ซีรีย์หวานอมขม : ภาค ยอดสะเดา กับ ข้าวโพดต้มต้นที่ 16“ไอ้ปลาย ยกกล่องนี้ขึ้นไปด้วย”
หน้าที่เดิมครับ...
ทั้งขาไปและขากลับ
นายปลายฟ้ายังคงดำรงตำแหน่งกรรมกรแบกหาม
สมกับรองหัวหน้าหน่วยสวัสดิการเหมือนเช่นเคย
เขาจึงต้องช่วยยกกล่องอุปกรณ์ครัวพวกจาน ชาม หม้อหุงข้าว
ขึ้นใส่ท้ายรถบัสเพื่อเตรียมตัวมุ่งหน้ากลับมหาวิทยาลัย
...นึก ๆ ไปสิบวันมันเร็วจนน่าใจหาย
เขายังจำวันแรกที่ขึ้นมาถึงยอดดอยนี้ได้อยู่เลย
ทั้งไอดิน กลิ่นธรรมชาติ และความมีน้ำใจของชาวบ้านที่มาต้อนรับ
มันทำให้เขาอยากจะยืดเวลาที่ได้อยู่รวมกันให้นานกว่านี้
ทว่าท้ายที่สุดทุกงานเลี้ยงย่อมต้องมีวันเลิกรา
ดังนั้น หลังจากที่ขนข้าวของเสร็จเรียบร้อย
พวกเราชาวค่ายจึงทยอยกันขึ้นรถประจำที่นั่ง
โดยมีพี่อ้อมและพี่ฟ้าเป็นคนช่วยเช็คชื่อ
“ทุกคนช่วยสำรวจข้าวของส่วนตัวให้เรียบร้อยด้วยนะคะ
แล้วช่วยมองคนข้าง ๆ ด้วยว่ามากันครบรึเปล่า
ถ้าใครลืมเพื่อนทิ้งไว้ที่นี่เราไม่ย้อนกลับมาเอานะค่า!!”
สาวหมวยพูดติดตลกเรียกรอยยิ้มยามเช้าจากคนบนรถ
ปลายฟ้านั่งข้างไอ้เกมส์บริเวณหน้ารถเหมือนขามา
แต่เขาไม่ได้สนใจฟังเสียงพิธีกรเท่าไร
เพราะตอนนี้เขากำลังมองออกไปนอกหน้าต่าง
ด้วยว่าอยากจะเก็บภาพความประทับใจไว้ในความทรงจำเป็นครั้งสุดท้าย
ทว่ากลับมีเสียงบางอย่างดังขึ้น....
...เป็นเสียงเบา ๆ ที่แทรกดังมาจากด้านนอกของรถ
“พี่ปลาย...”
คนถูกเรียกสะดุ้งพรวดลุกขึ้นนั่งตัวตรงมองซ้ายขวาเลิกลั่ก
ใคร...
ใครเรียกเขา...
เสียงเล็ก ๆ เหมือนผู้หญิง
...ผีหลอกเหรอ
เฮ้ย! ไม่ใช่มั้งเช้าป่านนี้แล้ว
หรือว่าหูตัวเองจะฝาด...
นายปลายฟ้าจึงตั้งใจสงบนิ่งเงี่ยหูฟังอีกครั้ง
และเสียงเดิม ๆ ก็แว่วลอดผ่านคล้ายดังจากที่ไกล ๆ
“พี่ปลาย...”
“เฮ้ย! ไอ้เกมส์ได้ยินเปล่าวะ มีใครไม่รู้เรียกชื่อกู”
คนสงสัยรีบหันไปถามคนข้างตัวด้วยความไม่แน่ใจ
แต่เพื่อนซี้กลับขมวดคิ้วก่อนส่งเสียงจิ๊จ๊ะด้วยความรำคาญ
“ไรว่ะ กูไม่เห็นได้ยินเลย
มึงตื่นรึยังเนี่ย ละเมอเหรองะ...”
“พี่ปลาย...”
