ซีรีย์หวานอมขม : ภาค ขนมปังสังขยา กับ ลาวาช็อคโกแล็ตชิ้นที่ 18รถโฟล์กเต่าจอดแนบฟุตบาทอยู่ฝั่งตรงข้ามกับถนนติดริมแม่น้ำ
นักรบคว้าถุงใส่ขนม เปิดประตูพรวดรีบวิ่งเข้าไปหาใครบางคน
...ใครบางคนที่เคยคิดอย่างปวดใจว่าคงไม่ได้เจอกันอีก
แต่ตอนนี้ใครคนนั้นกลับนั่งรอบนอยู่บนเบาะรถมอเตอร์ไซต์
ทอดสายตามองเหม่อไปยังอีกฝากของฝั่งแม่น้ำ
ลมพัดโชยลู่เส้นผมเบา ๆ
แสงไฟถนนสะท้อนใบหน้าเนียนให้ดูกระจ่างตาในความมืดของคืนพระจันทร์แรม
บรรยากาศมันสวย...
จนเขานึกอยากจะวิ่งกลับไปเอากล้องมากดภาพตรงหน้าบันทึกไว้
แต่ตอนนี้มีอย่างอื่นที่ต้องรีบปรับความเข้าใจก่อน
“สา”
คนถูกทักหันขวับกลับมาทันทีที่ได้ยิน
และเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายทำท่าจะเข้ามาใกล้
เจ้าตัวก็อ้าปากตะโกนบอกเสียงลั่น
“หยุดอยู่ตรงนั้นนะ!”
นักรบชะงักไปกับน้ำเสียงแสดงอาการหงุดหงิด
ในสมองมึนงงด้วยความสับสนไม่เข้าใจ
...หรือว่าลูกแม่พลอยยังไม่หายโกรธ
สั่งให้หยุดทั้ง ๆ ที่อยู่ห่างกันแค่สองเมตร
ระยะทางดูเหมือนจะใกล้
แต่ความเป็นจริงเขารู้สึกว่ามันช่างไกล
ถ้ายังไม่อยากเจอหน้า...
แล้วจะเรียกเขามาหาในที่แบบนี้ทำไมกัน
...หรือแค่จะมาบอกว่าไม่ต้องเจอกันอีกแล้ว
ดวงตาคมเริ่มฉายแววหม่นเศร้า
ให้กับความสงสัยที่เข้าครอบงำจิตใจ
ยืนนิ่งฟังอีกคนที่เหลือบตามองของในมือ
ก่อนได้ยินเสียงเอ่ยถามสั้น ๆ
“ขนมน่ะกินหรือยัง”
ขนม?
ขนมอะไร...
อ๋อ...ช็อคโกแล็ตลาวาเนี่ยนะเหรอ
ยังไม่ได้กินเลย
ก็มัวแต่รีบมาหาหลังจากอ่านข้อความนั้นแหละ
แล้วทำไมลูกแม่พลอยถึงต้องมาถามกันตอนนี้
เอ๊ะ...
หรือว่า...
หรือว่า...
“สาทำเองเหรอ?”
ทันทีที่ได้ยินคำถามคนฟังก็เบือนหน้าหลบเสไปมองอีกทาง
ยิ่งเพิ่มความมั่นใจให้กับคำคาดเดา
ความหมองเศร้าในประกายตาเปลี่ยนเป็นความลิงโลด
เมื่อเขาเริ่มจับทิศทางการกระทำของอีกฝ่ายได้
แม้ใจอยากจะยิ้ม แต่สมองกลับคิดแผนดักให้เหยื่อตกหลุม
ด้วยการแสร้งพูดคำปรามาสน้ำเสียงกึ่งเยาะ
“อ้าว ไม่ตอบ สงสัยคงไม่ได้ทำเองหรอกมั้ง
ช็อคโกแล็ตลาวาทำยากจะตาย
ต้องกะให้ดีไม่ให้สุกมาก
คนไม่เคยทำขนมมาก่อน
แถมยังไม่มีเตาอบด้วยคงจะทำไม่เป็น”
ถ้อยคำดูถูกทะลุทะลวงความหงุดหงิดของคนรักศักดิ์ศรีให้พุ่งปรี๊ด
จนกระทั่งลืมตัวเผลอรีบโต้เถียงขึ้นมาทันควัน
“ยากตรงไหน ไม่เห็นจะยากเลย
อ่านวิธีทำแป๊บเดียวก็รู้แล้ว
เตาองเตาอบอะไรไม่เห็นจำเป็นสักหน่อย
ไมโครเวฟมีก็ใช้ไปสิ
ถึงจะไม่เคยทำ แต่ออกมากินได้เหมือนกันล่ะวะ”
น่านไง...สะกิดเข้าหน่อยก็เผลอหลุดโมโหออกมาจนได้
เล่นพูดอธิบายว่าทำเองแบบนี้
แล้วจะไม่ให้เขามองว่าลูกแม่พลอยน่ารักน่าแกล้งยังไงไหว
“หรอออ...ตกลงทำเอง?
