ซีรีย์หวานอมขม : ภาค ยอดสะเดา กับ ข้าวโพดต้มต้นที่ 4“ฮาโหลลล”
นายปลายฟ้ากรอกเสียงลงไปในซัมซุงกาแล็กซี
ขณะที่ดวงตากลมโตยังคงจับจ้องพิจารณาหนังสือการ์ตูนสองเล่มในมืออย่างลังเล
“มึงอยู่ไหนวะ?”
เสียงไอ้เกมส์ดังตามสายมาสั้น ๆ
“ร้านเช่าการ์ตูนข้างมอ”
“ถ้ามึงเช่าเสร็จแล้วมาเจอกันที่หน้าโรงอาหารด้วยนะ”
“ตอนนี้?”
เขาถามย้ำ เพราะใจมัวพะวงกับการ์ตูนสองเล่มที่ยังตัดสินใจไม่ได้
“เออ ก็ตอนนี้สิวะ รีบ ๆ หน่อยนะมึง”
“ทำไม?”
ปลายฟ้าขมวดคิ้วมุ่นซักไซ้อีกครั้งด้วยความสงสัย
...มีเรื่องอะไรถึงต้องรีบร้อนขนาดนั้น
ลืมกระเป๋าตังค์? โดนกระเทยจีบ? เจอหญิงสวย?
ทว่าปลายสายกลับไม่ตอบคำถาม ซ้ำยังเอ่ยเร่ง
“เหอะน่า... มาแล้วเดี๋ยวก็รู้เองแหละ ให้ไวล่ะ แค่นี้นะ”
เพื่อนซี้พูดจบพลางทำท่าจะวางสาย
แต่คู่สนทนากลับร้องเบรกเสียงดัง
“เฮ้ยเดี๋ยวมึง!!”
“อะไรอีกวะ”
คนถูกรั้งส่งเสียงจิ๊จ๊ะอย่างรำคาญ
เขาเหลือบมองหนังสือในมืออย่างลังเลอีกครั้ง
ก่อนจะพูดประโยคที่ทำเอาคนฟังแทบหงายหลัง
“คือ...ถ้าอยากให้เร็ว ๆ อ่ะ
มึงช่วยตอบกูมาก่อนว่าระหว่างดราก้อนบอล Z กับ วันพีช กูควรอ่านอะไรดีวะ
เนี่ยกูยืนเลือกมายี่สิบนาทีจนเจ้าของร้านเค้ามองแล้ว”
“เชี่ยย!! ไอ้เต่าปลายยยย!!”
...เจ้าของฉายาคล้ายได้ยินเสียงสบถดังมาตามสายเบา ๆ
....
..
.
สิบนาทีถัดมานายปลายฟ้าจึงพาร่างตัวเองมาสถิตอยู่ตรงที่นัด
พร้อมพลพรรคกลุ่มเด็กเภสัชสิ้นหกชีวิต
“ตกลงเรียกกูมาทำมั้ยเนี่ย”
เขาถามพลางหยิบดราก้อนบอล Z ที่เลือกได้ (เสียที)
มาเปิดอ่านฆ่าเวลาไปพลาง ๆ ขณะยืนรอ
“ก็เรื่องค่ายอาสาอ่ะดิ
ประธานมันโทรมาบอกว่าให้มาช่วยทำกิจกรรมวันนี้ด้วย”
ไอ้เกมส์ตอบกลับไปง่าย ๆ
พลางดูดชานมไข่มุกที่เพิ่งจิกมาจากเจ๊บอลล่า
ซึ่งกำลังยืนเมาส์มอยกับโจ แว่น ตุ๊ต๊ะอย่างออกรส
“หืม...กิจกรรมไรวะ?”
“แจกใบปลิวโฆษณามั้ง? หรือไม่ก็คงทำป้าย
ไม่รู้ว่ะ ต้องรอถามมันเอง...
เฮ้ย...นั่นไงมาพอดี...