คราวนี้เสียงปริศนาดันดังขัดขึ้นมาก่อนประโยคจะพูดจบ
เขาสองคนหันมองหน้ากันอย่างมึนงง
ก่อนไอ้เกมส์จะเป็นฝ่ายสังเกตเห็นบางสิ่ง
มันชี้มือออกไปนอกหน้าต่าง
นายปลายฟ้าจึงรีบหันมองตามนิ้วของเพื่อน
ดวงตากลมเบิกกว้างอย่างไม่เชื่อ
เมื่อเห็นชัดว่าเจ้าของเสียงปริศนานั่นคือใคร
เขารีบผุดลุกขึ้นยืนแล้ววิ่งออกไปนอกรถทันที
โดยไม่ทันฟังเสียงห้ามจากพิธีกร
“อ่ะ เดี๋ยวค่ะน้องปลายจะไปไหนคะ รถจะออกแล้วนะคะ”
คำทัดทานใด ๆ ไม่เป็นผล
เพราะตอนนี้คนรีบร้อนก้าวลงจากรถบัส
ลดตัวลงอ้าแขนกว้างเพื่อให้ใครคนหนึ่ง
ซึ่งพุ่งตัวเข้ามาในอ้อมกอดเขาอย่างคุ้นเคย
“น้องกานดา”
ปลายฟ้าเรียกชื่อเด็กหญิงแก้มยุ้ยอย่างดีใจ
ไม่อยากจะเชื่อว่าน้องจะมาอยู่ด้วยกันตรงนี้
ทั้ง ๆ ที่คิดว่าจะไม่เจอหน้ากันอีกแล้ว
คนในอ้อมกอดก็คล้ายจะรู้สึกเช่นเดียวกัน
เพราะมือเล็กดึงชายเสื้อเขาไว้ไม่ยอมปล่อยพลางงึมงำถ้อยคำเสียงเบา
“พี่ปลาย”
คำเรียกชื่อทำเอาคนฟังแทบน้ำตาร่วง
นี่นับเป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินจากปากของเด็กหญิงตัวน้อย
เพราะปกติน้องกานดาจะขี้อายซ้ำยังไม่ค่อยพูด
จนนึกว่าจะจำชื่อเขาไม่ได้ซะแล้ว
แต่นี่ยังอุตส่าห์มาหาเพื่อมาส่งเขาตั้งแต่เช้า
มันเลยอดไม่ได้ที่จะซึ้งใจอยู่ลึก ๆ
แม้จะใช้เวลาอยู่ด้วยกันไม่นาน
ทว่าความผูกพันมันกลับไม่ได้น้อยไปตามระยะเวลาเลย
“แกงอแงตั้งแต่เมื่อคืนแล้วน่ะคะ
บอกอยู่นั่นแหละว่าอยากเจอพี่ปลาย
เช้านี้เลยต้องพาแกมาส่งไม่งั้นคงไม่ยอม”
พ่อแม่ของน้องกานดาที่เพิ่งตามมาถึงเอ่ยคำอธิบาย
ก่อนคุณน้าจะเป็นคนยื่นถุงใส่ข้าวโพดต้มมากมายส่งให้
“อ่ะนี่จ๊ะ น้าฝากข้าวโพดมาให้กินกันตอนขากลับด้วย
คราวที่แล้วเอามาน้อยไปหน่อย คงไม่พอกินกันใช่มั้ยจ๊ะ
งวดนี้เลยเอามาให้เยอะแยะเลย แบ่ง ๆ กันไปนะ”
“ขอบคุณครับ ขอบคุณมากจริง ๆ ครับ”
นายปลายฟ้ายกมือไหว้คนทั้งสองอย่างซาบซึ้งกับความมีน้ำใจ
พวกไอ้เกมส์ก็เดินลงมาช่วยหิ้วถุงข้าวโพดขึ้นไป
พร้อมคำขอบคุณที่เอ่ยกันอย่างไม่ขาดปากจากพวกเราชาวค่าย
ซึ่งต่างประทับใจกับการล่ำลาเป็นครั้งสุดท้ายของหมู่บ้านบนยอดดอยแห่งนี้
“น้องปลายขึ้นรถได้แล้วค่ะ”
เสียงระฆังจากพี่อ้อมเป็นสัญญาณบอกเวลาที่ต้องจากลากันจริง ๆ
เขาปล่อยเด็กน้อยที่อุ้มอยู่ลงพื้น
ครั้งนี้น้องกานดาไม่อิดออดเหมือนจะเข้าใจดีแล้ว
เพียงแต่ยังคงดึงชายเสื้อเขาไว้
พลางเงยหน้าที่เริ่มนองด้วยน้ำตาขึ้นพูดเสียงสะอื้น
“ละ..แล้วกลับมาหาหนูอีกนะคะ พะ..พี่ปลาย”
คนถูกรั้งชะงักค้างกับถ้อยคำที่ได้ยิน
น้ำตาเริ่มคลอหน่วยไม่แพ้กัน
ต่อให้เป็นลูกผู้ชายมาเจอคำขอที่ใสซื่อบริสุทธิ์แบบนี้
ใครมันจะไปทนไหว...
