▓ ▒ ░ ∞ ต้น-สน ∞ มิตรภาพของเพื่อนที่แสนรัก ❉ V2 ❉ ROMANTIC DRAMA ░ ▒ ▓
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ▓ ▒ ░ ∞ ต้น-สน ∞ มิตรภาพของเพื่อนที่แสนรัก ❉ V2 ❉ ROMANTIC DRAMA ░ ▒ ▓  (อ่าน 134065 ครั้ง)

ออฟไลน์ SungMinKRu

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 570
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +151/-0
    • https://www.facebook.com/pages/SungMinKRu-Boys-Love/311662138876399


 :mc4: :mc4: :mc4:

ต้นใจดีมากอะ น่าสงสารด้วย เป็นคนดีที่สุดเลย  :กอด1:



อยากอ่านต่อตอนที่สนรู้ความจริงแล้วจัง ว่าจะออกมาแบบไหน อยากซดมาม่า เอาให้เจ็บระงมไปทั้งหัวใจ  :eiei1:

อยากได้มาม่า อยากให้สนรู้ว่าต้นมีความสำคัญมากขนาดไหน แต่ก็รู้เมื่อทุกอย่างจะสายไป เหอๆ : เพ้อ 555


คนเขียนมาต่อด่วนเลยนะ  :เศร้า2:

อยากอ่านทุกวันเลย

เป็นกำลังใจให้นะค่ะ

 :laugh5: :laugh5: :laugh5:

อยากกินมาม่าเรื่องนี้

 :m23: :m23:

ออฟไลน์ owo llยมuมข้u

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 459
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-4

ออฟไลน์ PetitDragon

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4126
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +343/-5
มาตามอ่านด้วยคนครับ

 :z13:

ออฟไลน์ z-Time

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 295
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
2 คู่หู รู้ความลับต้นแระ  ต้นจะได้ไม่ต้องเครียดอีก

สนนี่เป็นเพื่อนสนิทได้งัยเนี่ย  สู้นิกกับปั้นจั่นไม่ได้เลย รู้หมด  :z2:

ออฟไลน์ sarawatta

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 714
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +300/-10
ตอนที่ 13: เพื่อนผู้เสียสละ (อีกแล้ว)



สนกินข้าวได้สองสามคำก็อิ่ม จะว่าไปแล้วเขาก็ไม่รู้สึกอยากกินด้วยซ้ำ พอเริ่มกินต่อไม่ไหวจึงขอตัวขึ้นมาอาบน้ำ แต่ก่อนจะขึ้นไปเขาก็ไม่ลืมที่จะหันไปบอกนิกกับปั้นจั่นว่า

"อย่าเอาของต้นมากินนะเว้ย" สนหมายถึงอาหารอีกชุดหนึ่งที่เขาซื้อมาไว้เผื่อต้น

"เออ" นิกตอบสั้นๆ สองหนุ่มมองสนที่มีท่าทางซึมๆ ด้วยความรู้สึกเห็นใจ จะว่างไปแล้วสนเองก็รักและเป็นห่วงต้นไม่น้อยเลย แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังสรุปไม่ได้หรอกว่าสนจะคิดแบบเดียวกับต้นหรือเปล่า สนอาจแค่เป็นห่วงเพื่อนแต่คงไม่ได้คิดไปไกลถึงขนาดนั้นก็ได้

อาบน้ำเสร็จสนก็ลงมานั่งดูทีวีข้างล่างกับนิกและปั้นจั่น แต่ก็ดูไม่รู้เรื่อง เขาคอยหันไปมองประตูบ่อยๆ และนึกเป็นห่วงว่าป่านนี้ต้นจะได้กินข้าวหรือยัง ต้นคงจะเหนื่อยมาก ไหนจะเรียนแล้วยังต้องมาทำงานอีก มันไม่ใช่ความผิดของต้นเลย คนที่ควรจะรับผิดชอบคือเขาต่างหาก ต้นห่วงความรู้สึกของเขามากจนเกินไป เขาพอจะรู้ว่าที่ต้นไม่บอกเขาเพราะไม่อยากให้เขาคิดมาก แต่ต้นจะมาเหนื่อยเพื่อเขาแบบนี้ไม่ได้

นิกกับปั้นจั่นขึ้นไปนอนแล้ว สนปิดทีวีแล้วก็เดินขึ้นมายืนรออยู่หน้าห้องของต้น เกือบๆ จะห้าทุ่มต้นก็ไขกุญแจเข้ามาในบ้าน ต้นไม่ได้เปิดไฟเพราะที่หน้าบ้านมีไฟเปิดอยู่จึงพอมีแสงสว่างบ้าง เขาเดินขึ้นบันไดมา พอเห็นสนรออยู่ ต้นก็หยุดเล็กน้อยแล้วก็ค่อยเดินช้าๆ ตรงมาที่สน สีหน้าของต้นดูประหม่าเหมือนเด็กที่ทำผิดแล้วกลัวจะถูกจับได้

“ไปไหนมาต้น” สนถามด้วยน้ำเสียงเรียบๆ เห็นท่าทางของเพื่อนที่ดูเหน็ดเหนื่อยแล้วเขาก็แทบจะน้ำตาไหล

“ไปทำงานบ้านเพื่อนมา นายยังไม่นอนอีกเหรอ” ต้นพูดด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูอิดโรย แต่ก็ยังมีกะจิตกะใจห่วงเพื่อน

“เหนื่อยไหม”

ต้นพยายามยิ้มแล้วตอบว่า "นิดหน่อย ไม่เป็นไรหรอก" แต่ในใจต้นก็สงสัยว่าสนกำลังสงสัยอะไรเขาหรือเปล่า

"กินข้าวหรือยัง" ในที่สุดความซาบซึ้งในความดีของเพื่อนก็ไม่อาจห้ามน้ำตาของสนที่ค่อยๆ ไหลลงมาอย่างช้าๆ โดยไม่รู้ตัว

"ยังไม่ได้กิน แต่ไม่เป็นไรหรอก เราไม่หิว มีอะไรหรือเปล่าสน" ต้นถามด้วยสีหน้าตกใจและเป็นห่วง

สนเดินมาจับไหล่เขาไว้ทั้งสองข้าง จ้องหน้าแต่ต้นพยายามหลบสายตา

“ทำไม...นายจะต้องเหนื่อยเพื่อเราขนาดนี้ล่ะต้น” แล้วสนก็ดึงเพื่อนมากอดไว้ เห็นต้นเหนื่อยแล้วเขาก็สงสาร เขารู้ว่าต้นห่วงความรู้สึกของเขามาก ไม่อยากให้เขาต้องกระทบกระเทือนใจกับเรื่องนี้

“เพื่อนรัก...นายห่วงความรู้สึกเรามากเกินไปรู้หรือเปล่า ที่จริงนายควรจะบอกเราเรื่องนี้เพราะมันเป็นความรับผิดชอบของเรา”

ต้นได้แต่นิ่งเงียบ

“ให้เรารับผิดชอบเรื่องนี้เองนะต้น ที่ผ่านมาเราไม่เคยขัดใจอะไรนาย แต่คราวนี้เราขอละกัน ขอให้นายเลิกทำงานตอนกลางคืนเพื่อเรา นายเหนื่อยกับเรามามาก อย่าทำให้เรารู้สึกละอายใจไปมากกวานี้เลย ได้ไหมต้น”

“เราช่วยกันได้ไหมสน” ต้นพยายามต่อรอง

สนปล่อยต้นออกจากอ้อมแขนแต่ก็ยังจับไหล่ต้นไว้อยู่ “นายอย่าดื้อสิต้น เราคือคนที่รับเงินของนายมา เพราะฉะนั้นมันก็เป็นหน้าที่ของเราที่จะหาคืนให้นาย”

“ก็ใช่...แต่ว่า...เราอยากช่วยนาย ถ้าจะเหนื่อยก็ต้องเหนื่อยด้วยกัน เราเองก็มีส่วนต้องรับผิดชอบกับเรื่องนี้ อ้อ...นายไม่ต้องห่วงเรื่องนี้นะ พ่อกับแม่เราเข้าใจ เขาไม่ได้ว่าอะไร” ต้นยืนยันความตั้งใจเช่นเดิม

สนพยักหน้ารับรู้ “นายจะเหนื่อยเพื่อเราขนาดนี้ทำไมล่ะต้น”

ต้นอึ้งไปเล็กน้อย เขามองหน้าสนแล้วถามกลับว่า “นายก็รู้อยู่แล้วว่าทำไม”

สนเงียบไปทันที เขาปล่อยมือลงแล้วก็กะพริบตาถี่ๆ เมื่อน้ำตานั้นพร้อมที่จะไหลออกมาอีกแล้ว ที่ผ่านมาเขาก็รู้ว่าต้นรักและเป็นห่วงเขามากแค่ไหน มันเป็นคำถามที่เขาไม่น่าจะถามเลยด้วยซ้ำ

“เราเป็นเพื่อนกันนะสน ตั้งแต่ที่คบกันมา เราก็ช่วยเหลือกันมาตลอด นายช่วยเรา เราช่วยนาย หลายครั้งเราก็ช่วยกัน เป็นเพื่อนกันก็ต้องช่วยกัน เหนื่อยด้วยกัน สุขทุกข์ด้วยกัน เรื่องนี้...เราช่วยกันดีกว่านะสน แค่สองเดือนคงไม่ลำบากเท่าไรหรอก ตอนนี้นายเห็นเราลำบากนายยังทนไม่ได้ เราก็ทนเห็นนายลำบากคนเดียวไม่ได้เหมือนกัน”

แล้วสนก็ต้องยอมแพ้อีกแล้ว ยอมแพ้กับความดีและความมีน้ำใจของเพื่อนคนนี้ เขารู้ว่ายังไงต้นก็คงไม่ยอมให้เขาเหนื่อยคนเดียว นายดีกับเราเหลือเกิน เพื่อนเอ๋ย เราไม่รู้จะบอกนายอย่างไรว่าเราโชคดีเหลือเกินที่ได้เกิดมาเป็นเพื่อนกับนาย สนค่อยๆ เอื้อมมือไปจับที่ต้นแขนขวาของต้น เขาเลิกแขนเสื้อของเพื่อนขึ้นก็เห็นรอยแผลเป็นนั้น รอยแผลนี้คือสิ่งที่ย้ำเตือนความเป็นเพื่อนที่ตายแทนกันได้ระหว่างเขากับต้น ได้เป็นอย่างดี

“รู้ไว้นะต้น...นายเป็นอีกหนึ่งคนที่เรารักมากที่สุด ชีวิตของเราก็ให้นายได้ ขอบใจมาก...สำหรับทุกสิ่งทุกอย่างตลอดเวลาที่เราเป็นเพื่อนกัน” พูดจบสนก็อดที่จะกอดเพื่อนไว้อีกไม่ได้ เขารู้สึกดีทุกครั้งที่ได้กอดเพื่อนคนนี้ มันเหมือนกับการถ่ายทอดความรัก ความห่วงใยและความอบอุ่นให้กันและกันได้อย่างดีที่สุดโดยที่ไม่ต้องพูดอะไรมากมาย

ต้นกอดเพื่อนตอบ เขารับรู้ได้ถึงความรัก ความห่วงใยที่สนได้ถ่ายทอดผ่านมาให้ ไม่ว่าต้นจะพยายามสร้างกำแพงและคอยเตือนตัวเองเรื่องนี้มากเพียงใด หัวใจของต้นก็อยู่เหนือการควบคุมของต้นไปเสียแล้ว

สนปล่อยแขนออกเมื่อนึกได้ว่าต้นยังไม่ได้กินอะไรมาเลย "กินข้าวเถอะต้น นายคงหิวแย่เลย ทีหลังอย่าทำแบบนี้อีกนะ มันไม่ดีต่อสุขภาพ เดี๋ยวจะเป็นโรคกระเพาะ”

ต้นยิ้มน้อยๆ แล้วพยักหน้า

--------------------------------------------------------

สนพาต้นลงมานั่งที่โต๊ะกินข้าว เขาเดินเปิดไฟแล้วก็เดินไปเข้าไปในครัว จัดแจงเทอาหารใส่จานและตักข้าว

"ให้เราช่วยไหมสน" ต้นร้องถาม

"ไม่เป็นไร นายมาเหนื่อยๆ นั่งพักให้สบายเถอะ เดี๋ยวเราจัดการให้" สนร้องตอบ เมื่อจัดแจงอาหารเสร็จแล้วเขาก็ยกใส่ถาดออกมา ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเป็นของที่ต้นชอบทั้งนั้น

"มาแล้ว" สนพูดพลางวางจานอาหารลงตรงหน้าต้น "เดี๋ยวเอาน้ำมาให้" ว่าแล้วสนก็เดินไปเปิดตู้เย็น หยิบขวดน้ำออกมา แล้วก็เดินไปหยิบแก้วน้ำในครัวมาด้วย แล้วก็เอามาวางให้ต้นพร้อมกับรินน้ำใส่แก้วให้

"บริการดีจัง" ต้นแซวพลางยิ้ม

"มีเพื่อนดีๆ แบบนี้ก็ต้องดูแลเป็นพิเศษอยู่แล้ว" สนตอบและยิ้มเช่นกัน

เสร็จแล้วสนก็เดินมานั่งฝั่งตรงข้ามกับต้น มองเพื่อนกินข้าวด้วยความห่วงใย แม้ว่าเขาจะหิวอยู่บ้างเพราะกินข้าวไปนิดเดียวเมื่อตอนเย็น แต่ก็ไม่อยากแย่งเพื่อนกิน ต้นเหนื่อยแล้วควรจะได้กินมากกว่าเขา แค่ได้ดูแลเพื่อนคนนี้ ได้ทำอะไรให้มากบ้างน้อยบ้าง สนก็มีความสุข

“ต้น...นายรู้ไหม ตั้งแต่คบกันมา นายมีนิสัยไม่ดีอยู่อย่างหนึ่ง” สนเอ่ยขึ้นเมื่อต้นกินข้าวไปได้สักพัก

ต้นเงยหน้าขึ้นมามองด้วยความสงสัย “อะไรเหรอ”

สนหัวเราะเบาๆ ก่อนตอบว่า “นายชอบทำให้เราเป็นคนขี้แยน่ะสิ”

ต้นยิ้มและขำเบาๆ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร

ส่วนสนเองก็ยังนั่งมองต้นกินข้าวด้วยรอยยิ้มบางๆ จนคนถูกมองรู้สึกเขิน พอต้นกินข้าวเสร็จสนก็รีบบอกว่า "เดี๋ยวเราล้างให้ นายขึ้นไปอาบน้ำเถอะ อย่าเพิ่งล็อกห้องนะ เดี๋ยวเราไปหา"

"ไม่เป็นไร เดี๋ยวเราล้างเอง" ต้นบอกอย่างเกรงใจ

"เดี๋ยวเราจัดการให้ต้น นายเหนื่อยแล้ว พักผ่อนเถอะ" สนพูดพลางลุกเดินไปเก็บจานชามใส่ถาด พอเห็นต้นยังคงนั่งอยู่และมองเขาด้วยสีหน้าเกรงใจ สนก็เลยทำเสียงดุว่า "ไปสิ อย่าดื้อ"

"ครับ" ต้นทำเสียงล้อเลียนแล้วก็ลุกขึ้น หันมายิ้มแล้วก็เดินขึ้นไปบนห้อง สนมองตามแล้วก็ยิ้มอย่างชอบใจ

พอจัดการล้างและเก็บกวาดเสร็จแล้วสนก็ปิดไฟข้างล่างและตามต้นขึ้นไปบนห้อง ต้นไม่ได้ล็อกห้องตามที่เขาบอก เขาเปิดประตูเข้าไปในห้องแล้วก็นอนเล่นบนเตียงรอขณะที่ต้นกำลังอาบน้ำ

พอต้นอาบน้ำเสร็จก็ออกมาจากห้องน้ำพร้อมกับนุ่งผ้าเช็ดตัว สนลุกขึ้นนั่ง เขามองต้นที่กำลังใส่เสื้อผ้าอยู่ด้วยสีหน้ายิ้มๆ จนคนถูกมองเขินอาย

"มองอะไร" ต้นร้องถาม

"เปล่า...อายเหรอ อายทำไมล่ะ เห็นแล้วก็เอาไปไม่ได้หรอก" สนตอบอย่างอารมณ์ดี

ต้นก็เลยหันกลับมาสนใจกับการใส่เสื้อผ้าต่อ พอใส่เสร็จแล้วต้นก็มานั่งที่หน้าโต๊ะแต่งตัว เขาหยิบไดร์เป่าผมมาเป่าผมให้แห้ง สนลุกขึ้นจากเตียงแล้วก็มายืนดูใกล้ๆ

