ซีรีย์หวานอมขม : ภาค จูปาจุ๊บ กับ ซิกาแร๊ต
แท่งพิเศษ 2แกงฮังเล แกงโฮ๊ะ แกงแค ลาบคั่ว ผักกาดจอ
ไส้อั่ว น้ำพริกอ่อง แคบหมู ปิดท้ายด้วยข้าวนึ่งร้อน ๆ
อาหารมาตรฐานของคนเหนือที่นายซีเกมส์กินมาแต่ละอ่อน
ถึงอย่างนั้นก็ยังน้ำลายหกทุกครั้งเมื่อเห็นกับข้าววางอยู่บนโต๊ะละลานตา
ยิ่งได้ยอดฝีมือจากคุณนายสายสมรคุณแม่บังเกิดเกล้าที่นาน ๆ จะเข้าครัวมาจัดให้ชุดใหญ่
ก็การันตีรสชาติได้เลยว่าอาหารมื้อนี้เป็นลาภปากของไอ้เกมส์ยิ่งนัก
ยกเว้นเพียงแต่มีมารผจญมาบดบังบุญของเขาเพียงคนเดียว...
“ดิว กิ๋นข้าวแลงเยอะ ๆ เน้อลูก แม่ยะสุดฝีมือ ลำขนาดบ่ต้องห่วง”
แม่ครัวใหญ่ตักไส้อั่วแฮนด์เมดทำเองร้อน ๆ มาวางบนจานของหนุ่มหล่อ
ซึ่งระบายยิ้มก่อนเอ่ยขอบคุณอย่างเกรงใจ
“แค่มองก็รู้แล้วครับว่าต้องอร่อย
อยู่ที่กรุงเทพผมหาอาหารเหนือทานยากมากเลยครับ
เพราะทานที่ไหนก็ไม่ติดใจเท่าฝีมือคุณแม่ทำ”
โอยยย...หวานเว้ย! หวานนนน!!
กับข้าวเมืองเหนือส่วนใหญ่รสเค็ม ๆ แต่ทำไมวันนี้มันถึงหวานได้วะ
ยิ่งมองคนถูกชมหัวเราะดีใจคิกคักก็ยิ่งหงุดหงิด
ทั้งพ่อเองก็ร่วมผสมโรงคุยกันหน้าชื่นตาบาน
ดีที่ไม่มีไอ้กาวน์มาด้วยกันอีกคนเพราะมันยังอยู่หอพักมหาลัย
ไม่งั้นบ้านนี้คงลืมไปแล้วมั้งว่ามีลูกชายชื่อ ‘ซีเกมส์’ นั่งหัวโด่อยู่ตรงนี้
แล้วไอ้แขกไม่ได้รับเชิญนี่ก็ทำเนียนเลยนะ กินไปชมไปไม่หยุด
นี่ตกลงกินข้าวเย็นธรรมดาหรือจะมาออกรายการดาราชวนชิมกันแน่ครับ
...แม่งเห็นแล้วหมั่นไส้โว้ยยย!!
คนถูกทิ้งให้อยู่นอกวงสนทนากระแทกกระติ๊บข้าวเหนียวเปิดออกระบายอารมณ์
ลงกับใครไม่ได้ก็ลงกระเพาะตัวเองเนี่ยแหละ
มือหนึ่งถือผักอีกมือหยิบข้าวเหนียวจิ้มน้ำพริกกินแกล้มไป
ทำเป็นเมินไม่สนใจประโยคบทสนทนาที่กำลังเปลี่ยนเรื่อง
หากแต่ถ้อยคำจากคนเป็นแม่กลับทำให้สะดุด
“ดิวจำที่แม่ขอวันเกิดดิวได้ก้อ? นี่แม่ไป๋ดูดวงมาฮื้อแล้วเน้อ”
...เอาแล้วไง เทพธิดาพญากรณ์เริ่มทำงานแล้ว
นี่ดูให้ญาติพี่น้องไม่พอ ลามเลยไปดูดวงให้ดิวด้วยเหรอเนี่ย
เกมส์รีบกลืนข้าวเหนียวลงคอ พยายามเอ่ยคัดค้าน
เพราะกับคนในครอบครัวไม่ใช่เรื่องแปลก
แต่กับคนอื่นเดี๋ยวเขาจะหาว่าฟุ้งซ่านเอาได้ง่าย ๆ
“แม่บ่ต้องอู้หรอกเจ้า ดิวเปิ้ลบ่เจื่อเรื่องจะอี้”
“เงียบไป๋เกมส์! ดวงก็บ่ไจ้ดวงเกมส์
