ซีรีย์หวานอมขม : ภาค ยอดสะเดา กับ ข้าวโพดต้ม
ต้นที่ 7
...ไม่อาบน้ำกันรึไงวะ
ปลายฟ้าขมวดคิ้วอย่างสงสัยเมื่อเห็นว่า
แถวยาวเหยียดที่เคยต่อคิวอยู่หน้าห้องน้ำเมื่อวาน
กลับหดเหลือสั้นลงเพียงไม่กี่คน
ทั้ง ๆ ที่ก็เป็นเวลาค่ำมากแล้ว
“นั่นสิ เป็นผู้ชายอาร๊ายยยไม่รักษาความสะอาด
ถึงชั้นจะชอบแบบแมน ๆ ก็เถอะ แต่ให้ซกมกมาก ๆ
ก็รับไม่ได้เหมือนกันเนอะ เต่าน้อยว่ามั้ย?”
บอลล่าพูดบ่นขณะที่เดินนวยนาดออกมาจากห้องน้ำ
เตรียมกลับไปยังเต็นท์พร้อมเขา
คนฟังพยักหน้าหงึก ๆ เห็นด้วย
ยิ่งพวกเด็กวิศวะที่ไปช่วยก่อสร้างกลับไม่เจอเลยสักคน
ไอ้เขารึก็อยากจะให้ไอ้เกมส์ชี้หน้าให้ดูหน่อยว่า
คนที่พูดนินทาเด็กเภสัชเสีย ๆ หาย ๆ มันเป็นใครกัน
ตอนนี้ทั้งเขาและเกมส์ยังไม่กล้าบอกเพื่อน ๆ ที่เหลือ
ด้วยกลัวว่ามันจะเป็นเรื่องใหญ่ ยิ่งถ้าเกิดบอลล่าได้ฟัง
มีหวังแม่คงปรี๊ดแตกไปชวนท้าตบกับเจ้าถิ่นเอาแน่ ๆ
ด้วยเหตุนี้แม่หญิงงามประจำกลุ่มจึงยังคงทำท่าดี๊ด๊า
ลิ่วตาชวนก่อร่อก่อติกกับบรรดาหนุ่มต่างคณะได้เรื่อย ๆ
โดยเฉพาะกับหนุ่มหล่อสไตล์เกาหลีที่เพิ่งเดินผ่านมาพอดี
“อ้าว...ดิวไปไหนมาคะเนี่ย
วันนี้ไม่ค่อยเห็นหน้าเลยนะ
บอลล่าล่ะคิดถึ๊งงงคิดถึงง”
...หยอดได้เป็นหยอดล่ะครับงานนี้
เจ๊บอลล่าจัดการเกี้ยวหนุ่มตามธรรมเนียม
ซึ่งอีกคนก็ยิ้มตอบกลับมาง่าย ๆ โดยไม่รู้ชะตากรรม
“อ๋อ ผมไปอาบน้ำมาครับ”
“เอ๊ะ? ไปอาบน้ำ?
ที่ไหนคะ ตรงนู้นมีที่อาบด้วยเหรอ”
เสียงหวานกึ่งแมนเอ่ยถามอย่างงง ๆ
เช่นเดียวกับปลายฟ้าที่ขมวดคิ้วสงสัยไม่แพ้กัน
“มีครับ เลยโค้งข้างหน้าไปหน่อยจะมีวัดอยู่
ผมเลยไปขอพระท่านอาบ
เพราะเมื่อวานเห็นคนเยอะ จะให้รอก็คงไม่ไหว
เลยต้องให้บางส่วนแยก ๆ กันไป”
“อ๋อ....แบบนี้นี่เอง งั้นพรุ่งนี้บอลล่าไปอาบที่นู้นด้วยดีกว่า
คนที่เหลือจะได้ไม่ต้องรอคิวนาน”
คนฟังเหล่ตามองเพื่อนข้างตัว
...ดูปุ๊บก็รู้ว่ามีแผนแน่ ๆ ครับ
ตาเป็นประกายวิบวับขนาดนั้น
สงสัยคงตั้งใจไปดักหนุ่มในที่ใหม่ชัวร์ป๊าบ
“งั้นผมขอตัวไปเก็บของก่อนนะ
เออ.. จริงด้วย อากาศตอนเย็นมันหนาว
อย่าลืมห่มผ้าหนาๆ หน่อยนะครับ
ถ้าไม่มีมาขอพวกผมเอาก็ได้ กลัวเป็นหวัดกัน”
“ไม่ต้องห่วงค๊า ดิวเองก็ดูแลตัวเองดี ๆ นะคะ”
“งั้นก็เจอกันพรุ่งนี้นะครับ บอลล่า
เออ... แล้วก็....”