"ช่วยไหม"

ต้นหันมามองแล้วเลิกคิ้ว สนไม่รอให้ต้นตอบ เขาฉวยไดร์เป่าผมจากมือเพื่อนมาแล้วก็ช่วยเป่าผมให้ต้น ตอนแรกก็เป่าให้ดีๆ แต่ตอนหลังก็แกล้งทำให้ต้นผมยุ่งจนคนถูกแกล้งร้องห้าม

"เป่าดีๆ สิ"

"ขอโทษครับๆ" สนบอกพลางขำ แต่ก็ยอมเป่าดีๆ แต่โดยดี เขาก็แค่แกล้งเล่นสนุกๆ ไปอย่างนั้นแหละ

"เสร็จแล้ว" สนบอกพลางเดินเอาไดร์เป่าผมไปเก็บเข้าที่วางของมัน ในระหว่างนั้นต้นก็หวีผมไปด้วย

"ดึกแล้ว นอนได้แล้ว พรุ่งนี้...อย่าลืมพาเราไปสมัครงานนะ" สนพูดพลางเดินมายืนอยู่ข้างหลังต้นและจับไหล่ต้นไว้ทั้งสองข้าง ต่างคนต่างสบตากันผ่านกระจกตรงหน้า

"ครับ...คุณเพื่อน" ต้นทำเสียงล้อ

"งั้นเราไปนอนแล้วนะ" แต่ดูเหมือนสนยังเสียดายอะไรบางอย่างอยู่ "จริงๆ ก็อยากจะคุยกับนายเหมือนกัน ไม่ค่อยได้คุยกันหลายวัน แต่กลัวนายจะเหนื่อย"

"นอนนี่ก็ได้" ต้นเสนอ

สนจึงรู้ทันว่าต้นก็อยากคุยกับเขาเหมือนกันนั่นแหละ เขายิ้มชอบใจแล้วก็บอกว่า "งั้นไม่เกรงใจแล้วนะ"

ต้นลุกขึ้นยืน หันหน้ามามองสนแล้วก็ยิ้ม "ไม่ต้องเกรงใจหรอก เราก็อยากคุยกับนายเหมือนกัน"

------------------------------------------------------------------------------------------------

วันต่อมา ต้นพาสนไปสมัครงานที่ร้านอาหารที่เขาทำอยู่ ทางร้านก็ยินดีเนื่องจากมีนโยบายที่จะช่วยนักศึกษาที่ต้องการหารายได้พิเศษอยู่แล้ว ประกอบกับเป็นช่วงที่ต้องการคนมาช่วยเสิร์ฟเพิ่มเติมพอดี สองหนุ่มต่างช่วยกันทำงานอย่างแข็งขัน พอมีคนมาช่วยทำแล้ว ดูเหมือนว่างานจะเหนื่อยน้อยลงและมีกำลังใจทำมากขึ้น ลูกค้าในตอนเย็นๆ เยอะมากเพราะเป็นเวลาที่คนเลิกงานและมักจะมาเที่ยวห้าง ทั้งมาซื้อของและมากิน ต้นกับสนรวมทั้งพนักงานหรือนักศึกษาที่มาหารายได้พิเศษต่างก็ต้องทำงานกันอย่างหนัก งานนี้ต้นกับสนจะได้เงินเดือนละประมาณห้าพันบาทเศษๆ เนื่องจากไม่สามารถทำเต็มเวลาได้ เมื่อรวมสองคนแล้วก็จะได้หนึ่งหมื่นบาทหน่อยๆ ต่อเดือน ถ้าทำสองเดือนก็จะสามารถหาเงินไปให้พ่อของต้นได้พอดี

“เหงื่อเต็มหน้าเลยนะต้น” สนทักเมื่อต้นเดินเข้ามาบริเวณหลังร้าน ต้นยิ้มให้เพื่อน แต่ก่อนที่เขาจะไปทำอะไรต่อนั้น สนก็เดินมาหา เขาหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาด้วย

“อยู่เฉยๆ นะ” สนบอกแล้วก็ใช้ผ้าเช็ดหน้าซับหน้าให้เพื่อน ต้นถึงกับทำตัวไม่ถูก พยายามเก็บอาการเขินไว้อย่างสุดความสามารถ แต่ก็หน้าแดงพอสมควร ดีนะที่ไม่มีใครมาเห็นเข้า

“เดี๋ยวไม่หล่อ” สนบอกพลางหัวเราะเบาๆ นี่คือสิ่งที่เขาพอจะตอบแทนเพื่อนได้บ้าง แม้จะเล็กๆ น้อยๆ แต่ก็มาจากใจและมีคุณค่าต่อจิตใจเช่นเดียวกัน

กว่าจะเลิกงานก็เลยสี่ทุ่มไปแล้ว บางวันที่นิกกับปั้นจั่นอยู่ดึกๆ ก็จะเห็นสองหนุ่มเดินกอดคอกันกลับเข้ามาในบ้านเสมอ แม้ว่าจะเหนื่อยแค่ไหนแต่ก็มีความสุข

------------------------------------------------------------------------------------------------

ผ่านไปสองเดือน ต้นกับสนก็ได้เงินมาสองหมื่นบาทนิดๆ วันหยุดวันหนึ่งทั้งสองคนก็กลับบ้านที่นครปฐมเพื่อนำเงินไปให้พ่อของต้น แต่พ่อกับแม่ของต้นไม่รับและยังบอกอีกว่า

“เก็บไว้ใช้เถอะลูก แม่เขาหาเงินได้แล้วล่ะ เก็บเอาไว้เรียนหนังสือนะ” พ่อของต้นบอก

ต้นกับสนมองหน้ากันอย่างงงๆ

“พ่อกับแม่ภูมิใจนะที่ต้นกับสนมีความรับผิดชอบและรักษาคำพูด แสดงว่าเราเริ่มโตเป็นผู้ใหญ่กันแล้ว แค่นี้พ่อกับแม่ก็ดีใจแล้วล่ะ เก็บเงินก้อนนี้ไว้ใช้เรียนหนังสือเถอะลูก” แม่ต้นบอกพลางยิ้มด้วยสีหน้าเอ็นดู

ต้นกับสนยกมือไหว้ขอบคุณด้วยความซาบซึ้งใจ หลังจากนั้นสนก็พาต้นไปหาพ่อกับแม่เขาบ้าง ดูพ่อกับแม่ก็ดีใจมากที่สนกลับมาเยี่ยมบ้าน สนเองก็คิดถึงพ่อกับแม่มากเพราะเป็นห่วงว่าท่านทั้งสองจะทำงานหนัก ปกติถ้าสนอยู่บ้านสนจะช่วยพ่อแม่ทำงานบ้านแทบทุกอย่าง เขาไม่อยู่แล้วพ่อกับแม่ก็คงเหนื่อยเหมือนกัน

"พ่อกับแม่มีอะไรให้ผมช่วยไหมครับวันนี้" สนถามพลางมองไปรอบๆ ตัวเผื่อว่าจะพอมีอะไรที่เขาช่วยได้บ้าง

"ไม่เป็นไรหรอกลูก พ่อกับแม่ทำหมดแล้วล่ะ เหลือแต่รีดเสื้อผ้า สนจะช่วยแม่ไหมล่ะ" แม่ของสนถามพลางขำ

สนกับต้นหันมามองหน้ากันแล้วก็ขำ "โธ่แม่...แม่ยังไม่เข็ดอีกเหรอครับ ผมรีดทีไรมันก็ไหม้ทุกที"

"อ้าว...แล้วอยู่นั่นใครรีดเสื้อผ้าให้สนล่ะ อย่าบอกนะว่าไม่ได้รีด" พ่อของสนถามบ้าง

"จะมีใครซะอีกล่ะพ่อ ต้นก็คงช่วยอีกตามเคย" แม่ของสนรู้ทัน แล้วก็หันไปทำตาเขียวใส่ลูกชายเล็กน้อย "สนนี่น่าตีจริงๆ อย่างนี้ต้นก็เหนื่อยแย่สิลูก"

"ไม่เป็นไรหรอกครับแม่ ผมช่วยรีดเสื้อผ้าให้ แต่ผมก็ให้สนช่วยปัดกวาดเช็ดถูห้องให้ครับ" ต้นบอก ทุกคนที่นั่งอยู่ต่างก็หัวเราะชอบใจ

"ดีแล้วๆ ต้นใช้เขาได้เลย อยากให้ทำอะไร พ่อกับแม่ยอมให้สนทำให้ทุกอย่าง อย่าให้สนมันเอาเปรียบต้นละกัน ถ้าสนดื้อก็มาบอกพ่อกับแม่ เดี๋ยวจัดการให้" แม่สนกำชับ

"โห...เรื่องแค่นี้สบายมากครับ จะให้ผมช่วยต้นทำอะไรก็ได้ทั้งนั้นแหละครับแม่ แต่ยกเว้นรีดเสื้อผ้านี่แหละ" สนพูดพลางคอยหันไปสบตากับต้นเป็นระยะๆ

"อ้อ...วันนี้แม่ทำแกงผักกาดจอให้ต้นหรือเปล่าครับ วันนี้ต้นล้างท้องมาแล้วนะครับ" สนไม่ลืมที่จะทวงอาหารโปรดให้เพื่อน

"แม่เตรียมไว้แล้วจ้ะ เดี๋ยวสนไปชวนพ่อกับแม่ต้นมากินด้วยกันนะลูก วันนี้พ่อกับแม่ทำกับข้าวเผื่อไว้แล้ว" แม่ตอบพลางหันไปมองต้นที่ยิ้มระรื่นเมื่อรู้ว่าจะได้กินของโปรดอีกแล้ว

ตกเย็นหลังกินข้าว ต้นกับสนก็เดินทางกลับกรุงเทพ ต้นแบ่งเงินให้สนครึ่งหนึ่งแล้วก็รีบพูดดักไว้ก่อนว่า “นายยังไม่ต้องคืนเงินเราตอนนี้หรอกนะสน เรายังไม่เดือดร้อนอะไร นายเก็บไว้ใช้ดีกว่า นายจะได้ไม่ต้องรบกวนพ่อกับแม่นายด้วยไง”

สนนึกขำในใจ ต้นรู้จักเขาดีเสียจริงๆ เขายังไม่ได้พูดอะไรเลยแต่ต้นก็ดักไว้เสียก่อนเหมือนรู้ทัน และสนก็พอรู้ว่าเขาไม่ควรจะแย้งอะไรอีกเพราะต้นจะหาเหตุผลมาทำให้เขายอมจน ได้ในที่สุด “ขอบใจมาก เพื่อนรัก”

หลังจากนั้น สนก็ทำงานเสิร์ฟอาหารที่ร้านนั้นทุกเดือนเท่าที่เวลาจะอำนวยเพื่อหารายได้พิเศษ จะได้ไม่ต้องรบกวนพ่อกับแม่มากจนเกินไปด้วย
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-05-2012 23:19:19 โดย sarawatta »

ออฟไลน์ Kfc_Pizza

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2195
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +65/-1

icyblue

  • บุคคลทั่วไป
ความดีของต้น  มันคงซึมซับไปในใจสนเร็วๆนะ เผื่อจะรักแบบคนรักสักที :z2:

icyblue

  • บุคคลทั่วไป

chochang99

  • บุคคลทั่วไป
ซึ้งอ่ะ อ่านแล้วร้องไห้ตาม

ออฟไลน์ SungMinKRu

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 570
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +151/-0
    • https://www.facebook.com/pages/SungMinKRu-Boys-Love/311662138876399


ว่างมาอ่านแล้ว เย้ๆๆ

ต้นกับสนน่ารักขึ้นทุกตอนออ่ะ อยากอ่านต่อไวไว

เป็นกำลังใจให้คนเขียนนะค่ะ

 :mc4: :mc4: :mc4:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ sarawatta

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 714
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +300/-10
ตอนที่ 14: ปั้นปึง



ในปีที่สองของการเรียนในมหาวิทยาลัย ต้นได้รับเลือกให้เป็นรองประธานชมรมจิตอาสาเพื่อสังคมเนื่องจากมีผลการทำงานที่ค่อนข้างโดดเด่น เจนี่ดูจะดีใจกับเขามากทีเดียว แถมยังมีความเป็นไปได้สูงมากที่ต้นอาจจะได้เป็นประธานชมรมในปีหน้า ปีนี้ต้นพยายามชักชวนสนให้เขามาร่วมกิจกรรมในชมรมของเขาด้วย เพราะอยากให้สนใช้เวลาว่างทำประโยชน์เพื่อสังคมบ้าง สนก็มาเข้ามาร่วมแต่โดยดีตามแต่เวลาจะอำนวย

ในช่วงต้นเทอมแรกของปีสอง ต้นได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบงานชิ้นหนึ่งซึ่งก็คือการพานักศึกษาในชมรมไป ช่วยสร้างบ้านดินให้กับคนที่ยากไร้ที่ต่างจังหวัด ต้นต้องเขียนโครงการเพื่อของบประมาณจากมหาวิทยาลัย ติดต่อประสานงานกับนักศึกษา หาที่พัก แจ้งขอเช่ารถของมหาวิทยาลัยและต้องประสานงานกับคนในพื้นที่ด้วย ต้นสามารถทำได้เป็นอย่างดี จนได้กำหนดวันที่จะไปทำกิจกรรมเป็นช่วงที่มีวันหยุดยาวติดกัน เดินทางเย็นวันพฤหัสบดีและกลับเย็นวันอาทิตย์ จังหวัดที่จะไปนั้นไม่ไกลจากกรุงเทพนักจึงใช้เวลาเดินทางไม่มาก

ในวันเดินทาง มีรสบัสสองชั้นคันใหญ่ของมหาวิทยาลัยหนึ่งคันเป็นพาหนะเดินทาง มีนักศึกษาและอาจารย์ที่จะไปรวมประมาณ 30 คน ต้นทำงานหนักทีเดียวเพราะต้องคอยดูแลนักศึกษาทั้งหมดที่จะไป บางคนก็มาสาย บางคนก็ยังติดต่อไม่ได้ วุ่นวายพอสมควร รวมทั้งปัญหาอุปสรรคจุกจิกอื่นๆ แต่สุดท้ายก็ผ่านไปด้วยดี ดีที่ว่ามีเพื่อนๆ ในชมรมและสนคอยเป็นลูกมือและช่วยเหลือทุกอย่างเท่าที่จะทำได้

"เหนื่อยหรือเปล่าต้น" สนถามขณะเดินขึ้นมาบนรถด้วยกันเมื่อทุกอย่างเรียบร้อยหมดแล้วและพร้อมจะออกเดินทาง

"นิดหน่อย ขอบใจนายมาก ทำงานอาสาก็อาจจะเหนื่อยแบบนี้แหละ" ต้นบอกพลางหันไปยิ้ม

"เราสบายอยู่แล้ว" สนยิ้ม เขาไม่รู้หรอกว่ารอยยิ้มนั้นทำให้ต้นต้องคอยเตือนตัวเองอยู่เสมอว่าเขากับสนเป็นแค่เพื่อนกัน

"ต้น...นั่งนี่สิ เจนี่จองที่ไว้ให้แล้ว" เสียงเจนี่ร้องทักขึ้นเมื่อเห็นต้นกับสนเดินขึ้นมาด้วยกันพอดี

ต้นกับสนหยุดมองหน้ากัน สนยิ้มเหมือนจะบอกว่าไม่เป็นไร

"ตามสบายนะต้น" สนบอกแล้วก็เดินไปหาที่นั่งที่อื่น ต้นมองตามสักพักก็นั่งลงที่ข้างๆ เจนี่ แต่ก็คอยเหลือบมองสนในช่วงแรกๆ ที่นั่งอยู่กับเจนี่

สนได้ที่นั่งช่วงกลาง มีผู้หญิงคนหนึ่งนั่งอยู่ตรงที่นั่งริมหน้าต่าง พอสนนั่งลง หญิงสาวคนนั้นก็หันมามอง ยิ้มหน่อยๆ แล้วก็หันกลับไปตามเดิม

นั่งลงแล้วสนก็คอยเหลือบหันไปมองต้นกับเจนี่บ่อยๆ เห็นสองคนนั้นนั่งคุยกันกะหนุงกะหนิงแล้วสนก็บอกตัวเองไม่ถูกว่าเขารู้สึกอย่างไรกันแน่ บางทีก็คิดว่าตัวเขาเองกำลังหวงต้นอยู่ แต่สนก็พยายามสลัดความคิดนั้นออกไปโดยเร็วแล้วก็นั่งเงียบ

