ซีรีย์หวานอมขม : ภาค ขนมปังสังขยา กับ ลาวาช็อคโกแล็ตชิ้นที่ 6ฝนตก
ซวยจริง ๆ ให้ตายเหอะ
ทำไมถึงต้องมาตกเอาตอนนี้วะ
เพิ่งจะสามทุ่มเองแท้ ๆ อุตส่าห์หอบขนมมาตั้งเยอะขายได้ไม่หมดพอดี
หนุ่มแว่นเจ้าของร้านขนมไทยรีบโกยขนมสารพัดชนิดที่วางบนโต๊ะแพ็คเก็บลงกล่อง
แน่นอนว่าน้องหงส์ขนมไทยของเขา
แปรสภาพเป็นน้องหงส์ฟ้าลอยขึ้นสวรรค์ไปตั้งแต่ชั่วโมงแรกที่จัดเสร็จแล้ว
เหลือแต่เศษซากของต้นกล้วยและโครงลวดที่ทำให้เขาต้องหอบหิ้วของพลุงพลัง
เตรียมวิ่งกลับไปยังรถมอเตอร์ไซต์ของตนซึ่งจอดทิ้งไว้ในซอยหน้าตลาด
แต่อนิจจา วิ่งไปได้แค่ครึ่งทาง
ฝนห่าใหญ่ก็ทวีความหนักหน่วงซัดกระหน่ำไม่หยุด
ดวงตากลมมองผ่านเลนส์แว่นที่เริ่มมีหยดน้ำฝนเกาะจนมัว
เหลือบเห็นศาลาที่พักซึ่งมีคนยืนอออยู่จำนวนหนึ่ง
เขาจึงตัดสินใจวิ่งเข้าไปหลบฝนก่อนตัวเองจะเปียกโชกไปทั้งร่าง
ทว่าทันทีเท้าเหยียบลงบนศาลา
เสียงเรียกจากทิศทางที่เพิ่งวิ่งผ่านมาก็ดังลั่นขึ้น
“เฮ้!! คุณ!
วู้ววว!! คุณลูกแม่พลอยยยย
เดี๋ยวก่อน คุณลืมของไว้ ได้ยินม้ายยย!!!
ลูกแม่พลอยยยยย!!!!”
...เออ กูได้ยินแล้ว
คนทั้งศาลาที่อยู่นี่ก็ได้ยินด้วย
อายเลยมั้ยกู... อายเลยมั้ย...
เรียกมาได้ยังไงลูกแม่พลอย
ดูสิ คนเขายิ้มขำกันหมดแล้ว
มึงจะบ้ารึเปล่าวะ
จะตะโกนเรียกอะไรก็หัดดูกาละเทศะซะบ้างสิโว้ยยย!!
เจ้าของร้านขนมไทยมองคนเพียงคนเดียวที่กล้าเรียกชื่อของตนแบบนี้อย่างนึกเคือง
แต่หนุ่มเซอร์ที่เพิ่งวิ่งขึ้นมาบนศาลาด้วยสภาพเปียกปอน
พร้อมกับหิ้วของมาเต็มสองมือกลับยื่นสิ่ง ๆ หนึ่งมาตรงหน้า
“เอ้านี่ คุณลืมผ้าเช็ดโต๊ะไว้”
...โอ้โห แค่ผ้าเช็ดโต๊ะ
เรียกเสียงดังไปทั้งซอยอย่างกับลืมทองไว้สามบาท
แค่นี้ปล่อยมันไว้อย่างนั้นก็ได้
เดี๋ยวกูวิ่งกลับไปเอาเอง
จะมาร้องเรียกชื่อประหลาด ๆ ให้ขายขี้หน้าคนอื่นทำไม
ภาพพจน์กูเสียหายป่นปี้หมดเข้าพอดี
ทว่าคนที่ลืมของก็ยังยื่นมือออกไปรับ
แต่ยังไม่วายกระแทกเสียงกลับพร้อมคำบ่นด้วยความหงุดหงิด
“ขอบคุณ แล้วก็ช่วยเลิกเรียกผมว่าลูกแม่พลอยได้แล้ว”
“งั้นคุณชื่ออะไรล่ะ”
หนุ่มเซอร์เสยผมที่ลู่เปียกน้ำ พลางขมวดคิ้วถาม
...คราวที่แล้วถามดี ๆ ไปก็ไม่ยอมบอก
ทียังงี้มาทำหน้าบึ้งใส่