เฮื้องนี้สำคัญ ยังไงก็ต้องอู้ฮื้อดิวฟัง”
...อ้าว โดนดุอีก
ใช่ซี๊...เขาเป็นหมาหัวเน่าแล้วนี่
พอคุณนายมีลูกรักเป็นดาราหล่อเขาก็ถูกเขี่ยทิ้งทันที
ได้ใหม่แล้วลืมเก่าแบบนี้ อยู่เงียบ ๆ เหมือนเดิมก็ได้ว่ะ
เกมส์จึงหันไปหยิบแก้วยกน้ำดื่มล้างปาก
เตรียมลุยระบายอารมณ์กับของกินอีกรอบ
ปล่อยบทสนทนาของอีกคนซึ่งเอ่ยถามลอยผ่านหู
“แล้วหมอเขาว่ายังไงบ้างครับ”
“หมอเปิ้ลตั๊กว่า ปลายปีนี้ดิวจะได้แต่งงานกั๊บคนตี๊ดิวฮัก”
พรวดดดด!!!น้ำดื่มพุ่งย้อนศรทันทีที่จบประโยค
เกมส์ไอค่อกแค่กจนตัวโยน
ลำบากดิวซึ่งนั่งข้าง ๆ ต้องยกมือลูกหลังคนสำลักน้ำ
โดยมีเสียงบ่นของคุณนายสายสมรเป็นแบล็กกราวด์
“เกมส์ยะอะหยัง ทำตัวบ่สุภาพเลย
กิ๋นช้า ๆ บ่ต้องรีบ กับข้าวปะเลอะปะเต๋อ”
คนโดนดุหอบหายใจเหนื่อย
หลังจากเริ่มสงบลงจากอาการไอ
แต่ไอ้ที่เขาสำลักน่ะไม่ใช่เพราะว่าตะกละสักหน่อย
“บ่ไจ้เฮื้องนั่นเจ้า เกมส์บอกฮื้อแม่ฟังแล้วว่าบ่ต้องเจื้อดวง
หมอเปิ้ลตั๊กอะหยังบ่แม่น ฟังไป๋บะเดี๋ยวเก็บไป๋คิ๊ดหนัก”
“แต๊ก๊ะ? เกมส์ฮู้ได้จะใดว่าหมอตั๊กบ่แม่น
แม่ดูเปิ้ลมาหลายปี เปิ้ลอู้จะใดบ่มีพลาด
ดิวก็ฟังฮื้อไว้เน้อ หมอเปิ้ลตั๊กว่าปลายปีจะมีฤกษ์
แล้วนี่ดิวมีคนตี๊ฮักแล้วไจ้ก้อ?”
ท้ายประโยคเจ้าตัวหันไปถามร่างสูง
ซึ่งอีกฝ่ายก็เพียงแค่แย้มยิ้ม
แอบสบตามาหาคนข้างตัวก่อนตอบสั้น ๆ
“มีแล้วครับ”
“เห็นก้อ ถ้ามีแล้วก็แสดงว่าหมอเปิ้ลแม่นแต๊
เกมส์บ่ต้องเถียง ไว้ดิวแต่งเมื่อใดก็จะฮู้เอง”
...เออ...ไม่เถียงก็ได้ครับ
แต่แม่จะรู้มั้ยว่าเผลอ ๆ แม่อาจมีงานแต่งเข้าบ้านปลายปีนี้เหมือนกัน
ก็ไอ้คนที่ดิวบอกรักได้ทุกวี่ทุกวัน
มันก็คือคนเดียวกับลูกชายแม่ที่นั่งเงียบอยู่ตรงนี้ไงคร้าบบ!!
ละ...แล้วนี่ดิวมันจะส่งสายตาวิวับมาทำไมบ่อย ๆ ว่ะ
จะกินก็กินไปสิ เขาไม่ใช่น้ำพริกนะเว้ยมามองไปแล้วกินแกล้มคู่กับผักเนี่ย
มองไม่พอแถมยิ้มอีกต่างหาก แม่ใส่ยาอะไรลงไปในแกงฮังเลหรือเปล่า
เพราะมือเขาชักจะสั่น ๆ คล้ายโดนวางยาเหมือนกัน
...ไม่เอาแล้ว เลิกกินก็ได้วะ
ก่อนที่เขาจะหมดแรงลุกไม่ขึ้นไปมากกว่านี้
คนอิ่มกะทันหันคว้าจานจากเตรียมลุกออกจากโต๊ะ
ทว่าเสียงดุ ๆ ของคุณนายแม่กลับเรียกให้หยุดเท้าลงทันควัน
“จะไป๋ไหนเกมส์ กิ๋นนิดเดียว อิ่มแล้วก๋า?”
