HEARTBREAKER
47
ผมสะดุ้งตื่นเพราะเสียงโทรศัพท์แผดดังอยู่บนโต๊ะหัวเตียง เอื้อมมือไปหยิบมาดูก็ต้องรีบรับเพราะคนที่โทรมาคือพี่เนส ผมยิ้มกว้างก่อนเอ่ยทักทายพี่ชาย
“คิดถึงจังเลยครับ”
ปลายสายส่งเสียงหัวเราะกลับมา คงอารมณ์ดีสินะ
“โทษทีนะ เมื่อวานพี่งานยุ่งมาก ปลีกตัวไปหาไม่ได้จริงๆ”
“ไม่เป็นไรครับ ผมเข้าใจ แล้ววันนี้ว่างเหรอ จะกลับมาค้างกับผมหรือเปล่า”
ผมรีบถามด้วยความหวังเต็มเปี่ยม แต่แล้วก็ต้องผิดหวังกับน้ำเสียงที่อ่อนลงคล้ายจะปลอบประโลมผม
“พี่ยังเคลียร์งานไม่เสร็จเลย ขอโทษนะครับ”
“ไม่เป็นไรฮะ”
ผมชินแล้ว บางที…ผมควรจะเลิกนิสัยงอแงติดพี่ได้แล้ว พี่เนสมีหน้าที่ที่เขาต้องรับผิดชอบ เขามีชีวิตเป็นของเขาเอง แต่ไม่เคยมีความสุขเลยเพราะเอาแต่เป็นห่วงผม
“แล้วกินข้าวหรือยัง”
“ยังเลยฮะ เพิ่งตื่นเพราะพี่โทรมาปลุกเนี่ยแหละ”
ผมว่าเสียงล้อ พี่เนสหัวเราะ แต่สักพักก็เงียบไป ได้ยินเสียงถอนหายใจยาวตามมา
“ต้าร์ อยากมาหาพี่มั้ย”
คราวนี้เป็นฝ่ายผมบ้างที่เงียบ แม้ผมจะอยากไปหาพี่ชายมาแค่ไหน แต่ในความเป็นจริง ผมทำแบบนั้นไม่ได้ ถ้าไม่ได้รับอนุญาตจากพวกเขาก่อน และผมคิดว่าพวกเขาไม่ยอมให้ผมไปหาพี่เนสแน่ๆถ้าไม่มีพวกเขาไปด้วย
“ถ้าต้าร์อยากมา พี่จะให้พี่หมอไปรับ”
“อย่าเลยฮะ ผมไม่อยากให้พี่หมอเดือดร้อน”
ผมรีบบอก ไม่อยากให้คนสนิทของพี่ชายต้องมาเดือดร้อนเพราะเรื่องของผม พี่หมอเป็นคนดี เขารักพี่เนสและเอ็นดูผมมาก ผมไม่อยากเห็นเขาต้องมามีปัญหากับคนอารมณ์ร้อนอย่างพี่ควินพี่แซท
“ที่พี่เคยถามเราไป ยังไม่ลืมใช่มั้ย”
ผมนิ่ง คิดทบทวนคำพูดพี่ชาย ยิ้มเศร้าเมื่อนึกถึงคำถามที่พี่เนสเคยถามตอนที่เราได้นอนคุยกันในคืนแรกที่พี่เนสกลับมาค้างกับผม
“พี่ยังยืนยัน ถ้าต้าร์ต้องการ พี่จะทำทุกอย่างให้เราได้กลับมาอยู่ด้วยกันเหมือนเดิม”
“ผมไม่อยากทรมานเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว”
พี่เนสเงียบไป ผมรู้ว่าเขาก็กำลังคิดเรื่องเดียวกับที่ผมคิดอยู่ ตอนนั้นที่พี่เนสจะพาผมหนีไปฮ่องกง คืนนั้นที่พี่มาหาผม แต่ผมไม่ได้เจอหน้า เพราะพี่เนสไม่ยอมทำตามข้อตกลงของพวกเขา สุดท้ายพี่ผมก็ถูกพี่ร็อคลากออกไปพร้อมกับการกักขังอิสรภาพของผมนับจากวันนั้น พวกเขาทำจริงไม่ได้แค่ขู่ ผมยังจำได้ดีถึงสีหน้าและแววตาเจ็บปวดกับน้ำเสียงเคียดแค้นชิงชังยามที่พี่ชายเล่าพร้อมระบายความรู้สึกในคืนนั้นให้ผมฟัง เราสองพี่น้องทรมานกับการถูกพรากจาก และผมไม่อยากให้เหตุการณ์แบบนั้นเกิดขึ้นกับพวกเราอีก ถ้าผมตัดสินใจหนีพวกเขาไปอีกครั้ง สุดท้ายผมกับพี่เนสก็จะไม่มีโอกาสได้เจอหน้ากันอีก มันไม่ใช่การคาดคะเน แต่ผมแน่ใจว่าพวกเขาไม่มีทางปล่อยผมไป และถ้าผมหนี พวกเขาจะตาม ถ้าผมต่อต้าน พวกเขาจะใช้กำลัง สู้ให้เราได้เจอหน้ากันแบบนี้ดีกว่า ถึงจะไม่ได้อยู่ด้วยกัน แต่ก็ดีกว่าถูกกีดกันไม่ให้เจอหน้ากันเลย
“ต้าร์ไม่เชื่อว่าพี่จะทำได้ใช่มั้ย”
“ผมเชื่อครับ แต่เราจะหนีไปได้นานแค่ไหน สักวันพวกเขาก็ต้องตามเราเจอ พี่ก็รู้ดีไม่ใช่เหรอว่าครอบครัวของพวกเขามีอิทธิพล แค่จะตามตัวพวกเรา ง่ายแค่พลิกฝ่ามือ”
“ฮึ! เพราะอำนาจเงินสินะ”
พี่เนสเค้นเสียงต่ำ ผมสูดหายใจลึกค่อยๆระบายออกมาพร้อมกับยิ้มให้กำลังใจพี่ชายและตัวผมเอง ถึงเวลาแล้วที่ผมควรจะปล่อยให้พี่เนสมีความสุขกับชีวิตของตัวเองสักที เขาเหนื่อยกับเรื่องของผมมามากพอแล้ว
“พี่ครับ สักวันพี่ก็ต้องมีครอบครัวเป็นของพี่เอง เราจะอยู่ด้วยกันไปตลอดชีวิตได้ยังไง จริงมั้ยครับ”
“ทำไมถึงพูดแบบนี้ ต้าร์เป็นน้องพี่นะ”
เสียงแข็งดังสวนมา ไม่ต้องเห็นหน้าผมก็รู้ได้ว่าพี่เนสกำลังช็อคกับคำพูดของผม แต่ผมตัดสินใจแล้ว ผมจะปล่อยพี่ไป ให้เขาได้มีความสุขกับคนที่พี่รักโดยไม่ต้องเป็นห่วงผมอีก
“หรือว่าพี่ไม่ได้รักพี่หมอ”
ความเงียบเข้าครอบคลุมบทสนทนาของเราอีกครั้ง ผมก้มหน้ากำผ้าปูที่นอนไว้แน่น
“พี่ครับ ไม่ต้องห่วงผมหรอก ชีวิตเป็นของพี่ อย่ากังวลเรื่องผมอีกเลย พี่ควรจะมีความสุขได้แล้ว”
“ต้าร์…”
“ถึงเวลาที่เราต้องยอมรับความจริงสักที”
“รักพวกมันเหรอ ต้าร์รักพวกมันแล้วใช่มั้ย!”
ผมส่ายหน้า ข่มกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลออกมา
“จะรักหรือไม่รักมันก็มีค่าเท่ากัน”
“หมายความว่ายังไง”
“ผมไม่ใช่ต้าร์คนเดิมอีกแล้วพี่ก็รู้ ผมดูแลตัวเองได้”
“ต้าร์ จะพูดอะไรกันแน่”
“ผมรักพี่ พี่ยังเป็นพี่ชายที่แสนดีของผมเสมอ ได้โปรด…มีความสุขกับคนที่พี่รักจริงๆสักทีเถอะครับ เลิกห่วงเลิกกังวลเรื่องผมได้แล้ว”
“จะให้พี่ทิ้งต้าร์ได้ยังไง พูดอะไรบ้าๆ!”
“ผมขอร้อง”
พี่เนสเงียบไป เงียบจนผมใจหาย สักพักสายก็ตัดไป ผมมองหน้าจอโทรศัพท์นิ่งด้วยความรู้สึกเสียใจที่พูดจาทำร้ายจิตใจพี่ชาย แต่ถ้าผมไม่ทำแบบนี้ พี่เนสก็ไม่ล้มเลิกความคิดที่จะพาผมหนีไปสักที ผมไม่อยากให้พี่ต้องมาเป็นห่วง เป็นกังวลเพราะผมอีกต่อไปแล้ว เขาควรจะมีชีวิตเป็นของตัวเองสักที จริงอยู่ที่เราเป็นพี่น้องกัน แต่สักวันหนึ่งพี่เนสก็ต้องมีครอบครัวเป็นของตัวเอง จะให้เขามาดูแลเหมือนผมเป็นเด็กตัวเล็กๆตลอดไปได้ยังไง ผมรู้ว่าพี่เนสไม่เคยคิดจะทิ้งให้ผมอยู่คนเดียว เขาสัญญาว่าจะเป็นทั้งพ่อทั้งแม่ให้กับผม แต่ผมไม่อยากทำลายอนาคตของเขา พี่เนสมีพี่หมออยู่เคียงข้าง และยังมีพี่ร็อคที่รักเขาอยู่อีกคน แต่ไม่ว่าพี่ผมจะตัดสินใจเลือกใคร นั้นมันก็เป็นสิทธิ์ของเขา ผมเป็นภาระให้พี่เนสมามากแล้ว ถึงเวลาที่ผมจะเติบโตและอยู่ต่อไปด้วยกำลังของตัวเองโดยไม่ต้องมีพี่มาคอยพยุง
ก็อกๆๆ
“คุณหนู ตื่นหรือยังค่ะ”
ผมหันไปมองตามเสียงเรียก คุณป้าขึ้นมาตามให้ผมลงไปทานข้าวแล้ว
“ตื่นแล้วครับ ขอเวลาอาบน้ำแป็ปนึง เสร็จแล้วจะรีบลงไปนะฮะ”
“ค่ะ ป้ารอข้างล่างนะคะ”
“ครับผม”
โทรศัพท์ส่งเสียงดังอีกครั้ง ผมรีบดูชื่อคนโทรเข้าแล้วรีบกดรับทันที
“ฮัลโหลพี่หมอ พี่เนสเป็นยังไงบ้างครับ” ผมรีบถามปลายสายด้วยความร้อนรน
“เนสร้องไห้ น้องต้าร์รู้หรือเปล่าว่าเนสร้องไห้ทำไม พี่ถามก็ไม่ยอมตอบ เมื่อกี้พี่ได้ยินเนสคุยโทรศัพท์กับน้องต้าร์ ขอโทษนะครับ มีปัญหาอะไรกันหรือเปล่า”
น้ำเสียงอ่อนโยนถามมา ผมไม่สามารถอดทนข่มกลั้นน้ำตาไว้ได้อีกต่อไป ผมทำให้พี่เนสเสียใจ พี่เนสร้องไห้เพราะผม
“ขอโทษนะครับพี่หมอ เพราะผมเอง เพราะผมพูดแบบนั้น พี่เนสเลยเสียใจ พี่หมอช่วยอยู่ข้างๆเขา ช่วยปลอบใจพี่เนสแทนผมหน่อยนะครับ ฝากบอกด้วยว่าผมขอโทษ ผมยังรักพี่เนสเหมือนเดิม”
ผมรีบบอกทั้งน้ำตา อย่างน้อยพี่เนสก็ไม่ได้อยู่คนเดียว ยังมีพี่หมอคอยดูแลเขาอยู่
“ครับ พี่จะบอกให้ น้องต้าร์ก็อย่าคิดมากนะครับ มีปัญหาอะไรก็ค่อยพูดค่อยจากัน”
“ขอบคุณนะครับพี่หมอ ฝากดูแลพี่เนสด้วย” ดูแลพี่เนสแทนผมด้วย
“ครับ ไม่ต้องห่วงนะ น้องต้าร์ก็อย่าลืมดูแลตัวเองด้วย แค่นี้ก่อนนะครับ”
“ครับ สวัสดีครับ”
ผมวางโทรศัพท์ไว้บนโต๊ะตามเดิม ล้มตัวลงนอนคว่ำหน้ากับหมอนนุ่มใบใหญ่ ร้องไห้ให้กับความงี่เง่าของตัวเองที่ทำให้พี่ชายเสียใจ ผมแค่อยากให้พี่เนสมีความสุขบ้าง อนาคตผมจะเป็นยังไงต่อไปก็ช่างมันเถอะ ขอแค่พี่ผมมีความสุข ปราศจากความทุกข์เพราะเป็นห่วงกังวลเรื่องของผมก็พอแล้ว แค่ที่เขาทำร้ายตัวเองโดยการกรีดข้อมือเพื่อที่จะได้พบกับผมมันก็มากเกินพอแล้ว อย่าให้เขาต้องทำอะไรที่เป็นอันตรายกับตัวเองมากไปกว่านี้เลย ผมไม่อยากมีบาปติดตัวเพราะเป็นสาเหตุให้พี่ชายต้องทำร้ายตัวเองเพื่อผม เขารักผมจนบ้างครั้งก็ลืมรักตัวเอง ผมรู้ว่าสิ่งที่ทำลงไปมันงี่เง่า แต่ผมจะไม่เปลี่ยนใจ
“ได้โปรดมีความสุขเพื่อผมนะครับพี่”
*************************************************
ผมมองตัวเองในกระจก ตรวจเช็คสภาพหน้าหลังจากอาบน้ำแต่งตัวเสร็จ ตาที่เคยแดงเพราะผ่านการร้องไห้กลับมาเป็นปกติแล้ว ผมคลี่ยิ้มบางๆก่อนเดินออกจากห้อง พอลงมาข้างล่างก็เห็นอังเดรกับอะดอนิสนั่งคุยกันอยู่ในห้องรับแขก
“ทานข้าวกันหรือยังครับ”
ผมเดินเข้าไปถาม พวกเขาลุกขึ้นค้อมศีรษะให้ผมอย่างนอบน้อม ถอยห่างออกไปยืนข้างๆโซฟา
“เรียบร้อยครับ คุณแม่บ้านจัดให้เราทานแล้ว”
อะดอนิสตอบ ท่าทางสุขุมของเขาทำให้ผมอยากแกล้ง
“ผมตื่นสาย เลยอดทานข้าวพร้อมกันเลย”
ผมว่ายิ้มๆ เขาเลิกคิ้วท่าทีอึกๆอักๆ ผมหัวเราะเพราะรู้ว่าต่อให้ตื่นทันพวกเขา ก็ไม่มีทางได้ทานข้าวด้วยกันหรอก เพราะพวกเขาไม่ยอมมานั่งทานข้าวกับผม พอถามเหตุผล พวกเขาก็บอกว่าไม่สมควรเพราะผมเป็นคนรักของพี่แซท ช่างเป็นลูกน้องที่จงรักภักดีต่อเจ้านายจริงๆ
“ว่าแต่ พวกเขาหายไปไหนตั้งแต่เมื่อคืนเหรอครับ”
เมื่อคืนนี้พวกเขาขับรถออกจากบ้านไป ไม่ได้บอกว่าจะไปไหน ไม่ได้พูดกับผมด้วย เพราะผมงอนที่พี่แซทแกล้งผมในห้องน้ำ เลยไม่ยอมพูดด้วย แล้วผมก็พาลไปถึงพี่ควิน พวกเขารู้ว่าผมงอนก็เงียบ ไม่พูดไม่จาแล้วก็ออกจากห้องไป
“เอ่อ…”
อะดอนิสอึกอักหันไปมองเพื่อนร่วมงาน อังเดรก็ทำหน้าเลิกลั่ก ให้มันได้อย่างนี้สิ
“โอเคครับ เข้าใจแล้ว บอกไม่ได้ก็ไม่ต้องบอก ผมไปทานข้าวดีกว่า”
ผมบอกแล้วหันหลังให้พวกเขา เดินตรงไปห้องอาหาร แม้ท้องจะหิวแต่ในหัวผมกลับเต็มไปด้วยคำถาม พวกเขากำลังคิดจะทำอะไร มีเรื่องอะไรปิดบังผมอยู่ ผมรู้ว่าอังเดรกับอะดอนิสต้องรู้เรื่องนี้แน่ เพียงแต่พวกเขาไม่ยอมบอกความจริงกับผม
“คุณหนูครับ เมื่อครู่นี้บอสโทรมาสั่งให้พวกผมพาคุณหนูไปหา”
ผมที่เดินลูบท้องออกมาจากห้องอาหารต้องชะงักกับร่างสูงใหญ่ที่เดินเข้ามาขวางหน้า
“แล้วพี่แซทอยู่ไหน”
“ไปถึงแล้วก็จะรู้เองครับ”
ผมเบ้ปากกับคำตอบที่เหมือนจะกวนโทสะ แต่ผมรู้ว่าอังเดรไม่ได้ตั้งใจหรอก
“ต้องไปเดี๋ยวนี้เลยเหรอ”
“ครับ ถ้าคุณหนูพร้อมแล้ว”
ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ ยิ้มให้อังเดรแล้วเดินนำเขาออกจากบ้านไป พอขึ้นรถมาผมก็โผล่หน้าไประหว่างเบาะตอนหน้า มองอังเดรแล้วหันไปมองอะดอนิสที่ทำหน้าที่ขับรถ
“บอกก่อนไม่ได้เหรอ”
ผมถามขึ้นอย่างอยากรู้ว่าพวกเขาจะพาผมไปที่ไหน เป็นความลับอะไรนักหนาถึงบอกไม่ได้
“คุณหนูไปถึงแล้วก็รู้เองครับ”
“อยากรู้ตอนนี้เลยไม่ได้เหรอ ทำไมล่ะ พี่แซทสั่งห้ามเหรอ”
“ครับ”
“โอเค ยอมแล้ว ไม่บอกก็ไม่บอก”
ผมว่าเสียงอ่อน กลับมานั่งเอนหลังพิงเบาะอย่างไม่สบอารมณ์
พวกเขาจะทำอะไรกันแน่ ผมเริ่มระแวงแล้วนะ!
ผมนั่งหน้าบึ้งมาตลอดทาง ไม่ได้สนใจจะมองว่ารถขับมาเส้นทางไหน จนเมื่อรถจอดนิ่งผมถึงหันไปมองนอกกระจก เสียงเปิดประตูทำให้ผมขยับนั่งตัวตรง พี่ควินโผล่หน้าเข้ามา ผมตาโตกำลังจะอ้าปากถามแต่มือใหญ่ก็ยื่นเข้ามาปิดตาผมไว้ มืออีกข้างก็จับแขนให้ผมก้าวลงจากรถ
“ทำอะไรครับ ปิดตาผมทำไม”
ผมถามอย่างงุนงง จู่ๆก็มาปิดตาผมแบบนี้ คิดจะทำอะไร
“อย่าถาม เดินตามมา”
เขาว่าแล้วโอบเอวผมพาเดินไปตามทางที่ผมมองไม่เห็น เดินมาได้สักพักเขาก็หยุด ผมจะยกมือขึ้นมาจับมือใหญ่ที่ปิดตาอยู่ออกแต่เขาก็จับมือผมไว้
“ที่ควิน จะทำอะไรครับ”
ผมถามเสียงแข็ง เริ่มจะหงุดหงิดกับการกระทำของเขา เล่นอะไรก็ไม่รู้ ผมไม่สนุกด้วยนะ
“เซอร์ไพรซ์”
ผมขมวดคิ้วกับคำว่าเซอร์ไพรซ์ของเขา คิดทบทวนว่าวันนี้เป็นวันพิเศษอะไร แต่พอจะถาม เขาก็ผละมือที่ปิดตาผมออกไป ทันทีที่ผมเงยหน้าขึ้นและลืมตามองเบื้องหน้า สิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่ก็ทำให้ผมเบิกตากว้าง ผมก้าวเดินไปข้างหน้าราวกับมีแรงดึงดูด จ้องมองบ้านสองชั้นหลังใหญ่ด้วยความรู้สึกอึ้ง
นี่มันอะไรกัน?
“ชอบมั้ย บ้านของเรา”
ผมหันไปมองคนพูด พี่แซทเดินออกมาทางสวนหย่อมด้านข้าง ผมอ้าปากค้างกับสิ่งที่เห็น สวนหย่อมที่ว่านั้นมันเหมือนกับสวนหย่อมที่บ้านผมเปี๊ยบเลย แม้แต่ต้นไม้ประดับที่ตัดแต่งเป็นรูปทรงยังเหมือนกันราวกับยกเอาสวนหย่อมที่บ้านผมมาไว้ที่นี้ ผมค่อยๆหันกลับไปมองบ้านหลังใหญ่เบื้องหน้าอีกครั้ง บ้านที่ทาสีและตกแต่งสไตล์เดียวกับบ้านของผมทุกอย่าง แต่มีส่วนแตกต่างที่ขนาดและโครงสร้างที่ใหญ่กว่า นี่น่ะเหรอสิ่งที่พวกเขาปิดบังผม ช่วงเวลาเกือบ3เดือนที่พวกเขาหายหน้าหายตาไปก็เพราะมาทำสิ่งนี้เหรอ
เพื่ออะไร?
“เปิดเทอมเมื่อไหร่ เราก็ย้ายมาอยู่ที่นี้”
พี่แซทบอกพลางโอบเอวผมไว้ ผมได้แต่ยืนนิ่ง พูดไม่ออกกับสิ่งที่พวกเขาทำ
“ยังไม่ตอบเลยว่าชอบหรือเปล่า”
“พวกพี่ทำแบบนี้ทำไม” ผมถามสวนกลับ หันไปมองหน้าเขาอย่างไม่เข้าใจ
“ทำไม ไม่ชอบเหรอ”
พี่ควินเดินเข้ามาหยุดยืนขนาบข้าง มองผมด้วยสายตางุนงง ผมจับมือพี่แซทออกจากเอว ผละห่างจากเขา เดินตรงไปที่สวนหย่อม กวาดสายตามองต้นไม้ประดับ ทุกอย่างในสวนมันเหมือนจนผมนึกว่าตัวเองกำลังเดินเล่นอยู่ในสวนหย่อมที่บ้านของตัวเอง
“เท่าไหร่ครับ”
ผมถามขึ้นโดยไม่ได้หันไปมอง รู้ว่าพวกเขาเดินตามผมมา
“เท่าไหร่อะไร”
ผมยิ้ม หันไปมองเจ้าของน้ำเสียงแข็งกระด้างที่คงจะหงุดหงิดเพราะคำถามของผม
“ผมถามว่าทั้งหมดที่พวกพี่ทำ รวมเป็นเงินเท่าไหร่”
“ถามทำไม”
พี่แซทมองหน้าผมนิ่ง ผมยิ้มจางพลางเดินเข้าไปหาพวกเขา
“ผมมีบ้านของผมอยู่แล้ว ต่อให้พวกพี่สร้างบ้านหลังนี้ให้เหมือนกับบ้านผมแค่ไหน มันก็ไม่ใช่บ้านผมอยู่ดี”
ผมบอกเสียงเรียบ มองหน้าพวกเขาด้วยสายตาเฉยชา
“มึงไม่ชอบ”
พี่แซทถาม ผมยิ้มให้เขาก่อนบอกไปตามตรง
“ครับ ผมไม่ชอบ”
“ทำไม”
พี่ควินเดินเข้ามาถามผมในระยะประชิด ผมยืนนิ่งไม่ได้ถอยหนีเขา
“ที่นี่ไม่ใช่บ้านผม”
“มึงชอบอยู่คอนโดมากกว่าเหรอ”
พี่ควินถาม สีหน้าเขาดูสับสนและไม่เข้าใจในสิ่งที่ผมพูด
“ไม่ชอบครับ”
“อะไรของมึงวะ”
พี่แซทเริ่มขึ้นเสียงอย่างหงุดหงิด
“ถ้าเป็นไปได้ ผมก็อยากกลับมาอยู่ที่บ้าน บ้านของผม” ผมบอกย้ำ
“ก็นี่ไงบ้านของมึง!”
ผมส่ายหน้า ไม่ใช่! ต่อให้เหมือนแค่ไหนมันก็ไม่ใช่บ้านของผม! พวกเขากำลังยัดเหยียดในสิ่งที่ผมไม่ต้องการ พวกเขากำลังบังคับให้ผมยอมรับในสิ่งที่พวกเขาทำ!
“เป็นอะไรของมึง ห๊ะ!”
พี่แซทผลักพี่ควินออกแล้วจับแขนผมดึงเข้าหาตัว แรงบีบทำให้ผมนิ่วหน้าเพราะความเจ็บ
“แซท มึงเบามือหน่อย”
พี่ควินบอกปรามเพื่อน พี่แซทเลยลดแรงบีบที่แขนลงแต่ยังไม่ยอมปล่อย
“ผมคิดไม่ถึงว่าพวกพี่จะเซอร์ไพรซ์ผมด้วยบ้านหลังใหญ่ขนาดนี้ ขอบคุณมากนะครับ แต่ผมไม่ต้องการ”
“มึง…”
พี่แซทหยุดคำพูดแล้วค่อยๆปล่อยแขนผม นัยน์ตาคมแข็งกร้าวแต่มีแววสั่นไหวอยู่วูบนึง
“ช่างแม่งเหอะ!”
เขาว่าเสียงเรียบแล้วหันหลังเดินออกไปจากสวนหย่อม ผมมองตามแผ่นหลังกว้างจนเขาเดินหายเข้าไปในบ้าน
“เห็นมึงกลับมาอยู่บ้านแล้วดูมีความสุข พวกกูเลยคิดว่าซื้อบ้านให้มึงสักหลัง ออกแบบให้เหมือนบ้านของมึง มึงคงจะชอบ แต่ในเมื่อมึงไม่ชอบ ก็ช่างมันเถอะ”
พี่ควินว่าเสียงเรียบ เขาไม่ได้มองหน้าผมแต่กลับมองไปที่ตัวบ้าน ผมพูดไม่ออกกับท่าทางที่เขาแสดงออก
“ก็จริงอย่างที่มึงบอก ถึงจะเหมือนกันแต่มันก็ไม่ใช่บ้านของมึงอยู่ดี”
“พี่ควิน”
ผมเรียกเขาเสียงเบา นัยน์ตาเลื่อยลอยของเขาทำให้ผมรู้สึกผิด
“เข้าบ้าน กินข้าวก่อนค่อยกลับ”
พี่ควินหันมาบอกผมแล้วเดินนำออกไปก่อน ผมยืนนิ่งอยู่กับที่ไม่ได้เดินตามเขาไปจนอังเดรเดินเข้ามาหา ผมส่งยิ้มให้เขา
"ไม่คิดว่าสิ่งที่พวกเขาทำ มันน่ากลัวเหรอ"
ผมถามร่างสูงใหญ่เบื้องหน้า เขามองผมด้วยสายตางุนงง คงเพราะไม่เข้าใจความหมายในคำพูดของผม
"คุณหนูไม่ชอบสิ่งที่บอสกับคุณควินทำให้เหรอครับ”
ผมยิ้มจางกับคำถามของอีกฝ่าย เงยหน้ามองบ้านหลังใหญ่เบื้องหลัง
"ไม่ใช่ไม่ชอบ แต่แค่ไม่เข้าใจ ทำไมพวกเขาต้องทำถึงขนาดนี้"
“เพราะพวกเขารักคุณหนูมากไงครับ
ผมส่ายหน้า เบนสายตากลับมามองร่างสูง
"สำหรับผมมันไม่ใช่ความรัก สิ่งที่พวกเขาทำ ก็แค่ย้ายกรงขังใหม่ และขยายมันให้ใหญ่กว่าเดิม”
พวกเขาไม่จำเป็นต้องทำอะไรมากมายขนาดนี้ เสียทั้งเงิน เสียทั้งเวลา แค่พวกเขาเลิกยึดผมไว้ แล้วปล่อยผมไป ง่ายๆ แค่นี้เอง
“บอสกับคุณควินไม่ได้คิดจะขังคุณหนูหรอกครับ ที่ซื้อบ้านหลังนี้แล้วตกแต่งให้เหมือนกับที่บ้านของคุณหนูก็เพราะต้องการเซอร์ไพรซ์จริงๆ”
“ไม่ได้จะขัง แต่ไม่คิดจะปล่อย ความหมายมันก็ไม่ต่างกัน”
ผมยิ้มกับตัวเองก่อนเดินออกจากสวนหย่อม ไม่คิดจะปล่อยก็ไม่เป็นไร เพราะถึงยังไง พวกเขาก็ขังผมได้แต่ตัว หัวใจผมมันถูกปิดตายมานานแล้ว
-----------------------------------------------------------------
กลับมาแล้วค่าาาาา
ขอโทษที่หายไปนานนะคะ
พอดีว่าบทความในเด็กดีโดนแบน
เลยต้องเสียเวลาเคลียร์นิดนึง
ขอบคุณสำหรับคอมเม้นท์และการติดตามมากๆค่ะ