“พี่ชื่ออะไรคะ” หญิงสาวที่นั่งข้างๆ สนหันมาคุยด้วย ทำให้สนตื่นจากภวังค์ความคิด

“อ๋อ ชื่อสนครับ เป็นนักศึกษาใหม่หรือครับ” สนยิ้มนิดๆ เพื่อไม่ให้คนแปลกหน้ารู้สึกอึดอัดจนเกินไป

“ค่ะ ชื่อก้อยนะคะ เรียนคณะนิเทศศาสตร์ค่ะ พี่สนเรียนคณะไหนล่ะ”

“คณะเทคโนโลยีสารสนเทศครับ” สนบอกชื่อเต็มของคณะที่เขาเรียน ก้อยทำตาโตด้วยความสนใจ

“จริงเหรอคะ งั้นพี่ก็ต้องเก่งคอมสิ สอนก้อยหน่อยได้ไหมคะ ก้อยใช้คอมไม่ค่อยเป็นเลย”

“อ๋อ...ก็...พอใช้เป็นครับ ไม่ถึงกับเก่งมาก ถ้าอยากเรียน ไว้ว่างๆ พี่สอนให้ก็ได้ครับ” สนรับปากไปตามมารยาท จริงๆ เขาก็ไม่ได้คิดว่าก้อยอยากจะมาเรียนจริงๆ หรอก อาจจะถามไปอย่างนั้นเอง

ก้อยชวนสนคุยไปตลอดทางเลยทีเดียว เธอแสดงอาการสนใจสนอย่างเห็นได้ชัด แต่สนไม่รู้เลยว่าผู้หญิงคนนี้นี่เองที่จะทำให้เขากับต้นต้องบาดหมางใจกันอีกไม่นานนี้

------------------------------------------------------------------------------------------

เมื่อเดินทางมาถึง คืนแรกทุกคนได้พักในรีสอร์ทแห่งหนึ่งใกล้ๆ สถานที่ที่จะเดินทางไปพรุ่งนี้ ต้นได้ราคาพิเศษเนื่องจากเจ้าของรีสอร์ทเป็นเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ที่เขาจะไปพอดี ส่วนในคืนต่อๆ ไปจะพักในวัดในหมู่บ้าน เพื่อเป็นการประหยัดค่าใช้จ่าย ในหนึ่งห้องจะต้องพักกันถึง 4 คน ทำให้ต้นต้องเหนื่อยพอสมควรเพราะกว่าทุกคนจะได้ห้องพักก็มีการถกเถียงและขอเปลี่ยนแปลงห้องกันวุ่นวาย สนคอยเป็นลูกมือให้เพื่อนได้เป็นอย่างดี กว่าจะได้นอนก็ดึกพอสมควร พอหัวถึงหมอนจึงหลับเป็นตาย

รุ่งเช้า หลังจากที่กินอาหารเช้าที่รีสอร์ทแล้ว รถก็ออกเดินทางไปยังหมู่บ้านที่จะมีการสร้างบ้านดิน มีชาวบ้านและทีมวิทยากรสอนทำบ้านดินมารอต้อนรับอยู่ ในช่วงเช้าวิทยากรบรรยายเทคนิคการทำบ้านดินให้นักศึกษาฟังก่อนเพื่อจะได้เรียนรู้เทคนิคการทำก้อนดิน การก่อผนังและการฉาบ นักศึกษาได้เริ่มทำบ้านดินจริงๆ ในช่วงบ่าย ต้นสังเกตเห็นว่าสนดูจะสนุกกับกิจกรรมนี้มากทีเดียว เขาช่วยเพื่อนๆ คนอื่นๆ ทำก้อนดินอย่างแข็งขัน

สนไม่ค่อยได้คุยกับต้นมากนักเพราะดูเหมือนจะมีเจนี่คอยตามเป็นเงา ตอนที่เตรียมดินก็เห็นเจนี่คอยมาป้วนเปี้ยนอยู่ใกล้ๆ เอาน้ำท่ามาให้ดื่ม คุยกันกะหนุงกะหนิงเหมือนกับโลกนี้มีกันแค่สองคน สนรู้สึกหงุดหงิดจนต้องลอบถอนหายใจบ่อยๆ

ในขณะที่สนรู้สึกไม่พอใจอยู่นั้น ก้อยก็เดินเอาน้ำมาส่งให้เขาพลางยิ้มหวาน ตัวก้อยเองนั้นไม่ค่อยได้ช่วยคนอื่นๆ ทำอะไรมากนัก จริงๆ เธอมาเพราะอยากมาเที่ยวเปิดหูเปิดตามากกว่าจะมาช่วยทำงานอย่างจริงๆ จัง

"น้ำค่ะพี่"

"ขอบคุณครับ" สนหันไปยิ้มแล้วรับขวดน้ำดื่มที่เปิดฝาพร้อมดื่มมา เขายกขึ้นดื่มจนหมดแล้วก็หันรีหันขวางมองหาที่จะเอาไปทิ้ง

"เดี๋ยวก้อยเอาไปทิ้งให้ค่ะ พี่ทำต่อเถอะ" ก้อยบอกพลางยื่นมือไปรับขวดน้ำมาจากสนที่ยื่นให้ด้วยความเกรงใจ

"ขอบคุณนะครับ" สนยิ้มเป็นเชิงขอบคุณ พอก้อยเดินออกไปแล้วเขาก็หันมาสนใจการเตรียมดินต่อ แต่หลังจากนั้นก้อยก็จะคอยมาป้วนเปี้ยนอยู่ใกล้ๆ เขาตลอดเวลา ดูเหมือนคราวนี้ต้นก็เริ่มจะหันมาสนใจเขาเหมือนกัน เห็นสนมีสาวน้อยมายืนอยู่ใกล้ๆ แล้วต้นก็มีคำถามมากมายอยู่ในใจ

หลังจากเสร็จกิจกรรมวันแรก ต้นก็ให้เพื่อนนักศึกษาพักผ่อนตามอัธยาศัยและนัดมาเจอกันที่ลานในหมู่บ้านตอนหกโมงเย็นเพื่อกินข้าวเย็นและทำกิจกรรมภาคกลางคืน จนกระทั่งถึงเวลากินข้าวเย็น ชาวบ้านนำอาหารที่ช่วยกันทำมาให้นักศึกษากินหลายอย่าง มีทั้งแกง ทั้งลาบ อาหารพื้นบ้านอื่นๆ ของหวานและผลไม้ นักศึกษาที่เป็นอาสาสมัครนั่งกินกันเป็นกลุ่มๆ บนเสื่อ ไม่มีโต๊ะให้นั่ง พอต้นเห็นว่าเพื่อนๆ นั่งกินข้าวกันอย่างเรียบร้อยแล้ว ต้นจึงตักอาหารใส่จานมากินบ้าง

ในระหว่างที่ต้นกินข้าวอยู่นั้นเขาก็พยายามมองหาสนเพราะรู้สึกว่าเขาไม่เห็นสนเลยในช่วงตั้งแต่ก่อนเริ่มกินข้าว ต้นลุกขึ้นไปเดินดูตามกลุ่มต่างๆ ก็ไม่เห็น ที่น่าแปลกคือไม่เห็นก้อยด้วย ไม่รู้ว่าหายไปไหนด้วยกันทั้งคู่ ต้นถามเพื่อนๆ ก็ได้ความว่าก่อนจะหายไปสนนั่งคุยกับก้อยอยู่ใต้ถุนบ้านหลังหนึ่ง ต้นกับเพื่อนอีกสองสามคนจึงลองเดินไปตามหาที่บ้านหลังดังกล่าวก็ได้ทราบจากคนในบ้านว่าเห็นสนกับก้อยเดินเล่นตรงถนนดินของหมู่บ้านและเดินไปทางทุ่งนา ต้นเริ่มใจคอไม่ดีที่สนหายไปกับรุ่นน้องผู้หญิงที่เพิ่งเข้ามาใหม่ เขารู้สึกไม่ค่อยพอใจที่เพื่อนทำตัวเหลวไหลแบบนี้

ต้นกับเพื่อนแยกกันไปตามหาสนและก้อย ฟ้าเริ่มมืดมากแล้ว สองคนนั้นหายไปทำอะไรกันที่ไหนหนอ ต้นเดินไปตามถนนดินไปเรื่อยๆ จากนั้นก็เป็นสามแยก แยกหนึ่งไปถนนสายหลัก อีกทางหนึ่งเป็นทางที่ชาวบ้านเรียกกันว่าทางเกวียนและมีทุ่งนา ต้นเห็นกองฟางอยู่กองหนึ่งไม่ไกลจากเขามากนักจึงเดินไปดู

แล้วต้นก็ได้เห็นสิ่งที่คาดไม่ถึง สนกับก้อยนั่งซบและคุยกันอยู่ พอทั้งคู่เห็นสนก็ตกใจรีบผละออกจากกันแทบไม่ทัน ต้นพยายามระงับอารมณ์อย่างที่สุดเพราะเขาทั้งโกรธจนมือไม้สั่นที่เพื่อนทำตัวเหลวไหลและเจ็บที่เห็นคนที่ตัวเองรักมานั่งอยู่กับผู้หญิงซึ่งเป็นใครก็ไม่รู้ ถ้าจะว่าหัวใจโดนฟ้าผ่าก็อาจจะยังไม่เจ็บเท่านี้เลย

“ทุกคนเขารออยู่” ต้นกัดฟันพูด เขาต้องข่มใจอย่างยิ่งที่จะไม่ร้องไห้ให้ทั้งคู่เห็น พอบอกแล้วต้นก็เดินแกมวิ่งออกมา เมื่อพ้นสายตาของทั้งคู่แล้วต้นก็ปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาอย่างสุดกลั้น สนวิ่งตามเพื่อนสุดชีวิตก่อนจะคว้าแขนต้นเอาไว้ได้

“ต้น...เดี๋ยวก่อนสิ”

เมื่อต้นหยุดแล้วหันมามอง สนก็ต้องตกใจเมื่อเห็นต้นมีน้ำตาอยู่เต็มใบหน้า

“ต้น...นายเป็นอะไร” สนถามด้วยสีหน้าตกใจ เขาไม่เคยเห็นต้นร้องให้แบบนี้เลย ปกติต้นเป็นคนที่เข้มแข็งมากและเขาแทบไม่เคยเห็นต้นร้องให้เลยด้วยซ้ำ ความรู้สึกบางอย่างบอกสนว่าเขาไม่ควรรั้งเพื่อนไว้ตอนนี้จึงค่อยๆ ปล่อยมือต้นอย่างช้าๆ

“นายทำตัวเหลวไหลมากนะสน” ต้นพูดเพียงเท่านี้ สายตาต้นดูเย็นชาอย่างที่สนไม่เคยเห็น เขาใช้มือปาดน้ำตาแล้วก็เดินไป สนได้แต่ยืนนิ่งด้วยความงงงัน ไม่คิดว่าสิ่งที่เขาทำผิดพลาดไปเมื่อสักครู่นี้จะทำให้ต้นต้องเสียใจถึงขนาดต้องร้องให้

หลังจากนั้นต้นก็ไม่พูดและไม่หันมาสนใจสนอีกเลย เหมือนกับไม่มีสนอยู่ตรงนั้น หลังจากทำกิจกรรมเสร็จแล้ว ต้นก็ไปเก็บกระเป๋าเป้ที่ใส่สัมภาระและเสื้อผ้าของตนเองออกไปจากเต็นท์ที่ตั้งใจว่าจะนอนด้วยกันกับสน ต้นรู้สึกเสียขวัญและยังทำใจกับสิ่งที่เห็นไม่ได้ โกรธอาจจะไม่เท่าไร แต่เจ็บที่หัวใจนี่สิยิ่งกว่า

สนได้แต่ยืนมองเพื่อนด้วยสายตาละห้อย รู้สึกไม่ดีที่ทำให้เพื่อนเสียใจแบบนั้น ใจจริงเขาอยากจะเข้าไปขอโทษ แต่ดูท่าทางต้นจะโกรธเขามากจริงๆ จนเขาไม่กล้าแม้แต่จะเข้าใกล้ จึงได้แต่ปล่อยให้ต้นเก็บของออกไป รู้จักกันมาเป็นสิบๆ ปี เพิ่งมีวันนี้วันแรกนี่แหละที่สนเห็นต้นโกรธเขามากขนาดนี้ สนจึงคิดในใจว่าคงต้องปล่อยให้ต้นใจเย็นลงก่อนแล้วค่อยคุยดีกว่า ความเป็นจริงนั้นเขาก็ไม่ได้อยากเหลวไหล แต่ก้อยก็พยายามถึงเนื้อถึงตัวเขาจนสนเผลอไป แต่อย่างว่า...ปรบมือข้างเดียวมันก็ไม่ดัง เขาก็มีส่วนผิดไม่น้อย

ตลอดระยะเวลาที่ทำกิจกรรม 3 วันนั้น ต้นทำหน้าที่ได้เป็นอย่างดี เขาได้รับความร่วมมือและการยอมรับจากนักศึกษาคนอื่นๆ จึงทำให้งานประสบความสำเร็จแม้ว่าจะเป็นงานสร้างบ้านดินงานแรก ส่วนสนนั้นได้แต่ช่วยทำไปเงียบๆ เขาไม่ได้คุยอะไรกับต้นที่ยังคงมีสีหน้าบึ้งตึงเลย ก้อยเองก็ยังคอยมาวนเวียนอยู่ใกล้ๆ เขาแทบตลอดเวลา สนรู้ว่าผู้หญิงคนนี้ชอบเขา ถ้าเขาคิดจะทำอะไรมากกว่านี้ก็ไม่ใช่เรื่องยาก

------------------------------------------------------------------------------------------------

รถบัสของมหาวิทยาลัยเดินทางมาถึงกรุงเทพราวๆ สามทุ่ม ต้นยังไม่ได้กลับเลยทันทีเพราะเขาต้องคอยดูแลให้คนอื่นกลับกันให้หมดก่อนเพราะเขาถือว่าเป็นผู้นำแล้ว สนยืนคอยเพื่อนอยู่เงียบๆ อยากเข้าไปช่วยต้นเหมือนกันแต่เห็นสายตาต้นที่มองเขาแล้ว สนก็ไม่กล้าแม้แต่จะเข้าใกล้ แต่เมื่อคนกลับหมดแล้ว สนจึงเดินเข้าไปหาต้นด้วยท่าทางกล้าๆ กลัวๆ

“กลับกันเถอะต้น ดึกแล้ว นายจะได้พักผ่อน เหนื่อยมาหลายวันแล้ว”

ต้นพยักหน้าแต่ไม่ตอบอะไร เขายังรู้สึกเคืองๆ อยู่แต่ก็ยังไม่อยากคุยอะไรตอนนี้ ส่วนหนึ่งก็คงเป็นเพราะความเหนื่อยล้านั่นเอง

“กลับแท็กซี่แล้วกันนะ” สนเสนอ ต้นพยักหน้าด้วยสีหน้าเรียบเฉย

พอได้แท็กซี่ ต้นก็นั่งที่นั่งด้านหน้า ให้สนนั่งด้านหลังคนเดียว พอมาถึงบ้าน ต้นจ่ายเงินค่าแท็กซี่แล้วก็เข้าบ้านไปโดยที่ไม่รอสน แล้วก็ขึ้นไปบนห้อง ไม่ทักแม้กระทั่งนิกกับปั้นจั่นที่นั่งดูทีวีอยู่ สองคนได้แต่มองตามอย่างสงสัย สักพักสนก็เข้ามาในบ้าน เขามองหาต้น เมื่อไม่พบก็เลยเดาเอาว่าต้นน่าจะเข้าห้องไปแล้ว

“เป็นไรกันเนี่ยสองคนนี้ มาด้วยกันหรือเปล่าวะ” นิกหันมาถามด้วยความสงสัย

สนเดินเข้าไปนั่งกับเพื่อนๆ แล้วถอนหายใจ “สงสัยต้นจะโกรธกูว่ะ โกรธมาหลายวันแล้วล่ะ” สนบอกเพื่อนสองคนด้วยสีหน้าเซ็งๆ

“แล้วมึงไปทำอะไรให้ต้นมันโกรธเอาล่ะ ปกติก็เห็นมันรักมึงจะตาย ไม่เคยเห็นมันโกรธมึงเลยนี่หว่า” ปั้นจั่นถาม