อ้าว...แล้วนั่นแบกอะไรมาด้วยวะ”
ปลายฟ้าละสายตาจากเบจิต้าในมือหันมองตามเสียงทักทันที
ก่อนเห็นหนึ่งหนุ่มหล่อเกาหลีเดินคู่เคียงกันมากับหนึ่งหนุ่มโหดบางขวาง
โดยถือของบางสิ่งที่กั้นกลางระหว่างคนสองคนเอาไว้
...กลอง?
“เออ...ดิวเอากลองมาทำไมคะ?”
คำถามในใจถูกเสียงหวานจากเพื่อนชายร่างสาวเอ่ยขึ้นแทน
หลังจากที่หนุ่มหล่อในเสื้อช็อปวางของที่แบกมาลงบนพื้นแล้วหันมายิ้มตอบเล่นคำ
“ไว้มาใช้เรียกแขกไงครับ”
“ว๊ายยย!! เรียกแขกอะไรกันคะ
อย่างดิวไม่ต้องใช้กลองเรียกหรอกมั้ง แค่นั่งยิ้มเฉย ๆ ก็พอ
อย่าว่าแต่แขกเลย ไทย ญี่ปุ่น เกาหลี ก็คงมาให้พรึ่บ”
บอลล่ามันยังมีแก่ใจยิงมุกครับ
คนฟังตัวผู้ที่เหลือทำหน้าละเหี่ย
แต่คนรับดันเส้นตื้น หัวเราะตอบขำ ๆ ซะงั้น
“ฮ่า ๆๆ เปล่า ๆ ไม่ใช่เรียกแขกอย่างนั้นครับ
ผมหมายถึงเรียกให้คนสนใจมาบริจาคเงินเข้ากองทุนค่ายน่ะครับ
ถึงเราจะขอสปอนเซอร์ไปบางส่วน
แต่มันก็ยังมีค่าใช้จ่ายอื่น ๆ อีกเลยต้องใช้วิธีนี้”
ดิวพูดพลางเหลียวมองไปด้านหลัง
ซึ่งมีกลุ่มเด็กคณะวิศวะสี่ห้าคนเดินตามมาสมทบ
พร้อมถือกล่องบริจาคเงินกับฟิวเจอร์บอร์ดแปะรูปโครงการมาด้วย
ส่วนใหญ่ก็เป็นรูปโรงเรียนที่มีสมาชิกอาสาไปสำรวจก่อนหน้า
เป็นโรงเรียนบนภูเขาในจังหวัดเลยที่เห็นชัดว่ายังขาดแคลนทั้งพื้นที่และอุปกรณ์การเรียน
เพื่อให้คนมาบริจาคได้เข้าใจเราเอาเงินทุกบาททุกสตางค์ไปช่วยเหลือจริง ๆ
“แล้วจะให้เรียกกันตรงนี้เลยเหรอคะ แล้วบอลล่าต้องทำยังไงบ้างคะเนี่ย”
“อ๋อ ไม่ได้เรียกตรงนี้ครับ เดี๋ยวเราเข้าไปในนู้น”
หนุ่มหล่อเอ่ยพร้อมกับชี้นิ้วตรงไปด้านหน้า
โดยมีสายตาของทุกคนมองตาม
...ในนู้น
แปลความหมายออกมาได้ว่า ‘ตลาดนัดประจำมหาลัย’
สถานที่ตรงข้ามกับโรงอาหารสมรภูมิร้านค้าที่รวบรวมมากกว่าเจ็ดสิบร้าน
จัดขึ้นเป็นตลาดย่อม ๆ ในทุกวันพุธ เพื่อให้นักศึกษาได้มาช็อปปิ้งพักผ่อนหย่อนใจ
ทั้งของกิน เสื้อผ้า ของแฮนด์เมด สารพัดที่จะขนมาขายกันได้
จึงไม่แปลกนักที่ในตอนเที่ยงตะวันตรงหัวเช่นนี้
จะมีนักศึกษารวมถึงคนในพื้นที่มากมายมาเดินกันเบียดเสียดกันให้พลุพล่าน
จนดูเหมือนกำลังมีงานเทศกาลแจกฟรีอย่างไรอย่างนั้น
...แล้วจะให้พวกเขาฝ่าดงคนเข้าไปขอรับบริจาคในตลาดที่แทบหาที่วางตีนไม่ได้เนี่ยนะ
ปลายฟ้ากลืนน้ำลายลงคอ นึกภาวนาให้อีกฝ่ายเปลี่ยนใจ
แต่กลุ่มเด็กวิศวะกลับไม่มีท่าทางบ่งบอกว่าล้อเล่นใด ๆ
ซ้ำท่านรองประธานยังหันมาตอบประโยคที่บอลล่าถามค้างไว้
ด้วยรอยยิ้มแฝงแววเจ้าเล่ห์
“ส่วนจะทำยังไงให้เรียกแขกได้...