แบบนี้ยิ่งไม่กล้ากินใหญ่เลย”
คำลากเสียงยาวบ่งบอกถึงความไม่แน่ใจ
เพิ่มเชื้อไฟให้กับคนที่หงุดหงิดเป็นทุนเดิม
สาลี่กระโดดลงมาจากรถมอเตอร์ไซต์
เดินกระแทกเท้าเข้ามาใกล้ ชี้มือใส่หน้าร่างสูง
ตะคอกเสียงบังคับอย่างหมดความอดทน
“กินเดี๋ยวนี้นะโว้ยยย!!
คนอุตส่าห์ทำตั้งหลายรอบกว่าจะได้
ถ้าไม่กิน ไม่ต้องมาพูดกัน!!!”
นักรบแทบจะกลั้นรอยยิ้มขำของตัวเองไว้ไม่อยู่
โอยยย....ให้ตายเถอะ
เนี่ยเหรอวิธีการ ‘ง้อ’ ของลูกแม่พลอย
มาบังคับคนอื่นให้กินของที่ตัวเองทำ
แล้วยังหลุดมาด้วยว่าใช้เวลาทำตั้งหลายรอบ
ทุ่มเทให้กันขนาดนี้ ถ้าไม่กินก็คงใจร้ายเกินไปหน่อย
อีกอย่างเขาก็อยากจะรู้ด้วยว่าฝีมือลูกแม่พลอยจะอร่อยขนาดไหน
“เออ ๆ กินก็กิน”
นักรบพยักหน้าแกล้งจำใจตอบไปแกน ๆ
ก้มลงคุ้ยหาช้อนพลาสติกคันเล็กที่มีอยู่ในถุง
แล้วจึงตักเนื้อขนมเขาปาก
แม้จะเย็นลงไปแล้ว
แต่เนื้อช็อคโกแล็ตก็ยังคงนุ่ม
รสขมออกหวานจาง ๆ เข้ากันอย่างลงตัว
เนื้อตรงกลางที่ยังไม่สุกดีเยิ้มทะลัก
ให้ความเข้มข้นพอเหมาะอย่างกลมกล่อม
...รสชาติอร่อยไม่ผิดเพี้ยนไปจากที่เขาทำเลย
“เป็นไง”
คนที่เฝ้ารอปฏิกิริยาจากคนกินเอ่ยถามอย่างหวั่น ๆ
ซึ่งนักรบก็ตอบกลับไปเพียงสั้น ๆ ตามความจริง
“อืม...อร่อยดี”
ดวงตากลมโตเป็นประกายแวววับเมื่อได้ฟังคำตอบถูกใจ
ทว่ายังไม่ทันจะได้อวดฝีมือให้สมภาคภูมิ
เสียงของคู่สนทนาก็ร้องขัด
“แล้ว...ตกลงสาเรียกผมมาที่นี่
เพื่อให้มากินช็อคโกแล็ตลาวาให้สาดูอย่างเดียวเหรอ”
คำถามส่งผลให้คนฟังชะงักงัน
ประกายตายินดีเมื่อครู่เปลี่ยนเป็นลังเล
ก่อนเจ้าตัวจะเบือนหน้าหลบพยายามเริ่มต้นเรียบเรียงคำ
แต่ประโยคที่เอ่ยออกมาก็ยังจับใจความไม่ได้
“อ่ะ...เออ....คือว่า...คือ...เออ....”
คำพูดตะกุกตะกักพร้อมกับท่าทีอึกอักของคนตรงข้าม
ทำให้นักรบต้องเผลอถอนหายใจ
จนในที่สุดก็ตัดสินใจเป็นฝ่ายพูดออกมาก่อนเสียเอง
“ถ้าสาลำบากใจก็ไม่ต้องบอกก็ได้
ผมรู้ว่า มันคงเร็วเกินไปที่จะให้สารับความรู้สึกของผมเอาไว้
แล้วสาเองก็คงจะตกใจที่ผมทำแบบนั้น
ผมผิดเอง...