ร่างสูงหยุดประโยคทิ้งท้าย
ก่อนหันมาหาคนที่ยังยืนนิ่งไร้บทสนทนา
ริมฝีปากได้รูปคลี่รอยยิ้มบาง ๆ
พร้อมกับเอ่ยประโยคด้วยน้ำเสียงนุ่มทุ้ม
“ฝันดีนะครับ ปลายฟ้า”
คนถูกทักแอบสะดุ้ง เงยหน้ามองสบกับนัยน์ตาของอีกฝ่าย
ซึ่งทอประกายแปลก ๆ จนทำให้ต้องเผลอตอบรับตะกุกตะกัก
“อ่ะ คะ..ครับ ฝันดีเหมือนกันครับ”
ใบหน้าหล่อยิ้มให้อีกครั้ง แล้วจึงเดินหลบไปอีกทาง
ทิ้งให้คนที่เพิ่งได้รับคำอวยพรก่อนนอนยืนงงอยู่ตรงนั้น
...อะไรวะ?
เกิดมาก็เพิ่งจะเคยเจอผู้ชายบอกว่า ‘ฝันดีนะ’ เนี่ยแหละ
แถมมันยังทำเสียงอ่อนเสียงหวานอย่างกับจีบสาว
เฮ้ย อย่าบอกนะว่า...
“แหนะ! คิดจะทำแต้มเหรอยะ พ่อเต่าน้อย
เดี๋ยวนี้ชักร้ายนะเรา... ว่าแต่คนนี้ชั้นจองแล้วนะ
แต่ถ้าอยากได้ก็บอกกันล่วงหน้าด้วยล่ะ...
ไม่ต้องกลัว...เพราะชั้นถือคติกฎกระเทยเหล็กข้อที่สี่
...กระเทยที่ดีจะไม่แย้งผู้ชายของเพื่อน”
น่าน... โดนจนได้ คิดไม่ทันขาดคำ
คนที่อยู่ด้วยกันกลับกระทุ้งไหล่หยอกพร้อมเอ่ยคำแซว
จนเขาต้องรีบร้องโวยวายแก้ตัวพัลวัน
“เฮ้ย! อะไรกันบอลล่าก็บอกแล้วไงว่าไม่ได้เป็นเกย์”
“ย่ะ! ให้มันจริงเถอะเพื่อนสาว คิกคิก”
ร่างบางหัวเราะอย่างมีเล่ห์นัย
ชวนให้ปลายฟ้าทำหน้าเซ็งกับพลังช่างจินตนาการล้นเหลือของคนชอบแหย่
กระนั้นลึก ๆ ก็อดที่จะแอบคิดตามเสียไม่ได้
...หรือว่าคุณรองประธานค่ายเป็นจะเป็นเกย์
หล่อ ๆ แบบนั้นเนี่ยนะ! แต่ก็อย่างว่า....