...อันนี้ผมคงต้องขอดูฝีมือเด็กเภสัชแล้วล่ะครับ”
.....
...
..
“ไก่ย่างถูกเผา ไก่ย่างถูกเผา...
มันจะถูกไม้เสียบ จ๊ากกก มันจะถูกไม้เสียบ
เสียบตูดซ้าย... เสียบตูดขวา...
เอ๊า!! ร้อนจริงๆ ร้อนจริงๆ ร้อนจริงๆ
เอ้ว เอ้ว เอ้ววว เอ้ววววว!! วู้ววว!!!!”
...เสียงที่ท่านได้ยินไม่ใช่การร้องเพลงเชียร์รับน้องหรืออะไรอื่น
เพราะนี่คือกรรมวิธีเรียกแขกที่ได้กล่าวถึง
แต่มันได้ผลจริง ๆ นะเฮ้ย!
ไม่เชื่ออย่าหลบหลู่!
เพราะคนที่เดินผ่านไปมาต่างก็เหลียวมองพวกเขาเป็นตาเดียว
เอ้า...ก็ไม่ให้มองได้อย่างไงวะ!
เล่นมีนักศึกษาสามสี่คนเต้นกระหน่ำเหมือนกิ้งกือโดนน้ำร้อนลวกขนาดนั้น
มีแรงเท่าไร กลุ่มเด็กวิศวะยิ่งจัดเต็มใส่ไม่ยั้ง
ทั้งร้อง ทั้งเต้น ทั้งส่งเสียงกรี๊ดดิ้นกระแด่ว ๆ วาดลวดลายเพลิดเพลินอย่างเมามัน
จนนายปลายฟ้าได้แต่ยืนมองกระพริบตาปริบ ๆ
...สมแล้วที่มีข่าวลือว่าเด็กวิศวะแม่งซดกระทิงแดงแทนน้ำ
พี่เล่นเต้นกันเหมือนพื้นเป็นกระทะทองแดง ยืนเฉย ๆ ไม่ได้เพราะเดี๋ยวมันจะร้อนเท้า
...แต่อย่าคิดเด็กเภสัชจะยอมแพ้ครับ
เพราะกลุ่มของเขาเองก็ได้ส่งหน่วยกล้าตายออกไปเหมือนกัน
“บาทเดียวดูเพลินอะไรไม่เกินเมียงู
บาทเดียวดูเพลินอะไรไม่เกินเมียงู
ลูบได้คลำได้ ลูบได้คลำได้ แต่อย่าเอาไม้แหย่รู
แหย่รู... แหย่รู... แหย่รู...
อร๊ายยยย!! ใครอยากดูเมียงู หย่อนเหรียญบาทลงกล่องเลยค่า!!!”
ไม่ใช่เสียงใครอื่นนอกจากผู้กล้าประจำกลุ่ม
ถูกต้องแล้วครับ...
เจ๊บอลล่า...
