ซีรีย์หวานอมขม : ภาค ยอดสะเดา กับ ข้าวโพดต้ม
ต้นที่ 20
ร้อน...
...สิ่งเดียวที่ปลายฟ้ารู้สึกได้อย่างชัดเจนคือความร้อน
ความร้อนซึ่งแล่นริ้วขึ้นมาบนใบหน้าของตนเอง
จนกลัวว่าเลือดมันจะไปเลี้ยงส่วนอื่นไม่ทัน
โดยเฉพาะ ‘สมอง’ ที่คล้ายกับหยุดทำงานไปชั่วขณะ
จนหลงเหลือเพียงข้อความจากปากของใครบางคน
ให้ดังก้องซ้ำ ๆ อยู่อย่างนั้น...
“เราขออยู่อย่างนี้อีกสักพักได้มั้ย
อย่าเพิ่งหนีเราไปเลยนะ
เราอยากเห็นปลายใกล้ ๆ
ปลายหันมามองหน้าเราบ้างก็ได้
เวลาเห็นต้นสะเดาจะได้นึกหน้าเราออก
หรือไม่ปลายก็จำเผื่อไว้ใช้....
...ตอนที่ปลายคิดถึงเรา
...เหมือนที่เราคิดถึงปลาย”
มะ...หมายความว่ายังไง
...เมื่อกี๊เขาได้ยินว่าใครคิดถึงใครนะ
ใช่คมคิดถึงเขารึเปล่า
ละ...แล้วมาพูดแบบนี้จะให้เขาตอบว่าอะไร
หากแต่ชั่วขณะที่กำลังสับสน
ปลายฟ้ากลับรับรู้ถึงแรงบีบเบา ๆ จากมือใหญ่ซึ่งกอบกุมมือเขาไว้
แม้จะไม่สามารถหาเหตุผลมาอธิบาย
ทว่าน่าแปลกที่การกระทำนั้นกลับมีอานุภาพมากพอ
ให้เขาเผลอเงยหน้าขึ้นตามคำสั่ง
สบดวงตาคมซึ่งทอดมองมาอย่างมีความหมาย
และนั้นถึงทำให้ปลายฟ้ารู้สึกตัวว่าเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดมหันต์
เพราะจากเดิมที่หน้าร้อนอยู่แล้ว...
...ตอนนี้หัวใจของเขามันเต้นดังรัวเป็นกลองจนแทบทะลุ
...เฮ้ยยย!! บ้าไปแล้วเหรอวะ!!
เขาจะมาใจเต้นทำไมกับคำพูดของผู้ชายคนหนึ่ง
ใช่...อย่าลืมสิว่าเขาเป็นผู้ชาย แล้วคมมันก็เป็นผู้ชาย
...มันก็แค่แค่ผู้ชายสองคนที่อยู่ใกล้กัน
...จับมือกัน
...สบตากันเท่านั้นเอง
ไม่มีอะไรแปลกสักหน่อย...
ไม่เลย...
แต่ไม่รู้ทำไม...
...เขาถึงไม่อาจถอนสายตาจากดวงตาคมนั้นได้
ราวกับถูกสะกดเอาไว้ด้วยความรู้สึกบางอย่าง...
...ความรู้สึกที่เขาไม่อาจอธิบาย
...ความรู้สึกที่คล้ายช่วงเวลารอบตัวถูกหยุดหมุน
....ความรู้สึกสั่นไหวราวกับมีผีเสื้อมากมายบินวนอยู่ในท้อง
จนทำให้เขา...
...โครกกกกก!!
เสียงปริศนาจากกระเพาะที่โอดครวญส่งสัญญาณเตือนโดยไม่ต้องมีใครถาม
ดึงบรรยากาศแปลก ๆ ให้กลับเข้าสู่โลกของความจริง
ปลายฟ้ารีบกระเด้งตัวดึงมือพลางลุกขึ้นหนีออกห่าง
ใบหน้าที่เคยแดงอยู่แล้วจึงยิ่งเพิ่มปริมาณมากเข้าไปอีก
จนทำให้เขานึกกร่นด่าตัวเองอยู่ในใจ
....แม่งไอ้กระเพาะไม่รักดี!!
เข้าใจอยู่หรอกว่าหิว เพราะตอนนี้มันบ่ายสองกว่าแล้ว
ข้าวรวมมิตรที่กินตั้งแต่สิบโมงเช้าคงย่อยไม่มีเหลือ
แต่ที่เขาไม่เข้าใจคือทำไมมันถึงต้องมาส่งเสียงร้องกันต่อหน้าชาวบ้านด้วย
แถมเล่นซะดังจนคนหิวเองหน้าแดงเพราะความอาย
โอยยย...แล้วนี้เขาจะอายมาราธอนอะไรกันนักหนา
...มันเป็นวันนางอายแห่งชาติรึไงกันโว้ยยย!!
