HEARTBREAKER
62
(ต่อ)
เสียงยางรถบดกับพื้นถนนดังยาวคล้ายจะเกิดเหตุร้ายขึ้น ท่ามกลางความมืดมิดของถนนที่อยู่นอกตัวเมือง มีเพียงแสงไฟจากรถสปอร์ตหรูสองคันที่ส่องสว่างให้เห็นภาพเบื้องหน้า กลุ่มควันพวยพุ่งออกมาจากกระโปรงรถคันที่จอดนิ่งเฉียดต้นไม้ใหญ่ข้างทาง เจ้าของรถที่สติแทบเลือนลางเพราะศีรษะกระแทกเข้ากับพวงมาลัยรถอย่างแรงพยายามปลดสายนิรภัยออกก่อนค่อยๆคลำหาประตูเพื่อเปิดมันออกไป และทันทีที่ประตูรถเปิดออก ความเย็นยะเยือกของอาวุธที่เรียกว่าปืนก็พุ่งเข้าจ่อตรงขมับทันที ยังไม่ทันได้มองว่าใครก็ถูกมือใหญ่ดึงกระชากให้ลงจากรถจนล้มกระแทกพื้นดินแข็งๆเพิ่มความเจ็บปวดให้ร่างกายซ้ำอีก
“เมียกูอยู่ไหน!”
เสียงเข้มตะโกนใส่หน้าพลางกระชากคอเสื้อคนเจ็บ นัยน์ตาคมแข็งกร้าวจ้องมองใบหน้าศัตรูราวกับจะจับฉีกร่างนั้นออกเป็นชิ้นๆให้สมกับความแค้นที่คับแน่นอยู่ในอก
อั๊ก!
แรงเตะอัดเข้าใส่ซี่โครงคนเจ็บอย่างไม่ปราณีมาจากร่างสูงของชายหนุ่มอีกคนที่ตามเข้ามาสมทบ คนทำแสยะยิ้มเหี้ยมก่อนยันเท้าไปที่หน้าอกกดแรงจนคนเจ็บดิ้นพล่าน
“อย่าหวังว่ามึงจะรอด บอกมา! มึงเอาต้าร์ไปไว้ไหน!”
“หึหึ”
แม้จะเจ็บแทบกระอักเลือด แต่คนไร้ทางสู้ก็ยังฝืนแรงส่งเสียงหัวเราะเย้ยหยันยั่วโมโหคนฟังอย่างไม่กลัวตาย
“มึงหัวเราะทำไม! กูถามว่ามึงหัวเราะทำไม!!!”
เสียงตะคอกดังก่อนเจ้าตัวจะทนไม่ไหวตวัดกระบอกปืนเข้าใส่ปากคนเจ็บจนได้เลือด อารมณ์โทสะที่ถูกปลุกปั่นทำให้เจ้าของปืนกระชากลำเลื่อนเตรียมพร้อมระเบิดสมองศัตรูได้ทุกเมื่อ
“อย่านะครับบอส”
สองบอดี้การ์ดต่างชาติรีบปรี่เข้ามาห้าม คนนึงคุมตัวเจ้านายหนุ่ม ส่วนอีกคนคุมตัวเพื่อนสนิทของเจ้านายไว้ อังเดรลอบถอนหายใจที่มาทันเวลา เพราะกว่าจะขับรถตามสองคนนี่มาได้ไม่ใช่เรื่องง่าย ต่อให้รถของพวกเขาเป็นBMWก็เถอะ สมรรถภาพมันก็แรงได้ไม่เท่ารถปอร์ตอย่างพอร์ทกับเฟอร์รารี่อยู่ดี คิดแล้วก็เจ็บใจที่ปล่อยให้เจ้านายกับเพื่อนสนิทกลับไปเอารถส่วนตัวมาขับตามหาศัตรูด้วยตัวเองแบบนี้
“ปล่อยกูอังเดร! ปล่อยกู!”
“ไม่ครับบอส ได้โปรดสงบสติอารมณ์ไว้ก่อน ให้ผมจัดการมันเอง นะครับ”
“มึงเสือกอะไร!”
