ซีรีย์หวานอมขม : ภาค ยอดสะเดา กับ ข้าวโพดต้มต้นที่ 3“กรี๊ดดดดดด!!”
นี่ไม่ใช่เสียงร้องโหยหวนของผีโดนข้าวสารเสกแต่อย่างใด
หากแต่เป็นเสียงแหลมกึ่งแมนของกระเทยหญิงเดี่ยวเจ๊บอลล่า
ผู้กรีดร้องประหนึ่งโดยน้ำมนต์สาดใส่ร่างจนร้อนกาย
...แม้ไม่ใช่เสียงผีออก แต่ก็ยังถือว่าใกล้เคียง
เพราะตอนนี้เจ๊แกเริ่มสั่น...
...สั่นไปทั้งตัวเหมือนมีองค์มาเสด็จมาลงร่าง
และคงเป็นองค์ประทับที่มีชื่อว่า ‘เทพธิดาโกรธาพิโรษ’
“กรี๊ดดดด!! แกไอ้เกมส์!!
แกทำอย่างนี้กับชั้นได้ยังไง บอกมาสิแกทำได้ยังงายย!!!
ต๊ายยย ตะตะตายยย ตายย ตาย!!!
โอย...ไม่ไหวแล้ว ใครก็ได้ช่วยเจ๊ที เจ๊จะเป็นลม
แต่ก่อนชั้นเป็นลม ชั้นจะโทรเรียกนางแนนนี่มาอัดถั่วแกก่อน จะได้เป็นลมตาหลับ!!”
เสียงกรีดร้องอย่างอาฆาตแค้นยังคงดังอย่างต่อเนื่อง
ทว่ากลับไม่มีใครคิดจะยื่นมือเข้าช่วยเหลือผู้เคราะห์ร้ายเลยแม้แต่น้อย
เพราะหากจะช่วยจริง...คงจะไปช่วยรุมกระทืบมากกว่า
สาเหตุก็เนื่องมาจากไอ้ตัวต้นเรื่องมันดันเฉลยวีรกรรมร้ายแรง
ที่เพิ่งกระทำต่อเพื่อนทั้งห้าชีวิตไปได้อย่างเจ็บแสบ
“บอกแล้วไงว่ากูขอโทษ...
ก็แค่...เออ...แค่กูลืมนิดหน่อยเอง”
“นิดหน่อยบ้านแกสิไอ้เกมส์!! นิดหน่อยเป็นอาทิตย์เชียวนะแก
ลืมอะไรไม่ลืม เสือกลืมส่งรายชื่อโปรเจควิชาจริยศาสตร์
เกรดชั้นเทอมนี้เดี๋ยวได้มีปลาเข้าไปว่ายทั้งฝูงกันพอดีสิย่ะ
โอยย...พูดแล้วกระเทยเหนื่อย กระเทยเพลีย ลมจะจับอีกรอบ
นี่....พ่อเต่าน้อยส่งยาดมให้เค้าหน่อยสิ”
นายปลายฟ้ารีบยื่นอาวุธให้บอลล่าตามคำขอ
พลางมองไอ้เกมส์ที่ทำหน้าจ่อยเพราะถูกด่าไฟแลบ
สงสารมันเหมือนกัน แต่จะให้ทำไงได้....
...ความผิดนี้ช่างใหญ่หลวงนัก
ความจริงไอ้โปรเจควิชาจริยศาสตร์ที่เคยคุยกันไว้มันไม่ได้ยากเย็นอะไรหรอก
มันเป็นวิชาว่าด้วยหลักคุณธรรม หลักจริยธรรม ซึ่งว่าที่เภสัชในอนาคตพึ่งจะมี
นอกจากต้องสอบทฤษฎีแล้ว ยังต้องมีการสอบภาคปฏิบัติด้วย
โดยการจับกลุ่มนักศึกษาประมาณห้าหกคน
แล้วเสนอกิจกรรมอันเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ
จำพวกทำป้ายเชิญชวนต่าง ๆ เช่น อย่าทิ้งขยะ อย่ารับประทานอาหารทิ้ง ๆ ขว้าง ๆ
รณรงค์ไม่ดื่มเหล้าไม่สูบบุหรี่ในมหาลัย แต่งชุดนักศึกษาให้ถูกระเบียบ
โดยแต่ละกลุ่มห้ามเสนอมาซ้ำกัน
แล้วอาจารย์จะเป็นคนตัดสินให้คะแนน
ซึ่งงานนี้นับเป็นห้าสิบเปอร์เซนต์ของคะแนนทั้งหมด
...ฟังดูเหมือนง่ายใช่มั้ยครับ?
