HEARTBREAKER
66
เจ้าของร่างสูงใหญ่ยืนตีหน้านิ่งขรึมสร้างบรรกากาศกดดันให้แก่บุพการีที่นั่งกระวนกระวายอยู่บนโซฟาบุหนังภายในห้องรับแขก นัยน์ตาคมดุดันจ้องมองไปยังคนที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นพ่อเลี้ยงของตนเอง ราวกับจะสั่งผ่านสายตาว่าให้รีบตอบรับคำขอของตนเดี๋ยวนี้ หากแต่อีกฝ่ายยังคงนั่งจิบชาหอมกรุ่นอย่างสบายอารมณ์ ไม่ทุกข์ร้อนต่อปัญหาของลูกเลี้ยงแต่อย่างใด เป็นเหตุให้ภรรยาที่นั่งอยู่ข้างๆร้อนใจอยู่ในขณะนี้
“ผมไม่มีเวลารอคุณทั้งวันนะ!”
“แซท อย่าเสียมารยาท ยังไงเขาก็เป็นพ่อ…”
“มัน…เขาไม่ใช่พ่อผม”
“แซท!”
ดอนอัลแบร์โตวางแก้วชาก่อนยกมือขึ้นห้ามสงครามน้ำลายระหว่างแม่กับลูก มาดามคนสวยถอนหายใจแรงอย่างขุ่นเคืองลูกชายที่หอบเอาพายุอารมณ์พร้อมปัญหามาให้ซ้ำยังแสดงกิริยาไม่เหมาะสม
“ว่าไง ตกลงคุณจะช่วยผมมั้ย” แซทถามน้ำเสียงอ่อนลง หากแต่นัยน์ตายังดุดันคงเดิม
“นั่งลงคุยกัน” ประโยคกึ่งคำสั่งจากประมุขของบ้านทำให้คนเลือดร้อนยอมนั่งลงเพื่อพูดคุยกัน
“แซทรักเด็กคนนั้นมากเหรอ”
“ใช่ ผมรักต้าร์ รักมาก” แทบไม่เสียเวลาคิด ชายหนุ่มตอบเสียงห้วนแต่หนักแน่น
“แล้วทำไมเขาถึงจะหนีแซทไป”
“ก็เพราะ…” นัยน์ตาคมหรุบลงด้วยไม่อยากยอมรับความจริง
“เพราะอะไร”
“เพราะต้าร์ไม่ได้รักผม”
ดอนอัลแบร์โตยกยิ้มกับคำตอบของลูกเลี้ยงก่อนหันไปมองภรรยาข้างกาย
“แม่ว่าลูกปล่อยให้ต้าร์ไปดีกว่า บางทีน้องแค่ต้องการพักผ่อน”
“แม่จะไปรู้อะไร! ต้าร์ต้องการไปจากผม ถ้าไปแล้วเขาจะไม่มีวันกลับมาอีก!”
“พ่อช่วยแซทได้”
“คุณคะ”
“ให้ผมคุยกับลูกเถอะ เขาไม่เคยขอร้องอะไรผม นี่เป็นครั้งแรก จะให้ผมใจร้ายกับลูกได้ยังไง”
ดอนอัลแบร์โตลูบไล้หลังมือภรรยาแล้วหันไปมองลูกเลี้ยง
“แต่แซทต้องรับปากว่าจะรับช่วงต่อธุรกิจนี้ พ่อถึงจะช่วย”
‘นั่นไง! ไอ้มาเฟียเจ้าเล่ห์! นึกอยู่แล้วว่าคนอย่างมันไม่น่าจะยอมช่วยเขาง่ายๆโดยไม่มีข้อแลกเปลี่ยน’ แซทคิดในใจ แต่ตอนนี้เขาไม่มีทางเลือกแล้ว ถ้าไม่ได้คนฝีมือดีของอัลแบร์โตมาช่วยงาน
เขาอาจต้องเสียต้าร์ไปจริงๆ
“ได้ ผมรับปาก ขอให้คนของคุณช่วยผมได้จริงๆเถอะ”
“คนของพ่อไม่เคยทำงานพลาด”
แซทแสยะยิ้ม นึกถึงใบหน้าของเด็กหนุ่มที่คิดจะหนีไปจากเขา
‘ไม่ว่ายังไง มึงก็หนีกูไม่พ้น!’
**************************************************
“โทรติดมั้ยครับคุณยาย”
น้ำเสียงเร่งเร้าดังอยู่เบื้องหลัง หญิงชราหันมามองหน้าหลานชายอย่างอ่อนใจ
“ติดลูก แต่ต้าร์ไม่อยู่บ้าน”
“เขาอยู่ แต่ไม่ยอมรับสาย”
ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาขอร้องให้คุณยายช่วยโทรหาต้าร์ แต่พยายามโทรไปหลายครั้งแล้ว ฝ่ายนั้นก็ไม่ยอมคุยด้วยซักที ให้แต่แม่บ้านมารับสายแล้วบอกว่าเจ้าตัวไม่อยู่ หลบเลี่ยงแม้กระทั่งการพูดคุยทางโทรศัพท์ ต้าร์คิดจะไปจากเขาจริงๆ!