นางนำทับออกสเต๊ปเหมือนเป็นเวทีคาบาเร่โชว์
เต้นคลอเคลียรูดเสาโดยติ๊ต๊างว่าเสาอันนั้นคือพ่อรองประธานรูปหล่อ
ซึ่งรับบทเป็นมือกลองรัวกระหน่ำเพลงสลับกับเสียงตะโกนเชิญชวนลั่นจากสมาชิกที่เหลือ
“แวะช่วยบริจาคให้น้อง ๆ ผู้ด้อยโอกาสทางนี้เลยครับ”
“เพียงคนละบาทก็ช่วยสร้างห้องสมุดให้น้อง ๆ ได้นะคะ”
“หรือจะบริจาคเป็นของเล่น เสื้อผ้า เราก็รับหมดครับ
มาร่วมแบ่งปันโอกาสให้น้อง ๆ กันนะครับ”
ไอ้เกมส์พร้อมเพื่อนในกลุ่มเขาอีกสามหน่อก็ช่วยตะโกนเรียกแขก
ในมือถือป้ายฟิวเจอร์บอร์ดแปะรูปโรงเรียน
และรายละเอียดของโครงการที่เราจะเข้าไปช่วยพัฒนาเชิญชวนคนในตลาด
นายปลายฟ้ายืนนิ่งมองสถานการณ์รอบตัวโดยไม่ปริปากอะไร
ที่ไม่พูดเพราะหัวสมองกำลังขบอย่างลังเลว่า
ตัวเองควรจะพูดประโยคแบบไหนดีที่ไม่ซ้ำกับเพื่อน
อ้าว...เรื่องแบบนี้มันไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ นะครับ
จะเวอร์เกินเดี๋ยวก็หาว่าโม้
แล้วต้องบอกข้อมูลให้ละเอียดด้วยว่าไปที่ไหน
แต่ต้องให้สั้น กระชับ ได้ใจความ
ไม่งั้นคนเดินผ่านไม่ทันได้ฟังพอดี
...เห็นมั้ยว่ายากจะตาย
โอยยย...แล้วกูควรจะพูดยังไงดีวะเนี่ย?
ยิ่งคิดยิ่งปวดหัวเว้ยยย!!
“ทำอะไรอยู่ ว่างใช่มั้ย”
เสียงปริศนาที่ไม่บอกก็รู้ว่าเป็นใคร
ศัตรูคู้แค้นอาฆาตข้างเดียวของนายปลายฟ้าเดินเข้ามาใกล้
ด้วยสภาพที่ยังคงรักษาความถ่อยและเถื่อนดุจดั่งเกลือรักษาความเค็ม
คนถูกถามอยากจะบอกไปเหลือเกินว่า
...กูไม่ว่าง กำลังคิดประโยคที่จะพูดชวนบริจาคอยู่
เนี่ยเกือบจะคิดออกแล้วถ้ามึงไม่มาทัก
ช่วยไปให้ห่าง ๆ กูเลยไป
แต่ก็เหมือนทุกครั้งที่เขากำลังจะอ้าปากตอบ
เป็นต้องโดนอีกฝ่ายชิงก่อนพูดทุกที
“ถ้าว่างงั้นช่วยถือหน่อย เดี๋ยวเราจะไปขอเรี่ยร่ายเงินตามร้านค้ากัน”
และก็เช่นเดิม...
สถานการณ์เดิมๆ ที่มันตัดสินเอาเองเสร็จสรรพ
พร้อมกับยื่นกล่องกระจกใสซึ่งภายในมีเหรียญกับแบงค์อยู่เล็กน้อยมาให้
“ตามมา”
อืม...สั่งอย่างกับกูเป็นหมาเลย
ต้องให้กูเห่าแล้วเดินตามมึงไปด้วยมั้ย
ทำอย่างกับกูเป็นผู้ติดตามไปได้
เข้าใจแล้วครับลูกพี่...