“ครับ แล้วพี่จะกลับมานะ”
คนรับปากตัดใจเอ่ยคำลา
กลั้นน้ำตาของตัวเองไว้ ดึงมือเล็กออกจากตัว
ปล่อยให้น้องกลับไปหาพ่อแม่
แล้วเดินหันหลังขึ้นรถกลับไปยังที่นั่งโดยไม่พูดไม่จา
รถบัสมหาวิทยาลัยจึงค่อย ๆ เคลื่อนตัวออกจากโรงเรียน
ชาวค่ายโบกมือลาบุคคลที่มายืนรอส่ง
เขาหันมองภาพสุดท้ายของเด็กหญิงกานดา
ที่กลายมาเป็นจุดเล็ก ๆ ในสายตาจากนอกกระจกรถ
และแล้วไอ้ที่กลั้นไว้...
...มันก็ถึงจุดที่เกินจะอดทน
ปลายฟ้าปล่อยโฮออกมาทันที
ไม่สนแล้วตอนนี้ว่าใครจะมองตัวเองไม่แมน อ่อนแอ
ทำเป็นซึ้งกับเรื่องเล็กน้อยแค่นี่
แต่สำหรับผู้ชายบ่อน้ำตาตื้นอย่างเขา
แค่ดูหนังยังอินเก็บมาร้องไห้ได้
แล้วกับเรื่องคำลาของเด็กผู้หญิงที่ไร้เดียงสาแบบนี้
ไม่แปลกเลยที่เขาจะปวดใจจนไม่สามารถหยุดน้ำตาของตัวเอง
เขาชันเข่าขึ้นมาซบหน้าลงสะอื้นไห้อย่างไม่มีเสียง
คนอื่น ๆ ที่เหลือบนรถอาจไม่ทันสังเกตเห็น
แต่เพื่อน ๆ เภสัชซึ่งนั่งอยู่ในละแวกเดียวกันต่างรับรู้พฤติกรรมของคนอ่อนไหว
ไอ้เกมส์ตบบ่าคนร้องไห้เบา ๆ คล้ายปลอบใจ
ส่วนบอลล่าก็ยื่นยาเม็ดเล็กมาให้พร้อมกับขวดน้ำ
“พ่อเต่าน้อยกินยาแก้เมาก่อนเถอะนะ
เดี๋ยวลงเขาแล้วจะเมารถปวดหัวอีก”
คนร้องไห้ปาดน้ำตาพลางรับยาจากเพื่อนที่นั่งอยู่เบาะหน้า
ดีเหมือนกัน...
กินซะจะได้หลับ ๆ ไป
กว่าจะลงไปถึงในเมืองก็คงตื่นพอดี
หวังว่าตอนนั้นเขาคงจะทำใจได้บ้างแล้ว
ปลายฟ้าจึงจัดการหยิบยาใส่ปากก่อนกรอกน้ำตาม
นั่งเอนหลังหลับตาบนรถซึ่งโคลงเคลงไปมา
และเพียงไม่นาน....
คนที่โดนฤทธิ์ยาจึงค่อย ๆ เข้าสู่ห้วงนิทราผล่อยหลับไป...
.....
....
..
.
อุ่น...
