HEARTBREAKER
61
(ต่อ)
เสียงสัญญาณโทรศัพท์ดังยาวต่อเนื่องกันอยู่ครู่นึงจนกระทั่งมีคนรับสาย และเสียงทักทายประโยคแรกก็แทบทำให้ผมอยากขว้างโทรศัพท์ทิ้ง
“มีเหี้ยไร”
“ไม่มีเหี้ย แต่มีเรื่องด่วนอยากให้ช่วย” ผมตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด
“เรื่องอะไร”
“ไปอารมณ์เสียอะไรมา”
ผมไม่ตอบแต่ถามกลับ ตอนแยกกันเฟียซยังดูอารมณ์ดีอยู่เลย มีเรื่องอะไรทำให้เขาอารมณ์เสียขึ้นมา
“ก็ไอ้พวกเวรสองตัวนั่นแหละ โทรมาด่ากู มึงมีเรื่องอะไรปิดบังพวกมัน”
คำตอบพ่วงคำถามของเฟียซทำผมใบ้กิน
“ว่าไง มึงมีเรื่องอะไร”
“เอ่อ…”
“ไม่ต้องมาเอ๋อแดก บอกกูมาเร็วๆ”
ผมเงยหน้ากรอกตามองเพดานห้องก่อนกระแอมขึ้น
“คือ…ตอนกำลังกินข้าวกันอยู่ ธัญญ์ส่งข้อความมา”
“ว่าไงนะ!!!” เฟียซร้องดังลั่นจนผมต้องเอาโทรศัพท์ออกห่างจากหูที่แนบอยู่ก่อนจะค่อยๆเล่าต่อ
“ถ้าบอกไปตอนนั้น พวกเขาได้ออกไปตามหาธัญญ์แน่ ต้าร์เลยไม่บอก”
“แล้วพวกมันก็สงสัยว่ามึงมีเรื่องปิดบัง พอเค้นถามจากมึงไม่ได้พวกมันก็โทรมาด่ากู ไอ้พวกเหี้ย ไอ้เห็บหมา กูไม่ใช่ถังขยะนะเว้ยที่จะได้โทรมาด่าๆๆ”
เฟียซระบายอารมณ์ยาวเหยียดจนแทบฟังไม่ทัน ผมได้แต่ยิ้มแห้งรอให้เพื่อนอารมณ์เย็นลง
“แล้วไอ้เหี้ยธัญญ์มันส่งข้อความมาว่าไง”
“ธัญญ์นัดให้ต้าร์ออกไปเจอตอน3ทุ่มที่หน้ามอ บอกให้ต้าร์ไปคนเดียวถ้าอยากให้เรื่องจบด้วยดี ห้ามให้พวกเขาตามไปด้วย” ผมบอกสรุปให้เฟียซฟัง
“ไอ้ขี้ขลาดเอ้ย! มึงต้องบอกให้พวกมันรู้เดี๋ยวนี้เลย”
“แล้วต้าร์จะโทรหาเฟียซเพื่ออะไร ถ้าบอกพวกเขา เฟียซเชื่อเหรอว่าพวกเขาจะปล่อยให้ธัญญ์รอด ต้าร์ไม่อยากให้พวกเขาเป็นฆาตกร มันต้องมีวิธีจัดการกับธัญญ์โดยที่ไม่ต้องใช้ความรุนแรงสิ ต้าร์เชื่อว่ามันต้องมีวิธี”
ผมบอกเสียงเข้ม ถ้าขืนบอกพวกเขาไป เชื่อเถอะ ผมเอาหัวเป็นประกันได้เลยว่าพวกเขาไม่ยอมอยู่เฉยแน่! ผมอยากหาทางแก้ปัญหาโดยที่ไม่มีฝ่ายใดฝ่ายนึงต้องเสียเลือดเนื้อเหมือนที่ผ่านมา การใช้ความรุนแรงมันไม่ใช้วิธียุติปัญหา แต่มันเป็นการเติมเชื้อไฟให้โหมแรงยิ่งขึ้น ผมไม่อยากเห็นความสูญเสีย ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายผมหรือธัญญ์ ทุกปัญหามันต้องมีทางอออกสิ ผมเชื่ออย่างนั้น