ใช่ความผิดเขารึไงกัน
ไหนชื่ออะไร
คุณลูกแม่พลอย
หวงหนักหวงหนา
ลองบอกชื่อมาชัด ๆ สิ
ร่างสูงมองหนุ่มแว่นที่ถอนหายใจเบา ๆ อย่างเสียมิได้
ก่อนอีกฝ่ายจะเอ่ยถ้อยคำผ่านริมฝีปาก
“สาลี่”
ชื่อที่ได้ยินทำให้คนฟังต้องหันกลับไปมองพิจารณาคู่สนทนาใหม่ชัด ๆ
พลางเอ่ยถามย้ำด้วยน้ำเสียงระคนแปลกใจ
“ห่ะ อะไรนะ ‘สาลี่’ ชื่ออย่างกับผู้หญิง”
เจ้าของชื่อหันขวับจ้องคนพูดตาขวางโวยวายขึ้นทันควัน
“มันเป็นชื่อขนมต่างหากโว้ย
แม่บอกว่าตอนแพ้ท้องอยากกินมาก
ต้องให้พ่อดั้นด้นซื้อมาจากสุพรรณนู้นเพราะสมัยก่อนไม่ค่อยมีขาย
พอผมเกิด แม่ก็เลยตั้งชื่อผมว่า ‘สาลี่’
แต่คนอื่นๆ เรียกผมว่า ‘สา’ เฉยๆ”
คำอธิบายยาวเหยียดทำให้คนฟังพยักหน้าหงึก ๆ อย่างเข้าใจที่มาที่ไป
ก่อนจะได้ยินประโยคย้อนถามกลับ
“แล้วคุณล่ะ?”
“ผมชื่อ นักรบ”
คราวนี้เป็นที่ของหนุ่มแว่นที่ก้มมองเจ้าของชื่อตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยสายตาพิจารณา
ก่อนจะพูดย้ำขึ้นด้วยน้ำเสียงแปลกใจเลียนแบบเขา
“นักรบ เนี่ยนะ
ดูสภาพคุณแล้วไม่เห็นเข้ากันกับชื่อเลย”
ร่างสูงไม่ได้ร้องโวยวายเถียงกลับ
เพียงแค่ทอดสายตามองผ่านม่านน้ำฝน
พลางเล่าขยายความเป็นมาของชื่อตัวเอง
“ชื่อนี้พ่อผมเป็นคนตั้งให้ เขาเป็นทหารประจำการอยู่แถวภาคใต้
เคยหวังว่าจะให้ผมเป็นทหารเหมือนกัน
แต่ผมไม่ยอม ทะเลาะกันเกือบบ้านแตก
สุดท้ายแม่ก็เลยมาช่วยไกล่เกลี่ยให้ผมได้เรียนถ่ายรูป
ผมก็ตั้งใจเรียนให้ได้ดีน่ะ
เพราะอยากให้พ่อเห็นว่าศิลปะมันไม่ได้แย่อะไร
แต่พ่อดันมาเสียซะก่อนวันรับปริญญาผมแค่สองวันเอง
ก็โดนซุ่มวางระเบิดนั้นแหละ
แม่กับผมเลยขอกลับมาอยู่ที่นี่ ที่บ้านเกิดแม่
มาเริ่มนับหนึ่งกันใหม่
อาศัยว่าแม่เคยทำพวกเบเกอรี่ขายอยู่ก่อนหน้านั้นแล้ว
ผมก็เป็นลูกมือช่วยทำบ้าง
นี่ก็คิดว่าจะเปิดร้านขายให้เป็นที่เป็นทางสักที
ฝากขนมให้ร้านอื่นขายบ่อย ๆ ก็เกรงใจเขา”
เรื่องราวมากมายอย่างที่ไม่เคยคิดว่าจะได้ยินทยอยเข้าผ่านหู
และดูเหมือนจะเป็นครั้งแรกที่เจ้าของร้านขนมไทยยืนฟังนิ่ง ๆ
โดยไม่มีคำบ่นประชดหรือด่าเหน็บคืนอะไร
...ก็เล่นพูดมาซะขนาดนี้ ใครจะไปทำกันลง
เห็นมันทำตัวติสต์ ๆ เหมือนคนไม่เอาถ่าน