ผมขอโทษนะ...
สาพอจะยกโทษให้ผมได้มั้ย
ยกโทษแล้วให้เรากลับมาเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิมเถอะนะ”
คำอธิบายด้วยน้ำเสียงจริงจังอย่างคนสำนึกผิด
เพราะคนพูดเอ่ยออกมาจากส่วนลึกของหัวใจ
เขารู้แล้วว่าสิ่งที่เจ็บกว่าการเป็น ‘แค่เพื่อน’
คือการถูกคนที่ตัวเองรักทำเหมือนเขา ‘ไม่มีตัวตน’
และหากโดนลูกแม่พลอยเมินใส่กันขนาดนั้น
เขาคงทนไม่ไหวอีกต่อไป
สู้ให้อยู่ข้าง ๆ กายกันเสียดีกว่า
อย่างน้อยก็ยังได้พูดคุย ยังได้เห็นรอยยิ้ม
ยังรู้ว่าอีกฝ่ายสุขสบายดี
...แค่นี้เขาก็พอใจมากแล้ว
ใบหน้าของคนฟังยังคงไม่ยอมหันมาสบคู่สนทนา
เพียงแค่เอ่ยคำถามย้อนกลับมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“ไหนคุณบอกว่าไม่อยากเป็นเพื่อนกับผมไง
แล้วคุณมั่นใจเหรอว่าจะกลับมาเป็นเพื่อนกับผมได้”
...ไม่แปลกเลยที่จะโดนถามแบบนั้น
เพราะลูกแม่พลอยรับรู้ถึงความรู้สึกของเขาว่ามันก้าวล้ำ
เกินกว่าคำ ‘เพื่อน’ ไปแล้ว
จะคลางแคลงใจในความสัมพันธ์
จะระแวงสงสัยเพราะกลัวบางสิ่งจะเกินเลยก็ไม่คงผิด
เพราะต้นเหตุของเรื่องทั้งหมด
มันก็เกิดจากการที่เขาดันเผลอใส่อารมณ์ล่วงล้ำลูกแม่พลอยไป
แถมยังย้ำชัดด้วยว่า อยากจะกอด อยากจะจูบ
อยากทำให้ลูกแม่พลอยเป็นของเขา
...สิ่งที่ทำลงไปก็สมควรแล้วที่จะถูกอีกคนไม่ไว้ใจกันขนาดนี้
แต่...
“มันก็ใช่ เพราะผมรู้สึกกับสาเกินเพื่อน
แต่ถ้าสารับไม่ได้ หรือไม่ไว้ใจผม
ผมก็จะพยายามไม่เข้าไปก้าวก่ายเรื่องของสา
จะเป็นแค่เพื่อนที่ดีคอยช่วยเหลือ
เป็นคนรับฟังปัญหาของสา
แต่ขอให้โอกาสผมสักครั้ง
ให้เรากลับมาเป็นเหมือนเดิมเถอะนะ
...ได้มั้ย”
น้ำเสียงที่เอ่ยออกมาเต็มไปด้วยความวอนขอ
อย่างที่นักรบมั่นใจว่าไม่เคยพูดให้ใครได้ยินมาก่อน
แต่สำหรับคนคนนี้ ต่อให้คุกเข่าเพื่ออ้อนขอคืนดีก็ยอม
...แค่อยากจะขอโอกาสอีกสักครั้ง
แค่ครั้งเดียวเท่านั้น....