ความรู้สึกแรกหลังจากที่นายปลายฟ้าตื่นคือความอุ่น
อุ่นสบายเหมือนมีอะไรมาห่มตัวเอาไว้
เขาค่อย ๆ ขยับกายก่อนเปิดเปลือกตามอง
เพื่อพบกับดวงตาคมของใครบางคนที่กำลังมองกลับมาอยู่เช่นกัน
“ขอโทษ ทำให้ตื่นเหรอ”
คนถูกทักส่ายหน้าขยี้ตาด้วยความงัวเงีย
ก้มลงมองร่างกายตัวเองที่เพิ่งถูกห่มคลุมด้วยผ้าห่มสีน้ำเงิน
ซึ่งดูเหมือนว่าเจ้าของจะไม่ใช่ใครอื่นนอกจากคนคนเดียวที่เหลืออยู่บนรถ
หือ?
...คนเดียวที่เหลืออยู่
นี่มัน คมสัน ประธานค่ายไม่ใช่เหรอ
อ้าว...แล้วทำไมมันถึงมานั่งอยู่ข้างเขาได้ล่ะ
ไอ้เพื่อนคนอื่นมันหายหัวไปไหนกันหมด
คนเพิ่งรู้สึกตัวเหลียวมองซ้ายขวาบนรถมหาวิทยาลัยที่ว่างเปล่า
ซึ่งจอดหยุดนิ่งสนิทอยู่ในสถานที่ไม่คุ้นจนเขาต้องหันมาถาม
“ที่นี่ที่ไหน”
“น้ำตก เราปล่อยให้ไปเดินเล่นซื้อของฝากชั่วโมงหนึ่ง”
อ้อ...เก็ตล่ะ
สงสัยพวกเพื่อนคงเห็นว่าเขาหลับอยู่เลยไม่อยากจะปลุกสินะ
แล้วนี่มันลงไปนานแค่ไหน เผื่อเขาจะได้ตามไปทัน
“เออ...แล้วปล่อยให้ลงไปตั้งแต่กี่โมง”
“สิบโมง”
ดวงตากลมก้มมองนาฬิกาจากมือถือของตัวเอง
อีกครึ่งชั่วโมงจะสิบเอ็ดโมง
นี่เขาหลับไปตั้งสามชั่วโมงกว่าเลยเหรอวะเนี่ย
สงสัยฤทธิ์ยาแก้เมาจะแรงจริง
หรือไม่ก็คงเป็นเพราะเขาเพลียจากการร้องไห้มากเกินไป
“ปลายจะลงไปมั้ย?”
คำถามที่ดังขึ้นจากร่างสูงทำให้คนฟังหยุดคิดอย่างลังเล
นั้นสิ...เอาไงดี
คือ...ใจมันอยากนะ
แต่เหมือนร่างกายเหมือนไม่พร้อม
มันยังมึน ๆ เพลียอยู่แปลก ๆ
ร้องไห้หนักขนาดนั้น
ป่านนี้สภาพเขาคงทุเรศน่าดู
ตาเตอไม่บวมไปหมดแล้วเหรอวะ
ขืนลงไปเดินเล่นคงจะเป็นที่แตกตื่นของชาวบ้านกันพอดี
อีกสักพักพวกมันก็คงจะขึ้นมาแล้ว
อยู่บนนี้อาจจะโอเคมากกว่าก็ได้
ปลายฟ้าจึงส่ายหน้าปฏิเสธ
แต่แล้วก็ต้องขมวดคิ้วย้อนถามอีกคนหนึ่งกลับ
“แล้วนายไม่ลงไปล่ะ”
“ลงไปแล้ว”
คมสันตอบสั้น ๆ หากแต่สิ่งที่คู่สนทนาไม่รู้
คือร่างสูงลงไปแค่สิบนาทีก็ต้องรีบกลับมาที่รถ
เพราะในใจมันรู้สึกไม่ดี เที่ยวไม่ค่อยสนุกพิกล
มัวแต่นึกกังวลถึงใครบางคนที่ปล่อยทิ้งไว้ในรถคนเดียวเพียงลำพัง
คนจิตอาสามองอีกฝ่ายที่นั่งเงียบ ๆ
ก่อนจะขยับตัวเดินไปด้านหลังรถ
เพื่อหยิบบางสิ่งมายื่นส่งให้คนที่เพิ่งตื่น