สนถอนหายใจแล้วก็เล่าให้เพื่อนฟังว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างจึงทำให้ต้นโกรธเขาขนาดนั้น พอรู้เรื่องแล้วนิกกับปั้นจั่นก็พอเดาได้ว่าต้นไม่ใช่แค่เสียใจที่สนทำตัวเหลวไหลเท่านั้น แต่ต้นคงเสียใจด้วยที่เห็นคนที่ตัวเองรักอยู่กับคนอื่นอย่างไม่คาดฝัน

“สมควรแล้วล่ะที่มันโกรธ เป็นกูกูก็โกรธเหมือนกันแหละวะ คนอื่นเขาทำงานกัน นี่ไปนั่งจู๋จี๋กัน ตอนมึงหายไปไอ้ต้นมันคงเป็นห่วงมึงนั่นแหละ ทำตัวเหลวไหลเองทำไมล่ะ” นิกว่าด้วยท่าทางไม่พอใจ

“ไม่ต้องมองกูเลย ช่วยไม่ได้โว้ยเรื่องนี้ เรียนผูกก็ต้องเรียนแก้เอง” ปั้นจั่นบอกปัดเมื่อเห็นสนหันมามอง เขาจะไม่ยอมเป็นสะพานให้สนในครั้งนี้แน่นอน

“มึงระวังไว้ด้วยละกัน ผู้หญิงไวไฟแบบนั้น ง่ายก็จริง แต่อาจจะทำให้มึงมีเรื่องได้” นิกเตือน

“กูขอตัวไปนอนก่อนละกัน เหนื่อย” สนบอกพลางลุกขึ้นแล้วก็เดินขึ้นไปบนห้อง เขารู้ว่าสองคนนี้คงไม่ช่วยเขาแน่ๆ พอเดินผ่านห้องของต้น สนหยุดยืนดู ชั่งใจว่าจะเคาะประตูดีหรือไม่ แต่คิดอีกที ปล่อยให้ต้นอยู่เงียบๆ สักพักไปก่อนดีกว่า

------------------------------------------------------------------------------------------------

วันหนึ่งตอนพักเที่ยง ต้นลงมากินข้าวก็บังเอิญเจอสนนั่งกินข้าวกับก้อยอยู่ ต้นจึงเดินหนีไป หลายวันมานี้เขาไม่ได้คุยกับสนเลย ตั้งแต่เกิดเรื่องในวันนั้นต้นยอมรับว่าเขายังทำใจไม่ได้ แต่พอเขาทำตัวห่างเหินก็เหมือนกับเป็นการปล่อยให้สนกับก้อยสนิทกันมากขึ้น ในใจลึกๆ ต้นก็รู้สึกเป็นห่วงสนอยู่เหมือนกัน นิกกับปั้นจั่นเคยบอกเขาว่าผู้หญิงคนนี้ประวัติไม่ค่อยดีนัก เขากลัวสนจะถูกหลอก

ระหว่างที่ต้นกำลังเดินเลือกอาหารด้วยอาการเหม่อๆ นั้น ก็เจอกับเจนี่กับเพื่อนๆ สามสี่คนที่กำลังเดินเข้ามาพอดี พอเจนี่เห็นแล้วก็หันไปคุยอะไรบางอย่างกับเพื่อนของเธอแล้วก็รีบวิ่งมาหาต้นด้วยความดีใจ ต้นก็เลยได้เจนี่เป็นเพื่อนกินข้าวกลางวัน

“ต้นเป็นไรเหรอ หน้าตาไม่ค่อยดีเลย” เจนี่ถามขณะกินข้าว เธอสังเกตว่าต้นดูเหม่อลอยชอบกล

“เปล่าหรอก สงสัยจะเหนื่อย” ตอบพลางยิ้มเนือยๆ

“แล้วสนเขาเป็นไงบ้าง ได้ยินว่ามีแฟนแบบสายฟ้าแลบเลยไม่ใช่เหรอ เตือนๆ เขาหน่อยนะ ยัยคนชื่อก้อยอะไรเนี่ยได้ข่าวว่าไม่ใช่เล่นเลย” เจนี่บอกพลางขำ

ต้นยกช้อนตักข้าวค้างไว้แล้วก็พยักหน้า “ก็คงแล้วแต่เขา ต้นเป็นแค่เพื่อนก็คงทำได้แค่บอก” น้ำเสียงนั้นเหมือนจะประชดในที

“ถามจริงๆ เถอะ ต้นโกรธสนหรือเปล่า” เจนี่ถามด้วยความสงสัยเพราะสังเกตเหมือนกันว่าต้นไม่คุยกับสนเลยตั้งแต่เกิดเรื่องเมื่อวันนั้น

“ก็นิดหน่อย” ต้นยอมรับ ถ้าจะบอกว่าไม่โกรธเลยก็จะดูโกหกจนเกินไป

“เอาน่า...ผู้ชายก็แบบนี้แหละต้น ก็มีเหลวไหลบ้าง ที่ห้องเจนี่นะ อยู่กันเป็นคู่ๆ เลย แต่ส่วนมากก็อยู่กันได้ไม่ค่อยนานหรอก เปลี่ยนคู่กันไปเปลี่ยนคู่กันมา ไม่ไหวเลย เจนี่ไม่ชอบ” พูดพลางส่ายหน้าด้วยความระอาใจ

แต่สิ่งที่เจนี่พูดก็ทำให้ต้นเกิดความกังวลใจมากทีเดียว ถ้าสนกับก้อยเกินเลยไปถึงขนาดนั้น สนอาจจะเสียอนาคตได้ ในฐานะเพื่อน ต้นจะทนมองเห็นเพื่อนที่รักเสียอนาคตได้อย่างไร ถึงจะโกรธเคืองอย่างไร ต้นก็คงต้องทำอะไรบางอย่าง

------------------------------------------------------------------------------------------------

“เฮ้ยไอ้ต้น มึงรู้หรือเปล่าว่าไอ้สนน่ะมันเสร็จผู้หญิงที่ชื่อก้อยไปแล้ว มีคนเห็นมันไปหาเขาถึงที่หอพักเลยนะเว้ย” ปั้นจั่นฟ้องต้นทันทีที่ต้นกลับมาถึงบ้าน

ได้ฟังแล้วต้นก็มีสีหน้าตกใจอย่างเห็นได้ชัด ต้นพยักหน้าเป็นเชิงว่ารู้เรื่องแล้วแต่ก็ไม่พูดอะไร

“เดี๋ยวเกิดทำลูกสาวเขาท้องขึ้นมาแล้วจะเดือดร้อน” นิกว่าบ้าง พอต้นเงียบไม่พูดอะไร ทั้งสองคนจึงมองหน้ากันด้วยความสงสัย

“มึงได้คุยกันไอ้สนมั่งยังวะตั้งแต่วันนั้น” ปั้นจั่นถาม

ต้นส่ายหน้า “สนคงไม่ฟังกูหรอก”

“แล้วมึงไม่ห่วงมันบ้างหรือไงวะ ยังไงก็เตือนๆ มันหน่อยนะเว้ย เกิดเรื่องขึ้นมาแล้วโดนไล่ออก เสียอนาคตเลยนะเว้ย” นิกเตือน

“แล้วนี่ไอ้สนยังไม่กลับอีกเหรอ หรือว่าไปหาแฟน” ปั้นจั่นถาม

“ไม่รู้เหมือนกัน อาจจะไปทำงานที่ร้านอาหารก็ได้” ต้นตอบอย่างเนือยๆ เขาไม่อยากรับรู้อะไรอีกแล้วตอนนี้

“ขอตัวก่อนละกันนะ” ต้นบอกแล้วก็เดินขึ้นห้องไปเพราะวันนี้เขามีงานหลายอย่างต้องทำส่งอาจารย์

------------------------------------------------------------------------------------------------

ในขณะที่ต้นนั่งทำงานอยู่นั้น ประมาณห้าทุ่มก็มีเสียงคนเข้ามาในบ้าน คงเป็นสนนั่นเอง ต้นหยุดทำงานแล้วครุ่นคิด จริงๆ เขาก็เป็นห่วงสนมาก ถ้าสนยังทำตัวแบบนี้อยู่ โอกาสที่จะเสียคนก็มีสูง ไหนๆ ก็อุตส่าห์โน้มน้าวจนสนยอมเรียนหนังสือแล้ว ต้นก็คงต้องช่วยเพื่อนให้ถึงที่สุด เหนื่อยแค่ไหน เจ็บแค่ไหนก็คงต้องลากถูกันไปให้ได้ เขาต้องตัดเรื่องความรู้สึกออกไปก่อนเพราะอนาคตของเพื่อนสำคัญกว่า คิดได้แล้ว ต้นจึงตัดสินใจเดินไปเคาะประตูห้องของสน สักพักสนก็เดินมาเปิดประตู พอรู้ว่าต้นมาหาเขาก็ยิ้มดีใจ

“ต้น...เข้ามาสิ” สนบอกพลางเชื้อเชิญเพื่อนให้เข้ามาในห้อง ต้นยิ้มน้อยๆ ให้เพื่อน แต่เมื่อสบตากันก็ยังเห็นแววของอาการไม่สนิทใจกันเหมือนเคยอยู่ แต่ก็ทำให้สนใจชื้นขึ้นมาบ้างที่เห็นต้นยิ้มให้

ต้นเดินไปนั่งบนเตียงของเพื่อน สนเดินมานั่งข้างๆ ได้กลิ่นควันกับอาหารจากเสื้อของสนต้นก็พอจะเดาได้ว่าสนเพิ่งกลับมาจากทำงานที่ร้านอาหาร

“เรา...คิดถึงนายนะ ไม่ได้คุยกันตั้งหลายวัน” สนพูดพลางพยายามจับสังเกตสีหน้าของเพื่อน "นายหายโกรธเราหรือยังต้น"

ต้นนิ่งเงียบ ก้มหน้าแล้วก็บอกไปว่า “อย่าเพิ่งพูดเรื่องนี้เลยนะสน ที่เรามาคุยกับนายวันนี้เพราะเรามีเรื่องที่กำลังกังวลใจแล้วก็เป็นห่วงนายอยู่”

“เรื่องอะไรเหรอ” สนหันมาถาม

ต้นชั่งใจอยู่พักหนึ่ง เขาหันไปมองสนแล้วพูดสืบไปว่า “มีคนมาบอกเราว่านายไปหาก้อยที่ห้องพักของเขา”

สนชะงักเล็กน้อย แล้วก็พูดราวกับไม่เห็นเป็นเรื่องสำคัญว่า “ก็แหมต้น ผู้หญิงเขาเสนอเรามา เราก็แค่สนองไปเท่านั้นแหละ เป็นเรื่องธรรมดาของผู้ชาย นายไม่เคยเจออย่างนี้มั่งเหรอ”

“สน...ถ้าเกิดเขาท้องขึ้นมา นายจะทำยังไง”

“เราโตแล้วน่าต้น เรารู้วิธีป้องกันน่า นายไม่ต้องเป็นห่วงหรอก เราไม่ใช่เด็กๆ แล้วนะต้น เพื่อนๆ ในห้องเราก็ทำแบบนี้กันทั้งแหละ บางคนก็พักห้องเดียวกันเป็นผัวเมียกันไปเลยด้วยซ้ำ แต่เราไม่ทำถึงขนาดนั้นหรอก”

ต้นมองหน้าเพื่อนด้วยความตกใจ ทำไมสนถึงได้ไม่ยี่หระราวกับว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ธรรมดามาก หรือว่ามันจะธรรมดาจริงๆ สำหรับผู้ชาย ต้นอาจจะไม่ได้เป็นเหมือนผู้ชายทั่วไปก็ได้ถึงมองว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องไม่ธรรมดา

“เรารู้ว่านายโตและมีความคิดเป็นของตัวเองแล้ว แต่เราก็แค่...ไม่อยากให้นายประมาท”

สนนิ่งเงียบ ต้นจึงพูดต่อว่า “เราก็แค่เตือนนายเพราะว่าเราหวังดีนะสน ถ้าเราไม่รักนาย ไม่ห่วงนาย เราก็ไม่มาเตือนหรอก ไม่ใช่เตือนเพราะคิดว่านายเป็นเด็ก ไม่ได้คิดว่านายดูแลตัวเองไม่เป็น”

ต้นหยุดเหมือนกับไม่แน่ใจว่าตัวเองกำลังก้าวก่ายชีวิตของเพื่อนมากเกินไปหรือไม่ แต่สุดท้ายเขาก็ตัดสินใจที่จะทำในสิ่งที่ตั้งใจให้สำเร็จ “นายจำได้ไหม...เราเป็นคนขอให้นายมาเรียนหนังสือ เราไม่อยากให้นายพลาดพลั้งจนเสียอนาคต แต่เอาเป็นว่า...ถ้านายมั่นใจว่าจะไม่มีปัญหาอะไร เราก็...จะเลิกพูดเรื่องนี้ละกัน เราก็ไม่อยากก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของนาย”

ได้ยินอย่างนั้นแล้วสนก็อยากจะเถียงว่าเขาไม่ได้คิดอย่างนั้น ไม่เคยคิดว่าต้นมาจุ้นจ้านเรื่องของเขา "เราไม่ได้คิดว่านายมาก้าวก่ายหรอกต้น เราเชื่อในความหวังดีของนาย นายเอง...ก็เชื่อมั่นในตัวเรา...ใช่ไหม"

ต้นกลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย็น มันมีอะไรหลายอย่างที่สนยังไม่รู้ และมันก็ทำให้ต้นเจ็บปวดร้อนรนแบบนี้ “เราเชื่อใจนายเสมอนะสน แต่เรา...ขอพูดตรงๆ ว่า...เราไม่เชื่อใจผู้หญิงคนนั้น แต่...ทั้งหมดก็แล้วแต่นายนะ เราแค่อยากให้นายรู้ว่าเราเป็นห่วงนายแค่นั้นแหละ”

สนมองดูเพื่อนด้วยสีหน้าครุ่นคิด จริงๆ เขาก็ไม่อยากให้เรื่องมันเตลิดมาถึงขนาดนี้หรอก วันนั้นเขาแค่รู้สึกไม่พอใจที่เห็นต้นกับเจนี่สนิทกัน ก็เลยคิดจะเรียกร้องความสนใจจากต้นด้วยการเข้าหาก้อย แค่อยากจะให้ต้นหันมาสนใจเขาบ้างเท่านั้นเอง แต่พอทำแบบนั้นไปแล้วเรื่องมันก็ชักจะเตลิดจนสนเองก็เริ่มหนักใจเหมือนกัน

“ดึกแล้ว...เราขอตัวไปทำงานต่อก่อนละกัน เดี๋ยวจะเสร็จไม่ทันส่ง”

ต้นบอกเสร็จแล้วก็ลุกเดินออกไป สนเดินไปปิดประตูแล้วก็กลับมานั่งคิดทบทวนถึงสิ่งที่เพื่อนพูดเมื่อสักครู่นี้ ชีวิตเขาขาดต้นไม่ได้หรอก เวลาต้นไม่คุยกับเขาแล้วเขารู้สึกทรมานใจมาก มากจนต้องเรียกร้องความสนใจจากต้นด้วยวิธีการแบบนี้ แต่ต้นกลับดูเหมือนจะไม่พอใจมากขึ้น

สนถอนหายใจอย่างคนคิดไม่ตก เขาอยากให้ต้นกับเขากลับมาเป็นเหมือนเดิม แต่ตอนนี้เขาไม่รู้ว่าจะแก้ปัญหาอย่างไร จะว่าไปแล้วเขาก็เริ่มสับสนแล้วล่ะว่าปัญหามันอยู่ตรงไหนกันแน่ เขารู้สึกว่าต้นอาจจะไม่ได้แค่โกรธที่เขาทำตัวเหลวไหล แต่น่าจะมีอะไรมากกว่านั้น...
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-05-2012 13:26:50 โดย sarawatta »

ออฟไลน์ z-Time

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 295
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
สนเอ๊ย จะเรียกร้องความสนใจแบบนี้

ปัญหายิ่งเยอะเข้าไปใหญ่   :เฮ้อ:

สงสารต้นจัง คงทรมานใจน่าดู :m15:

icyblue

  • บุคคลทั่วไป
ก้อยแกมาโผล่ทำไมเนี่ย 

สนก็นะเล่นด้วยซะ o22






llihc_mrr

  • บุคคลทั่วไป
 :z6: ให้ก้อย โผล่มาทำไมมม !!

aoommy

  • บุคคลทั่วไป
พึ่งได้เริ่มอ่านนะคะ เขียนได้ลื่นดีค่ะ ชอบต้นจังเลย สนก็ชอบนะ
ไม่รู้ว่าสองคนนี้จะลงเอยรึเปล่า อยากให้สนรู้ใจตัวเองจังเลย
แต่มิตรภาพดีๆยังงี้หายากนะ อ่านแล้วคิดถึงเพื่อนๆ ขอบคุณคนแต่งค่ะ :L2:

DexTunG

  • บุคคลทั่วไป

chochang99

  • บุคคลทั่วไป
เพื่อนรักเพื่อน ......