...ลูกแม่พลอยพอจะให้กันได้รึเปล่า
ดวงตาคมมองใบหน้าเนียนซึ่งหันกลับมาสบตา
ก่อนคำพูดหนึ่งจะเลื่อนหลุดจากริมฝีปาก
...ถ้อยคำที่ทำให้หัวใจของนักรบหล่นวูบ
“ไม่ได้หรอก มันสายไปแล้ว”
ประโยคปฏิเสธที่ได้ยินเหมือนฟ้าผ่าลงกลางใจ
นักรบนิ่งงัน รู้สึกราวกับลมหายใจขาดห้วง
ร่างกายคล้ายจะหมดแรงลงไปดื้อ ๆ
เมื่อรับรู้ว่าความหวังที่มีพังทลายลงไปจนหมดสิ้น
‘มันสายไปแล้ว’
...ก็น่าจะรู้อยู่แล้วแท้ ๆ
เขายังจะมาหวังลม ๆ แล้ง ๆ บ้าบออะไรอยู่อีก
คิดอยากให้กลับมาเป็นเหมือนเดิม
ทั้ง ๆ ที่ทำร้ายความรู้สึกของอีกคนตั้งมากมาย
มาร้องขอโอกาสกันตอนนี้คงไม่มีประโยชน์
เพราะฉะนั้นจำไว้ซะ ไอ้รบ
ต่อจากนี้เรื่องระหว่างเขากับลูกแม่พลอย
...มันจบสิ้นลงไปแล้ว
นักรบตั้งท่าเตรียมหมุนตัวกลับ
ขืนอยู่ต่อไปมีแต่ทำให้หัวใจตัวเองต้องเจ็บช้ำเปล่า ๆ
อีกอย่างถูกพูดขนาดนี้ ลูกแม่พลอยคงไม่อยากเห็นหน้าเขาอีกต่อไปแล้ว
ทว่ายังไม่ทันจะก้าวเดิน
ร่างสูงกลับรับรู้ถึงแรงกระชากจากคอเสื้อด้านหลัง
เขาหันหน้ากลับมาด้วยความแปลกใจ
ก่อนดวงตาคมจะเบิกกว้างอย่างตกตะลึง
เมื่อพบว่าใบหน้าลูกแม่พลอยอยู่ใกล้เพียงแค่ลมหายใจกั้น
...ริมฝีปากถูกสัมผัสจากบางสิ่งที่นุ่มนวลค้างไว้เพียงชั่วครู่
แล้วผละออกห่างอย่างรวดเร็ว
พร้อมกับได้ยินคำพูดประโยคหนึ่งดังขึ้น
...สะท้อนก้อนในใจอย่างชัดเจน
“เพราะเราสองคนไม่ได้เป็นเพื่อนกัน”
อะ...
...อะไรนะ
...เราสองคนไม่ได้เป็นเพื่อนกัน
ไม่ได้เป็นเพื่อนกัน...
แล้วยังจูบแบบนั้น
อย่างนี้ก็ความหมายความว่า...
หมายความว่า...
ความโศกเศร้าในหัวใจสูญสลายเปลี่ยนเป็นความสุขซึ่งเอ่อเข้าท่วมท้น
ยิ่งเห็นใบหน้าเกลี้ยงเกลาเบนหลบไม่สบตา
แต่เสี้ยวหน้าที่สะท้อนแสงไฟกลับขึ้นสีเข้มก็ยิ่งทำให้ริมฝีปากยิ้มกว้าง
นึกอยากจะคว้าตัวคนที่ช่างทำตัวน่ารักให้มากอดให้ช้ำ
โทษฐานที่แกล้งทำให้เขาเดี๋ยวเศร้า เดี๋ยวสุข
จนหัวใจแทบจะรับไม่ไหว
...ลูกแม่พลอยนะ ลูกแม่พลอย
เล่นมาทำให้เขา ‘ตกหลุมรัก’ มากขึ้นไปกว่าเดิมแบบนี้
อย่าหวังว่าเขาจะปล่อยให้หลุดมือต่อไปได้อีกเลย
ดวงตาคมจ้องมองร่างตรงหน้าอย่างเปิดเผย
โดยไม่คิดจะปิดบังความรู้สึกจากใจ
กระทั้งคนถูกมองเริ่มอึดอัดแปลก ๆ
จนต้องรีบพูดขอตัวเลี่ยงห้วน ๆ
“ผมกลับล่ะ”
“เดี๋ยว สากลับกับผมนะ”
นักรบรีบเอ่ยรั้งเดินตามคนหันหลังก้าวฉับ ๆ ซึ่งร้องตะโกนบอก
“มีมอไซต์กลับเองได้”
“น่ามันลำบากเดี๋ยวผมช่วยขนเอง”
หนุ่มมาดเซอร์คะยั้นคะยอ
มิหนำซ้ำยังเร่งเดินแซงหน้า
คว้ากล่องใส่ขนมใบใหญ่ยกเดินลิ่วข้ามไปอีกฝากอย่างไม่พูดพล่ามทำเพลง
ตัดหน้าเจ้าของตัวจริงที่ร้องตะโกนโวยวายดังลั่น
“เฮ้ย!! เอาคืนมานะ!!
โธ่เว้ย!! เป็นแบบนี้ทุกที
แม่ง แกล้งกันอีกแล้ว!!”
