HEARTBREAKER
49
(80%)
เคยหงุดหงิดไหมครับ เวลาที่ต้องการคุยธุระสำคัญ แต่คนคนนั้นกลับไม่อยู่ หายตัวไปไหนไม่รู้ ติดต่อก็ไม่ได้ ผมกำลังตกอยู่ในสภาพนั้นเลย กำลังหงุดหงิด และเริ่มจะพาลใส่ลูกน้องของพวกเขา ผมไม่ได้นับว่ากี่วันแล้วที่พวกเขาหายไป แต่จำได้ว่าตั้งแต่คืนที่ผมยอมมีเซ็กซ์กับพวกเขาโดยดี เช้าวันรุ่งขึ้นผมก็ไม่เห็นพวกเขาแล้วจนกระทั่งตอนนี้ อังเดรกับอะดอนิสก็ไม่ยอมเปิดปากบอกอะไรเลย คงเพราะเห็นผมไม่ได้ถาม แต่ถึงไม่ได้ถามก็น่าจะบอกไม่ใช่เหรอ ถ้าพรุ่งนี้ผมไปมหา’ลัยโดยไม่ได้บอก พวกเขาต้องโวยวายแน่ๆ แต่จะมาโทษผมไม่ได้นะ ในเมื่อพวกเขาขาดการติดต่อไปเอง!
“คุณหนู“
ผมหันไปมองตามเสียงเรียก อังเดรเดินเข้ามาค้อมศีรษะให้อย่างนอบน้อม แต่ผมชักสีหน้าใส่เขา
“มีอะไร”
ผมถามเสียงห้วน ยอมรับว่าตัวเองนิสัยเสียที่พาลใส่คนอื่นไปทั่วแบบนี้ ก็มันหงุดหงิดนี่น่า!
“บอสสั่งให้พาคุณหนูไปหาที่โชว์รูมครับ”
ผมตาโตทันทีกับคำว่าบอส หน็อย! ติดต่อมาได้แล้วเหรอ คนบ้า!
“พาผมไปหาเขาเดี๋ยวนี้เลย”
ผมเค้นเสียงบอกแล้วเดินนำอังเดรออกไปนอกบ้าน คอยดูนะ เจอหน้าเมื่อไหร่จะเหวี่ยงให้เละเลย!
โชว์รูมรถสปอร์ตนำเข้าจากต่างประเทศตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้า ผมมองมันอย่างงุนงง ไม่เข้าใจว่าตัวเองมาทำอะไรที่นี่ แต่เสียงเรียกของอังเดรก็ทำให้ผมหลุดจากภวังค์แล้วเดินตามเขาไป พอเข้ามาข้างในตึก สิ่งแรกที่ผมมองหาคือเจ้าของร่างสูง แต่คนที่ผมเจอกลับเป็น
“อ้าว! น้องต้าร์ มาแล้วเหรอ”
“พี่พอล”
ผมเรียกชื่อเขาอย่างแปลกใจ
“มานี่ มานั่งกับพี่ เดี๋ยวพวกมันก็ลงมา”
พี่พอลกวักมือเรียก ผมเดินไปหาเขา นั่งลงที่โซฟาบุหนัง พี่พอลยิ้มกว้างแล้วหันไปสั่งเครื่องดื่มกับพนักงานสาวให้ผม
“พี่พอลมาทำอะไรที่นี่เหรอฮะ”
“พี่เอารถมาขาย พอดีซี้กับลูกชายเจ้าของโชว์รูมนี่ ฮ่าๆๆ”
พี่พอลหัวเราะร่า ผมพยักหน้ารับรู้แล้วมองไปรอบๆบริเวณ มีรถสปอร์ตหลายสัญชาติจอดโชว์อยู่เต็มฟลอร์ แต่ยังไม่มีลูกค้า คงเพราะโชว์รูมยังไม่ถึงเวลาเปิดบริการ
“พอล ไอ้แชมป์เรียก”
เสียงคุ้นเคยเรียกให้ผมหันขวับ พี่แซทเดินลงบันไดมาจากชั้น2 เขามองผมนิ่ง ผมก็จ้องเขานิ่งเช่นกัน จนเขาเดินเข้ามาใกล้ ผมก็หันหน้าหนีแต่หางตายังเหลือบมองอยู่