“หิวรึเปล่า กินข้าวโพดต้มมั้ย”
คำว่า ‘ข้าวโพดต้ม’ สะกิดให้ปลายฟ้าหันมอง
และทันใดนั้นความรู้สึกซึ่งเหมือนจะถูกลืมไปแล้ว
มันกลับตีตื้นขึ้นมาใหม่อีกครั้งจนร้อนผ่าวอยู่ในกระบอกตา
คนน้ำตาคลอรีบเบือนหน้าหนีไปทางกระจก
ไม่อยากให้อีกฝ่ายเห็นสภาพไม่ได้เรื่องของตัวเอง
นึกโทษความช่างอ่อนไหวบ้า ๆ ที่แก้ไม่หาย
มันน่าอายจะตาย เพราะนี่ไม่ใช่สิ่งที่ผู้ชายวัยยี่สิบควรทำ
ปลายฟ้าพยายามใช้มือขยี้ตากลบเกลื่อน
หวังให้คนมองไม่ติดใจสงสัย
ทว่าชั่วขณะที่กำลังเช็ดน้ำตาบนใบหน้า
ร่างของเขากลับถูกดึงเข้ามาปะทะบ่าของคนข้างตัวอย่างแรง
พร้อมกับได้ยินเสียงคำปลอบโยน
“ไม่ต้องร้องไห้หรอก เดี๋ยวเราค่อยกลับมาน้องเขาใหม่ก็ได้”
คนถูกกอดไม่ได้ตกใจกับการกระทำที่เพิ่งเกิดขึ้น
ทว่าสิ่งที่ทำให้เขานึกเจ็บ
คือคำปลอบซึ่งจี้ใจเต็ม ๆ
จนเขาต้องเงยหน้าขึ้นมาเถียงเสียงดังลั่น
“พูดบ้าอะไร!! คิดว่ามันกลับมาได้ง่าย ๆ เหรอ
นี่มันเลยนะไม่ใช่กรุงเทพ มันห่างกันตั้งกี่กิโล
แล้วเราจะกลับมาหาน้องเขาอีกได้ยังไง!!”
...ใช่ ที่เขาปวดใจจนร้องไห้ก็เพราะเรื่องนี้
แม้จะรับปากน้องกานดาไปแล้วว่าจะกลับมาหา
แต่รู้ทั้งรู้ว่ามันเป็นไปได้ยากเหลือเกิน
ทั้งระยะเวลา ทั้งการเดินทาง
มันดูคล้ายจะไม่มีโอกาสได้เจอกันในเร็ววัน
ถ้าอย่างนั้นอีกนานแค่ไหนถึงจะได้พบ
น้องกานดาไม่ลืมเขาไปหมดแล้วเหรอ
คมสันมองคนโวยวายในอ้อมแขน
ทว่าก็ยังคงพยายามหาคำปลอบ
“ถ้าปลายอยากมาเราจะพามาเอง”
ปีหน้าเรายื่นเรื่องจัดค่ายใหม่ที่นี่อีกก็ได้”
“หึ ตลก จะไปทำได้ไงล่ะ”
ปลายฟ้าส่งเสียงดูถูกในลำคอ
...มันพูดเหมือนง่ายเลย
จะมีใครอนุญาตให้ไปทำค่ายอาสาที่เดียวซ้ำ ๆ บ้าง
แต่คนโดนว่ากลับไม่ถอดใจซ้ำยังเอ่ยอธิบายร่ายยาว
“ได้สิ ปีหน้าเรากลับมาสร้างห้องน้ำให้น้องก็ได้
ยังเหลือห้องเรียน โรงอาหาร โรงพละ สนามฟุตบอล
ห้องโสต ห้องคอม ห้องแล๊ป ห้องประชุม
ยังมีอีกเยอะแยะที่เรายังไม่ได้ทำ”
...เดี๋ยวนะ
ไอ้ห้องน้ำ ห้องเรียนยังพอเข้าใจ
แต่ไอ้ห้องโสต ห้องแล๊ปมันจะมีไปทำไมวะ
นี่มันโรงเรียนบนดอยไม่ใช่มหาลัยเอกชน
แล้วดูมันดิ...
ทำหน้าซะจริงจังเลย
...นี่เอาจริงเหรอวะเนี่ย!?