โดนเจ้านายย้อนกลับมาเสียงแข็ง แต่อังเดรก็ทำเพียงก้มศรีษะให้อย่างเคารพ
“มีโกดักร้างหลังโรงงานเก่า ให้ผมพามันไปไว้ที่นั่น ดีมั้ยครับ”
อังเดรเสนอ ด้วยรู้ดีว่าเวลานี้เจ้านายไม่ต้องการให้ใครขัดใจ แต่ถ้ามีข้อเสนอดีดีที่เอื้อประโยชน์ให้ ก็อาจทำให้เจ้านายหนุ่มเปลี่ยนใจได้ไม่ยาก
“มึงว่าไงควิน”
เจ้าของชื่อละสายตาจากศัตรูที่นอนสำลักเลือดอยู่ ทั้งยังหงุดหงิดกับบอดี้การ์ดของเพื่อนซี้ที่ยังคุมตัวไม่เลิก
“แล้วแต่มึง จะทำเหี้ยไรก็รีบทำ กูอยากเจอต้าร์เร็วๆ” ควินตอบเสียงแข็ง หันไปสั่งคนคุ้มตัว
“ปล่อยกู”
“ขอโทษครับ” อะดอนิสค้อมตัวต่ำอย่างนอบน้อมแล้วเดินไปหาเจ้านายหนุ่มเพื่อรอรับคำสั่ง
“ทำตามที่มึงบอก อย่าช้า”
“ครับบอส”
อังเดรรับคำอย่างแข็งขันก่อนพยักหน้าให้อะดอนิสเข้ามาช่วยกันหามตัวคนเจ็บขึ้นจากพื้น
“ต้าร์ไม่ได้รักพวกมึง”
เสียงแหบแห้งดังลอดออกมาจากปากคนเจ็บที่พยายามฝืนแรงพูด ต่อให้ต้องตายอยู่ตรงนี้เขาก็ไม่กลัว ขอแค่ได้เห็นพวกมันเจ็บปวดทรมานเหมือนตายทั้งเป็นก็พอ!
“มึงว่าไงนะ”
แซทถามย้ำก่อนพุ่งเข้าถึงตัวธัญญ์ กระชากคอเสื้อขึ้นพร้อมกดปืนแนบตรงกลางหน้าผาก นัยน์ตาดุคมสั่นไหว มันสะท้อนถึงความเจ็บปวดกับคำพูดนั่น คำพูดที่บอกว่า…ต้าร์ไม่ได้รักเขา
“บอสครับ”
อังเดรเอ่ยเรียกแต่ก็ต้องเงียบเสียงเพราะเจ้านายหนุ่มตวัดสายตาแดงก่ำมองมา
“มึงรู้มั้ยธัญญ์ กูไม่เคยเสียใจที่แทงไอ้ฮาร์ฟวันนั้น”
ควินบอกเสียงนิ่ง เดินเข้ามาประชิดตัว แสยะยิ้มหยันให้คนเจ็บที่จ้องมองมาด้วยสายตาอาฆาต
“ไอ้ฆาตกร! มึงมันเลว! ไอ้เหี้ย!” ธัญญ์ตะโกนด่าอีกฝ่ายด้วยแรงทั้งหมดที่มี
“กูไม่สนใจว่ามึงจะแค้นกูมากแค่ไหน ต่อให้มึงฆ่ากู ไอ้ฮาร์ฟก็ไม่กลับมาหามึง”
“ไอ้เหี้ยควิน! ไอ้สารเลว!”
“กูยังเลวได้มากกว่านี้ ถ้ามึงยังไม่บอกว่าเอาต้าร์ไปไว้ไหน พ่อกับแม่มึงเดือนร้อนแน่”
คำขู่ทำให้นัยน์ตาคนเจ็บกระตุกวูบ แต่เพียงครู่เดียวก็กลับมาเป็นปกติ
“คนอย่างพวกมึงดีแต่ใช้กำลัง ขนาดคนรักยังปกป้องไม่ได้ อ่อนว่ะ”
ปัง!
