วอะ อยากอ่านอีก :m2: :m1:


ออฟไลน์ sarawatta

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 714
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +300/-10
กำลังหื่นอยู่พอดี  :haun4:

สนทำบ้าอะไรไม่รู้ เขินแทนต้น 555

ตอนไปขี่จักรยานดูอบอุ่นจัง

แต่เหมือนมีลางๆ แปลกๆในบรรทัดสุดท้ายย

รอมาม่าา  :interest: :oni1:


ปล. ขอบถามนิดนึงนะค่ะว่าต้นสนที่โพสไว้ในเล้า มันยังอยู่ใช่ไหมค่ะ เหรอลบไปแล้วอะ อยากอ่านอีก :m2: :m1:

เย้...ในที่สุดก็ทำเป็นแล้ว (ตอบกลับโดยการอ้างถึง) หาอยู่ตั้งนาน

เรื่องเดิมถูกลบไปแล้วครับ ไม่ได้ตั้งใจจะลบหรอกครับ แต่เกิดจากความเปิ่นของตัวเอง
พอดีซื้อมือถือระบบสัมผัสมาใหม่ ก็เลยลองเข้าเว็บนี้ด้วยมือถือ ลองหัดล็อกอินเข้ามาด้วย
ด้วยความที่ใช้ใหม่ๆ ยังไม่ค่อยชินกับระบบสัมผัส ลากมือไปมาอีท่าไหนไม่รู้
อยู่ดีๆ ก็มีข้อความอะไรสักอย่างถามขึ้นมา แล้วเราก็เผลอกดตกลงไป แล้ว "ต้นสน" ของผมก็หายไปในบัดดล
นั่นแหละครับ มันถึงได้หายไปและเรียกกลับคืนมาไม่ได้อีก แต่ผมก็มีต้นฉบับเก็บไว้เป็นไฟล์อยู่

อย่างไรก็ตาม อยากแนะนำให้ตามอ่านอันนี้แทนครับ ผมจะเปลี่ยนการเดินเรื่องประมาณ 30-40%
จะไม่ค่อยเหมือนอันเก่าเท่าไรครับ แต่เค้าโครงเรื่องก็ยังเดินไปในทิศทางนั้น แต่เปลี่ยนอะไรบางอย่าง
หลังจากที่เขียน "รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต" ไปแล้ว ผมได้เรียนรู้การเขียนอะไรหลายอย่าง
อยากลองเอามาใช้กับเรื่องนี้ดูครับ เรื่องนี้ก็จะเป็นเรื่องแรกที่ผมเขียน แล้วก็ต้องแก้กว่า 4 เวอร์ชั่นครับ

ออฟไลน์ SungMinKRu

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 570
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +151/-0
    • https://www.facebook.com/pages/SungMinKRu-Boys-Love/311662138876399


 :m30: :m30: :m30: :m2: :m2: :m2: :m2:


ถึงว่าทำไมหาไม่เจอ คืออยากกลับไปอ่านแก้ค้าง

จริงๆแล้วยังอ่านไม่ละเอียดดีเลยด้วยซ้ำ

 :m2: :m2: :m2:

ขอบคุณค่ะ

ชอบต้นสนมากกๆเลย

จะไปอ่านเวอร์อื่นต่อนะค่ะ

 :m2: :m2: :m2:


ออฟไลน์ ordkrub

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4157
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +341/-12
เวอร์ชั่นนี้จะรันทดมากไหมครับ
อยากได้ใสๆ  มีมาม่านิดหน่อยก็พอ
แต่ว่า......แล้วแต่คนแต่งเถอะครับ
ยังไงก็อยากอ่านครับ

ออฟไลน์ owo llยมuมข้u

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 459
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-4

ออฟไลน์ gambee

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 451
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
ต้นสนจะเจอกับอุปสรรคอะไรบ้างนะ
แต่ถ้ามีคนรักคอยอยู่เคียงข้างต่อสู้ไปด้วยกัน
จับมือฟันฝ่าไปด้วยกันก็ไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้น
๕๕๕๕๕ตอนนี้ต้นสนเขาออกจะสวีทกัน
แต่คนอ่านจิตตกไปก่อนล่วงหน้าแล้วอินจัดเหลือเกิน
เป็นกำลังใจให้นักเขียนค่า....รอติดตามตอนต่อไป
ต้นสน ต้นสน ต้นสน

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-05-2012 21:11:24 โดย gambee »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






llihc_mrr

  • บุคคลทั่วไป
ตามมาจากเรื่อง รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิตครับ 555
อ่านตอนล่าสุดไป ก็คอยระแวงว่าดราม่าจะมาช่วงไหน
ตอนที่สนเข้าไปแกล้งต้น ก็นั่งคิด ว่านิกกับปั้นจั่นจะเปิดมาเจอ
เป็นเรื่องอีก เลยไม่ได้ฟิลหื่นเลย 5555

Mc_ma

  • บุคคลทั่วไป
ตอนนี้เหมือนไม่เคยอ่านเลย เนื้อเรื่องฉบับปรับปรุงใหม่ น่ารักกว่าเดิมอีกนะคะ 
โดนเฉพาะฉากที่สนหยอกล้อเล่นกับต้นตอนแลกกางเกงกัน กับ ตอนที่สนหอมแก้มต้น
เขินแทนต้นเลยทีเดียว นั่งกัดหมอนอยู่หน้าคอมฯ  :o8: :-[ :impress2:

:m3: น่ารักๆๆๆๆๆ   

รอติดตามค่ะ  :กอด1: :กอด1: :กอด1:

ออฟไลน์ sarawatta

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 714
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +300/-10
เขียนเรื่องนี้แล้วก็นึกถึงตัวเองตอนสมัยวัยรุ่นตอนต้นๆ ตอนนั้นติดเพื่อน (ผู้หญิง) คนหนึ่งมาก
คุยกันทั้งวันทั้งคืน จนพ่อแม่ของฝ่ายหญิงเริ่มไม่พอใจแล้วถามว่า คุยอะไรกันนักกันหนา
กลางวันก็คุยกัน กลางคืนก็ยังออกมาคุยกันอีก (แต่ไม่ได้ทำอะไรเสียหายนะครับ)
แต่ก็เป็นอดีตไปแล้วครับ ตอนนี้ทำไมถึงเปลี่ยนมาชอบผู้ชายได้ก็ไม่รู้  :z1:

เรื่องนี้จะพยายามปรับโทนเรื่องให้ "ใส" ขึ้นครับ เพราะเป็นเรื่องของมิตรภาพและความผูกพันธ์
แต่ก็ยังมีส่วนดราม่าอยู่เช่นเดิมครับ

-----------------------------------------------------------------------

ตอนที่ 11: เมื่อต้นมีแฟน???