“ถ้าไม่บอกพวกมันแล้วมึงจะทำยังไง จะออกไปเจอมันเหรอ มึงอย่าโง่นะต้าร์”
“ต้าร์ถึงโทรหาเฟียซนี่ไง เราต้องช่วยกันคิดว่าจะทำยังไงต่อไป”
“แม่ง! มีแต่เรื่อง แค่ไอ้ธัญญ์คนเดียวทำหัวปั่นไปหมด สัดเอ้ย! กูอยากเอาตีนทาบหน้าแม่งให้หายซ่าส์”
ผมถอนหายใจแรงอย่างกลุ้มใจ คิดไม่ตกว่าจะจัดการเรื่องนี้ยังไง ถ้าธัญญ์ไม่คิดแค้น ถ้าเขาปล่อยวางได้ เรื่องมันก็ไม่บานปลายมาถึงขั้นนี้หรอก คนตายไปแล้วฟื้นขึ้นมาไม่ได้ จะตามอาฆาตแค้นให้ได้อะไรขึ้นมา แก้แค้นไปแล้วคนตายจะกลับมาได้หรือไง
“พรุ่งนี้เรียกสอบสวน ไอ้ธัญญ์มันต้องโดนลงโทษหนักแน่ กูว่ามีพักการเรียนอ่ะ มันอาจรู้ตัวแล้วว่าต้องเจออะไรเลยคิดวางแผนล่อมึงออกไป”
ผมคิดตามคำพูดเฟียซ ความผิดที่ธัญญ์ก่อจัดว่าร้ายแรงมากแถมยังเกิดขึ้นในมหา’ลัย ถ้าผมแจ้งความเอาเรื่องข้อหาคงไม่พ้นคุกคามและทำร้ายร่างกาย ธัญญ์อาจได้รับโทษถึงขั้นพักการเรียนอย่างที่เฟียซว่า แต่ผมคิดว่าธัญญ์ไม่สนใจเรื่องที่ตัวเองจะถูกลงโทษหรอก หมอนั่นคิดแต่เรื่องแก้แค้น ขอแค่ให้ได้แก้แค้นก็พร้อมทำทุกอย่าง
“เฟียซ หรือเราควรไปบอกให้พ่อแม่ธัญญ์รู้ดี เพื่อพวกเขาจะห้ามลูกชายตัวเองได้”
ผมเสนอความคิด ปลายสายเงียบไป ผมเม้มปากแน่นรอฟังความคิดเห็นจากเพื่อน
“แล้วถ้าพ่อแม่มันห้ามไม่ได้ล่ะ”
“ถ้าขนาดพ่อแม่ยังห้ามลูกไม่ได้ ก็คงต้องพึ่งตำรวจแล้วล่ะ”
“ตกลงมึงจะไม่บอกพวกมันจริงๆใช่มั้ย”
“บอกสิ” ผมตอบรับเสียงหนักแน่น
“อ้าว! ตกลงมึงจะเอายังไง จะบอกไม่บอก”
“ก็ถ้าคุยกับพ่อแม่ธัญญ์แล้วพวกเขาไม่ห้าม ต้าร์ก็จะบอกตำรวจแล้วค่อยบอกพวกเขา”
“เหอะ! เอาส้นตีนกูเป็นประกันได้เลยว่าพวกมันไม่ฟังมึงแน่”
เฟียซสวนกลับกลั้วเสียงหัวเราะหยัน ผมนิ่งแล้วถอนหายใจ นั้นสินะ ผมคงทำลายความเชื่อใจที่พวกเขามีให้ไปแล้ว แต่ในใจผมก็ยังหวัง หวังว่าพวกเขาจะเข้าใจถึงเหตุผลที่ผมทำแบบนี้ และหวังว่าพวกเขาจะเชื่อใจผมจนวินาทีสุดท้าย ผมหวังให้เป็นแบบนั้นจริงๆ