ออฟไลน์ sarawatta

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 714
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +300/-10
ตอนที่ 15: บทเรียนของคนดื้อ



ดูเหมือนว่าความเฉยชาของต้นจะยิ่งทำให้สนเตลิดมากขึ้น จิตใจสนไร้ที่พึ่งจนต้องใช้ก้อยเป็นทางออก สนมักจะไปหาก้อยที่ห้องบ่อยๆ บางทีก็พาก้อยไปเที่ยว ดูหนังฟังเพลง ทั้งๆ ที่เขาก็ไม่ได้มีเงินอะไรมากนัก ช่วงนี้สนแทบไม่ได้คุยกับต้นเลยเพราะต้นปลีกตัวออกห่าง ต้นไม่เคยรู้เลยว่าสนน้อยใจเขามากแค่ไหน

วันหนึ่ง ก้อยชวนสนไปงานสังสรรค์ที่บ้านของเพื่อนก้อย สนไม่อยากไปนักแต่ก้อยก็รบเร้าจนเขายอมไปด้วย พอไปถึงสนก็พบว่ามันเป็นบ้านไม้กลางเก่ากลางใหม่ เจ้าของบ้านเป็นชายอายุราวๆ 30 เป็นเพื่อนของเพื่อนก้อยอีกที วันดีคืนดีก็จะเปิดบ้านให้ก้อยและเพื่อนๆ มาสังสรรค์กัน วันนี้ก็เช่นกัน บนบ้านมีทั้งชายทั้งหญิงอายุรุ่นราวคราวเดียวกับสนหลายคนนั่งล้อมวงกินเหล้ากัน

“พี่สนต้องหัดมาสังสรรค์กับเพื่อนฝูงอย่างนี้บ้างนะคะ ไม่ใช่เอาแต่เรียนหนังสือ น่าเบื่อจะตาย” นั่นคือสิ่งที่ก้อยบอกเมื่อเห็นสนมีสีหน้ากังวลที่ต้องมาในสถานที่แบบนี้

"พี่ไม่ค่อยชอบที่แบบนี้เลยก้อย กลับกันดีกว่าไหม อีกอย่าง...พี่ไม่อยากให้ต้นรู้ว่าพี่มาที่แบบนี้"

ได้ยินชื่อต้นที่สนมักจะเอ่ยให้ฟังบ่อยๆ เข้าก้อยก็ชักจะรู้สึกรำคาญ "ลองดูก่อนดีไหมคะ ไหนๆ ก็มาแล้ว ถ้าไม่ชอบ วันหลังไม่ต้องมาก็ได้ค่ะ นะคะ" ก้อยทำเสียงอ้อนในตอนท้าย

สนได้แต่เงียบ ก้อยแนะนำเขาให้รู้จักกับคนอื่นๆ แต่สนก็ได้แต่ยิ้มๆ เพราะรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ เขาไม่อยากกินเหล้าเลยเพราะต้นเป็นห่วงเขาในเรื่องนี้มาก แม้ว่าต้นไม่ได้ขอให้เขาเลิกแต่เขาก็อดคิดถึงสิ่งที่เพื่อนบอกไม่ได้ แต่ก็นั่นแหละ เมื่อมาอยู่ในสถานที่แบบนี้ บวกกับแรงคะยั้นคะยอ สุดท้ายสนก็ต้องดื่มจนได้

พอดื่มได้แก้วหนึ่ง แก้วต่อๆ ไปก็ตามมา เขาเริ่มเมาและสนุก บางคนลุกขึ้นมาเต้น มีเพื่อนคนอื่นๆ คอยเคาะขวดเหล้าให้จังหวะ สนก็เต้นกับเขาบ้าง เขาร้องเพลงอะไรสนก็ร้องตาม ถ้าต้นมาเห็นสภาพเขาในตอนนี้ก็คงเสียใจไม่น้อย จนกระทั่งทุกคนเริ่มหมดแรงแล้วก็ค่อยๆ แยกไปนอนกันทีละคนสองคน บางคู่สนพอดูออกว่าเป็นแฟนกันก็หายไปด้วยกัน บางคนก็นอนกลิ้งไปมาใกล้ๆ บริเวณที่นั่งกินเหล้ากัน

------------------------------------------------------------------------------------------------

สนตื่นขึ้นมาเมื่อเกือบสิบเอ็ดโมงเช้า โชคดีที่ว่าเป็นวันหยุดจึงไม่ต้องไปเรียนหนังสือ เขารู้สึกปวดหัวตุบๆ จึงใช้มือทุบศีรษะเบาๆ เมื่อมองไปรอบๆ ห้องแล้วเขาก็ต้องแปลกใจเพราะสภาพแวดล้อมไม่เหมือนห้องนอนของเขาเลย เขามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง สนยิ่งตกใจมากขึ้นเมื่อหันไปมองข้างๆ ก็พบว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งมานอนอยู่ข้างๆ เขาในลักษณะเปลือยเปล่า ตัวสนเองก็ไม่มีเสื้อผ้าติดตัวสักชิ้น ผู้หญิงคนนี้เขาก็ไม่รู้จักด้วย มันเกิดอะไรขึ้น นี่เขามีอะไรกับผู้หญิงคนนี้จริงๆ หรือ แล้วเขาก็ไม่ได้ป้องกันอะไรเลย ความกลัวจะติดโรคแวบเข้ามาในหัว แถมผู้หญิงคนนี้เป็นลูกเขาเมียใครก็ไม่รู้ ถ้าเป็นเมียคนอื่นเขาก็คงบาปหนักเข้าไปใหญ่

สนรีบลุกขึ้นมาใส่เสื้อผ้าของเขาซึ่งถูกวางกระจัดกระจายแล้วรีบออกมาจากห้อง ข้างนอกห้องมีคนนอนอยู่ตรงนั้นบ้างตรงนี้บ้างในสภาพที่สนรู้สึกว่า “น่าสมเพช” ส่วนก้อยนั้นก็ไม่รู้ว่าอยู่ไหน แต่เขาไม่สนใจแล้ว เขาต้องรีบออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด รู้สึกขยะแขยงอย่างบอกไม่ถูก สนสัญญากับตัวเองว่าจะไม่ทำแบบนี้อีกแล้ว ทั้งกินเหล้าทั้งมั่วเพศ สนได้แต่ด่าตัวเองในใจที่ไม่รู้จักคิดให้ดี เขานึกถึงคำพูดของต้นที่เตือนเขาไว้ จริงๆ มันก็ยังไม่ได้มีอะไรร้ายแรงขนาดนั้นหรอก แต่สนชักเริ่มกลัวแล้วว่าถ้าเขายังใช้ชีวิตกับผู้หญิงคนนี้ต่อไปชีวิตเขาอาจจะเตลิดไปไกลยิ่งกว่านี้

ไม่ว่าต้นจะมึนตึงปั้นปึงกับเขาแค่ไหน แต่วันนี้สนจะต้องคุยกับต้นและทำให้ต้นกับเขากลับมาเป็นเหมือนเดิมให้ได้ เพราะว่าชีวิตของสนมีแต่ต้น ไม่ว่าจะทำอะไร อยู่ที่ไหน ต้นก็อยู่ในความคิดคำนึงของเขาเสมอ สมัยเรียนมัธยมเขาก็มักถูกแซวเสมอว่าถามหาแต่ต้น จนเป็นเหตุให้เขาต้องถูกเพื่อนล้อว่าเป็นคู่เกย์กับต้นอยู่พักหนึ่ง แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ต้นก็สำคัญกับชีวิตเขา กลายเป็นเงื่อนไขของชีวิตที่เกิดขึ้นกับสนโดยไม่รู้ตัว ถ้าเขากับต้นยังเป็นแบบนี้อยู่ ชีวิตของสนก็คงเป็นสุขได้ยาก

--------------------------------------------

สนพาตัวเองกลับมาถึงบ้านในสภาพที่เรียกว่า “ดูไม่ได้” เลยทีเดียว เพราะเมื่อเขาโผล่เข้ามาในบ้าน นิกกับปั้นจั่นและต้นซึ่งนั่งทำงานอยู่ข้างล่างต่างก็ทำสีหน้าตกใจเมื่อเห็นเขาเข้ามา

“ไอ้สน มึงไปไหนมา ทำไมเสื้อผ้าผมเผ้าถึงได้ดูทุเรศอย่างนั้นวะ” ปั้นจั่นร้องถามก่อน

สนไม่สนใจว่าใครจะว่าเขาอย่างไร ตอนนี้เขาต้องคุยกับต้นเท่านั้น สนจึงเดินเข้าไปหาต้นเพื่อจะขอคุยด้วย

“โห...กลิ่นเหล้าหึ่งเลย เดี๋ยวนี้มึงชักเอาใหญ่แล้วนะไอ้สน ไปไกลๆ เลยเหม็น” นิกว่าพลางทำสีหน้ารังเกียจ

“พวกมึงสองคนเงียบไปเลย กูจะคุยกับต้น” สนหันไปว่าว่าเพื่อน นิกกับปั้นจั่นจึงเงียบ ต้นมองดูเขาด้วยสีหน้าเหมือนคิดอะไรบางอย่าง

“ต้นเราขอคุยกับนายหน่อยได้ไหม...ตอนนี้” สนบอกเพื่อนด้วยสีหน้าอ้อนวอน แต่ต้นยังคงมองดูเขาด้วยสายตามีคำถามหลายอย่าง

“นะต้น เราขอร้อง เราอยากคุยกับนาย...ได้ไหมต้น” สนย้ำอีกครั้ง

เห็นสีหน้าขอร้องอ้อนวอนของเพื่อนแล้วต้นก็ไม่รู้จะบ่ายเบี่ยงยังไง หลายครั้งที่สนทำท่าทางเหมือนอยากจะคุยด้วยแต่ต้นก็ทำเป็นไม่รับรู้ พอนึกถึงตอนที่เขาเจอสนกับก้อยที่กองฟางนั้นทีไรแล้วต้นก็เจ็บปวดทุกครั้ง

ต้นพยักหน้าเป็นเชิงตกลง ต้นลุกขึ้นแล้วหันไปบอกเพื่อนอีกสองคนว่า "เดี๋ยวลงมานะ"

------------------------------------------------------------------

สนพาต้นเข้ามาในห้องของเขาแล้วก็ปิดประตู เขารู้สึกดีใจจนเก็บสีหน้าไม่อยู่ แม้จะยังไม่ได้คุยอะไรกัน แต่การที่ต้นยอมตามเขามาย่อมแสดงว่าต้นคงจะหายโกรธไปมากแล้ว

“นายไปอาบน้ำแปรงฟันก่อนดีไหมสน นายตัวเหม็นมากเลยรู้หรือเปล่า เดี๋ยวเรารอ” ต้นบอกแล้วก็เดินไปนั่งบนเตียงของสน ต้นพอจะเดาออกว่าสนคงเจอปัญหาอะไรบางอย่างมา แต่อย่างน้อย ต้นก็ยังดีใจที่สนยังนึกถึงเขาอยู่

สนยิ้มและรีบทำตามอย่างว่าง่าย เขารู้ว่าถ้าจะคุยกับต้นแล้วมีกลิ่นเหล้าหึ่งแบบนี้ต้นคงไม่ยอมคุยด้วยเป็นแน่ เขาเองก็ไม่ชอบกลิ่นตัวเหม็นๆ นี้เหมือนกัน

"อย่าไปไหนนะ" สนหันมากำชับก่อนจะเข้าไปในห้องน้ำ วันนี้เขาจะอาบน้ำให้เนื้อตัวสะอาดเป็นพิเศษเพื่อชำระล้างคราบและกลิ่นโสมมที่มันติดตัวเขามาเมื่อคืนนี้ให้หมดไป แม้มันจะหมดไปจากกายแต่ไม่ได้หมดไปจากใจเสียทีเดียว

"อืม" ต้นตอบสั้นๆ พลางยิ้มน้อยๆ

อาบน้ำเสร็จแล้วสนก็รีบออกมา เขาใช้ผ้าเช็ดผมอย่างลวกๆ ด้วยความรีบเร่ง แล้วก็เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดอยู่บ้านสบายๆ ทุกอย่างเสร็จสิ้นลงในเวลาไม่ถึงหนึ่งนาที

“ไม่ต้องรีบขนาดนั้นก็ได้ เราไม่ได้ไปไหนเสียหน่อย” ต้นร้องบอกพลางขำ สนยิ้มเจื่อนๆ แล้วก็ค่อยๆ เดินมานั่งลงข้างๆ ต้น สีหน้าเหมือนเด็กทำอะไรผิดแล้วอยากขอความเห็นใจ

"ผมนายยังเปียกอยู่เลย เป่าให้แห้งก่อนดีไหม" ต้นเสนอ สนมองหน้าเขาเหมือนกับจะถามว่าต้องทำอย่างนั้นด้วยหรือ เขาอยากคุยกับต้นมากกว่าจะอยากทำอย่างอื่นในตอนนี้

"เดี๋ยวเราเป่าให้ ผลัดกัน" ต้นพูดพลางรุนหลังให้สนลุกขึ้น

สนทำตามด้วยท่าทางไม่เต็มใจนักในตอนแรกๆ เขาเดินไปนั่งที่เก้าอี้หน้าโต๊ะที่เขาใช้แต่งตัว ต้นหยิบไดร์เป่าผมมาแล้วก็ช่วยเป่าผมให้ สัมผัสที่เบามือทำให้สนรู้สึกผ่อนคลายอย่างบอกไม่ถูก เขาคอยแอบสังเกตกิริยาท่าทางของต้นในกระจกตรงหน้าอย่างเพลิดเพลินใจโดยที่คนถูกสังเกตก็ไม่รู้ตัว บางครั้งสนก็นึกสงสัยว่าทำไมเพื่อนคนนี้ช่างสำคัญกับชีวิตเขาเหลือเกิน คงไม่ใช่แค่เพราะความดีของต้นเพียงอย่างเดียวแล้วล่ะ เหมือนจะมีอะไรที่มากกว่านั้นที่สนเองก็ยังไม่รู้จัก

ต้นเป่าผมเสร็จแล้วก็เอาเก็บไดร์เป่าผมเข้าที่ จากนั้นก็หยิบหวีมาหวีผมให้เพื่อน แม้จะไม่ได้หวีเองแต่สนก็ไม่ได้รู้สึกว่าไม่ชอบเพราะต้นก็หวีให้เขาเหมือนกับที่เขาหวีเองนั่นแหละ คบกันมาเป็นสิบๆ ปี ต้นเองก็คงสังเกตมาเป็นอย่างดีแล้วว่าเขาชอบหวีผมแบบไหน

"หล่อแล้ว" ต้นบอกพลางก้มต่ำลงมามองหน้าสนใกล้ๆ

สนเห็นแก้มใสๆ นั้นอยู่ใกล้ๆ แล้วก็ใจสั่นขึ้นมาอย่างประหลาด ตอนเด็กๆ เขาไม่เคยรู้สึกแบบนี้กับต้นเลย แต่พอโตมาทำไมถึงได้มีความรู้สึกแปลกๆ อย่างนี้ก็ไม่รู้ แล้วมันก็เกิดขึ้นบ่อยๆ เสียด้วยสิ

ไม่รู้ว่านึกยังไง สนใช้มือหยิกแก้มต้นเบาๆ ด้วยความเอ็นดู "หน้าใสดีนะ" แล้วก็ถามแก้เขินว่า "นายใช้อะไรเหรอ"

"อ๋อ...ก็เหมือนๆ กับที่นายใช้นั่นแหละ แต่เน้นล้างหน้าให้สะอาดเท่านั้นเอง" ต้นเองก็ตกใจทีเดียว สนเล่นกับเขาแบบนี้อีกแล้ว คราวที่แล้วก็เล่นหอมแก้มเขาไปทีหนึ่ง ทำเอาต้นจิตใจว้าวุ่นอยู่หลายวัน

"ต้น..." สนเรียกด้วยน้ำเสียงที่จริงจังมากขึ้น เขาถอนหายใจเบาๆ แล้วก็พูดสืบไปว่า "เราขอโทษนะ ขอโทษที่ทำตัวเหลวไหล ขอโทษที่ดื้อกับนาย"