ผู้ชายสมัยนี้ดูไม่ค่อยออกเสียด้วย
หรือบางทีมันอาจเป็นนิสัยปกติของดิวอยู่แล้วก็ได้ที่ชอบพูดแบบนั้น
เขาเองก็ไม่อยากเดาฟุ้งซ่านไปไกลว่าอีกฝ่ายตั้งใจจะทำอะไร
ขอภาวนาอย่างเดียวคือ อย่าให้เป็นแบบที่บอลล่ามันพูดแล้วกัน
ลองนึกภาพ ถ้ามีผู้ชายมาดแมนอย่างดิวมาจีบแทนที่จะเป็นสาวสวยหมวยอึ้ม
อึ้ยยย....แค่คิดก็ขนลุกขึ้นมาบอกไม่ถูกแล้วครับ
ปลายฟ้าพยายามหยุดภาพสยองในใจ พลางเร่งเดินกลับมาจนถึงที่พัก
บอลล่าแยกเอาผ้าไปตาก ส่วนเขากำลังจะเอาของไปเก็บในเต็นท์
ทว่ายังไม่ทันได้เข้าไป บางสิ่งที่แขวนอยู่ตรงด้านหน้าเสาเต็นท์
กลับเด่นสะดุดตาจนต้องเดินเข้าไปมองใกล้ ๆ
“อะไรวะเนี่ย”
ความสงสัยถูกกลั่นออกมาเป็นคำถาม
เขาเอื้อมมือหยิบของสิ่งนั้นออกมา
...ถุงพลาสติก
และไม่ใช่ถุงพลาสติกธรรมดา
แต่ภายในดันบรรจุยอดต้นไม้สีเขียวมากำใหญ่
เขาก้มลงพิจารณาอาศัยแสงไฟลาง ๆ จากด้านนอก
สะท้อนให้เห็นตัวอักษรที่เขียนด้วยปากกาเมจิกบนตัวถุง
‘ปลายฟ้า’
อ้าว...นี่มันชื่อเขานี่หว่า
แล้วทำไมถึงมีชื่อเขาอยู่บนถุงได้
แถมไอ้ต้นไม้นี่...
ให้มองซ้ายมองขวายังไงก็ดูเหมือนต้นหญ้าชัด ๆ
“ใครเอาหญ้ามาแขวนไว้ตรงนี้วะ”
คนสงสัยหันไปตะโกนถามอย่างมึนงง
พอดีกับที่ไอ้เกมส์เพิ่งเดินมาถึงเต๊นท์
เลยตรงปรี่เข้ามาอย่างสนอกสนใจ
“ไหนอะไร ดูดิ”
มันร้องบอกพลางดึงถุงเอาไปส่องกับไฟให้เห็นชัด ๆ อีกที
ก่อนจะหันมาทำหน้าระอาใส่เมื่อรู้แจ้งเห็นจริงว่าของในมือคืออะไร
แล้วเฉลยคำตอบให้คนไร้เดียงสาได้แก้ไขความเข้าใจเสียใหม่
“มันใช่หญ้าที่ไหนล่ะวะไอ้ปลาย
ไอ้เนี่ยเขาเรียกว่า ‘ยอดสะเดา’ ต่างหาก
มึงไม่รู้จักเหรอวะ?”
“ไม่อ่ะ ไม่เห็นเคยได้ยิน”
คนถูกถามส่ายหน้าปฏิเสธ
หัวคิ้วขมวดมุ่นเข้าหากันอย่างมึนงงมากกว่าเก่า
...ยอดสะเดา?