“บ้าดิ ถ้าทำได้ขนาดนั้น เอางบมาสร้างให้ม.เราก่อนไม่ดีกว่าเหรอ”
เขาพูดกวนกลับ
เผลออมยิ้มไปกับความคิดพิสดารของประธานค่าย
แม้จะเป็นคำบอกบ้า ๆ บอ ๆ
แต่อย่างน้อยมันก็ทำให้เขารู้สึกสบายใจมากขึ้น
และคล้ายกับคู่สนทนาจะสังเกตเห็นได้
เพราะคมสันถอนหายใจเหมือนคนโล่งอก
“ดีแล้ว ยิ้มได้ซะที”
คำทักทำให้ปลายฟ้าชะงักราวกับเพิ่งรู้สึกตัว
จริงด้วย...
อยู่ดี ๆ น้ำตาก็หายไปตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้
ถึงจะฟังดูเหมือนคำปลอบที่ไม่ได้เรื่อง
แต่เขาเชื่อว่าคนคนนี้กำลังช่วยทำให้เขาสบายใจ
...อีกแล้วใช่มั้ย
เขาปล่อยให้มันมาช่วยอีกแล้ว
มันจะเป็นคนดีมีจิตอาสาไปถึงไหน
ทั้ง ๆ ที่ไม่จำเป็นต้องมาดูแลเขาถึงขนาดนี้ก็ได้แท้ ๆ
แต่ก็ยังอุตส่าห์มาคอยช่วยปลอบเขาให้รู้สึกดีขึ้น
“ขอบใจนะ”
นายปลายฟ้าเอ่ยคำขอบคุณ
ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นครั้งที่เท่าไรกับคนมีน้ำใจคนนี้
แต่คนฟังกลับส่ายหน้าปฏิเสธ
“ไม่เป็นไร เราเต็มใจทำ
ถ้าอยากขอบคุณเราก็ช่วยยิ้มบ่อย ๆ หน่อย
เราบอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าชอบปลายยิ้ม”
คำพูดแปลกๆ ที่ได้ยินทำเอาคนถูกขอต้องรีบเปลี่ยนความคิด
อ้าว...เมื่อกี๊เพิ่งชมมันไปแหม่บ ๆ
นี่มันดันแกล้งพูดแหย่เล่นซะอย่างนั้น
เขาขมวดคิ้วมุ่น หันไปถามคนที่เอ่ยปากชมอย่างไม่เข้าใจ
“เรายิ้มแล้วดีตรงไหน
เป็นผู้ชายมายิ้มให้กัน
มันไม่แปลกไปหน่อยเหรอ”
คมสันหยุดนิ่งไปเล็กน้อย
คล้ายกับกำลังใคร่ครวญพิจารณา
ก่อนจะเอ่ยคำตอบขึ้นมา
...และเป็นคำตอบที่นายปลายฟ้าได้แต่นิ่งอึ้ง
“เราไม่รู้ว่าแปลกมั้ย
เรารู้แค่ว่า...
เราชอบ...”
ห่ะ..
อะไรนะ..
ชะ...ชอบ
มันชอบอะไร...
...ชอบที่เขายิ้มเหรอ
เฮ้ย! บ้ารึเปล่าวะ!!
ตั้งแต่เกิดมายังไม่มีใครพูดแบบนี้เลย
มันต้องแกล้งพูดเล่นอีกแน่ ๆ
ใช่ ๆ นึกว่าเป็นคนดีที่ไหนได้
โห...ทำซะเนียนเลยนะ
อ้าว...แล้วอยู่ ๆ เขาจะเสือกหน้าร้อนขึ้นมาทำไม
ละ...แล้วตามัน
เฮ้ยยยย...ทำไมตามันถึงระยิบระยับขนาดนั้นวะ
เล่นมาจ้องกันไม่หยุดแบบนี้...
เขาก็...
ก็...
ขะ...เขินเป็นเหมือนกันนะโว้ยยยย!!