แต่ความจริงชีวิตของมันก็ผ่านอะไร ๆ มามากเหมือนกัน
คนเราจะตัดสินกันจากลักษณะภายนอกไม่ได้จริง ๆ ด้วย
อยากจะพูดให้กำลังใจมันไปสักคำ
แต่ก็ไม่รู้จะเริ่มต้นยังไง
มันเองก็ไม่มีท่าทีเรียกร้องความสงสารหรือเห็นใจอะไรด้วย
เหมือนกับแค่เล่าประวัติชีวิตให้ฟังเรื่อย ๆ มากกว่า
เขาจึงตัดสินใจยืนเงียบ ๆ อยู่แบบนั้น
ปล่อยให้เสียงเม็ดฝนกระทบพื้นแทนคำตอบ
ทว่า แม้เวลาจะผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมงแล้ว
ฝนก็ยังคงตกต่อเนื่องโดยไม่มีท่าทีว่าจะผ่อนแรงเลยสักนิด
...ยืนตัวเปียก ๆ แบบนี้ก็ชักหนาว
แถมยังห่วงข้าวของที่โดนฝนอีกด้วย
ความจริงร้านขนมไทยของเขาอยู่ในย่านตลาดเก่า
เดินจากนี้ไปสักสิบห้านาทีก็ถึงแล้ว
ปกติเขาเอาขนมใส่กล่องแล้วก็ขับมอเตอร์ไซค์มา
เพราะว่าถ้าขับรถใหญ่มันจะยิ่งหาที่จอดรถในซอยแคบ ๆ ยาก
ใจจริงก็อยากจะทิ้งมอเตอร์ไซต์แล้วเดินเลาะกลับบ้าน
แต่ว่าวันนี้ดันมาสร้างน้องหงส์ขนมไทยเลยทำให้มีอุปกรณ์ต้องขนกลับเยอะเป็นพิเศษ
จะให้เดินหลบฝนไปแบกไป สงสัยจะไม่ไหว
คงต้องรอฝนซาลงอย่างเดียวเท่านั้นซึ่งก็ดูท่าจะอีกนาน
แบบนี้ เขาโทรไปบอกแม่ไว้ก่อนดีมั้ยนะ
คิดพลางเอื้อมมือล้วงกระเป๋าหยิบโทรศัพท์
แต่นิ้วยังไม่ทันได้กดปุ่ม เสียงจากคนข้างตัวก็ดังขึ้น
“รถผมจอดอยู่แถวนี้ ถ้าเดินเลาะไปตามตึกก็ไม่ไกลเท่าไร
คุณจะไปด้วยกันมั้ย เดี๋ยวผมขับไปส่ง”
...หืม เมื่อกี๊ไอ้ลูกแม่เดือนมันบอกว่าจะไปส่งให้เหรอ
แปลกว่ะ อยู่ดี ๆ ก็ดันมีน้ำใจขึ้นมาซะงั้น
แต่ถ้าให้รออยู่อย่างนี้ก็ไม่รู้นานแค่ไหนจะได้กลับ
สามทุ่มครึ่งแล้วเดี๋ยวต้องกลับไปเตรียมของที่จะทำขายวันพรุ่งนี้อีก
ถ้าทำไม่ทันขึ้นมาล่ะก็แย่แน่
เอาวะ! ...ไปก็ไป
เขาพยักหน้าตอบแสดงความตกลง
ทำให้ร่างสูงเริ่มหิ้วของขึ้นมาถือไว้
ก่อนจะเดินนำหน้าลัดเลาะหลบฝนผ่านกันสาดตัวตึกไป
โดยมีหนุ่มแว่นคอยตามอยู่ห่าง ๆ
กระทั่งผ่านไปแค่เพียงสองช่วงตึก
เขาก็เห็นรถโฟล์กเต่าสีเหลืองสภาพเหมือนผ่านการใช้มานานจอดนิ่งอยู่ในความมืดสลัว
นักรบรีบไขกุญแจเปิดประตูพลางยัดข้าวของใส่เบาะหลัง
แล้วทั้งสองจึงรีบมุดตัวเองเข้าสู่รถก่อนปิดประตูลง