“งั้นลงไปกินข้าวกันมั้ย”
คนหงุดหงิดรีบหันไปมองร่างสูง
ซึ่งเดินตามกลับเข้ามาทำตัวเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ก่อนก้าวไปใส่รองเท้ายืนรออยู่หน้าประตูห้อง
เขาจึงพยายามรวบรวมสติตัวเองให้กลับเข้าที่เข้าทาง
สลัดความคิดฟุ้งซ่านในหัวออกมาล็อคประตูห้องเรียบร้อย
แล้วตามมาขึ้นมอเตอร์ไซต์บิ๊กไบค์สีขาวคันเดิม
โดยไม่มีปากเสียงใด ๆ หลุดออกมาสักคำ
ปล่อยให้คมสันพาลัดเลาะผ่านไปตามถนนด้วยความเร็ว
ก่อนบิ๊กไบค์คันงามจะหยุดลงตรงหน้าร้านกาแฟแห่งหนึ่ง
ปลายฟ้าก้าวตามอีกฝ่ายที่ผลักเปิดประตูกระจกนำ
ทันทีที่เหยียบย่างเข้าไปในร้าน
ไออากาศจากเครื่องปรับอากาศเย็นฉ่ำก็ปะทะสู่ผิว
จนทำให้ความความกังวลใจก่อนหน้าคลายลงบ้าง
...เออ...ดีเหมือนกัน
ตอนบ่ายแบบนี้ข้างนอกร้อนจะตาย
มานั่งตากแอร์เย็น ๆ จะได้สบายอารมณ์หน่อย
แถมร้านกาแฟนี้ยังขายอาหารประเภทจานเดียวด้วย
รสชาติใช้ได้เพราะเขาเคยมากินกับกลุ่มเพื่อนตัวเองบ่อย ๆ
เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในร้านประจำร้านโปรดที่อยู่ไม่ไกลจากมหาลัย
แล้วพวกพี่เจ้าของร้านก็อัธยาศัยดี
บางทีเลยนั่งดื่มกาแฟกินขนมเมาส์กันเพลินไปสามสี่ชั่วโมง
ที่สำคัญคือร้านนี้เวลาจะสั่งอาหารก็แค่เดินไปบอกที่เคาท์เตอร์
ไม่ต้องมีใครมายืนรอกดดันจดเมนูเหมือนร้านอื่น ๆ
เลยทำให้คนช่างเลือกอย่างนายปลายฟ้า
สามารถใช้เวลาขบคิดได้ตามสะดวกนานเท่าที่ต้องการ
ทว่าต่อให้คิดนานเท่าไร...
เหตุไฉนเขาถึงมาเลือกเอาเมนูสิ้นคิด
เป็นกระเพราไก่ไข่ดาวเหมือนคนที่มาด้วยกันไปซะได้เนี่ย!!
คนสองคนนั่งรออาหารที่สั่งด้วยบรรยากาศเงียบเฉียบ
ไร้ซึ่งบทสนทนาใด ๆ เหมือนอย่างเคย
ปกติก็ไม่รู้จะคุยอะไรกันดีอยู่แล้ว
ยิ่งเพิ่งผ่านพ้นสถานการณ์แปลก ๆ ตอนอยู่บนห้อง
เลยยิ่งไม่รู้จะพูดยังไงเข้าไปอีก
ปลายฟ้าจึงได้แต่หยิบซัมซุงกาแล็กซีของตัวเองมาเล่นเกมส์กลบเกลื่อน
รู้อยู่หรอกว่ามันค่อนข้างเสียมารยาทต่อคนที่นั่งด้วยกัน
แต่ตอนนี้ถ้าให้เขาเงยหน้าขึ้นไปมองตาคม ๆ คู่นั้น
บอกตามตรงว่าคงทำไม่ไหวจริง ๆ
...ไม่รู้เป็นเพราะอะไร
ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้ยังมองตอบตรง ๆ ได้ไม่มีปัญหา
...แต่หลังจากนั้น
พอเผลอมองกลับไปทีไร...