“แล้วควินทะเลาะกับน้องเรื่องอะไร ทำไมไม่คุยกันดีดี”
คนถูกถามยิ้มเศร้า เอื้อมไปจับมือผู้เป็นยาย
“ต้าร์ไม่ได้รักผมครับ ต้าร์ต้องการไปจากผม”
“โธ่ลูก” ด้วยสงสารหลายชายจับใจจึงได้แต่กอดปลอบอยู่อย่างนั้น
“ผมอยากให้คุณยายช่วยกล่อมต้าร์ พูดยังไงก็ได้ที่ทำให้ต้าร์เปลี่ยนใจไม่ไปจากผม ต้าร์รักและเคารพคุณยายมาก เขาอาจจะยอมฟัง”
“แต่โทรไปแล้วน้องก็ไม่ยอมคุยกับยาย งั้นเราไปหาน้องที่บ้านเลยดีมั้ย”
“ไม่ได้หรอกครับ”
“ทำไมล่ะ”
ควินแสยะยิ้ม นัยน์ตาแข็งกร้าวขึ้น
“เพราะคุณลุงไม่ยอมให้ผมเจอต้าร์”
“หมายความว่ายังไง ยายไม่เข้าใจ ลุงเรามาเกี่ยวอะไรด้วย”
“คุณลุงเป็นคนที่จะพาต้าร์หนีไปจากผม คุณลุงเป็นคนจัดการทุกอย่าง”
หญิงชราถอนหายใจยาว รู้สึกปวดหัวกับปัญหาวุ่นวายของหลานชาย
“ในเมื่อเป็นแบบนี้ ยายว่าควินต้องหาคนมางัดข้อกับลุงเราแล้วล่ะ”
คิ้วเข้มขมวดฉับ ใบหน้าหล่อเหล่าแสดงอาการไม่เข้าใจกับคำพูดนั้น
“ให้ผมหาคนมางัดข้อกับคุณลุงเหรอครับ ใคร?”
“พ่อเราไง”
ควินเบิกตากว้าง ด้วยไม่คาดคิดว่ายายตนจะเอ่ยถึงคนคนนี้
“เรื่องในอดีตก็ช่างมันเถอะ ยายปล่อยวางแล้ว ยังไงเขาก็เป็นพ่อควิน ลูกมีเรื่องเดือนร้อน มีหรือคนเป็นพ่อจะไม่ยอมช่วย”
ควินคอตก กัดฟันแน่นเมื่อนึกถึงใบหน้าของคนเป็นพ่อ ความสัมพันธ์ของเขากับผู้ชายคนนั้นยังนับว่าเป็นพ่อลูกกันได้อยู่เหรอ? ไม่มีทางอื่นแล้วเหรอไง มือใหญ่ยกขึ้นเสยผมอย่างอารมณ์เสีย ครุ่นคิดอยู่นาน แต่ที่คุณยายพูดก็ถูก ถ้าจะหาคนมางัดข้อกับคุณลุง คนคนนั้นก็ควรเป็นพ่อของเขาเอง!
บ้านที่ไม่ได้กลับมานาน นานจนแทบลืมไปแล้วว่าเขายังมีบ้านหลังใหญ่โตนี้อยู่ ควินมองประตูรั้วสูงใหญ่เบื้องหน้าก่อนลดกระจกรถลงและกดแตรให้คนในบ้านมาเปิดประตูให้ ประตูรั้วเลื่อนเปิด รถหรูเคลื่อนตัวเข้าไปในบ้าน ชะลอความเร็วและจอดสนิทอยู่ภายในโรงรถ ร่างสูงลงจากรถเดินตรงไปหน้าประตูบ้าน ท่ามกลางความแปลกใจของบรรดาการ์ดชุดดำที่ได้เห็นหน้าลูกชายของเจ้านายโผล่มา
“สวัสดีครับคุณควิน”
“เขาอยู่มั้ย”
“อยู่ครับ ท่านกำลังเซ็นเอกสารอยู่ในห้องทำงาน”
“ไปบอกเขาว่าฉันมา”
ชายหนุ่มสั่งด้วยความใจร้อน เพราะไม่อยากเสียเวลาและไม่คิดจะนั่งรอ หวังเพียงให้คนที่เขาอุตส่าห์มาขอร้องยอมตกลงช่วยเหลือก็จะรีบกลับ
“ควิน”
เสียงเรียกทำให้ร่างสูงหันไปมอง ความรู้สึกบางอย่างที่ไม่อยากยอมรับเอ่อล้นขึ้นมาในใจเมื่อได้เห็นหน้าผู้เป็นพ่อ ความรู้สึกที่เรียกว่า ‘ความคิดถึง’
“นานแล้วนะที่ลูกไม่ได้กลับบ้าน”
“ผมมีเรื่องอยากให้ช่วย”
“ถ้าไม่มีเรื่องก็ไม่คิดจะกลับบ้านเลยเหรอ”
“ผม…”
“ช่างเถอะ แล้วมีเรื่องอะไร”
“ช่วยขัดขวางแผนการของคุณลุงให้ผมที”
**************************************************
บรรยากาศภายในห้องรับแขกเต็มไปด้วยความตึงเครียด หลังจากที่ลุงหมอมาถึงและแจ้งข่าวความเคลื่อนไหวของ ‘พวกเขา’ ให้พวกเรารับรู้ ผมนับได้ว่าตัวเองถอนหายใจไม่ต่ำกว่าห้าครั้งแล้วกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ลุงหมอบอกว่าพี่ควินไปขอให้คุณพ่อของเขาช่วย ส่วนที่แซทก็ไปขอให้พ่อเลี้ยงของเขาช่วยเช่นกัน พวกเขายอมทำทุกอย่างเพื่อไม่ให้ผมไป หรือผมจะหนีพวกเขาไม่พ้นจริงๆ
