ซีรีย์หวานอมขม : ภาค ขนมปังสังขยา กับ ลาวาช็อคโกแล็ตชิ้นที่ 10“เดี๋ยวคุณเอาหม้อต้มน้ำให้ทีนะ จะได้เอามาละลายน้ำตาลทรายกับยีสต์”
...คร้าบบบ คุณครู
สาลี่ยั้งปากตัวเองไม่ให้เอ่ยคำล้อเลียน
ขณะที่ยืนหน้าเซ็งอยู่ในครัวร้านบ้านขนมเดือนใจ
พร้อมกับเปิดแก๊สอุ่นน้ำเปล่าธรรมดาในหม้อ
หัวก็คิดหาสาเหตุว่าทำไมกันหนอรูปการถึงได้ออกมาเป็นแบบนี้ไปได้
ทั้ง ๆ ที่แค่ต้องการหาขนมปังหัวกะโหลกดี ๆ มาคู่กับสังขยาร้านเขาแท้ ๆ
แต่ไป ๆ มา ๆ กลับกลายเป็นว่าเขาต้องมาติดแหง็กรับบทลูกศิษย์
ให้คนที่สุดแสนจะเกลียดขี้หน้ามาเป็นอาจารย์คอยสอนทำขนมปังซะอย่างนั้น
โลกนี้มันซับซ้อนวุ่นวาย แถมไม่ยุติธรรมเลยสักนิด!!
“เอ้าคุณ... มัวเหม่ออะไร น้ำได้หรือยัง
ไม่ต้องให้เดือดมากหรอกเอาแค่อุ่นนิด ๆ ก็พอ”
“คร้าบ...ได้แล้วคร้าบบบ....”
แต่แม้จะยั้งปากตัวเองแค่ไหน
ท้ายที่สุดเขาก็เผลอพูดลากเสียงออกมาด้วยความหมั่นไส้
ให้กับคนที่ร้องสั่งนั้นสั่งนี่ซึ่งดูท่าทางจริงจังผิดปกติ
ยิ่งพอผมยาว ๆ ถูกมัดเป็นมวยรวบขึ้น
ก็ยิ่งทำให้เห็นใบหน้าคมคายและเรียวคิ้วเข้มได้ถนัดตา
สลัดภาพลักษณ์เด็กติสต์จนดูเป็นผู้เป็นคนมากขึ้นกว่าทุกที
“อ่ะ ตักน้ำใส่ถ้วยนี้ แล้วก็ใส่น้ำตาลลงไป
พอละลายหมดก็ใส่ยีสต์ตามรอจนกว่ามันจะขึ้น”
“แล้วจะรู้ได้ไงว่ามันขึ้น”
เขาขมวดคิ้วถามอย่างสงสัย
ทว่า อีกฝ่ายหันกลับมาตอบหน้าตายสั้น ๆ
“เดี๋ยวคุณก็รู้เอง”
เฮ้ย! อะไรวะ?
ไม่บอกแล้วจะรู้มั้ย
ตกลงตั้งใจสอนจริง ๆ ป่ะเนี่ย
สาลี่คิดในใจอย่างนึกเคือง
แต่มือก็ยังคงขยับทำตามคำสั่งของคนที่หันไปหยิบจับส่วนผสมทั้งหลายมาวางเรียงกัน
ก่อนเจ้าตัวจะยื่นแก้วสแตนเลสทรงสูงมาวางไว้ตรงหน้าเขา
พลางพูดอวดเคล็ดลับของตนด้วยน้ำเสียงภาคภูมิใจ
“สูตรทำขนมปังของผมต่างจากที่อื่นก็เพราะเจ้านี่แหละ”
ทันทีที่ได้ยินคำว่า ‘สูตร’ คนที่พยายามค้นหาความลับของขนมปังเนื้อนุ่มมานาน
ก็ชะโงกหน้าก้มมองของเหลวที่บรรจุอยู่ในแก้วทันที
....น้ำสีขาว...นมเหรอ?
ไม่ใช่....
....เนื้อดูเข้มข้นกว่า
ถึงจะไม่เห็นบ่อยนัก
แต่ลักษณะแบบนี้ถ้าเดาไม่ผิด...
“วิปปิ้งครีม?”
สาลี่เอ่ยคำตอบที่คิดด้วยท่าทางไม่แน่ใจ
มองคนฟังที่พยักหน้ารับราวกับยืนยันในคำเฉลย
“ใช่ ผมใส่วิปปิ้งครีมแทนน้ำ
มันจะช่วยทำให้เนื้อขนมปังนุ่มแล้วก็เบากว่า
ถึงราคามันจะสูงกว่าหน่อย
แต่ผมยอมลงทุน เพราะผลที่ได้มันคุ้ม”
...ทีนี้ก็รู้เสียทีว่า ‘สูตรลับ’ ของขนมปังหัวกะโหลกร้านบ้านขนมเดือนใจคืออะไร
แต่ถ้าจำไม่ผิดราคาของขนมปังหกชิ้นหนา ๆ ขายแค่ยี่สิบบาทเองไม่ใช่เหรอ
ใช้วัตถุดิบต้นทุนขนาดนี้ แล้วจะเอากำไรมาจากไหน
ใจอยากจะอ้าปากถาม
ทว่า อาจารย์จำเป็นกลับร้องสั่งขึ้นมาเสียก่อน
“ถึงตาคุณแล้ว เดี๋ยวใส่ส่วนผสมตามที่ผมบอกนะ”
สาลี่จึงพับสิ่งที่สงสัยไว้ก่อนย้ายตัวเองไปอยู่หน้าเครื่องนวดขนมปังขนาดย่อม
แล้วจัดการเทส่วนผสมทุกอย่างตามคำสั่ง
เริ่มตั้งแต่วิปปิ้งครีมตามด้วยไข่ไก่หนึ่งฟอง
โดยมีนักรบช่วยกดปุ่มให้เครื่องทำงานอยู่ข้าง ๆ
พอเครื่องตีให้ส่วนผสมทั้งสองเข้ากันแล้ว
จึงใส่แป้งขนมปัง แป้งเค้ก และเนยอีกนิดหน่อย
ปิดท้ายด้วยเกลือซึ่งใส่ไว้ที่มุมซ้ายของเครื่อง
“ดูให้ทีว่ายีสต์ขึ้นหรือยัง”
เอ๊า! แล้วจะไปรู้ได้ไง
คำถามที่ยังไม่เข้าใจความหมายแน่ชัดทำให้หนุ่มแว่นแอบนึกฉุน
แต่เมื่อมองถ้วยใบเล็กที่ผสมยีสต์กับน้ำตาลทรายเอาไว้ก็เผลอตกใจที่เห็นฟองลอยขึ้นเต็ม
และนาทีนั้นเขาก็เข้าใจความหมายของคำว่า ‘ยีสต์ขึ้น’
จากใครบางคนที่ตั้งใจสอนเขาให้เรียนรู้ผ่านตามากกว่าแค่ฟังคำอธิบาย
สาลี่จึงเทยีสต์ลงไปตรงข้ามกับมุมที่ใส่เกลือ
มองนักรบกดตั้งโปรแกรมนวดโดว์ที่มีอยู่ในเครื่องทำขนมปังสุดแสนไฮเทค
ซึ่งดูก็รู้ว่าราคาคงแพงระยับไม่น้อย
แต่สำหรับเครื่องมือทำมาหากินแล้ว
มันก็ไม่แปลกที่จะต้องยอมลงทุนกันบ้าง
เพื่อให้ได้ใช้งานอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
ทั้งสองปล่อยให้เครื่องนวดบดขยี้แป้งขนมปังจนเนื้อเหนียว
เพียงสิบนาที นักรบจึงหยุดเครื่องหยิบแป้งขึ้นมาตรวจดูสภาพ
ร่างสูงพยักหน้า พลางบอกให้สาลี่จดจำลักษณะของแป้งที่ได้ทีเอาไว้
แล้วจึงหยิบขึ้นมานวดปั้นให้เป็นก้อนกลมอันใหญ่ วางใส่ในอ่างที่ทาเนยบาง ๆ
ก่อนใช้ผ้าขาวบางชุบน้ำหมาด ๆ ปิดกันไม่ให้หน้าแป้งแห้ง
และแทนที่จะวางพักไว้เฉย ๆ นักรบกลับหยิบอ่างแป้งวางไว้บนเตาอบที่เปิดไฟแค่เพียงอุ่น ๆ
เพื่อเร่งปฏิกิริยาของยีสต์ให้ทำงานได้ดีและเร็วขึ้น
“หลังจากนี้ก็รอให้แป้งขึ้นเป็นสองเท่า”
“นานเท่าไร”
“อืม สักสิบโมงก็น่าจะได้”
ดวงตากลมภายใต้เลนส์แว่นมองนาฬิกาที่ติดอยู่ข้างฝาผนังสีขาว
เข็มยาวและเข็มสั้นบ่งบอกเวลา
...เก้าโมงสิบห้านาที
“เฮ้ย! รอตั้งสี่สิบห้านาทีเนี่ยนะ”
คนที่คำนวณระยะเวลาอุทานอย่างตกใจ
แต่อีกฝ่ายกลับยักไหล่เหมือนไม่เห็นว่ามันจะเป็นเรื่องน่าแปลก
“จะทำขนมมันก็ต้องใช้เวลาสิคุณ
นี่ก็ต้องรอให้ขนมปังขึ้นอีกรอบนะ
รวมเวลาหมดแล้วก็น่าจะสักสามชั่วโมงได้”
สามชั่วโมง!!
แค่จะทำขนมปังหัวกะโหลกทำไม่ต้องใช้เวลานานขนาดนั้นวะ
รอให้แป้งขึ้นอย่างเดียวก็เสียเวลาตายชัก
เขาเองก็ไม่อยากปล่อยให้เวลาผ่านไปเปล่า ๆ ด้วย
อุตส่าห์ข้ามร้านมาทำถึงนี่แล้วแท้ ๆ
เอ๊ะ แต่ไหน ๆ ก็ทำขนมปังแล้วทั้งที
ก็น่าจะทำสังขยาควบคู่ไปด้วยเลย
จะได้เช็คดูด้วยว่ามันเข้ากันได้ดีมั้ย
“งั้นเดี๋ยวผมมานะ รอแป๊บ”
เจ้าของไอเดียที่เพิ่งพุ่งกระฉูดร้องบอกทิ้งท้าย
ก่อนเจ้าตัวจะวิ่งตื้อทะลุห้องครัวด้านหลังไปยังร้านของตัวเองที่อยู่ข้าง ๆ กัน
ขนข้าวของอุปกรณ์ทั้งน้ำกะทิ ไข่หนึ่งแพ็ค น้ำตาลปี๊บ แป้งข้าวโพด
กับน้ำใบเตยที่เพิ่งคั้นเองกับมือเมื่อวาน
หอบหม้อหิ้วถุงวัตถุดิบพลุงพลังแล้ววิ่งกลับมาวางลงครัวที่เดิม
จนผู้เป็นเจ้าของต้องเอ่ยถามยั้งด้วยความสงสัย
“เอามาทำอะไรเยอะแยะเนี่ย จะยึดครัวผมเหรอครับ คุณลูกแม่พลอย”
“เออ ยืมใช้นิดใช้หน่อย อย่าทำเป็นห่วงน่า
เดี๋ยวผมจะสอนคุณทำสังขยาด้วยเลย
ถือว่าแลกกัน ตกลงนะ”
นักรบกระพริบตาปริบ ๆ ให้กับคำพูดที่คิดเองเออเองเสร็จสรรพ
โดยไม่สนใจฟังคำอนุญาตใด ๆ
แต่ในเมื่ออีกฝ่ายขนของมาขนาดนี้ก็เสมือนว่ามัดมือชกไปกลาย ๆ
คล้ายจะเป็นการบอกว่ามีเพียงทางเลือกเดียวคือ ‘มึงต้องทำ’
“เอ้า! อย่ายืนบื้อสิคุณ หยิบชามผสมให้หน่อย”
คนที่ผันตัวจากลูกศิษย์มารับบทเป็นอาจารย์
วางมาดร้องสั่งโดยยึดถือคติทีใครทีมัน
คอยคุมเข้มกำชับนักเรียนอยู่ไม่ห่าง
เริ่มจากตอกไข่ใส่ลงไปสองฟอง ตามด้วยน้ำตาลทราย และน้ำตาลปี๊บ
ใช้ตะกร้อคนให้ส่วนผสมเข้ากัน ก่อนจะใส่กะทิ นมข้นจืด ตามด้วยน้ำใบเตยคั้นสด ๆ
ปิดท้ายด้วยแป้งข้าวโพดทีทยอยใส่ทีละนิด
พร้อมกับค่อย ๆ คนทุกอย่างให้ละลายเป็นเนื้อเดียว
เทส่วนผสมกรองผ่านตะแกรงลงในชามแสตนเลสอีกใบ เพื่อให้เนื้อสังขยาออกมาเนียนสวย
โดยระหว่างที่นักรบทำอยู่ สาลี่ก็ตั้งหม้อต้มน้ำไปด้วย
พอทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยรอเวลาอีกไม่นานน้ำในหม้อก็เดือดจัดพอดี
“ทีนี้คุณก็เอาชามผสมไปวางอังอยู่เหนือหม้อน้ำเดือด
แล้วคนไปเรื่อย ๆ ให้ส่วนผสมมันสุกช้า ๆ”
“อ้อ Double boiler น่ะหรอ”
“ห่ะ อะไร เบิ้ล ๆ นะ”
คำศัพท์ภาษาต่างประเทศแปลกหูทำให้หนุ่มร้านขนมไทยต้องร้องถามขึ้นอย่างงง ๆ
ซึ่งคนพูดก็อธิบายทวนคำซ้ำให้ใครอีกคนเข้าใจอย่างง่าย ๆ
“Double boiler เวลาละลายช็อคโกแล็ต
เขาก็ใช้วิธีอังน้ำเดือด ๆ เหมือนกัน
เพราะถ้าละลายในหม้อตั้งไฟโดยตรงมันจะไหม้”
สาลี่พยักหน้ารับจดจำข้อมูลไว้ในสมอง
ขึ้นชื่อว่า ‘ขนม’ ต่อให้ไทยหรือฝรั่ง
วิธีการก็ไม่ได้หนีไปมากเท่าไร ต่างกันแค่ส่วนผสมเท่านั้น
ได้เรียนรู้มุมมองใหม่ ๆ แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน
หลังจากใช้ตะกร้อคนอีกเกือบสิบนาทีเนื้อขนมก็ข้นขึ้น
จนได้สังขยาใบเตยสีเขียวอ่อน ๆ น่าทาน
เขาตักใส่ถ้วยรอทิ้งไว้ให้เย็น
แล้วหันไปเช็คแป้งขนมปังที่พักไว้ซึ่งดูจะได้ที่ดีแล้ว
นักรบจึงนำมันมาวางลงบนโต๊ะสำหรับนวด
พร้อมกับอธิบายขั้นตอนต่อไปด้วยน้ำเสียงทีเล่นทีจริงตามนิสัย
“ออกแรงชกแป้งเลย ชกให้แรง ๆ นะ นึกซะว่าเป็นหน้าผมก็ได้”
“ยินดีทำตามคำขอ”
สาลี่ถลกแขนเสื้อขึ้นก่อนลงมือชกไล่ลมในแป้ง
ดูเหมือนขั้นตอนนี้จะเป็นขั้นตอนที่สนุกที่สุด
ยิ่งออกแรงบีบนวดกระแทกแป้งไม่ยั้ง
ก็เหมือนเป็นการระบายอารมณ์หงุดหงิดไปในตัว
เมื่อเรียบร้อยเขาก็จัดแจงวางแป้งขนมปังใส่ลงโลฟที่ทาเนยบาง ๆ ใช้ผ้าขาวบางปิดไว้
แล้วรอให้แป้งขึ้นอีกสี่สิบห้านาทีเท่าเดิม
ระหว่างนั้นสาลี่จึงหันไปสอนนักรบทำ ‘สังขยาไข่’
โดยมีส่วนผสมเหมือนเดิม เปลี่ยนจากใบเตย
เป็นกลิ่นวนิลลาซึ่งร้องขอวัตถุดิบจากร้านบ้านขนมเดือนใจเสียเลย
บวกกับสีผสมอาหารสีส้มนิดหน่อย
พอทำเสร็จแล้วก็จะได้เป็นสังขยาไข่สีคล้ายชาไทยกำลังสวย
สังขยาอุ่น ๆ สองชนิดเสร็จสิ้นเรียบร้อย
ขนมปังที่พักไว้ก็ขึ้นได้รูปเตรียมพร้อมเข้าอบ
ซึ่งจะอบด้วยไฟล่างที่อุณหภูมิ 175 องศาประมาณครึ่งชั่วโมง
แล้ว....
อีกสามสิบนาทีที่เหลือเขาจะทำอะไรกับมันดีวะ
สาลี่ครุ่นคิดหาหนทางฆ่าเวลาแบบคนที่ไม่อยากอยู่เปล่า ๆ ปลี่ ๆ
แต่ดูเหมือนใครบางคนจะชิงคิดได้ก่อน
“เออ เกือบลืม ผมมีของให้คุณ”
นักรบพูดเพียงแค่นั้นก่อนหายไปข้างบน
ทิ้งความสงสัยไว้ในใจของคนรอที่เริ่มรู้สึกแปลกใจ
ของอะไรวะ?
ถูกหวยเหรอไง
ถึงได้นึกใจดีขึ้นมาได้
ความอยากรู้อยากเห็นเริ่มทวีมากขึ้นทุกขณะ
ทว่า ทุกสิ่งก็มลายหายไปสิ้น
เมื่อคนที่เดินลงมาพร้อมกล้องคู่ชีพ
ยื่นของสิ่งหนึ่งมาให้ตรงหน้า
และเป็นของที่เขาสุดแสนจะคุ้นเคยเป็นอย่างดี
...โปสการ์ด
โปสการ์ดที่มีรูปของเขาเพียงคนเดียวยืนอยู่หน้าแผงขนม
กำลังทอดสายตามองเหม่อออกไปไกลภายใต้ท้องฟ้าที่กำลังเปลี่ยนสียามเย็น
ซึ่งแม้แต่เฟรมกล้องก็ไม่อาจเก็บมุมมองของสายตาเอาไว้ได้
ถ่ายตั้งแต่เมื่อไร สองหรือสามวันก่อน
ไม่ใช่รูปใบแรกที่เขาจำวันเวลาไม่ได้
แต่โปสการ์ดอีกนับสิบใบที่อยู่บนห้องเขาตอนนี้
ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าถูกถ่ายมาได้ตั้งแต่ตอนไหน
เพราะทุกใบล้วนแล้วแต่เป็นรูปของเขาตอนกำลังเผลอทั้งนั้น
แชะ
สาลี่เงยหน้าทันทีเมื่อได้ยินเสียงชัตเตอร์
บ่นแป๊บ ๆ มันก็เอาอีกแล้ว
จะถ่ายอะไรกันหนักหนา
ทำตัวเหมือนพ่อเห่อลูกถ่ายพัฒนาการเด็กไปได้
อยากถ่ายนักใช่มั้ย
งั้นก็ตั้งท่าให้มันสิ้นเรื่องสิ้นราวไปเลย
คิดพลางหมุนตัวหันไปเผชิญหน้าสู้กล้อง
พร้อมกับส่งเสียงบ่นประชด
“อยากถ่ายก็ถ่ายมา
เอาให้สวย ๆ นะคุณ
อ่ะ...เดี๋ยว ๆ มุมขวาผมไม่หล่อ
ต้องมุมซ้ายนี่โอเคเลย
นับด้วยนะ ผมจะได้เก๊กทัน”
พูดจบก็ยิ้มกว้าง กอดอกวางท่ามาดเข้มเตรียมถ่ายเต็มที่
ทว่า ช่างกล้องกลับลดมือลงดื้อ ๆ
ขมวดคิ้วทำเสียงหงุดหงิดไม่พอใจ
“ไม่เอา ผมไม่ถ่าย
ผมบอกแล้วไงว่าหน้าแบบนี้ผมไม่ชอบ”
...เอ้า! แล้วจะให้ทำหน้าแบบไหนวะ
ก็หน้าเขามันก็มีอยู่หน้าเดียวเนี่ย
หรือต้องเอาตอนกูทีเผลอตลอด
อุตส่าห์ยิ้มให้ถ่ายดี ๆ ก็ไม่ชอบ
บ้ารึเปล่า!!
“ถามจริงจะถ่ายผมไปทำไมกันเยอะแยะ”
คนหมดมู้ดจะเก๊กท่าถ่ายเอ่ยความสงสัยออกมาเป็นคำพูด
ทว่าคนฟังแค่เพียงยกรอยยิ้มกรุ้มกริ่ม ดวงตาคมพราวระยับ
ก่อนลากเสียงอย่างเจ้าเล่ห์
“เก็บไว้เวลาอยาก.....”
ยะ...อยากอะไรวะ
แล้วมองกูด้วยสายตาแบบนั้นหมายความว่าไง
โห... หื่นไม่ปิดบังเลย กามแล้วมึง
ท่าทางที่บ่งบอกถึงความคิดที่วนเวียนไปเรื่องใต้สะดือ
ทำให้หนุ่มแว่นถึงกับสะดุ้ง
ขนลุกวาบขึ้นมาโดยไม่มีสาเหตุ
กระเด้งตัวถอยห่างจากช่างกล้องทันที
ทิ้งคำสบถด่าสั้น ๆ แต่ได้ใจความ
“แม่ง โรคจิต!”
แต่คนถูกด่ากลับลอยหน้าลอยตาอธิบายคำแก้ตัว
“คิดไปถึงไหนกันคุณ
ผมเก็บไว้มองเวลาอยากปลดทุกข์ต่างหาก
แปะไว้หน้าห้องน้ำนะ พอเห็นหน้าคุณปุ๊บถ่ายคล่องปรื๊ด”
โดนอีกแล้วกู...
เผลอให้มันแกล้งได้อีกแล้ว
มายั่วให้โมโหเล่น
มึงคงสนุกมากเลยเนอะ
แต่กูไม่สนุกกับมึงแล้ววะ
เหนื่อยบอกตรง ๆ
โกรธคือโง่ โมโหคือบ้า
ตอนนี้ กูขี้เกียจบ้าไปกับมึงแล้ว
“นี่คุณไม่เบื่อเหรอแกล้งผมอยู่อย่างเนี่ย
เราจะพูดกันดี ๆ แบบที่ไม่ต้องมาทะเลาะกันให้เหนื่อยได้มั้ย”
น้ำเสียงที่แสดงออกมาถึงความเหน็ดหน่ายอย่างเห็นได้ชัด
ทำให้คนขี้แกล้งต้องหยุดนิ่ง มองท่าทีของอีกฝ่ายอย่างพิจารณา
...ใจจริงก็ไม่ตั้งใจแหย่อะไรมากมายอยู่แล้ว
เพียงแค่อยากเห็นปฏิกิริยาของคนที่ชอบปั้นหน้าเก็บอาการเป็นเด็กดี
ได้แสดงออกถึงด้านที่ไม่มีใครรู้ก็เท่านั้น
ถ้าอีกฝ่ายร้องขอมาแบบนี้ เขาก็ยินดีทำตาม
ใครล่ะจะชอบหาเรื่องทะเลาะกับชาวบ้านให้อารมณ์ขุ่นได้ตลอดวัน
“อืม....ก็ได้...
งั้นผมกับคุณเจรจาสงบศึกชั่วคราวแล้วกัน”
เออ...ว่าแต่...
คุณได้ดูบอลที่เตะกันเมื่อคืนมั้ย”
ประเด็นหัวข้อที่ถูกหยิบยกทำให้คนฟังถึงตาโต
‘ผู้ชาย’ กับ ‘ฟุตบอล’ นับเป็นของคู่กันอย่างจริงแท้
เพราะเพียงแค่ลากเข้าเรื่องกีฬาลูกหนัง
ทั้งสองคนก็ลืมความบาดหมางกันก่อนหน้า
หันมาคุยโม้ถึงแมทช์ฟุตบอลนัดที่ผ่านมาอย่างตื้นเต้น
ยิ่งรู้ว่าเชียร์ทีมเดียวกันก็ยิ่งคุยสนุก
เรียกว่าเพลินจนเสียงเตาอบร้องบอกเวลาถึงได้รู้สึกตัว
สาลี่ปล่อยให้นักรบดึงขนมปังที่อบเสร็จใหม่ ๆ ออกมาจากเตา
ส่วนตัวเองหันไปเตรียมตักสังขยาเอาไว้สองถ้วย ราดนมข้นจืดปิดท้าย
ปกติสังขยาต้องกินคู่กับขนมปังที่เอาไปนึ่งให้ร้อน ๆ
แต่ขนมปังที่เพิ่งอบเสร็จใหม่ ๆ ส่งกลิ่นหอมของเนยและนมจาง ๆ ลอยฟุ้ง
ก็นับว่าใช้ได้ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน
เจ้าของร้านเบเกอรี่ใช้มีดตัดขนมหั่นเนื้อขนมปังเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมพอดีคำอย่างคล่องแคล่ว
ไม่จำเป็นต้องรอจัดใส่จาน ทั้งสองก็ทนแรงยั่วของขนมตรงหน้าไม่ไหว
หยิบขึ้นมาคนละชิ้นแล้วก็จิ้มกับสังขยาที่ทำเองกับมือ
“อือ อร่อยยย”
รสนุ่มเบาของขนมปังเข้ากันได้ดีกับสังขยา
หวานนิด ๆ ออกรสนมหน่อย ๆ
ลงตัวเข้ากันได้พอดิบพอดี
นี่แหละ...สิ่งที่ตามหา
และไม่น่าเชื่อว่าขนมปังชิ้นนี้เขาจะเป็นคนทำออกมาด้วยตัวเอง
ความอร่อยถูกใจของขนมปังผสมสานกับความภาคภูมิใจในฝีมือ
ทำให้ใบหน้าเกลี้ยงเกลาเผลอระบายรอยยิ้มบาง ๆ ออกมา
แชะ
เสียงชัตเตอร์กล้องขัดจังหวะอารมณ์สุนทรีย์
สาลี่หันมาคนถ่ายที่ก้มหน้าลงเช็ครูปในกล้อง
สงสัยมันคงจะเก็บภาพถ่ายตอนเขากินเป็นหนึ่งในคอลเลกชั่น
แต่ความคิดที่นึกไว้กลับผิดคาดเมื่ออีกฝ่ายที่กดปุ่มเลื่อนดูรูปร้องบอก
“หน้าตาตอนคุณยิ้มน่ารักดีนะ ยิ้มบ่อย ๆ สิ ผมชอบ”
อะ...อะไรวะ
ทีเมื่อกี๊ยิ้มกว้างดี ๆ ดันไม่ยอมถ่าย
มาถ่ายอะไรตอนกำลังกินเสร็จ
สังขยาเลอะข้างปากบ้างรึเปล่าก็ไม่รู้
แล้วที่สำคัญ...
มาชมแบบนั้นเนี่ยนะ
“ไหนบอกว่าจะสงบศึกไง
แล้วมาพูดว่าผู้ชายอย่างผมน่ารัก
นี่ตั้งใจจะแหย่หาเรื่องอีกแล้วใช่มั้ย”
อารมณ์ดี ๆ เริ่มเปลี่ยนมาหงุดหงิด
แต่ร่างสูงกลับวางกล้องในมือลง
ขยับเดินเข้ามาใกล้พลางพูดปฏิเสธ
“เปล่า ผมไม่ได้แหย่
ที่ผมบอกว่าหน้าคุณตอนยิ้มน่ารักก็เรื่องจริง
แล้วก็.....”
ประโยคถูกหยุดไว้แค่นั้น
เมื่อเจ้าของดวงตาคมประสานสายตาเข้ากับดวงตากลมโตของสาลี่
ก่อนจะเอ่ยถ้อยคำหนึ่งออกมา
...ถ้อยคำ
ที่ทำให้ใบหน้าของหนุ่มร้านขนมไทยร้อนวาบ
จนต้องเบือนหลบประกายตาที่ไร้ความล้อเล่นเหมือนเช่นทุกที
“ที่ผมพูดว่าชอบรอยยิ้มของคุณ
ผมก็พูดจากใจจริง ๆ เหมือนกัน”
------------------------------------------------------------------------------------------------------------
TBC
เอาขนมปังสังขยาร้อน ๆ มาฝากค่ะ
ใครอยากกินชูมือขึ้นสูง ๆ หน่อยเร๊วววว

เจอกันใหม่กับชิ้นหน้าค่ะ
รักษาสุขภาพกันด้วยน้า~~
BitterSweet