“เออ...เกมส์...เกมส์ไดเอทอยู่เจ้า”
หาเหตุผลส่ง ๆ ตอบเพียงแค่นั้นแล้ววิ่งฉิวหันหลังไปทันที
ทิ้งให้คนมองต้องส่ายศีรษะอย่างระอากับความเสียมารยาท
“บ่ไหวจริง ๆ ฮูกคนนี้ ตามใจ๋จนเคยตั๋ว ดิวบ่ต้องถือสาเน้อลูก”
“ครับ คุณแม่”
ร่างสูงตอบกลับอย่างไม่คิดมาก
เพราะเขาชินแล้วกับการที่เกมส์ชอบหนีเขาไปอยู่เรื่อย
และวิธีแก้ปัญหาง่าย ๆ คือแค่วิ่งตามเกมส์เท่านั้น
...จริงอยู่ที่เขาปล่อยให้เกมส์เป็นฝ่ายเข้ามาใกล้ด้วยตัวเอง
แต่บางครั้งต้องยอมรับว่าจะการยืนรออยู่เฉย ๆ อย่างเดียวมันเสียเวลา
ดังนั้น ถ้าไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็ต้องเอาด้วยกลเข้าแลก
เดี๋ยวจะไม่ทันแต่งกับคนที่รักตอนปลายปีเหมือนหมอทัก
เลยต้องเตรียมแผนการไว้รอรับแต่เนิ่น ๆ ซะก่อน
คนเจ้าเล่ห์ยิ้มละไมก่อนหันไปสนใจกับอาหารเมืองเหนือต่อ
ทว่าภายในหัวกลับครุ่นคิดคำนึงถึงใครบางคนอยู่ตลอดเวลา
....
..
.
ห้าทุ่มครึ่ง
เกมส์เดินออกมาจากห้องน้ำหลังเพิ่งขุดตัวเองออกจากกองหนังสือการ์ตูน
แล้วไปอาบน้ำชำระความเน่ามาหมาด ๆ
รู้สึกว่ากระเพาะชักเริ่มร้องครวญครางอยู่หน่อย ๆ
เพราะมื้อเย็นดันกินไปนิดเดียว
ความจริงเขาไม่น่าชิ่งหนีมาเลย แต่จะให้ไม่หนีได้ยังไง
ก็เพราะสายตาของอีกคนมันทำให้เขาต้องแพ้ทางทุกที
...ไม่ใช่รู้สึกกลัว
แต่เป็นอาการแปลก ๆ ที่บอกไม่ได้ว่าเกิดจากอะไร
รู้แค่เพียงเขาคงไม่สามารถทนอยู่ใกล้ดิวได้นาน
เลยต้องตัดสินใจเป็นฝ่ายออกห่าง
แล้วขังตัวเองอยู่ในห้องเพื่อเลี่ยงการเผชิญหน้า
กระนั้นเสียงท้องซึ่งร้องประท้วงก็ไม่ยอมหยุดง่าย ๆ
ถึงจะพยายามหลบเท่าไร ทว่าสุดท้ายก็ต้องจำใจโผล่หัวออกมาจากในห้อง
เขาเมียงมองสำรวจให้แน่ใจว่าไม่มีใครมาเผ่นพล่าน
ก่อนจะเดินฝ่าความมืดออกมาทางห้องครัว ลงมือเปิดตู้เย็น คุ้ยหาอะไรกินแก้หิว
...โห...พอดีเลย มีไส้กรอกซีพีกับนมอีกกล่องหนึ่ง
เวฟไส้กรอกกินไปก่อนคงพอยังชีพได้
นี่ถ้าไม่เกรงใจกะต้มมาม่าไปแล้ว
เอ๊ะ...หรือจะจัดมาม่าคัพดีว่ะ เสียบปลั๊กน้ำร้อนก็ใช้ได้เลย
แล้วถ้วยมาม่ามันอยู่ไหนนะ...
“เกมส์ครับ”
“เฮ้ย!”
เสียงทักทำเอาคนเปิดตู้หาของกินถึงกับสะดุ้งเฮือก
รีบหมุนตัวกลับมามองคนเรียก
ก่อนถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อพบว่าเป็นคนคุ้นเคย
“มาเงียบ ๆ ตกใจหมด เออ...ละ...แล้วทำไมยังไม่นอนอีกล่ะ”
ท้ายประโยคเสียงเริ่มแกว่ง
เพราะพอหายตกใจถึงได้รู้ชัดว่า
ตอนนี้เขากำลังประจันหน้ากับที่พยายามหนีมาทั้งวัน
หากอีกคนกลับตอบคำมาด้วยน้ำเสียงติดจะล้า ๆ
“พอดีผมนอนไม่ค่อยหลับน่ะครับ ปวดหัวนิดหน่อย”
“อ้าว แล้วเป็นอะไรมากมั้ย?”