นายปลายฟ้าหน้าแดงซ่าน
เบือนหน้าหลบดวงตาคมรู้สึกทำตัวไม่ถูกขึ้นมาดื้อ ๆ
และก่อนที่ใครจะทันได้โต้ตอบอะไร
กลุ่มคนที่เดินขึ้นรถกลับดังขัดจังหวะ
โดยมีเสียงสาวกึ่งแมนนำขบวนมา
“พ่อเต่าน้อยตื่นรึยังจ๊ะ... อุ๊ย!
มาขัดจังหวะอะไรรึเปล่าคะเนี่ย”
บอลล่าอุทานเสียงหวานขึ้นมาทันที
เมื่อเห็นเพื่อนนั่งอยู่ในท่าแปลก ๆ เหมือนกอดกันกับใครคนหนึ่ง
ซึ่งร่างสูงก็รีบลุกขึ้นจากที่นั่งก่อนหันไปตอบเคลียร์ความเข้าใจผิด
“เราแค่เอาข้าวโพดมาให้ปลาย”
บอลล่าหลิ่วตาลงคล้ายไม่อยากเชื่อ
ก่อนจะจีบปากจีบคอส่งเสียงแซว
“แหม...ดูแลดีสมเป็นบัดเดอร์จริง ๆ
นี่กะทำจนจบค่ายเลยใช่มั้ยคะเนี่ย
ทีแกไม่เห็นทำแบบนี้บ้างเลยนะยะ ไอ้เกมส์”
ท้ายประโยคไม่ลืมหันไปกัดบัดเดอร์ตัวเองที่เดินตามมาข้างหลัง
จนไอ้เกมส์ได้แต่โอดครวญ
“โห... เจ๊ ใครมันจะไปคอยดูแลได้ตลอดขนาดนั้นวะ”
“แต่ผมจบค่ายไปแล้วก็ยังทำให้เกมส์ได้ต่อนะครับ”
เสียงปริศนาที่ดังขัดขึ้นมาทำเอาทุกคนหันไปมอง
ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากหนุ่มหล่อประจำค่าย
ที่พอไอ้เกมส์ได้ยินถึงกับสะดุ้งเฮือก
ยิ่งหันไปมองดิวซึ่งยิ้มหวานส่งกลับมา
คนมีปมอดีตในใจกับการถูกผู้ชายจีบ
จึงรีบเดินกลับมานั่งประจำที่ทันทีโดยไม่ปริปากพูดอะไรสักคำ
แถมยังดึงข้าวโพดจากต้มปลายฟ้าไปแทะกิน
กลบเกลื่อนการกระทำของตัวเองเพื่อเลี่ยงสถานการณ์
ท่ามกลางสายตามึนงงของคนในวงสนทนา
หากแต่ยังไม่ทันที่ใครจะถาม
ทุกคนก็ต้องแยกย้ายสลายตัวกลับไปนั่งประจำที่
เมื่อชาวค่ายคนอื่นทยอยตามมาขึ้นรถมาจนครบ
ก่อนเริ่มต้นออกเดินทางต่ออีกครั้งหนึ่ง....
.....
...
..
.
...ในที่สุด
หลังจากใช้เวลาอีกเกือบสิบชั่วโมง
รสบัสจึงได้เดินทางมาจนถึงมหาวิทยาลัย
แต่สำหรับพวกเขากลุ่มเด็กเภสัชจะกลับเลยยังไม่ได้
เพราะต้องทำหน้าที่ขนของไปเก็บในห้องภาคของคณะวิศวะก่อน
กว่าจะล่วงเลยเบ็ดเสร็จนาฬิกาก็บอกเวลาเกือบสี่ทุ่มพอดี
“ป่ะ กลับกันเถอว่ะ”
เกมส์สะพายกระเป๋าเป้พลางหันมาพูดกับปลายฟ้า
ซึ่งต้องซ้อนมอเตอร์ไซต์ไปด้วยกัน
เนื่องจากเขาสองคนแม้จะอยู่คนละห้องแต่ก็อยู่หอเดียวกัน
“กลับกันดี ๆ นะครับ”
ดิวร้องบอกพลางโบกมือลาส่งให้คนทั้งคู่
ไอ้เกมส์เบือนหน้าหนีรีบเดินไปสตาร์ทมอเตอร์ไซต์ทันที
ส่วนปลายฟ้าหันไปโบกมือลากลับ
ก่อนเผลอมองใครอีกคนที่ยังง่วงอยู่กับการเคลียร์ของเป็นครั้งสุดท้ายตามประสาประธานค่าย
...และทันใดนั้นคนแอบมองก็ต้องสะดุ้ง
เมื่อร่างสูงหันหน้ามากลับมาสบตาเข้าพอดี
ดวงตาของเขาประสานกับนัยน์ตาคมชั่วครู่
ก่อนตนเองจะรีบก้มหลบลงอย่างรวดเร็ว
...อ้าว แล้วแม่งเขาจะหลบทำไมวะ
มันยังไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย
แต่พอเห็นหน้ามันทีไร
ดันเผลอนึกถึงคำพูดบ้า ๆ นั่นขึ้นมาได้
“เราไม่รู้ว่าแปลกมั้ย
เรารู้แค่ว่า...
