HEARTBREAKER
25 (ต่อ)
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหนที่ผมนั่งเอนหลังพิงผนังเก้าอี้มองเนื้อปูนึ่งกับกุ้งเผาในจานด้วยความรู้สึกผะอืดผะอม เหล่มองผู้คุมทั้งสอง พวกเขาก็ซดเบียร์กันไปเงียบๆ ดูท่าทางสบายใจ มองไปอีกฝั่งอังเดรกำลังคุยเฟสไทม์อยู่กับใครไม่รู้ ส่วนอะดอนิสได้ยินแว่วๆก่อนหน้านี้ว่าขอตัวไปเข้าห้องน้ำ
ผมรู้สึกอิ่มจนจุก ถ้ามีมือหนักๆมาตบหลังผมตอนนี้ อาหารทะเลที่กินเข้าไปได้พุ่งพรวดออกมาแน่ๆ
“เป็นอะไร”
ผมยิ้มเจื่อนให้พี่ควิน ส่ายหน้าเบาๆแล้วเอนตัวไปซบไหล่เขาไว้
“กูถามว่าเป็นอะไร”
เขาจับไหล่ผมดันออก นัยน์ตาคมจ้องหน้าผมอย่างกดดันให้ผมตอบคำถามเขา
“จุกอาหารทะเล”
ผมตอบเสียงแผ่ว พี่ควินยกยิ้มมุมปากแล้วเขาก็ดีดหน้าผากผม พอผมทำหน้าบึ้งเขาก็หยิกแก้มผมอีก
“อย่าแกล้งมัน”
เสียงนิ่งๆของพี่แซทพูดขึ้นพร้อมกับแขนแกร่งสอดเข้ามาโอบรัดเอวผมไว้รั้งเข้าหาตัวเขา พอผมหันไปมอง เขาก็ก้มหน้าลงมากัดคอผม!
“อื้อ!”
ผมร้องพลางผลักดันเขาออกห่าง แต่เขาก็ซุกไซร้ซอกคอผมอยู่อย่างนั้น แถมยังมีเสียงหัวเราะหึหึของพี่ควินเป็นซาวน์ประกอบอีกต่างหาก
พวกเขารวมหัวกันแกล้งผม!
“ปล่อย ผมอึดอัด อยากกลับบ้านแล้ว”
ผมประท้วง ดิ้นให้หลุดจากอ้อมแขนที่รัดตรึงอยู่ พอดีกับที่อะดอนิสเดินเข้ามา พี่แซทยอมปล่อยผม เขาหันกลับไปดื่มเบียร์ต่อ
“คุณหนูอิ่มแล้วเหรอครับ”
อังเดรถาม ผมรีบพยักหน้าให้เขา มือก็ลูบท้องตัวเองไปด้วย
“เช็คบิลเลยมั้ยครับบอส”
“เช็คเลยฮะ”
ผมตอบแทนพี่แซท อะดอนิสยิ้ม ผงกศีรษะให้ผมแล้วกวักมือเรียกพนักงานให้มาเช็คบิลค่าอาหาร แอบเสียดายปูนึ่งกับกุ้งเผาแฮะ เหลือตั้งเยอะ ต้องโทษพวกเขาที่ผลัดกันแกะแหงะเนื้อปูกับกุ้งใส่จานให้ผม โดยที่ไม่ถามผมสักคำว่าทานหมดมั้ย ถึงผมจะกินเก่งแค่ไหน แต่อาหารสั่งมาตั้งเยอะ ผมจะไปทานหมดได้ยังไง ถ้าพวกเขาช่วยกันทานก็พอว่า แต่นี่พวกเขาเอาแต่ดื่มเบียร์ ข้าวก็ไม่ทาน อังเดรกับอะดอนิสก็ไม่ทานด้วย อาหารเลยเหลือเต็มโต๊ะเลย
“เหม่ออะไร”
ผมสะดุ้ง หันไปมองตามเสียง พี่ควินยืนมองผมอยู่ ผมยิ้มเก้อ ลุกขึ้นยืน มัวแต่นั่งคิดเสียดายอาหารบนโต๊ะ เลยไม่รู้ว่าพนักงานเช็คบิลเสร็จเรียบร้อยแล้ว
พี่ควินจับมือผมดึงให้เดินตามเขาไป ลูกค้านั่งกันเต็มทุกโต๊ะที่ผมเดินผ่าน มีหลายคนหันมามองพวกผมด้วยสายตาแปลกๆ ผมยิ้ม คงเป็นเพราะสีชุดของพวกผม ผู้ชาย3คนกับชุดสีชมพู ก็น่าขำอยู่หรอก
อะดอนิสเดินแยกไปเอารถเมื่อพวกเราเดินมาถึงปากทางเข้าร้าน ท้องฟ้ามืดสนิทบอกเวลายามค่ำคืน อังเดรยืนคุมพวกเรา เขามองไปทั่วบริเวณ คล้ายกับสังเกตการณ์รอบตัว สัญชาติญาณบอดี้การ์ดของพวกเขาทำให้ผมต้องพลอยระวังตัวตามไปด้วย
“มีบอดี้การ์ดตามคุ้มครองแบบนี้ ผมรู้สึกเหมือนตัวเองกลายเป็นลูกชายเจ้าพ่อมาเฟียเลยฮะ”
ผมพูดขึ้น พี่แซทแสยะยิ้ม ก้มลงมากระซิบที่ข้างหูผม
“ชอบมั้ยล่ะ สะใภ้มาเฟีย”
ผมส่ายหน้ารัว ถอยห่างจากพี่แซท เขยิบไปชิดพี่ควิน
“สะใภ้มาเฟียอะไร ผมเป็นผู้ชายนะ ไม่ใช่ผู้หญิงซะหน่อย”
“เห็นมั้ย มันไม่เอามึง”
พี่ควินพูดกับพี่พี่แซทข้ามหัวผม เขาโอบไหล่ผมเข้าหาตัว
“มึงก็สถานะเดี๋ยวกับกู อย่ามาคุยไอ้สัด มันก็ไม่เอามึงเหมือนกันนั้นแหละ”
พี่แซทโต้กลับ ผมเงยหน้ามองพี่ควินอย่างสงสัย สถานะเดี๋ยวกันอะไร ผมงงไปหมดแล้ว
“บอกมันสิ พ่อมึงกับพ่อเลี้ยงกู แม่งก็มาเฟียเหมือนกัน”
ผมเบิกตากว้างกับคำพูดพี่แซท พ่อเลี้ยงพี่แซทเป็นผู้มีอิทธิพลผมพอรู้มาบ้าง แต่เรื่องที่พ่อพี่ควินก็เป็นด้วยนี่ผมเพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เอง เท่าที่ผมรู้มาคุณพิทักษ์พ่อพี่ควิน ท่านเป็นนักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจในเครือของท่านมีหลายอย่าง แต่เท่าที่ผมรู้ก็มีโรงแรม คอนโดมิเนียมกับรีสอร์ท แล้วทำไมนักธุรกิจอสังหาฯถึงได้กลายเป็นมาเฟียไปได้ หรือว่าท่านทำธุรกิจบังหน้าแต่แท้ที่จริงแล้วท่าน…
ผมกลืนน้ำลายเหนียวหนืดลงคอ มองพี่ควินอย่างหวาดๆ
“ช่างแม่ง จะเป็นเหี้ยอะไรก็เรื่องของเขา ไม่ใช่เรื่องของกู”
“ทำไมพี่ควินพูดแบบนี้ล่ะครับ ยังไงท่านก็เป็นพ่อพี่นะ”
ผมว่า มองเขาอย่างตำหนิ
“หึ ยอมรับเหอะวะ มึงหนีไม่พ้นหรอก ขนาดกูอยากหนีฉิบหาย อัลแบร์โตแม่งยังตามจิกกูไม่เลิก ลูกจริงๆก็ไม่ใช่ จะให้กูรับช่วงต่อ หมดน้ำยาทำแม่กูท้องไม่ได้ เสือกเอาภาระมาให้กูอีก”