มันคือผักอะไรวะ
เกิดมาเพิ่งเคยได้ยิน
“เออกูลืมไปมึงมันไอ้ลูกคุณหนู
ลองกินดูหน่อยมั้ยล่ะ อร่อยนะเว้ย
อ่ะ... อ้าปาก เดี๋ยวกูป้อนให้”
คนชวนเด็ดยอดอ่อนมาให้ต้นหนึ่ง
พลางทำท่าจะยัดใส่ปากเขาจนต้องรีบร้องห้าม
“ไม่ต้องเลย กูกินเองได้”
ปลายฟ้าดึงถุงจากไอ้เกมส์มาถือไว้เองป้องกันการโดนลอบทำร้าย
ดวงตากลมก้มมองยอดสะเดากำใหญ่อย่างสนใจอีกครั้ง
ก่อนหัวสมองจนหมุนวนคิดไปตามนิสัย
...ดู ๆ ไปมันก็เหมือนยอดใบไม้ธรรมดา ๆ
ไม่น่าเชื่อว่าจะเก็บมากินได้
คนเรานี่ก็ช่างสรรหาของกินรอบตัวดีเนอะ
เออ...แล้วเขาจะต้องกินจากตรงไหนดีวะ
กินได้ทั้งใบ ทั้งดอก หรือจะเอาแค่เฉพาะตรงต้นมันดี
มืด ๆ แบบนี้มองไม่ค่อยเห็นความแตกต่างของสีเลย
ถ้าสีเข้มมันจะแก่หน่อยใช่มั้ย
แล้วตกลงมันต้องกินไอ้ที่อ่อน ๆ หรือว่าตรงที่แก่ ๆ กันแน่วะ
เออ...ถามไอ้เกมส์มันดูอีกทีดีมั้ยนะ
คนลังเลตั้งใจจะอ้าปากถามเพื่อน
แต่ทันทีที่เงยหน้าขึ้นกลับจ่ะเอ๋กับสายตาของอีกฝ่ายจ้องที่มองอยู่ก่อนแล้ว
มิหนำซ้ำมันยังแสดงสีหน้าท่าทางมีพิรุธเหมือนว่าจะลุ้น ๆ อะไรสักอย่าง
ไม่เฉพาะแค่ไอ้เกมส์ แม้แต่เพื่อนคนอื่นๆ ในกลุ่มก็มีเหลือบมอง
จนเขาต้องถามย้ำด้วยความระแวง
“ทำไมจ้องกูอย่างงั้นกันอ่ะ
ไอ้นี่มันกินสด ๆ ได้ใช่มั้ย
กินแล้วไม่เป็นไรแน่นะ”
ไอ้เกมส์รีบทำทีเป็นกลบเกลื่อนพยักหน้าหงึกหงัก
ตบไหล่เขาดังป๊าบ ร้องบอกสนับสนุนเต็มที่
“ได้ดิ มันก็เหมือนผักนั่นแหละ กิน ๆ ไปเหอะ
ลูกคุณหนูอย่างมึงหัดอยู่กับธรรมชาติบ้าง”
แม้จะยังคงสงสัยระแวงอยู่ในใจ
แต่ความอยากรู้กลับมีมากกว่า
สุดท้าย คนช่างเลือกจึงตัดสินใจ
เด็ดเอายอดสะเดายาวเท่านิ้วก้อยมาถือไว้
...อาจจะจริง แค่ผักจะคิดไรมาก
นายปลายฟ้าจึงหยิบของในมือเข้าปากจัดการเคี้ยวให้ออกรส
ทว่าแค่เสี้ยววินาทีที่แตะลิ้น ดวงตากลมกลับเบิกโพล่ง
ก่อนรีบคายสิ่งทีอยู่ในปากทิ้งลงพื้นทันทีพร้อมคำสบถดังลั่น
“เชี่ยยยย!! ขม! ขม! ขมโว้ยยย!!
ผักอะไรวะขมโคตร!!
ถุย!... แหวะ!! จะอ้วกกก!!”
คนโดนแกล้งพยายามถ่มน้ำลายลงกับพื้นให้รสในปากจางหาย
ท่ามกลางเสียงหัวเราะของคนในกลุ่มที่เหมือนว่าจะรู้ฤทธิ์ของยอดสะเดาดีอยู่แล้ว
โดยเฉพาะไอ้เกมส์....
ไอ้เพื่อนชั่ว! เพื่อนทรยศ! เสือกมาหลอกกันได้
แถมยังมีหน้ามากวนตีนถามกลับ
“เป็นไงอร่อยป่ะ?”
“เออ...อร่อย...อร่อยมาก...อร่อยจนต้องดึงลิ้นออกมาเช็ดเลยแม่ง!”
ปลายฟ้าทำหน้าพะอืดพะอมไม่หาย
น้ำตาลูกผู้ชายเอ่อคลอขึ้นมาโดยอัตโนมัติ
แต่ยังไม่วายถามกลับ
“แล้วตกลงใครมันเอาไอ้ผักขม ๆ
มาแขวนไว้ตรงหน้าเต็นท์กันแน่วะ
แถมมีชื่อกูเขียนไว้ที่ถุงด้วย”
“หรือว่าเป็นของฝากจากบัดเดอร์”
ไอ้แว่นพูดเดาคำตอบสมกับเป็นหัวสมองประจำกลุ่ม
แต่ข้อสันนิษฐานของมันกลับทำให้คนได้รับร้องโวยวาย
“บัดเดอร์บ้านใครเอาไอ้ต้นนรกเป็นกำ ๆ มาให้กันบ้าง
มันคิดจะแกล้งกูอ่ะดิ บ้ารึเปล่า!”