...ง่ายแน่ ๆ ครับ
...ยกเว้นก็แต่ว่ามันหมดเขตเสนอโปรเจคไปเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว
และที่สำคัญคือ ‘อาจารย์ชลิดา’ อาจารย์ผู้สอนประจำวิชานี้
ดันขึ้นชื่อลือชาเรื่องความเฮี้ยบและตรงเวลาสุด ๆ
ขนาดนักศึกษาเข้าห้องสายแค่สองนาทีอาจารย์ยังเล่นล็อคห้องไม่ให้เข้าเรียน
นักศึกษาลืมเอาบัตรนักศึกษาเข้าห้องสอบ อาจารย์ยังให้หมดสิทธิ์สอบ
...เป็นไงครับ?
....คราวนี้ คิดว่ามันเริ่มง่ายมากขึ้นแล้วหรือยัง?
“แล้วทีนี่จะทำยังไงวะ”
ปลายฟ้าร้องถามขึ้นอย่างคนอับจนหนทาง
ครั้งที่แล้วอุตส่าห์เสนอตัวช่วยเลือกโปรเจคให้แท้ ๆ ไอ้เกมส์ดันไม่น่าพูดขัดเลย
อย่างน้อยเลือกช้ายังดีกว่าไม่เลือก มาช้ายังดีกว่าไม่มานะเว้ย
“คงต้องลองไปคุยกับอาจารย์ดู”
คนทำผิดเสนอทางออกที่ทุกคนเห็นพร้อมตรงกัน
...แม้ความหวังจะดูริบรี่เต็มที
แต่เมื่อมันเป็นฟางเส้นสุดท้ายยังไงก็ต้องขอลองสู้สักตั้ง
นักศึกษาปีเภสัชศาสตร์ชั้นปีที่สาม ชาย 5 กระเทย 1
จึงตกลงปลงใจเดินขึ้นตึกภาควิชาไปยังห้องพักอาจารย์
โดยมีไอ้เกมส์ตัวต้นเรื่องถูกดันให้เดินนำหน้าเพื่อขอเจรจา
“ขออนุญาตครับอาจารย์ชลิดา พวกผมมีเรื่องจะปรึกษาครับ”
เปิดประโยคนำร่องไปก่อนอย่างงาม ๆ
เรียกให้อาจารย์ซึ่งกำลังตรวจเอกสารบนโต๊ะเงยหน้าขึ้นมอง
ที่จริงอาจารย์ชลิดาจัดเป็นอาจารย์ที่ยังสาวยังสวยอยู่เลย
อายุแค่ยี่สิบปลาย ๆ แต่ความโหดนี่นำหน้าไปไกลจนทุกคนแอบขยาดกันไปทั่ว
“อ้าว พวกเธอเองเหรอ จะคุยเรื่องโปรเจควิชาจริยศาสตร์กันใช่มั้ย”
คำทักทายแรกเหมือนโดนอ่านใจออก
เล่นทำเอาคนฟังอยู่ถึงกับสะอึก
คนนำทัพยิ้มเจื่อน ๆ แต่ก็ยังมีแก่ใจถามกลับ
“เออ...อาจารย์รู้ได้ไงครับ”
“ก็มีแต่รายชื่อพวกเธอเนี่ยแหละที่ไม่ได้ส่ง
อาจารย์ขอชื่นชมนะว่ากล้าหาญมาก
คงจะคิดดีแล้วใช่มั้ยว่าอยากผ่านจากคะแนนแค่เปเปอร์อย่างเดียว”
“มะ...มะ...ไม่ใช่ครับ... อาจารย์
คะ...คือว่า...ผมลืมส่งรายชื่อกลุ่มให้อาจารย์ไป”
ไอ้เกมส์รีบแก้ตัวตะกุกตะกักลิ้นพันกันจนแทบร้องแร๊ป
ทว่าผู้ฟังกลับไม่สะทกสะท้านแม้แต่น้อย
“การลืมแสดงถึงการขาดความรับผิดชอบนะคะ
แล้ววิชาจริยศาสตร์ก็พูดถึงเรื่องการแสดงความรับผิดชอบต่อสาธารณะโดยตรง
นักศึกษาคิดว่าอาจารย์ควรทำอย่างไรกับกรณีนี้ดีคะ?”