ระหว่างต้นกับสน ถ้าใครสักคนหนึ่งจะมีแฟนในตอนนี้ หลายๆ คนคงเชื่อว่าต้องเป็นสนแน่ๆ แต่คราวนี้คนที่มีแววว่าจะมีแฟนคนแรกกลับเป็นต้นเสียอย่างนั้น ช่วงเทอมสุดท้ายของปีหนึ่ง ต้นบังเอิญได้รู้จักกับนักศึกษาหญิงคนหนึ่งชื่อ “เจนี่” จากคณะนิเทศศาสตร์ที่อยู่ในชมรม “จิตอาสาเพื่อสังคม” ซึ่งต้นก็เข้าไปร่วมด้วยเช่นกัน ชมรมนี้เป็นชมรมที่เน้นการทำงานอาสาสมัครช่วยเหลือสังคม มีกิจกรรมที่น่าสนใจหลายอย่าง เช่น ปลูกป่าชายเลน เก็บขยะในแม่น้ำลำคลอง ระดมทุนช่วยภัยน้ำท่วม/ภัยหนาว ช่วยอำนวยความสะดวกให้คนพิการเวลาจัดงาน พาแขกต่างชาติไปเที่ยวเวลาที่มีการจัดงานระหว่างประเทศ ฯลฯ แล้วแต่ว่าใครต้องการอาสาสมัครนักศึกษาไปช่วยทำอะไรบ้าง แต่ก็มีข้อแม้ว่านักศึกษาจะไปได้นอกเวลาเรียนเท่านั้น ส่วนใครจะไปเมื่อไร วันไหน สมาชิกในชมรมจะคุยและตกลงกันเอง

ด้วยบทบาทการเป็นผู้นำที่โดดเด่นของต้นและการทุ่มเททำงานอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ทำให้เจนี่ปลื้มเขามากทีเดียว เวลาจัดกิจกรรมก็มักจะเข้ามาคุยกับต้น ช่วยต้นทำนั่นทำนี่หลายอย่าง เจนี่เป็นคนที่ค่อนข้างติดดินแม้ว่าจะมาจากครอบครัวที่ฐานะดี ที่สำคัญเป็นคนที่จิตใจดีและชอบช่วยเหลือผู้อื่นเหมือนต้น จึงค่อนข้างเข้ากันได้ดีทีเดียว บางทีไปเก็บขยะในคลองที่สกปรก เจนี่ก็ไปด้วยและไม่แสดงท่าทางรังเกียจแต่อย่างใด จะว่าไป ต้นก็ชอบผู้หญิงคนนี้มากทีเดียว จนความสนิทสนมกันของต้นและเจนี่ก็เริ่มเป็นที่รู้กันในกลุ่มเพื่อนๆ

------------------------------------------------------------------------------------------------

เที่ยงวันหนึ่ง สนโทรไปบอกต้นว่าเขาจะลงไปกินข้าวด้วย พอเลิกตอนเที่ยงสนก็รีบไปหาเพื่อนที่โรงอาหารทันที ต้นกับสนแยกกันไปซื้ออาหารตามที่ตัวเองอยากกิน พอสนได้อาหารที่ต้องการแล้วเขาก็ถือถาดอาหารเดินไปหาต้นตรงโต๊ะที่จองไว้ แต่เขาก็ต้องหยุดชะงักเมื่อมี “เจนี่” มานั่งคุยกับต้นอยู่และนั่งแทนที่เขาไปเสียแล้ว พอต้นหันมาเห็นเขา ต่างคนก็ต่างทำหน้าเลิ่กลั่ก

“ไม่เป็นไร ตามสบายเถอะ เดี๋ยวเราไปนั่งกินตรงนั้นก็ได้” สนบอกเพื่อนแล้วก็เดินไปหาโต๊ะนั่งใหม่โดยมีสายตาของต้นมองตามมาอย่างห่วงๆ สนพอรู้ว่าสาวคนนี้คือแฟนของเพื่อนนั่นเอง เขาจึงไม่อยากรบกวน

“เพื่อนต้นเหรอ” เจนี่ถาม เธอเรียกว่า “ต้น” เฉยๆ เพราะอายุไม่ห่างกันเพียงไม่กี่เดือน

ต้นพยักหน้าตอบ “ใช่ครับ ชื่อสน เรียนคณะเทคโนฯ” ต้นบอก สายตายังแอบมองเพื่อนอยู่

“เหรอคะ แล้วทำไมเขาไม่มานั่งกับต้นล่ะ” เจนี่ถาม

“เอ่อ..." ต้นลังเล จะบอกว่าเป็นเพราะเจนี่มาแย่งที่นั่งของสนก็คงจะไม่เหมาะ "...ไม่มีอะไรหรอก เพื่อนผมเขาเป็นคนประหม่าเวลาเจอคนที่ไม่รู้จักครับ เขาขี้อาย” ต้นแก้ตัวให้เพื่อน

"เหรอ..." เจนี่ลากเสียงพลางหันไปมองสนที่กำลังนั่งกินข้าวอยู่ไม่ไกลออกไป จริงๆ สนก็มานั่งด้วยกันได้นี่นา ทำไมต้องหลบไปนั่งตรงนั้นด้วย แล้วเจนี่ก็หันกลับมาสนใจต้นต่อ "อ้อ...วันเสาร์นี้ทางชมรมจะพาไปทำกิจกรรมที่บ้านนนทภูมิ ต้นจะไปด้วยไหม"

"อืม...พอดีว่าจะกลับบ้านที่นครปฐมกับสนน่ะเจนี่ สงสัยงานนี้ต้องขอตัว" ต้นบอก สายตาเขาคอยเหลือบไปมองสนด้วยความเป็นห่วงบ่อยๆ ฝ่ายนั้นก็คอยแอบมองเขาบ่อยๆ เช่นกัน

"เหรอ...ว้า...เสียดายจัง นึกว่าต้นจะไปด้วย บ้านต้นอยู่นครปฐมเหรอ ปลูกส้มโอด้วยหรือเปล่า" เจนี่เปลี่ยนน้ำเสียงจากเศร้าเป็นสดใส

"ไม่ได้ปลูกอะไรเลย พอดีพ่อกับแม่เป็นครูสอนที่โรงเรียนประถม ก็เลยไม่ได้ทำสวนเหมือนคนอื่นๆ" ต้นบอกพลางขำ

นิกกับปั้นจั่นตามลงมาพอดี พอเห็นต้นนั่งกับเจนี่เท่านั้นแหละ นิกก็รีบร้องทักว่า

"เฮ้ยต้น แล้วคู่หูสุดสวีทของมึงไปไหนวะ"

คนทักนี่ก็ไม่ได้ดูอะไรเสียเลยว่าต้นกำลังนั่งคุยกับใครอยู่ เจนี่มองนิกกับปั้นจั่นที่กำลังเดินลงมานั่งข้างๆ กับต้นด้วยสีหน้ามีคำถาม ต้นพยักเพยิดไปทางที่สนนั่งอยู่

"เฮ้ยสน ไปนั่งทำไมตรงนั้นวะ มานั่งนี่สิ" ปั้นจั่นหันไปตะโกนเรียกแล้วจึงค่อยหันมาสนใจคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามกับต้น

"เจนี่ใช่ไหมครับ นี่ผมปั้นจั่นครับ แล้วนี่ก็นิก เป็นเพื่อนกับต้นครับ พักอยู่บ้านหลังเดียวกัน" ปั้นจั่นถือโอกาสบอกพลางยิ้ม