มึงใหญ่ มึงเป็นประธาน มึงคุม
...จะว่าไงก็ว่าตามกันคร้าบบ
แม้ใจอยากอยู่ช่วยเพื่อนตรงนี้มากกว่า
แต่นายปลายฟ้าผู้ไร้สิทธิ์ไร้เสียงจะทำอะไรได้
นอกจากเดินตามท่านประธานค่ายไปต้อย ๆ
พร้อมกับเด็กวิศวะอีกสองคนที่ถือป้ายโครงการติดตัวไปด้วย
เดินวนเข้าร้านนู้นออกร้านนี้อย่างสนุกสนาน
โดยที่เขาทำหน้าที่แค่เพียงยืนเป็นหุ่นเงียบ ๆ
รอยื่นกล่องเงินหลังจากที่เจรจาสำเร็จผล
คนบริจาคเงินเยอะพอสมควร ส่วนใหญ่ก็จะเป็นนักศึกษา
โดยเฉพาะพวกเด็กคณะวิศวะที่เดินผ่านไปทีก็ทักทายกันที
ไม่น่าเชื่อว่าอย่างไอ้หน้าเถื่อนจะมีเพื่อนเยอะ น้องนุ่งเนี่ยยกมือไหว้กันเกรียว
จนเด็กเภสัชหลงฝูงอย่างเขาแทบมองเห็นรัศมีบารมีที่แผ่รังสีออกมาจาง ๆ
โห...อะไรจะเจ้าพ่อขนาดนั้นวะ
ยิ่งเห็นแบบนี้แล้วยิ่งไม่อยากจะไปยุ่งเกี่ยวเข้าไปใหญ่
กลัวมีเรื่องแล้วมันเรียกพวกมารุบกระทืบ
มีหวังได้โดนแบกไปวัดเตรียมเผาแบบจอดไม่ต้องแจวแน่ ๆ
สู้อยู่อย่างสงบปากสงบคำเจียมตัวเอาไว้น่ะดีที่สุดแล้วกู
นายปลายฟ้าเดินรั้งท้ายพลางนึกสยองอยู่ในใจ
ทว่าทันใดนั้นเขากลับรู้สึกถึงแรงสะกิดจากทางด้านหลังจนต้องหยุดหันไปมอง
ก่อนพบหญิงวัยกลางคนหน้าตาใจดีคนหนึ่งซึ่งหิ้วของอยู่เต็มสองมือ
“เออนี่หนู ป้าขอถามหน่อย หนูทำโครงการอะไรกันอยู่เหรอจ๊ะ”
“อ๋อ ค่ายอาสาพัฒนาครับ พวกเรามาขอรับบริจาคเงินไปเป็นกองทุน
ซื้ออุปกรณ์ก่อสร้างห้องสมุดให้น้อง ๆ ที่จังหวัดเลยน่ะครับ
แล้วก็ยังไปช่วยสอนหนังสือ กับทำกิจกรรมสันทนาการให้น้อง ๆ ด้วยครับ”
ปลายฟ้าอธิบายรายละเอียดของโครงการบางส่วนให้คนฟัง
ซึ่งแย้มยิ้มตอบรับด้วยความชื่นชม
“แหม..ดีจริงๆ เห็นคนหนุ่ม ๆ ช่วยเหลือสังคมแบบนี้
งั้นป้าขอบริจาคเงินด้วยได้มั้ยจ๊ะ”
“ได้สิครับ ขอบคุณมากเลยครับ”
เขารีบยื่นกล่องรับบริจาคไปให้พร้อมกับก้มหัวเอ่ยคำขอบคุณ
แต่คนจะบริจาคกลับหอบของเต็มสองมือ
พะว้าพะวังกับการหยิบเงินในกระเป๋าสะพายอย่างไม่ถนัด
“เดี๋ยวผมช่วยถือให้นะครับ”
ชายหนุ่มรีบยื่นมือเข้าช่วยถือถุงใส่ของต่าง ๆ
ทั้ง ๆ ที่อีกมือยังคงแบกกล่องรับบริจาคอยู่
“ขอบใจจ้าหนูนี่มีน้ำใจจริง ๆ”
“ไม่เป็นไรครับ”
ปลายฟ้าตอบกลับพร้อมรอยยิ้ม
ก่อนดวงตากลมโตจะเบิกกว้างขึ้น
เมื่อเห็นจำนวนและสีของแบงค์ที่กำลังถูกหย่อนลงในกล่อง
เฮ้ย!...จริงป่ะเนี่ย?