...หัวใจมันดันสั่นแปลก ๆ ขึ้นมาทุกที
เพียงไม่นานกระเพราะไก่ไข่ดาวสองจานก็ถูกนำมาเสิร์ฟ
ปลายฟ้าเก็บมือถือมองจานอาหารบนโต๊ะ
ซึ่งส่งกลิ่นหอมฉุยกระตุ้นความหิว
...โห ...สีใช้ได้น่าอร่อยดีว่ะ
ไข่ดาวแบบไม่สุกอย่างที่เขาชอบด้วย
แต่เดี๋ยว...แล้วทำไมไข่ดาวของเขามันเล็กจังวะ
พี่แม่ครัวใช้ไข่ไก่มาตรฐานเดียวกันรึเปล่าครับ
ไหงจานของเขามันถึงดูไม่สมดุลเหมือนลูกเมียน้อยอย่างนี้อ่ะ
และดูเหมือนอาการน้อยเนื้อต่ำใจจะปรากฏออกมาชัด
จนทำให้คมสันสังเกตเห็นแล้วนึกขำอยู่ในใจ
กับพฤติกรรมน่ารักของคนที่จ้องจานกระเพราไม่วางตา
เลยอดไม่ได้ที่จะเป็นฝ่ายเอ่ยถามขึ้นมาสั้น ๆ
“แลกกับเรามั้ย”
ปลายฟ้าสะดุ้งเพิ่งรู้สึกตัวว่าดันเผลอแสดงออกทางสีหน้ามากเกิน
เขาจึงรีบส่ายหัวพูดปฏิเสธเสียงตะกุกตะกัก
“มะ..ไม่เป็นไรเรากินได้”
แต่ร่างสูงกลับไม่ยอมปล่อย
ซ้ำยังถามย้ำยื่นข้อเสนอสุดแสนน่าสนใจ
“งั้นเราให้ปลายเลือกก่อนว่าจะเอาจานไหน”
คนฟังหูผึงรีบเงยหน้ามองอย่างไม่เชื่อ
...เฮ้ยยย...เอาจริงดิ!
นี่มันจะให้เขาเลือกก่อนเหรอ
แบบนี้ใคร ๆ มันก็ต้องเลือกไอ้จานที่มีไข่ดาวใบใหญ่กว่าอยู่แล้ว
แต่ถ้าเลือกไปเดี๋ยวมันจะหาว่าเห็นแก่กินอีก
แสดงออกชัดว่าตะกละขนาดนั้นได้อายตายชัก
แค่นี้ก็ไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนแล้ว
อีกอย่างวันนี้มันก็มาช่วยทำอะไรให้เขาตั้งเยอะ
เขาก็ควรจะมีน้ำใจตอบแทนไปบ้าง
ถึงใจอยากกินไข่ดาวใบใหญ่กว่า
ทว่าท้ายที่สุดเขาก็เอื้อมมือมาดึงจานที่มีปริมาณน้อยเลื่อนไว้หน้าตัวเอง
หากแต่ยังไม่ทันได้หยิบช้อนกลับมีเสียงดังขึ้นขัด
“เดี๋ยว ตาเราเลือกบ้าง”
ปลายฟ้าชะงักค้างไปทันที
เมื่ออีกฝ่ายยกจานที่อยู่ตรงหน้าเขาดึงให้ไปเป็นของตัวเอง
แล้วสลับจานที่มีไข่ดาวใบใหญ่มาไว้แทน
พร้อมกับพูดคำตอบยิ้ม ๆ
“เราเอาจานนี้”
อ้าว...ทะ...ทำไมล่ะ
...ทำไมมันเลือกจานนั้น
ทั้ง ๆ ที่เขาอุตส่าห์ตัดใจไม่กินแล้ว
อย่างนี้มันจะปล่อยให้เขาเลือกไปเพื่ออะไร
หรือจริงๆ มันตั้งใจจะแกล้งเขาตั้งแต่แรก
คนที่ยังไม่เข้าใจถึงสาเหตุเลยอดไม่ได้ที่จะร้องโวยวาย
“เอาจานนั้นไปได้ไงอ่ะ ขี้โกงนี่”
“ไม่ได้ขี้โกงแค่อยากลองเลือกเหมือนปลายบ้าง”
“แล้วทำไมถึงเลือกจานที่น้อยไปล่ะ”
“ถ้างั้นปลายทำไมถึงเลือกจานนี้”
คำถามย้อนกลับส่งผลให้คนฟังแทบไปต่อไม่ถูก
นั้นสิ...มันเปิดโอกาสให้เลือกแล้วแท้ ๆ
เขาก็ยังเลือกจานที่น้อยไปแทน
แต่จะให้มาอธิบายเหตุผลกันตอนนี้มันก็ดูยุ่งยากเข้าไปอีก
ปลายฟ้าจึงตัดสินใจตอบคำถามไปส่ง ๆ
“ก็...ก็...เราพอใจ”
คมสันยิ้มบาง ๆ เมื่อได้ยิน
แล้วจึงตอบกลับไปด้วยประโยคเดียว
“เราก็พอใจเหมือนกัน”
...แค่คำสั้น ๆ ง่าย ๆ
แต่ไม่รู้ทำไมกลับส่งผลให้หน้าของเขาแดงขึ้นมาอีกครั้ง
หรือที่หน้าแดงเพราะเขารู้...