“อุ๊ย! อย่าได้ดูถูกนะยะ ยอดสะเดาเค้ามีสรรพคุณทางยาจะตาย
มีทั้งเบต้าแคโรทีน ช่วยแก้ร้อนใน ละลายเสมหะได้ด้วย
ที่สำคัญเอามาจิ้มกินกับน้ำปลาหวาน แกล้มด้วยปลาย่างนะ
อูยยยย....ขอบอกอย่างแซ่บ!!”
บอลล่าสาธยายไป พลางสูดน้ำลายมองยอดสะเดาอย่างเปรี้ยวปาก
ตรงข้ามกับคนได้รับซึ่งมองมันด้วยความขยะแยงเหมือนต้นยาพิษ
“งั้นก็ช่วยเอาอะไรที่มันธรรมดา ๆ มาให้หน่อยไม่ดีกว่าเหรอไง”
“มึงอย่าเรื่องมากดิวะ อยู่บนป่าบนดอยแบบนี้
มีของมาเทคให้ก็บุญแล้ว
ว่าแต่... พวกมึงจับได้ใครบ้างอ่ะ
บอกกูมาหน่อยดิ กูอยากรู้....”
ไอ้เกมส์พูดกระซิบกระซาบทำหน้าวอนขอเต็มที่
ซึ่งแน่นอนว่าทุกคนรีบทำเป็นเมิน
ต่างหันไปจัดการธุระของตัวเองต่อโดยไม่มีใครปริปากคุยใด ๆ
...ก็แน่อยู่แล้วใครมันจะบอกกันเล่า!
สุดท้ายพวกเขาเลยสลายวง
มุดหัวเข้าไปในเต็นท์เตรียมนอนเก็บพลังงานเอาแรง
เพื่อรับศึกใหม่ที่จะเกิดในวันพรุ่งนี้
....นับเป็นอันจบวันที่สองของพวกเราชาวค่ายวิศวะอาสา
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------
วันที่สาม...
เริ่มต้นวันใหม่กันด้วยการถูกปลุกจากกลุ่มสันทนาการ
เพื่อนำทัพออกกำลังกายตอนเช้า
ปลายฟ้าไม่ได้ไปออกกำลังอะไรกับเขาหรอก
เพราะต้องรีบวิ่งไปเป็นกรรมกรแบกหามช่วยทำกับข้าวมื้อเช้าเสียก่อน
ยอดสะเดาที่ได้มาเมื่อคืน ถูกบอลล่ารีเควสทำน้ำปลาหวานไปเรียบร้อยแล้ว
แถมยังบ่นเสียดายที่ไม่มีปลาเผามาเป็นกับเคืองเคียงด้วย
เขาไม่เห็นจะเข้าใจเลยว่าไอ้ผักขม ๆ นั่นมันอร่อยตรงไหน
...แค่ลองทีเดียว ก็ขยาดไปทั้งชีวิตแล้วครับ
พอจัดการให้ชาวค่ายกินข้าวกันอิ่มหนำสำราญ
ต่างคนต่างก็แยกย้ายกันไปทำตามหน้าที่ใครหน้าที่มัน
หลังจากที่โดนพวกหน่วยก่อสร้างเขม่นเอาเมื่อวาน
เขาก็ไม่อยากจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวในบริเวณนั้นให้เป็นเรื่อง
จึงปลีกตัวมาช่วยฝ่ายวิชาการ ซึ่งมีบรรดาเพื่อนของเขาดูแลอยู่
ลักษณะการเรียนการสอนของที่นี่
อย่าได้ถามถึงแท๊ปลง แท๊ปเล็ตครับ
เพราะแค่หนังสือเรียนยังยาก...