**************************************************
เสียงประกาศประชาสัมพันธ์ดังก้องไปทั่วมหา’ลัยแต่ไม่ได้อยู่ในความสนใจของผม ตอนนี้ผมนั่งรอเฟียซอยู่ใต้ตึกคณะ ภาวนาให้เพื่อนมาถึงก่อนพวกเขา เพราะผมไม่อยากตอบคำถามจนพาลไปถึงขั้นทะเลาะกัน ผมรู้ว่าตัวเองทำผิดที่หนีหน้าพวกเขามาแบบนี้ แต่ผมมีเหตุผลที่ต้องทำ ไม่ว่าพวกเขาจะไม่เข้าใจหรือโกรธเคืองแค่ไหนผมก็ถอยหลังกลับไม่ได้แล้ว เรื่องที่ผมปรึกษาหารือกับเฟียซเมื่อคืนต้องดำเนินต่อไป
บรื๊น…บรื๊น…
เสียงมอเตอร์ไซต์คุ้นหูดังเข้ามาใกล้ ผมรีบลุกเดินออกไปดู เจ้าของรถขับเข้ามาจอดตรงหน้าผมก่อนถอดหมวกกันน็อคออก ผมยิ้มกว้างแล้วเข้าไปคว้ามือเพื่อนให้เดินตาม
“อะไรของมึงเนี่ย จะรีบไปไหน” เฟียซโวย ผมไม่ตอบคำถามตั้งใจเดินมุ่งหน้าขึ้นตึกตรงไปยังห้องเรียน พอนั่งเรียบร้อยผมก็หันไปจ้องหน้าเพื่อน
“พวกเขาโทรหาหรือเปล่า”
เฟียซทำหน้าเซ็งทันทีที่ได้ยินคำถาม นั่นทำให้ผมรู้ว่าพวกเขาคงกระหน่ำโทรหาเฟียซแน่ๆ
“มันพลัดกันโทรมาจนกูต้องปิดเสียง เป็นอะไรที่เหี้ยเกินบรรยาย”
เฟียซว่า ผมยิ้มเจื่อน ยกมือไหว้ขอโทษเฟียซที่นำความเดือดร้อนมาให้
“ต้าร์ขอโทษนะ ขอโทษจริงๆ”
“ช่างแม่ง ยังไงก็หนีพวกมันไม่พ้นหรอก”
ผมพยักหน้าเห็นด้วย ที่ผมหนีหน้าพวกเขามาได้ตั้งแต่เมื่อคืนจนถึงตอนนี้ก็นับเป็นความโชคดีมากมายแล้ว ได้แต่หวังว่าพวกเขาคงไม่บ้าบิ่นถึงขนาดบุกเข้ามาลากผมในห้องเรียนก็พอ
ไม่น่าเชื่อว่าพวกเขาจะปล่อยผมมาจนถึงตอนนี้ แต่มันก็เป็นไปแล้ว และเป็นผมเองที่กระวนกระวายเพราะความรู้สึกผิด
“เป็นอะไร ถอนหายใจทำไม”
บอสตบบ่าผมแล้วนั่งลงข้างๆ ผมถอนหายใจอีกรอบ ก็คนมันกลุ้มนี่นา
“ไม่มีไรหรอก แค่กังวลเรื่องตอบคำถามตอนถูกสอบสวน” ผมโกหกและได้แต่ขอโทษเพื่อนในใจ
“จะกังวลทำไม ก็แค่ตอบไปตามความจริง เอาน่า อย่าเครียด กินหนมดีกว่า”
บอสยิ้มพลางยื่นถุงขนมให้ ผมรับมาแต่ยังไม่ได้กินก็ต้องรีบวางเพราะบุคคลที่กำลังเดินตรงมาหา ผมหนีพวกเขาไม่พ้นแล้วหละ…
“กินข้าวรึยัง”
คำทักทายแรกของพี่ควินตอกย้ำให้ผมยิ่งรู้สึกผิด พวกเขาเป็นห่วงผมในขณะที่ผมโกหกและหนีหน้าพวกเขา ผมนี่มันแย่จริงๆ
“เรียบร้อยแล้วครับ” ผมยิ้มตอบไป พี่แซทขยับเข้ามาใกล้ผมแต่ไม่ได้พูดอะไร เขามองผมแวบนึงก็หันไปสนใจโทรศัพท์ในมือเหมือนรอคอยการติดต่อจากใครอยู่
“จะได้เวลาเรียกสอบสวนแล้ว กลัวรึเปล่า”