“สู้เขานะลูก ป้าไปก่อนนะ”
“ขอบคุณมากครับ ขอบคุณจริง ๆ ครับ”
3000 อ่านว่า สามพันบาทถ้วน
คือจำนวนเงินที่เขาเห็นมันร่วงลงกล่องไปหมาด ๆ
จนต้องก้มหัวพูดขอบคุณไม่หยุดด้วยความปลาบปลื้ม
เยส!! ในที่สุดเขาก็พูดชวนให้คนบริจาคเงินได้แล้วโว้ยย!!
แถมให้มาโคตรเยอะอีกต่างหาก
เป็นไงล่ะพวกวิศวะอึ้งไปเลยอ่ะดิ
อย่าคิดว่ามึงมีบารมีเป็นยอดมงกุฎเพชรแล้วจะแน่
อีโธ่...คนอย่างนายปลายฟ้าถ้าคิดจะทำก็ทำได้เว้ยยย!!
เห็นมะ....อะ...อ้าว.......ไปไหนกันหมดแล้ววะ
คนที่มั่วแต่ปรีดากับความสำเร็จรีบหันรีหันขวางตามหากลุ่มของตัวเอง
ทว่าแม้จะมองไปทางไหนกลับไม่เห็นคนคุ้นหน้าแม้แต่เงา
เวรล่ะกู...อุตส่าห์โชวพาวอยู่ตั้งนาน
สรุปไม่มีใครมอง นี่กูหลงกับคนอื่นใช่มั้ยวะเนี่ย
ละ...
แล้วจะเอาไงดีวะ?
นี่ก็เดินมาจนเกือบท้ายตลาดแล้วด้วย
สงสัยคงต้องย้อนฝ่าคนกลับไปที่ตั้งทัพด้านหน้าก่อน
แต่ให้ถือกล่องใบเบ้อเริ้มเดินเบียดไปด้วยคงจะลำบาก
หรือจะโทรเรียกให้ไอ้เกมส์มาช่วยแหวกทางให้ทีวะ
เออ....แล้วไอ้คนที่เดินตามกันมาเค้าจะรู้มั้ยว่ากูกลับไปข้างหน้า
เบอร์โทรพวกนั้นก็ไม่มีด้วย ถ้าสวนกันขึ้นมาเดี๋ยวจะเสียเวลาหากันอีก
เรายังไม่ได้วนไปโซนขายของกินอีกทางหนึ่งเลย
พวกนั้นมันจะไปทางนั้นหรือเปล่าวะ
แต่คิดอีกทีกูว่าปะ....
“เฮ้ยย...!!”
คนที่กำลังลังเลอุทานอย่างตกใจ
เมื่ออยู่ ๆ กลับถูกแรงกระชากรุนแรงให้หันหลังไปเผชิญใบหน้าคม
คิ้วเข้มขมวดกันยุ่งก่อนจะตามมาด้วยเสียงดุดังลั่น
“หายไปไหนมาน่ะ!!
คนเขาจะบริจาคเงิน แต่คนถือกล่องไม่อยู่แบบนี้ได้ยังไงกัน
ทำไมถึงไม่รีบเดินตามมาห่ะ!!”