...รู้อยู่แล้วว่ามันทำเพราะอะไร
คมไม่ได้แกล้งหรอก
แต่เพราะ ‘ความใจดี’ ของมันต่างหาก
คมคงเห็นว่าเขาอยากกินจานนี้เลยถามขึ้นมาแบบนั้น
แม้มันจะเป็นแค่เรื่องเล็กน้อย...
...แต่เขาก็ยังสัมผัสได้ถึงความใส่ใจที่คนตรงหน้าทำให้กัน
และนั้นอาจเป็นเหตุผลที่เขาทำตัวไม่ถูก
จึงได้แต่ก้มลงไปจดจ่ออยู่กับจานข้าว
ทว่ายังไม่ทันจะได้ลงมือกิน
เสียงจากหน้าประตูร้านกาแฟกลับดังขัด
ก่อนร่างบางสุดสวยแสนคุ้นตาจะย่างกรายเข้ามา
พร้อมกับเสียงทักหวานกึ่งแมนอันเป็นเอกลักษณ์
“อุ๊ยต๊ายยย!! นึกว่าใครเห็นหน้าคุ้น ๆ
ที่แท้พ่อเต่าน้อยกับคุณประธานค่ายคมนี่เอง
แหม...แอบมาเดทกันสองคนไม่บอกเลยนะ”
คำแซวจากบอลล่าทำให้ปลายฟ้าถึงกับสะดุ้ง
รีบแย้งอธิบายขึ้นมาจนลิ้นแทบพัน
“ดะ..เดทที่ไหนเราแค่มาพาคมมาเลี้ยงบัดดี้”
“เอ๊าะหรอออ”
กระนั้นอีกฝ่ายก็ยังทำเสียงสูงคล้ายไม่อยากเชื่อ
จนคนที่เห็นท่าไม่ดีจึงจำต้องรีบหาหัวข้อเปลี่ยนประเด็น
“แล้วไหนบอกว่าวันนี้นัดทำรายงานที่ห้องสมุดไม่ใช่เหรอ
ทำไมถึงมาที่นี่ล่ะ”
และดูเหมือนคำถามจะได้ผลไม่น้อย
เมื่อเพื่อนสาวคนงามทำเสียงขึ้นจมูกแบบนึกเซ็ง
ก่อนจะพยักเพยิดไปที่ร่างของใครบางคนซึ่งยืนอยู่ตรงเคาท์เตอร์
“หึ ก็ไอ้เกมส์นะซี่อยู่ดี ๆ มันดันวอนซ์คาปูชิโน่
บอกว่าถ้าไม่ได้กินมันจะลงแดงตาย
ในม.มีก็ไม่ซื้อ ต้องเจาะจงมากินร้านนี้
แต่ชั้นว่ามันอยากหาเรื่องอู้มากกว่า”
ท้ายประโยคบอลล่าเปลี่ยนเป็นเสียงกระซิบ
เพราะคนถูกนินทากำลังเดินถือแก้วเข้ามาใกล้
พร้อมเอ่ยคำทักทายเมื่อเห็นคนคุ้นเคย
“อ้าว...ไอ้ปลาย มาด้วยเหรอวะ
...ดีคม ขอนั่งด้วยดิ”
ไม่พูดเปล่ามันดันลากเก้าอี้มานั่งกันดื้อ ๆ
โดยไม่ต้องรอฟังคำอนุญาต
จนบอลล่าต้องเอ่ยปากไล่แทน
“วุ๊ยยย!! เขาจะนั่งกันสองคน
แกไปเป็นกขคงจทำไม!!