เราชอบ...”...ชอบเชิบอะไรกันวะ
พูดมาได้ไม่อายปากกับผู้ชายแท้ ๆ
มันต้องแปลกอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ
เออ... ใช่กับผู้ชายแท้ ๆ เหมือน ๆ กันมันต้องแปลก
ละ...แล้วนี่อยู่ ๆ หน้ามันดันร้อนขึ้นมาได้ไงวะ
เฮ้ยยย!! เขาจะเขินซ้ำซากอีกทำไมเนี่ย!!
...โว้ยย!! ไม่เอาเลิกคิด ช่างแม่งมันแล้ว!!
คนฟุ้งซ่านโวยวายกับตัวเองในใจ
รีบเดินไปซ้อนมอเตอร์ไซต์เพื่อนซี้
เพื่อตรงดิ่งกลับไปที่พักของตัวเอง
ทิ้งให้หนุ่มวิศวะสองคนมองขบวนรถที่แล่นจากไปในความมืด
“ไปค่ายครั้งนี้คุ้มวะ ได้อะไรกลับมาเยอะเลย มึงว่ามั้ย?”
หนุ่มหล่อพูดลอย ๆ ออกมาอย่างอารมณ์ดี
เมื่อเหลือแต่พวกเขาเพียงลำพัง
ซึ่งนายคมสันก็พยักหน้ารับคำ
ใช่...
...เขาได้อะไรกลับมาเยอะจริง ๆ
ร่างสูงนึกถึงใบหน้าของใครอีกคนแล้วก็ต้องเผลอยิ้มบาง
ก่อนมือใหญ่จะล็อคกุญแจห้องเก็บของ สำรวจเป็นครั้งสุดท้าย
แล้วจึงหันไปขึ้นมอเตอร์ไซต์ขี่กลับไปหอตัวเองบ้าง
...นับเป็นอันว่าค่ายวิศวะอาสาพัฒนาชนบทครั้งนี้จบลงอย่างสมบูรณ์
แต่ลึก ๆ แล้วสำหรับนายคมสัน
เขาเชื่อว่าเรื่องราวบางอย่างในความสัมพันธ์...
...มันเพิ่งกำลังจะเริ่มต้นขึ้น
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------
TBC
ขออภัยที่ห่างหาย ช่วงนี้ไม่สบายค่ะ เป็นหวัดเจ็บคอมีไข้ครบสูตร 
แถมพรุ่งนี้ต้องมีภารกิจไปกระบี่
คงจะไม่สามารถมาต่อเรื่องได้อีกประมาณหนึ่งอาทิตย์ 
ยังไงก็ช่วยรอน้องเต่าปลายอีกนิด
(ความจริงคนอ่านเขาก็รอมานานแล้วย่ะ
กว่าความสัมพันธ์จะเริ่มเป็นรูปเป็นร่างได้
แม่ปาเข้าไป 16 ตอนแล้ว ชิชะ!) 
อร๊ายยย!! ต้องขอโต๊ดจริง ๆ ค่า 
มันเป็นคอนเซปต์ของเรื่อง (เหรอยะ?)
ยังไงช่วงนี้ก็อย่าลืมรักษาสุขภาพกันด้วยนะคะ
แล้วเจอกันอาทิตย์หน้านะจ๊ะ จุ๊บ ๆ

ด้วยรักและห่วงใยBitterSweet