...เอาแล้วครับ
อาจารย์เริ่มใช้สำเนียงเหมือนการสอนแบบนี้
แสดงว่าเริ่มเอาจริง ไม่มีพูดเล่น
“เป็นความผิดของผมเองครับ
ถ้าอาจารย์จะตัดคะแนนก็ขอให้หักคะแนนผมคนเดียว
พวกเพื่อน ๆ ผมไม่เกี่ยวครับ
อาจารย์ให้พวกเขาทำโปรเจคต่อไปเถอะครับ”
โอ้โห...หล่อเลย มึงแมนมาก
ปลายฟ้ารีบหันไปชื่นชมคนพูดที่มีรัศมีพระเอกส่องกระจายทันที
ทว่าประโยคถัดมาของคนตรงข้ามกับดับออร่านั้นโดยฉับพลัน
“แล้วเพื่อน ๆ ที่เหลือไม่มีเตือนกันเลยรึไงคะ
แบบนี้แสดงให้เห็นว่าขาดความรับผิดชอบกันทั้งกลุ่ม”
...จุกครับ บอกได้คำเดียว
อาจารย์พูดอย่างนี้เอามีดมาแทงกันเลยดีกว่า
แต่ให้ปฏิเสธอะไรก็ไม่ได้ เพราะทั้งหมดมันคือเรื่องจริง
“พวกผมเองก็ผิดเหมือนกันครับอาจารย์
...ผมขอโทษครับ”
นายปลายฟ้าตัดสินใจก้มหัวยอมรับผิด
ก่อนจะตามมาด้วยเสียงบรรดาเพื่อน ๆ รอบตัวดังขึ้นพร้อมกัน
“หนูเองก็ผิด ขอโทษค่ะ”
“ผมขอโทษครับ”
“ขอโทษครับอาจารย์”
“ขอโทษครับ”
หกชีวิตได้แต่พูดคำเพียงคำเดียวอย่างสำนึกลึกซึ้งเต็มหัวใจ
บอกตามตรงว่าตอนนี้หลายคนเริ่มไม่หวังกันแล้วว่าจะได้แก้ตัว
หากจะยอมตกก็ขอตกกันยกกลุ่มเนี่ยแหละ
ปีหน้าค่อยลงเรียนซ้ำก็ได้ อย่างน้อยก็ยังมีเพื่อน
อาจารย์ผู้กุมชะตานิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง
ท้ายที่สุดจึงถอนหายใจออกมาเบา ๆ
“เฮ้อ...ก็ได้ค่ะ อาจารย์จะโอกาสพวกเธออีกครั้ง
เพราะส่วนหนึ่งของวิชาจริยศาสตร์
คือหลักธรรมว่าด้วยการมีจิตเมตตากรุณาและให้อภัย”
...เหมือนถูกศาลตัดสินให้ยกเลิกโทษประหาร
ทุกคนเงยหน้าขึ้นมามองกันทันทีหลังสิ้นคำพูด
ประกายแห่งความปลาบปลื้มฉายชัดในแววตา
โดยเฉพาะบอลล่าออกอาการดีใจจนเนื้อเต้น
จนแทบอยากจะวิ่งเข้าไปกอดอาจารย์บัดเดี๋ยวนั้น
“แต่....”