เกมส์เปลี่ยนอาการประหม่าเป็นเสียงถามด้วยความห่วง
...ยังไงเขาก็ไม่ลืมว่าดิวเป็นแขก
และเจ้าของบ้านอย่างเขาต้องมีหน้าที่ดูแลให้ดี
ซึ่งร่างสูงก็สันนิษฐานอาการตัวเองไปอย่างง่าย ๆ
“คงเหนื่อยล่ะมั้งครับ ช่วงนี้งานเยอะ แต่เดี๋ยวก็หาย”
ถ้อยคำพูดคล้ายบ่งบอกว่าเจ้าตัวไม่เป็นไร
แต่จิตวิญญาณคนเรียนเภสัชพอฟังแล้วกลับรู้สึกพลุ่งพล่าน
เขาจะให้ทิ้งคนไข้แบบนี้ไว้ได้ยังไง
“งั้นเอาพาราสักเม็ดมั้ย อยู่ในห้องเรา เดี๋ยวไปหยิบมาให้”
“ได้ก็ดีครับ ขอบคุณครับเกมส์”
เมื่อคนไข้ต้องการ เขาเลยต้องวางมือจากการหาของกิน
ด้วยอุดมการณ์มุ่งมั่นว่าการรักษาคนป่วยย่อมมาก่อน
เกมส์จึงเดินกลับห้องตัวเองโดยมีใครอีกคนตามหลังมาด้วย
เขาเปิดประตูเข้าไปภายในห้องเรียบ ๆ
ซึ่งมุมหนึ่งอุทิศให้เป็นชั้นหนังสือการ์ตูน
ที่เหลือก็เป็นโต๊ะ ตู้ เตียง ห้องน้ำในตัว
ส่วนยาพาราเขาเก็บรวมไว้กับกล่องยาสามัญในเก๊ะข้างหัวเตียง
“อ่ะ...เจอแล้ว ดิวกินสักสองเม็ดล่ะกันจะได้หาย”
เขายื่นแผงยามาให้อีกฝ่าย
หากทว่าเจ้าตัวกลับส่ายหน้าปฏิเสธ
“ผมว่ากินแล้วคงไม่หายหรอกครับ”
เกมส์ขมวดคิ้วงงในคำตอบ
...ไหนว่าปวดหัวไง แล้วทำไมถึงกันแล้วไม่หาย
หรือว่าดิวไม่ถูกกับยาประเภทนี้
“ทำไมล่ะ หรือว่าดิวแพ้ยาเหรอ”
ความสงสัยในใจถูกกลั่นเป็นคำถาม
หากดิวกลับแย้มรอยยิ้มบาง
“เปล่าครับ เพราะผมว่าทำแบบนี้น่าจะหายมากกว่า”
จบคำ เจ้าตัวก็ดึงมือคนเผลอรวบไว้โดยไม่ทันตั้งตัว
แรงนั้นรั่งร่างให้ปะทะกับอกกว้างแล้วใช้แขนโอบเขาไว้
จนกลายเป็นว่าตอนนี้เขาตกอยู่ในอ้อมกอดดิวอย่างสมบูรณ์
...เฮ้ย! ได้ไงว่ะ เล่นทีเผลอแบบนี้
แสดงว่าที่ปวดหัวก็พูดโกหกอีกแล้วน่ะสิ
เขาลืมไปได้ยังไงนะว่าดิวมันเป็นคนเจ้าเล่ห์ชอบหลอกลวงอยู่เรื่อย
แต่เขาก็ยังเผลอตกลงไปในหลุมพรางนั่นทุกที
คนติดกับจึงพยายามดิ้นตะกุกตะกักปากก็ร้องโวยวายเสียงดัง
“ปล่อยนะโว้ยยย! ที่บอกปวดหัวโกหกใช่มั้ย
เราก็อุตส่าห์เป็นห่วง ไม่ต้องมายุ่งกับเราเลยนะเว้ย!!”