ไม่นานรถเต่าสีเหลืองก็ขับแล่นอ้อมออกถนนใหญ่ด้านหน้าตลาด
ก่อนจะวนเข้ามาในซอยเล็ก ๆ อีกทีตามคำบอกของคนร่วมทาง
และแล้วไฟหน้ารถก็มาหยุดลงตรงตึกแถวหลังหนึ่ง
สาลี่หอบของมากมายไว้เต็มสองมือ
โดยมีคนขับช่วยยกกล่องขนมออกมาด้วย
ก่อนเจ้าตัวจะเอื้อมมือเคาะประตูบานพับแบบจีนพร้อมส่งเสียงเรียก
“แม่ครับ สากลับมาแล้วครับ”
เขาได้ยินเสียงกุกกักอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนประตูจะเลื่อนเปิดออก
หญิงสาววัยเกือบห้าสิบ ท่าทางใจดียืนยิ้มต้อนรับ
แม้วัยจะร่วงโรยไปแต่ผมดำขลับที่มวยขึ้นเก็บไว้
ก็ยังเผยกรอบหน้าเค้าความสวยหวานอย่างเห็นได้ชัด
และนักรบก็เดาได้ไม่ยากว่า
ดวงตากลมโตของคนที่กัดกันเป็นประจำนั้นได้มาจากใคร
“กลับมาแล้วเหรอลูก
ฝนตกหนักขนาดนี้แม่นึกเป็นห่วงอยู่เชียว
อ้าว มีเพื่อนมาด้วยเหรอจ๊ะ”
เสียงอ่อนโยนเอ่ยถามอย่างห่วงใยก่อนจะเปลี่ยนเป็นแปลกใจ
เมื่อเห็นร่างสูงของใครอีกคนเดินตามเข้ามาด้วย
“ครับแม่ นี่เพื่อนสา ชื่อ นักรบ ครับ”
คนถูกเรียกชื่อรีบยกมือไหว้พร้อมเอ่ยคำแนะนำตัวอย่างนอบน้อม
“สวัสดีครับคุณแม่ เรียกผม ‘รบ’ ก็ได้ครับ
ตะโก้ฝีมือคุณแม่พลอยอร่อยมากเลยครับ
ผมชอบทาน ที่ไหนก็สู้ที่นี่ไม่ได้เลย”
เป็นความจริงที่ว่าคำชมมักได้ผลเสมอในการเริ่มต้นมิตรภาพ
เพราะเพียงแค่คนฟังได้ยินเท่านั้นเจ้าหล่อนก็ยิ้มแย้มอย่างยินดี
“จริงเหรอจ้ะ
ถ้าชอบก็เอากลับไปทานเยอะ ๆ สิลูก
แม่มีขนมอีกตั้งหลายอย่าง
นี่ก็เพิ่งอุ่นกล้วยบวชชีเสร็จ
มากินด้วยกันก่อนนะ เดี๋ยวแม่ไปตักให้”
“จะดีเหรอครับ”
นักรบพูดเลี่ยง ๆ ส่วนหนึ่งเพราะด้วยเกรงใจ
แต่อีกส่วนก็เพราะคนข้าง ๆ กำลังถลึงตามอง
ปล่อยรังสีอาฆาตเข้าทิ่มแทงเหมือนจะบอกให้รู้ว่า ‘อย่าได้คิด’
ทว่า ผู้เป็นแม่กลับไม่รับรู้ถึงสายตามาดร้ายใด ๆ ของลูกชาย
มิหนำซ้ำยังคงเร่งคำชวนยกใหญ่
“ดีสิจ้ะ น้องสาไม่ค่อยมีเพื่อนเท่าไร
นาน ๆ ทีมีเพื่อนมาหาบ้าง แม่เองก็ดีใจ”
แค่ได้ยินคำท้ายประโยคนักรบก็แทบจะกลั้นรอยยิ้มของตัวเองไม่อยู่
‘น้องสา ไม่ค่อยมีเพื่อน’ เหรอ
เห็นแบบนี้ก็ยิ่งน่าแกล้งเข้าไปใหญ่
ชายหนุ่มจึงขยับปากตอบตกลงโดยอัตโนมัติ
“งั้นผมไม่เกรงใจนะครับ”
...อ้าวเฮ้ย!! ได้ไงวะ!!