ต้องใช้กันซ้ำ ๆ จนเปื่อยแล้วเปื่อยอีก
ยิ่งเห็นสภาพห้องเรียนของน้อง ๆ ที่เป็นห้องเล็ก ๆ
มีนักเรียนอยู่ไม่ถึงสี่สิบคนทั้งเด็กเล็กและเด็กโต
ก็ยิ่งรู้สึกอยากช่วยเหลือน้อง ๆ มากขึ้นไปอีก
เขาจึงพยายามเข้าไปมีส่วนร่วมในการช่วยสอนและทำกิจกรรมให้น้อง ๆ อย่างดีที่สุด
เพราะในเมื่อเขามีโอกาสที่ดีกว่าจึงอยากจะแบ่งปันให้ได้มากเท่าที่ทำได้
ถึงกระนั้นรองหัวหน้าสวัสดิการอย่างปลายฟ้าก็ไม่ลืมหน้าที่
พอตกเย็นก็เตรียมหิ้วน้ำและเจลแก้ปวดเมื่อยทั้งหลาย
ไปเตรียมนวดคลายเส้นให้พวกใช้แรงงาน
ซึ่งนั่งพักกองหมดแรงอยู่ที่อาคารเอนกประสงค์
...มองจากสภาพแล้วคงจะเหนื่อยหนักมาทั้งวัน
ขนาดเมื่อวานนวดคลายกล้ามเนื้อไปให้บ้างแล้ว
แต่ก็ยังมีบางคนที่ดูเหมือนจะใช้แรงหนักจนเกิดอาการอักเสบขึ้นมา
ไม่อยากจะคิดเลยว่างานมันจะโหดขนาดไหน
“เดี๋ยวพวกคนที่วัดแบบ พักเสร็จแล้วมาคุยกันตรงนี้หน่อย
แล้วพรุ่งนี้ให้ใครไปสั่งเหล็ก 3 หุนสี่สิบเส้น
กับปูนก่ออีกตันหนึ่งมาจากข้างล่างแต่เช้าด้วย
เหฯ อยู่ไหนวะ? ไอ้บีม อย่าลืมดูแลงบให้เรียบร้อยนะ”
เสียงพูดสั่งงานล่งเหล่งเรียกความสนใจจากปลายฟ้าซึ่งกำลังเก็บกระปุกยาให้เข้าที่
แน่นอนว่าเป็นใครไปไม่ได้นอกจากไอ้ประธานหน้าเถื่อน
ที่ทำท่าวางอำนาจซะใหญ่โตเดินคุมลูกค่ายไม่มีหยุด
..โหดไม่โหดก็ดูจากหัวหน่วยเนี่ยแหละ
ขนาดพักยังไม่มีเวลาให้เลย
ไม่รู้จะดีใจหรือเสียใจดีที่ไม่ได้อยู่หน่วยนี้
แต่ขืนทำตัวไม่ได้เรื่องเดี๋ยวพวกวิศวะมันจะหาว่าอ่อนเข้าพอดี
คดีที่ค้างคากันไว้ใช่จะลืมกันง่าย ๆ ซะเมื่อไร
เห็นแล้วก็แอบพาลหมั้นไส้ขึ้นมาตงิด ๆ
เออ...ว่าแต่นิ้วโป้งมันมีอะไรแดงๆ วะ
ดะ...เดี๋ยวก่อน
นั่นมัน....
....เลือด ใช่รึเปล่า?
คำถามที่เกิดขึ้นในใจทำให้คนสงสัยต้องเพ่งมองดี ๆ ให้มั่นใจอีกครั้ง
...ใช่ เลือดแน่ ๆ แล้วไม่ก็ได้น้อย ๆ ด้วย
เพราะมันค่อย ๆ ไหลผ่านง่ามนิ้วจนเริ่มหยดลงพื้นทีละหยด
แต่ดูเหมือนไอ้คนมีแผลจะไม่ได้สนใจเลยแม้แต่น้อย
ถึงจะไม่อยากเข้าไปยุ่งเกี่ยวมากแค่ไหน
แต่เห็นกันตำตาแบบนี้จะให้ปล่อยผ่านเลยก็คงไม่ได้
คนที่มีวิญญาณเภสัชในตัวจึงตัดสินใจเดินเข้าไปหา
“นิ้วไปโดนอะไรมา”
คมสันสะดุ้ง เมื่อได้ยินเสียงเรียกทัก
ก่อนจะแปลกใจทันทีที่หันหลังมาพบว่าคนนั้นพูดเป็นใคร
แต่เมื่อดวงตาของอีกฝ่ายยังคงจับจ้องอยู่ที่มือซ้ายของเขา
จึงทำให้ร่างสูงต้องยกมือขึ้นมามอง
“หือ... อ๋อเนี่ยหรอ...