“ชู่ว...เกมส์เบา ๆ หน่อยสิครับ เดี๋ยวก็ตื่นกันทั้งบ้านหรอก
ผมไม่โกหกเกมส์นะ ผมเหนื่อยจริง ๆ
พอกอดเกมส์แล้วใจผมมันสงบ เหมือนมันได้พัก
...นะครับเกมส์ ขอผมขอกอดแค่แป๊บเดียวเองนะครับ”
ดิวเอ่ยปรามพร้อมเอ่ยด้วยน้ำเสียงวอนขอ
ดวงตาที่สบมองมามีแววจริงจังไม่ได้ล้อเล่น
มันเป็นแววตาเดียวกับทุกครั้งที่ดิวพยายามขอให้เชื่อใจ
และเขาก็มักเผลออ่อนไหวกับท่าทางแบบนี้
คนดิ้นจึงหยุดนิ่งตามคำสั่ง ยืนเงียบ ๆ ปล่อยให้ดิวกอดเอาไว้
...อยู่ตรงนี้
มันใกล้จนได้ยินเสียงหัวใจเต้นเป็นจังหวะ
เขาไม่รู้ว่าตัวเองยอมขยับมาใกล้ดิวมากขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไร
ทั้ง ๆ ที่เวลามีผู้ชายคนอื่นมาทำรุ่มร่ามก็มักจะต้องกลัวจนตัวสั่นทุกครั้ง
แต่กับดิวมันแตกต่าง...
เขาไม่ลืมว่าดิวเป็นผู้ชาย และเขาเองก็เป็นผู้ชาย
หากมีบางสิ่งที่ทำให้เขายอมก้าวข้าม
เพื่อเดินไปหาคนที่อดทนรอเขาอยู่อย่างมั่นคง
...บางสิ่งที่เรียกร้องให้เขาทำตามจากเสียงหัวใจ
โดยปราศจากความกลัวและความลังเลใด ๆ
...บางสิ่งที่ทำเขาค้นพบช้า ๆ ว่าการยอมเปิดใจได้ใกล้กับใครสักคน
มันอบอุ่นกว่าอยู่คนเดียวลำพังมากเพียงไร
...และบางที สิ่งนั้น อาจมีความหมายเดียวกันกับคำว่า
...รัก...
เกมส์เงยหน้าขึ้นมองคนสำคัญ
สบดวงตาซึ่งทอดมองกลับอย่างลึกซึ้งสื่อความหมาย
รับรู้ถึงไออุ่นจากมือที่ประคองใบหน้าเขาไว้
และลมหายใจแผ่วเบายามเมื่ออีกฝ่ายโน้มลงมาชิดใกล้
ริมฝีปากนุ่มแตะสัมผัสกันและกัน
รสสัมผัสนุ่มนวล...หอมหวาน...
ยากจะต้านทานให้ลิ้มชิมรสซ้ำเรื่อย ๆ
กระทั่งเปลี่ยนเป็นความร้อนแรงดื่มด่ำลึกล้ำ
ปล่อยร่างให้เอนกายลงบนเตียงโดยไม่รู้ตัว
ฝ่ามืออุ่นร้อนสอดสัมผัสเข้ามาในเสื้อยืด
ปะป่ายเนื้อตัวจนเผลอเคลิบเคลิ้ม
หัวสมองของเกมส์มึนงงด้วยความสับสน
รู้สึกถึงอุณหภูมิในร่างกายที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ
เขาสูดหายใจเมื่อละจากริมฝีปากซึ่งชิมรสจูบไม่ห่าง
ก่อนละเรื่อยคลอเคลียกระซิบคำแผ่วเบาข้างใบหู
“เกมส์ครับ ผมขอนะครับ”
...อือ...ขอ...ดิวขออะไร
แล้วทำไมเขาถึงรู้สึกแปลก ๆ
เหมือนเหตุการณ์แบบนี้มันเคยเกิดขึ้นมาก่อน
...เหตุการณ์ที่เคยมีคนมาจูบสัมผัสเขาไปทั่วร่างกายจนไม่มีแรง
ความทรงจำส่วนลึกสะกิดเตือนให้แล่นสะท้อนขึ้นมา
จิตใต้สำนึกเริ่มปลุกความหวาดกลัวให้เข้าครอบงำสติ
ร่างกายเริ่มสั่นสะท้านอย่างควบคุมไม่อยู่
จากอาการยินยอมเริ่มเปลี่ยนเป็นแรงต่อต้าน
และถูกเอ่ยออกมาเป็นน้ำเสียงกระท่อนกระแท่น
“อืม...มะ..ไม่เอา...อย่า...กลัว...เรากลัว”
ดิวหยุดริมฝีปากซึ่งคลอเคลียลงทันที
รีบเงยหน้ามองคนที่พยายามยกมือขึ้นกันเขาไว้
ทั้งน้ำเสียงและแววตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัวอย่างเห็นได้ชัด
จนต้องสบถด่าความวู่วามของตัวเองในใจ