หนุ่มแว่นร้องโวยวายอยู่ในใจ
เมื่อศัตรูคู่แค้นเดินทอดรองเท้าเข้าบ้านไปหน้าตาเฉย
แต่จะอย่างไรเขาก็ไม่กล้าขัดใจแม่
อีกอย่างมันก็อุตส่าห์ขับรถมาส่งด้วย
หึ จะปล่อยให้แค่ครั้งนี้ครั้งเดียวก็ได้
แต่คราวหน้าอย่าได้หวัง
สาลี่จึงเดินตามคนที่กำลังใช้สายตาสำรวจภายในร้านอย่างสนอกสนใจ
ด้านหน้าร้านหวานละไมของเขาถูกจัดให้เป็นแผงสำหรับวางขนมไทยที่ต้องทำวันต่อวัน
ส่วนด้านในจะเป็นชั้นวางขนมอบใส่ถุงต่าง ๆ ซึ่งทำเก็บไว้ได้นาน ๆ
ถัดไปจากนั้นจึงเป็นโต๊ะเก้าอี้ไม้เข้าชุดไว้สำหรับนั่งรอลูกค้าเวลาเฝ้าร้าน
ทั้งสองคนจึงหย่อนตัวนั่งบนเก้าอี้นั้น
ก่อนที่กล้วยบวชชีอุ่น ๆ หอม ๆ จะถูกจัดเสิร์ฟพร้อมกับเสียงคะยั้นคะยอของคนทำ
“ทานเยอะ ๆ นะลูก
เมื่อเช้าแม่ทำมาหม้อใหญ่ตั้งใจจะทำบุญเลี้ยงพระ
ขนาดแจกคนอื่นไปเยอะแล้วนะ แต่ก็ยังเหลือกลับมาอยู่เกือบค่อนหม้อ
กลุ้มใจอยู่เชียวเพราะแม่กับน้องสาสองคนคงทานไม่ไหว”
“ไม่ต้องห่วงครับ ผมทานเก่ง
แถมอร่อยแบบนี้ รับรองไม่เหลือแน่ครับ”
นักรบรีบเอ่ยชมทันทีที่ตักคำแรกเข้าปาก
ปกติเขาเฉย ๆ กับขนมไทย ไม่ค่อยจะได้กินเสียด้วยซ้ำ
เพราะว่าบางทีมันก็หวานแสบคอจนเกินไป ไม่หอมนุ่มเหมือนพวกขนมเค้ก
แต่พอเจอรสชาติฝีมือแม่พลอยเข้าไปก็ต้องทำให้รีบเปลี่ยนความคิดใหม่
แม่พลอยทำขนมอร่อย แถมใจดีด้วย
ไม่เห็นเหมือนลูกชาย รายนั้นตั้งท่าจะกัดเขาทุกวัน
แต่เอ๊ะ...
ตั้งแต่นั่งอยู่ในร้านก็ยังไม่เห็นมันแขวะเขาสักคำ
ก้มหน้าก้มตาตักกล้วยบวชชีเข้าปากอยู่เงียบ ๆ อย่างนั้น
ปล่อยให้แม่พูดคุยกับเขาอย่างสนิทสนมอยู่ฝ่ายเดียว
“แหม ปากหวานจริง ๆ สาลี่มีเพื่อนน่ารักแบบนี้ แม่ค่อยเบาใจหน่อย
ปกติอยู่กับแม่ น้องสาเขาจะเงียบ ๆ เรียบร้อย ไม่ค่อยพูด
แม่ก็กลัวเขาจะเหงา
ถ้ายังไง แม่ฝากให้น้องรบเป็นเพื่อนเล่นเพื่อนคุยกับสาลี่ด้วยนะลูก”
ถ้อยคำที่ได้ยินทำเอาคนฟังเผลอจ้องมองเจ้าของชื่อที่นั่งอยู่ตรงข้าม
ซึ่งขยับมือคนน้ำกะทิในถ้วยไปมาแม้กล้วยจะหมดไม่เหลือแล้วก็ตาม
แต่เจ้าตัวก็ยังคงไม่ยอมละสายตาออกจากถ้วยขนมตรงหน้าเสียที
อ๋อ....