คำด่าลอยมาตามลม
แต่นักรบกลับไม่ได้สนใจยังคงไขกุญแจรถ
เปิดกระโปรงหน้าแล้วยัดของใส่ลงไป
ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองคนหน้าบูดที่เดินเข้ามาใกล้
อดไม่ได้ที่จะหัวเราะขำขึ้นมาเบา ๆ
จนโดนดวงตากลมจ้องตาขวาง
“หัวเราะทำไม
อยากจะขับไปส่งก็เชิญ
ดี จะได้ไม่ต้องเปลืองค่าน้ำมัน
แล้วอย่ามาหารกันทีหลังนะโว้ย!!”
คนบ่นประชดเปิดประตูแทรกกายลงไปนั่งที่ประจำ
แล้วกระชากปิดโครมอย่างรุนแรงอย่างไม่กลัวเจ้าขอรถจะด่า
ซึ่งแน่นอนว่าร่างสูงไม่คิดจะถือสาอยู่แล้ว
ก็จะโกรธทำไม
ในเมื่อไอ้สีหน้าแบบนี้มันฟ้องอยู่ชัด ๆ
ว่าลูกแม่พลอยกำลัง
...เขิน
นึกอยากจะหยิบกล้องออกมาถ่ายไว้ดูเล่นอีกหลาย ๆ ใบ
แต่ก็ทำได้แค่เพียงก้าวขึ้นรถ
สตาร์ทเครื่องขับออกไปตามถนนสู้เส้นทางที่คุ้นเคย
ทว่าก็ยังมิวายเหลือบมองเป็นระยะ
...มองคนที่ ‘ไม่ได้เป็นเพื่อนกัน’
ซึ่งเจ้าตัวก็ยังเบือนหน้าดูวิวนอกกระจกไม่เลิก
เขาจึงค่อย ๆ แกล้งลดมือข้างซ้ายที่จับพวงมาลัย
ก่อนจะขยับเอื้อมมาวางทาบทับมือของใครอีกคนซึ่งวางนิ่งอยู่บนเบาะ
ดวงตากลมโตหันกลับมามองร่างสูงเพียงเล็กน้อย
แล้วก็เฉกลับไปชมวิวข้างทางเหมือนเดิม
...ปล่อยให้สองมือเกาะกุมเกี่ยวกันไว้
พร้อม ๆ กับปล่อยให้หัวใจรับรู้ตรงกันว่า...
ระหว่าง ‘ลูกแม่พลอย’ กับ ‘ลูกแม่เดือน’
‘สถานะ’ อะไรคงไม่สำคัญ
แค่ยังรู้ว่าต่อจากนี้เราจะมี ‘กันและกัน’
...เท่านั้นก็เพียงพอแล้ว
------------------------------------------------------------------------------------------------------------
“รบ เอาเค้กไปไกล ๆ นะ
เห็นมั้ยว่ามันบังสังขยาร้านผมเนี่ย”
“ทีขนมของร้านสากินเนื้อที่ไปตั้งเกือบครึ่ง ผมยังไม่บ่นเลย”
“อะไร นี่กล้าว่าเหรอ
คนเขาใจดีมาแบ่งที่ให้ขายยังจะมากัดอีก”
“ไม่ได้กัดก็ผมพูดจริง
โปสการ์ดของผมยังต้องหนีบแอบ ๆ ไว้อยู่ข้างร้านเลย
แล้วแบบนี้ใครมันจะมาเห็น”
“โอยยย!! อย่าเรื่องมากได้มั้ยวะ!!