พี่ควินจับมือผมลูบคลึงเบาๆ ผมส่ายหน้า ได้แต่ยิ้มให้เขาอย่างเดียว ตอนนี้ผมไม่กล้าพูดคุยกับพวกเขาจริงๆ
“ต้าร์ เฟียซมันไลน์มาบอกว่าอาจารย์เรียกแล้วว่ะ”
บอสหันมาบอก ผมเลยขยับตัวเก็บกระเป๋าบนโต๊ะ
“กูรอมึงอยู่ เรื่องที่มึงปิดบังไว้ กูจะรอฟังจากปากมึง”
พี่แซทบอกทิ้งทายก่อนเดินไป ผมมองตามหลังเขาด้วยความรู้สึกผิด พี่แซทเป็นคนอารมณ์ร้อนแต่เขาเลือกที่จะระงับมันไว้ ไม่คาดคั้นผมเหมือนอย่างที่เคยทำ ไม่ใส่อารมณ์กับผมเหมือนเคย แต่เขาเลือกที่จะรอให้ผมพูดกับเขาตรงๆ เขายอมทำเพื่อผม
“พร้อมเมื่อไหร่ก็บอก จำไว้ กูเชื่อใจมึง”
พี่ควินลูบแก้มผมแล้วเดินตามพี่แซทไป ผมเม้มปากแน่นรู้สึกหายใจไม่ออกขึ้นมาดื้อๆ ทุกคำพูดทุกการกระทำตั้งแต่พวกเขาเดินเข้ามาหาทำให้ผมอยากจะร้องไห้ออกมาจริงๆ
“ทะเลาะกันเหรอ” บอสถามขึ้นอย่างเป็นห่วง ผมส่ายหน้าหยิบสายกระเป๋าสะพายบ่า
“เมื่อเช้าต้าร์หนีพวกเขาออกมาก่อนน่ะ ไม่มีไรหรอก รีบไปหาเฟียซกันเถอะ”
ผมถูกคณะกรรมการสอบสวนเรียกเข้าไปในห้องเป็นคนแรก ทั้งๆที่ยังไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจให้พร้อม ผมต้องนั่งเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นและตอบทุกคำถามท่ามกลางคณะกรรมการสอบสวนซึ่งส่วนนึงเป็นอาจารย์ประจำภาคของคณะผมและของคณะอื่นๆรวมกัน แต่ที่ทำให้ผมเกร็งที่สุดคือท่านอธิการบดีที่นั่งอยู่ตรงหน้าผมเลย หลังจากที่ผมเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นตามความเป็นจริงจบ อาจารย์ที่ปรึกษาของผมก็ให้กำลังใจว่าไม่ต้องกังวล ทุกอย่างที่สอบสวนในวันนี้จะเป็นไปตามกฏระเบียบของทางมหาวิทยาลัย คนผิดก็ว่าไปตามผิด จะไม่มีการใช่เส้นสายอะไรทั้งนั้น ประโยคหลังผมคิดว่าอาจารย์คงหมายถึงพี่ควินกับพี่แซทแน่ๆ จะยังไงก็ตาม ผมได้ทำในส่วนของผมอย่างเต็มที่แล้ว ต่อจากนี้ก็ขึ้นอยู่กับคำตัดสินของคณะกรรมการสอบสวน
“เป็นไงบ้างต้าร์”
ทันทีที่เดินออกจากห้องบอสก็ปรี่เข้ามาถาม ผมยิ้มแล้วกอดคอเพื่อนให้เดินไปที่โต๊ะ เฟียซกับตัวเล็กที่นั่งรออยู่หันมามองผมด้วยสายตาเป็นคำถาม ผมนั่งลงแล้วมองหน้าเพื่อนทีละคนก่อนบอก
“ทุกอย่างเรียบร้อยดี ต้าร์ก็เล่าไปตามความจริง”
“มึงเป็นฝ่ายถูกทำร้าย ยังไงก็ไม่ผิดอยู่แล้ว” เฟียซพูดขึ้น