"อ๋อ...ค่ะ รู้จักชื่อของเจนี่ด้วยเหรอคะ" เจนี่ทำหน้าสงสัย

"อ๋อ...ครับ ไอ้ต้นมันบอก เห็นมันกลับไปเล่าให้ฟังทุกวันเลยครับว่าเจนี่น่ารักแล้วก็นิสัยดี" ปั้นจั่นบอกพลางขำ ไม่รู้ว่าขำอะไรของมัน

แต่คนได้ฟังก็เขินอายไปพอสมควร ต้นเห็นอาการของเจนี่แล้วก็รู้สึกกระอักกระอ่วนใจ เขาพูดอย่างนั้นก็จริง แต่ไม่ได้มีนัยแฝงในทางอย่างนั้นเลย

"อ้าวเฮ้ย...ไอ้สนไปไหนละ" นิกร้องอย่างแปลกใจเมื่อหันไปมองตรงที่สนนั่งก็ไม่เห็นเสียแล้ว

"สงสัยมันจะงอนมึงแน่ๆ เลยต้น" นิกแอบหันมากระซิบกับต้นแล้วก็ขำเบาๆ แต่ต้นไม่ขำด้วยแถมยังมีสีหน้าเคร่งเครียดจนสังเกตได้ ต้นเองก็กลัวสนน้อยใจอยู่เหมือนกัน เอ...แต่สนจะน้อยใจเขาเรื่องอะไรล่ะ

------------------------------------------------------------------------------------------------

หลังจากอาบน้ำกินข้าวเสร็จแล้ว สนก็เดินไปเคาะประตูห้องต้นเพื่อจะเข้ามาคุยด้วยก่อนนอนตามปกติ บางวันก็นอนที่ห้องต้นถ้าหากคุยกันดึกมากๆ จนนิกกับปั้นจั่นแซวว่าห้องตัวเองก็มี ไม่ยอมนอน

ต้นเดินมาเปิดประตูให้เพื่อน สนเดินตามเข้าไปในห้องแล้วนั่งลงบนเตียงของเพื่อนอย่างคุ้นเคย

“นายทำงานอยู่หรือเปล่า” สนถาม

“อ๋อ...เสร็จแล้วแหละ” ต้นบอกแล้วก็เดินมานั่งใกล้ๆ กับเพื่อน

สนทิ้งตัวลงนอนบนเตียงอย่างสบายๆ “คนเมื่อกลางวันใช่แฟนนายหรือเปล่า ทำไมไม่เห็นพามารู้จักเราบ้างเลย”

“ยังไม่ถึงขั้นนั้นหรอก” ต้นตอบสั้นๆ จริงๆ เขาไม่ได้คิดอะไรกับเจนี่ถึงขั้นจะคิดเป็นแฟนอยู่แล้ว เพียงแต่เห็นว่าเจนี่เป็นเพื่อนที่ดีคนหนึ่งเท่านั้น

“ชื่ออะไรเหรอ” สนถามด้วยความอยากรู้

“เจนี่”

“โห...ชื่อน่ารักซะด้วย เราว่าเขาน่ารักดีนะ ตาคมดี เหมาะสมกับนายมากเลย” สนให้ความเห็นพลางดีดตัวขึ้นมานั่งข้างๆ กับต้นอีกครั้ง

“อืม...เจนี่เป็นคนน่ารัก เขาติดดินดีนะ เขาเป็นลูกคนรวยแต่เขาไม่ค่อยถือตัว ชอบช่วยเหลือผู้อื่น คราวก่อนเราก็พาเขาไปเก็บขยะในคลอง ตอนแรกนึกว่าเขาจะไม่ไป แต่เขาก็ไปนะ แถมยังช่วยเก็บขยะอย่างดี ไม่บ่นสักคำ” ต้นบอก

“ดูท่าทางนายคงจะชอบเขามากเลยสิท่า”

ต้นหันไปมองหน้าสนเพราะไม่แน่ใจว่าสนพูดธรรมดาหรือกำลังประชดกันแน่ "อ๋อ...ก็ชอบ...เขาก็นิสัยดี"

“นายนี่ไม่ใช่เล่นนะเนี่ย เห็นเป็นเด็กเรียนเงียบๆ ไม่นึกว่า...” สนแซวเพื่อนพลางหัวเราะ เห็นสนหัวเราะต้นก็เลยใจชื้นขึ้นมาหน่อย

เสียงโทรศัพท์ของต้นดังขึ้น เจนี่โทรมานั่นเอง ต้นรับสายและขอตัวเดินไปนั่งคุยตรงโต๊ะทำงานของเขา

ผ่านไปสักพัก สนก็เห็นว่าต้นไม่มีทีท่าว่าจะหยุดคุยโทรศัพท์จึงลุกขึ้นเดินไปบอกต้นเบาๆ ว่า “เราไม่กวนละ”

บอกแล้วสนก็เดินออกไป เขาลงมานั่งคุยกับนิกและปั้นจั่นซึ่งกำลังนั่งดูทีวีอยู่ข้างล่างแทน

“อ้าว...ทำไมวันนี้คุยกันแป๊บเดียวล่ะ ปกติเห็นคุยกันจนดึกดื่น” นิกถามด้วยความสงสัยเมื่อเห็นสนมานั่งดูทีวีด้วย

“สงสัยไอ้ต้นมันคุยกับแฟนล่ะมั้ง เมื่อวานก็เห็นคุยกันเป็นชั่วโมงๆ” ปั้นจั่นว่าแล้วก็หันไปดูทีวีต่อ

สนได้แต่เงียบ เขาไม่รู้เหมือนกันว่าเขารู้สึกอย่างไรกับการที่เพื่อนมีแฟน จะดีใจกับเพื่อนก็ดีใจอยู่ แต่อีกใจหนึ่งเขากลับรู้สึกเหมือนมีใครมาแย่งของรักของเขาไปเสียอย่างนั้น เขาเริ่มเข้าใจแล้วว่าตอนนั้นต้นรู้สึกอย่างไรที่เขามีแฟนแล้วหายหน้าไป

------------------------------------------------------------------------------------------------

ช่วงนี้ตอนเย็นๆ ต้นมักจะคุยโทรศัพท์กับเจนี่เป็นประจำและมักจะคุยกันนาน นานจนทำให้สนรู้สึกน้อยใจเพราะเขาไม่ค่อยได้คุยกับต้นเลย ตอนหลังๆ เขาก็เลยไม่เข้าไปห้องต้นเพราะเข้าไปทีไรต้นก็คุยโทรศัพท์กับแฟน เขาจึงทำงานในห้องของตัวเองหรือไม่ก็มานั่งดูทีวีข้างล่าง

วันนี้ก็เช่นกัน สนลงมานั่งดูทีวีและคุยกับนิกและปั้นจั่นเหมือนหลายๆ วันที่ผ่านมา แต่เขามักจะเผลอเหลือบมองไปที่ห้องของต้นบ่อยๆ