รำคาญโว้ยยยย!!”เสียงทะเลาะกันดังโหวกเหวกบนถนนคนเดินเหมือนเดิมไม่ผิดเพี้ยน
จะต่างก็ตรงที่ว่าจากการทะเลาะกันข้ามฝั่ง
กลับเปลี่ยนมาเป็นการโต้เถียงในร้านแผงเดียวกันแทน
...แผงขายขนมซึ่งตอนนี้เกิดจากการรวมตัวของ
‘ร้านหวานละไม ขนมไทยแม่พลอย’ กับ ‘ร้านบ้านขนมเดือนใจ’ ไว้ที่เดียวกัน
สาลี่ถอนหายใจพลางคิดทบทวนถึงต้นเหตุของเรื่องที่ไม่ใช่คนอื่นคนไกล
...ไอ้ลูกแม่เดือนเลย
มันเล่นขอร้องคณะกรรมการตลาดให้ย้ายแผงกลับมาอยู่ตรงข้ามเหมือนเดิม
ซึ่งแน่นอนอยู่แล้วว่าใครจะอนุญาต
นึกอยากจะย้ายก็ย้าย นึกอยากจะกลับก็กลับ
แบบนี้ร้านอื่นมาเห็นคงได้ด่าคณะกรรมการเข้าพอดี
อีกอย่างเจ้าของร้านขายหมูปิ้งก็ไม่ยอมคืนที่ให้ด้วย
บอกว่าทำเลตรงนี้ดี แล้วก็เซ็นสัญญาตกลงค่าเช่าเรียบร้อยแล้ว
เรื่องมันเป็นแบบนี้ ไอ้ลูกแม่เดือนก็เลยหน้าหงอย
ไป ๆ มา ๆ สุดท้ายเขาก็เลยตัดสินใจ
สละที่แผงร้านหวานละไมให้ครึ่งหนึ่ง
ถึงมันจะดูขัด ๆ ตาไปสักหน่อย
เพราะเขากลับมาใส่ชุดไทยเหมือนเดิม
แต่ไอ้คนขายของคู่กัน มันดันใส่แค่เสื้อยืดเบียร์ช้างกับกางเกงยีนส์เซอร์ ๆ
มองยังไงก็ว่าแปลก...
ด้วยเหตุนี้เพียงแค่ตั้งแผงขายได้แป๊บเดียว
ร้านทั้งสองจึงดึงดูดความสนใจของคนที่ผ่านไปมาได้มากมาย
“อุ๊ย พี่ที่เป็นคู่เกย์นี่แกใช่มั้ย
เกือบจำพี่คนใส่แว่นไม่ได้แหนะ
น่ารักขึ้นตั้งเยอะ”
“ว๊ายยย แต่เห็นน่ารักแบบนี้ลืมไปแล้วเหรอว่าพี่เขาน่ะ ‘รุก’ นะย่ะ”
“จริงด้วยสิ คิก คิก ”
สาลี่ได้ยินเสียงนินทาแว่วเข้าหู
เขารีบหันมองกลุ่มสาววัยรุ่นห้าหกคนที่สุดแสนจะคุ้นตา
ยืนกระซิบกระซาบอยู่ใกล้ ๆ
...เกือบลืมไอ้เรื่องโกหกบ้า ๆ ที่กุขึ้นมาซะแล้ว
ตอนนั้นแค่เพราะอยากชนะก็เลยพูดออกไปได้
นึกแล้วตลกโชคชะตาจริง ๆ ...
ไม่เคยคิดเลยว่าคนที่เคยกัดกันจะเป็นจะตายในตอนแรก
ตอนนี้กลับกลายเป็นว่ามายืนขายของอยู่ข้างกัน
เขาไม่รู้ว่ามันดีแล้วรึเปล่าที่ตัดสินใจบอกลูกแม่เดือนไปเมื่อวาน
แต่ก็เพราะหัวใจมันรู้สึกแบบนั้น...
ความรู้สึกที่คิดเหมือนกันว่าคงเป็นไปมากกว่า ‘แค่เพื่อน’
...มีความสุขที่อยู่ใกล้
...เป็นตัวของตัวเองอย่างสบายใจ
...ยิ้มได้ หัวเราะได้
...ถ้าจะร้องไห้ก็รู้ว่ามีคนคนนี้คอยอยู่เคียงข้าง
ถึงยังไม่แน่ใจว่า มันคือ ‘รัก’ มั้ย
แต่เขายอมรับว่าตอนนี้...
‘ลูกแม่เดือนเป็นคนสำคัญในใจ’
...และเป็นคนที่ทำให้เขารู้สึกหวั่นไหวอย่างที่ไม่เคยมีใครทำได้มาก่อน
“น้องกลุ่มนั้นซื้อขนมมั้ยครับ เดี๋ยวพี่แถมให้นะ”
สาลี่ชะงักมือที่จัดห่อขนม
เมื่อได้ยินนักรบร้องทักเด็กสาวซึ่งยืนเมาส์อยู่หน้าร้าน
“จริงเหรอคะ!!”