“ใช่ ไอ้คนที่ทำผิดสิต้องกลัว ไม่แจ้งความจับก็บุญเท่าไหร่แล้ว” บอสพูดเสริม
“แล้วไอ้ตัวปัญหาโผล่มารึยัง” ผมถามพลางสอดส่ายสายตามองหาคนก่อเหตุ
“มันมาตอนมึงเข้าห้องไปพอดี พวกเหี้ยนั่นก็มา เกือบได้บู๊กันแล้วมึง”
“จริงเหรอ!” ผมร้องเสียงหลง มองหน้าเฟียซตาโต เจ้าตัวส่ายหน้าเพลียๆก่อนเอื้อมมือมาตบหัว
“แหกปากทำไม คนของมึงนั่นแหละจะเข้าไปหาเรื่องไอ้ธัญญ์ แม่งเหมือนหมาบ้าทั้งคู่”
ผมพูดไม่ออก เพราะพวกเขาเป็นอย่างที่เฟียซบอกจริงๆ ยิ่งเป็นเรื่องธัญญ์พวกเขาเป็นยิ่งกว่าหมาบ้าอีก ผมยังจำเหตุการณ์ตอนที่สะกดรอยตามพวกเขาไปที่สนามแข่งรถได้เลย ตอนนั่นพวกเขาโกรธจนแทบคลั่ง ถ้าผมไม่โผล่ออกไปจะเกิดอะไรขึ้นกับธัญญ์บ้างก็ไม่รู้
“นั่นไง มากันแล้ว” บอสบอกพลางชี้ให้ผมหันไปดู สิ่งที่เห็นคือผู้ชายร่างสูง3คนเดินหน้านิ่งเข้ามาโดยมี รปภ.เดินประกบขนาบข้าง นี่ถึงขนาดต้องใช้ รปภ.คุมตัวกันเลยเหรอ
“นาย ธัญญ์ พิชญกานต์ เข้าห้องได้แล้ว”
เสียงดุของอาจารย์ที่ปรึกษาคณะผมดังอยู่หน้าประตูห้อง ธัญญ์เดินผ่านหน้าพวกผมไป แต่พอถึงหน้าประตูเขาก็เหลียวกลับมามองด้วยรอยยิ้มมุมปากอย่างกวนประสาท ผมไม่แน่ใจว่าเขาส่งรอยยิ้มแบบนั้นให้ใคร แต่พี่ควินกับพี่แซทแทบถลาเข้าไปเอาเรื่อง ดีที่พี่ รปภ.ช่วยกันจับตัวไว้
“ออกมาเมื่อไหร่กูเอามึงตายแน่!”
พี่แซทประกาศกร้าวอย่างไม่เกรงกลัวอาจารย์ที่ยังยืนส่งสายดุปรามอยู่หน้าประตูเลยสักนิด
“รปภ. คุมตัวไว้ให้ดีดี” อาจารย์สั่งเสียงเข้มก่อนดันหลังให้ธัญญ์เดินเข้าไปในห้อง
“ปล่อยกู!” พอประตูห้องสอบสวนปิดพี่แซทก็หันมาเหวี่ยงใส่พี่ รปภ.จนพี่เขาสะดุ้งเฮือกรีบปล่อยมือออกแทบไม่ทัน พี่ควินก็สะบัดแขนออกจากการจับกุมด้วยใบหน้าหงุดหงิด
“เอ่อ…ขอโทษนะครับพี่ เดี๋ยวผมดูพวกขาให้เองครับ” ผมหันไปโค้งศีรษะขอโทษพี่ รปภ.อย่างเกรงใจ พวกพี่เค้าก็ไม่ได้ว่าอะไร แค่ถอนหายใจอย่างปลงๆก่อนพากันเดินออกไป พอเหลือแค่กลุ่มพวกเราพี่แซทก็กระแทกตัวนั่งลงข้างๆผม พี่ควินก็มานั่งเบียดผมอีกข้าง ให้มันได้อย่างนี้สิ!
“อย่าทำแบบนี้อีกนะครับ” ผมพูดขึ้นโดยไม่มองหน้าพวกเขา
“ทำไม! กูทำแล้วมันทำไม มึงจะปกป้องมันเหรอ!”