คุณยายของพี่ควินโทรมาที่บ้าน ท่านต้องการคุยกับผม แต่ผมรู้ว่าเบื้องหลังพี่ควินต้องมีส่วนเกี่ยวข้องแน่เลยเลี่ยงไม่รับสายท่าน ผมรู้สึกผิดที่ทำแบบนั้น แต่อีกใจก็คิดว่าทำถูกแล้ว เพราะถ้าผมรับสายผมอาจจะใจอ่อนก็ได้ ได้แต่ขอโทษท่านอยู่ในใจ และหวังว่าท่านจะเข้าใจถึงความจำเป็นของผมด้วย
ดอนอัลแบร์โตก็โทรมาหาลุงหมอเช่นกัน ฝ่ายนั้นต้องการเจรจา แต่ลุงหมอปฎิเสธไป สุดท้ายแล้วเลือดก็ย่อมข้นกว่าน้ำ ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้พ่อเลี้ยงของพี่ควินจะยอมคล้อยตามลุงหมอจนยอมให้อังเดรกับอะดอนิสมาคุ้มกันผมก็ตาม แต่ในที่สุดความจริงก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า ดอนอัลแบร์โตเลือกที่จะช่วยลูกเลี้ยงของตัวเอง แม้แต่ความสัมพันธ์ของพี่ควินกับพ่อของเขาที่ไม่ลงรอยกัน แต่พี่ควินก็ยังยอมไปขอร้องให้ท่านช่วย สุดท้ายคนเป็นพ่อก็ต้องเลือกช่วยเหลือลูกชายตัวเอง
ที่พึ่งหนึ่งเดียวของผมตอนนี้ก็คือลุงหมอ แม้ว่าผมจะไม่อยากให้ท่านต้องทะเลาะกับน้องชายและหลานชายของตัวเองเพื่อปกป้องผมก็ตาม แต่ก็ต้องยอมรับว่าผมเห็นแก่ตัว เพราะผมอยากให้ท่านช่วยพาผมหนีไปจริงๆ เรื่องนี้จะทำให้ท่านเดือนร้อนแน่นอน แต่ผมไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว ผมไม่มีกำลังคนมากพอที่จะใช้ต่อกรกับพวกเขา ลำพังแค่ผมตัวคนเดียวจะเอาแรงที่ไหนไปสู้อำนาจและอิทธิพลของพวกเขาได้
“ต้าร์ไม่ต้องเครียดนะ”
ลุงหมอบอกผมอย่างเป็นห่วง ผมรู้สึกขอบคุณท่านด้วยใจจริง
“แล้วเราจะเอายังไงครับ ผมไม่อยากให้น้องกลับไปอยู่ในสภาพนั้นอีก”
พี่เนสมองลุงหมอก่อนเอื้อมมาจับมือผมไว้
“เราต้องรีบเดินทาง ลุงเตรียมคนไว้แล้ว”
“ผมกับน้องพร้อมเดินทาง แต่ผมอยากให้แน่ใจว่าพวกมันจะไม่ตามเรามา”
บรรยากาศเงียบขึ้นมาอีกครั้ง ลุงหมอขมวดคิ้วยุ่ง ผมรู้ว่าท่านกำลังใช้ความคิดอย่างหนัก ลำพังแค่ท่านงัดข้อกับน้องชายตัวเองก็เป็นปัญหาหนักแล้ว แต่นี่ยังมีดอนอัลแบร์โตเพิ่มมาอีก ด้วยอิทธิพลของพวกเขาแล้ว การที่จะจับตัวคนคนนึงไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลย ถ้าพวกเขาจะให้คนมาจับตัวผมถึงที่บ้านตอนนี้ก็ย่อมได้ เพียงแต่พวกเขายังไม่ลงมือ คงเพราะคิดว่าลุงหมออาจจะเปลี่ยนใจยอมเจรจาด้วย แต่ในเมื่อลุงหมอยืนยันแล้วว่าเราต้องรีบเดินทาง เพราะฉะนั้นตอนนี้เราต้องคิดหาทางไม่ให้พวกเขาตามพวกเราทัน
“เราต้องวางแผน ทำยังไงให้พวกเรารอดพ้นสายตาของพวกเขา หรือถ่วงเวลาให้นานที่สุด”
ลุงหมอสบตาผม ท่านพยักหน้าเห็นด้วย ผมนิ่งคิดหาวิธี เราต้องใช้รถในการเดินทาง ซึ่งเส้นทางที่เราใช้ต้องไม่ให้พวกเขารู้ แต่จะทำได้ยังไงในเมื่อเส้นทางที่เราใช้เป็นเส้นทางสายหลัก ซึ่งสามารถค้นหาและคาดเดาได้ง่ายๆ แต่ถ้า…