“เป็นไรวะไอ้สน กูเห็นมึงมองขึ้นไปที่ห้องไอ้ต้นบ่อยๆ” ปั้นจั่นถามด้วยความสงสัย

“เปล่า...” สนปฏิเสธเป็นพัลวันและพยายามทำสีหน้าให้ดูไม่มีพิรุธ

“ไม่ต้องมาเปล่าเลย กูเห็นมึงมองหลายทีละ อยากคุยกับมันล่ะสิ เดี๋ยวกูจัดการให้” ปั้นจั่นพูดแล้วก็ลุกขึ้นเดินไปเคาะประตูห้องของต้น สนห้ามไม่ทันจึงปล่อยเลยตามเลย

ต้นเดินมาเปิดประตูพร้อมกับคุยโทรศัพท์ไปด้วย “แป๊บนึงนะเจนี่...มีอะไรเหรอ” ต้นถามอย่างสงสัย

“คุยกับแฟนเสร็จหรือยัง ไอ้สนมันอยากคุยด้วย” ปั้นจั่นบอก ต้นมองลงมาข้างล่าง สบตากับสนแล้วก็รีบขอตัววางโทรศัพท์ทันที "แค่นี้ก่อนนะเจนี่ ตอนนี้ไม่ค่อยสะดวกคุยเท่าไร"

“ขึ้นมาซิ” ปั่นจั่นร้องบอกสน

สนก็เดินขึ้นมา ทั้งต้นและสนมองหน้ากันเลิ่กลั่กด้วยความรู้สึกแปลกๆ

“เอ้า...คุยกันซะ ไปละ” ปั้นจั่นว่าแล้วก็เดินลงไปโดยไม่หันมาสนใจต้นกับสนอีก

“เข้ามาก่อน” ต้นเป็นฝ่ายบอกเพื่อน สนเดินเข้ามาในห้องของต้นแล้วปิดประตู ต่างคนต่างทำสีหน้าไม่ถูกเหมือนเป็นคนแปลกหน้ากัน

“เราไม่ได้บอกให้ไอ้ปั้นจั่นมาบอกนายนะต้น มันมาบอกเอง” สนแก้ตัวเพราะกลัวว่าต้นจะหาว่าเขามารบกวนเวลาที่ต้นคุยกับแฟน

“ถ้านายจะคุยกับแฟนต่อก็ได้นะ เดี๋ยวเราจะลงไปดูทีวีข้างล่างก็ได้ เราไม่มีอะไรหรอก” สนบอกอย่างเกรงใจ

“เดี๋ยวก่อนสิ นายมีอะไรจะคุยกับเราหรือเปล่า”

“ไม่มีอะไรสำคัญหรอก ก็คุยเหมือนที่เคยคุยนั่นแหละ”

คำตอบของสนทำให้ต้นอึ้งไป เขาเกือบจะลืมไปว่าสนก็มาคุยกับเขาก่อนนอนทุกคืนถ้าไม่ได้ไปไหน เขาก็ไม่น่าไปถามสนแบบนั้นเลย

"ขอโทษนะสน" ต้นบอกเสียงอ่อย

"เฮ้ย...ไม่เป็นไร อย่าคิดมาก นายคุยกับเจนี่ต่อเถอะ เราเข้าใจ เราไม่กวนละ" สนบอกพลางทำท่าจะเดินออกไป

ต้นรีบวิ่งมาขวางประตูไว้ “เดี๋ยวก่อนสิสน”

สองหนุ่มสบตากัน ต่างคนต่างรู้สึกประหม่า “นายจะมาคุยกับเราไม่ใช่เหรอ ทำไมจะรีบกลับล่ะ”

สนเริ่มมีสีหน้าเครียดขึ้นแล้วก็ถอนหายใจ เขาไม่รู้จะพูดกับเพื่อนยังไงเหมือนกัน จะว่าน้อยใจก็ใช่ เพราะคนเคยคุยกันก่อนนอนแทบทุกวัน แต่ช่วงนี้ต้นก็เอาแต่คุยกับแฟนจนไม่มีเวลาให้เขา แต่สนก็เป็นผู้ชาย จะน้อยใจเรื่องพวกนี้มันก็ดูยังไงๆ อยู่

“ก็นาย...” สนหยุดคิดเพราะไม่รู้ว่าจะพูดต่อดีหรือไม่ “นายมีแฟนแล้ว เราเข้าใจ”

“เราขอโทษนะสนที่เราไม่มีเวลาให้นายเลย...” ต้นรีบพูดสวนออกไป “เราก็อยากคุยกับนายนะ พอดีเจนี่เขาโทรมาหาเราทุกวันเลย เราก็เลยต้องคุยกับเขา แต่ไม่ได้หมายความว่าเราไม่อยากคุยกับนายนะ” ต้นพยายามอธิบาย

“เราก็ไม่ได้ว่าอะไรนายเสียหน่อย” สนบอก แต่สีหน้าของเขาก็บ่งบอกว่าเขาน้อยใจจริงๆ นั่นแหละ

“แต่เรารู้สึกว่านายกำลังโกรธหรือไม่พอใจเราอยู่นะ” ต้นบอกสิ่งที่สังเกตเห็นออกไปตามตรง

สนเงียบไปทันทีและไม่โต้ตอบในประเด็นนี้ ทำให้ต้นพอเข้าใจว่าสนอาจจะรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ “นายอย่าเพิ่งกลับนะ เราอยากคุยกับนาย” ต้นเริ่มทำเสียงอ้อน “นะ...เรามีเรื่องคุยกับนายเยอะแยะเลยวันนี้”

“อือๆ” สนพูดเหมือนเสียงอยู่ในลำคอ แล้วก็หันเดินกลับเข้ามา

ต้นเดินตามหลังมาแล้วกระโดดกอดคอเขาเป็นเชิงหยอก สนเดินมาที่เตียงแล้วก็ปล่อยเพื่อนลงด้วยการทุ่มตัวลงไปบนที่นอนเบาๆ ต้นร้องโอ๊ย สนตกใจนึกว่าเพื่อนเป็นอะไร เขาพุ่งตัวลงไปนอนข้างๆ เพื่อนแล้วถามว่า

“เป็นอะไรต้น เจ็บหรือเปล่า”

ต้นยิ้มอย่างมีเลศนัยแล้วตอบว่า “เปล่า...ร้องไปงั้นแหละ” แล้วก็หัวเราะ

“นายนี่...เราตกใจหมดเลย” สนว่า ต้นหน้าเจื่อนลง พอรู้ตัวสนจึงยิ้มและหัวเราะเพราะไม่อยากให้เพื่อนตกใจและคิดมาก "ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว”

ต้นจึงค่อยยิ้มได้ ทั้งสองคนนอนคุยกันเหมือนเช่นเคย แม้ว่าจะรู้จักกันมาจนเกือบสิบปี แต่เขาทั้งสองคนก็ไม่เบื่อที่จะคุยกัน มีเรื่องให้คุยกันได้ตลอด บางทีก็คุยกันทั้งวันทั้งคืนจนเคยมีคนสงสัยว่าคุยอะไรกันนักกันหนา อาการติดเพื่อนระหว่างทั้งสองคนไม่เคยลดน้อยลงไป ยิ่งคบกัน ยิ่งคุยกัน ยิ่งผูกพัน มากเสียจนไม่อาจจะมีใครมาทำให้ขาดสะบั้นไปได้ง่ายๆ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30-12-2012 08:50:39 โดย sarawatta »