...นี่เขาทำบ้าอะไรลงไป
ลืมได้ยังไงว่าเกมส์เคยมีประสบการณ์เลวร้ายกับเรื่องแบบนี้
แล้วเขายังจะใจร้อน ไม่คิดถึงความรู้สึกเกมส์ให้ดี
มัวแต่เผลอไปกับความหลงใหล
แค่เพียงเห็นผิวขาว ๆ เนียน ๆ ของเกมส์ที่โผล่พ้นเสื้อยืดกับกางเกงบอล
มันอาจดูธรรมดาในสายตาคนอื่น
ทว่าสำหรับเขากลับมองว่ามันน่ารักเย้ายวนจนห้ามตัวเองไม่อยู่
ยิ่งเกมส์ยอมใจอ่อนให้เขากอด ยอมให้เขาจูบเก็บเกี่ยวความหอมหวานก็ยิ่งเตลิดไปไกล
ทั้ง ๆ ที่เขาควรจะคิดได้ว่า
เกมส์ไม่เหมือนผู้หญิงทั่ว ๆ ไปที่เคยผ่านมือเข้ามา
และเขาควรจะทะนุถนอมเกมส์ให้มากที่สุด
แต่นี่เขากลับทำลายมันเพราะความเห็นแก่ตัวของตัวเอง
“ขอโทษนะครับเกมส์ ผมขอโทษจริง ๆ ครับ”
ดิวรีบดึงเกมส์เข้ามากอดไว้ด้วยความสำนึกผิด
ร่างกายของคนสั่นจึงค่อย ๆ คลายหวาดกลัวลงทีละน้อย
พร้อมกับสติที่เริ่มกลับคืนมาจนสามารถเรียบเรียงสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
และนั่นถึงทำให้เกมส์เพิ่งรู้ว่าเผลอแสดงอาการอะไรออกไป
เพราะนิสัยที่แก้ยังไงก็แก้ไม่หายของตัวเองแท้ ๆ
บรรยากาศดี ๆ เลยต้องกลายมาเป็นแบบนี้
“ดิว เราขอโทษนะ”
“ขอโทษผมทำไม ผมต่างหากที่ต้องพูดเพราะผมทำให้เกมส์...กลัว”
น้ำเสียงท้ายประโยคอ่อนลง
อย่างที่เกมส์สัมผัสได้ว่าคนพูดเอ่ยออกมาด้วยความกังวลใจ
...ที่เขาขอโทษเพราะเขาเป็นผู้ชายเหมือนกัน
เรื่องพวกนี้ให้มาหยุดกลางคันมันอาจทำให้อีกฝ่ายรู้สึกแย่
แต่ดิวกลับยอมปล่อยเขาง่าย ๆ ซ้ำยังมากอดปลอบเขาไว้
และไม่แน่ว่าดิวอาจกำลังโทษตัวเองที่เป็นสาเหตุทำให้เขากลัว
ซึ่งความจริงแล้ว มันตรงกันข้าม...
เกมส์เงยหน้าสบตามองกับคนชิดใกล้
กลั่นกรองความรู้สึกส่วนลึกในใจเป็นคำตอบให้กับดิว
“เราไม่ได้กลัวดิวหรอก เราแค่กลัวใจเราเอง
แต่ดิวเคยบอกว่าจะช่วยรักษาเราให้หายกลัวใช่มั้ย
ดิวต้องสัญญานะว่าดิวจะช่วยเราจริง ๆ
เพราะเรายกมันให้ดิวแค่คนเดียว ไม่ให้คนอื่นแล้ว
ดิวต้องทำให้เราหายกลัวได้ด้วยตัวดิวนะ”
คำขอร้องที่ทำให้คนฟังต้องนิ่งอึ้งอย่างไม่อยากเชื่อ
เพราะข้อความเหล่านั้นมันคล้ายกับประโยคสารภาพของเกมส์ที่เขาเฝ้ารอ
....ยกใจให้เขารักษาแค่คนเดียว ไม่ให้คนอื่น
เพียงแค่นี้ก็กลับทำให้หัวใจพองโตอย่างที่ไม่เคยเป็น
แม้มันไม่ใช่คำหวานว่า ‘รัก’
แต่ความหมายทั้งหมดสื่อความคล้ายการยืนยันว่า
มีเขาเพียงคนเดียวเท่านั้นที่มีสิทธิ์ได้ครอบครองหัวใจของเกมส์
“ครับ ผมสัญญา”
ดิวรวบร่างมากอดไว้แนบอกด้วยความยินดี
...ในเมื่อสัญญาไว้แล้วว่าจะรักษา
เขาก็จะไม่ใช่ใช้เล่ห์อุบายใด ๆ เพื่อให้ได้เกมส์มาครอบครองเร็ว ๆ
แต่จะค่อยๆ ใช่ความจริงใจพิสูจน์ให้เกมส์เห็นไปเรื่อย ๆ
สามปีแค่นี้ไม่นานไปหรอก ต่อให้ทั้งชีวิตเขาก็รอเกมส์ได้
...เขาจะรักษาให้เกมส์หายกลัว
...และรอวันที่เกมส์พร้อมยอมรับเขาจากใจจริง ๆ
....