“เอาอย่างนี้ดีมั้ยครับ”
ผมพูดขึ้นเมื่อคิดหาวิธีได้ มันอาจไม่ใช่แผนที่ดีและได้ผลนัก แต่อย่างน้อยก็ช่วยถ่วงเวลาได้ คงมีแต่วิธีนี้เท่านั้น ถึงจะเสี่ยงแต่ก็ต้องลองดู
ในห้องพักรับรองแขกของคฤหาสน์มีชายชุดดำเดินเข้าออกสวนกันไปมาตั้งแต่เริ่มปฎิบัติการ กลางห้องมีโต๊ะกระจกยาวตั้งวางอยู่ บนโต๊ะเต็มไปด้วยแผ่นกระดาษและแผนที่เส้นทางต่างๆ ทั้งยังมีเครื่องตรวจจับสัญญาณวางอยู่ บริเวณหัวโต๊ะมีเจ้าของร่างสูงนั่งนวดคลึงขมับตัวเองอยู่ หากแต่สายตายังจ้องเขม็งไปที่เครื่องตรวจจับสัญญาณ นี่คือห้องปฎิบัติชั่วคราวที่ถูกเซตขึ้นอย่างรวดเร็วตามคำสั่งของเจ้านายใหญ่ ปฎิบัติการนี้มีเป้าหมายเพียงหนึ่งเดียว คือตามจับตัว ‘คนสำคัญ’ ของเจ้านายกลับมา
“ฝ่ายนั้นมีความเคลื่อนไหวแล้วครับ”
ทันทีที่ลูกน้องเข้ามารายงาน คนที่นั่งนิ่งอยู่หัวโต๊ะก็ผุดลุกขึ้น
“มีรถจำนวนนึงทยอยเข้ามาในบ้านของเป้าหมายครับ”
“จำนวนนึงของมึงนี่มันกี่คันก็บอกมาสิวะ!” คนอารมณ์ร้อนตวาดอย่างหงุดหงิด
“เรายังระบุจำนวนไม่ได้ครับ เพราะตอนนี้รถยังทยอยขับเข้ามาเรื่อยๆครับ”
คนฟังคิ้วขมวด นิ่งคิดกับคำรายงาน
“กูว่าลุงมึงเริ่มแผนแล้วควิน เหี้ยเอ๊ย! จะมาไม้ไหนวะ”
เจ้าของร่างสูงในชุดเสื้อกล้ามสีดำกับกางเกงยีนเข้ารูปเดินเข้ามาในห้องพร้อมกลิ่นไหม้ของมวนบุรี่ที่คาบอยู่ในปาก
“จะมาไม้ไหนก็ช่าง แต่พวกเราต้องสกัดให้ได้ พวกมึงรีบไปสืบมา ว่าฝ่ายนั้นเอารถมาทำไม”
ควินสั่งลูกน้องเสียงเข้มก่อนเอื้อมหยิบแผนที่ขึ้นมาดู นัยน์ตาคมกวาดมองเส้นทางพลางคาดเดาในใจว่าอีกฝ่ายจะเดินทางไปที่ใด
“คนของกูเฝ้าอยู่ มันบอกว่าลุงมึงยังไม่โผล่หน้าออกมาจากบ้านต้าร์เลย”
“กูรู้แล้ว มีรถทยอยเข้ามาแบบนี้ กูคิดว่าพวกเราดักทางถูกแล้ว”
“ไม่มีชื่อต้าร์ ไม่มีชื่อลุงมึง ชื่อไอ้เนสก็ไม่มีในไฟลท์บิน มันก็ต้องเหลืออยู่ทางเดียวที่พวกนั้นจะใช้”
“บอสครับ ตอนนี้คุณหมอขับรถออกมาจากบ้านคุณหนูแล้วครับ” อังเดรเข้ามารายงานเจ้านาย
“มึงว่าไงนะ!” แซทร้องเสียงดัง หันไปมองเพื่อนก็เห็นว่ามีสีหน้าตกใจเช่นเดียวกัน
“เหี้ยแล้ว ลุงมึงจะเล่นอะไรวะ! จะเอาไง บุกเลยมั้ย กูขี้เกียจรอแล้วแม่ง!”
แซทตะโกนลั่น อารมณ์พลุ่งพล่านจนอยู่ไม่สุข
ท่ามกลางความเครียดของทุกคนในห้อง จู่ๆเครื่องตรวจจับสัญญาณก็ส่งเสียงดังขึ้นมา ทุกคนหันขวับไปมองสิ่งนั้น ควินกำหมัดแน่นก่อนคำรามลั่น
“ไอ้เหี้ยเฟียซ!”
เสียงต่อมาแทบจะดังขึ้นซ้อนกันคือเสียงคำสั่งของแซท
“บุก! ไม่ต้องรอเหี้ยอะไรแล้ว!”
“มึงตามไอ้เฟียซไป กูจะตามลุงกูเอง”
ควินบอกเพื่อนก่อนหยิบเสื้อแจ็กเก็ตหนังสีดำที่พาดอยู่บนเก้าอี้ขึ้นสวมแล้วรีบเดินออกจากห้องไป แซทมองกราดไปทั่วห้องด้วยสายตาแข็งกร้าว สั่งเสียงโหดสำทับ
“รายงานกูกับเพื่อนทุกความเคลื่อนไหว ต่อให้มีมดไต่ออกมาจากบ้านเป้าหมาย พวกมึงก็ต้องรู้!”