คำเชื่อมขัดแย้งที่ดังตามมาทำเอาทุกคนซึ่งกำลังเปรมปรีย์ถึงกับสะดุดกึก
“เพื่อเป็นการลงโทษ อาจารย์จะเป็นคนเลือกโปรเจคที่จะให้พวกเธอทำแทน”
อาจารย์สาวพูดจบพร้อมกับยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งมาให้หัวหน้ากลุ่ม
ซึ่งก็คือไอ้เกมส์พลางเอ่ยคำอธิบาย
“อาจารย์จะให้พวกเธอไปเข้าร่วม ‘ค่ายวิศวะอาสา’
ที่จะไปช่วยสร้างห้องสมุดให้น้อง ๆ ที่จังหวัดเลยเป็นเวลาสิบวัน”
...ค่ายวิศวะอาสา?
ไอ้ค่ายสุดหฤโหดที่มีคณะวิศวะเป็นผู้นำใหญ่สุดประหนึ่งมาเฟียนั่นอ่ะนะ
ความจริงมหาวิทยาลัยของเขามีชมรมค่ายอาสาพัฒนาอยู่แล้ว
แต่พวกเด็กวิศวะมักจะจัดค่ายอาสาที่เป็นเฉพาะของคณะตนเอง
แม้นักศึกษาคณะอื่นจะเข้าไปร่วมได้
แต่ 80% ของกลุ่มคนในค่ายมักสังกัดคณะวิศวะตามชื่อ
จึงไม่แปลกนักหากคนนอกอื่น ๆ จะเป็นเหมือนแกะดำหลงฝูง
คนฟังต่างมองหน้ากันเลิ่กลั่ก
ก่อนหญิงในมาดชายหนึ่งเดียวจะยกมือถาม
“เออ แต่ว่าค่ายนั่นมันเริ่มตอนปิดเทอมไม่ใช่เหรอคะ”
“ใช่ อาจารย์จะทำเรื่องให้พวกเธอติด I ไว้ก่อน
แต่ไม่ต้องห่วงนะ... ถึงอาจารย์จะไม่ได้ไปด้วย
แต่ ‘อาจารย์ชวลิต’ พี่ชายของอาจารย์เขาเป็นที่ปรึกษาประจำค่าย
อาจารย์จะฝากให้เขาช่วยดูด้วยว่าพวกเธอตั้งใจทำงานกันดีรึเปล่า”
...นั่นไง ถึงจะรอดพ้นการประหาร แต่ก็เหมือนโดนสั่งให้จำคุกตลอดชีวิต
แล้วจะให้นักโทษอย่างพวกเขาเรียกร้องอุทธรณ์อะไรได้
ขืนบ่นมากจากเกรด I ที่คาอยู่จะงอกหัวออกมาเป็น F ไปเสียแทน
“อาจารย์จะแจ้งประธานค่ายในครั้งนี้ด้วย
ส่วนที่เหลือพวกเธอไปติดต่อกันเองนะ
รายละเอียดมีอยู่ในใบที่อาจารย์ให้ไป
แล้วก็...”
คำพูดประโยคสุดท้ายหยุดลงพร้อมกับรอยยิ้มหวาน
...รอยยิ้ม อันแสนขัดกับน้ำเสียงที่จงใจเน้นคำบางคำให้คนฟังได้สยองเกล้า
“คราวนี้นักศึกษาอย่า ‘ลืม’ ทำรายงานสรุปโปรเจคมาส่งด้วยนะคะ”
...ได้ครับ จะจำให้ขึ้นใจเลยครับผม!!
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------
คณะเภสัชศาสตร์อยู่ห่างจากคณะวิศวกรรมศาสตร์แค่ 200 เมตร
...ระยะทางเหมือนจะใกล้ใช่มั้ยครับ
แต่ความจริงแล้ว...