...
.
“เดินทางระวังเน้อดิว ว่างเมื่อใดปิ๊กมาหาแม่บ้างเน้อลูก”
“ครับ เดี๋ยวเร็ว ๆ นี้ผมมาให้คุณแม่ใหม่แน่ ๆ ครับ”
ดิวยกมือไหว้เตรียมลาเจ้าของบ้านใจดีซึ่งเดินมาส่งที่รถ
ในยามเช้าที่เขาต้องบินตรงกลับกรุงเทพ
โดยมีใครอีกคนทำหน้าบูดยืนยกลังส้ม
ซึ่งถูกคุณนายสายสมรบังคับเอามาเป็นของฝาก
มองไปแล้วก็นึกขำให้เขาเผลอคิดถึงเรื่องเมื่อคืน
...พอปลอบเกมส์เขาก็ขอตัวกลับห้อง
แม้ใจอยากจะนอนกอดเกมส์จนถึงเช้า
แต่ก็ไม่ลืมว่ายังมีคนอื่นอยู่ในบ้าน
เกิดใครมาเห็นเขาสองคนแบบนี้จะไม่ดี
กระนั้นถึงจะกลับไปนอนห้องแล้ว
เขาก็ยังคงไม่วายนอนคิดถึงหน้าเกมส์ขึ้นมาจนแทบนอนไม่หลับ
เพราะมัวแต่ยิ้มกับความน่ารักและดีใจกับความสัมพันธ์ที่พัฒนาไปอีกขั้น
พอคุณนายสายสมรล่ำลาเสร็จเรียบร้อย
ก็ขอตัวไปจัดการธุระวุ่นวายของไร่ส้มต่อ
โดยไม่สนใจเกมส์ที่ยกลังส้มไปใส่ท้ายรถ
เหมือนลืมว่าหลังจากนี้ลูกตัวเองก็ต้องกลับไปทำงานเหมือนกัน
...ทีคนอื่นเป็นห่วงเป็นใย แต่พอทีลูกแท้ ๆ กลับทำเมินเสียอย่างนั้น
มันน่าน้อยใจแบบนี้จะไม่ให้เขาหงุดหงิดได้ยังไง
เกมส์แทบจะกระแทกกระโปรงรถปิดระบายอารมณ์
กำลังจะเดินกลับไปขึ้นรถตัวเองที่จอดอีกทางบ้าง
แต่เสียงของอีกคนกลับรั้งไว้
“เดี๋ยวก่อนครับเกมส์ อาทิตย์หน้าพอมีวันหยุดว่างสักสองวันมั้ยครับ”
...วันหยุด จริง ๆ ร้านขายยาเขาบริหารงานเองคนเดียว
อยากหยุดเมื่อไรก็หยุดได้อยู่แล้ว ไม่มีปัญหาอะไรหรอก
“อืม ก็หยุดได้นะ ทำไมเหรอ”
บอกไปตามความคิดกระนั้นก็ยังอดไม่ได้ที่จะสงสัย
และคำตอบของคู่สนทนาก็ทำเอาต้องเอาต้องนิ่งค้าง
“ผมจะพาเกมส์ไปหาพ่อกับแม่น่ะครับ”
“เฮ้ย! อะไรนะ”
เกมส์ตะโกนร้องอย่างตกใจในความปุ๊บปั๊บ
เพราะที่ผ่านมาถึงจะเคยฟังดิวเล่าเรื่องครอบครัวมาบ้าง
แต่ก็ไม่เคยพบหน้าคาตาอย่างเป็นทางการเลยสักครั้ง
ซึ่งอีกฝ่ายก็อธิบายเหตุผลง่าย ๆ
“ก็ผมรู้จักพ่อกับแม่เกมส์แล้ว
แต่เกมส์ยังไม่เคยไปพบพ่อกับแม่เลยนี่ครับ”
...อีกอย่างถ้าจะแต่งงานกันปลายปีจะได้ดูตัวกันไว้ก่อนด้วย
ประโยคหลังดิวไม่ได้พูดแค่คิดเงียบ ๆ
หากลึก ๆ ก็ตั้งใจทำตามคำทำนายของหมอดู
มันจะได้แม่นจริง ๆ เหมือนที่คุณแม่เกมส์ว่าไว้
และแน่นอนความคิดแยบคายของดิวไม่มีทางที่เกมส์จะรู้
เพราะเจ้าตัวตอบรับอ้อมแอ้มในความสมเหตุสมผล
“เออ...เดี๋ยวอาทิตย์หน้าจะไป”
ร่างสูงยิ้มละไมเมื่อได้ฟังคำยืนยันกระนั้นก็ยังคงเอ่ยท้วง
“แล้วเกมส์ลืมอะไรอีกเรื่องรึเปล่าครับ”
“ห่ะ อะไร?”