ออฟไลน์ SungMinKRu

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 570
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +151/-0
    • https://www.facebook.com/pages/SungMinKRu-Boys-Love/311662138876399


โอ๋ๆๆ สนมาซบอกเรามา  :laugh5: :laugh5: :laugh5:

เห็นชื่อแนวแล้วแอบตกกะใจ รีบดีดตัวจากที่นอนมาอ่านทันที

 :sad12: :sad12:


คิดว่าต้นจะเลิกรักสนไปซะแล้ว เปลี่ยนโหมดกระทันหันไปปิ๊งปั๊งกับชะนี  :eiei1:

สนทำเป็นนอยด์นะ ตัวเองอย่างให้มีแล้วกัน  :z4:


ปล. เค้าคุยเรื่องไรกันหว่า อยากแจมด้วย  :z9: :z9:


เป็นกำลังใจให้คนเขียนค่ะ  :mc4: :mc4: :mc4:

ออฟไลน์ z-Time

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 295
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
มาอ่านที 2 ตอนรวด o13

เหมือนได้อ่านเรื่องใหม่ค่ะ เพราะมีเติมบางฉากด้วย แต่ยังคงเค้าความผูกพันเหมือนเดิม

สนก็ยังคงไม่รู้ตัวต่อไปนะ เธอ  :เฮ้อ:

แต่นิก ปั้นจั่น นี่ตัวชงตลอดเลยนะ อิอิ :z2:

ออฟไลน์ vista054

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 343
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
กรี๊ด เด็กน่าน บ้านเรา

icyblue

  • บุคคลทั่วไป
เขียนเรื่องนี้แล้วก็นึกถึงตัวเองตอนสมัยวัยรุ่นตอนต้นๆ ตอนนั้นติดเพื่อน (ผู้หญิง) คนหนึ่งมาก
คุยกันทั้งวันทั้งคืน จนพ่อแม่ของฝ่ายหญิงเริ่มไม่พอใจแล้วถามว่า คุยอะไรกันนักกันหนา
กลางวันก็คุยกัน กลางคืนก็ยังออกมาคุยกันอีก (แต่ไม่ได้ทำอะไรเสียหายนะครับ)
แต่ก็เป็นอดีตไปแล้วครับ ตอนนี้ทำไมถึงเปลี่ยนมาชอบผู้ชายได้ก็ไม่รู้  :z1:


^^  แบบว่าเพิ่งรู้ตัวงัยล่ะ  อิอิ แต่แบบนี้ก็ดีแล้วจ๊ะ 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15-05-2012 16:03:11 โดย icyblue »

ออฟไลน์ owo llยมuมข้u

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 459
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-4

ออฟไลน์ sarawatta

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 714
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +300/-10
ตอนที่ 12: ความลับที่ถูกเปิดเผย



วันหยุดวันหนึ่ง พ่อกับแม่ของต้นมาเยี่ยมต้นที่หอพัก ซื้อของฝากมาให้หลายอย่าง ต้นรู้สึกเสียดายที่วันนี้สนไม่อยู่ เพราะเขาต้องไปทำงานกลุ่มกับเพื่อน ไม่อย่างนั้นแล้วพ่อกับแม่ของสนก็อาจจะมาด้วย

“เพื่อนต้นครับพ่อ คนนี้ชื่อนิก คนนี้ชื่อปั้นจั่น เรียนคณะเศรษฐศาสตร์ครับ” ต้นแนะนำให้พ่อกับแม่รู้จักกับเพื่อนร่วมบ้านอีกสองคน นิกกับปั้นจั่นยกมือไหว้พ่อกับแม่ของต้นอย่างเรียบร้อย พอมีผู้ใหญ่มา สองคนนี้ก็ดูสงบเสงี่ยมมากขึ้น

“เรียนอยู่ปีอะไรกันแล้วล่ะ” แม่ของต้นถาม

“ปีหนึ่งครับ” นิกตอบ

“อ้อ...ปีเดียวกับต้นเลย” พ่อของต้นร้องอ๋อ

“อย่าลืมกินขนมกันนะลูก พอดีพ่อกับแม่ซื้อแต่ของที่ต้นกับสนเขาชอบ ไม่รู้ว่านิกกับปั้นจั่นชอบกินอะไรบ้าง คงมีของที่พอกินอยู่ได้บ้างนะ เสียดาย...สนน่าจะอยู่ด้วยวันนี้” แม่ต้นบอก

“ได้ครับๆ กินได้ครับ” ปั้นจั่นตอบด้วยท่าทางดีใจ

คุยกันอยู่พักใหญ่ พ่อกับแม่ก็พาต้นออกมาคุยนอกบ้านเพราะมีเรื่องที่จะคุยกับต้นเป็นการส่วนตัว

“ต้น...พอดีว่าลุงป่านมีเรื่องเดือดร้อนต้องการใช้เงิน ตอนนี้พ่อกับแม่ก็พอมีอยู่หน่อยหนึ่ง แต่ท่าจะไม่พอ ก็เลยอยากจะขอยืมเงินของต้นสักสองหมื่น เดี๋ยวพ่อกับแม่จะคืนให้” คนที่พ่อเรียกว่าลุงป่านก็คือลุงแท้ๆ ของต้นนั่นเอง ต้นเคยเจอลุงบ้างแต่ไม่บ่อยนักเพราะอยู่ห่างกันคนละอำเภอ

แต่สิ่งที่พ่อบอกก็ทำให้เขาตกใจจนแทบจะเก็บสีหน้าไม่อยู่ “เอ่อ...ลุงป่านเขาจะเอาเงินไปทำอะไรหรือครับ” ต้นถามโดยที่เขาไม่รู้ว่าน้ำเสียงของเขาเป็นปกติหรือไม่

“พอดีลูกชายคนเล็กของลุงเขาก็เข้าเรียนมหาลัยเหมือนต้นนี่แหละ แล้วตอนนี้ลุงก็ต้องใช้เงินเยอะเลย แต่เห็นว่าลุงเขายังไม่ใช้ตอนนี้หรอก อีกสองเดือนโน่นแหละ พ่อก็เลยบอกต้นไว้ก่อน” พ่อต้นอธิบาย ต้นกลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย็น

“เอางี้ละกันต้น พ่อกับแม่ก็ไม่รู้ว่าจะได้มาอีกเมื่อไร พ่อเขาก็ไม่ค่อยชอบเข้ากรุงเทพ รถมันเยอะ ขับยาก เดี๋ยววันนี้ก่อนกลับต้นถอนเงินมาให้พ่อเขาได้หรือเปล่าลูก พ่อเขาจะได้เอาไปให้ลุงตอนขากลับนี้เลย” แม่ต้นเสนอ

ต้นนิ่งเงียบเหมือนไม่รับรู้ว่าพ่อกับแม่พูดอะไรบ้าง

“อ้าว...ว่าไงล่ะต้น ได้ยินที่พ่อกับแม่พูดหรือเปล่า” พ่อถามเมื่อเห็นต้นเหม่อลอยและไม่ตอบสนอง