ไปนั่งกับชั้นทางโน้นไป๊”
“ไม่เป็นไรนั่งด้วยกันก็ได้”
คมสันบอกอีกฝ่ายง่าย ๆ
ไอ้เกมส์เลยหันมายักคิ้วกวนใส่บอลล่าเหมือนคนถือชัย
แล้วจึงหันมาถามเพื่อนตัวเองพลางดูดกาแฟไปพลาง
“แล้ววันนี้แค่มานัดกินข้าวเฉย ๆ เหรอ”
“เปล่า เจอกันตั้งแต่เช้าแล้ว เพิ่งไปดูหนังกัน
แล้วก็แวะไปซื้อต้นไม้ให้ปลายไปปลูกที่ระเบียงห้อง”
คำพูดที่ได้ยินจากปากของหนุ่มวิศวะ
ทำเอาคนถามแทบสำลักคาปูชิโน่
โห...นี่ไอ้ปลายไปสนิทกับคมกันตอนไหนวะ
ปกติมันหวงห้องตัวเองจะตาย
กว่าเขากับบอลล่าจะเข้าไปได้ต้องคบกันมาเป็นปี
แต่นี่มันดันปล่อยให้คมขึ้นห้องง่ายๆ
แถมยังชวนไปดูหนังกันสองคนอีก
...มันชักยังไง ๆ อยู่นะ
เกมส์หันไปหาปลายฟ้า
ซึ่งอีกฝ่ายกลับดันหลบตาไม่ยอมมองซะอย่างนั้น
ยิ่งแสดงให้เห็นอาการผิดปกติเข้าไปใหญ่
จนบอลล่าต้องแซวเล่นขึ้นมาอีกเป็นรอบที่สอง
“แหม...น่าอิจฉาเนอะ
เห็นแล้วก็ชั้นอยากมีคนมาชวนกินข้าวสองคนบ้าง
อ้าว...แล้วนี่รออะไรไม่กินกันล่ะ”
ท้ายประโยคเปลี่ยนเป็นคำถาม
เมื่อเจ้าตัวสังเกตเห็นอาหารที่วางรออยู่บนโต๊ะจนเย็น
“อ้อ...กำลังจะกิน เมื่อกี๊รอปลายเลือกข้าวอยู่”
คำตอบจากคมทำเอาคนฟังถึงกับเบิกตาโต
ร้องอุทานเสียงดังอย่างตกใจ
“ห่ะอะไรนะ!! กินข้าวกระเพราเหมือนกันยังต้องเลือกอีกหรอ
โอยย...ตายๆๆ อะไรจะเต่าสมชื่อขนาดนั้นนน ช้าเกินไปมั้ยพ่อเต่าน้อย”
เจ้าของฉายารีบเงยหน้าขึ้นมาทันควัน
อ้าว...อุตส่าห์นั่งเงียบ ๆ แล้วมาโบ้ยได้ยังไงวะ
เรื่องอื่นนะพอทนได้
แต่เรื่องโดนหาว่าชักช้าเนี่ย
ยังไงก็ไม่ยอมง่าย ๆ หรอก
คนแก้ตัวจึงอดไม่ได้ที่จะเถียงกลับ
“ก็บอกว่าไม่ได้ช้า เขาเรียกว่ากำลังพิจารณาเลือกให้ดีที่สุดต่างหาก”
“นั้นแหละย่ะ ก็ยังถือว่าช้ากว่าชาวบ้าอยู่ดี
นี่ถามจริง...ถ้าเกิดไปรักใครชอบใครขึ้นมาจะเลือกนานขนาดนี้รึเปล่า”
คำถามผ่าทะลุกลางป้องส่งผลให้วงสนทนาแทบจะเงียบกริบ
ปลายฟ้าอึกอักหัวสมองวนคิดถึงประโยคที่ได้ยินอย่างมึนงง
อะ...อะไรวะ ทำไมบอลล่ามาถามแปลก ๆ
ถ้าจะรักใครสักคนมันก็ต้องเลือกให้ดีอยู่แล้ว
สมัยนี้คนเรามองกันที่ภายนอกไม่ได้
ต้องอาศัยเวลาศึกษาดูใจกันด้วย
ไม่ใช่ปุ๊บปั๊บก็จะมาคบกันได้เลยเสียหน่อย
“จะรักใครมันก็ต้องเลือกดิ
จะมาคบไปส่ง ๆ ได้ยังไง
ขืนอยู่ด้วยกันคงอึดอัดตาย”
เขาอธิบายออกไปตามที่คิด
เห็นไอ้เกมส์พยักหน้าหงึกหงักก่อนพูดทวนคำเพื่อความเข้าใจ
“สรุปว่าถ้าไม่เจอคนที่ดีที่สุดมึงก็จะไม่รักเขา”
ถ้อยคำตรงประเด็นถึงกับทำให้ปลายฟ้าสะอึก
...จริงเหรอ
เขาคิดอย่างนั้นเหรอ
...จะว่าไปมันอาจจะใช่ก็ได้
เพราะที่ผ่านมาเขาไม่เคยพยายามคิดอยากจะมีแฟน
เอาแต่อ้างกับตัวเองตลอดว่าเขายังหาใครคนนั้นไม่เจอ
คนที่พอดีกับตัวเอง อยู่ด้วยแล้วมีความสุข
...คนที่สามารถทำให้หัวใจหวั่นไหวได้ง่ายดาย
และไม่รู้ด้วยสาเหตุอะไร
ถึงทำให้เขาเผลอมองไปยังคนที่ยังนิ่งเงียบอยู่ตรงข้าม
สบดวงตาคมซึ่งจ้องมองมาคล้ายรอคำตอบ
และเป็นอีกครั้งที่ปลายฟ้าต้องเป็นฝ่ายหลบตาลง
ก่อนเอ่ยประโยคยืนยันเสียงเบาราวคำกระซิบ...