พอรู้ว่าจะมีของแถมกลุ่มสาว ๆ จึงรีบกรูเข้ามายืนออ
ซึ่งหนุ่มมาดเซอร์ก็พยักหน้าร้องตอบกลับ
“จริงครับ แต่ช่วยพี่อย่างสิ”
“อะไรคะ”
เด็กสาวใส่แว่นเอ่ยถามอย่างสงสัย
แต่หนุ่มผมยาวกลับเผยรอยยิ้มกรุ่มกริ่มก่อนบอกคำขอ
“ช่วยถ่ายรูปพี่สองคนคู่กับร้านให้หน่อยครับ”
ดวงตากลมหันขวับไปมองทันที
ท่ามกลางเสียงกรีดร้องที่ตะเบ็งเข้าหู
“กรี๊ดดดด!! ว๊ายยยยยยย!!
หวานเวอร์อ่ะ
ได้ค่ะพี่เดี๋ยวหนูจัดให้
พี่ยืนชิด ๆ กันหน่อยค่า”
เสียงร้องบอกทำให้ร่างสูงขยับเข้าใกล้หนุ่มในชุดไทย
ซึ่งขมวดคิ้วกระซิบเสียงดุถามอย่างเอาเรื่อง
“เล่นอะไรอีกแล้วห่ะ”
ทว่า คนโดนบ่นกลับส่ายหน้า
“ไม่ได้เล่น เอาจริง
ก็แค่อยากถ่ายรูปคู่กันกับร้าน
เถอะน่านาน ๆ ที
แล้วอย่าลืมพูดว่าเป๊ปซี่ซซซ~~ ด้วยนะ โอย!”
เสียงร้องด้วยความเจ็บดังขึ้นเบา ๆ
เมื่อคนแกล้งแหย่โดนศอกถอกเข้าไปเต็มๆ ท้อง
..สม!
อยากกวนมาก ๆ ก็ควรโดนสักทีหรอก
“โห เดี๋ยวนี้รุนแรงนะ ระวังจะโดนเอาคืน”
คำขู่อย่างไม่สำนึกทำให้คนฟังตั้งท่าจะหันไปด่าอีกรอบ
แต่เสียงใสกลับร้องขัด
“พร้อมหรือยังคะ”
สาลี่หยุดกึกหันกลับมามองกล้อง
ซึ่งเริ่มมีกลุ่มคนมุงดูมากขึ้น
ถึงใจจะหงุดหงิดแต่ก็พยายามปรับสีหน้าเป็นปกติ
เอาวะ...
แป๊บ ๆ ก็จบ
โดนถ่ายมาไม่รู้กี่รูปต่อกี่รูปแล้ว
จะเพิ่มอีกสักใบคงไม่เป็นไรหรอก
“เอานะ
หนึ่ง...
สอง...
ซ่ำ...”
“อ่ะ”
แชะ
ดะ...
เดี๋ยวนะ...
เมื่อกี๊...
รู้สึกไปเองรึเปล่าว่าก่อนชัตเตอร์ดัง
เหมือนมีอะไรนิ่ม ๆ มาโดนแก้มเขา
ยังไม่ทันคลายความสงสัย
นักรบยื่นมือรับกล้องคืนมา
ท่ามกลางเสียงกรีดร้องวี๊ดว๊ายจากสาว ๆ
ก่อนเจ้าตัวจะกดมองภาพที่บันทึกไว้
ยิ้มบาง ๆ อย่างถูกใจ
พลางยกกล้องขึ้นมาให้เขาดูภาพที่ถูกถ่าย
“กะแล้วว่าต้องน่ารัก
ดูสิ นี่หน้าของคุณตอนโดนผมหอมแก้มไง ฮ่าๆๆๆ”
เสียงหัวเราะที่ได้ยินทำให้คนรู้ความจริงตัวสั่น
ใบหน้าเริ่มขึ้นสีแดงเรื่อ ร้องโวยวายออกมาเสียงดังลั่น
“ไอ้ลูกแม่เดือน แกล้งอีกแล้วนะโว้ยยย!!!!”
...และแล้วการทะเลาะครั้งใหม่
ระหว่าง ‘ลูกแม่พลอย’ กับ ‘ลูกแม่เดือน’
ก็เริ่มต้นบนถนนคนเดินอีกครั้งหนึ่ง
....
..
.
ถ้าจะให้นิยาม ‘ความรัก’
สำหรับเขาแล้ว...