“ทำไมวะ มันจะให้กูเพิ่มอีกล้านหรอ”
“ไม่รู้มัน มึงขึ้นไปคุยกันเอง”
“เออๆ”
พอพี่พอลเดินขึ้นบันไดไป พี่แซทก็นั่งลงข้างๆ แต่ผมก็ยังไม่หันมามองเขา จนกระทั่งแขนหนักๆพาดลงที่บ่าพร้อมกับลมหายใจร้อนๆเป่ารดที่ใบหูจนขนลุกผมเลยหันไปมอง
“’งอนอะไร”
“เปล่า”
ผมส่ายหน้า พี่แซทกระตุกยิ้ม โน้มหน้าลงมาโขกหน้าผากชนกับหน้าผากผมเบาๆ
“กูติดงานเลยไม่ได้โทรบอก ไอ้ควินก็เหมือนกัน”
“นั่นมันเรื่องของพวกพี่ ไม่เกี่ยวกับผม”
บอกเลยว่าผมโคตรพาล ก็คนมันยังไม่หายโกรธ
“เออ ไม่เกี่ยวก็ไม่เกี่ยว”
พี่แซทว่าพลางผละหน้าออกไป เขาลุกขึ้นแล้วฉุดให้ผมลุกตาม
“เลือกเอา อยากได้คันไหน”
“อะไรนะครับ”
ผมถามย้ำอย่างไม่แน่ใจว่าฟังผิดหรือเปล่า
“กูบอกให้มึงเลือก ชอบคันไหนก็บอก”
ให้เลือกรถสปอร์ตคันเป็นสิบล้านอัพเนี่ยนะ บ้าไปแล้ว!
“จะซื้อให้ผมทำไมครับ ในเมื่อพวกพี่ก็ขับรถไปรับไปส่งผมอยู่แล้ว”
ผมถามพลางมองหน้าเขาอย่างสงสัย อย่างพวกเขาน่ะเหรอจะยอมปล่อยให้ผมขับรถไปไหนมาไหนคนเดียว ขนาดพวกเขาไม่อยู่ยังสั่งให้ลูกน้องมาคอยคุมผมเลย
“ไม่ชอบเหรอ มึงจะได้มีรถเป็นของมึงเอง อยากไปไหนก็ไป”
“พูดเหมือนพวกพี่ยอมปล่อยให้ผมไปงั้นแหละ”
ผมพูดกับตัวเองแต่คงเผลอพูดดังไปหน่อย พี่แซทเลยสวนกลับเสียงเข้ม
“ถ้าไม่ยอมปล่อยกูจะบอกให้มึงเลือกรถอยู่นี่เหรอ”
ผมมองตามร่างสูงเดินกลับไปนั่งที่โซฟาตัวเดิม ปล่อยให้ผมยืนอยู่คนเดียว ผมยิ้มที่ในที่สุดพวกเขาก็เริ่มคิดได้ อย่างน้อยผมก็ได้อิสระเพิ่มขึ้นมาอีกอย่างแล้ว
“สนใจคันไหน เชิญเลือกดูได้ตามสบายเลยนะคะ”
พนักงานสาวสวยเดินเข้ามาบอกผมด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส ผมยิ้มตอบเธอแล้วเดินแยกมาดูรถทางขวามือ มีคันไหนที่ราคาถูกสุดในโชว์รูมบ้าง ผมจะเอาคันนั้นเลย เพราะแต่ละคันที่เห็นผ่านตาไปนี่ประเมินราคาแล้วต้องขายบ้านพร้อมที่ดินมาซื้อกันเลยทีเดียว
“อัลฟา โรมิโอมั้ย เหมาะกับมึงดี”
ผมหันไปมองตามเสียงคุ้นเคยที่เอ่ยแนะนำรถให้ พี่ควินยืนกอดอกยกยิ้มบางๆให้ผมอยู่ตรงหน้า
“มาตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ”
“เมื่อกี้ เลือกได้ยัง จะเอาคันไหน”