“อืม ถ้าคนนั้นไม่ดีที่สุด ยังไงเขาก็คงไม่ใช่สำหรับเรา”
คมสันนิ่งงันไปทันทีเมื่อฟังได้ยินคำตอบจากใครบางคน
...ไม่รู้เลยว่าปลายคิดแบบนี้
เขาลืมไปได้ยังไงว่าปลายต้องเลือกสิ่งที่ดีที่สุดอยู่แล้ว
เพราะปลายเคยบอกเหตุผลให้ฟังว่าตัวเองเคยเฉียดตายมา
เลยอยากจะขอใช้เวลาเลือกให้แน่ใจ
เพื่อจะได้ไม่ต้องมาเสียดายทีหลัง
....เขาเองก็เข้าใจ
ที่ผ่านมาเลยพยายามทำตัวไม่ให้ปลายอึดอัด
แต่ก็มีบางครั้งที่เผลอดุ เผลอตัดสินใจเลือกแทนปลาย
วันนี้ก็ดันบังคับให้ปลายซื้อต้นสะเดาที่ไม่อยากได้
พาไปกินข้าวดูหนังโดยไม่ถามปลายสักคำ
...ปลายจะรำคาญเข้ามั้ย
...เขาจะทำให้ปลายลำบากใจรึเปล่า
แล้วที่สำคัญ...
ถ้าเขาไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับปลายล่ะ
ต่อให้พยายามมากแค่ไหนถ้าปลายไม่เปิดใจ
...ยังไงปลายก็คงไม่เลือกเขา
วงสนทนาคล้ายหยุดนิ่งไปชั่วครู่
หากแต่ยังไม่มีใครเริ่มต้นประเด็นใหม่
กลับมีเสียงหนึ่งดังแทรกขึ้นมาขัดจังหวะ
“คุยอะไรกันอยู่ครับ”
ทุกคนที่นั่งอยู่หันไปมองแขกผู้มาเยือน
ก่อนบอลล่าจะกรีดร้องตื้นเต้น
เมื่อเห็นว่าคนทักคือใคร
“ว๊ายย!! ดิว มาได้ไงคะเนี่ย”
“พอดีผมเห็นมอเตอร์ไซต์ไอ้คมจอดอยู่เลยแวะเข้ามาหา
แต่ไม่คิดว่าจะเจอคนอยู่กันเยอะขนาดนี้”
คำตอบที่ได้ยินไม่น่าแปลกเท่าไร
เพราะมอเตอร์ไซต์ของคมเล่นเด่นซะขนาดนั้น
ใครเห็นก็คงจำได้ติดตาง่าย ๆ
แต่ท้ายประโยคหนุ่มหล่อกลับโปรยยิ้ม
แล้วหันไปมองใครคนหนึ่งเป็นพิเศษ
ทำเอาคนถูกจ้องเผลอสะดุ้งเฮือก
“ไอ้ปลายกูกลับก่อนนะ”
คนที่ตั้งท่าจะหนีตามเสต็ปเดิม
รีบลุกพรวดคว้าหยิบแก้วคาปูชิโน่
ก่อนเดินลิ่วตรงไปหน้าประตู
โดยไม่ฟังเสียงของบอลล่าซึ่งค้านอย่างงงๆ
“อะไรกันยะไอ้เกมส์จะรีบไปไหน
นี่เพิ่งนั่งก้นชั้นยังไม่ทันเย็นเลย
อ้าว...ฟังชั้นมั้ยเนี่ย
ว๊ายยย!! เดี๋ยวรอก่อนสิยะ ไอ้เกมมม!!”