อย่างนี้นี่เองสินะ...
“ได้ครับแม่ ผมจะคอยดูแลไม่ให้คลาดสายตาเองครับ”
นักรบพูดยืนยันหนักแน่น ส่งผลให้คนแสร้งทำเป็นเมินต้องรีบเงยหน้าขึ้นมอง
ดวงตากลมภายใต้กรอบแว่นประสานสายตาเข้ากับดวงตาของเขาที่จ้องมาอยู่ก่อนแล้ว
ทำเอาคนเผลอตัวต้องรีบหลบวูบก้มลงไปให้ความสนใจกับถ้วยขนมเหมือนเดิม
“จริงสิ นี่เปียกฝนกันมาทั้งคู่ใช่มั้ยเนี่ย
แม่เองก็ลืมไปเลยมัวคุยซะเพลิน
เดี๋ยวแม่ไปเอาผ้าขนหนูมาให้เช็ดตัวก่อนนะ”
เสียงแม่พลอยร้องบอกเมื่อนึกขึ้นได้เพราะเห็นเสื้อผ้าที่ยังชื้น ๆ ของแขกผู้มาเยือน
ร่างบางกำลังจะลุกแต่ลูกชายก็เอ่ยรั้งไว้
“สาไปเองก็ได้ครับแม่”
“เราน่ะอยู่คุยกับเพื่อนไปเถอะจ๊ะ”
คำปฏิเสธที่อีกคนไม่กล้าขัดทำให้เจ้าตัวต้องนั่งลงเงียบ ๆ ตามเดิม
ปล่อยให้ผู้เป็นแม่เดินขึ้นไปเอาของชั้นบน
โดยทิ้งลูกชายไว้กับเพื่อนที่มีฐานะเดียวกับศัตรูคู่อาฆาต
ซึ่งทันทีที่เหลือกันเพียงสองคน
สุนัขจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ก็เริ่มออกลาย
“น้องสาเรียบร้อย เงียบ ๆ ไม่ค่อยพูด
เอ๊ะ...ใครกันน้า~
คุณลูกแม่พลอยรู้จักบ้างมั้ย”
คนโดนแหย่ถลึงตามอง
เมื่อไร้เหงาของบุพการี
อาการต่าง ๆ ที่เก็บซ่อนไว้ก็ถูกระบายออกมาเป็นน้ำเสียงกระแทกตอบกลับ
“กินเสร็จก็รีบกลับไปได้แล้ว ความเกรงใจน่ะรู้จักบ้างมั้ย!!”
หึหึ นี่เลยตัวจริง
น้องแว่นตาขวาง เสียงดุ
ลูกแม่พลอยของแท้
เขาพอจะรู้ว่ามันตีสองหน้าได้แนบเนียน
แต่ก็นึกว่าเป็นเฉพาะเวลาขายของ
เพราะต้องยิ้มแย้มแจ่มใสต้อนรับลูกค้าอยู่แล้ว
แต่กับที่บ้านก็ยังคงเป็นแบบนี้
ไม่รู้ว่าคิดยังไงของมัน
“ทำแบบนี้ไม่อึดอัดเหรอ”
“ห่ะ พูดเรื่องอะไร”
คนถูกถามขมวดคิ้วงง
ในใจยังคงนึกหงุดหงิดที่อยู่ ๆ อีกฝ่ายก็เอ่ยถึงสิ่งที่จับต้นชนปลายไม่ได้
ร่างสูงถอนหายใจเบา ๆ วางช้อนตักขนมลง
แล้วเปลี่ยนมาพูดขยายความด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ขนาดอยู่บ้านก็ยังไม่เป็นตัวของตัวเองแบบนี้ ไม่รู้สึกอึดอัดบ้างหรือไง”
คนฟังนิ่งอึ้งในประโยคที่ไม่เคยคิดว่าใครบางคนจะกล้าถามออกมา
....ใครบางคนที่เพิ่งเจอกันได้อาทิตย์เดียว
แต่กลับมองทะลุถึงส่วนที่ ‘อ่อนไหว’ ที่สุดของหัวใจ
...มันรู้ได้ยังไง
มันรู้ได้ยังไงว่าตัวตนที่แท้จริงของเขาคือแบบไหน
ถึงได้กล้ามาพูดอะไรพล่อย ๆ แบบนี้
จะเสแสร้งทำตัวเป็นเด็กดีมันผิดตรงไหน
ปั้นหน้าหัวเราะเพื่อให้คนรอบข้างมีความสุข
ก็เป็นสิ่งที่ควรจะทำไม่ใช่หรือไง
แล้วมันอะไรกัน
อยู่ ๆ ก็มาถามว่ารู้สึกอึดอัดมั้ย
พูดออกมาได้ยังไง
มึงพูดออกมาได้ยังไง!!!