สงสัยโดนสังกะสีบาดมั้ง
ไม่เป็นไรหรอกเดี๋ยวก็หาย”
เขาตอบกลับรู้ตัวอยู่แล้วว่าเลือดออก แต่ไม่ได้สนใจ
แผลแค่นี้เอาไปน้ำล้างสักหน่อยก็โอเคแล้ว
ทว่าคู่สนทนากลัยยังคงยืนนิ่ง แถมยังเอ่ยประโยคต่อเรียบ ๆ
“มาให้เราใส่ยาเถอะ”
คมสันประหลาดใจซ้ำสองกับท่าทีของคนตรงหน้า
กระนั้นเขาก็ยังเลือกตอบปัดปฏิเสธ
“ก็บอกว่าไม่เป็นไรไง
เดี๋ยวเราต้องรีบไปคุยเรื่องแปลนก่อสร้างด้วย
ไปช่วยคนอื่นเถอะ”
“ก็กำลังช่วยอยู่นี่ไง บอกให้มาก็มาสิ!”
คราวนี้ไม่ใช่ความประหลาดใจ....
แต่เป็นความอึ้งสนิทที่คนซึ่งพูดน้อยจนนับครั้งได้กลับเป็นฝ่ายดุเขาเสียแทน
แถมยังบังคับลากเขาไปยังโต๊ะที่วางกระเป๋ายาเอาไว้
ก่อนจะจัดการใช้แอลกอฮอล์เช็ดแผลทำความสะอาด
ใส่ทิงเจอร์ไอโอดีนฆ่าเชื้อ
และปิดท้ายด้วยการใช้สำลีพันนิ้วโป้งไว้เพื่อกันเชื้อโรค
โดยมีร่างสูงนิ่งมองพิธีกรรมรักษาไปเงียบ ๆ ด้วยความไม่เข้าใจ
“เดี๋ยวก็ต้องอาบน้ำแล้วจะทำแผลไปทำไม”
เสียงบ่นพึมพำทำที่เผลอหลุดออกมา
ส่งผลให้ดวงตากลมเงยขึ้นมองเพียงแวบเดียว
ก่อนจะตามมาด้วยคำอธิบายเสียงเรียบ
“ถ้าสังกะสีมันมีสนิม แล้วเกิดติดเชื้อขึ้นมาจะทำยังไง
เอาแต่คิดว่ามันเป็นแค่เรื่องเล็ก ๆ ไม่สำคัญ ปล่อยไปก็ได้
แล้วถ้าต่อไปมันดันเกิดผลเสียใหญ่โตขึ้นมาทีหลัง
ถึงตอนนั้นจะให้แก้ไขอะไรก็คงลำบาก
จะมัวแต่รีบร้อน แล้วมองข้ามเรื่องพวกนี้ไปไม่ได้หรอกนะ”
...นับเป็นประโยคพูดคุยที่ยาวที่สุดเท่าที่คมสันได้ยินจากปากของคนคนนี้
ถ้อยคำเต็มไปด้วยเหตุผลคล้ายกับจะทั้งดุทั้งเตือนไปพร้อม ๆ กัน
ทำให้คมสันต้องนิ่งฟังอย่างคิดทบทวนอยู่อย่างนั้น
...นึกว่าจะเงียบเป็นอย่างเดียวเสียอีก
คิดแล้วก็แปลกเขาชอบบอกให้อีกคนระวัง
แต่ครั้งนี้กลับเป็นฝ่ายถูกสั่งให้คอยระวังเอง
ปลายฟ้านี่เป็นคนยังไงกันแน่นะ
มีอะไรให้ต้องประหลาดใจอยู่เรื่อยเลย
ถ้าไม่พูดก็คงไม่รู้ว่าจริง ๆ แล้วคิดยังไงอยู่
เมื่อวานอยู่ ๆ ก็โมโห