“เลือกรถนะครับ ไม่ใช่ขนม จะได้ชี้เอาง่ายๆ”
ผมว่า ได้ยินเสียงพี่ควินหัวเราะ เขาเดินมาโอบเอวผมแล้วพาเดินไปดูอีกทางซึ่งเป็นพวกรถสปอร์ตเฟอร์รารี่ แลมเบอร์กินี่ ออดี้
“ถ้าจะเอาอัลฟา ต้องรอปลายปี”
“ผมไม่เอาหรอกครับ แพงขนาดนั้น”
“มันก็แพงทุกคัน”
“แล้วทำไมไม่พาผมไปดูที่โชว์รูมธรรมดาล่ะครับ”
“มีเพื่อนเป็นลูกเจ้าของโชว์รูม ซื้อคันไหนมันก็ลดให้อยู่แล้ว จะไปดูที่อื่นทำไมให้เสียเวลา”
“บอกตามตรงนะครับ ผมอยากได้รถแบบธรรมดามากกว่า”
“ถ้าเบื่อแล้วอยากขายทิ้ง รถสปอร์ตมันขายได้ราคามากกว่า”
หัวการค้าจริงๆ ผมถอดหายใจอย่างปลงกับความคิดเขา เอาเถอะ ยังไงซะก็ไม่ใช่เงินผมอยู่แล้วนี่ จะต้องเดือดร้อนอะไร ในเมื่อพวกเขาเต็มใจซื้อให้ผมเอง
“มีคันไหนที่ราคาต่ำกว่าแปดหลักบ้างครับ”
พี่ควินนิ่งไปอย่างใช้ความคิดก่อนจะพาผมเดินไปที่รถสปอร์ตออดี้สีขาว
“คันนี้มั้ง เฉียดๆสิบล้าน”
“ถูกที่สุดในโชว์รูมแล้วใช่มั้ยฮะ”
ผมถามย้ำอีก
“อืม”
พอได้ยินคำยืนยัน ผมก็ชี้นิ้วที่รถคันนี้ทันที
“งั้นผมเอาคันนี้ครับ”
พี่ควินยิ้มมุมปาก เขาดีดหน้าผากผมแล้วเดินไปหาพี่แซท คุยกันพักนึงพี่แซทก็เดินขึ้นไปชั้น2
พี่ควินเดินไปหาพนักงานคนที่แนะนำให้ผมเลือกดูรถได้ตามสบาย เห็นเธอพยักหน้าให้พี่ควินแล้วก็เดินแยกไป พอเขาเดินกลับมาหา ผมก็ถามอย่างสงสัย
“คุยอะไรกันเหรอครับ”
“เอากุญแจรถมาให้ลองขับไง จะเอาคันนี้ไม่ใช่เหรอ”
“อ๋อ ครับ”
ผมพยักหน้างึกงัก ยืนรออยู่สักพักพนักงานสาวคนเดิมก็เดิมยิ้มหวานเข้ามาพร้อมพวงกุญแจรถในมือ เธอยื่นมันให้ผม
“ด้านหลังโชว์รูม มีสนามให้ลองขับทดสอบสมรรถภาพรถนะคะ”
“ขอบคุณครับ”
“ยินดีค่ะ”
“ไม่ต้องลองก็ได้มั้งครับ ขับกลับบ้านเลยดีกว่า”
“ตามใจ เอากระเป๋าตังค์มาหรือเปล่า”
“ไม่ได้เอามาครับ”
“อังเดร”
พี่ควินหันไปเรียกอังเดรที่เดินผ่านมาพอดี
“กลับไปที่บ้าน เอากระเป๋าตังค์กับทะเบียนบ้านของต้าร์มา ด่วนนะ”
“ครับ”
อังเดรรับคำแล้วหันมามองผมที่ยืนเอ๋ออยู่แป็ปนึงก่อนจะรู้ตัวว่าต้องเอาเอกสารสำคัญมาเพื่อทำการซื้อรถคันนี้ ผมยิ้มขอโทษอังเดรที่ยืนรออยู่แล้วรีบบอกถึงตำแหน่งของสำคัญ
“กระเป๋าตังค์อยู่ในห้อง ทะเบียนบ้านน่าจะอยู่ในตู้เก็บเอกสารในห้องใหญ่ อังเดรบอกให้คุณป้าหาให้ก็ได้ ท่านรู้ว่าอยู่ตรงไหน”