“อ๋อ...ได้ยินครับ คือ...” ต้นเริ่มใจคอไม่ดี เขาไม่รู้ว่าจะบอกพ่อกับแม่ตรงๆ ดีหรือไม่ ถ้าบอกไปแล้วก็กลัวว่าพ่อกับแม่จะโกรธ แต่ความลับมันคงไม่มีในโลก ยังไงต้นก็ต้องเอาเงินจำนวนนั้นให้พ่อกับแม่ไม่ว่าจะตอนนี้หรืออีกสองเดือนข้างหน้า พ่อกับแม่ก็จะต้องรู้ความจริงอยู่ดีว่าเงินในบัญชีของต้นเหลือไม่กี่พันเท่านั้น

“คือว่า...” ต้นครุ่นคิดอย่างหนักเพราะเขาไม่เคยโกหกพ่อแม่เลย “ตอนนี้ต้นมีเงินในบัญชีเหลือแค่...สี่พันกว่าบาทเองครับ”

“อะไรนะต้น” พ่อกับแม่ของต้นร้องถามด้วยเสียงตกใจ ทำให้ต้นยิ่งรู้สึกใจคอไม่ดีมากขึ้นไปอีก

“ลูกเก็บเงินมาเป็นสิบๆ ปี อย่างน้อยก็น่าจะเก็บได้สักสามสี่หมื่น ทำไมถึงมีเงินเหลือแค่สี่พันกว่าบาทล่ะต้น” แม่ต้นถามด้วยสีหน้าเหมือนไม่อยากจะเชื่อว่าต้นพูดความจริง

“ต้นเอาเงินไปทำอะไร บอกพ่อกับแม่มาเดี๋ยวนี้นะต้น ลูกเอาเงินไปเที่ยวเตร่เกกมะเหรกเกเรกินเหล้าเมายาหรือเปล่าต้น” พ่อเริ่มคาดคั้น เสียงคุยกันที่ดังขึ้นนั้นก็ทำให้นิกกับปั้นจั่นที่นั่งกินขนมและดูทีวีพลอยได้ยินไปด้วย ทั้งสองคนเงี่ยหูฟังด้วยความสงสัยและอยากรู้

“เปล่าครับ คือว่าต้น....” ต้นมองหน้าพ่อกับแม่ด้วยความรู้สึกหวั่นใจกับสิ่งที่เขากำลังจะบอกต่อไปนี้ “ต้นถอนเงินมาให้สนสี่หมื่นบาทครับ” พูดจบต้นก็สบตากับพ่อกับแม่อีกครั้ง เขารู้สึกแปลกใจที่พ่อกับไม่ได้แสดงสีหน้าไม่พอใจ แต่กลับดูเหมือนจะรอฟังว่าต้นจะพูดอะไรต่อ

“พอดีตอนนั้นสนเขาจะไม่ยอมเรียนต่อท่าเดียวเพราะว่าที่บ้านเขามีเงินไม่พอ ต้นก็เลยอยากช่วยเพื่อนครับ ต้นอยากให้สนได้เรียนหนังสือมีอนาคตที่ดีก็เลย...” ต้นละไว้แต่เพียงเท่านี้

“โธ่ต้น...แล้วทำไมไม่บอกพ่อกับแม่ล่ะลูก” เสียงของพ่อต้นดูอ่อนลง

“พ่อเข้าใจว่าต้นรักเพื่อน พ่อกับแม่ไม่รังเกียจอะไรเลยที่จะช่วยเหลือสน แต่ต้นควรจะบอกพ่อกับแม่ เงินไม่ใช่น้อยๆ นะต้น จะทำอะไรก็น่าจะปรึกษาพ่อกับแม่ก่อน” พ่อต้นพูดด้วยเสียงตำหนิเล็กน้อย

“ผมขอโทษพ่อกับแม่ด้วยครับ” ต้นพูดพร้อมกับยกมือไหว้ขอโทษ “ตอนนั้นผมเห็นพ่อกับแม่ต้องใช้เงินเยอะ ค่าใช้จ่ายของผมก็เยอะมาก ผมก็เลยไม่กล้ารบกวนครับ”

“โธ่เอ๋ยลูก” แม่ของต้นร้องเบาๆ ด้วยความสะท้อนใจ แต่อีกใจหนึ่งก็อดภูมิใจไม่ได้กับสิ่งที่เธอและสามีเฝ้าพร่ำสอนลูกให้เป็นคนดี รู้จักช่วยเหลือผู้อื่น โดยเฉพาะกับสนแล้ว ครอบครัวของต้นก็ไม่ขัดข้องที่จะช่วยเหลือเลย

“เอางี้ละกัน เดี๋ยวพ่อกับแม่จะหาจากที่อื่นไปก่อน แม่อาจจะขอยืมจากป้าไปก่อนก็ได้” แม่ของต้นเสนอทางออก

“ลุงเขาจะใช้อีกสองเดือนใช่ไหมครับ” ต้นถามพลางทำหน้าครุ่นคิด “ถ้าอย่างนั้น...อีกสองเดือน ต้นจะเอาเงินสองหมื่นไปให้พ่อกับแม่เองครับ” ต้นบอก เขารู้สึกว่านี่คือความผิดของเขาและเขาต้องรับผิดชอบ

“ต้นจะไปเอามาจากไหนล่ะลูก” พ่อต้นถามด้วยความประหลาดใจ

“ผมคิดว่าผมหาได้ครับ พ่อกับแม่ไม่ต้องห่วง ต้นสัญญา อีกสองเดือนต้นจะเอาเงินสองหมื่นไปให้เองครับ” ต้นยืนยันคำพูดเดิม

พ่อกับแม่ของต้นมองหน้ากันเหมือนคิดอะไรบางอย่าง ต้นเริ่มโตเป็นผู้ใหญ่และมีความรับผิดชอบแล้ว แม้จะไม่รู้ว่าต้นจะไปหาเงินสองหมื่นบาทภายในสองเดือนมาได้อย่างไร แต่พ่อกับแม่ก็อยากให้ต้นได้เรียนรู้และเติบโตเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น จึงคิดว่าไม่เสียหลายที่จะให้ต้นลองดู

“พ่อกับแม่ไม่รู้ว่าต้นจะหาเงินมาได้อย่างไรหรอกนะ แต่ต้นต้องสัญญากับพ่อแม่ไว้อย่างหนึ่งว่า ต้นจะหาเงินนั้นมาอย่างสุจริต ได้ไหมลูก” พ่อถามพลางยิ้มน้อยๆ

“ผมสัญญาครับ” ต้นตอบ

------------------------------------------------------------------------------------------------

พอพ่อกับแม่ของต้นกลับบ้านไป นิกกับปั้นจั่นก็รีบเข้ามาซักถามต้นทันที

“เฮ้ยต้น เป็นไงมั่ง พ่อกับแม่มึงจะทำโทษมึงหรือเปล่าวะ” นิกถาม

ต้นส่ายหน้า เขาทำสีหน้าสงสัยว่าสองคนนี้รู้เรื่องได้อย่างไร แต่ก็ไม่ได้ซักไซ้อะไรเพราะยังคิดกังวลอยู่