“คนอย่างคุณจะมาเข้าใจอะไรชีวิตผม!!”
คำตะคอกตอบกลับอย่างรุนแรง
ทำให้คนที่อุตส่าห์ถามด้วยความหวังดีเริ่มอารมณ์กรุ่น ๆ
โต้กลับขึ้นมาอย่างไม่ยอมแพ้
“ผมว่าผมเข้าใจความรู้สึกของคุณดีมากกว่าตัวคุณเองซะอีกนะ
ถ้าไม่เชื่อผมจะทำให้ดู”
นักรบลุกขึ้นพรวดเดินหายออกไปข้างนอกร้าน
ทิ้งให้ใครบางคนนั่งรออย่างไม่สบอารมณ์
...ประสาทรึเปล่า
คนอื่นจะมาเข้าใจความรู้สึกของตัวเองได้ดีกว่าตัวเองได้ยังไง
แล้วมันคิดที่จะมาพิสูจน์ให้ดูอีก
เป็นไปได้ที่ไหนกัน
อ้าว กลับมาแล้วถือกล้องมาด้วย
แล้วเดินเข้ามาใกล้กูทำไม
เอ๊ะ...เดี๋ยว...
แชะ
“คุณทำอะไรน่ะ!!”
คนถูกถ่ายร้องโวยวายดังลั่น
แต่ฝ่ายที่ถือกล้องกลับทำแค่เพียงหมุนหน้าจอแสดงภาพให้อีกคนได้มอง
“ก็ผมเคยบอกแล้วไงว่ากล้องไม่เคยโกหก
แล้วนี่ก็หน้าของคุณตอนกำลังหงุดหงิดไม่พอใจ”
ภาพใบหน้าของเขาที่โชว์เด่นหราอยู่บนจอภาพ
ยิ่งสร้างความเดือดดาลให้ทวีเพิ่มมากขึ้น
“แค่มองผ่านกล้องมันจะไปรู้ได้ยังไง
ใครเชื่อก็บ้าแล้วโว้ยยย!!!!”
แชะ
เสียงโวยวายด้วยความโกรธถูกขัดด้วยเสียงชัตเตอร์
พร้อมกับที่ร่างสูงพูดออกมาอย่างไม่ทุกข์ร้อนเหมือนจงใจยั่วอารมณ์
“แล้วนี่ก็หน้าของคุณตอนกำลังโมโห”
หนอย....ไอ้เวรนี่จะไม่ฟังกันใช่มั้ย
กูทนไม่ไหวแล้วนะโว้ยยยย!!!
สาลี่ลุกขึ้นพยายามเอื้อมคว้ากล้องของอีกฝ่ายซึ่งแกล้งดึงหนี
ปากก็ยังคงส่งเสียงห้ามด้วยความโมโห
“หยุดนะ!! เลิกเล่นได้แล้ะ....เฮ้ย!!”
หนุ่มแว่นร้องเสียงหลงอย่างตกใจ
เมื่อจู่ ๆ ร่างของตนก็ถูกช่างกล้องดึงเข้ามาใกล้ ๆ อย่างไม่ทันตั้งตัว
จนตกอยู่ในอ้อมแขนแกร่งซึ่งกอดรัดเขาไว้แน่นกระทั่งขยับไปไหนไม่ได้
แชะ
“นี่หน้าคุณตอนกำลังตกใจ”
...มันยังไม่หยุดอีก
เขากำลังจะอ้าปากโวยวายขึ้นอีกรอบ
แต่สัมผัสบางอย่างนุ่ม ๆ บนแก้มก็ทำให้ทุกสิ่งชะงัก
อ่ะ...
เมื่อกี๊...
เมื่อกี๊มันทำอะไร...
แชะ
“นี่หน้าคุณตอนกำลังงง
แล้วก็......”
น้ำเสียงท้ายประโยคถูกลากยาว
พร้อมกับที่มือแกร่งประคองใบหน้าของเขาให้เงยขึ้น
แม้จะมองผ่านเลนส์แว่น แต่เขาก็ยังเห็นประกายระยิบระยับสะท้อนอยู่ในดวงตาคมคู่นั้น
...ประกายตาที่คล้ายจะดึงดูดให้ร่างกายสิ้นไร้เรี่ยวแรง
จนต้องหลับตาลงเพราะไม่อาจทนมองได้ต่อไป
ทันใดนั้นสัมผัสบางอย่างก็บรรจงแตะบนริมฝีปาก
...นุ่มนวล
...แผ่วเบา
นิ่งค้างไว้เพียงชั่วครู่
ทว่า ยาวนานเหลือเกินในความรู้สึก
ก่อนมันจะผละออกจากไปโดยทิ้งเพียงความสับสนไว้ในใจ
แชะ
เสียงที่ดังขึ้นทำให้เขาต้องเปิดเปลือกตามองขึ้นอีกครั้ง
หนุ่มมาดเซอร์ยืนถือกล้องอยู่ตรงหน้าพร้อมรอยยิ้มบาง ๆ
“นี่หน้าของคุณหลังจากถูกจูบ”
ห่ะ..
อะ...
อะไรนะ...
“ผ้าขนหนูมาแล้วจ๊ะ”
ทั้งสองคนรีบผละตัวออกห่างจากกันทันทีที่ได้ยินเสียง
ก่อนหญิงวัยกลางคนจะเดินลงมาจากบันได
โดยไม่ได้รับรู้ถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นเพียงเสี้ยวนาที
“ขอโทษที่หายไปนานนะจ๊ะ
พอดีแม่คุยโทรศัพท์กับลูกค้าที่สั่งจองขนมวันพรุ่งนี้ก็เลยมาช้าไปหน่อย
อ้าว แล้วนี่ทานขนมกันหมดแล้วใช่มั้ย อิ่มกันรึเปล่า
น้องสาไปตักเพิ่มให้เพื่อนแล้วหรือยังลูก”
“คะ...ครับ”
คนถูกวานรับคำตะกุกตะกักก่อนคว้าถ้วยขนมสองถ้วย
แล้วรีบเดินหายเข้าไปในห้องครัว
เขาเปิดฝาหม้อที่ยังอุ่น ๆ อยู่บนเตา
มือหยิบทัพพีตักขนมกล้วยบวชชีลงใส่ถ้วย
แต่ตักเท่าไรเท่าไร
ก็ได้แต่น้ำไม่มีเนื้อ
ก็มันจะไปได้ได้ยังไง
ในเมื่อตอนนี้สติไม่ได้อยู่ที่มือ
แต่อยู่ที่หัวใจซึ่งกำลังเต้นรัวด้วยความมึนงงสับสน
กับคำถามที่ยังคงเวียนวนในห้วงความคิด
อะไร.....
มันเกิดอะไรขึ้น
ใครก็ได้ช่วยบอกเขาที
รูปที่ถ่ายใบสุดท้ายเมื่อกี๊.....
ไอ้ลูกแม่เดือน
มันถ่ายรูปสีหน้าแบบไหนของเขาลงไปกัน
------------------------------------------------------------------------------------------------------------
TBC
ชิ้นที่ 6 เอามาลงซ้ำอีกรอบค่ะ
ช่วงที่เล้ามีปัญหาข้อมูลตรงนี้หายไป 
เลยอาจยังมีใครที่ยังไม่ได้อ่าน
แล้วพรุ่งนี้จะมาเสิร์ฟชิ้นใหม่ให้อีกครั้งนะคะ
BitterSweet