เสียงปืนดังก้อง เขม่าควันยังเห็นได้ชัดจากปากกระบอกปืน คนยิงหันไปมองลูกน้องที่กล้าปัดมือเขาจนลูกกระสุนเปลี่ยนทิศ หากแต่คนทำกลับไม่ยอมอ่อนให้เหมือนเคย
“ถ้าบอสยิงมัน บอสจะกลายเป็นฆาตกร คิดถึงดอนกับมาดามบ้างสิครับ”
อังเดรบอกอย่างต้องการเตือนสติเจ้านายหนุ่ม
“กู…”
แซทพูดไม่ออก อารมณ์โกรธชั่ววูบเมื่อครู่นี้สั่งให้เขาลั่นไกออกไปโดยไม่สนว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นไร
“ได้โปรดปล่อยมันให้ผมจัดการ”
“กูจะจัดการมันเอง”
ควินเอ่ยขึ้นอย่างไม่สนใจสถานการณ์ตึงเครียดตรงหน้า เขาอยากเค้นความจริงจากปากมันด้วยตัวเอง อยากรู้ว่ามันเอาคนรักไปซ่อนไว้ที่ไหน
“ไม่ได้ครับ” อังเดรเอ่ยขัด
“เห็นได้ชัดว่าคุณกับบอสควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น ได้โปรดปล่อยมันให้พวกผมจัดการเถอะครับ”
ควินหันไปสบตาแซทที่มองมาเช่นเดียวกัน ต่างคนต่างรู้ดีว่าที่อังเดรพูดนั่นคือความจริง ถ้าเขาควบคุมอารมณ์ตัวเองได้
เหตุการณ์คราวนั่นคงไม่เกิดขึ้น
“กูไม่กลัวพวกมึงหรอก ต่อให้มึงยิงกู กูก็ไม่กลัว อย่างมากก็แค่ตาย”
ธัญญ์เอ่ยขึ้นอย่างท้าทาย แม้ในใจลึกๆจะยังหวาดกลัวกับเสียงปืนเมื่อครู่
“หุบปาก!” อังเดรหันไปตวาดใส่คนเจ็บที่ยังกล้าปากดีพูดยั่วอารมณ์ได้อยู่ ก่อนจับสองมือรวบไขว้หลัง หันไปพยักหน้าให้อะดอนิสหาผ้ามาปิดปากมันไว้ เพื่อที่จะไม่ได้ยินถ้อยคำปลุกปั่นอารมณ์ขึ้นมาอีก
“ปล่อยกู! ปล่อยสิวะ! พวกมึงมันโง่! ต้าร์ไม่ได้รักพวกมึง ได้ยินมั้ย ถ้าต้าร์รักพวกมึงจริง เขาจะยอมนอนกับกูง่ายๆได้ไง พวกมึงมันโง่!”
คำพูดนั่นราวกับน้ำกรดกันกร่อนหัวใจคนฟังก่อนที่คนพูดจะถูกปิดปากแล้วลากขึ้นรถไป ควินกับแซทยืนนิ่งท่ามกลางลูกน้องที่เหลือ ไม่มีใครกล้าส่งเสียง
“พวกมึง” แซทเอ่ยเรียกลูกน้อง
ทุกคนรีบเดินเข้ามาใกล้อย่างรอฟังคำสั่ง
“ไปหาให้เจอ อย่าให้พ้นคืนนี้”
ทุกคนน้อมรับคำสั่งก่อนแยกย้ายไปทำหน้าที่ ควินเดินกลับไปที่รถตัวเอง นัยน์ตาคมจ้องโทรศัพท์ที่คว่ำหน้าจออยู่บนคอนโซล มือใหญ่ยื่นออกไปหยิบมันมาพลันคำพูดของธัญญ์ก็ดังขึ้นในห้วงความคิด ไม่อยากเชื่อ แต่สิ่งที่ได้เห็นและได้ยินจากคลิปก็บั่นทอนจิตใจให้หวั่นไหว
“ควิน มึงจะไปหาต้าร์ที่ไหน” แซทเดินตามมาหยุดอยู่ข้างรถ มองหน้าเพื่อนอย่างรอฟังคำตอบ
“กูไม่รู้” ใช่…คำตอบตอนนี้คือเขาไม่รู้จะไปหาต้าร์ได้ที่ไหน
“แม่งเอ๊ย! กูอยากจะฆ่าไอ้เหี้ยธัญญ์จริงๆ!”