“จริงเหรอ...” นิกทำหน้าไม่เชื่อ

“เฮ้ย...แล้วมึงเอาเงินไปทำอะไรวะ” ปั้นจั่นถามบ้างเนื่องจากได้ยินการสนทนาไม่ค่อยชัดเจนเพราะต้นพูดเสียงเบา

“แต่กูได้ยินชื่อไอ้สน มึงเอาเงินไปให้ไอ้สนเหรอวะ” นิกซักบ้าง ต้นอึกอักอยู่สักพักก่อนจะตอบว่า

“สนไม่มีเงินเรียนต่อ เราก็เลยช่วย”

นิกกับปั้นจั่นมองหน้ากันอย่างไม่เชื่อหูของตัวเอง “โห...นายนี่เป็นเพื่อนที่ประเสริฐจริงๆ ว่ะ” ปั้นจั่นชม

“ถามจริงๆ นะต้น... ทำไมมึงจะต้องช่วยเหลือไอ้สนขนาดนั้นวะ ดูแลมันสารพัดอย่าง เสื้อผ้าก็รีดให้มัน ก่อนจะนอนก็ต้องมานอนคุยกัน ตอนแรกนะเว้ย กูนึกว่ามึงกับไอ้สนเป็นคู่เกย์กันเสียอีก” ปั้นจั่นพูดพลางหัวเราะ แต่ต้นกลับหน้าซีดด้วยความตกใจ

“จะบ้าหรือไง สนเป็นเพื่อนกู เราก็ช่วยเหลือกันเป็นธรรมดา สนก็ช่วยเราตั้งหลายอย่าง นายไม่เห็นเหรอ” ต้นแก้ต่างให้เพื่อน พยายามทำสีหน้าและน้ำเสียงให้เป็นปกติมากที่สุด

“เฮ้ยไอ้ต้น กูว่ากูดูไม่ผิดนะเว้ย มึงกับไอ้สนเนี่ยดูสนิทกันเกินเพื่อนธรรมดายังไงไม่รู้ กูว่าไม่ใครก็ใครแหละที่เป็นเกย์ในระหว่างพวกมึงสองคน พวกกูสังเกตดูมานานละ” ปั้นจั่นบอก ยิ่งทำให้ต้นมีสีหน้ามีพิรุธมากขึ้น

“มึงเป็นเกย์หรือเปล่าวะไอ้ต้น” ปั้นจั่นถามรุกอีก พุ่งเป้ามาที่ต้นโดยเฉพาะเพราะทั้งสองคนรู้สึกได้ถึงความไม่ค่อยเหมือน ผู้ชายของต้น ต้นถึงกับสะดุ้งกับคำถามนั้น

“เฮ้ยไอ้นี่ มึงคิดอะไรของมึงเนี่ย เกย์เกออะไรกันวะ กูไม่ได้เป็นซะหน่อย” ต้นแย้งด้วยเสียงสั่นนิดๆ เขาเริ่มกังวลแล้วว่าสิ่งที่เขาปิดบังมากว่า 10 ปีจะไม่เป็นความลับอีกต่อไป

“เฮ้ย เป็นก็บอกมาเถอะ อายอะไร พวกกูรับได้ สมัยนี้สังคมเขาก็เปิดรับคนที่เป็นเกย์เป็นกะเทยกันออกเยอะแยะ ไม่เห็นจะเป็นไรเลย เรื่องธรรมดา” ปั้นจั่นบอก ต้นได้แต่เงียบเพราะไม่รู้ว่าจะแก้ตัวอย่างไร

“เงียบ...แสดงว่าไม่ปฏิเสธ” ปั้นจั่นทำน้ำเสียงเหมือนคนที่เหนือชั้นกว่า สามารถต้อนคู่ต่อสู้ให้จนมุมได้

“แล้วมึงก็รักไอ้สนด้วยใช่หรือเปล่าล่ะ ไม่รู้สิ...แต่พวกกูรู้สึกอย่างนั้น” นิกได้โอกาสถามบ้าง

ต้นนิ่งอึ้งไปแล้วน้ำตาก็เริ่มไหลริน หมดกันกับสิ่งที่เขาอุตส่าห์ปิดบังมาเนิ่นนาน เขาไม่อยากให้ใครรู้เลยโดยเฉพาะสน ถ้าสนรู้ว่าเขาเป็นเกย์ที่แอบหลงรักเพื่อน สนคงรับไม่ได้อย่างแน่นอน สิ่งเลวร้ายที่เกิดขึ้นกับสนตอนเด็กๆ นั้นสนคงไม่มีวันลืม และคงไม่มีวันที่จะรับได้ที่จะมีเพื่อนเป็นเกย์อย่างเขา

“พวกมึงอย่าบอกสนนะ สนรู้เรื่องนี้ไม่ได้เป็นอันขาด ถ้าเกิดสนรู้เรื่องนี้ แม้แต่จะเป็นเพื่อนกับสน กูก็คงเป็นไม่ได้” ต้นขอร้องเพื่อน

“เฮ้ยอะไรจะขนาดนั้น” ปั้นจั่นทำเสียงไม่เชื่อ

“สนเกลียดกะเทยมาก สมัยเรียนที่โรงเรียนเก่า ทุกคนจะรู้ดีว่าสนไม่ชอบกระเทยอย่างมาก” ต้นอธิบาย แต่ก็ไม่ได้เล่าสาเหตุที่แท้จริงว่าเหตุใดสนจึงไม่ชอบกะเทย เรื่องนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่ต้นคงไม่สามารถเล่าให้ใครฟังได้ง่ายๆ

“แต่มึงไม่ได้เป็นกะเทยนี่หว่า มึงแค่เป็นเกย์นะเว้ย” นิกแย้ง เขาพอรู้ความแตกต่างของเกย์และกะเทยมาบ้าง

“ก็นั่นแหละ ไม่ว่าจะเป็นอะไรแบบนี้ สนก็ไม่ชอบทั้งนั้น พวกมึงต้องสัญญานะว่าจะไม่บอกสน ไม่บอกใครอีก” ต้นขอร้องอีกครั้ง

นิกกับปั้นจั่นมองต้นด้วยความรู้สึกเห็นใจ “เออ... ไม่บอกหรอก แต่ถ้ามีอะไรจะให้ช่วยก็บอกได้นะเว้ย มึงเป็นคนดีมาก พวกกูนับถือมึงจริงๆ ว่ะต้น ผู้ชายแท้ๆ มันยังทำตัวเป็นลูกผู้ชายได้ไม่ถึงครึ่งของมึงเลย ไม่ต้องร้องให้ พวกกูไม่บอกใครหรอก สัญญา” ปั่นจั่นรับคำ ทำให้ต้นรู้สึกสบายใจขึ้นบ้าง

จะว่าไปแล้ว การที่มีคนเข้าใจว่าแท้จริงแล้วเขาเป็นอะไรมันก็ช่วยทำให้ต้นสบายใจได้มากขึ้น ดีกว่าที่ต้องคอยเก็บไว้กับตัวเองซึ่งทำให้ชีวิตของต้นเครียดไม่น้อยเหมือนกัน

------------------------------------------------------------------------------------------------