‘ความรักก็คงเหมือนการทำขนมปัง’
เริ่มต้นจากส่วนผสมคนล่ะอย่างที่ดูไม่มีทางน่าเข้ากันได้
แต่พอนำมารวมกัน ใช้เวลาผ่านการนวดอย่างเอาใจใส่
จากที่ดูเหมือนไม่เข้ากันในตอนแรก
สุดท้ายก็กลายมาเป็นเนื้อเดียวอย่างกลมกลืน
เหมือนคู่ของเขากับลูกแม่เดือน
ตอนแรกเกลียดขี้หน้า ไม่ถูกชะตา
แต่พอเราได้มีโอกาสพูดคุยกัน ได้ใกล้ชิดกัน
มันก็ทำให้เรารู้ว่าจริง ๆ แล้ว
...เราเข้ากันได้ดีมากแค่ไหน
ต่างคน ต่างรับรู้ถึงความรู้สึกจริง ๆ ในใจ
และต่างก็ยอมรับในตัวตนของอีกฝ่าย
จากคู่กัด เลยข้ามขั้น กลายมาเป็นคู่ที่ดูเหมือนจะมีอะไรมากกว่านั้น
ตอนนี้เขายังไม่แน่ใจว่า
สถานะระหว่าง ‘ลูกแม่พลอย’ กับ ‘ลูกแม่เดือน’
มันอยู่ตรงจุดไหนของความสัมพันธ์
แต่การทำขนมปังมันก็ต้องมีช่วงเวลาพักบ่มของเนื้อแป้ง
ดังนั้น เขาเลยอยากปล่อยให้เวลาค่อย ๆ พิสูจน์ทุกอย่างให้ชัดเจน
และสิ่งสำคัญที่สุด....
เขาเชื่อว่า ขนมปังจะอร่อยได้มันก็ต้องขึ้นอยู่กับฝีมือคนทำ
ซึ่งเขามั่นใจว่าไอ้คนทำขนมปังของเขาคนนี้
คงอบออกมาได้รสชาติอร่อยถูกปากเขาอย่างแน่นอน
เพราะฉะนั้นก็รีบ ๆ เข้าหน่อยล่ะลูกแม่เดือน
....แล้วลูกแม่พลอยจะทำสังขยาไว้เตรียมรอนะ
...ขอให้รักของคุณหอมนุ่มละมุน...
....เหมือนขนมปังกรุ่นไอจากเตานะครับ...
------------------------------------------------------------------------------------------------------------
END
จบลงแล้วค่ะ 
สำหรับ ‘ซีรีย์หวานอมขม ภาค ขนมปังสังขยา กับ ลาวาช็อคโกแล็ต’
บางคนอาจสงสัยว่า เฮ้ย ตัดจบกันดื้อ ๆ แบบนี้เลยหรอ
เปล่าค่ะ เปล่า ตั้งใจแต่แรกแล้วว่ามันควรจะจบอยู่ตรงนี้
เพราะเป็นเรื่องราวความรักที่ค่อย ๆ พัฒนา
จากคนที่ไม่ถูกกัน มาเป็นคนสนิท
แล้วก็เป็นไปไกลเกินกว่าคำว่าเพื่อน
ส่วนที่เหลือจะพัฒนาต่อไปยังไงในความสัมพันธ์
ก็คงต้องเป็นอย่างที่สาลี่บอกคือ ปล่อยให้เวลาพิสูจน์กันไปเอง
ความรักมักจะเริ่มต้นอย่างรวดเร็ว
แต่ความผูกพันจะก่อตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป
ดังนั้น นักรบจะเพิ่มเติมความรู้สึกของสาลี่ให้เป็นแบบไหน
ก็คงต้องลุ้นกับฝีมือของลูกแม่เดือนเอาเองล่ะค่ะ
แต่ถ้าใครอยากรู้ล่วงหน้าว่าคู่นี้จะเป็นยังไง
แอบกระซิบว่ามีให้ติดตามกันต่อในเซอร์วิสชิ้นพิเศษแน่นอน 
สุดท้ายนี้ ขอบคุณสำหรับทุกกำลังใจ
ทุก ๆ คอมเมนต์ที่อยู่เป็นเพื่อนกัน
ขอบคุณที่ทำให้ ‘ขนมปังสังขยา กับ ลาวาช็อคโกแล็ต’
อบออกมาหอมหวานนุ่มละมุนถูกปากถูกใจ
รู้สึกถึงเรื่องนี้ยังไงแบบไหน
ก็ฝากเล่าให้ฟังกันบ้างนะคะ
คนเขียนรับได้หมดทั้งคำติคำชมค่ะ
ส่วนซีรีย์เรื่องหน้าจะภาคเป็นอะไร
อดใจรออีกนิด แล้วจะมาเฉลย
ตอนนี้ขอตัวไปกินขนมปังสังขยาก่อน
แล้วเจอกันนะคะ

รักBitterSweet