คนถูกทิ้งตะโกนไล่หลังพลางรีบลุกวิ่งตามเพื่อน
ซึ่งออกไปนอกร้านเรียบร้อยแล้ว
ท่ามกลางสายตามึนงงของคนทั้งโต๊ะ
ยกเว้นดิวที่ยกยิ้มมุมปากเหมือนเห็นเป็นเรื่องสนุก
ก่อนจะหันมาเอ่ยลากับปลายฟ้าสั้น ๆ
“งั้นผมไม่อยู่กวนแล้วกันนะครับ”
จบคำ หนุ่มหล่อก็เดินหายออกไปนอกร้านเช่นเดียวกัน
ปล่อยให้ปลายฟ้ากับคมสันไว้เพียงลำพังสองคน
พวกเขาจึงกลับไปสู่สภาวะเดิม นั่งกินข้าวเงียบ ๆ จนหมด
กระทั่งเรียบร้อยจึงลุกขึ้นเตรียมไปจานเงินที่เคาท์เตอร์
คมสันทำท่าจะควักกระเป๋าขึ้นมาจ่ายเงินค่าอาหารทั้งหมด
แต่ปลายฟ้ายืนกรานหนักแน่นว่าจะออกเอง
ความจริงเขาอยากจะเลี้ยงคมคืนด้วยซ้ำ
ไหนจะค่าข้าวเมื่อเช้า แล้วยังจะค่าหนังอีก
สรุปต่างคนจึงต่างออกเป็นอันหาข้อยุติ
กว่าจะเดินมานอกร้านนาฬิกาก็บอกเวลาสี่โมงเย็นแล้ว
แต่เป็นสี่โมงเย็นที่ท้องฟ้าเต็มไปด้วยเมฆครึ้ม
บ่งบอกสัญญาณว่าอีกไม่นานฝนคงจะตก
พวกเขากำลังจะเดินไปขึ้นบิ๊กไบค์
ทว่า ๆ อยู่ ๆ ร่างสูงกลับเป็นฝ่ายหันมาพูดกับคนที่เดินตามหลัง
“เดี๋ยวมานะ”
ยังไม่ทันได้ถามอะไรคมสันกลับวิ่งข้ามไปยังถนนอีกฝั่ง
ดวงตากลมไล่มองด้วยความมึนงง
ก่อนจะเข้าใจเมื่อเห็นรถมอเตอร์ไซต์คันหนึ่งจอดอยู่อีกฝั่ง
โดยมีน้องนักศึกษาผู้หญิงท่าทางลำบากใจกำลังก้ม ๆ เงย ๆ อยู่ตรงล้อ
ซึ่งดูเหมือนมันจะแบนรั่วจนติดพื้นถนน
ปลายฟ้าได้แต่ยืนมองคมที่เข้าไปสอบถาม
เห็นมันกดโทรศัพท์คุยหาใครสักคน
เดาเอาว่าน่าจะเป็นช่างซ่อมปะยางล้อรถ
...เป็นอีกครั้งแล้วที่เขาเห็นความใจดีของมัน
ที่ผ่านมาทุกครั้ง พอเขากำลังเดือดร้อน
ก็มักจะได้คมเนี่ยแหละเป็นคนช่วย
ถึงไอ้การช่วยเหลือของคมจะไม่เคยถามความเห็นก่อน
แต่เขารู้ว่าอีกฝ่ายทำด้วยความเต็มใจ
...แล้วครั้งนี้ที่คมมากับเขา
มาเลี้ยงข้าว เลี้ยงหนัง มาทำดีด้วยหลาย ๆ อย่าง
มันจะเป็นเพราะแค่ความใจดีเหมือนกันกับทุกคนรึเปล่า
...ความใจดีที่ทำให้เขาเผลอพึ่งพาคมไปโดยไม่รู้ตัว
ปลายฟ้ายืนรอคมอยู่สักพักจากอีกฝากของถนน
จนเห็นว่ามีรถมอเตอร์ไซต์ของร้านซ่อมปะยาง
แล่นมาจอดเทียบแล้วดูยางรถของน้องผู้หญิง
ซึ่งยกมือไหว้ขอบคุณคนจิตอาสาที่มีน้ำใจมาช่วย
ก่อนร่างสูงจะวิ่งข้ามกลับมายังร้านกาแฟพร้อมคำอธิบาย
“ขอโทษที รอนานมั้ย พอดีเราเห็นรถน้องเขายางรั่วเลยเรียกช่างซ่อมให้แล้ว”
“ไม่เป็นไร”
“งั้นปลายอยากไปไหนต่อรึเปล่า เดี๋ยวเราไปกินไอติมกันมั้ย”
คมเอ่ยชวนขึ้นมาง่าย ๆ
โดยไม่รู้เลยว่าคำถามที่แสดงความใส่ใจนี้
มันกลับยิ่งส่งผลกระทบต่อใจของปลายฟ้ามากขึ้น
...นี่มันยังชวนเขาไปไหนอีกเหรอ
วันนี้พาตระเวนไปทั่วทั้ง ๆ ที่ตั้งใจแค่มาเลี้ยงบัดดี้เฉย ๆ
เขาต่างหากที่ต้องเป็นคนตามใจคม
ไม่ใช่ให้คมมาตามใจเขาอยู่ฝ่ายเดียวแบบนี้
“พอแล้ว วันหลังไม่ต้องมาทำแบบนี้กับเราก็ได้”
คำปฏิเสธหนักแน่นทำให้ร่างสูงต้องขมวดคิ้วหันกลับไปมอง
พลางถามย้ำอย่างไม่เข้าใจ
“ทำไมล่ะ”
“คือเราเกรงใจ”
“ไม่ต้องเกรงใจหรอก เราเคยบอกแล้วไงว่าเต็มใจทำให้ปลาย”
“แต่เราไม่ชอบ!”