เกมส์ขมวดคิ้วงง ก่อนจะเปลี่ยนเป็นความหวั่นใจ
เมื่ออีกฝ่ายเดินขยับเข้ามาใกล้
แล้วโน้มหน้าลงกระซิบ
“ยารักษาโรคกลัวของผมไงครับ”
...คำขอแผ่วเบา หากสะท้อนก้องในความรู้สึก
จนส่งผลให้ใบหน้าเห่อร้อนวูบขึ้นมาดื้อ ๆ
...ต้องโทษความบ้าของเขาที่ดันไปพูดแบบนั้นตอนวันวาเลนไทน์
เลยกลายเป็นว่าเขาขุดหลุมฝังตัวเองไว้ซะมิด
ถึงอย่างนั้นลูกผู้ชายรับปากแล้วก็ต้องทำตาม
เกมส์จึงข่มความอายยื่นหน้าไปแตะริมฝีปากลงข้างแก้มอีกคนเร็ว ๆ
ชนิดที่คนโดนจูบแทบไม่รู้สึกจนต้องเอ่ยประท้วง
“โห...ทำไมจุ๊บแก้มล่ะครับ”
“ก็ไม่ได้บอกว่าให้ตรงไหนนี่”
ตอบอธิบายไปกวน ๆ ตามนิสัย
แม้จะยังเขิน ๆ อย่างน้อยก็ถือว่าเขาเอาตัวรอดไปได้แล้วกัน
หากยังไม่ทันได้ถอนหายใจโล่งอก
อีกคนกลับเปลี่ยนท่าทีเป็นดึงข้อมือให้เขาเข้ามาใกล้
“งั้นคราวนี้ตาผมบ้าง”
จบคำ ริมฝีปากร้อนก็แนบลงมาประทับฉกชิงความหอมหวาน
....‘จูบ’ แบบเรียกว่า ‘จูบ’
...ลึกซึ้ง อ่อนไหว จนหัวใจสั่นสะท้าน
ก่อนดิวจะละริมฝีปากเมื่อเขาใกล้หมดแรง
พร้อมกระซิบคำบอกสรรพคุณ
“อันนี้ยารักษา ‘โรคคิดถึง’ เผื่อเกมส์จะคิดถึงกันไงครับ”
...อะ...ไอ้คนเจ้าเล่ห์!!
มันมีที่ไหนยารักษาโรคคิดถึง
นี่มันฉวยโอกาสจากเขาชัด ๆ
ใจอยากจะนึกด่าอะไรสักคำ
แต่ติดที่ร่างกายไม่มีแรงคล้ายโดนจูบเมื่อกี๊สูบเอาพลังไป
เกมส์จึงทำเพียงมองอีกคนเดินกลับขึ้นรถพลางหันมาเอ่ยลาด้วยรอยยิ้ม
“แล้วอาทิตย์หน้าผมจะมารักษาให้ใหม่นะครับเกมส์”
และก่อนจะทันรู้ตัวอีกฝ่ายก็ขับรถแล่นฉิวออกไปจากบ้าน
ทิ้งให้เขามึนงงยืนหน้าแดงค้างอยู่อย่างนั้น
...แต่เอาเถอะ...ช่างมัน...
เพราะนี่อาจจะเป็นยารักษาโรคที่ได้ผลที่สุดก็ได้
โรคที่เขายินยอมให้ดิวรักษาแค่คนเดียว
เหมือนที่ดิวให้เขาเป็นคนช่วยรักษาโรคนี้
...โรคซึ่งเขาสองคนพร้อมกันใจกันเป็น
มันมีชื่อง่าย ๆ ว่า...
...รัก
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
END
กลับมาตามคำเรียกร้อง หลังจากทนกระแสไม่ไหว 
จัดให้ด้วยใจรักตามคำขอ เป็นภาคต่อจากแท่งพิเศษที่ 1
เอาให้หวานจนหมดขึ้นตามชื่อจูปาจุ๊บ
หลังจากนี้คงไปต่อเรื่องอื่นแล้วนะคะ
เดี๋ยวน้องคูณจะงอแงรอนาน
แต่อาจจะมีแวบกลับมาบ้างตามเวลาและโอกาส
ถ้าใครอยากฟิน มาตามกันได้ในแฟนเพจเลยจ้า
BitterSweet Fanpage แล้วมาคุยกันนะ 
ขอบคุณที่ติดตามค่ะ
BitterSweet