หลายวันมานี้ ต้นกลับบ้านดึกทุกคืนจนสนเริ่มสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น พอโทรไปถาม ต้นก็จะตอบว่าไปทำงานที่บ้านเพื่อน แรกๆ สนก็ไม่ได้สงสัยอะไร แต่พอเป็นเหมือนกันทุกคืนๆ สนก็เริ่มรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างที่ผิดปกติไป บางคืนที่เขามายืนรอ ต้นก็จะกลับมาอย่างเหน็ดเหนื่อยและขอตัวไปอาบน้ำนอน แทบไม่ได้คุยอะไรกันเลย

“พวกมึงรู้ไหมว่าต้นมันไปไหนของมัน กลับดึกทุกวันเลย” สนเดินลงมาถามนิกกับปั้นจั่นที่กำลังนั่งดูทีวีด้วยกัน สีหน้าเขาดูเคร่งเครียดและกังวงอย่างเห็นได้ชัด

“มันคงหนีไปเที่ยวผับล่ะมั้ง” นิกพูดแหย่เล่น

“ไอ้นี่มึง...ต้นไม่ใช่คนอย่างนั้นเว้ย กูรู้จักเพื่อนกูดี” สนว่าและมองหน้าเพื่อนอย่างเอาเรื่อง

“เออ...ถ้ามึงรู้จักเพื่อนมึงดีแล้วทำไมมึงถึงไม่รู้ล่ะว่าไอ้ต้นไปไหน” ปั้นจั่นย้อนถาม

สนอึ้งเล็กน้อย “ก็กูถามต้นแล้ว ต้นบอกว่าไปทำงานที่บ้านเพื่อน”

“แล้วมึงเชื่อหรือเปล่าล่ะ” ปั้นจั่นย้อนถามอีก สนอึกอัก จะตอบว่าไม่เชื่อที่ต้นพูดก็จะดูกระไรอยู่ แต่ก็มีอะไรหลายอย่างที่ทำให้เขาไม่เชื่อเหมือนกัน เขาไม่คิดว่าต้นจะต้องทำงานกลุ่มติดต่อกันหลายคืนขนาดนั้น แต่ต้นไปไหนล่ะ ปั้นจั่นเห็นสนอึกอักก็เลยช่วยชี้ทางให้ว่า

“ไม่เชื่อล่ะสิ ถ้ามึงอยากรู้ ทำไมไม่ลองตามต้นไปดูล่ะ จะได้รู้ว่ามันหายไปไหน แล้วมึงอาจจะตกใจก็ได้”

“หมายความว่าไง” สนถามด้วยความแปลกใจปนสงสัย

“ไม่รู้เว้ย อยากรู้ก็ต้องพิสูจน์เอง” ปั้นจั่นบอกแค่นั้นแล้วก็หันมาสนใจทีวีต่อ

--------------------------------------------------------

วันต่อมา พอเลิกเรียนแล้วสนก็ออกมาคอยดักดูต้นที่คณะ เลิกเรียนแล้วต้นก็ลงมาทันทีเช่นกัน แต่ดูรีบๆ ชอบกล ต้นเดินแกมวิ่งไปหน้ามหาวิทยาลัยแล้วเรียกมอเตอร์ไซค์รับจ้างแถวนั้นเหมือนจะต้องรีบไปไหนสักแห่ง พอเพื่อนออกไปสนก็เรียกมอเตอร์ไซค์แล้วบอกให้ขับตามรถมอเตอร์ไซค์ที่ต้นนั่งไปด้วยทันที

ต้นมาที่ห้างแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ไกลจากมหาวิทยาลัยมากนัก พอถึงต้นก็รีบเดินแกมวิ่งเข้าไปในห้าง สนวิ่งตามเข้าไป ตอนแรกเขาสงสัยว่าต้นคงจะพาแฟนมาเที่ยวห้าง แต่ก็ไม่น่าจะเป็นความลับอะไรขนาดนั้นนี่นา แต่พอสนวิ่งตามมาเรื่อยๆ ก็เห็นต้นหายเข้าไปในร้านสุกี้ยากี้ชื่อดังของห้างนั้น ไม่นานเท่าไรนัก ต้นก็โผล่มาอีกครั้งในชุดของเด็กเสิร์ฟอาหาร ต้นเดินไปรับออเดอร์ตามโต๊ะบ้าง ยกอาหารมาเสิร์ฟบ้าง คอยเสิร์ฟน้ำและเก็บจานชามของโต๊ะที่กินอาหารเสร็จแล้วบ้าง ดูต้นทำได้อย่างคล่องแคล่วทีเดียวเหมือนกับทำมาหลายวันแล้ว ต้นมาเสิร์ฟอาหารทำไม สนได้แต่สงสัย มิน่าล่ะต้นถึงได้กลับบ้านดึกๆ ดื่นๆ ทุกวันเลย

สนกลับมาที่บ้านพักด้วยความสงสัยอย่างเต็มเปี่ยม เขากะว่าคืนนี้จะรอดักถามต้นให้กระจ่างแจ้งให้ได้ว่าทำไมต้นต้องไปเสิร์ฟอาหาร ต้นขัดสนเงินหรืออย่างไรกัน

“พวกมึงรู้ใช่ไหมว่าต้นไปเสิร์ฟอาหาร” สนถาม

นิกกับปั้นจั่นละจากทีวีแล้วหันมามองด้วยความแปลกใจ

“รู้ตั้งนานแล้ว” ปั้นจั่นตอบห้วนๆ สนยิ่งสงสัยมากขึ้นว่าทำไมสองคนนี้รู้แต่เขาไม่รู้อะไรเลยจนกระทั่งวันนี้

“ทำไมต้นต้องไปเสิร์ฟอาหาร พวกมึงรู้ไหม” สนถามอีก

“มึงนี่ช่างไม่รู้อะไรเลยนะไอ้สน เป็นเพื่อนกับไอ้ต้นมันยังไงวะเนี่ย” ปั้นจั่นต่อว่าเพราะเริ่มหมั่นไส้

“พวกมึงนี่อะไรกันวะ เหน็บกูอยู่ได้ ถ้าต้นไม่ยอมบอกแล้วกูจะรู้ได้ยังไงวะ” สนชักเริ่มไม่พอใจที่เพื่อนสองคนนี้เหน็บแนมเขาอย่างไม่มีเหตุผล

“ถ้ามึงไม่รู้ กูจะบอกให้เอาบุญก็ได้ว่า ไอ้ต้นมันไปทำงานเสิร์ฟอาหารเพราะว่ามันต้องหาเงินให้พ่อมันสองหมื่น เพราะว่าเงินที่มันเก็บไว้ในธนาคารเหลืออยู่ไม่กี่พัน” ปั้นจั่นบอกด้วยเสียงกระแทกกระทั้น

เมื่อสนเริ่มปะติดปะต่อเรื่องได้ เขาก็ต้องอึ้งพร้อมกับรู้สึกสะท้อนใจ น้ำตาเขาจะไหลออกมาให้ได้ ทำไมต้นไม่บอกเขาสักคำ ทำไมจะต้องยอมลำบากลำบนเพื่อเขาขนาดนั้น???

ออฟไลน์ Kfc_Pizza

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2195
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +65/-1

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด