ซีรีย์หวานอมขม : ภาค ขนมปังสังขยา กับ ลาวาช็อคโกแล็ต
ชิ้นที่ 13
“อ่ะ กุญแจรถ”
ได้ยินเสียง...
แต่มือไม่ขยับ...
สาลี่ยังคงยืนจ้องพวงกุญแจรถโฟล์กที่เจ้าของยื่นมาตรงหน้า
เหมือนเป็นวัตถุประหลาดโดยไม่มีทีท่าจะรับไว้แต่อย่างใด
กระทั่งคนที่รอถือค้างจนเมื่อยมือต้องเร่งเอ่ยซ้ำ
“รีบไปเปลี่ยนชุดซะ เดี๋ยวผมจะช่วยเฝ้าแผงให้ก่อน”
แค่ได้ยินคำว่า ‘เปลี่ยนชุด’ ใครบางคนก็รู้สึกขนลุกซู่ไม่ทราบสาเหตุ
ก้มมองเสื้อยืดสีดำกับกางเกงขาสั้นสีน้ำตาลของตัวเอง
...จริง ๆ แต่งแบบนี้ก็ดีแล้ว
จะยกหรือจะเก็บของก็คล่องตัวออกจะตาย
ไม่เห็นต้องทำอะไรให้มันยุ่งยากเลย
เพราะฉะนั้น.....เออ.....
เพราะฉะนั้น....
“มะ...ไม่เอาได้มั้ย”
สาลี่พูดเสียงอ่อย
ทว่ากลับไม่มีคำตอบรับใด ๆ จากคู่สนทนา
ยกเว้นแต่ดวงตาคมปลาบที่จ้องมาเมื่อได้ยินคำปฏิเสธ
ซึ่งคนถูกมองก็รีบเบือนหลบเสไปอีกทาง
...เงียบอยู่แบบนั้น เหมือนวัดใจกันเกือบครึ่งนาที
ในที่สุดนักรบก็ผ่อนลมหายใจออกอย่างเหนื่อยหน่าย
พูดตัดบทอย่างนึกรำคาญ
“เฮ้อ....อยากทำอะไรก็ตามใจคุณ
แต่ถ้ามันไม่ดีก็อย่ามาอ้วกในรถผมอีกล่ะ”
หมุนตัวกลับทันทีที่จบคำ
ทว่ายังไม่ทันจะก้าวเดิน
ชายเสื้อของร่างสูงก็ถูกคว้าไว้หมับ
พร้อมกับได้ยินคนด้านหลังร้องเสียงหลง
“เฮ้ย เดี๋ยว!!
เออ...
ก็...ก็ได้”
นักรบหันกลับมาทันที
ยิ่งเห็นสีหน้ากล้ำกลืนขมขื่นเหมือนถูกบังคับให้กินยาขมก็ยิ่งอดนึกขำไม่ได้
...ทำเล่นตัวไปมา
สุดท้ายก็ต้องยอมอยู่ดีนั้นแหละ
หนุ่มเซอร์จึงยื่นพวงกุญแจออกไปเหมือนเดิม
แต่คราวนี้คนที่เคยลังเลกลับฉวยไว้อย่างรีบเร่ง
เดินฉับ ๆ กลับไปยังที่จอดรถ
ซึ่งมีของบางสิ่งแขวนรอเตรียมพร้อมอย่างเรียบร้อย
ปล่อยให้คนที่ยังนึกขันในท่าทีนั้น ต้องแย้มรอยยิ้มบางจาง ๆ
...อยากรู้จริง ๆ ว่าโฉมใหม่จะทำให้ร้านหวานละไมเรียกลูกค้าได้มากแค่ไหนกัน
ยังไงก็พยายามเข้าล่ะ ....คุณลูกแม่พลอย
------------------------------------------------------------------------------------------------------------
...มองทำไมครับ มองทำไม...
ผมมีสามขา หรือมีหางโผล่กันหรือไงกันครับ
ถึงได้มองกันอยู่นั้นแหละ....
น้องผมเปียที่จูงมือแม่อยู่ไม่ต้องชี้เลยครับ
พี่ไม่ใช่สัตว์ประหลาดก็แค่แต่งชุดไทยเอง
มันน่าแปลกตรงไหน...
...ไม่เคยเห็นคนใส่ชุดไทยรึไงกันคร้าบพี่น้องงงง!!
ถึงจะโวยวายแค่ไหนแต่ก็ทำได้แค่เพียงกู่ร้องอยู่ในใจ
ส่วนสภาพความเป็นจริงน่ะเหรอ
ซอยเลย... ซอยเท้ารีบเดินจนแทบจะวิ่งอยู่แล้ว
สาลี่ในชุดราชปะแตนสีขาว นุ่งโจงกระเบนสีน้ำเงินเข้ม
พร้อมด้วยถุงเท้ายาวกับรองเท้าหนังสีดำคู่เก่าซึ่งใช้ตั้งแต่สมัยยังเป็นนักศึกษา
ขาดแต่สไบสีน้ำตาลที่เจ้าตัวถือไว้ในมือ ก็จะครบเต็มยศเจ้าบ่าวงานแต่ง
ทว่าเจ้าบ่าวที่ไร้คู่เจ้าสาวเวลานี้กลับก้มหน้าแดงเรื่อของตัวเองงุด ๆ
รีบจ้ำฝีเท้าเดินเร่งกลับแผงของตัวเองโดยด่วน
ท่ามกลางสายตาหลายสิบคู่ที่จ้องมองมาตั้งแต่หัวตลาดที่ตัวเองเดินผ่าน
กระทั้งถึงแผงขายขนมไทยซึ่งมีใครบางคนยืนรออยู่
มองแว๊บเดียวก็รู้ว่ามันกำลังพยายามกลั้นขำ
ยิ่งทำให้ใบหน้าเนียน ๆ งอหงิกเหมือนกุ้งจ้องอีกฝ่ายตาขวางอาฆาตโทษไว้ในใจ
มึงไม่ได้ต้องหัวเราะเลยนะ...
ไม่ต้องเลย...
“จอดรถไกลฉิบหาย จะจอดเข้ามาใกล้ ๆ กว่านี้ไม่ได้หรือไงวะ!”
สาลี่กระแทกเสียงบ่นออกมาอย่างหงุดหงิด
ก็ไม่ใช่เพราะมันเล่นจอดรถซะหน้าปากทางเข้าตลาดนู้น
ถึงทำให้เขาเดินฝ่าคนมาได้ตั้งไกล
ตามซอยใกล้ ๆ แถวนี้มีเยอะแยะก็ไม่ไปจอด
แบบนี้จะไม่ให้โมโหได้ไง
แต่คนโดนโวยกลับส่งเสียงจุ๊ปาก
เหมือนเห็นว่าคนบ่นช่างไม่รู้เรื่องอะไร
ก่อนจะเอ่ยคำอธิบายแกมย้อมถาม
“เขาเรียกว่าเป็นกลยุทธ์ดึงดูดความสนใจจากลูกค้าต่างหาก
เป็นไงได้ผลดีใช่มั้ยล่ะ?”
เออ ได้ผล...ได้ผลมากกกก
ได้ผลตรงที่กูรู้สึกเหมือนเป็นตัวตลกไง
แม่งงไอ้ลูกแม่เดือนมันจงใจแกล้งกันชัด ๆ
...อ๊ากกกกก!!! เจ็บใจโว้ยยยยย!!!
“กลับไปแผงตัวเองนู้นเลยไป๊”
“อะไรกัน คนอุตส่าห์มาเฝ้าให้ไม่มีขอบใจกันสักคำ
เออ ผมไปก็ได้
อ่ะ...แล้วอย่าลืมพูดว่าเป๊บซี่เวลาขายด้วยนะ
ไหนลองพูดสิ...
..เป๊ป ซี่ซซซซ~”
คนกวนแหย่เล่นตามนิสัยทิ้งท้ายไว้
ก่อนจะเผ่นหายแน่บกลับไปยังร้านของตัวเองทันที
ทิ้งให้คนคับแค้นใจอ้าปากพะงาบ ๆ เพราะด่าตามไม่ทัน
...โว้ยยย!! วันนี้มันเป็นวันบ้าบออะไรกันวะ
ถูกลากตัวไปนู้นนี้แต่เช้า
แล้วพอตอนเย็นก็ต้องมาแต่งชุดโคตรน่าอายยืนขายขนมอีก
แถมยังโดนแกล้งรื้อฟื้นเรื่องเก่าไม่เลิก
ชีวิตของไอ้สาลี่มันช่างน่ารันทดจริง ๆ
เวรกรรมอะไรของกูกันหนอ
ที่เสือกหน้ามืดตามัวไปหลงเชื่อคนอย่างมัน
ไอ้กลยุทธ์แบบนี้มันจะไปได้ผลได้ยังไง
มีแต่ทำให้กูขายขี้หน้าเอาเปล่า ๆ
เดินกลับไปเปลี่ยนเสื้อตอนนี้เลยจะทันมั้ยวะ
ยังไงซะมันก็คงไม่ช่วยอะไรอยู่แล้ว
...แม่งพอกันที...!!
“แต่งชุดไทยขายขนมไทยไอเดียดีจังเลยนะคะ”
เสียงใสเอ่ยทักทำให้คนที่กำลังจะเตรียมเดินออกจากแผงต้องเบรกเท้ากึก
หมุนตัวกลับไปเผชิญหน้ากับหญิงสาวผมยาวแต่งตัวคล้ายพนักงานออฟฟิศ
ซึ่งยืนจับจ้องขนมที่วางขายสลับกับมองเขาอย่างสนใจ
“อุ๊ย ขนมสวย ๆ เยอะแยะไปหมดเลย
ว้า...เลือกไม่ถูก
คุณคนขายช่วยแนะนำหน่อยได้มั้ยคะ”
“ดะ...ได้ครับ”
สาลี่รีบสวมวิญญาณพ่อค้าทันที
แนะนำขนมสองสามอย่างที่ขึ้นชื่อ
ซึ่งคนซื้อก็เต็มใจรับแถมยังเลือกขนมปังสังขยาไปอีกสองแพ็ค
ก่อนจะยื่นเงินส่งให้พร้อมกับเอ่ยถามเสียงหวาน
“ปิดเทอมมาช่วยขายขนมเหรอคะ”
“เปล่าครับ ผมเรียนจบมาได้ปีกว่าแล้วครับ”
“ว๊ายย จริงเหรอคะ คุณหน้าเด็กมากเลย
นึกว่าเรียนอยู่ชั้นมอปลายไม่ก็เพิ่งเข้ามหาลัยซะอีก”
เสียงร้องอย่างตกใจทำให้คนโดนชมยิ้มเขินเกาต้นคอแก้เก้อ
แต่ยังไม่ทันจะพูดถ่อมตัว เสียงจากกลุ่มคนที่เข้ามาใกล้แผงก็ดังขึ้น
“ซื้อขนมหน่อยค่า!!”
เด็กมัธยมปลายผมสั้นในชุดนักเรียนโรงเรียนรัฐชื่อดังห้าหกคนเดินเข้ามารุมใกล้แผง
ทำให้เขาต้องหันไปขอบคุณลูกค้าคนเก่า
ก่อนจะกลับมาให้ความสนใจกับลูกค้ากลุ่มใหม่ที่ส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวเลือกขนมกันชุลมุน
บางอันที่ไม่รู้จักก็ร้องถามคนขาย
ซึ่งสาลี่ก็อธิบายด้วยความเต็มใจแถมยังนึกดีใจเสียด้วยซ้ำ
ที่มีเด็กรุ่นใหม่หันมาให้ความสำคัญกับขนมไทย ๆ แบบนี้
จนกระทั้งมาถึงคำถามที่ทำให้เขาชะงัก
“พี่คนขายชื่ออะไรคะ”
สาวน้อยใส่เหล็กดัดฟันท่าทางแก่นเซี้ยวหนึ่งในกลุ่มเป็นคนพูด
แต่ดวงตาใส่แป๊วอีกสิบคู่กลับจ้องมองมาที่เขาเหมือนรอคอยคำตอบ
“พี่ชื่อ สาลี่ ครับ”
“กรี๊ดดดด!! ชื่อน่ารักจังเลย
แล้วพี่มีแฟนหรืออ่ะยังคะ”
คำถามที่สองพุ่งมาติด ๆ
เมื่อกี๊ถามเรื่องขนมอยู่ดี ๆ ไหงกลายเป็นเรื่องของเขาไปได้ล่ะเนี่ย
แต่ในเมื่อเป็นความต้องการของลูกค้าที่อยากรู้
เขาก็ไม่อาจปฏิเสธ จึงตอบออกไปตามความจริง
“เออ...ยังไม่มีครับ”
“ว๊ายยยยย ยังไม่มีแฟน!!
งั้นขอเบอร์พี่ได้อ่ะป่ะ”
เฮ้ย...! เอางี้เลยหรอน้อง
สาลี่หน้าเหวอพยายามตอบเลี่ยงด้วยกลัวข้อหาพรากผู้เยาว์
“เออ...จะดีเหรอครับ”
แต่กลุ่มเด็กหน้าใสวัยมัธยมกลับส่งเสียงสนับสนุนกันเซ่งแซ่
“ดีสิค่ะ พี่น่ารักจะตาย
รู้จักกันไว้เป็นพี่น้องกันก่อนก็ได้ค่ะ
หนูยังไม่รีบ แต่ถ้าพี่รีบก็โอเคนะ อิอิ”
คนโดนรบเร้ายิ้มแห้ง ๆ
...เอาไงดีวะ เกิดมาก็เพิ่งจะมีคนมาเคยขอเบอร์เนี่ยแหละ
แต่ถ้ารู้จักกันเป็นพี่น้องไปก่อนก็ไม่เป็นไร
อีกอย่างน้อง ๆ เขาก็เป็นลูกค้าด้วย
ลงท้ายเจ้าตัวจึงบอกเบอร์โทรศัพท์ของตัวเองไป
พร้อมกับเร่งหยิบขนมที่น้อง ๆ เลือกไว้ใส่ถุง
ทว่ายังไม่ทันจะรับเงิน
ลูกค้าหน้าใหม่ที่เป็นน้องนักศึกษากลุ่มใหญ่ก็แวะเวียนเข้ามาเพิ่ม
ทำเอาตอนนี้มีจำนวนคนมากมายมามะรุมมะตุ้มร้านหวานละไมเหมือนแจกฟรี
จนคนขายต้องเร่งมือกันพัลวัน
ทั้งแนะนำขนม ทั้งรับทอนตังค์
แถมยังมีคนมาขอถ่ายรูปเขาอีกต่างหาก
“พี่สาลี่ ยิ้มหน่อยค่า”
“ซื้อขนมแถมคนขายด้วยมั้ยคะเนี่ย?”
“ว๊ายยย!! อย่าเบียดฉันสิแก! เดี๋ยวรูปเบลอหมด”
“น้องจ๊ะ... เอาขนมปังสังขยาเพิ่มอีกถุงด้วยนะ”
“มีพินมั้ยคะ? ...สนใจแลกกันมั้ย”
“พี่สาลี่ มองกล้องหน่อย ขออีกรูปนะค่า”
เฮ้ยยย... ใจเย็นคร้าบบบ!!
...ทำไมมันถึงได้วุ่นวายแบบนี้
แค่เขาแต่งชุดไทยมาขายขนมแค่เนี่ยนะ
ไม่อยากจะเชื่อว่าจะทำให้ขายดีจากหน้ามือเป็นหลังมือได้ถึงขนาดนี้
นี่ตกลง เขาควรจะดีใจหรือเสียใจวะ
แต่ตอนนี้.....
...ใครก็ได้ช่วยกูทีเถอะ!!!
------------------------------------------------------------------------------------------------------------
“แล้วจะโทรไปหานะคะ”
“ครับ ขอบคุณที่อุดหนุนครับ”
สาลี่ยิ้มส่งลูกค้าคนสุดท้าย
ก่อนถอนหายใจด้วยความเหน็ดเหนื่อย
ขนมปังสังขยาสี่สิบแพ็คขายหมดเกลี้ยง
และไม่ใช่แค่ขนมปังสังขยาเท่านั้น แต่ขนมอื่น ๆ ก็พลอยขายดีไปด้วย
เรียกว่าทำยอดขายทะลุเป้าจนไม่เหลือห่อขนมใด ๆ ใส่กล่องกลับบ้านเหมือนอย่างเคย
...ไอ้ดีใจก็ดีใจอยู่หรอก
แต่เหนื่อยสายตัวแทบขาด
ไหนยังจะต้องมาแบกโต๊ะกลับไปฝากร้านก๋วยจั๊บอีก
แล้วใส่ชุดราชปะแตนเต็มยศแบบนี้มันจะสะดวกแบกไปที่ไหน
ดีไม่ดีเดี๋ยวทำเสื้อสีขาวเปื้อนอีก
โอยยย....ทำไมมันถึงได้ยุ่งยากนักวะ!!
สาลี่หน้ามุ่ยขยับพับโต๊ะที่กางไว้เตรียมยกเดินไปเก็บ
ทว่ากลับมีมือจากด้านหลังเข้ามาแย่ง
ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นหนุ่มมาดเซอร์แผงตรงข้ามที่ขยับปากบอกสั้น ๆ
“ฝากเฝ้าของผมไว้ทีนะ”
จบคำ เจ้าตัวก็เดินแบกโต๊ะหายไปทางฝั่งร้านก๋วยจั๊บ
ทิ้งข้าวของไว้ให้หนุ่มในชุดไทยช่วยดูแทน
...อะไรวะ ไม่ได้ขอให้ช่วยสักหน่อย
เออแต่ก็ดีเหมือนกัน...
ไอ้ลูกแม่เดือนจะได้หัดมีน้ำใจกับเขาบ้าง
ไม่ใช่คอยเอาแต่แกล้งแหย่อย่างเดียว
สาลี่จึงได้แต่ยืนรอคนที่ช่วยยกของไปเก็บให้
แล้วก็พากันเดินกลับไปยังรถโฟล์เต่า
โดยมีนักรบคอยเหลือบตามองคนใกล้ตัวไม่ห่าง
...วันนี้ร้านบ้านขนมเดือนใจของเขาขายได้ไม่ค่อยดี
ก็พอจะเข้าใจอยู่หรอกว่าลูกค้าคงให้ความสนใจกับร้านหวานละไมมากกว่า
เล่นแต่งชุดไทยแบบนี้จะไม่เด่นก็คงแปลกเกินไปหน่อย
แต่ลึก ๆ เขาไม่รู้ว่าทำไมตัวเองถึงหงุดหงิดนัก
...เพราะน้ำหนักของขนมที่เหลือไว้เยอะกว่าทุกวัน
....หรือเพราะเมื่อกี๊เขาได้ยินเสียงผู้หญิงขอเบอร์จากใครบางคน
ความคิดสะดุดลงเมื่อถึงที่จอดรถ นักรบไขกุญแจ
ก่อนหันไปวุ่นวายกับการเก็บข้าวของไว้ที่กระโปรงหน้ารถ
แต่พอกลับเข้ามานั่งอีกที
เขาต้องร้องออกมาด้วยความตกใจ
เมื่อเห็นว่าคนที่รออยู่กำลังปลดกระดุมเสื้อตัวเองออก
“เฮ้ย! จะทำอะไรน่ะ”
“ก็ถอดเสื้อไง ตาบอดเหรอ
ไอ้ชุดนี่มันร้อนโคตร ๆ เลยวะ
คนสมัยก่อนมันใส่เข้าไปได้ยังไง
เหงื่อออกเหนียวตัวไปหมดแล้ว”
พูดจบก็ตั้งหน้าตั้งตาถอดต่อ
โดยไม่สนดวงตาคมที่มองตาค้าง
...เสื้อไปแล้ว
...โจงกระเบนไปแล้ว
...ถุงเท้ารองเท้าไม่เหลือ
ตอนนี้ร่างตรงหน้ามีแค่บ๊อกเซอร์สีดำตัวหลวม
กับเสื้อกล้ามสีขาวที่ลู่แนบเนื้อเพราะความชื้นของเหงื่อ
ผิวนวล ๆ สะท้อนแสงไฟจากโคมถนน
ทำให้ดวงตาคมแทบไม่อาจละออกมาจากภาพตรงหน้าได้
“เอ้า มองไรคุณ ไม่สตาร์ทรถล่ะ”
คนถูกทักสะดุ้ง ดึงสติกลับทันที
รีบหมุนกุญแจสตาร์ทรถ
พยายามตั้งสมาธิจดจ่ออยู่กับการขับ
โดยไม่สนคนยั่วตาที่เอาแต่จ่อแอร์เข้ากับใบหน้า
“เฮ้อ...ค่อยหายเหนื่อยหน่อย”
“เหนื่อยขายขนมหรือว่าเหนื่อยแจกเบอร์กันแน่ล่ะ”
ถามออกไปด้วยน้ำเสียงทีเล่นทีจริงเหมือนอย่างเคย
แต่แปลกที่ครั้งนี้เขากลับรู้สึกหน่วง ๆ ข้างในใจลึก ๆ
ทว่าคนฟังก็ยังคงส่งเสียงตอบรับเรื่อย ๆ
“ก็ทั้งคู่นั้นแหละ
ทำไม อิจฉาอ่ะดิ
ทุกทีมีแต่สาว ๆ ไปรุมร้านคุณ
แต่คราวนี้เป็นทีของร้านผมบ้าง
หัวเราะที่หลังยังไงก็ดังกว่าเว้ย ฮ่าๆๆๆ”
ดูสิ... ไอ้ลูกแม่พลอย
พอหายเหนื่อยก็เริ่มอารมณ์ดีจนลืมไปแล้วว่าเจ้าของไอเดียนั่งทนโท่อยู่ข้าง ๆ
เห็นอย่างนี้ก็อดแกล้งอีกรอบไม่ได้
“ดีแล้ว รถผมจะได้ปลอดภัยจากอ้วกคุณซะที”
คนถูกล้อหันขวับ รีบขึ้นเสียงเถียงอย่างไม่ยอมแพ้
“น้อย ๆ หน่อย โห ตอกย้ำกันอยู่ได้
อ่ะ งั้นผมจะเลี้ยงคุณตอบแทนล่ะกัน
จะได้ไม่ต้องมาทวงบุญคุณกันอีก”
“หืม... อย่างคุณน่ะเหรอจะเลี้ยง”
“เออ ไม่ได้งกนะเว้ย!
วันนี้ขายดีได้กำไรมาเพียบ
อยากกินอะไรล่ะ บอกมาดิ”
“อะไรก็ได้ ผมกินได้ทั้งนั้น”
คนฟังทำท่าครุ่นคิดไปหลายวิ
ก่อนจะยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์เมื่อเหลือบเห็นป้ายร้านสีเขียวข้างทาง
หัวสมองสั่งให้ปากร้องบอกทันควัน
“งั้นซาลาเปาเซเว่นล่ะกัน”
คำตอบที่ได้ยินเล่นเอาคนขับแทบจะหน้าทิ่มไปกับพวงมาลัย
“ห่ะ? เนี่ยนะแล้วบอกว่าไม่งก”
แต่คนถูกประท้วงกลับทำแค่เพียงยักไหล่
“เอ้า ก็คุณบอกเองว่าอะไรก็ได้นี่หว่า
อีกอย่างซาลาเปาเซเว่นลูกตั้งสิบห้าบาท
ถูกซะทีไหนกัน
เลือกเองแล้วจะมาว่าผมไม่ได้นะ
สมน้ำหน้า ฮ่าๆๆๆๆ”
นักรบชำเลืองมองคนที่หัวเราะอย่างสะใจที่ได้แก้แค้นคืน
แม้ตัวเองจะเป็นฝ่ายโดนแกล้ง
แต่ไม่รู้ทำไม เขาถึงดีใจที่ได้ยินเสียงหัวเราะออกมาแบบนั้น
...ลูกแม่พลอยจะรู้มั้ยว่าเสียงหัวเราะกับรอยยิ้มของมันสดใสมากแค่ไหน
เห็นแล้วก็อยากจะยิ้มตามไปด้วย
...และไม่ใช่แค่อยากจะยิ้ม
แต่เขาต้องการแม้กระทั้งหยุดเวลาตรงนี้ไว้
...เพื่อที่จะได้อยู่ข้าง ๆ คนคนนี้ตลอดไป
กระนั้นแม้จะภาวนาในใจให้ถนนมันยืดยาวออกไปสักเพียงไร
แต่ท้ายที่สุดรถโฟล์กเต่าก็มาหยุดจอดรถตรงหน้าร้านของทั้งสอง
สาลี่รีบเปลี่ยนกลับมาใส่เสื้อยืดกับกางเกงขาสั้น
ด้วยกลัวว่าแม่พลอยเห็นแล้วอาจรับไม่ได้กับสภาพลูกตัวเอง
ต่างคนต่างขนของของกลับเข้าบ้าน
นักรบพยายามไขกุญแจอย่างเบามือ
เพราะเดาว่าแม่คงอาจจะเข้านอนแล้ว
ทว่ายังไม่ทันจะผลักประตูร้านเข้าไป
เสียงเรียกจากใครคนหนึ่งด้านหลังก็ทำให้เขาชะงัก
“รบ”
ชื่อ...
...นั่นชื่อเขาไม่ใช่เหรอ
ปกติเรียกแต่คุณ.. คุณ..
แล้วทำไมอยู่ ๆ ลูกแม่พลอยถึงได้...
ร่างสูงรีบหันกลับไปมอง
และก็ต้องนิ่งอึ้งจนแทบหยุดหายใจ
เมื่อเห็นรอยยิ้มจากใครบางคนที่ส่งมาให้
...และเป็นรอยยิ้มทั้งปากและตาที่สวยที่สุดที่เขาเคยพบ
“ขอบใจนะ”
เจ้าของรอยยิ้มพูดเพียงแค่นั้น
ก่อนเดินลิ่วเข้าบ้านปิดประตูไป
โดยไม่รู้เลยว่า...
แค่คำคำเดียว...
จะส่งผลต่อใจคนฟังได้มากถึงขนาดไหน
นักรบเดินเหม่อลอยเก็บข้าวของอาบน้ำเสร็จเรียบร้อยเหมือนคนไม่รู้ตัว
ก่อนจะกลับมาล้มตัวลงนอนนิ่งจ้องมองเพดาน
ฟังเสียงนาฬิกาข้างผนัง
พยายามข่มใจตัวเองอย่างสุดความสามารถ
พลิกตัวไปมากระสับกระส่าย
สุดท้าย... เขาก็ผุดลุกขึ้นดึงเก๊ะข้างหัวเตียงเปิดออก
หยิบรูปของใครบางคนออกมา
รูปปึกใหญ่ไม่รู้กี่ใบต่อกี่ใบ
ที่เก็บสีหน้าทุกอากัปกริยาของคนที่ถูกแอบถ่ายทีเผลอไว้
....ลูกแม่พลอย
คุณรู้มั้ยว่า...คุณจะทำให้ผมเป็นบ้า
คุณรู้มั้ยว่า...ผมไม่ได้ถ่ายรูปเพราะอยากแกล้งคุณ แต่เพราะอยากจะเก็บเอาไว้ดูเอง
คุณรู้มั้ยว่า...ผมหลับไม่ลงถ้าไม่ได้นอนมองรูปของคุณ
คุณรู้มั้ยว่า...ทุกคืนผมยิ้มกับรูปพวกนี้จนเมื่อยปากขนาดไหน
...แล้วลูกแม่พลอย คุณรู้มั้ยว่าไอ้อาการที่ผมเป็นอยู่มันเรียกว่าอะไร
ใช่ที่เขาเรียกกันว่า ‘ตกหลุมรัก’ รึเปล่า..?
ถ้าใช่...
คุณรู้ไว้เถอะว่า...
ตอนนี้ ลูกแม่เดือนกำลัง ‘ตกหลุมรัก’ ลูกแม่พลอยเข้าไปเต็มเปาซะแล้ว
------------------------------------------------------------------------------------------------------------
TBC