ไปกันใหญ่แล้ว! ผมส่ายหน้าเม้มปากแน่น พี่แซทกำลังอารมณ์เสีย ผมไม่ควรโต้ตอบกลับไป สู้อยู่นิ่งๆให้เขาอารมณ์เย็นลงดีกว่า
“เหี้ย!” พี่แซทสบถแล้วลุกขึ้นเดินออกไป ผมมองตามเห็นเขาล้วงกระเป๋ากางเกง ซองบุรี่กับไฟ
แช็คติดมาเขามาจากนั้นเขาก็เริ่มสูบมันคลายความเครียด ผมหันกลับมามองคนข้างตัว พี่ควินยังคงนั่งนิ่ง ผมเดาอารมณ์เขาไม่ถูกว่ากำลังคิดอะไรอยู่
“ต้าร์ บอสกับตัวเล็กจะไปซื้อน้ำนะ เอาอะไรมั้ย”
บอสกระซิบบอก ผมส่ายหน้าบอกขอบใจเพื่อนเบาๆ เฟียซขยับปากขมุบขมิบอยู่อีกฝั่ง เจ้าตัวเสียบหูฟังเปิดเพลงเสียงดังอย่างจะตัดปัญหาเข้าสู่โลกส่วนตัวเพียงลำพัง ผมหันกลับมามองพี่ควินอีกครั้ง เขายังนั่งนิ่งเหมือนเดิม เขานิ่งจนผมแปลกใจ แต่คิ้วเข้มที่ขมวดเป็นปมก็พอบอกให้รู้ว่าเขามีเรื่องให้ต้องคิดหนัก
ผมไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่แล้ว รู้แต่ว่าพี่แซทสูบบุหรี่หมดไปสามมวน และแบตโทรศัพท์ของเฟียซก็หมดจนได้ชาร์ตกับพาวเวอร์แบงค์ จนกระทั่งเสียงประตูห้องสอบสวนเปิด ธัญญ์เดินออกมาด้วยใบหน้านิ่งแต่ปากยังกระตุกยิ้มกวนเหมือนเคย ผมรีบจับมือพี่แซทไว้ทันทีด้วยกลัวว่าเขาจะเข้าไปหาเรื่อง
“มันไม่จบแค่นี้หรอก” ธัญญ์พูดลอยๆ และโดยไม่คาดคิด จู่ๆพี่ควินก็ลุกพรวดขึ้นแล้วพุ่งเข้าไปหาธัญญ์ ผมตาโตจะเข้าไปห้ามแต่ก็ไม่ทันแล้ว
ผลั๊ว!
“ปากเก่งนักนะมึง อยากแก้แค้นกูนักใช่มั้ย ได้…กูจะทำให้มึงไปเจอไอ้ฮาร์ฟในนรกเอง!”
“พี่ควินหยุดเถอะครับ พี่แซทปล่อยผมสิ ทำไมพี่ไม่ห้ามเพื่อน”
ผมร้องบอกอย่างร้อนรน พวกเพื่อนๆผมก็ได้แต่ยืนมองเหตุการณ์อย่างตกตะลึง พี่แซทก็กอดผมไว้แน่นไม่ให้ผมเข้าไปห้ามพี่ควิน ธัญญ์ถูกต่อยจนปากแตก เขาไม่ตอบโต้พี่ควินสักนิด ได้แต่นอนนิ่งให้พี่ควินทำร้ายร่างกายอยู่อย่างนั้น
“นี่พวกเธอ! หยุดเดี๋ยวนี้นะ!! ฉันบอกให้หยุด!!!” เสียงห้ามของอาจารย์ดังแทรกเข้ามา
“ควิน! หยุดเดี๋ยวนี้!!” อาจารย์สั่งพี่ควินเสียงเข้ม และมันก็ได้ผล พี่ควินหยุดทำร้ายธัญญ์ เขาลุกขึ้นปัดเสื้อแล้วเดินผ่านหน้าพวกผมเข้าห้องไปเลย
“ในเมื่อมึงไม่ยอมจบ กูก็ไม่คัดศรัทธา เตรียมตัวต่อโรงไว้ได้เลย ไอ้หน้าตัวเมีย!”