“ครับ”
พออังเดรออกไปแล้ว พี่ควินก็พาผมขึ้นไปบนชั้น2ของโชว์รูมที่ตกแต่งแยกเป็นกึ่งสำนักงานกับส่วนของห้องพัก
“นั่นไงมันมาแล้ว นั่งเว้ยนั่ง พวกมึงนี่เป็นเพื่อนที่น่ารักจริงๆ เอาเงินสดๆมาซื้อรถกูคันแรกของเดือนนี้เลย ฮ่าๆๆ”
ผมไม่รู้ว่าคนที่พูดอยู่เป็นใคร แต่ที่แน่ๆเขาเป็นเพื่อนพี่แซทกับพี่ควินและพี่พอลด้วย
“สวัสดีครับน้องต้าร์ พี่ชื่อแชมป์นะครับ เป็นไงบ้างครับ รถสวยถูกใจมั้ย”
พอผมนั่งลงได้สักพักเขาก็เอ่ยแนะนำตัว ผมเลยยิ้มแล้วตอบกลับอย่างเป็นมิตร
“ครับ รถสวยทุกคันเลย”
“น้องเขาก็ต้องบอกว่าสวยอยู่แล้วสิวะไอ้แชมป์ รถมึงแต่คันไม่ใช่บาทสองบาท ฮ่าๆๆ”
พี่พอลที่นั่งอยู่ข้างๆเขาพูดขึ้น
“เดี๋ยวพี่จะลดให้น้องต้าร์เป็นกรณีพิเศษเลย พร้อมของแถมอีกเพียบ ถ้าน้องต้าร์อยากแต่งรถเพิ่มบอกนะครับ โชว์รูมพี่มีบริการแต่งรถครบวงจร อะไหล่อย่างดี เกรดเอ นำเข้าทุกชิ้น คิดราคากันเอง”
“หยุดพล่ามได้แล้วมึง พูดไปพูดมาแม่งก็ขายของอยู่ดี”
พี่แซทว่าเพื่อนหน้านิ่ง แล้วหันมามองผม
“มานี่”
ผมมองพี่ควิน เขาพยักหน้า ผมเลยลุกขึ้นไปนั่งข้างๆพี่แซท
“กูยอมมึงขนาดนี้แล้ว ก็อย่าดื้อกับกูให้มากนัก เข้าใจมั้ย”
พี่แซทกระซิบบอก ผมขึงตาดุใส่เขา
“ไม่ได้อยากได้สักหน่อย”
“แต่กูอยากให้”
“ทำอะไร ชอบหวังผลอยู่เรื่อย”
ผมมองเขาหน้านิ่ง คิดว่ารวยแล้วจะเอาเงินซื้ออะไรก็ได้ตามใจเหรอ
“เลิกพยศสักที กูเอาใจมึงไม่ถูกแล้ว”
“ผมพยศตรงไหน อย่ามาชวนทะเลาะนะ”
ผมเริ่มขึ้นเสียงใส่เขาอย่างไม่พอใจ ลืมไปว่าตอนนี้ไม่ได้มีแค่ผมกับเขาสองคน พอนึกขึ้นได้ผมก็หันไปขอโทษพี่แชมป์กับพี่พอล
“ขอโทษครับ”
“ไม่เป็นไรครับ ตามสบายนะ”
พี่แชมป์ว่า เขายิ้มแล้วลุกขึ้นเดินเข้าไปในห้องทำงาน
“หุบปากไปเลยแซท มึงนี่ยังไงวะ ชอบหาเรื่อง”
พี่ควินพูดขึ้น เขาดูหงุดหงิด ผมกลัวว่าพวกเขาจะทะเลาะกันเหมือนวันนั้นเลยรีบพูดดักไว้ก่อน
“อย่าทะเลาะกันต่อหน้าผมนะ”
เงียบ…พวกเขานั่งเงียบ ไม่เว้นแม้แต่พี่พอลที่ชอบสร้างเสียงหัวเราะอยู่เสมอ ผมเลยพูดแก้สถานการณ์ให้กลับมาเป็นปกติด้วยการชวนพี่พอลคุย
“เอ่อ…ผมต้องเซ็นเอกสารก็เสร็จใช่มั้ยครับพี่พอล”
“อ่า…ใช่ครับ ซื้อรถเงินสดไม่ยุ่งยากอยู่แล้ว”
“งั้นระหว่างรออังเดรไปเอาของ ผมลงไปเดินเล่นข้างล่างนะครับ”
ผมบอกแล้วลุกขึ้น พี่ควินกับพี่แซทยังคงนั่งเงียบอยู่ ผมเลยเดินออกมา ได้ยินเสียงเดินตามหลังมา ผมนึกว่าเป็นพวกเขา แต่ผิดคาด กลับเป็นพี่พอลที่เดินตามมา
“แปลกนะ ปกติพี่ไม่เคยเห็นพวกมันยอมใครเลย คงมีน้องต้าร์คนเดียวที่มันยอม”
ผมหัวเราะกับหัวข้อสนทนาที่พี่พอลชวนคุย
“ปกติพวกเขาก็ไม่ยอมหรอกครับ มีช่วงหลังๆมานี่แหละที่พวกเขายอมลงให้ผมบ้าง”
เราเดินคุยกันจนสุดทางลงบันได ผมเดินนำไปนั่งที่โซฟา พี่พอลนั่งลงข้างๆ เขายิ้มแล้วหันมามองผม
“บอกตามตรงนะ พี่ยังไม่เคยเห็นพวกมันจริงจังกับใครเหมือนกับต้าร์เลย ตอนแรกพี่คิดว่าพวกมันคงเล่นๆ ไม่ได้จริงจังอะไรเหมือนที่ผ่านมา แต่ผิดคาด พวกมันคิดจริงจังกับต้าร์จริงๆ”
“โชคดีหรือโชคร้ายของผมก็ไม่รู้นะฮะ”
ผมบอกยิ้มๆ
“พี่รู้ว่าสันดานพวกมันไม่ใช่คนดี แต่ลองพวกมันคิดจริงจังกับใครสักคน เชื่อพี่เถอะ พวกมันจะซื่อสัตย์กับต้าร์ไปจนวันตาย”
“โห ขนาดนั้นเลยเหรอครับ” ผมถามกลั้วหัวเราะ
“ใช่ พวกมันเคยบอกพี่นะว่าต้าร์ไม่เหมือนคนอื่น พี่ก็ได้เห็นกับตาแล้ว ว่าต้าร์ไม่เหมือนจริงๆ”
“ยังไงครับ ผมไม่เหมือนกับคนอื่นยังไง”
“ก็…ต้าร์ไม่ได้เข้าหาพวกมันก่อน ไม่ได้เต็มใจคบกับพวกมันตั้งแต่แรก”
“แล้วพวกเขาได้บอกพี่พอลรึเปล่า ว่าพวกเขาข่มขืนผมทำไมทั้งๆที่ผมไม่ได้เต็มใจ”
พี่พอลอึ้งไปกับคำพูดผม แต่ผมเค้นยิ้มเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ในอดีต
“อย่าตอบให้ผมขำนะครับว่าที่พวกเขาทำเพราะรักผม สำหรับผม นั่นไม่ใช่ความรัก แต่มันคือความเห็นแก่ตัว”
พี่พอลยังนั่งเงียบ ผมได้ยินเสียงเขาถอนหายใจยาว สักพักเขาก็หันมายิ้มจางๆให้ผม
“พี่ตอบแทนพวกมันไม่ได้หรอก ว่าที่พวกมันทำแบบนั้นเพราะอะไร พี่บอกต้าร์ได้แค่ว่า ตอนนี้พวกมันรักต้าร์ รักต้าร์มากจริงๆ”
ผมยิ้มตอบโดยไม่พูดอะไร
“พี่ขอถามต้าร์ตรงๆได้มั้ย ต้าร์รักพวกมันรึเปล่า”
พี่พอลจ้องตาผมด้วยใบหน้าจริงจัง ดูท่าทางเขาจะรักเพื่อนมาก ถึงได้เป็นห่วงความรู้สึกกันขนาดนี้
“ในเมื่อพี่ถามผมตรงๆ ผมก็จะตอบพี่ตรงๆ ผมยอมรับครับ ว่าผมเคยคิด เคยคิดว่าสักวันนึงจะรักพวกเขาได้ แต่จนกระทั่งตอนนี้ ความรู้สึกนั้นยังไม่เกิดขึ้น หัวใจผมมันบอกแบบนี้”
พี่พอลพยักหน้า เขาประสานมือไว้บนตัก มองไปข้างหน้า แล้วพูดประโยคที่สะกิดใจผม
“พี่รู้นะว่าพวกมันรู้ตัวว่าต้าร์ไม่ได้รักพวกมัน แต่พวกมันก็ยังทนโง่ ทนเจ็บ ทั้งต้าร์ทั้งพวกมันก็เจ็บไม่ต่างกันหรอก”
“ถ้ารู้ว่าตัวเองเจ็บแล้วทำไมไม่ปล่อยไปล่ะครับ”
ผมถามอย่างเลื่อยลอยไม่ได้หวังว่าเขาจะตอบ
“เพราะรักไง เพราะคิดว่าสักวันต้าร์อาจจะรักพวกมันบ้าง ก็เหมือนที่ต้าร์บอกพี่ ว่าต้าร์เองก็เคยคิดว่าสักวันจะรักพวกมันได้”
“เข้าใจยากจังเลยนะครับ ไอ้ความรักเนี่ย รักก็เจ็บ ไม่รักก็เจ็บ”
“ใช่ ความรักแม่งเข้าใจยาก ฮ่าๆๆ แต่ก็นะ ถ้ารักกันก็ดี พี่ก็อยากให้ต้าร์เปิดใจ ลองให้โอกาสเพื่อนพี่บ้าง ลืมอดีตเหี้ยๆของพวกมันซะแล้วอยู่กับปัจจุบันดีกว่า”
พี่พอลตบไหล่ผมเบาๆแล้วลุกขึ้นยืน เขาเดินกลับขึ้นไปชั้น2 ทิ้งให้ผมนั่งคิดทบทวนคำพูดเขาอยู่คนเดียว
ถ้าวันนึงผมเกิดรักพวกเขาขึ้นมา มีใครรับประกันได้บ้างมั้ย ว่าพวกเขาจะไม่ทำให้ผมเสียใจ ไม่ทำให้ผมเจ็บปวด ไม่ทำร้ายผมด้วยวิธีการป่าเถื่อนแบบนั้นอีก ยอมรับว่าผมยังไม่ลืมเหตุการณ์เลวร้ายในคืนนั้น มันยังเป็นเรื่องเดียวที่ยังค้างคาอยู่ในความทรงจำ ต่อให้อยากลืมแค่ไหน อยากจะลบมันออกไปยังไง ภาพความโหดร้ายเหล่านั้นก็ยังฝังอยู่ในจิตใจ ผมเฝ้าบอกให้ตัวเองลืมมันไปซะ แต่มันก็ลืมไม่ได้สักที ผมเหนื่อยนะที่ต้องเป็นแบบนี้ ผมไม่รู้ว่าตัวเองกำลังต่อสู้อยู่กับอะไร วันเวลาที่ผ่านมาทำให้เรื่องนั้นกลายเป็นอดีต แต่อดีตก็ยังตามมาหลอกหลอนผมในปัจจุบัน หนียังไงก็หนีไม่พ้น
ผมจะรักพวกเขาอย่างเต็มหัวใจได้ยังไง ในเมื่อความทรงจำเลวร้ายเหล่านั้นยังตามมาหลอกหลอนผมอยู่
----------------------------------------------------------------
ยังไม่จบตอนนะคะ
ยาวมหาศาลอีกตามเคย
พยายามไม่ให้มันหน่วงแล้วนะ แต่ทำไม่ได้จริงๆ
ขอบคุณสำหรับคอมเมนท์และการติดตามนะคะ
เรื่องนี้ดำเนินมาใกล้จะถึงปลายทางแล้ว (ยาวนานเหลือเกิน)
ตอนจบจะไม่มีคำว่า The end หรือ Fin นะคะ บอกไว้ก่อนเลย
เรื่องนี้จะจบแบบโดนประณาม กร้ากกกกกก แค่คิดก็สยองแล้ว
เจอกันอีกครึ่งทีเหลือคร้าบบบบ