บทสนทนานิ่งเงียบไปทันทีเมื่อจบคำ
คมสันชะงักงันหัวสมองหมุนวนกลับไปยังข้อความนั้นซ้ำ ๆ
...ข้อความซึ่งกลัวที่สุดว่าสิ่งที่คิดไว้จะเป็นจริง
“เราทำให้ปลายรำคาญเหรอ”
คำถามเบา ๆ สะกิดให้ปลายฟ้ารู้สึกตัว
และนั่นจึงทำให้เขาเพิ่งนึกได้ว่าดันเผลอพูดอะไรออกมา
“เฮ้ยย....มะ..ไม่...
...คะ..คือ...เราหมายถึง...”
“ขอโทษ วันหลังเราจะไม่มายุ่งอีก”
คำแก้ตัวตะกุกตะกักของคนชักช้า
กลับถูกขัดด้วยประโยคที่ชิงพูดจากอีกฝ่าย
ก่อนร่างสูงจะหมุนกายหันหลังขึ้นมอเตอร์ไซต์บิ๊กไบค์
“กลับเถอะเดี๋ยวไปส่งที่หอ”
ปลายฟ้ามองอีกคนที่ตัดบทสนทนาง่ายๆ
นึกลังเลใจแต่ท้ายที่สุดก็พาตัวเองขึ้นซ้อนท้าย
ปล่อยให้คมพากลับมาถึงหอ
พอเขาก้าวลงจากรถเรียบร้อย
อีกฝ่ายก็ขี่เลยไปโดยไม่มีแม้กระทั้งคำเอ่ยลา
....โกรธ
คมโกรธแน่ ๆ แบบนี้
แต่จะให้ทำยังไงก็เขาไม่ได้ตั้งใจจะหมายความว่าอย่างนั้น
ที่บอกว่าไม่ชอบ...
มันหมายถึงเขาไม่ชอบพึ่งพาความใจดีของคม
แค่กลัวมันจะเดือดร้อนที่เขาเอาแต่ทำตามใจเท่านั้นเอง
แต่ในเมื่อเจ้าตัวไม่อยู่ให้อธิบายแล้วจึงป่วยการที่จะไปทำอะไร
ปลายฟ้าจึงเดินกลับเข้ามาในห้องทิ้งตัวลงนอนบนเตียงอย่างหมดแรง
อยากจะนอนหลับสักตื่นเพื่อลืมความสับสนบ้า ๆ ในหัวสมอง
...แล้วนี่เสียงหนวกหูอะไรกันวะ
คนจะหลับจะนอนสักหน่อยทำเสียงดังอยู่ได้
อ้อ...เสียงฝนตก
จริงสิ...เมื่อกี๊เห็นเมฆครึ้ม ๆ คงจะตกอีกนานเลย
โชคดีที่วันนี้เขาไม่ได้ตากผ้าไว้ตรงระเบียง
เลยไม่ต้องมากังวลว่าจะโดนฝนสาด
ฝนสาดตรงระเบียง...
เฮ้ย...แล้วต้นสะเดาล่ะ!!
คนนึกได้จึงรีบกระเด้งตัวจากที่นอนเดินไปเลื่อนประตูออก
สำรวจต้นไม้ซึ่งเพิ่งได้มาสด ๆ ร้อน ๆ
แล้วก็ต้องถอนหายใจอย่างโล่งอก
เมื่อเห็นว่าต้นสะเดาไม่ได้ได้รับอันตรายจากลมฝนใด ๆ
ปลายฟ้าจิ้มใบเล็ก ๆ สีเขียวของมันเล่นเบา ๆ
เหม่อมองต้นไม้ในกระถางที่ได้มาโดยไม่ตั้งใจ
เผลอนึกถึงคำพูดของใครบางคนที่บังคับให้ซื้อมา
“...ถ้าปลายเห็นสะเดาแล้วจะได้นึกถึงหน้าเราไง”
...มันรู้ได้ยังไงนะว่าเขาจะนึกถึง
รู้ได้ยังไงว่าตอนนี้เขาอยากเจอ
...อยากขอโทษ
...อยากจะขอโอกาสอธิบาย
ทว่าสิ่งที่ทำได้ในตอนนี้...
กลับมีเพียงแค่ภาพใบหน้าของใครบางคนวนเวียนซ้ำ ๆ
...และนี่อาจเป็นหนึ่งในไม่ีกี่ครั้งที่ปลายฟ้านึกโทษความชักช้าของตัวเอง
ความชักช้าที่ทำให้เกิดความกังวลสับสนลึก ๆ ภายใน
...ซึ่งแม้แต่เขาเองก็ยังไม่อาจเข้าใจมันได้เลย
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------
TBC