พี่แซทหันไปด่าธัญญ์ทิ้งท้ายก่อนเดินตามพี่ควินเข้าห้องไป อาจารย์ยังคงยืนมองสภาพธัญญ์อยู่แล้วท่านก็หันมามองพวกผม
“พวกเธอพาเขาไปห้องพยาบาล ไปทำแผลให้เรียบร้อย”
“ครับอาจารย์” ผมพยักหน้ารับคำ อาจารย์เดินกลับเข้าห้องไปผมก็จะเข้าไปดูอาการธัญญ์ แต่เฟียซจับแขนผมดึงไว้ หันไปมองก็เห็นสายตาดุราวกับจะขู่
“ทำไมล่ะ ก็จะพาไปห้องพยาบาล” ผมถามอย่างไม่เข้าใจ
“มึงไม่ต้องยุ่งเรื่องนี้เลย เดี๋ยวกูพามันไปเอง นั่งรอไอ้พวกเหี้ยนั่นเถอะ เดี๋ยวออกมาไม่เจอมึงจะเป็นเรื่องอีก”
ผมพยักหน้ารับรู้ มองดูเฟียซดึงคอเสื้อธัญญ์ที่นอนหอบหายใจโรยแรงอยู่ที่พื้นขึ้นมาก่อนเจ้าตัวจะถูกลากออกไปด้วยแรงกระชาก
“งั้นมึงไปกับเฟียซเหอะ กูจะอยู่เป็นเพื่อนต้าร์”
บอสหันไปบอกตัวเล็กแล้วนั่งลงข้างๆผม ผมมองตามตัวเล็กไปอย่างเป็นกังวล หวังว่าจะไม่เกิดเรื่องอีกนะ ธัญญ์ยิ่งเจ้าคิดเจ้าแค้นอยู่ด้วย โดนพี่ควินต่อยจนปากแตกขนาดนั้นต้องคิดแค้นเพิ่มขึ้นแน่ๆ
แล้วเมื่อไหร่เรื่องบ้าๆนี่จะจบลงสักที ผมเหนื่อยจะสู้กับมันแล้ว!!!
พวกเขาเข้าห้องสอบสวนไปเกือบชั่วโมงแล้ว ผมนั่งชะเง้อมองว่าเมื่อไหร่ประตูห้องจะเปิด ตอนนี้5โมงกว่าแล้ว นั่งรออย่างร้อนใจได้ไม่นานประตูห้องก็เปิดพร้อมร่างสูงของพวกเขาเดินออกมา ผมลุกขึ้นจะถามว่าเป็นยังไงบ้าง พี่แซทก็คว้าแขนผมลากให้เดินตามเขาไปซะก่อน
“เดี๋ยวครับ จะไปไหน” ผมยื้อไว้ พี่แซทจ้องตาผมเขม็ง
“กลับบ้าน!”
“แต่ผมขับรถมา”
ผมเอารถมาอ้าง ขืนกลับไปกับพวกเขาก็ไม่ได้ออกมาทำตามแผนที่วางไว้กับเฟียซนะสิ!
“ช่างแม่ง! กลับรถกู”
“แต่วันนี้ผมต้องไปทำงานกลุ่มกับเพื่อน จริงมั้ยบอส”
ผมหันไปหาบอสที่มองมาอย่างมึนงง ขยิบตาให้เพื่อนรับคำที่ผมโบ้ยให้ดื้อๆ
“เออๆ งานกลุ่ม ต้องรีบส่งด้วย ใช่ๆ”
บอสตอบอย่างรนๆ ผมลอบถอนหายใจ หันไปมองพี่แซทก็เจอสายตาดุจ้องอยู่ก่อน
“มึงโกหก” พี่แซทเค้นเสียงพลางบีบแขนผมแน่น ผมรีบส่ายหน้าปฏิเสธทันที พี่ควินขยับเข้ามาขนาบข้าง เขาไม่พูดอะไร เอาแต่จ้องผมอย่างเดียว
“ก็ได้ งั้นกูจะรอ ทำให้เสร็จคืนนี้”
ได้ไงล่ะ!!! ผมแทบจะตะโกนใส่หน้าพี่แซท เฟียซหายไปไหนเนี่ย พอตอนอยากให้ช่วยล่ะหายตัวไปไหนก็ไม่รู้
“เอ่อ…อย่ารอเลยครับ เดี๋ยวผมกลับเอง” ผมบอกเบาๆ
“กูจะรอ ไปสิ รีบไป จะไปทำที่ไหน”
โอ้ย…ผมอยากจะบ้า! พวกเขาจะไม่ยอมจริงๆใช่มั้ยเนี่ย! ผมส่งสายตาขอความช่วยเหลือไปให้บอส เจ้าตัวก็ทำท่าอึกอักมองซ้ายมองขวาอย่างหาตัวช่วยเช่นเดียวกัน จะทำยังไงดี จะทำยังไง!
“ต้าร์!”
เสียงเรียกช่วยชีวิตทำให้ผมรีบหันไปมอง เฟียซเดินหน้าบึ้งเข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้าพลางมองคนยืนขนาบข้างผม
“เฟียซมาพอดีเลย พวกเราตกลงกันว่าจะรีบทำงานกลุ่มกันวันนี้ใช่มั้ย”
ผมรีบพูดพลางยักคิ้วให้เฟียซเอออตามผม เจ้าตัวรีบพยักหน้ารับทันที ผมยิ้มกว้างหันไปมองหน้าพวกเขา
“ไม่ต้องห่วงนะครับ ผมจะรีบทำให้เสร็จจะได้กลับเร็วๆ พวกพี่ไม่ต้องไปรอผมหรอก ลำบากเปล่าๆ ถ้าไม่อยากให้ผมกลับคนเดียว ให้เฟียซไปส่งก็ได้ พวกพี่ก็มีเบอร์เฟียซนี่นา ใช่มั้ยครับ”
ผมพูดให้พวกเขาโอนอ่อน พี่แซทยังคงนิ่ง แต่พี่ควินพยักหน้าให้ผมแล้ว
“ก็ได้ กูให้เวลามึงไม่เกิน2ทุ่ม”
ผมเงียบ ลองคิดทบทวนถึงสิ่งที่จะทำและคำนวณเวลาดูคร่าวๆ น่าจะทันนะ เพราะผมไม่คิดจะไปตามนัดธัญญ์อยู่แล้ว
“ได้ครับ ไม่เกิน2ทุ่ม” ผมรับปาก
“ถ้าเลย2ทุ่มแล้วยังไม่เห็น เพื่อนมึงเจอดีแน่” พี่แซทขู่ส่งท้ายก่อนเดินกระฟัดกระเฟียดจากไป
“ให้ไปส่งมั้ย จะไปทำที่ไหน” พี่ควินถามขึ้น ผมมองหน้าเฟียซให้ตอบคำถามแทน
“ทำที่หอกูเนี่ยแหละ ไม่ต้องไปส่งหรอก” เฟียซตอบปัดเสียงแข็ง
“อย่าเกิน2ทุ่มนะ” พี่ควินกำชับ ลูกแก้มผมเบาๆก่อนเดินไป ผมระบายลมหายใจยาวอย่างโล่งอกที่หาทางออกได้สำเร็จ ที่เหลือก็แค่ทำตามแผนที่วางไว้
“เก่งนะมึง เรื่องโบ้ยขี้มาให้กูเนี่ย เก่งนัก”
“ขอโทษ อย่าโกรธเลยนะ แค่นี้ต้าร์ก็ปวดหัวจะแย่แล้ว นะๆ อย่าโกรธนะ”
ผมเกาะแขนเพื่อนเขย่าอย่างอ้อนวอน เฟียซทำหน้าเซ็งแล้วดีดหน้าผากผม
“กูโกรธมึงแน่ถ้าพวกมันโทรมาด่ากูอีก ไม่ต้องมาอ้อน”
ให้มันได้อย่างนี้สิ! ที่ดีดมาไม่ใช่เบาๆนะ มันเจ็บนะเว้ย!
v
v
v
v
v
v