แต่วันนี้กลับเข้ามาช่วยเขาเสียอย่างนั้น
ตกลงเลยไม่รู้ว่าโกรธเรื่องอะไรกันแน่
นายคมสันตั้งใจจะย้อนความถาม
ทว่ายังไม่ทันที่เริ่มเสียงหนึ่งกลับตะโกนขึ้นดังขัด
“ไอ้ปลายยยย!! เอาเก้าอี้แถวนั้นมาให้ตัวดิ ตรงนี้ไม่มีที่วางแก้วแล้ว”
หัวหน้าหน่วยสวัสดิการร้องสั่งมาจากลานอีกฝั่ง
ทำให้เจ้าของชื่อรีบเก็บขวดยาลงกระเป๋า
แต่เมื่อหันมาจะยกเก้าอี้พลาสติกสีน้ำเงินที่อยู่ข้างตัว
อีกคนกลับยกขึ้นมาแทนจนเขาต้องรีบเอ่ยปากห้าม
“อ่ะ... ไม่ต้อง เดี๋ยวเรายกเอง”
“...แค่อยากช่วย”
คำพูดที่ดังขึ้นสั้น ๆ มีอานุภาพมากพอให้คนฟังชะงัก
ดวงตาคมประสานกับนัยน์ตาของคนตรงข้ามตรง ๆ
ก่อนร่างสูงจะเอ่ยบอกสิ่งที่ยังคงค้างคาอยู่ในใจ
“เรื่องเมื่อวานก็ด้วย เราเต็มใจทำให้
ที่ผ่านมาไม่เคยคิดว่าเป็นภาระเลยสักครั้ง”
คราวนี้ปลายฟ้ากลับเป็นฝ่ายนิ่งอึ้งกับข้อความที่ได้ยินบ้าง
ปล่อยให้คมสันลุกขึ้นเดินห่างออกไปเพื่อเอาเก้าอี้ไปให้แทน
โดยไม่มีคำขอบคุณใด ๆ ระหว่างกันเช่นเดียวกับที่ผ่านมา
...แค่อยากช่วย
ไอ้หน้าเถื่อนเนี่ยนะจะมาช่วยเขา
ก็แค่ชอบเสือกชอบยุ่งเรื่องของชาวบ้านมากกว่าไม่ใช่เหรอ
เออ... แล้วเขาเองล่ะ....
วันนี้ดันจะไปญาติดีกับมันทำไม
ไปทำแผลให้ แถมยังไปสั่งสอนมันอีกว่าให้คอยระวัง
ทั้งๆ ที่จะทำเป็นไม่สนใจปล่อยมันให้เลือดไหลจนหมดตัวไปก็ได้แท้ ๆ
แบบนี้ใช่ที่เขาเรียกว่า....
...'แค่อยากช่วย' เหมือนกันรึเปล่า?
ไม่หรอก...ไม่ใช่หรอกมั้ง...
ก็นี่ไง....
...ก็เพราะมันเป็น ‘บัดดี้’ ของเขา
เขาก็เลยต้องคอยดูแลสิ
...ใช่ ๆ
ที่ช่วยเพราะมันเป็นบัดดี้ต่างหาก
แล้วอีกอย่างก็เป็นหน้าที่หน่วยสวัสดิการด้วย
ไม่ได้เกี่ยวเพราะอยากทำดีด้วยเลยสักหน่อย
ปลายฟ้าหาเหตุผลให้กับการกระทำอันสับสัน
ก่อนจะตัดสินใจเลือกสรุปไปยังข้อหลังอย่างลังเล
...โดยที่ลึก ๆ แล้วแม้แต่ตัวเองก็ไม่อาจจะเข้าใจ
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------
TBC