กะ...ก็เพราะคนเขาบริจาคเงินไง
กูเลยต้องหยุดให้เขาอ่ะ
มึงจะมาดุกูทำไมเนี่ย
กูผิดหรือไงวะ ทำตามหน้าที่แท้ ๆ
นายปลายฟ้ากำลังจะอ้าปากแก้ต่างให้ตัวเอง
แต่ก็เป็นเหมือนเหตุการณ์เดิม ๆ
เพราะยังไม่ทันพูดร่างสูงกลับรีบเร่งขัดขึ้น
มิหนำซ้ำยังถูกมือใหญ่คว้ามือเขาไปดื้อ ๆ
“เร็วเข้า! อย่าช้าคนอื่นเขารออยู่”
คมสันจับมือของคนที่ยังยืนนิ่งแล้วออกแรงดึงให้เดินตามมา
ในใจนึกหงุดหงิดโมโหไม่หาย
...เดินขอเรี่ยรายเงินร้านขายน้ำปั่นอยู่ดี ๆ
พอหันมาอีกทีคนถือกล่องรับบริจาคดันไม่อยู่ซะแล้ว
เขาตกใจแทบแย่ เลยรีบวิ่งกลับมาหาตามทางตั้งนาน
คนมากขนาดนี้ ก็ยิ่งหายากเข้าไปใหญ่
ไม่รู้ว่ามั่วไปเถลไถลอยู่ที่ไหน
เงินในกล่องใสที่ถือไว้ตั้งเยอะตั้งแยะล่อตาโจรขนาดนั้น
เกิดมีคนมาดึงกล่องขโมยขึ้นมาจะทำยังไง...
ตัวเล็กแค่นี้จะสู้ใครได้...
เขาพลาดเองที่ดันปล่อยให้ไปเดินรั้งท้าย
ถ้ารู้ว่าเป็นแบบนี้สู้ให้เดินนำข้างหน้าไปแทนเสียก็ดี
ดูสิ...เสียเวลาไปตั้งนานแล้วยังวนไม่ครบตลาดเลย...
...ทำไมถึงได้ทำอะไรชักช้าจริง ๆ
“ไม่ได้ช้า”
ประโยคเบา ๆ ที่ดังขึ้นลอย ๆ
กลับมีอานุภาพมากพอให้คนรีบชะงัก
จนต้องหันกลับมามองคนที่หยุดยืนด้านหลัง
“เมื่อกี๊มีคุณป้าเค้าจะบริจาคเงินให้ แต่ของเค้าเยอะ
เราเลยต้องหยุดช่วยถือของให้ก่อนเลยตามพวกนายไปไม่ทัน”
...นับเป็นครั้งแรกที่นายคมสันได้ยินเสียงของคนคนนี้
...เสียงคำอธิบายซึ่งทำให้คนฟังนึกประหลาดอยู่ในใจ
อ้าว...จะพูดก็พูดได้นี่นา
แล้วทำไมถึงชอบเงียบอยู่เรื่อย
เรื่องแค่นี้ถ้าบอกกันมาตั้งแต่แรกก็คงไม่โมโหแล้ว
คนฟังถอนหายใจช้า ๆ
ความหงุดหงิดลดลงไปมากกว่าครึ่ง
ร่างสูงคิดพิจารณาข้อความที่ได้ยิน
แล้วจึงตัดสินใจพูดข้อตกลง
“งั้นถ้าจะหยุดคราวหลังก็เรียกด้วย
เอาแต่เงียบคนอื่นเขาไม่รู้หรอกนะว่าคิดอะไร”
ปลายฟ้าหน้าเบ้แอบเถียงอยู่ในใจ
...กูไม่ได้เงียบเลยครับ มึงอ่ะรีบเอง
พอกูจะพูดมึงก็เสือกขัดขึ้นมาตลอด
อย่างนี้มึงจะฟังกูทันได้ยังไงกันวะ ไอ้หอกหัก!
“แล้วนี่รู้จักชื่อเราแล้วใช่มั้ย?
เราชื่อ ‘คม’ นะ ไหนเรียกสิ”
อ้าว...เรื่องอะไร ใครจะไปอยากเรียกวะ
สั่งเหมือนกูเป็นหมาอีกแล้ว
เป็นแค่ประธานค่ายคิดว่ากร่างได้เหรอง่ะ
กูไม่ใช่ทาสในเรือนเบี้ยของมึงนะโว้ย!!