สองหนุ่มจ้องหน้ากันเหมือนคิดอะไรบางอย่าง แล้วก็ค่อยๆ ฉีกยิ้มให้กัน

"นายไม่โกรธเราแล้วใช่ไหม อย่าโกรธเราอีกเลยนะ นายก็รู้...เราอยู่ไม่ได้หรอกถ้านายโกรธเราแบบนี้ เราจะไม่ทำตัวแบบนี้อีกแล้วต้น เราสัญญานะ"

สีหน้าและท่าทางวิงวอนนั้นทำให้ภูเขาน้ำแข็งในใจที่ยังเหลืออยู่บ้างของต้นละลายไปจนหมดสิ้น สนยังคงเป็นเพื่อนที่น่ารักและให้ความสำคัญกับเขาเสมอ ต้นจะไปโกรธเคืองแบบนั้นได้ยังไงกัน

ต้นกะพริบตาถี่ๆ เมื่อน้ำตาเริ่มจะไหลลงมาด้วยความตื้นตันใจ สนเห็นแล้วก็ลุกขึ้นมากอดเพื่อนไว้ ความสุขและความอุ่นใจแผ่ซ่านไปทั่วร่างกายและถ่ายทอดให้กันและกันผ่านอ้อมกอดนั้น แม้จะยังไม่มีคำพูดใดจากต้น แต่สนก็รู้ว่าต้นได้ให้อภัยเขาแล้ว จริงๆ ต้นเองก็อาจจะไม่ได้โกรธเขามากขนาดนั้นหรอก ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะเขาเองที่เรียกร้องความสนใจแบบผิดๆ ด้วย ต้นเองเห็นสนทำแบบนั้นก็เลยคิดว่าสนคงไม่ได้ต้องการให้เขาเข้าไปวุ่นวายมากนัก แต่ต้นก็เพิ่งรู้ว่าเขาคิดผิดในวันนี้

--------------------------------------------------------------------

"เราตัดสินใจแล้วนะต้นว่าเรา...จะเลิกคบกับผู้หญิงคนนั้น" สนพูดพลางเขยิบตัวนอนบนตักของต้นที่กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียงอย่างสบายอารมณ์ ก็อย่างที่รู้ๆ สนสนิทกับต้นและสัมผัสใกล้ชิดกันแบบนี้มาตั้งแต่เด็กๆ สิ่งเหล่านี้จึงไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดสำหรับเขาทั้งสองคน

"นายไม่ได้รักเขาเหรอ แล้วเขาจะไม่เสียใจแย่เหรอสน" ต้นยังอุตส่าห์มีกะจิตกะใจเป็นห่วงผู้หญิงคนนั้น

"อืม...จะพูดยังไงดีล่ะ จริงๆ เรากับเขาต่างก็ไม่ได้รักกันหรอก เขาก็ไม่ได้รักเรา เราก็ไม่ได้รักเขา มันก็แค่..." สนละไว้ในฐานที่เข้าใจ

"แล้วนาย...ไปคบกับเขาทำไมล่ะสนถ้านายไม่ได้คิดอะไรกับเขา"

"นายอยากรู้จริงๆ เหรอ"

ต้นพยักหน้า ดูเหมือนสนจะมีอาการเขินๆ นิดๆ ก็แน่ล่ะสิ จะให้สนบอกว่าเขาหวงเพื่อนมันก็กระไรอยู่

"ก็...มีบางคนไม่สนใจเรา มัวแต่ไปคุยกับสาวๆ เราก็เลยแค่อยากเรียกร้องความสนใจเท่านั้นแหละ"

ดูเหมือนสิ่งที่สนอธิบายจะไม่ช่วยให้เกิดความกระจ่างมากนัก "นายหมายถึงอะไร เราไม่เห็นเข้าใจเลย"

"ก็...ก็นาย..." สนทำท่าครุ่นคิดเพราะไม่รู้ว่าจะอธิบายอย่างไรดีไม่ให้ต้นเข้าใจผิดว่าเขา "หึง" เพื่อน แต่สนก็ไม่เคยคิดอยู่แล้วว่าเขาหึง มันไม่ใช่อาการหึงสำหรับสนหรอก "ก็นายมัวแต่คุยกับเจนี่ ไม่สนใจเราเลย เราก็เลย...ทำแบบนั้น แค่อยากให้นายสนใจเราบ้างเท่านั้นเอง" สนพูดเสียงอ่อยๆ ตอนท้าย

ต้นทำตาโตราวกับไม่เชื่อสิ่งที่สนพูด "นายพูดจริงเหรอ"

"ก็จริงสิ ตอนนี้เราเข้าใจแล้วล่ะว่า ตอนที่เรามีแฟน นายรู้สึกยังไง เราว่านะ คงเป็นเพราะเรากับนายจะสนิทกันมากไปแน่ๆ เลย" สนพูดพลางขำเบาๆ ต้นก็ขำบ้าง

"จริงๆ แล้ว...เรากับเจนี่ก็ไม่ได้มีอะไรนะ ก็เป็นเพื่อนกันธรรมดา" ต้นแก้ตัวบ้าง

"จริงเหรอ...แต่เราว่าเขาชอบนายนะ ดูเจนี่เขาจะปลื้มนายน่าดูเลย"

"ก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่เรา...คิดกับเขาแค่เพื่อนนี่นา" ต้นแบ่งรับแบ่งสู้ จริงๆ เขาก็พอรู้ว่าเจนี่คิดกับเขายังไง ทุกวันนี้เขายังไม่รู้เลยว่าจะจัดการเรื่องนี้ระหว่างเขากับเจนี่ยังไง เขาไม่อยากให้ความหวังกับเจนี่จนเตลิดไปไกล ถึงตอนนั้นเจนี่คงจะเสียใจน่าดู

"โอเคๆ เราไม่แซวละ กลับมาที่เรื่องเดิมดีกว่า เราจะเลิกกับผู้หญิงคนนั้นจริงๆ นะต้น เรารู้สึกไม่ค่อยดีกับหลายๆ อย่างที่เกิดขึ้น เราไม่ชอบสังคมที่เขาพยายามพาเราเข้าไป เราไม่อยากใช้ชีวิตมั่วซั่วแบบนั้น เดี๋ยวจะเรียนไม่จบ พ่อแม่จะเสียใจเอา อ้อ...นายก็จะเสียใจด้วย เราไม่อยากให้นายเสียใจเรื่องนี้ เราจำได้ว่านายพยายามอย่างมากที่จะให้เราได้เรียนหนังสือ นายเหนื่อยกับเรามาเยอะ เราสัญญาด้วยชีวิตของเราเลยว่า...เราจะไม่ให้นายเสียใจเรื่องนี้อย่างเด็ดขาด"

ต้นยิ้มอย่างซาบซึ้งใจ ถึงสนจะไม่ได้คิดกับเขาเกินเพื่อน ถึงสนจะไม่เคยรู้เลยว่าเขารู้สึกยังไง นั่นก็ไม่สำคัญเท่ากับอนาคตของสนที่ต้นได้ยอมทำทุกอย่างเพื่อให้สนได้เรียนหนังสือ ต้นไม่ได้คิดว่าเขาเป็นคนดีที่เสียสละอะไรมากนักหรอก เขาก็แค่รักเพื่อนคนนี้มากเท่านั้นเอง แค่เห็นเพื่อนมีอนาคต ต้นก็พอใจแล้ว

"ดีแล้ว พ่อกับแม่ของนายจะได้สบายไงสน ไม่ต้องทำเพื่อเราหรอก ทำเพื่อพ่อกับแม่ของนายเถอะ"

"ไม่ได้...ทำเพื่อนายด้วย เราบอกแล้วไง นอกจากพ่อกับแม่เราแล้ว นายก็เป็นอีกคนหนึ่งที่เรารักมากที่สุด" สนยืนยัน ต้นก็เลยไม่ค้านอะไรอีก

"ครับผม..." ต้นขำเบาๆ "นี่นายกินอะไรมาหรือยัง" ต้นถามเมื่อนึกได้

"ยังเลย...ถึงว่าล่ะทำไมเราแสบๆ ท้อง ยังไม่ได้กินอะไรเลยนี่เอง มีอะไรกินมั่งล่ะ" สนถามพลางนิ่วหน้า เวลาอยู่กับต้นแล้วบางทีสนก็ชอบทำตัวเป็นเด็กขี้อ้อน โดยเฉพาะเวลาไม่สบาย

"สงสัยต้องออกไปซื้อ เมื่อเช้าสองคนนั่นกินหมดเลย เราบอกว่าให้แบ่งไว้ให้นายบ้างมันก็บอกว่านายไม่กลับหรอก ก็เลยซัดกันเรียบ"

"ดีล่ะ เดี๋ยวเราจะลงไปจัดการสองคนนั้นด้วย" สนทำท่าขบเขี้ยวเคี้ยวฟันแล้วก็หัวเราะชอบใจ

-----------------------------------------------------------------------------------------------

บทเรียนของสนยังคงไม่หมดเพียงเท่านี้ เพราะในความเป็นจริงนั้น ก้อยมีแฟนอยู่แล้วและอยู่กินฉันท์สามีภรรยามาพักหนึ่ง แต่ก้อยเองก็ยังชอบหว่านเสน่ห์ไปทั่วและแอบคบชู้สู่ชายเป็นประจำ แน่นอน เรื่องที่สนไปยุ่งกับก้อยก็รู้ถึงหูแฟนตัวจริงของก้อยด้วย

ตอนดึกๆ วันหนึ่ง ต้นและสนกลับจากทำกิจกรรมอาสาสมัครข้างนอกด้วยกัน พอแท็กซี่ออกไปไม่ทันไรและยังไม่ทันได้ก้าวขาเข้าไปในรั้วบ้าน อะไรบางอย่างก็ฟาดลงที่หลังของสนอย่างแรงสองสามครั้งจนร้องโอ๊ยและทรุดลง จากนั้นต้นก็โดนด้วยอีกคน ทั้งสองหนุ่มต่างก็ทรุดลงไปกองกับพื้นตรงหน้าบ้าน

“นี่แค่สั่งสอน ทีหลังมึงอย่าได้มายุ่งกับเมียกู ไม่งั้นแล้วกูจะไม่ให้พวกมึงได้กลับไปเห็นหน้าพ่อแม่พวกมึงอีก” ชายหนึ่งในสามคนบอกอย่างเคียดแค้น “ไปเว้ย”

สิ้นเสียงชายสามคนนั้นก็รีบขี่มอเตอร์ไซค์ที่จอดอยู่ตรงนั้นออกไป พร้อมกับโยนไม้หน้าสามทิ้งไว้แถวๆ นั้น นิกกับปั้นจั่นวิ่งออกมาดูเพราะได้ยินเสียงคนร้องโวยวาย เมื่อเจอเพื่อนสองคนถูกทำร้ายก็ตกใจกันใหญ่

“เฮ้ย เกิดอะไรขึ้นวะ ใครทำพวกมึงเนี่ย”

ต้นกับสนส่ายหน้าเพราะไม่รู้ว่าชายสามคนนั้นเป็นใคร แต่สนพอจะเดาออกว่าน่าจะเกี่ยวกับก้อยอย่างแน่นอน เขารู้สึกสงสารเพื่อนที่ต้องมาเจ็บตัวเพราะเขาทั้งที่ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรด้วย

นิกกับปั้นจั่นช่วยกันพยุงต้นและสนเข้ามาในบ้าน พอได้ฟังจากที่สนเล่าแล้ว นิกก็รีบต่อว่าทันที

“กูว่าแล้ว เดี๋ยวก็ต้องมีเรื่อง ผู้หญิงที่ชื่อก้อยน่ะ ที่กูรู้มาน่ะไม่ใช่เล่นๆ เขามีสามีอยู่แล้ว เป็นไงล่ะ...ไปยุ่งกับเมียเขา ผิดศีลไม่พอยังเจ็บตัวอีก แล้วไอ้ต้นก็พลอยมาโดนด้วยทั้งๆ ที่มันไม่ได้ทำผิดอะไร”

ต้นขึงตาใส่นิกเป็นเชิงปรามไม่ให้ซ้ำเติมสนอีก นิกทำสีหน้าขัดใจเล็กน้อยแต่ก็ยอมหยุดแต่โดยดี

“ต้น...เราขอโทษนะที่เราหาเรื่องเดือดร้อนมาให้นาย จนนายต้องมาเจ็บตัวเพราะเรา” สนพูดพลางจับมือเพื่อนไว้ เห็นเพื่อนเจ็บตัวแบบนี้สนก็ได้แต่สงสารเพื่อนและโมโหตัวเอง นี่ถ้าเขาไม่ดื้อกับต้น ต้นก็คงไม่ต้องมาเจ็บตัวแบบนี้

“ไม่เป็นไรสน...อย่าคิดมาก มันผ่านไปแล้ว นายจำมันไว้เป็นบทเรียนก็แล้วกันนะ”

“นายอย่าดีกับเราขนาดนี้สิต้น นายด่าเราบ้างก็ได้” สนทำหน้าเหมือนจะร้องให้

“อย่าคิดมากสน จะให้เราด่านายทำไมล่ะ เราด่านายไม่ได้หรอก นายก็รู้”

“จะไปโรงพยาบาลไหม เผื่อช้ำใน” ปั้นจั่นถาม

“ไปโรงพยาบาลดีกว่านะต้น ถ้านายเป็นอะไรขึ้นมา เราจะไม่ให้อภัยตัวเองเป็นอันขาดเลย” สนเป็นคนเสนอเอง

“งั้นเดี๋ยวเราไปเรียกแท็กซี่ให้ รอก่อนนะ” นิกบอกแล้วก็รีบวิ่งออกไป

บทเรียนคราวนี้สนคงจำไปอีกนาน ไม่ใช่แต่เขาเท่านั้นที่เดือดร้อน แต่พอเพื่อนต้องมาเจ็บตัวด้วย มันเป็นสิ่งที่สนทนเห็นไม่ได้และเขาจะไม่ให้มันเกิดขึ้นอีกอย่างเด็ดขาด
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23-05-2012 06:45:15 โดย sarawatta »

ออฟไลน์ owo llยมuมข้u

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 459
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-4

ออฟไลน์ gambee

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 451
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
ต้นเธอเป็นคนดีมากกกกกกก
เมื่อไหร่จะเปิดใจกันล่ะนี่
เป็นกำลังใจให้นักเขียนค่า
...รอตอนต่อไป
 :L2:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






DexTunG

  • บุคคลทั่วไป

Mc_ma

  • บุคคลทั่วไป
สนดื้อจนทำให้ต้นเจ็บตัวไปด้วย เหตุการณ์นี้คงจะทำให้สนรู้สึกผิดจนไม่กล้าดื้อแบบนี้อีกแล้ว ก็ต้นเป็นคนสำคัญที่สุดนี่นะ

ความรู้สึกรักต้นในใจของสนมันชัดเจนขึ้นไปอีกขั้น แต่สนก็ยังไม่รู้ใจตัวเองซักที ว๊าาาาา...  ต้นน่ะ เค้ารู้ใจตัวเองนำไปไกลแล้ว

อ่านเรื่องนี้มาแล้วหลายรอบ มาอ่านใหม่อีกครั้งก็ลุ้นดีเหมือนกันนะคะ ลุ้นอยู่นั่นว่าเมื่อไหร่สนจะรู้ใจตัวเองซักที 555+

เป็นกำลังใจให้คนแต่งเสมอค่ะ  :L2: :L2: :L2:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24-05-2012 09:09:17 โดย Mc_ma »

ออฟไลน์ SungMinKRu

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 570
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +151/-0
    • https://www.facebook.com/pages/SungMinKRu-Boys-Love/311662138876399
 :mc4: :mc4: :mc4:

มีโอกาสได้เม้น+ อ่านแล้ว

สนอะไรก็ไม่รู้ อย่าทำตัวแบบนี้อีกนะ  :beat: :beat: :beat:

ต้นเป็นคนดีมากเลยอะ  :z3:ชอบจัง น่ารักกกก :-[ :-[ :-[

ขอให้พี่สนรู้ตัวและรีบรุกพี่ต้นเร็วๆนะค่ะ

แอร๊ยยยย ~

<หื่นอย่างเดียวเลยเรา>


 :laugh5: :laugh5: :laugh5:


แต่ก็ชอบแบบนี้แหละ น่ารักกกกกก  :-[ :-[ :-[

ออฟไลน์ sarawatta

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 714
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +300/-10
หลังจากตอนนี้คงจะหยุดพักไปหลายวันหน่อยนะครับ อาจจะได้กลับมาอีกทีช่วงต้นเดือนหน้า
ท่านใดที่เข้ามาอ่าน หากไม่เป็นการรบกวนจนเกินไป ฝากติชมและให้ความคิดเห็นด้วยนะครับ
ความคิดเห็นของท่านเพียงเล็กๆ น้อยๆ จะเป็นกำลังใจให้คนเขียนได้เป็นอย่างดีครับ

-------------------------------------------------------------

ตอนที่ 16: เมื่อความลับถูกเปิดเผย



หลังจากที่เกิดเรื่องแล้ว สนก็เลิกไปหาก้อยโดยปริยาย แม้ว่าก้อยจะยังโทรมาตามบ้างก็ตามแต่สนก็ปฏิเสธที่จะคุยด้วยและไม่ยอมรับโทรศัพท์ เจอหน้าสนก็เดินหนี จนในที่สุดก้อยก็เลิกตามไปเอง สนใช้เวลาทุ่มเทกับการเรียนมากขึ้น เขามีเงินเก็บจำนวนหนึ่งบวกกับเงินที่แบ่งกับต้นคราวนั้นจึงพอจะซื้อโน้ตบุ๊กเป็นของตัวเองสำหรับไว้ทำงานได้

ส่วนต้นนั้นก็ยังคงเรียนไปด้วยและทำงานอาสาสมัครเพื่อสังคมไปด้วย ชมรมของเขาไปได้ดีทีเดียว มีสมาชิกเพิ่มขึ้น มีรายได้จากการบริจาคเข้ามาเพื่อช่วยสมทบทุนการทำกิจกรรมต่างๆ มากขึ้น บางครั้งต้นก็รู้สึกว่าเขาอยากทำงานแบบนี้มากกว่า ไม่รู้ว่าเขาคิดผิดหรือไม่ที่เรียนวิศวะ จริงๆ เขาก็เรียนได้ไม่มีปัญหาอะไร เพียงแต่เขาชอบที่จะทำงานเพื่อสังคมมากกว่า

ความสัมพันธ์ของต้นกับเจนี่นั้นก็ไม่มีอะไรคืบหน้า เจนี่จึงเลิกล้มความคิดที่จะให้ต้นเป็นคนพิเศษ แต่ก็เป็นเพื่อนกันและไม่มีปัญหาอะไร ต้นรู้ดีว่า ในชีวิตนี้ต้นคงจะรักใครไม่ได้อีกแล้ว ในหัวใจของต้นมีเพียงเพื่อนของเขาเพียงคนเดียวตลอดระยะเวลากว่า 10 ปีที่ผ่านมา ความรักทั้งหมดที่ต้นมีจึงทุ่มเทให้เพื่อนเพียงคนเดียว แม้จะไม่ได้บอกตรงๆ แต่ก็รู้สึกได้จากการกระทำแทบทุกอย่าง เพียงแต่สนไม่เคยเข้าใจว่าต้นทำด้วยความรู้สึกแบบไหนเท่านั้นเอง สนเข้าใจแต่เพียงว่าต้นทำเพราะรักสนอย่างเพื่อนเท่านั้น แต่สนก็มีความสุขกับชีวิตดีที่มีเพื่อนคอยดูแล เจ็บไข้ได้ป่วยก็ช่วยดูแลกัน ต้นคอยสนับสนุนเพื่อนทั้งด้านกายและใจเสมอมาโดยไม่เรียกร้องสิ่งใดตอบแทน ไม่ใช่ว่าไม่อยากได้เพราะต้นเองก็เป็นแค่คนธรรมดาคนหนึ่ง แต่เขาได้เรียนรู้ว่าความรักอย่างผู้ให้มีความทุกข์น้อยกว่าความรักอย่างผู้ขอต่างหาก เขาจึงเลือกที่จะให้มากกว่าขอ

------------------------------------------------------------------------------------------------

เช้าวันหยุดสบายๆ อีกวันหนึ่ง นิกกับปั้นจั่นลุกขึ้นมาดูทีวีก่อนใคร สองคนนี้เป็นคนที่ติดทีวีมากพอดู ว่างเป็นไม่ได้ต้องคอยดูทีวีตลอด ต้นลงมาชงโอวัลติลในห้องครัวแล้วก็มานั่งดูทีวีกับเพื่อน ดูไปจิบโอวัลติลไปอย่างสบายอารมณ์ นี่เป็นเครื่องดื่มที่ต้นชอบมากทีเดียวเพราะกินมาตั้งแต่เด็กๆ

“แล้วเพื่อนรักมึงยังไม่ตื่นอีกเหรอ สายจนป่านนี้แล้ว” นิกหันมาถาม

“เมื่อคืนสนกลับดึก คงนอนอยู่มั้ง” ต้นบอกแล้วก็หันมาจิบโอวัลติลเหมือนเดิม ต้นไม่ค่อยชอบดูทีวีนัก สนก็เหมือนกัน จะว่าไปแล้วทั้งต้นและสนก็มีนิสัยหลายๆ อย่างที่เหมือนกันอยู่พอสมควร

“เหรอ แต่ปกติมันก็ไม่นอนตื่นสายขนาดนี้นี่หว่า มึงไม่ลองไปดูมันหน่อยล่ะ” นิกเสนอ

ต้นวางแก้วโอวัลติลลงแล้วก็เดินขึ้นไปเคาะประตูห้องสน นานพอดูทีเดียวกว่าสนจะมาเปิดประตู พอเห็นสภาพของเพื่อนแล้วต้นก็ตกใจ

“สนเป็นไร ไม่สบายหรือเปล่า” ต้นถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง

สนพยักหน้าน้อยๆ “สงสัยจะใช่ รู้สึกปวดหัว เหมือนจะมีไข้”

“ไปหาหมอไหม”

“ยังดีกว่า เราขอนอนพักสักหน่อยก่อนละกัน” สนปฏิเสธ ปกติเขาเป็นคนที่ไม่ค่อยชอบไปหาหมอนัก เวลาไม่สบายก็มักจะซื้อยามากินเองจนต้นต้องคอยเตือนบ่อยๆ

“งั้นเดี๋ยวเราไปเอายามาให้นะ นายจะกินอะไรหรือเปล่า ข้าวต้มไหม เดี๋ยวเราทำให้” ต้นอาสา

ถึงจะปวดหัวแค่ไหนแต่สนก็อดยิ้มและขำไม่ได้ เขาสัพยอกไปว่า “นายน่ะเหรอจะทำข้าวต้มให้เรากิน สงสัยกว่าเราจะได้กินก็คงบ่าย”

“นายก็...” ต้นว่าเพื่อนพลางทำหน้ามุ่ยเล็กน้อย แต่ต้นก็ไม่มีฝีมือในการทำอาหารอย่างที่สนล้อ อาหารที่ว่าง่ายๆ ต้นก็อาจจะใช้เวลาทำนานกว่าคนทั่วไปได้ ส่วนรสชาตินั้นไม่ต้องพูดถึง “เดี๋ยวเราไปซื้อมาให้ก็ได้”

 “เราล้อเล่น” สนว่าพลางหัวเราะ “เราอยากกินโจ๊กหมูใส่ไข่ ไม่อยากกินข้าวต้ม” สนเริ่มอ้อน เวลาเขาไม่สบายเขามักจะอ้อนแบบนี้เสมอ ต้นรู้นิสัยเพื่อนดี แต่เขาก็ไม่เคยขัดใจไม่ว่าสนอยากได้อะไร

“งั้นรอเดี๋ยวนะ เดี๋ยวเรามา” ว่าแล้วต้นก็วิ่งปรื๊ดออกไปจากบ้าน นิกกับปั้นจั่นเรียกตามแทบไม่ทัน

สักพักต้นก็กลับมาพร้อมกับโจ๊กหมูใส่ไข่อย่างที่เพื่อนอยากกิน เขาจัดแจงเอาใส่ถ้วยแล้วยกใส่ถาด พอเดินออกมาจากครัวปั้นจั่นก็ถามว่า

“ไอ้สนมันขี้เกียจถึงขนาดที่มึงต้องเอาไปประเคนให้ถึงห้องเลยเหรอวะ”

“เปล่า...สนเป็นไข้ ไม่สบาย” ต้นรีบแก้ตัวให้เพื่อน

“อ้าวเหรอ แล้วมันเป็นอะไรมากหรือเปล่า” นิกถามบ้าง

“ไม่มากหรอก” ต้นบอกแล้วก็รีบขอตัวเอาอาหารขึ้นมาให้เพื่อนบนห้อง

สนไม่ได้ล็อกห้องไว้ ต้นจึงสามารถเข้าไปได้เลย

“สนกินข้าวก่อนนะ แล้วค่อยกินยา” ต้นว่าพลางยกชามโจ๊กหมูมาวางไว้ที่โต๊ะเล็กๆ ข้างหัวเตียงให้กับเพื่อน สนลืมตามองด้วยสีหน้าเหยเกเพราะเริ่มรู้สึกปวดหัวมากขึ้น เป็นสัญญาณว่าเขาควรต้องรีบกินข้าวและกินยาเสียที

สนค่อยๆ ยันตัวลุกขึ้นอยู่ในท่ากึ่งนั่งกึ่งนอน “ป้อนเราด้วยสิ” สนอ้อนอีกแล้ว จริงๆ เขาก็กินเองได้ แต่เวลาไม่สบายแล้วเขาชอบให้เพื่อนดูแล สนรู้สึกว่ามันเป็นช่วงเวลาที่มีความสุข แม้ว่าจะไม่สบายแต่พอมีคนมาดูแลแล้วก็ทำให้เขารู้สึกอบอุ่นใจขึ้น อย่างน้อยเขาก็รู้ว่ายามตกทุกข์ได้ยากหรือเจ็บไข้ได้ป่วยก็ยังคงมีคนคอยเป็นห่วงและอยู่เคียงข้างเสมอ ที่ผ่านมาก็มีแต่ต้นนี่แหละ ยกเว้นเวลาที่ต้นไม่ค่อยว่างหรือเวลาที่ต้นไปเรียนซึ่งอาจทำให้ต้นไม่ค่อยมีเวลามากนัก แต่ต้นก็จะทำเท่าที่ทำได้อย่างเต็มที่เสมอ

ต้นยิ้มแล้วก็ส่ายหน้าเล็กน้อย แต่เขาก็เต็มใจที่จะทำตามที่เพื่อนขอ ต้นตักข้าวแล้วก็ค่อยๆ ส่งเข้าปากเพื่อน สนกินไปก็ยิ้มไปด้วยความชอบใจ

“โห...ไอ้สน มึงนี่เว่อร์จริงๆ ไม่ได้เป็นอะไรมากสักหน่อยทำสำออยให้ไอ้ต้นมาป้อนข้าว” เสียงของปั้นจั่นดังมาจากประตู นิกก็มาด้วย

“ทำไม นี่เพื่อนกูนะเว้ย พวกมึงยุ่งอะไรด้วยล่ะ” สนว่า

นิกกับปั้นจั่นขำกันใหญ่แล้วก็เดินเข้ามายืนดูสนข้างๆ เตียง “ไม่สบายแล้วยังปากเก่งอีกนะมึง ไอ้ต้นก็เหมือนกัน ตามใจเพื่อนจนเคยตัว” ปั้นจั่นหันไปแซวต้นบ้าง ต้นได้แต่นั่งยิ้ม

“ก็ต้นเป็นเพื่อนรักกูนี่หว่า เวลาต้นไม่สบายกูก็ดูแลต้นเหมือนกัน” สนเถียง

“เอาเหอะๆ ปากดีแบบนี้แสดงว่าไม่ได้เป็นอะไรมากจริงๆ ด้วย งั้นพวกกูไม่กวนพวกมึงละกัน” ปั้นจั่นตัดบท แล้วก็พานิกเดินออกไป

พอกินข้าวเสร็จแล้ว ต้นก็เอายาพาราเซตามอลให้เพื่อนกินสองเม็ด พลางกำชับว่า “เราว่าตอนบ่ายนายไปหาหมอดีกว่านะ เดี๋ยวเราพาไป”

สนพยักหน้าตกลงอย่างง่ายดายจนต้นแปลกใจ ปกติสนจะดื้อมากเรื่องไปหาหมอ บอกให้ไปก็มักจะไม่ค่อยยอมไป

“ทำไมยอมไปง่ายจัง” ต้นถามอย่างสงสัย

“ก็...เราไม่อยากดื้อกับนายแล้วไง เรารู้ว่านายเป็นเพื่อนที่หวังดีกับเรา เราก็เชื่อนายไง นายว่าไงเราก็ว่างั้น”

ฟังแล้วต้นก็อดยิ้มดีใจไม่ได้ “นอนพักก่อนนะ ให้เหงื่อออกก่อน เดี๋ยวเราจะมาเช็ดตัวให้” ต้นบอก

สนค่อยๆ เลื่อนตัวลงนอน ก่อนจะนอน สนก็หันมายิ้มและบอกต้นเบาๆ ว่า “ขอบใจนะต้น” แล้วสนก็นอนหลับไป

------------------------------------------------------------------------------------------------



ปีนี้เป็นปีที่ 11 แล้วที่ต้นกับสนได้เป็นเพื่อนรักกัน ความรักระหว่างเพื่อนก็ยังสม่ำเสมอดี เขามีความสุขที่ได้เห็นเพื่อนเติบโตและได้ช่วยสนับสนุนเท่าที่จะทำได้ ต้นยิ่งมั่นใจมากขึ้นไปอีกว่า “รักแบบนี้ก็ดีอยู่แล้ว” เขาจึงไม่เคยคิดที่เรียกร้องหรือทำให้สนรู้ว่าต้นคิดกับเพื่อนอย่างไร แต่ความลับก็ไม่เคยมีในโลก สุดท้ายก็มีเหตุให้สิ่งที่ต้นปิดบังมากว่า 10 ปีถูกเปิดเผยออกมาจนได้

ช่วงเย็นๆ ของวันหยุดวันหนึ่ง สี่หนุ่มลงมานั่งทำงานด้วยกันที่ห้องโถงชั้นล่างอย่างสบายอารมณ์หลังจากกินข้าวแล้ว สนนั่งทำงานกับคอมพิวเตอร์ส่วนตัวของเขา ส่วนต้นไม่มีงานวันนี้ก็เลยมาช่วยนิกกับปั้นจั่นทำงาน สองคนนี้เลือกเรียนเศรษฐศาสตร์ก็จริง แต่ก็ไม่ค่อยชอบการคำนวณ ต้นจึงเป็นผู้ช่วยที่ดีมากในเรื่องนี้

“เฮ้ย พวกมึงสองคนรู้ไหมว่าต้นจะเก่งเศรษฐศาสตร์เท่าพวกมึงแล้วนะ” สนแซวเพื่อนขณะทำงาน เขาเห็นสองคนนี้ทำงานส่งอาจารย์ทีไรก็ต้องถามหาต้นแทบทุกที

“อ้าว ก็พวกกูไม่ชอบคำนวณนี่หว่า” ปั้นจั่นแก้ตัว

“ไม่ชอบแล้วเรียนทำไมวะ” สนถามกลับ

“ก็ไม่คิดว่ามันจะเยอะขนาดนี้นี่หว่า” ปั้นจั่นตอบแล้วทุกคนก็หัวเราะ

“พอดีเราเห็นหนังสือเล่มหนึ่งเกี่ยวกับเศรษฐศาสตร์น่าสนใจ ก็เลยยืมจากห้องสมุดมาให้ เอาไหม เดี๋ยวเราไปเอามาให้” ต้นบอก นิกกับปั้นจั่นทำท่าทางสนใจ ต้นจึงลุกขึ้นเพื่อจะเดินไปหยิบหนังสือเล่มนั้นบนห้องของเขา สนรีบร้องห้ามว่า

“ไม่ต้องไปหรอก จะเอาอะไร บอกเรามาเดี๋ยวเราไปหยิบให้”

ต้นหยุด นั่งลงกับที่แล้วบอกสนว่า “หนังสือเล่มสีฟ้าๆ น่ะสน เราวางไว้บนโต๊ะทำงานของเรา มีอยู่เล่มเดียว หาไม่ยากหรอก” ต้นบอก หลังๆ มานี้สนดูจะเอาใจเขามากขึ้น ถ้าสนอยากช่วยอะไรต้นจึงไม่ค่อยขัดเพราะเข้าใจว่าเพื่อนก็อยากทำอะไรให้เขาบ้าง