ดวงตากลมมองลอดช่องหน้าต่างที่เปิดแง้มไวนิดๆ ผ้าม่านใหญ่ช่วยปิดบังใบหน้าไม่ให้กลุ่มคนที่กำลังจับตาดูสถานการณ์จากด้านนอกมองเห็น เจ้าตัวสอดส่ายสายตานับจำนวนรถที่จอดอยู่หน้าบ้านและนอกรั้วบ้านพลางคิดถึงแผนการขั้นต่อไป ปากบางเม้มแน่นเพราะไม่มีเวลาให้คิดนานนัก ตอนนี้พวกเราต้องเดินทางแล้ว
“พี่ไม่อยากแยกกับต้าร์เลย เรานั่งรถคันเดียวกันไม่ได้เหรอ”
เนสแตะบ่าน้องชาย ถามด้วยสีหน้าเป็นกังวล
“ไม่ได้ครับ มีแต่วิธีนี้เท่านั้นที่พอจะช่วยถ่วงเวลาพวกเขาได้”
“แต่มันเสี่ยง ต้าร์จะขับรถคนเดียวได้ยังไง”
“ได้สิครับ อย่างน้อยที่พวกเราแยกกันก็ทำให้พวกเขาสับสนได้ เรามีรถหลายคัน ให้ขับล่อพวกเขาไปคนละทาง ยังไงซะพวกเขาก็ต้องเลือกที่จะตามไม่ทางใดก็ทางนึง พวกเขาจะลังเล และนั้นแหละคือโอกาสของเรา”
ต้าร์บอกพี่ชายอย่างมุ่งมั่น เขาคิดแล้วว่าวิธีนี้ดีที่สุด ตอนแรกที่เสนอแผนนี้ ไม่มีใครเห็นด้วยกับเขาซ้ำยังคัดค้านเพราะคิดว่ามันเสี่ยงมาก แต่เขาก็ยืนยันว่าแผนนี้อาจจะช่วยได้ อย่างน้อยก็ทำให้อีกฝ่ายเกิดความสับสน ซึ่งในที่สุดทุกคนก็ยอมตกลง
“งั้นต้าร์ต้องขับรถดีดี ระวังตัวให้มากๆ อย่าประมาทเด็ดขาดรู้มั้ย”
เนสย้ำความปลอดภัยพลางจับมือน้องบีบอย่างให้กำลังใจ
“ครับ ผมจะระวัง พี่เนสก็เหมือนกัน”
ต้าร์กอดพี่ชายแน่น สูดหายใจลึกก่อนระบายมันออกมาพร้อมกับความกังวลต่างๆ
“ชีวิตพี่เหลือแค่ต้าร์คนเดียวรู้ใช่มั้ย”
คนฟังพยักหน้ากับบ่าพี่ชาย กระชับอ้อมกอดแน่นขึ้น
“ดูแลตัวเองด้วย จำไว้ว่าพี่รักต้าร์ที่สุด”
เนสบอกก่อนจูบขมับน้องชายแล้วผละห่าง ลูบกลุ่มผมนุ่มส่งรอยยิ้มส่งท้ายให้แล้วเดินออกจากบ้านไป ต้าร์มองตามหลังพี่ชายด้วยความรู้สึกแปลกๆก่อนหยิบแว่นกันแดดสีชาที่คอเสื้อมาปิดบังดวงตาไว้หยิบหมวกที่วางอยู่บนโต๊ะมาสวม ในหัวมีหลายเรื่องวิ่งวนกันเต็มไปหมดแต่ก็พยายามสลัดความคิดไม่ดีทิ้งไปก่อนเดินเข้าไปในห้องนั่งเล่น
“พร้อมแล้วใช่มั้ยครับ”
นัยน์ตากลมมองผ่านแว่นตากันแดดเห็นกลุ่มคนจำนวนนึงกำลังช่วยกันแต่งตัวอยู่ พอคนเหล่านั้นเห็นว่านายจ้างเข้ามาก็รีบยืนตรงพร้อมรับคำสั่งทันที
“ถ้าพร้อมแล้วก็ไปกันเถอะครับ”
ทุกคนพยักหน้ารับคำสั่ง ทยอยกันเดินออกจากห้อง รั้งท้ายด้วยร่างบาง
“ผมขอโทษนะครับที่ทำให้ลำบาก”
“ไม่เป็นไร ขอแค่ให้ช่วยต้าร์ได้ก็พอ”
คนฟังยิ้มอย่างตื้นตันใจ ก่อนจะเดินแยกกันไปคนละทาง ร่างบางมองรถญี่ปุ่นคันเล็กเบื้องหน้า รีบเดินไปเปิดประตูแล้วเข้าไปนั่งประจำตำแหน่งคนขับ สตาร์จรถแต่ยังไม่ขับออกไป มือเล็กล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงหยิบของสิ่งนึงออกมาแล้วสวมมันไว้ที่คอ นิ้วเรียวลูบไล้สิ่งนั้น ยิ้มและปล่อยมือจากมัน จากนั้นก็ขับรถตามขบวนรถคันข้างหน้าไป
ลางสังหรณ์กำลังบอกว่าสิ่งที่เขาตัดสินใจเป็นเรื่องผิดพลาด แต่เสียงในใจกลับดังขึ้นมาว่า ช่างมัน!
“ไอ้เฟียซมันไปทางไหน”
เจ้าของรถหรูถามลูกน้องเสียงห้วน ตาก็จ้องถนนเบื้องหน้าเขม็ง ในใจร้อนราวกับมีกองไฟลูกใหญ่กำลังลุกโหม และไม่มีทีท่าจะมอดดับ ตราบใดที่เขายังไม่ได้สิ่งที่ต้องการ
“ตามสัญญาณบอกเลี้ยวไปทางขวาครับ” อังเดรบอกพลางชี้ให้เจ้านายเลี้ยวขวาตามไป
รถสปอร์ตหรูหักเลี้ยวอย่างน่าหวาดเสียว นัยน์ตาคมกระตุกเมื่อมองเห็นท้ายรถมอเตอร์ไซต์คันเป้าหมาย มือที่บังคับพวงมาลัยรถกำแน่น ลมหายใจคล้ายหยุดนิ่งเพราะสิ่งที่สองตากำลังจ้องมองอยู่ในขณะนี้คือผู้ชายรูปร่างบอบบางในชุดดำสนิทรวมทั้งหมวกที่สวมอย่างต้องการปิดบังใบหน้านั้น นั่งซ้อนท้ายรถมอเตอร์ไซต์คันดังกล่าว
“นั่นใช่คุณหนูหรือเปล่าครับ” อังเดรถามขึ้นอย่างไม่แน่ใจ
‘ไม่ใช่’ แซทตอบในใจ นัยน์ตาแข็งกร้าวขึ้นเมื่อลองพิจารณาผู้ชายคนนั้นดูอีกที ความรู้สึกก็บอกชัดว่าไม่ใช่ คนนั่นไม่ใช่ต้าร์!
เสียงโทรศัพท์ดัง อังเดรรับสายฟังคำรายงานจากพรรคพวก เมื่อเข้าใจแล้วก็รีบตัดสาย หันมารายงานเจ้านาย
“เรามีปัญหาแล้วครับ”
แซทหันมามอง ขมวดคิ้วยุ่ง ลางสังหรณ์บางอย่างบอกเขาว่า สถานการณ์ตอนนี้มันอยู่นอกเหนือการควบคุมของเขา ซึ่งนั่นหมายความว่า เขาอาจจะเสียต้าร์ไป!
“สายเรารายงานว่าเห็นคุณหมอกับคุณหนูอยู่ในรถตู้ กำลังมุ่งหน้าไปสนามบินครับ”
“ไอ้เหี้ยเฟียซ มึงกล้าหลอกกู!”
แซทตะโกนลั่นรถอย่างโกรธจัด ก่อนพยายามกัดฟันข่มอารมณ์ ประคองสติหักพวงมาลัยรถเลี้ยวตรงทางแยกข้างหน้า ในใจกำลังกระอักกับความจริงที่ไม่อยากยอมรับว่าเขาได้เสียท่าให้อีกฝ่ายแล้ว!
เสียงบีบแตรดังลั่นถนนอย่างไม่เกรงใจเพื่อนร่วมทาง คนขับไม่ได้แยแสต่อความเดือนร้อนที่เกิดขึ้นซ้ำยังกระหน่ำทุบอย่างบ้าคลั่ง นัยน์ตาคมตวัดมองกระจกที่ถูกเคาะ เจ้าของรถสปอร์ตหรูหลับตาแน่นครู่
นึงก่อนลืมตาและยื่นมือไปหยิบอาวุธสีดำเมื่อมข้างตัว กดปุ่มเลื่อนกระจกพอดีกับเสียงก่นด่าสาดเข้ามา
“มึงจะบีบแตรทำไมวะ! ไม่เห็นเหรอว่ารถมันติดไฟแดงอยู่ จะรีบไปตายที่ไหน!”
“กูจะทำอะไรมันก็เรื่องของกู มึงไม่ต้องเสือก!”
น้ำเสียงเหยียบเย็นมาพร้อมกับอาวุธปืนจ่อหน้าผากคนที่กล้ามาเข้ามาแส ซ้ำยังด่าอย่างไม่กลัวตาย ควินกดเสียงต่ำตั้งท่าเหนี่ยวไกอย่างไม่ลังเลจนคนถูกปืนจ่อตัวสั่นงันงก
“ข…ขอ…ขอโทษครับพี่”
“รีบไสหัวไป!”
ตะคอกจนอีกคนสะดุ้งเฮือกลนลานวิ่งหนีอย่างกลัวตาย ควินหายใจลึกกดเลื่อนปิดกระจกรถ วางปืนไว้ตำแหน่งเดิม สัญญาณไฟเปลี่ยนสี รถข้างหน้าเคลื่อนตัว ควินรีบเหยียบเร่งความเร็วหวังให้ทันรถคันเป้าหมายซึ่งมองเห็นอยู่ไม่ไกล ชายหนุ่มขับปาดหน้ารถคันอื่นจนขึ้นมาเทียบกับรถคันเป้าหมายได้สำเร็จพอดีกับเสียงโทรศัพท์ดัง เจ้าตัวสบถขึ้นคำนึงก่อนกดรับสาย
“ว่าไง อะไรนะ!”
ฟังเสียงปลายสายบอกถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เสียงหายใจแรงขึ้นเรื่อยๆเพราะอารมณ์โกรธเดือดพล่าน ชายหนุ่มแทบจะขว้างโทรศัพท์มือถือทิ้งเมื่อปลายสายสิ้นสุดการรายงาน
“แผนหลอกงั้นเหรอ”
ควินเค้นเสียง นัยน์ตาคล้ายเปลวเพลิงลุกโชน โมโหจนแทบอยากจะหยิบปืนมายิงระบายอารมณ์ที่อัดแน่นอยู่ในอก! รถคันเป้าหมายขับแซงขึ้นไป ชายหนุ่มกัดฟันแน่นก่อนตบเกียร์เหยียบเร่งความเร็วขึ้นปาดหน้าอย่างไม่กลัวตายจนรถคันที่ถูกตามเบรคเสียงดังเอี๊ยดพร้อมกับที่รถหยุดนิ่ง เจ้าของรถหรูเปิดประตูก้าวจากรถพร้อมปืนที่ถือแนบลำตัว เดินหน้านิ่งตรงไปที่รถคันดังกล่าวและเหวี่ยงแขนอย่างแรงพาให้อาวุธปืนในมือฟาดเข้าถูกกระจกรถเสียงแตกดังเพล้ง
“ลุงกูอยู่ไหน!”
ควินตะคอกถามชายคนขับรถ กวาดสายตามองห้องโดยสารที่ว่างเปล่า ปราศจากคนที่ต้องการตัว
“มึงอยากตายหรือไง!” ควินเล็งปืนไปที่คนขับรถด้วยอารมณ์โกรธจัด
“ผมไม่รู้”
คนขับรถตอบเสียงเรียบพลางยักไหล่ประกอบอย่างหน้าซื่อ ดูไม่ทุกข์ร้อนกับสิ่งที่เกิดขึ้น ราวกับรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าอยู่ก่อนแล้ว
“มึงต้องรู้!” เสียงแข็งสวนกลับทันควัน
“ผมไม่รู้จริงๆ หน้าที่ของผมคือขับรถมาเส้นทางนี้ ถ้าพวกคุณตามผมมาและหยุดผมได้ ผมก็หมดหน้าที่ ซึ่งตอนนี้ผมก็หมดหน้าที่แล้ว”
ควินมองคนตรงหน้าอย่างสงบ ในหัวคิดตามคำพูดก่อนคิ้วจะกระตุก
“แต่มึงขับรถลุงกู”
“ผมได้รับคำสั่งให้ขับรถคันนี้” อีกฝ่ายตอบกลับรวดเร็ว
ควินกัดฟันข่มใจให้เย็นและลดปืนลงแนบลำตัวด้วยรู้ว่าต่อให้เค้นเอาความจริงจากคนตรงหน้าต่อไปก็ไม่มีประโยชน์ เพราะจากคำตอบก็รู้แล้วว่าคนคนนี้ได้รับคำสั่งมาเพียงเท่านี้จริงๆตามที่บอก และเขาไม่ควรเสียเวลาอยู่ที่นี่!
เสียงโทรศัพท์ดังทำให้คนที่ตั้งสมาธิอยู่กับการขับรถสะดุ้ง ก่อนรีบรับสายเมื่อเห็นชื่อของที่โทรเข้ามา
“ว่าไงเฟียซ ตอนนี้เฟียซอยู่ไหน”
“พวกมันรู้แล้วว่าถูกหลอก แต่กูก็ล่อให้พวกมันขับตามมาไกลพอสมควร”
ปลายสายตอบกลับมา ได้ยินเสียงหอบหายใจแรง
“แล้วเฟียซปลอดภัยหรือเปล่า ไม่เป็นอะไรใช่มั้ย”
ต้าร์ถามเพื่อนด้วยความเป็นห่วง เพราะแผนการที่เขาวางไว้มันเสี่ยงอันตรายจริงๆ
“กูโอเค แล้วทางมึงเป็นไงบ้าง พวกมันยังตามไม่เจอใช่มั้ย”
“ทางต้าร์ก็โอเค พวกเขายังไม่ตามมา แผนเราได้ผล”
“มึงอย่าเพิ่งวางใจ ต้องให้มึงไปเจอลุงหมอที่จุดนัดพบก่อน แผนเราถึงจะสำเร็จจริงๆ”
“อืม…งั้นเฟียซระวังตัวด้วยนะ”
“บอกตัวมึงเองเหอะ ขับรถดีดี อย่าประมาท ตอนนี้ GPS ยังติดอยู่ที่รถกู เดี๋ยวกูจะขับรถวนแถวนี้กวนพวกมัน”
“โอเค ขอบคุณนะเฟียซ ขอบคุณทุกสิ่งทุกอย่างที่เฟียซทำให้ต้าร์มาตลอด”
“ไม่ต้องขอบคุณ ไม่ต้องมาทำซึ้งตอนนี้ ยังไงมึงก็เพื่อนกู ชีวิตมึงต้องดีกว่านี้ต้าร์”
ได้ยินเสียงสตาร์จรถมอเตอร์ไซต์พร้อมกับที่สายถูกตัดไป ต้าร์ยิ้ม ในหัวยังคิดถึงหน้าเพื่อนสนิท ต่อให้เฟียซไม่อยากได้ยินคำขอบคุณ แต่เขาก็มีแค่คำนี้คำเดียวจริงๆที่ต้องการบอกเพื่อน
“ขอบคุณนะเฟียซ ขอบคุณจริงๆ ที่ต้าร์มีเฟียซเป็นเพื่อนมันเป็นเรื่องดีที่สุดในชีวิตของต้าร์จริงๆ”
เอี๊ยด!!!
เสียงห้ามล้อของรถสปอร์ตสองคันดังขึ้นพร้อมกัน เจ้าของรถหรูเปิดประตูก้าวจากรถด้วยใบหน้า
เดือดดาล เดินตรงไปที่กระโปรงหน้ารถBMWสีขาวซึ่งมีกลุ่มคนยืนรออยู่
“เกิดเรื่องเหี้ยอะไรขึ้น! บอกกูมา!”
แซทถามลูกน้องพลางเสยผมอย่างหงุดหงิด หลังจากที่ได้รับรายงานล่าสุดเข้ามาว่าลุงหมอกับคนของเขาไม่ได้อยู่ในรถตู้คันนั้น พวกมันคือตัวปลอม!
“รถที่ขับเข้าไปในบ้านของเป้าหมายมีทั้งหมด10คัน แต่มีรถจอดอยู่ในบ้านก่อนแล้ว2คัน หนึ่งในนั้นคือรถของคุณหมอ รถทั้งหมดขับตามกันออกมาและแยกย้ายไปตามเส้นทางทั้งหมดนี้ครับ”
อะดอนิสรายงานเจ้านายพลางชี้บอกตำแหน่งบนแผนที่เส้นทางซึ่งมีจุดสีแดงกำกับไว้
“มึงจะบอกว่าฝ่ายนั้นใช้แผนสับขาหลอกพวกเรา”
ควินถามขึ้น แต่ในใจเชื่อไปแล้วว่าความคิดของตัวเองถูกต้อง
“ใช่ครับ พวกเขาใช้คนและรถมาหลอกพวกเรา”
“พวกมึงมันโง่! ไหนบอกทำงานไม่เคยพลาด แล้วนี้อะไร ถูกเขาหลอก ไปแดกหญ้าแทนข้าวไป!”
แซทตะโกนไล่อย่างโกรธจัด มือสั่นจนควบคุมไม่อยู่
“พวกเราขอโทษครับบอส แต่ตอนนี้เราก็รู้แล้วว่าฝ่ายนั้นวางแผนมาแบบนี้ ที่เหลือเราก็แค่ระบุรถคันเป้าหมายให้ได้และจู่โจม” อังเดรพูดขึ้น ทำให้ทุกคนในทีมพยักหน้ารับ
“รู้ทะเบียนรถพวกนั้นหรือเปล่า” ควินถามพลางฉวยแผนที่มาดูเส้นทาง
“รู้ครับ” อะดอนิสตอบก่อนส่งรูปถ่ายป้ายทะเบียนรถทั้งหมดให้ทั้งควินและแซทคนละชุด
“งั้นก็แยกย้าย จำไว้ว่ากูต้องได้ตัวเป้าหมายภายในคืนนี้!”
แซทสั่งก่อนจุดบุหรี่สูบ อัดสารนิโคตินเขาร่างกายระบายความเครียด แม้มันไม่ได้ช่วยอะไรเลยในตอนนี้ มองดูลูกน้องแยกย้ายกันไปขึ้นรถของตัวเองและขับออกไปด้วยความเร็ว
“ลุงมึงไม่น่าเป็นหมอนะควิน วางแผนแหกตาพวกเราได้ขนาดนี้”
แซทถากถางถึงญาติผู้ใหญ่ของเพื่อนสนิทอย่างข่มอารมณ์ไม่อยู่
“มึงคิดว่านี่เป็นแผนของลุงกูเหรอ” ควินย้อนถาม แสยะยิ้มเหี้ยม
“ถ้าไม่ใช่ลุงมึงแล้วจะเป็นใคร ก็ลุงมึงไม่ใช่เหรอที่คิดวางแผนพาต้าร์หนีตั้งแต่แรก”
“คนที่อยากหนีที่สุด คนที่อยากไปจากพวกเราตั้งนานแล้ว คนที่ไม่เคยรู้สึกเหี้ยอะไรกับกูและมึงเลย คนคนนั้นแหละที่คิดแผนนี้!” ควินสบตาเพื่อนก่อนเดินไปที่รถตัวเอง ทิ้งให้อีกคนยืนนิ่งอยู่กับที่
แซทมองตามหลังรถของเพื่อนซี้ที่ขับออกไปไกลแล้ว ในใจคล้ายมีมือลึกลับมาบีบเคล้นมันจนแทบหายใจไม่ออก มันเจ็บปวดไปหมด
“มึงทำขนาดนี้เลยเหรอต้าร์ มึงอยากไปจากกูมากขนาดนี้เลยเหรอ”
----------------------------------------------------------------------
ขอบคุณสำหรับคอมเม้นและการติดตามนะคะ
ตอนนี้อ่านกันยาวๆเลย
ใกล้จะจบแล้ว (จริงๆ)
พยายามไม่ให้เกินอีก 3 ตอน แจ้งนิดนึงว่ามีตอนพิเศษนะคะ
แพลนไว้ว่าไม่ 3 ตอน ก็ 5 ตอน ขอบคุณจริงๆสำหรับคนที่ยังติดตามมาถึงตอนนี้
นิยายเรื่องนี้เดินทายาวนานจริงๆค่ะ