HEARTBREAKER
46
(50%)
กลิ่นหอมของเนยสดเคล้ากับน้ำตาลทรายที่ทาบนขนมปังซึ่งกำลังปิ้งอยู่บนตะแกรงแทนเครื่องปิ้งไฟฟ้าที่นิยมใช้กันลอยคลุ้งในอากาศอยู่ภายในห้องครัว เยื้องออกไปมีแก้วสีใสทรงสูงสามใบข้างในมีน้ำแข็งหลอดอยู่ในปริมาณเกินครึ่งแก้ว ผงโกโก้ถูกตักใส่แก้วเปล่าที่ตั้งวางไว้ข้างๆตามด้วยครีมเทียมนมข้นหวานและนมสดร้อนๆชงให้เข้ากันก่อนเทลงไปในแก้วที่เตรียมน้ำแข็งไว้รออยู่ก่อนแล้วใส่นมข้นจืดตบท้าย ขนมปังปิ้งสุกพร้อมรับประทานถูกคีบออกมาจากตะแกรง หั่นเป็นชิ้นพอดีคำแล้ววางใส่ในจาน ก่อนที่ทุกอย่างจะถูกจัดใส่ถาดเตรียมพร้อมเสิร์ฟ
“ทำแบบนี้แล้วต้าร์จะไปไหนรอดล่ะครับคุณป้า”
ผมบอกแล้วเดินเข้าไปกอดเอวท่านอย่างออดอ้อนก่อนหอมแก้มท่านฟอดใหญ่ หลังจากที่ยืนดูท่านแสดงฝีมืออยู่นาน ทุกอย่างท่านทำด้วยใจ ใส่ความรักลงไปในทุกๆรายละเอียด ไม่ต้องบอกผมก็ดูออกว่าท่านมีความสุขมากแค่ไหนเวลาที่ได้เข้าครัวทำอาหาร ทำขนมหรือแม้แต่ของว่าง
“คุณหนูออกไปนั่งรอข้างนอกเถอะค่ะ เดี๋ยวป้ายกออกไปให้”
“ไม่ ผมจะยกออกไปเอง แล้วคุณป้าก็ต้องออกไปนั่งทานกับผมด้วย”
ผมบอกแล้วรีบยกถาดขึ้นทันที คุณป้ามองผมยิ้มๆแล้วส่ายหน้ายอมแพ้ หันไปหยิบหลอดมาใส่ในแก้วให้
“ก็ได้ค่ะ คุณหนูยกออกไปก่อน เดี๋ยวป้าตามไป”
“ครับผม”
ผมยิ้มตอบ เดินออกจากห้องครัวไปที่ห้องรับแขก ฝรั่งร่างสูงใหญ่นั่งรออยู่ที่โซฟา พอพวกเขาเห็นผมเดินมาก็รีบลุกขึ้นเดินเข้ามาหาจะช่วยผมยกแต่ผมส่ายหน้าปฏิเสธ พวกเขาเลยหลบทางให้ผมยกถาดไปวางไว้บนโต๊ะ
“หอมจังเลยครับ”
ผมเลิกคิ้วมองคนพูด หรี่ตามองหน้าเขาอย่างล้อๆ
“อังเดรอยากกินแล้วใช่มั้ยล่ะ”
เจ้าของชื่อพยักหน้า เขายิ้มกว้างโชว์ฟันขาว ผมหัวเราะ หยิบแก้วโกโก้นมสดส่งให้ เขารับไปดูดทันที หน้าตาบ่งบอกว่ามีความสุขมากจนเพื่อนร่วมงานที่ยืนอยู่ข้างๆกลืนน้ำลายตาม ผมหัวเราะดัง หยิบอีกแก้วส่งให้คนมอง
“ขอบคุณครับคุณหนู”
“ต้องขอบคุณคุณป้าครับ ผมไม่ได้เป็นคนทำ”
ผมยิ้มบอกอะดอนิส เขาพยักหน้าก่อนก้มดูดโกโก้นมสดกลืนลงคอไปอึกใหญ่
“คุณป้าทำอาหารอร่อย ผมชอบ”
อังเดรเอ่ยชมพอดีกับที่คุณป้าเดินเข้ามาพร้อมแก้วโกโก้นมสดในมือ ท่านยิ้มใหญ่เลย
“ตัวลอยแล้ว”
ผมเอ่ยแซว ท่านหันมาตีแขนผมเบาๆแก้เขิน ผมจับมือท่านให้นั่งลงข้างๆกัน
“อังเดรกับอะดอนิสก็นั่งลงเถอะฮะ ยืนกินแบบนั้นเมื่อยแย่เลย”
พอพวกเขายอมนั่ง ผมก็หยิบแก้วของตัวเองมาดูดบ้าง ยื่นมืออีกข้างจับส้อมจิ้มขนมปังปิ้งเข้าปากตาม
“ลองทานขนมปังดูสิฮะ อร่อยมาก” ผมบอกสองหนุ่ม ดันจานขนมปังปิ้งให้พวกเขา
“น้ำหนักผมขึ้นพรวดเลยตั้งแต่กลับมาอยู่บ้าน เพราะคุณป้านั่นแหละ ชอบทำแต่ของอร่อยๆให้ผมกินทุกวันเลย”
“แน่ใจนะคะว่าน้ำหนักขึ้น ป้าก็ยังเห็นคุณหนูตัวเท่าเดิม”
“ขึ้นจริงๆนะครับ ขึ้นตั้งโลนึง”
ผมว่าเสียงขึงขังแต่คุณป้ากลับยิ้มขำ อังเดรกับอะดอนิสก็พลอยยิ้มตามไปด้วย
“อะไรกัน ไม่มีใครเชื่อผมเหรอ” ผมว่าเสียงงอน
“เชื่อค่ะเชื่อ ป้าเชื่อคุณหนูค่ะ”
“ผมก็เชื่อครับ”
“ผมก็เชื่อคุณหนูครับ”
ผมมองหน้าคุณป้าแล้วหันไปมองหน้าอังเดรกับอะดอนิสเรียงตามลำดับ
“ชอบเห็นผมเป็นเด็กอยู่เรื่อยเลย”
ผมบอกหน้านิ่ง ตั้งแต่กลับมาอยู่บ้านช่วงปิดเทอมนี้ ชีวิตผมแทบไม่ได้หยิบจับอะไร ผมได้แต่นั่งๆนอนๆ วันไหนเบื่อๆก็ออกไปเดินเล่นในสวน ไม่ก็อ่านหนังสือการ์ตูน เล่นเกม วนเวียนอยู่อย่างนี้ อังเดรกับอะดอนิสเทคแคร์ดูแลผมอย่างดี ดีมากจนเกินไปด้วยซ้ำ เพราะแค่ผมจะรดน้ำต้นไม้ พวกเขายังไม่ยอมให้ผมทำเลย
“ก็คุณหนูยังเด็กจริงๆนี่ค่ะ”
“ต้าร์ไม่คุยกับป้าแล้ว”
ผมบอกแล้วลุกขึ้นเดินออกจากห้อง ได้ยินเสียงหัวเราะท่านดังตามมา ให้มันได้อย่างนี่สิ!
“จะเดินเล่นในสวนเหรอครับ แดดยังร้อนอยู่เลย”
ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ หันไปมองคนพูด อังเดรเดินตามผมออกมา เขายิ้มแต่ผมหน้าบึ้งใส่เขา
“ขอร้องล่ะ เลิกตามผมเถอะ ที่นี่คือบ้านผมนะ ผมแค่เดินเล่นในบ้าน” ผมบอกอย่างเหนื่อยใจ
“ขอโทษครับ ผมจะอยู่ให้ห่างจากคุณหนูมากกว่านี้”
มากกว่านี้ของเขาคือการก้าวถอยหลังออกไปสามก้าว เชื่อเขาเลย!
“อังเดร ผมถามจริงๆนะ พี่แซทให้เงินเดือนเท่าไหร่เหรอ พวกคุณถึงได้ทำตามคำสั่งเขาเคร่งครัดขนาดนี้” ผมถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง ตาก็มองหน้าเขานิ่ง รอฟังคำตอบ
“500 ดอลครับ”
“ว่าไงนะ!”
ผมร้องด้วยความอึ้งกับจำนวนเงินที่เขาบอก 1ดอลลาร์เท่ากับเงินไทยประมาณ30บาท 500ดอลลาร์ก็15,000บาท แค่หมื่นห้าเนี่ยนะ! เงินเดือนหมื่นห้าแต่ทำงานเหมือนคนได้เงินเดือนเป็นแสน
“500 ดอล คือเงินจ็อบพิเศษสำหรับดูแลคุณหนู แต่เงินเดือนจริงๆดอนเป็นคนจ่ายครับ”
“แล้วเงินเดือนจริงๆที่ว่ามันเท่าไหร่”
“คิดเป็นเงินไทยก็ประมาณ100,000กว่าบาทครับ”
“หา!!!”
ผมแทบสะดุดขาตัวเองกับเงินเดือนจริงๆของเขา งานบ้าอะไร! เงินเดือนแสนกว่าบาท งั้นผมไม่เรียนต่อแล้ว ไปทำงานกับอังเดรดีกว่า แค่ปีเดียวได้เงินเป็นล้าน!
“งั้นเงินหมื่นห้าก็เป็นแค่ค่าขนมสินะ”
ผมพูดกับตัวเองเบาๆแต่อังเดรกลับได้ยิน เขาหัวเราะ
“พวกผมทำงานกับดอนมานาน ไม่ได้หวังสิ่งตอบแทน แต่ท่านก็เมตตาพวกผม”
“แล้วกับพี่แซทล่ะ”
“บอสก็เมตตาพวกผมครับ”
เมตตาแบบไหนกัน ผมเห็นเขาด่าอังเดรกับอะดอนิสทุกวันเลย
“เชิญคุณหนูเดินเล่นต่อเถอะครับ ผมจะยืนอยู่ตรงนี้”
ผมเลิกคิ้ว แปลกใจที่วันนี้เขายอมปล่อยผมไม่ตามติดเหมือนเคย
“คำสั่งของบอสคือให้พวกผมดูแลคุณหนู ขอโทษนะครับที่พวกผมทำให้คุณหนูอึดอัด”
ผมยิ้มเจื่อน พูดไม่ออกที่เขาเอ่ยขอโทษผมทั้งที่เขาไม่ได้ทำอะไรผิด เขาก็แค่ทำตามคำสั่งเจ้านาย ผมเดินไปที่สวนหย่อม นั่งลงใต้พุ่มไม้ประดับ ขนาดของมันบังตัวผมมิดเลย ผมเงยหน้ามองท้องฟ้า ยิ้มกับความกว้างใหญ่ของมัน พอยกมือขึ้น ความรู้สึกเหมือนก้อนเมฆลอยเข้ามาอยู่ในมือผมเลย ถ้ายังอยู่ที่คอนโดฯ ผมไม่มีทางได้นั่งมองท้องฟ้ากว้างด้วยความรู้สึกปลอดโปร่งแบบนี้หรอก ห้องสี่เหลี่ยมนั้น ถึงแม้มันจะดูหรูหราแต่มันก็ไม่มีสวนหย่อมเหมือนกับบ้านผม ไม่มีต้นไม้ ไม่มีพื้นที่ให้ผมเดินเล่นสูดอากาศบริสุทธิ์ได้ ถ้าบ้านมันสามารถพกพาติดตัวได้ ผมอยากพกมันไว้ติดตัวตลอดชีวิตเลย ลมเย็นๆพัดพาเอาความสดชื่นมาให้สัมผัส ผมค่อยๆเอนตัวลงนอนกับพื้นหญ้า ยิ้มมองท้องฟ้าด้วยความรู้สึกเหมือนตัวเองได้รับการปลดปล่อย นี่ไง อิสระที่ผมรอคอย ตอนนี้ผมได้มันมาแล้ว
“ทำไมไม่ขึ้นไปนอนบนห้อง”
ผมค่อยๆลืมตา สิ่งแรกที่เห็นคือใบหน้าหล่อเหล่าของคนคุ้นเคย ร่างสูงยืนค้ำตัวผมอยู่ นัยน์ตาคมมองมามีแววตำหนิที่ผมมานอนอยู่ตรงนี้
“ผมมานั่งเล่นแต่เผลอหลับไป มานานแล้วเหรอฮะ” ผมบอกพลางถามเขา ขยับตัวลุกขึ้นนั่ง
นิ้วเรียวยาวยื่นเข้ามาสัมผัสแก้มก่อนผละออกไป ผมมองตาม เห็นใบไม้เล็กๆติดนิ้วเขา
“ขอบคุณครับ” ผมยิ้มบอกที่เขาเอาใบไม้ออกจากแก้มให้
“มีความสุขมั้ย”
ผมมุ่นคิ้ว ไม่เข้าใจว่าเขาหมายถึงอะไร พอเห็นผมงง เขาเลยขยายประโยคให้ผม ใบหน้านิ่งๆแต่แววตาเหนื่อยล้าของเขาทำให้ผมพูดไม่ออก
“ได้กลับมาอยู่บ้าน ได้เห็นหน้าพี่ชาย ได้กินข้าวฝีมือป้าแม่บ้าน ได้นอนเล่นในสวนหย่อม มึงมีความสุขใช่มั้ย”
ใช่…ผมมีความสุขมาก
“ยิ้มสิ มีมีความสุขแล้วก็ยิ้มสิ”
“พี่ควิน”
ผมเรียกชื่อเขาเสียงแผ่ว ไม่เข้าใจถึงความหมายที่เขาพูด เจ้าของชื่อคล้ายจะแสยะยิ้มหยันกับตัวเอง เขานิ่งไป ผมกำลังจะยื่นมือออกไปเตะไหล่กว้างแต่เขาก็พูดขึ้นมาก่อน
“ยิ้มเหมือนที่มึงเคยยิ้มก่อนที่จะเจอกับพวกกู”
“พี่ควิน”
ผมเรียกเขาอีกครั้ง เสียงเบาลงกว่าเดิม นัยน์ตาคมจ้องตาผมนิ่งราวกับเขาจะรอให้ผมยิ้มออกมา ผมค่อยๆยกยิ้มมุมปาก ค่อยๆยิ้มให้กว้างขึ้นแล้วหยุดค้างไว้ให้เขามอง พี่ควินลุกขึ้น เขาเบือนหน้าไปอีกทาง
“มึงสอบตกการแสดง แดก F ตัวเท่าควาย”
เขาบอกแล้วเดินออกไป ผมนั่งนิ่งคลายรอยยิ้ม คิดทบทวนคำพูดเขา แผ่นหลังกว้างที่ค่อยๆไกลห่างจากสายตายิ่งทำให้ผมไม่เข้าใจว่าเขาหมายถึงอะไรกันแน่ สอบตกการแสดงงั้นเหรอ ผมไม่ได้แสดงซะหน่อย เขาบอกให้ผมยิ้ม ผมก็ยิ้มให้เขาดู แล้วมันมาเกี่ยวอะไรกับการแสดงตรงไหน ผมไม่เข้าใจ
“คุณหนู กลับเข้าบ้านเถอะครับ เย็นแล้ว”
เสียงของอังเดรทำให้ผมหลุดจากภวังค์ความคิด หันไปมองก็เห็นร่างสูงใหญ่ยืนยิ้มรออยู่ ผมลุกขึ้นยืน เอามือปัดกางเกงแล้วเดินนำอังเดรเข้าบ้าน
“คุณหนู เมื่อกี้ป้าเห็นคุณควินดูเหนื่อยๆ เหมือนจะไม่สบาย ป้าเลยไปเอาแก้ไข้มาให้ คุณหนูเอาขึ้นไปให้คุณควินทานหน่อยนะคะ น้ำด้วย”
ผมขมวดคิ้วสงสัย พี่ควินไม่สบายเหรอ เมื่อกี้เขาก็ยังดูปกติอยู่เลย แต่ถึงจะคิดอย่างนั้นผมก็ยื่นมือออกไปรับยากับแก้วน้ำจากมือคุณป้า เดินขึ้นบันไดไปยังชั้นสองของบ้าน
ก็อกๆๆ
ผมของประตูห้องรับแขกที่พี่ควินพักอยู่ เสียงในห้องเงียบกริบไม่มีปฏิกิริยาอะไรตอบกลับมา ผมกำลังจะเคาะอีกที เสียงเข้มก็ตะโกนบอก
“เข้ามา!”
ผมจับลูกบิดประตู ปรากฏว่ามันไม่ได้ล็อค เปิดประตูเข้าไปก็เห็นเขานอนยกแขนก่ายหน้าผากอยู่บนเตียง
“ผมเอายาขึ้นมาให้ครับ เห็นคุณป้าบอกว่าพี่ควินดูเหนื่อยๆ ไม่สบายเหรอครับ”
ผมถามพลางเดินไปวางแก้วน้ำกับยาที่โต๊ะข้างหัวเตียง เขาเงียบ ไม่ตอบ ผมเลยนั่งลงบนเตียงข้างๆเขา โน้มตัวเข้าไปใกล้ จับแขนเขาออกจากหน้าผากแล้วทาบหลังมือลงไปแทน
“ตัวก็ไม่ร้อนนี่นา”
ผมว่า มองเขาที่ยังนอนนิ่งไม่หันมามองผม ข้างบนเพดานมันมีอะไรน่าสนใจหรือไง
“ต้องให้กูทำยังไง มึงถึงจะกลับมายิ้มได้เหมือนเดิม”
เขาเป็นอะไรไป ทำไมถึงเอาแต่ถามผมเรื่องนี้ ผมยิ้มไม่เหมือนเดิมตรงไหน หน้าผมก็ไม่ได้เปลี่ยนไป ผมก็ยังยิ้มเหมือนอย่างที่เคยยิ้มไม่ใช่หรือไง?
------------------------------------------------------------------------
เอิ่มมม พิมพ์ไปพิมพ์ทำไมมันถึงออกมาเป็นแบบนี้ก็ไม่รู้
ตอนนี้กลับมาสู่พาร์ทปัจจุบันแล้วนะคะ เพื่อใครงง