สนเดินขึ้นไปชั้นสองของบ้านแล้วก็ไปที่ห้องของต้นซึ่งก็อยู่ติดกับห้องของเขาเอง สนสามารถเปิดประตูเข้าไปได้เลยเพราะปกติพวกเขามักจะไม่ล็อกห้องกันยกเว้นตอนออกไปข้างนอก สนไม่ได้เปิดไฟเพราะเห็นว่ามาเอาของแป๊บเดียว เขาเดินไปที่โต๊ะทำงานของต้นตรงมุมห้องก็เห็นหนังสือเล่มสีฟ้าๆ ตามที่ต้นบอกวางอยู่จึงหยิบขึ้นมา จังหวะที่กำลังจะเดินออกไปนั้นสายตาของเขาก็พลันเหลือบไปเห็นหนังสือเล่มหนึ่งที่ต้นคงลืมเก็บเข้าที่ มันวางอยู่ตรงมุมๆ โต๊ะใกล้ๆ กับหนังสือเล่มสีฟ้าที่เขาเพิ่งหยิบมานั่นเอง มันอาจจะไม่ได้มีอะไรน่าสนใจเลยถ้าหากว่าหน้าปกของหนังสือเล่มนั้นไม่ได้มีรูปของผู้ชายที่เปลือยอกและใส่แต่กางเกงในสีขาวตัวเดียว

สนวางหนังสือเล่มสีฟ้าลงแล้วหยิบหนังสือเล่มนั้นมาเปิดดูด้วยความอยากรู้ว่า มันคือหนังสืออะไร มือไม้และปากของสนสั่นทันทีที่เห็นรูปภาพข้างในหนังสือเล่มนั้น เขารู้สึกอ่อนแรงจนแทบจะทรงตัวไม่อยู่ ต้นมีหนังสือแบบนี้ได้อย่างไรกัน หนังสือที่มีแต่รูปผู้ชายโป๊เปลือย ต้นเป็นเกย์หรือ เขาไม่อยากจะเชื่อเลย ตลอดระยะเวลาที่คบกันมาเป็นสิบๆ ปี เขาไม่เคยรู้เลยว่าต้นเป็นเกย์และเขาก็เกลียดคนพวกนี้มาก ภาพที่เขาถูกชายคนนั้นพยายามข่มขืนปรากฏชัดขึ้นในหัวของเขา ความหวาดกลัวและขยะแขยงครั้งนั้นฝังลึกเข้าไปในจิตใต้สำนึกของเขาจนยากที่จะลบเลือนมันออกไปได้ง่ายๆ

แล้วสนก็เริ่มสงสัยว่าที่ต้นคอยทำดีกับเขานั้น ต้นทำในฐานะเพื่อนหรือมีอะไรที่มากกว่าเพื่อนหรือเปล่า เพราะหลายๆ ครั้งสนก็รู้สึกว่าต้นคิดและปฏิบัติกับเขามากกว่านั้น ยิ่งได้รู้แบบนี้แล้วสนก็ยิ่งสงสัยมากขึ้น หรือว่าต้นจะ...

“ทำไมเป็นแบบนี้” สนพึมพำพูดกับตัวเอง

เขาเดินลงมาจากห้องของต้นแล้วเอาหนังสือมาให้นิกกั้นปั้นจั่น แต่มืออีกข้างหนึ่งของเขาไพล่หลังเอาไว้เหมือนถืออะไรซ่อนไว้อยู่ สีหน้าเขาดูเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด ดูเหมือนทั้งโกรธและผิดหวังปนกันอยู่บนใบหน้านั้น

“ต้น...นายเป็นเกย์ใช่ไหม” สนตัดสินใจถาม ทุกคนต่างตกตะลึง โดยเฉพาะต้นที่หน้าซีดเผือดลงอย่างเห็นได้ชัด

“นายพูดอะไรน่ะสน” ต้นถามเสียงสั่น

“ตอบเรามาสิ ว่านายเป็นเกย์ใช่ไหม” สนถามเสียงดังขึ้น แล้วเขาก็เอาหนังสือเล่มนั้นที่ถือไว้ด้านหลังฟาดลงไปบนโต๊ะ

“แล้วนี่อะไรต้น นายมีหนังสือพวกนี้ได้ยังไง” สนคาดคั้น

ต้นมองดูหนังสือเล่มนั้นแล้วก็ใจหายวาบ ในที่สุดความลับที่เขาปกปิดเอาไว้ก็ถูกเปิดเผยออกมาจนได้ทั้งๆ ที่เขาไม่ได้อยากให้ใครรู้เลย โดยเฉพาะสนที่ไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องรู้ นิกกับปั้นจั่นเองก็ดูจะตกตะลึงไม่แพ้กัน แม้ว่าจะรู้ว่าต้นเป็นเกย์มาตั้งนานแล้วแต่ก็ไม่เคยคิดที่จะบอกใครอีก อีกทั้งก็คาดไม่ถึงว่าพอสนรู้แล้วสนจะโกรธมากถึงขนาดนี้

“นายเป็นเกย์ใช่ไหมต้น” สนถามย้ำ

ต้นลุกขึ้นแล้วรีบเดินมาจับแขนเพื่อนไว้ “คือ...” ต้นอ้ำอึ้งไม่รู้จะตอบเพื่อนว่าอย่างไร

ทันทีที่ต้นจับมือเขา ภาพในจิตใต้สำนึกนั้นปรากฏขึ้นอีกครั้ง ความรู้สึกเกลียดกลัวขยะแขยงเพิ่มทวีโดยอัตโนมัติ สนผลักเพื่อนออกไปอย่างแรงจนต้นล้มลงกับพื้น แม้ว่ามันจะเป็นเพียงปฏิกิริยาอัตโนมัติที่สนทำไปโดยไม่รู้ตัว แต่สิ่งที่เกิดขึ้นก็ได้สร้างบาดแผลทางจิตใจให้เพื่อนที่เขารักเสียแล้ว

“ไอ้สน มึงทำอะไรวะ” นิกกับปั้นจั่นร้องพร้อมกันเพราะคาดไม่ถึงว่าสนจะทำกับเพื่อนถึงขนาดนั้น

หัวใจของต้นคงสลายไปแล้ว เขามองหน้าเพื่อนอย่างไม่เชื่อสายตา ไม่คาดคิดว่าเพื่อนที่ต้นรักมาก ทุ่มเทความรักให้มาตลอดหลายปีที่ผ่านมาจะรังเกียจเขาได้ถึงเพียงนี้ น้ำตาต้นไหลรื้นเต็มใบหน้า เขาเสียใจจนเกินจะอดกลั้นเอาไว้ได้

“นายรังเกียจเราขนาดนี้เลยหรือสน” ต้นพูดพร้อมสะอื้น

สนเองก็ตกใจไม่น้อย พอรู้ตัวว่าทำอะไรลงไปก็สายเสียแล้ว

ต้นลุกขึ้นยืนแล้ววิ่งขึ้นไปบนห้องทันที เขาทนไม่ได้ที่จะเห็นสายตาฉายแววรังเกียจจากคนที่เขารัก มันโหดร้ายทารุณเกินกว่าที่เขาจะอยู่ตรงนี้ต่อไปได้ ต้นปิดประตูล็อกห้องแล้วปล่อยโฮอย่างสุดกลั้น

“ไอ้สน มึงทำอะไรลงไปรู้ตัวไหม” ปั้นจั่นตะคอกใส่เขาอย่างเหลืออด

สนเดินหนีขึ้นไปบนห้องด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เสียงต้นร้องให้โฮๆ อยู่ในห้องดังจนได้ยินจากข้างนอก เขาไม่เคยเห็นต้นเสียใจและผิดหวังมากขนาดนี้เลย ต้นร้องให้เหมือนคนที่หมดสิ้นแล้วทุกสิ่งทุกอย่าง ร้องให้เหมือนคนจะขาดใจ ร้องให้เหมือนคนที่ผิดหวังอย่างที่สุดในชีวิต แต่สนก็ไม่ได้ทำอะไร เขาเข้าไปในห้องของเขา เฝ้าถามตัวเองว่าเขาทำเกินไปหรือเปล่า สนเดินเอาหูไปแนบกับกำแพงห้อง เสียงต้นยังคงร้องให้ไม่หยุดเลย เขาทรุดนั่งลงกับพื้น ชันเข่าแล้วซบหน้าลงบนเข่าของตัวเอง

“ทำไมนายต้องเป็นแบบนี้ด้วยล่ะต้น” สนรำพันเบาๆ แล้วก็ร้องให้อยู่อย่างนั้นเป็นเวลานานทีเดียวจนผล็อยหลับไป แล้วก็สะดุ้งตื่นเมื่อได้ยินเสียงคนมาเคาะประตูห้องดังสนั่น จริงๆ แล้วน่าจะเรียกว่าทุบมากกว่าเคาะ สนรีบเดินไปเปิดประตูทันทีด้วยอาการตกใจ

“ไอ้สน มึงรู้ไหมว่าไอ้ต้นมันเป็นอะไร กูเคาะประตูห้องมันเท่าไหร่มันก็ไม่เปิด” นิกบอกด้วยสีหน้ากังวล

สนรีบวิ่งมาที่ห้องต้นด้วยหน้าตาตื่นทันที เขาเคาะประตูห้องต้นอยู่หลายครั้งแต่ไม่มีเสียงตอบใดๆ จากข้างในห้อง

“ไอ้ต้นมันจะคิดสั้นหรือเปล่าวะ” ปั้นจั่นพูดพลางทำสีหน้าไม่ดี สนใจหายวูบ

“มึงพูดอะไรน่ะ” สนตะคอกเพื่อน

“เออ กูพูดไม่ดีหรอก แต่ใครล่ะที่ทำให้ต้นมันเป็นแบบนี้” ปั้นจั่นตะคอกกลับ

สนไม่ได้สนใจมากนัก เขาเป็นห่วงเพื่อนของเขามากกว่าเรื่องอื่นๆ ในตอนนี้ เขาพยายามเคาะและเรียกต้นแต่จนแล้วจนรอดก็ไม่มีเสียงตอบรับใดๆ เขาเริ่มกลัวอย่างที่ปั้นจั่นพูดเมื่อสักครู่นี้ ถ้าต้นคิดสั้นหรือเป็นอะไรไป เขาจะทำอย่างไรดี เขาจะไปบอกพ่อกับแม่ต้นรวมทั้งพ่อกับแม่ของเขาเองว่ายังไง

“โทรหาพี่พิมพ์เร็ว ขอกุญแจสำรองด่วน” นิกนึกได้

ปั้นจั่นรีบหยิบโทรศัพท์มือถือมาแล้วกดหาพี่พิมพ์เจ้าของบ้านทันที ราวๆ ครึ่งชั่วโมงพี่พิมพ์ก็มาถึงด้วยอาการตื่นตกใจเช่นกัน เธอกำลังจะนอนพอดี แต่พอรู้เรื่องก็รีบมา สนรีบรับกุญแจมาแล้วไขเข้าไปในห้อง เขาหลับตาแล้วนับหนึ่งถึงสิบในใจ เขาไม่อยากลืมตาแล้วเห็นภาพที่เขาไม่อยากเห็นเลย ในขณะที่คนอื่นๆ กรูกันเข้าไปในห้องแต่สนกลับรู้สึกว่าเขาทำใจได้อย่างยากลำบากที่จะมองหาว่าต้นอยู่ตรงไหน เขากลัวเหลือเกินว่าเขาจะเห็นต้นเป็นอะไรอยู่ตรงไหนสักแห่งในห้องนี้ แต่เมื่อทุกคนหาจนทั่วก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของต้น

“ไปดูตรงหน้าต่างซิ ต้นกระโดดลงไปหรือเปล่า” นิกรีบวิ่งไปเปิดหน้าต่างดู ก้มมองลงไปข้างล่างแล้วก็ไม่มีอะไรอยู่ดี

“กระเป๋าเป้ไอ้ต้นมันหายไปว่ะ หนังสือเรียนมันก็เอาไปด้วย แสดงว่ามันออกไปจากห้องแล้วล่ะ” ปั้นจั่นบอกคนอื่นๆ

“เกิดอะไรขึ้นเหรอ ทำไมต้นถึงหนีไปล่ะ” พี่พิมพ์ถามอย่างสงสัย ทุกคนหยุดมองหน้ากัน

“ทะเลาะกันนิดหน่อยครับ” สนบอกเบาๆ

“หน่อยกับผีอะไรล่ะ” ปั้นจั่นประชดด้วยความหมั่นไส้

“โทรหาต้นซิ” พี่พิมพ์เสนอ

สนรีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาเพื่อน แต่โทรเท่าไรก็ไม่ติด

“สงสัยต้นจะปิดเครื่องครับ” สนบอก หรือว่าต้นจะกลับบ้านไป แต่ถ้าเขาโทรไปที่บ้านต้น ถ้าเกิดว่าต้นไม่ได้ไปที่นั่นแล้วพ่อกับแม่ต้นถามว่าต้นไปไหนหรือเกิดอะไรขึ้น เขาจะตอบพ่อกับแม่ของต้นว่าอย่างไรล่ะ ถ้าโทรไปตอนนี้ก็จะยิ่งทำให้พ่อกับแม่ของต้นตกใจ

“ต้นมันจะกลับบ้านหรือเปล่าวะ สนมึงโทรไปถามที่บ้านมันซิ” นิกเสนอ

แต่สนรู้ว่าต้นคงไม่ได้กลับไปบ้านอย่างแน่นอน ตอนนี้ต้นคงไม่อยากเจอเขา ถ้ากลับไปที่บ้านเขาก็ต้องตามไปเจออยู่ดี

“อย่าเลย เดี๋ยวพ่อกับแม่ต้นจะตกใจ ต้นไม่ได้กลับบ้านหรอก” สนบอก ทุกคนมองหน้ากันเหมือนสงสัยว่าสนรู้ได้อย่างไร

“มึงรู้ได้ยังไงวะ” นิกถามอย่างสงสัย

“กูเป็นเพื่อนต้นมาสิบกว่าปี ทำไมจะไม่รู้” สนตอบ

“เป็นเพื่อนกันประสาอะไรวะ” ปั้นจั่นอดที่จะประชดอีกไม่ได้

สนเจ็บแปลบในหัวใจกับสิ่งที่เพื่อนพูด พี่พิมพ์มองดูเด็กๆ แต่ละคนด้วยสีหน้างงๆ

เมื่อไม่รู้จะไปตามหาที่ไหน ไม่รู้ว่าต้นไปไหน ติดต่อต้นก็ไม่ได้ ก็คงทำอะไรไม่ได้มากกว่ารอ ก่อนจะกลับพี่พิมพ์ก็หันมากำชับว่าถ้าต้นกลับมาหรือติดต่อต้นได้แล้วให้โทรบอกแกด้วย แล้วทุกคนต่างก็แยกย้ายกันไปนอน สนเดินกลับมาที่ห้อง เขาสังเกตเห็นว่าตรงใต้ประตูมีกระดาษแผ่นหนึ่งตกอยู่ จึงหยิบขึ้นมาอ่าน

“สน...เรารู้ว่านายคงรังเกียจเรามากและคงรับไม่ได้ที่เราเป็นแบบนี้ เพื่อให้นายสบายใจ เราจะขอเป็นฝ่ายจากไปเอง นายไม่ต้องห่วงเรานะ โชคดีนะเพื่อนรักของเรา ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เรารักและเป็นห่วงนายเสมอ”

สนอ่านแล้วก็น้ำตาร่วงทันที
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24-05-2012 07:54:17 โดย sarawatta »

ออฟไลน์ gambee

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 451
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
ไม่ใช่แค่สนหรอกที่น้ำตาร่วง
คนอ่านก็ร่วงเหมือนกัน
ฮืออออ :o12:

Mc_ma

  • บุคคลทั่วไป
บีบคั้นหัวใจ.........เกินบรรยาย

อ่านไป น้ำตาก็ไหลไม่รู้ตัว

ทำไมสนทำกับต้นแบบนี้
สงสาร.......ต้นเหลือเกิน  :o12: :o12: :o12:

ขอบคุณค่ะ  :L2: :L2: :L2:


icyblue

  • บุคคลทั่วไป
อ่านตอนนี้แล้วเศร้าน้ำตาไหลเลย :sad4:               

DexTunG

  • บุคคลทั่วไป

ออฟไลน์ ordkrub

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4157
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +341/-12
รันทดทุกครั้งที่อ่านตอนนี้
สงสารต้น

speedboy

  • บุคคลทั่วไป
อ่านมาถึงท่อนนี้กะเอากันให้ช้ำใจตายเลยใช่มั้ยครับ  อย่านานนะครับสงสารน้องต้นอะคร้าบ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด