HEARTBREAKER
48
(70%)
นาฬิกาดิจิตอลบนโต๊ะคอมฯบอกเวลา2ทุ่มครึ่ง หลังจากที่พี่แซทเดินออกไปจากห้องได้สักพัก เฟียซก็โทรมาหาผม เราคุยกันเรื่องวันประชุมรับน้องอาทิตย์หน้า ความจริงแล้วเหลือเวลาอีก3อาทิตย์ มหา’ลัยจะเปิดเทอม แต่คณะผมนัดประชุมใหญ่กันก่อน ถึงแม้คณะผมจะไม่ได้เคร่งเรื่องการรับน้องมากนักแต่มันก็เป็นธรรมเนียมที่ทุกคณะต้องปฏิบัติ รุ่นพี่ต้องประชุมวางแผนกันว่าจะต้อนรับน้องปี1ยังไงให้รุ่นน้องประทับใจและต้องเป็นไปอย่างสร้างสรรค์ด้วย ซึ่งปีก่อนที่ผมเป็นเฟรชชี่พวกรุ่นพี่ก็ต้อนรับพวกผมอย่างอบอุ่น มีกิจกรรมรับน้องสนุกๆให้เล่นหลายอย่าง เฟียซที่รับหน้าที่เป็นประธานรุ่นคงต้องทำงานหนักหน่อย เพราะต้องรับผิดชอบหลายอย่าง เพื่อนผมเป็นนักกิจกรรมตัวยงซึ่งต่างจากผมโดยสิ้นเชิง แต่ไม่ว่ายังไงผมก็ต้องช่วยเพื่อนเพราะมันเป็นงานสำคัญที่รุ่นพี่อย่างพวกผมต้องรับผิดชอบและต้องทำให้สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี
ผมปิดคอมฯ ลุกขึ้นยืนบิดขี้เกียจหลังจากที่นั่งเล่นเกมจนตาแฉะไม่ได้ออกไปไหนจนถึงตอนนี้ และผมก็รู้สึกคอแห้งอยากดื่มน้ำเย็นๆสักแก้ว ได้เวลาที่ผมต้องออกจากห้องแล้วล่ะ
“เหี้ยแม่ง! ร้อน!”
“มึงยกดีดีสิวะ”
“ก็มันร้อนไอ้สัด! มึงมายกเอง!”
“มึงนั้นแหละยกมา กูขี้เกียจลุก”
“ขี้เกียจลุกก็ไม่ต้องแดก!”
เสียงทะเลาะกันดังมาให้ได้ยิน ผมรีบปิดประตูห้องเดินเร็วไปทางห้องครัวแต่ยังเดินไปไม่ถึงก็ต้องหยุดชะงักก้มหลบวัตถุบางอย่างที่ลอยมาด้วยความเร็วจนเกือบมองไม่ทัน
เพล้ง!
วัตถุที่ว่ามันคือแก้ว แก้วไวน์เนื้อดีซะด้วย ผมหันไปมองต้นตอคนทำก็เห็นพี่ควินนั่งทำหน้านิ่งอยู่บนโซฟาในห้องนั่งเล่น เขามองผมเหมือนมันไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทั้งๆที่เมื่อกี้ถ้าผมหลบไม่ทัน หัวผมคงแตกแน่ๆ
“ไอ้เหี้ยควิน! มึงกล้าขว้างแก้วใส่กูเหรอ ไอ้สัด!”
พี่แซทตะคอกด่าเพื่อนพร้อมกับชี้หน้า เขายืนอยู่ในครัวหน้าเตาไมโครเวฟ ห่างจากจุดที่แก้วแตกไปนิดเดียว
“เออ! มึงจะทำไม!”
พี่ควินตอบกลับอย่างท้าทาย เขาลุกขึ้นยืน ทำหน้ากวนใส่พี่แซท ไม่ดีแน่ถ้าผมยังยืนนิ่งอยู่แบบนี้ ต้องรีบห้ามก่อนที่พวกเขาจะเปิดศึกใส่กัน
“อย่าทะเลาะกันเลยนะครับ”
ผมบอกพลางเดินเข้าไปหาพี่แซทในห้องครัว
“เข้ามาทำไม ไม่เห็นแก้วแตกรึไง”
พี่แซทถามเสียงแข็งโดยไม่มองหน้าผม แต่เขาก็กั้นผมออกห่างจากเศษแก้ว
“เดี๋ยวผมจัดการเองครับ พี่ออกไปเถอะ”
“ให้ไอ้ตัวเหี้ยที่ทำมันมาจัดการ”
พี่แซทว่าแล้วหันไปมองพี่ควินที่ยืนนิ่งอยู่
“ไม่เป็นไรครับ ผมทำเองได้ อย่าทะเลาะกันเลยนะครับ ผมขอร้อง”
“ออกมานี่”
พี่ควินสั่งให้ผมออกไปหาเขา แต่พี่แซทโอบเอวผมไว้
“อย่าไปสนใจมัน”
พี่แซทบอกผมแต่ตาจ้องไปที่พี่ควิน ผมได้แต่ส่ายหน้ากับนิสัยเหมือนเด็กไม่รู้จักโตของพวกเขา จะเอาชนะกันไปทำไมเนี่ย ในเมื่อทำผิดกันทั้งคู่
“จะต้มมาม่า ทำไมไม่เรียกผมล่ะครับ ผมจะได้ทำให้”
ผมพูดขึ้นเมื่อมองไปเห็นถ้วยกระเบื้องที่มีเส้นมาม่าอยู่เต็มถ้วยวางอยู่ข้างๆไมโครเวฟ
“แค่ต้มมาม่า กูทำเองได้ ไม่ใช่เด็ก”
พี่แซทว่าเสียงขุ่นคล้ายไม่พอใจผม
“ไม่ใช่เด็ก แต่ทะเลาะกันเหมือนเด็ก”
ผมว่าสวนหน้านิ่ง แรงโอบที่เอวกระชับแน่นขึ้นทันที
“ปล่อยเถอะครับ ผมจะทำความสะอาด”
“ไม่ต้อง” พี่แซทดุผมแล้วหันไปมองเพื่อน ”เหี้ยควิน ทำอะไรไว้ มารับผิดชอบเลยมึง”
“ไม่เป็นไรครับ ผมทำเอง แค่กวาดเศษแก้วใส่ถังขยะ แป็ปเดียวก็เสร็จ พี่แซทออกไปเถอะครับ”
“กูบอกว่าไม่ต้องทำ”
พี่แซทบอกอย่างหงุดหงิด แต่ผมทำหน้านิ่งตอบเขาเสียงเย็น
“ผมจะทำ”
ไม้กวาดอยู่ข้างๆเคาน์เตอร์ครัว ผมเดินไปหยิบมันมากวาดเศษแก้ว พี่แซทถอยห่างแต่เขายังไม่ยอมออกไป ผมกวาดเศษแก้วใส่ที่ตักแล้วไปเทใส่ถังขยะ เดินกลับไปกวาดอีกรอบจนหมด เสร็จแล้วผมก็ล้างมือ พี่แซทเดินมาหยุดอยู่ข้างหลัง ลมหายใจร้อนๆริดรดอยู่แถวซอกคอ
“ยังจะกินอยู่มั้ยครับมาม่าเนี่ย ถ้ากินผมจะต้มให้ใหม่ ที่พี่ทำไว้มันอืดหมดแล้ว”
“ไม่กิน/กิน”
สองเสียงตอบขึ้นมาพร้อมกัน พี่ควินเดินหน้านิ่งเข้ามายืนเท้าแขนกับกรอบประตู
“ไม่กินก็เรื่องของมึง กูจะกิน”
พี่แซทบอกพลางชักสีหน้าใส่เพื่อนอย่างหาเรื่อง
“มานี่”
พี่ควินเรียกให้ผมไปหา แต่พี่แซทก็ไวพอที่จะจับตัวผมไว้ สองแขนของเขาโอบรัดรอบคอผมไว้ไม่ยอมให้ผมไป
“จะโทรสั่งพิซซ่า อยากกินมั้ย”
“อยากครับ”
ผมยิ้มตอบพี่ควิน พี่แซทเลยขึงตาดุใส่ผม
“หึ ไอ้อ่อนเอ้ย!”
พี่ควินแสยะยิ้มเย้ยใส่เพื่อน ผมว่าพวกเขาได้เปิดศึกกันอีกครั้งแน่
“ไอ้เหี้ยควิน!”
นั่นไง… พี่แซทปล่อยผมแล้วกระโจนเข้าใส่พี่ควินที่ตั้งรับอยู่ก่อนแล้ว
“หยุด!”
ผมร้องห้ามเสียงดังลั่นจังหวะที่พวกเขาจะแลกหมัดกัน
“จะทะเลาะกันทำไมครับ ทะเลาะให้ได้อะไร ถ้าพวกพี่ทะเลาะกันอีก ผมจะไม่คุยด้วย”
ผมบอกเสียงแข็ง มองพวกเขาด้วยสายตาเอาเรื่อง
“มันหาเรื่องกูก่อน”
พี่แซทพูดขึ้น เขายอมถอยออกมายืนนิ่งๆ พี่ควินเองก็ถอยไปตั้งหลัก
“มึงอย่ามาโบ้ย กูไปหาเรื่องอะไรมึง”
“มึงขว้างแก้วไวน์ใส่กู!”
“แล้วมันโดนหัวมึงมั้ย!”
“อ้าว…พูดงี้มึงอยากแดกส้นตีนใช่มั้ย!”
ผมรีบเดินหนีออกจากห้องครัว ไม่อยากทนฟังเสียงหมาปากกัดกัน! บอกแล้วไงว่าถ้าพวกเขาทะเลาะกันอีก ผมจะไม่คุยด้วย ผมทำจริงนะไม่ได้พูดเล่น!
“จะไปไหน”
เสียงพี่ควินดังตามมา แต่ผมก็ไม่คิดจะหยุด เดินตรงไปที่ห้อง
“คุยกันก่อน”
เสียงทุ้มบอกพร้อมคว้าแขนไว้ ผมหันไปมองเขาด้วยสายตานิ่งๆ ไม่พูด ไม่ถาม
“เป็นอะไร”
“…”
“ทำไมไม่ตอบ”
“….”
“เพราะมึงอ่ะ เห็นมั้ยมันไม่ยอมพูด”
พี่แซทปรี่เข้ามาโอบไหล่ผม แต่ผมก็ยังยืนนิ่งไม่พูดไม่จา
“จะกินมั้ยพิซซ่า”
พี่ควินเอาของกินมาล่อ คิดว่าผมจะเผลอตัวพูดด้วยเหรอ ไม่มีทาง!
“เออ…ยอมแล้ว”
พี่ควินบอกพร้อมกับยกมือขึ้น ผมกระตุกยิ้มกับท่าทางหงอยๆของเขาแต่ก็ยังไม่ยอมพูดด้วย
“พวกกูไม่ทะเลาะกันแล้ว มึงก็พูดสิ”
พี่แซทก้มหน้ามาใกล้ๆ แต่ผมผลักเขาออก
“อะไรของมึงวะ เอาใจยากฉิบ”
พี่แซทเริ่มบ่น พอผมขึงตาดุใส่ เขาก็เงียบ
“กูจะโทรสั่งพิซซ่าแล้วนะ เอาไก่ด้วย ไอติมเพิ่มมั้ย”
ผมมองพี่ควินยิ้มๆ เขาเห็นผมเป็นตัวอะไรเนี่ย ชอบเอาของกินมาล่ออยู่เรื่อยเลย
“มึงโทรสั่งเดี๋ยวนี้เลย”
พี่แซทสั่งเพื่อนแล้วหันมามองหน้าผมก่อนยื่นมือมาลูบแก้มเบาๆ
“ไปนั่งรอ”
ผมพยักหน้า เดินกลับไปที่ห้องนั่งเล่นโดยมีพวกเขาเดินตามหลัง เสียงพี่ควินโทรสั่งพิซซ่าดังให้ได้ยิน ผมนั่งขัดสมาธิบนโซฟา หยิบหมอนอิงมาไว้บนตัก กดรีโมทเปิดทีวีดูอย่างสบายใจ พี่ควินเดินมานั่งข้างๆผม เขาวางโทรศัพท์ไว้บนโต๊ะกระจกข้างหน้า หางตาผมเหลือบเห็นเขากำลังนั่งมองผมอยู่ แต่ผมทำเป็นไม่สนใจ จนมือหนาจับคางผมให้หันไปมองหน้าเขา
“ยังโกรธอยู่”
ผมส่ายหน้า
“แล้วทำไมไม่พูด”
นัยน์ตาคมจ้องผมนิ่ง สีหน้าเขาดูจริงจังจนผมหลุดขำ
“หัวเราะอะไร”
“ก็หน้าพี่มันตลก”
ผมว่ากลั้วหัวเราะ พี่ควินกระตุกยิ้ม สองแขนโอบรอบเอวรั้งผมเข้าไปชิดตัวจนแทบจะเกยตักเขา
“กูไม่ชอบให้มึงเงียบ ถ้าโกรธมึงก็เหวี่ยง แต่อย่าเงียบ”
ผมเลิกคิ้วอย่างไม่เข้าใจที่เขาพูด
“ทำไมล่ะฮะ”
“เวลามึงเงียบ มันเหมือนกูไม่มีตัวตนสำหรับมึงเลย”
---------------------------------------------------------------------
ตอนนี้มี 150% นะคะ
ขอโทษทีมาอัพทีละนิด
แต่กลัวจะรอนานกัน (นักอ่าน : ตรูรอมานานจนลืมแล้ว)
ตอนนี้คีย์บอร์ดโน้ตบุ๊คพังด้วย อาทิตย์หน้าต้องหิ้วไปซ่อม
แต่จะพยายามอัพตอนนี้ให้จบก่อน
ขอบคุณสำหรับคอมเมนท์และการติดตามนะคะ
เจอกันอีกครึ่งที่เหลือค่ะ