แซทสถบอย่างหงุดหงิด ทั้งยังโกรธที่คำพูดอีกฝ่ายตามมาหลอกหลอนไม่เลิก
“มันแค้นกูมาก มันทำได้ทุกอย่างเพื่อให้กูเจ็บเหมือนอย่างที่มันเจ็บ”
มันทำสำเร็จ เพราะตอนนี้เขาก็กำลังเจ็บอยู่จริงๆ เจ็บที่มันกล้าแตะต้องคนที่เขารัก เจ็บที่มันพูดแทงใจว่าต้าร์ไม่ได้รักเขา
“เรื่องนั่นช่างหัวมัน กูไม่สนว่ามันจะแค้นมึงขนาดไหน ที่กูสนตอนนี้คือต้าร์ ต้าร์อยู่ที่ไหน!”
***************************************
แสงจากหลอดไฟบนเพดานแยงตาคนป่วยให้ค่อยๆกระพริบถี่ จนเมื่อลืมขึ้นเต็มตาอาการปวดตามร่างกายก็เล่นงานให้นิ่วหน้า สองมือบางยันตัวขึ้นพิงกับหันเตียง มองไปรอบๆตัวอย่างสำรวจ และตอบคำถามตัวเองในใจว่าที่นี่คือโรงพยาบาล แต่คำถามต่อมาคือ ตัวเองมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?
ประตูห้องถูกเปิดเข้ามาให้คนป่วยหันไปมอง ดวงตากลมเบิกกว้างอย่างตกใจที่ได้เห็นหน้าลุงหมอ
“ตื่นแล้วเหรอ เป็นไงบ้าง”
“ผมมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงครับ”
แทนคำตอบเจ้าตัวถามกลับอย่างงุนงง ความทรงจำครั้งสุดท้ายคือตอนที่กำลังดิ้นรนต่อสู้กับธัญญ์อยู่บนเตียง จำได้ว่าตอนนั้นขัดขืนแรงของธัญญ์ทุกวิถีทางแต่จู่ๆก็รู้สึกมึนหัวขึ้นมา มันวูบโหวงคล้ายจะเป็นลมก็ไม่เชิง รู้เพียงว่าเริ่มอ่อนแรงลงเรื่อยๆจนสายตามันพร่าเบลอ คิดมาถึงตรงนี้สองมือก็ยกขึ้นลูบคลำไปทั่วตัวอย่างร้อนรน เพื่อต้องการจะตรวจสอบว่าร่างกายยังอยู่ในสภาพปกติ ไม่ได้ถูกคนชั่วรังแก
“ต้าร์ใจเย็นก่อน ฟังลุงนะ”
คนป่วยหอบหายใจแรง เงยหน้ามองลุงหมอ หากแต่สองมือกลับกำแน่นด้วยความหวาดกลัว
“ในเลือดต้าร์มีสารเสพติดแอลเอสดี มันมีฤทธิ์กล่อมประสาท”
“อะไรนะครับ”
คนป่วยถามเสียงหลงก่อนส่ายหน้าด้วยไม่อยากยอบรับว่าสิ่งที่ได้ยินนั้นคือความจริง
“ไม่ต้องกลัว ร่างกายต้าร์ยังปกติดี ไม่ได้ถูกทำร้าย ภายนอกมีแค่รอยช้ำบนแขนกับตามตัวนิดหน่อย ต้าร์จะบอกลุงได้มั้ยว่าเกิดอะไรขึ้น”
“ผม…”
คนป่วยเม้มปากแน่น ย้อนคิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนตัดสินใจเล่าเรื่องทั้งหมดให้ลุงหมอฟัง
“โชคดีแค่ไหนที่ต้าร์ปลอดภัย ทำไมถึงไม่บอกลุงก่อนหน้านี้”
“ผมขอโทษครับ ผมผิดไปแล้ว ผมคิดผิดไปจริงๆ”