ไม่ค่อยมีนักศึกษาคณะเภสัชคนใดอยากเฉียดกลายเข้าไปในคณะวิศวะเท่าไรนัก
อย่าว่าแต่คณะเภสัชเลย คณะอื่นก็มักไม่ค่อยอยากเข้าไปยุ่ง
สาเหตุเพราะพื้นที่คณะวิศวะมันกินอาณาบริเวณกว้างใหญ่เกือบครึ่งมหาลัย
รวมถึงกลุ่มคนผู้เรียนมีปริมาณมหาศาลนับหมื่น
พูดง่าย ๆ เหมือนมันครองตำแหน่งมาเฟียมหาลัย
แล้วใครกันจะอยากเหยียบเข้าไปในถิ่นโดยตรง
คณะเภสัชศาสตร์เป็นชนกลุ่มน้อยที่รักสงบ
อยู่รวมกันเป็นกระจุกราวกับหมู่บ้านลับแล
แต่บัดนี้คนในหมู่บ้านเล็ก ๆ กำลังเดินรวมตัวกันข้ามถิ่น
มาหยุดยืนรอใครบางคนตรงม้านั่งใต้ตึกคณะวิศวกรรมศาสตร์
ท่ามกลางสายตาจากเหล่าบรรดาเจ้าถิ่นคนอื่น
ซึ่งมองประหนึ่งว่าพวกเขาช่างกล้ากระทำการอาจหาญ
“ประธานค่ายที่นัดไว้มันยังไม่มาอีกเหรอวะ
คนแม่งมองพวกกูเหมือนตัวประหลาดแล้ว
รู้งี้ไม่ใส่เสื้อกาวน์มาสักก็ดีหรอก”
ไอ้เกมส์หัวโจกเริ่มบ่นอุบ
ปลายฟ้าเองก็รู้สึกอึดอัดแปลก ๆ ที่มีคนผ่านไปผ่านมาเมียงมองอย่างสนใจ
แน่ล่ะ...ก็ไอ้เสื้อกาวน์สีขาว ๆ มันเด่นกว่าเสื้อช็อปสีน้ำเงินอยู่มากโข
พวกเขาหกชีวิตเลยกลายเป็นเหมือนพวกแปลกแยก
ยกเว้นแต่บอลล่ากระเทยหญิงประจำกลุ่มหนึ่งเดียว
ผู้ลันล้าดีใจทำเสียงระริกระรี้อย่างปลาบปลื้มมากกว่าปกติ
“มองเยอะ ๆ สิดี ชั้นล่ะชอบบบ!!
แหม...ผู้ชายเถื่อน ๆ หน้าตาหล่อ ๆ ทั้งนั้นเลยอ่ะแก
เห็นแล้วเจ๊อยากจะดึงมาขบกล้ามเล่นสักคนสองคน”
แม้ใบหน้าหวานยังแอบเก๊กนิ่งอยู่
ทว่าดวงตาของนางลวนลามไปไกลแล้ว
ทั้งยังมาสะกิดปลายฟ้าซึ่งนั่งอยู่ข้าง ๆ ยิก ๆ
ให้มาร่วมเมาส์มอยดั่งสมาคมสาวโสดหัวใจเปลี่ยว
“กรี๊ดดด!! ไอ้ปลาย แกดูผู้ชายคนนั่นดิ
ขาว หล่อ ตี๋ หุ่นบาดใจสเป็คชั้น น่ารั๊กกกอ่ะ”
แม่นางบอลล่าไม่ได้สนเลยว่าคนที่ตัวเองชี้ชวนให้ดูก็เป็นตัวผู้เหมือนกัน
ซ้ำยังไม่ได้มีรสนิยมอยากปลูกป่ากับเพศเดียวกันเลยสักนิด
แต่ชินแล้วครับ.... เจ๊แกชอบของเขา...
บอลล่าเคยบอกเหตุผลว่าที่มารวมกับกลุ่มชายล้วนนี้
เพราะเจ๊แกอยากอยู่ท่ามกลางหนุ่ม ๆ มากกว่าสาว ๆ
จะได้ให้ความรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นราชินี มีองครักษ์รายล้อม
แม้องครักษ์จะดูกาก ๆ หน่อยก็ยังดีกว่าไม่มี
พวกเราเลยจับพลัดจับพลูมีเจ๊มาเป็นส่วนร่วม
แต่ดีอีกอย่าง เจ๊แกมีคติข้อหนึ่งคือไม่กินเพื่อนในกลุ่ม
พวกเขาจึงรอดพ้นปากเหยี่ยวปากกามาจวบจนทุกวันนี้
ส่วนคนอื่น ๆ ที่เหลือ....
หึหึ ...อย่าให้พูด
...เหยื่อเจ๊แกดี ๆ นี่เองครับ
ปลายฟ้าหันมองเหยื่อรายล่าสุดของเพื่อนสาวซึ่งเดินตรงมาให้เห็นไกล ๆ
ไอ้เนี่ยเหรอ...หล่อตรงไหนวะ
ก็แค่ตี๋อินเตอร์เกาหลีพิมพ์นิยมธรรมดา
แค่ตัวสูง หุ่นเฟิร์ม ดั้งโด่ง ขาว ขายาว
เดินที่มีออร่ากระจายวิ๊ง ๆ จนสาวเหลียวมอง
อ้าว...เวร ดูดีกว่ากูหมดเลยนี่หว่า
ไม่เพียงแค่นั้นไอ้หน้าหล่อมันยังเดินตรงเข้ามาใกล้ทางนี้เรื่อย ๆ
กระทั่งมาหยุดลงตรงหน้าโต๊ะที่พวกเขากำลังนั่ง
ก่อนจะเอ่ยคำทักพร้อมรอยยิ้มเท่ห์บาดใจ
“นี่ใช่กลุ่มคณะเภสัชที่จะมาเข้าร่วมค่ายวิศวะอาสารึเปล่าครับ”
“ใช่ค่ะ พวกเราเองค่ะ”
บอลล่ารีบตอบกลับทันควันพร้อมส่งสายตาหวานเชื่อม
หลุดอาการสาวแตกไปเรียบร้อยอย่างห้ามใจไม่อยู่
“งั้นยินดีที่ได้รู้จักครับ
ผมได้ยินเรื่องมาจากอาจารย์ชวลิตแล้วว่าพวกคุณจะเป็นสต๊าฟของค่ายด้วย
เลยเอาเอกสารรายละเอียดกำหนดการค่ายมาให้
อ่ะ...ลืมบอกไป ผมชื่อ ‘ดิว’ นะ”
“ค่ะ ๆ ยินดีที่ได้รู้จัก เออ...เราชื่อบอลล่านะ
ส่วนเนี่ยเกมส์ โจ ตุ๊ต่ะ แว่น แล้วก็ปลาย”
เจ๊บอลล่าแนะนำไปเสร็จสรรพพร้อมกับไล่ชี้นิ้วไปที่คนอื่นรัวๆ
บอกเร็วเป็นจรวดแบบนี้ไม่รู้คนฟังจะจำได้เปล่า
“แล้วนี่ดิวเป็นประธานค่ายใช่ป่ะ”
เสียงไอ้เกมส์ถามอย่างเป็นกันเองตามประสาคนมนุษย์สัมพันธ์ดี
แต่อีกฝ่ายกลับส่ายหน้าปฏิเสธ
“เปล่า ผมเป็นรองประธาน
ประธานค่ายกำลังไปเอาเสื้อมาให้วัดไซต์
เพราะปีนี้เราจะมีเสื้อค่ายด้วย เดี๋ยวก็คงตามมา
อ้าว...นั่นไง...มาพอดี”
คนพูดเหลียวมองไปด้านหลัง
เรียกให้คนอื่น ๆ ในกลุ่มหันตาม
และทันทีที่ได้เห็น...
นายปลายฟ้าจึงเริ่มตระหนักชัดเจนเป็นครั้งแรกในชีวิตว่า
....โลกนี้มันโคตรกลม ‘อย่างบัดซบ’ เพียงใด
“ขอแนะนำให้รู้จัก ‘คม’ ประธานค่ายวิศวะอาสาครับ”
...ใช่แล้วครับ อย่างที่เดา
ไอ้ตัวตามจองล้างจองผลาญ
ไอ้ตัวมารขัดจังหวะความสุข
ไอ้ตัวที่ชอบเสือกไปซะทุกเรื่อง
แม้กระทั้งเรื่องนี้...
...มันยังดันเสือกเป็นประธานค่ายอาสาด้วย!!
ฝ่ายนายคมสันเองก็แอบแปลกใจอยู่ไม่น้อย
เมื่อมองเห็นคนหน้าคุ้นตานั่งรวมกับคนที่จะมาสมัครเข้าค่าย
...อ๋อ ...เป็นเด็กคณะเภสัชเองหรอกเหรอ
อ้าวเอ๊ะ...
แล้วไหนอาจารย์บอกว่ามีเฉพาะพวกปีสามไง
ถ้างั้นทำไมถึงได้มาอยู่รวมกับกลุ่มนี้ได้
อย่าบอกนะว่าเรียนอยู่ปีเดียวกับเขาจริง ๆ
...หน้าเด็กขนาดนั้นเนี่ยนะ?
แม้ในสมองจะเต็มไปด้วยความพิศวงงงงวย
แต่นายคมสันก็ยังทำหน้าที่ประธานค่ายไม่ขาดตกบกพร่อง
มือใหญ่จึงยื่นส่งเสื้อสามสี่ตัวกับกระดาษไปยังกลางโต๊ะ
“นี่ไซต์เสื้อผู้ชายครับ ลองวัดขนาดดู
แล้วก็ช่วยเขียน ชื่อ นามสกุล ชื่อเล่น คณะ ชั้นปี รหัสนักศึกษา
เบอร์โทรศัพท์ แล้วก็ขนาดเสื้อลงในใบนี้ด้วยนะครับ”
เด็กคณะเภสัชที่เหลือจึงจัดการวัดขนาดเสื้อ
แล้วค่อย ๆ ทยอยเขียนชื่อลงในกระดาษ
วนส่งตามมาเรื่อย ๆ จนถึงคนสุดท้าย
ปลายฟ้าเขียนชื่อกับเบอร์โทรศัพท์ตัวเองเสร็จแล้ว
เหลือแต่ขนาดเสื้อที่ยังไม่ได้เลือก
เขาหยิบเสื้อไซต์ M มาทาบตัว
หัวคิ้วขมวดเข้าหากันอย่างคิดพิจารณาตามนิสัยอีกครั้ง
...อืม ...ไซต์ M ดีเปล่าวะ?
มันตัวเล็กไปมั้ย อยากได้หลวม ๆ หน่อย
หรือจะเปลี่ยนเป็นไซต์ L ดี
ไอ้เกมส์มันยังเอา L เลย
ไปเข้าค่ายใส่ให้คล่องตัวดีกว่ามั้ง?
...ไหนเอา L มาเทียบดิ
หืม...ชายเสื้อยาวไปมั้ง ไหล่ก็เหลือนิดหน่อย
แต่เอาน่าพอจะใส่ได้อยู่
ดู ๆ ไปมันก็ไม่ต่างจากตัวเมื่อกี๊เท่าไหร่
อืม...เอาไงดีวะ
...ไหนเอาตัวที่แล้วมาทาบกันอีกทีดิ
อ่ะ...อ้าว...
...แล้วเสื้อไซต์ M หายไปไหนแล้ววะ?
ปลายฟ้าหันรีหันขวางมองหาเสื้อที่ตัวเองเพิ่งจะวางไปไม่กี่วิ
ก่อนจะได้ยินเสียงใครบางคนดังขึ้นจากด้านหลัง
“มาเดี๋ยวช่วย”
ไอ้ประโยคสุดแสนจะหวังดีแบบนี้คงมีอยู่คนเดียวที่กล้าพูดได้
เขาอยากจะหมุนตัวกลับไปบอกปฏิเสธ
ทว่าดันถูกมือใหญ่ตรึงไหล่เอาไว้แน่นไม่ให้ขยับ
เพื่อนำไซต์เสื้อทาบที่หลังสองสามตัว
ก่อนคนยืนนิ่งเป็นหุ่นจะได้ยินเสียงตัดสินใจ
“เอาเป็น S แล้วกัน”
...เฮ้ย!! เดี๋ยว ๆ S มันไม่เล็กไปเหรอ
ไซต์นี่มันเบอร์เดียวกับบอลล่าแล้ว
กูไม่ได้ตัวบางขนาดนั้นสักหน่อย
มึงวัดยังไงของมึงวะเนี่ย
กูอยากได้ไซต์ M โว้ยยย!!
ทว่า โชคชะตาของนายปลายฟ้ากลับแสนอาภัพ
เพราะยังไม่ทันที่คนช่างเลือกจะอ้าปากเถียง
คนจิตอาสาก็จัดแจงเขียนอักษรลงไปในใบรายชื่อเสร็จสรรพ
พร้อมกับรวบเก็บเสื้อต่าง ๆ พลางจัดการเอ่ยปิดประชุม
“โอเคครับ ไว้มีรายละเอียดอะไรพวกผมจะได้โทรตามไปแจ้งอีกทีนะครับ”
“ได้ค่าาา”
บอลล่ารับคำเสียงใส หันไปยิ้มหวานกับดิวส่งท้าย
ก่อนไอ้เกมส์จะชวนพรรคพวกลุกขึ้น
“ไปพวกเรากลับเถอะ เดี๋ยวเข้าแล๊ปไม่ทัน
เอ้า! ไอ้ปลายเดินไปสิ ยืนเอ๋ออยู่ทำไมวะ”
...กูไม่ได้เอ๋อ
...กูแค่กำลังเจ็บ
แม่งเอ้ยย!! เวรกรรมอะไรหนักหนาของกูวะ
จะเลือกอะไรก็โดนมันตัดหน้าไปก่อนทุกที
แต่จะโทษใครได้เพราะเขาดันชักช้าเอง
สมแล้วที่ถูกใครต่อใครเรียกว่า ‘ไอ้เต่าปลาย’
เป็นไงล่ะมึง...
คราวนี้ซาบซึ้งถึงทรวงในรึยัง
โธ่...ชีวิตไอ้ปลายฟ้า แม่งน่าอนาถจริงๆ!!
คนชอกช้ำระกำใจหอบความปวดร้าวกลับคณะตัวเองไปเงียบ ๆ
ทิ้งให้หนุ่มวิศวะสองคนมองตามกลุ่มคนซึ่งค่อย ๆ ถอยห่างไป
“เฮ้อ...เซ็งว่ะ นึกว่าจะมีผู้หญิงซะอีก
เห็นเค้าบอกว่าสาวเภสัชสวยจะตาย
แม่งไม่มีหลงมาเข้าค่ายบ้างเลย
อ่ะ...แต่มีน่ารัก ๆ อยู่คนหนึ่งนะ
มึงว่ามั้ยวะ ไอ้คม?”
เจ้าพ่อเพลย์บอยเริ่มออกลายพูดบ่นเบา ๆ ตามประสาคนช่างหม้อไม่เลือกชายหญิง
แล้วจึงหันไปถามความเห็นจากเพื่อนรักซึ่งพยักหน้าลงตอบรับ
ทว่า ดวงตาคมกลับยังคงก้มมองรายละเอียดในใบรายชื่ออย่างสนใจ
‘นายปลายฟ้า โชคชัยกุล (ปลาย)’
...คนอะไรขนาดเลือกเสื้อยังต้องให้เขาช่วยเลย
แต่อย่างน้อยในที่สุดก็ได้รู้จักชื่อแซ่กันบ้าง
คราวหลังถ้าไปช่วยอีกจะได้เรียกถูกเสียที
...นะ
...ปลายฟ้า
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------
TBC
โผล่มาคุยกันนิด 
มีหลายคนแอบสงสัยว่ามันเกี่ยวกับ 'ยอดสะเดา' กับ 'ข้าวโพดต้ม' ตรงไหน?
อยากบอกว่าต้องมีเอี่ยวอยู่แล้ว
แต่อาจจะมาสั้น ๆ ไม่ได้จัดเต็มเหมือนภาคก่อน ๆ
ขอให้อดใจรอสักนิด เดี๋ยวของมันจะมาเอง 
ดีใจที่มีคนชอบ 'ปลายฟ้า' กับ 'คมสัน'
เป็นบุคลิกของตัวละครที่อยากแต่งมาตลอด 
เพราะคิดว่าในชีวิตคนเราคงต้องเจอคนประเภท 'ช่างเลือก' หรือไม่ก็พวก 'จิตอาสา' ไม่มากก็น้อย
เพียงแต่เจ้าสองคนนี้มันมี 'ลูกบ้า' เกินมนุษย์มนาไปหน่อย เลยออกมาฮาอย่างที่เห็น 
ขอบคุณที่ติดตามเป็นกำลังใจให้มาตลอด
ดีใจที่ยังอยู่ด้วยกันค่ะ
BitterSweet