คนต่อต้านยังคงทำตัวเหมือนเป็นใบ้
ยืนนิ่งรูดซิบปิดปากเงียบสนิทไม่เอ่ยคำใด ๆ
จนคนรอต้องพูดเร่ง
“เร็ว ๆ สิ คนอื่นเขารออยู่”
เอ้า! รออยู่ก็รีบไปสิ
แล้วจะมาบังคับกูอีกทำไม
คนนิ่งเงียบไม่ขยับเขยื้อนกาย ทำแค่เพียงเงยหน้าขึ้น
ปล่อยให้ดวงตากลมประสานสายเข้ากับนัยน์ตาคม
ซึ่งมองสบตรงมาอย่างคาดคั้น
...ต่างฝ่ายต่างจ้องกันอย่างไม่มีใครยอมใคร
เอาสิ...จ้องมาก็จ้องกลับ
คนอย่างนายปลายฟ้า
กะ...
กะ...
กะ...
...กลัวที่ไหน
แต่ตามันแม่งดุฉิบหายเลย
นี่ถ้าปล่อยแสงเหมือนเมทริกซ์ได้กูคงเป็นจุลไปแล้ว
แถมบีบมือกูอยู่นั้นแหละ
โอยยยย!!! นี่มึงกะจะบีบให้กระดูกกูหักเลยรึไงวะ!!
สัสส...กูเจ็บนะโว้ยยย!!
เออแม่ง...กูยอมก็ได้วะ!!
“(ไอ้เหี้ย)คม”
...สองคำแรกพูดอยู่ในใจครับ
ขืนเรียกไปโดนกระทืบไส้ไหลตายห่ากันพอดี
เจ้าของชื่อพยักหน้าอย่างพอใจในคำที่ได้ยิน
ก่อนเอ่ยประโยคตามมาสั้น ๆ
“อืม งั้นวันหลังมีอะไรให้ช่วยก็เรียกได้นะ ปลายฟ้า”
...มีอะไรก็เรียกให้ได้ช่วยได้งั้นเหรอ
เออดี...งั้นอย่างแรกมึงช่วยไปไกล ๆ จากชีวิตกูก่อนเลยไป๊!
นอกจากจะชอบเสือกแล้ว ยังชอบบังคับกูอีก
แม่งน่ารำคาญโว้ยยย!!
ทว่าแม้จะโวยวายไปมากแค่ไหน
ตราบใดที่มันยังอยู่ในใจ คนโดนด่าก็ไม่มีวันรับรู้
เพราะเจ้าตัวเร่งเดินไปข้างหน้าพร้อมกับดึงมือของอีกคน
ให้ก้าวตามหลังรวมกับกลุ่มเพื่อนที่รออยู่
แล้วจึงตระเวนขอรับเงินบริจาคต่อไป
โดยครั้งนี้คนจิตอาสาเดินตามประกบคนชักช้าไม่ยอมห่างกาย
และด้วยเหตุนี้เอง...
จุดเริ่มต้นความวุ่นวายของค่ายอาสาพัฒนา
จึงเปิดฉากด้วยความเคืองแค้นที่เพิ่มมากขึ้นของนายปลายฟ้าซึ่งมีต่อชายผู้ชื่อว่า....
(ไอ้เหี้ย) ‘คม’
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------
TBC
ขออภัยที่ห่างหายไปเสียนาน 
เนื่องจากติดเชื้อเต่าน้อยของปลายฟ้าในกระแสเลือด
จึงทำให้การมาปั่นต่อเป็นไปด้วยความล่าช้า
น่าน...ฟังดูเหมือนมีเหตุผล *แอ๊ก* 
ดังนั้น เรื่องในภาคนี้ก็จะไปแบบเรื่อย ๆ มาเรียง ๆ เหมือนตัวเอก (ฮา)
ระหว่างรอเคี่ยวน้ำปลาหวาน แทะข้าวโพดต้มไปพลาง ๆ ก่อนนะคะ
ขอบคุณที่ติดตามค่ะ

แล้วเจอกันจ้า
BitterSweet