ยกมือไหว้ขอโทษลุงหมอ นัยน์ตากลมสั่นไหว เพราะความวู่วาม ไม่รอบคอบ ไม่ได้คิดถึงผลที่ตามมา เรื่องมันถึงได้แบบนี้ ทั้งหมดเป็นความผิดเขาคนเดียว เพราะความดื้อรั้นของเขาเอง
“ป่านนี้ควินกับแซทคงตามหาต้าร์ให้วุ่นแล้ว พวกมันยิ่งอารมณ์ร้อนกันอยู่ เดี๋ยวลุงจะโทรบอกควินว่าต้าร์อยู่ที่โรงพยาบาล”
“อย่าเพิ่งครับลุงหมอ ให้ผมบอกพวกเขาเองนะครับ ผมขอร้อง”
ให้ผมได้ขอโทษพวกเขาด้วยตัวผมเอง
“เฟียซ ต้าร์ขอโทษ ขอโทษที่ทำให้เฟียซเจ็บแบบนี้”
คนป่วยที่เปลี่ยนมาอยู่ในชุดไปรเวทจับมือเพื่อนสนิทที่นอนหลับอยู่บนเตียงมาแนบแก้ม เอ่ยขอโทษอย่างรู้สึกผิด เฟียซต้องมาเจ็บตัวเพราะเขาเป็นต้นเหตุ ถ้าเขาไม่ขอร้องให้อีกฝ่ายช่วยเหลือ เฟียซก็คงไม่เจ็บตัวแบบนี้ ดีแค่ไหนแล้วที่เฟียซยังปลอดภัย
“อย่าเอาแต่โทษตัวเองสิต้าร์ ไม่มีใครอย่าให้เหตุการณ์มันเป็นแบบนี้หรอก ต้าร์อย่าคิดมากเลยนะ”
ลุงหมอเอ่ยปลอบใจคนป่วยที่คิดว่าตัวเองหายดีแล้วทั้งที่สภาพจิตใจกำลังย่ำแย่
“ผมผิดเองครับ ทั้งหมดเป็นความผิดของผมเอง ผมจะรีบไปหาพวกเขา ไปอธิบายให้พวกเขาเข้าใจ” บอกพลางวางมือเพื่อนสนิทลง จับผ้าห่มขึ้นคลุมตัวให้เพื่อน
“ให้ลุงไปส่งดีกว่า ต้าร์ยังไม่หายดีเลยนะ”
“อย่าเลยครับ รบกวนลุงหมอเปล่าๆ ผมจะโทรให้เพื่อนมารับ อย่าห่วงเลยครับ”
ฟังคนป่วยตอบกลับมาคนเป็นหมอก็ได้แต่พยักหน้ารับ เข้าใจว่าเด็กหนุ่มอยากรีบไปเคลียร์เรื่องที่เกิดขึ้นด้วยตัวเอง
“ขอบใจนะบอสที่มาส่ง ขอโทษด้วยที่ทำให้เดือดร้อน”
“ไม่เป็นไรน้า เราเป็นเพื่อนกันนะ คิดไรมากวะ”
บอสตบไหล่เพื่อนพลางยิ้มกว้างให้ก่อนมองขึ้นไปบนตึกสูง คอนโดฯหรูที่เพื่อนพักอาศัยอยู่กับไอ้วายร้ายสองตัวนั่น
“แน่ใจนะว่าไม่ให้ขึ้นไปเป็นเพื่อน บอกตรงๆ บอสเป็นห่วงต้าร์”
เจ้าของชื่อยกยิ้ม จับมือเพื่อนไว้แน่น
“ขอบใจนะที่เป็นห่วง แค่รบกวนให้บอสมาส่งต้าร์ก็เกรงใจมากแล้ว บอสกลับไปพักผ่อนเถอะ”
“ก็ได้ กลับก็ได้ แต่อย่าลืมนะ ถ้ามีเรื่องอะไรก็รีบโทรมา ตอนนี้ไม่มีเฟียซให้ช่วยแล้ว บอสกับตัวเล็กอยู่สแตนบายให้ต้าร์เรียกใช้นะ”
“อืม…ต้าร์ไม่ลืมหรอก ขับรถดีดีนะ”
ยืนส่งเพื่อนจนรถห่างไปจากกรอบสายตาก็หันกลับมามองตึกสูง สูดลมหายใจลึกก่อนก้าวเดินเข้าไปในตึก
“เฮ้ย! นั่นมันแฟนบอสนี่หว่า พวกเรา ทางนี้เว้ย เจอแฟนบอสแล้วเว้ย!”
เสียงร้องตะโกนดังลั่นจนคนในตึกหันไปมอง ต้าร์เองก็งุนงงไม่ต่างกัน
“เอ่อ…ขอโทษนะครับ คุณต้าร์ใช่มั้ยครับ”
เจ้าของเสียงตะโกนเมื่อครู่เดินเข้ามาหาเป้าหมาย ต้าร์ไม่ตอบแต่มองอีกฝ่ายอย่างไม่ไว้ใจ
“คือผมเป็นลูกน้องของบอส เอ่อ…คุณแซทน่ะครับ บอสกำลังตามหาตัวคุณอยู่ เลยสั่งให้พวกผมมาเฝ้าที่นี่”
“แล้วตอนนี้พี่แซทอยู่ไหนครับ”
“คงกำลังตามหาคุณอยู่ ผมจะรีบโทรบอกบอสนะครับ”
อีกฝ่ายทำท่าจะต่อสายหาเจ้านายแต่ถูกมือเล็กยื่นเข้ามาแย่งโทรศัพท์ไป
“เอ่อ…ขอผมคุยกับเขาเองนะครับ ผมจะบอกพี่แซทเอง”
“ได้ครับได้ เชิญเลยครับ”
ต้าร์ผงกศีรษะขอบคุณก่อนเดินเลี่ยงออกมาโทรหาแซท แต่พอต่อสายแล้วกลับโทรไม่ติด เจ้าตัวเม้มปากแน่นก่อนกดต่อสายอีกเบอร์ โทรหาอีกคนที่ป่านนี้คงกำลังตามหาตัวเขาอยู่เช่นกัน
“ใคร”
เสียงเข้มจากปลายสายถามมา ถ้อยคำแรกที่ได้ยินทำเอาคนโทรหาหน้าหมอง
“พี่ควิน…ผมเองครับ”
ปลายสายเงียบไป แต่เพียงอึดใจก็ได้ยินเสียงถามกลับมา
“อยู่ไหน ตอนนี้ต้าร์อยู่ที่ไหน”
น้ำเสียงร้อนรนจากปลายสายยิ่งทำให้คนโทรหารู้สึกผิด
“ผมอยู่ที่คอนโดครับ“
“รออยู่ที่นั่น อย่าไปไหน ห้ามหายไปไหนเด็ดขาด”
ได้ยินคำสั่งก่อนเสียงสัญญาณจะตัดไป ตากลมมองหน้าจอโทรศัพท์ก่อนเดินกลับไปหาผู้เป็นเจ้าของเครื่องส่งคืนให้
“ขอบคุณนะครับ ผมจะขึ้นไปรอพวกเขาบนห้อง”
“ครับ เดี๋ยวพวกผมขึ้นไปส่ง”
“ไม่เป็นไรครับ ผมขึ้นไปเองได้”
“ไม่เป็นไรไม่ได้ครับ คนรักของบอส พวกผมต้องดูแลให้ดี ถ้าเกิดหายไปอีก บอสเอาพวกผมตายแน่”
ต้าร์ยิ้มบาง พยักหน้าเข้าใจ หากแต่ความรู้สึกผิดยิ่งเพิ่มพูนมากขึ้น ในใจหนักอึ้งเพราะพึ่งรู้ว่าสิ่งที่ตัวเองคิดและทำลงไป มันส่งผลให้คนอื่นเดือนร้อนมากแค่ไหน
ผมไม่รู้ว่าหัวใจเต้นแรงมากแค่ไหน แต่เสียงของมันดังมากจนผมตกใจ ยิ่งตอนที่ได้ยินเสียงประตูเปิด หัวใจมันก็ยิ่งเต้นแรงราวกับจะทะลุออกมานอกอก ผมลุกขึ้น พยายามบังคับขาให้ก้าวเดินไปข้างหน้า แต่ทันทีที่ร่างสูงของพวกเขาเข้ามาอยู่ในกรอบสายตา ขามันก็ก้าวไม่อออก แม้แต่คำพูดที่เตรียมไว้ตอนนั่งรอพวกเขาก็ยังหายลับไปจากสมอง
“หายไปไหนมา”
พี่ควินถามคำถามแรกพร้อมกับก้าวเข้ามาหา ผมเผลอกลั้นหายใจตอนที่เขาเข้ามาประชิดตัว
“ผม…ผมอยู่ที่โรงพยาบาลครับ”
เสียงผมสั่น มือผมก็สั่น ไม่รู้มันเป็นอะไร แต่ตอนนี้ ผมควบคุมตัวเองไม่ได้เลย
“จะโกหกอะไรอีก มึงจะหลอกอะไรกูอีก!”