ผมมองหน้าพวกเขาสลับกันไปมาก่อนหันไปมองอังเดร ไม่รู้ว่าเขาจะคิดยังไงที่ได้ยินพี่แซทว่าดอนอัลแบร์โตเจ้านายของเขาแบบนี้ แต่มองร่างสูงใหญ่ที่ส่งยิ้มให้ผมคล้ายไม่ถือสา ผมก็วางใจ อังเดรกับอะดอนิสคงได้ยินพี่แซทต่อว่าพ่อเลี้ยงจนชินแล้วสินะ
อะดอนิสขับรถมาจอดเทียบอยู่ตรงหน้าพวกเรา ผมรีบเดินหนีพวกเขาไปขึ้นรถโดยไม่รอให้อังเดรเปิดประตูให้ ผมนั่งชิดประตูไม่หันไปมองพวกเขาที่ตามเข้ามา จู่ๆผมก็หวนคิดถึงเมื่อก่อนตอนที่เพิ่งรู้จักพวกเขา ช่วงเวลาที่พวกเราค่อยๆสนิทกันมากขึ้น ผมไม่เคยถามพวกเขาเลย ว่าพวกเขาคิดกับผมแบบไหนทั้งๆที่เฟียซคะยั้นคะยอให้ผมถาม แต่ผมก็ไม่ยอมปริปาก เพราะตอนนั้น ผมเชื่อมั่นในความคิดของตัวเองผมคิดว่าพวกเขาคิดกับผมเป็นแค่น้องชาย และผมก็คิดกับพวกเขาแค่พี่ชาย ที่คอยห่วงใยดูแลเอาใจใส่ผมไม่ต่างจากพี่เนส ไม่รู้ว่าตอนไหน ที่พวกเขาไม่ได้มองว่าผมเป็นแค่น้องชาย ตอนไหน ที่ทำให้ความรู้สึกของพวกเขาเปลี่ยนไป?
“พวกพี่เลิกมองว่าผมไม่ใช่น้องชายตั้งแต่เมื่อไหร่ ตอนไหน ที่เปลี่ยนความรู้สึกของพวกพี่”
เสียงโทรศัพท์ดังทำผมสะดุ้ง หันไปมองก็เห็นว่าอังเดรถือโทรศัพท์ยื่นส่งให้พี่ควิน
“พี่ควิน โทรศัพท์ฮะ”
ผมสะกิดแขนเขา แต่เขานั่งนิ่งเงียบ ผมชะโงกหน้าไปมองพี่แซท เขาก็นิ่งไปเหมือนกัน
เป็นอะไรไป?
“พี่ควิน ทำไมไม่รับโทรศัพท์ล่ะฮะ”
ผมถามพลางเขย่าแขนเขา แต่ก็เหมือนเดิม เขานิ่ง ไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับ ผมมองหน้าอังเดรอย่างงุนงง อังเดรส่ายหน้าส่งสายตาแทนคำตอบว่าเขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าพี่ควินกับพี่แซทเป็นอะไรไป
“ให้ผมรับสายแทนมั้ยฮะ เพื่อคนโทรมาจะมีธุระด่วน”
ผมเสนอตัว แต่พี่ควินก็ยังนิ่ง ไม่ฮือไม่อือ จนเสียงโทรศัพท์ตัดไป อังเดรหันกลับไปนั่งหลังตรงตามเดิม ผมจับมือพี่ควิน มองหน้าเขา
“พี่ครับ เป็นอะไรหรือเปล่า”
“มึงไม่เคยเป็นน้องชายกู กูไม่เคยคิดว่ามึงเป็นน้องชาย แค่มองตามึงครั้งแรก กูก็รู้แล้วว่าไม่ใช่”
ผมอึ้งกับคำพูดเขา ก้มหน้ามองมือตัวเอง ผมเผลอพูดอะไรออกไป ผมแค่คิดไม่ใช่เหรอ แค่คิด ไม่ได้คิดจะถามพวกเขาจริงๆซะหน่อย บ้าจริง ผมเผลอพูดออกไปเหรอเนี่ย!
รถจอดนิ่งปุ๊บ ผมก็รีบเปิดประตูกระโจนออกจากรถปั๊บ ผมเดินเร็วเข้าบ้าน พอมาถึงห้องผมก็คว้าเอาผ้าเช็ดตัวกับชุดคลุมอาบน้ำเดินเข้าห้องน้ำ แต่กว่าจะได้อาบ ผมก็นั่งทึ้งผมตัวเองอยู่นาน แว่วได้ยินเสียงเปิดประตูห้อง พวกเขาเข้ามาแล้ว ผมประวิงเวลาอาบน้ำให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“อย่าอาบนาน เดี๋ยวไข้ขึ้น”
เสียงเคาะประตูห้องน้ำตามมาด้วยคำสั่งแกมห่วงใยจากพี่แซท ผมยิ้ม คว้าชุดคลุมอาบน้ำบนราวมาสวม
“เสร็จแล้วครับ”
ผมบอกก่อนเปิดประตูออกไป พี่แซทยืนนิ่งอยู่ตรงหน้า ยื่นมือมาลูบหัวผมเบาๆ
“รีบใส่เสื้อผ้า อากาศหนาว”
ผมพยักหน้ารับรู้ เดินไปเปิดตู้เสื้อผ้า หยิบเอาชุดนอนออกมาเตรียมไว้
“ไอ้เหี้ยพอลมาหัวหิน มันโทรมาชวนไปผับใหม่”
ผมชะงักมือที่กำลังจะหยิบเสื้อชะโงกหน้าออกไปมอง
“ผับใคร”
“พี่ชายมัน เปิดวันนี้วันแรก กูบอกปัดมันแล้วว่าไม่ไป แต่เหี้ยพอลแม่งตื้อ บอกจะขับรถมาตามถึงบ้าน จะลากกูกับมึงไปให้ได้”
พอลเหรอ ถ้าผมจำไม่ผิด เขาคือเจ้าของวันเกิดที่ไปเลี้ยงในผับวันนั้น วันที่เกิดเรื่องกับผม
“ช่างหัวมัน”
“เขาอุตส่าห์โทรมาชวน พวกพี่น่าจะไปนะฮะ”
ผมพูดแทรกขึ้น
“อยากไปเหรอ”
พี่ควินหันมาถามผม
“ก็ถ้าพี่อยากให้ผมไปด้วย ก็ได้ฮะ”
ผมตอบไปแบบมึนๆงงๆ โทรศัพท์ในมือพี่ควินแผดเสียงดังขึ้น ผมเดาว่าปลายสายคงเป็นพี่พอลแน่ๆ
“ไอ้เหี้ยพอล! มึงจะโทรจิกไรนักหนาวะ”
เป็นการทักทายเพื่อนที่ฮาร์ดคอร์มาก
“จะไปใช่มั้ย”
พี่ควินหันมาถามผมอีก ผมก็ได้แต่พยักหน้ารับส่งๆไป
“ไม่ต้องมา เออ! กูไปเอง”
พูดจบก็ตัดสายทิ้งทันที
“รีบแต่งตัว ใส่แจ็กเก็ตไป อากาศหนาว”
“ครับ”
ผมตอบรับ หันมาเก็บชุดนอนกลับเข้าที่ไว้เหมือนเดิมแล้วหาชุดใส่ไปผับแทน พอแต่งตัวเสร็จผมก็นอนรอพวกเขาบนเตียง
“แน่ใจว่าอยากไป”
ผมหันไปมองคนถาม พี่ควินนั่งลงข้างๆผม เขายื่นหลังมือมาไล้แก้มผมเล่น
“ก็อยากไปฮะ ไหนๆก็ปิดเทอมแล้ว ควรใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ เที่ยวให้สนุกทุกวันไปเลย”
ผมบอกกลั้วหัวเราะ
“ไม่กลัวจะเกิดเรื่องอย่างคราวก่อน”
พี่ควินพูดถึงเหตุการณ์ในผับครั้งนั้น ผมยิ้ม มองหน้าเขานิ่ง
“ก็ถ้าผมขอตัวไปเข้าห้องน้ำอย่างคราวก่อน พี่จะไม่ตามผมไปเหรอฮะ พี่จะกล้าให้ผมไปคนเดียวอีกเหรอ ผมรู้ ว่าพี่จะไม่ยอมให้เหตุการณ์อย่างวันนั้นเกิดขึ้นกับผมอีก ใช่มั้ยฮะ”
ผมมองลึกเข้าไปในดวงตาคม เราจ้องตากันอยู่นานจนเขาก้มหน้าลงมาใกล้ สัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นๆเป่ารดบนหน้าผม
“ใช่ มึงพูดถูก กูจะไม่ยอมให้เกิดเหตุการณ์อย่างวันนั้นอีก จะไม่ปล่อยให้มึงไปเข้าห้องน้ำคนเดียว กูจะตามมึงไป ทุกที่ ที่มึงต้องการ”
เขาทาบทับริมฝีปากหยักลึกลงมา ผมหลับตาตอบรับจูบเขาอย่างเต็มใจ ไม่มีความรุนแรงในจูบครั้งนี้ ผมรับรู้ได้ถึงความอบอุ่นของเขาจากจูบและอ้อมกอด ผมยกแขนขึ้นคล้องคอเขาไว้ บดเบียดตัวแนบชิดเขามากขึ้น
“จะเอากันก่อนไป หรือจะไม่ไปแล้วอยู่เอากัน”
เสียงพี่แซทดังแทรกขึ้นมาทำให้ผมผงะผลักพี่ควินออก แต่เขายังคร่อมผมไว้อยู่ ผมหันหน้าหนีไปอีกทาง ไม่กล้ามองหน้าพวกเขา
“ผับเหี้ยอะไร ไม่อยากไปแล้ววะ”
พี่ควินพูดช้าๆเน้นๆคล้ายจะบอกย้ำให้ผมรู้ถึงความต้องการของเขา
“แต่ผมจะไป”
ผมหันกลับมารวบรวมกำลังผลักเขาอย่างแรง ไม่รู้ว่าเขายอมปล่อยหรือไม่ทันได้ตั้งตัว ผมถึงหลุดออกมาได้ ผมรีบลงจากเตียงเดินตรงไปเปิดประตู
“มาทำให้อยากแล้วจะจากไปอย่างนี้เหรอ โด่แล้วเอาลงยากนะ ไม่ต้องไปหรอก นะ อย่าไปเลย”
ผมหยุดชะงักขาที่กำลังจะก้าวออกจากห้อง หันกลับไปมองหน้าพี่ควิน เขาแสยะยิ้มยักคิ้วส่งให้ผม นัยน์ตาคมแฝงแววเจ้าเล่ห์
“ผมจะลงไปรอที่รถ”
ผมว่าเสียงแข็งแล้วก็รีบเดินออกมา ได้ยินเสียงพวกเขาสองคนหัวเราะเยาะไล่หลังผมด้วย!
ฮึ่ย! น่าโมโหชะมัด! พวกคนนิสัยไม่ดี!
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
มาเสิร์ฟอีก 50% แล้วค่าาา ครบ 100% แล้วนะตอนนี้
พระเอกเรากลายพันธ์ไปแล้ว
พวกนางรวมหัวกันแกล้งต้าร์อ่ะ นิสัยไม่ดีเนอะ *โบกหัวรัวๆ*
เพราะรักหรอกจึงหยอกเล่น
ตอนหน้าจะมีตัวละคร(สำคัญ)อีกคนนึงโผล่มา ตัวละครตัวนี้มีความเกี่ยวพันกับเรื่องราวในพาร์ทอดีต
จบตอนหน้าแล้วก็จะเป็นพาร์ทอดีตแล้วนะคะ เห็นมีคนคอมเม้นท์ว่าอยากรู้เรื่องในพาร์ทอดีตแล้ว
จบตอนหน้าได้อ่านกันแน่ค่ะ
ขอบคุณสำหรับคอมเม้นท์และการติดตามนะคะ
รักคนอ่านมากมาย *โปรยจูบ*
ปล. วันนี้เขาบอกว่าโลกจะแตก ยังไงก่อนมันจะแตกก็เข้ามาอ่านฮาร์ทเบรกเกอร์ก่อนนะทุกคน
ปล. (อีกครั้ง) ขำๆนะคะ ใครซีเรียสก็ขอโทษด้วย