พี่แซทตะคอกใส่หน้า เขาผลักพี่ควินออกแล้วเขย่าตัวผม นัยน์ตาดุคมแข็งกร้าวจนผมกลัว
“ผมไม่ได้โกหกนะครับ”
“ฮึ!”
เขาไม่พูด แต่เค้นยิ้มแล้วจับแขนผมลากไปที่ห้องนอน
ตุ๊บ!
แรงที่เขาเหวี่ยงผมลงบนเตียง มันทำให้ผมรู้สึกมึนไปชั่วขณะ และยังไม่ทันจะตั้งตัว แรงกระชากก็ตามมาฉุดผมขึ้นให้หันไปปะทะกับนัยน์ตาดุคม ผมกัดฟันแน่น อดทนกับความเจ็บปวดทางกายที่เขากระทำ ผมไม่กล้าบอกหรอกว่าผมเจ็บ ไม่กล้าแม้แต่จะสบตาเขา ผมรู้ว่าเขากำลังโกรธ โมโห และพร้อมอาละวาดได้ทุกเมื่อ
“มึงจะหลบตากูทำไม กล้าไปอ้าขาให้มันเอา แล้วทำไมไม่กล้ามองหน้ากู!”
“อะไรนะครับ”
ผมถามซ้ำอย่างไม่แน่ใจว่าคำพูดดูถูกที่ได้ยินเมื่อครู่นี้จะออกมาจากปากของเขา
“มึงโกหกกู! เถียงสิว่าไม่จริง เถียงสิว่ามึงไม่ได้เอากับไอ้เหี้ยธัญญ์!!”
แรงเหวี่ยงและแรงฉุดกระชากก่อนหน้านี้ยังเจ็บไม่ได้เศษเสี่ยวของคำพูดเขาเลย! ขอบตาร้อนผ่าวบังคับให้ผมต้องกระพริบตาถี่เพื่อขับไล่หยดน้ำตา กล้ำกลืนคำอธิบายลงคออย่างยากเย็น
เขาเลือกที่จะเชื่อคำพูดคนอื่นมากกว่าผม…คนที่เขาบอกว่ารัก
“เงียบทำไม กูถามว่าเงียบทำไม!”
“แล้วจะให้ผมพูดอะไรล่ะครับ ในเมื่อพี่เชื่อคนอื่นไปแล้ว”
-------------------------------------------------------------
เมื่อไหร่จะจบ?
คนอ่านคงอยากถามคำถามนี้
ใกล้แล้ว มันใกล้แล้วจริงๆนะ แต่คนเขียนจะมีเวลามาต่อให้มันจบมั้ยเนี่ยสิ
เคยบอกว่าจะไม่ทิ้งเรื่องนี้ ยังไงก็จะเขียนให้จบ เรายังยืนยัน นอนยันนะคะ
อาจจะนานหน่อย แต่มันจบแน่ เชื่อเรา เราจะทำตามสัญญา ขอเวลาอีกไม่นาน