HEARTBREAKER
50
(80%)
ถ้าคุณเป็นผู้ชายแล้วถูกทักว่าเป็นทอม คุณจะรู้สึกยังไง? สำหรับผมมันไม่ใช่เรื่องตลก แม้ว่าผมจะหน้าหวานเกินชายไปหน่อย ไม่ได้มีกล้ามหรือมีหุ่นล่ำบึกเหมือนพวกนักกีฬา แต่ผมก็เป็นผู้ชาย ผมยังชอบมองผู้หญิงสวย น่ารัก เซ็กซี่ การที่ถูกรุ่นน้องมองผิดเพศตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกัน บอกตามตรงเลยว่าไม่น่าประทับใจ
“ดูดีดีครับน้อง นั้นผู้ชาย”
พี่ประธานตะโกนบอกมา คนทั้งลานพากันหัวเราะ น้องเขาหน้าเสียไปนิด
“ขอโทษครับพี่ ขอโทษครับ”
คนพูดก้มหัวขอโทษผมหลายรอบ
“ไม่เป็นไร ว่าแต่เราชื่ออะไรนะ”
ผมถามชื่อน้องเขาเพราะลืมไปแล้วตอนที่แนะนำตัว
“ชื่อธัญญ์ครับพี่”
“เอาล่ะน้องธัญญ์ พี่จะจดชื่อน้องลงเดธโน๊ต”
ผมบอกเสียงเรียบ แกล้งทำหน้านิ่งๆ ธัญญ์หน้าเหวอเบิกตากว้างก่อนหัวเราะเสียงดัง
“โหยพี่ อย่าแกล้งให้ผมตกใจดิ นี่ผมคิดจริงๆนะเนี่ยว่าพี่มีสมุดเดธโน๊ต ฮ่าๆๆ”
ผมยิ้ม น้องมันเส้นตื้นจริงๆพูดแค่นี้ก็หัวเราะซะดังลั่น ผมเดินกลับไปยืนที่เดิม ฟังเสียงพี่ปีสามพูดเรื่องการแต่งกายและกฎระเบียบของมหา’ลัย พอพี่เขาสั่งให้น้องๆพักทำธุระส่วนตัวก่อนจะเข้าหอประชุมบอสก็เดินหน้านิ่งเข้ามาหาผม
“รู้มั้ยตอนที่ไอ้น้องธัญญ์ทักว่าต้าร์เป็นทอม ไอ้พี่แซทมันทิ้งบุหรี่แล้วเหยียบขยี้ด้วยสายตาน่ากลัวสุดๆ ก่อนเดินไปยังมองไอ้เด็ก
ธัญญ์เหมือนจะจับฉีกเป็นชิ้นๆด้วย นี่พูดจริงไม่ได้โม้”
บอสใส่แอคติ้งทั้งสีหน้าและน้ำเสียง เชื่อเลยว่าไม่ได้โม้จริงๆ
“บอสคิดมากไปรึเปล่า”
ผมถามพลางยิ้มขำเพื่อน
“ไม่นะ ท่าทางไอ้พี่แซทมันน่ากลัวจริงๆ คิดแล้วยังขนลุกไม่หาย”
“พอๆ เลิกเพ้อได้แล้ว ไปช่วยเฟียซดีกว่า”
ผมจับไหล่บอสดันให้เดินไป แค่โดนปีหนึ่งทักด้วยความเข้าใจผิด พี่แซทคงไม่หยิบประเด็นนี้มาชวนทะเลาะหรอก แต่ถ้าเขาทำ ก็ไร้สาระเกินไปแล้ว
ตลอดทั้งวันผมกับพวกเพื่อนๆยุ่งอยู่กับกิจกรรมรับน้อง ทั้งคอยประสานงานกับอาจารย์ที่ปรึกษา และประชุมกับรุ่นพี่ ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่ามันจะเหนื่อยขนาดนี้จนได้มาสัมผัสกับตัว แต่ที่น่าเป็นห่วงกว่าคือเฟียซ รายนั้นวิ่งวุ่นจนหัวหมุนเพราะเป็นนักกิจกรรมตัวยงอยู่แล้ว ใครๆก็เรียกใช้งาน กว่าจะจบกิจกรรมในวันนี้ได้ก็เล่นเอาหอบกันเลยทีเดียว
“ต้าร์ ขอน้ำหน่อย”
ผมรีบลุกขึ้นไปหยิบขวดน้ำเย็นที่แช่อยู่ในถังมาส่งให้เฟียซตามคำขอ มองหน้าที่เต็มไปด้วยเหงื่อของเพื่อนอย่างรู้สึกร้อนแทน
“บอส มีผ้าเย็นมั้ย เหมือนต้าร์จะเห็นคนสั่งผ้าเย็นมานะ”
ผมถามบอสที่นั่งเล่นโทรศัพท์อยู่
“อยู่ในถังอ่ะ หาดู”
“ขอบใจนะ”
ผมตอบแล้วเดินกลับไปควานหาผ้าเย็นในถัง เจอแล้วก็เดินกลับไปนั่งข้างๆเฟียซ แกะถุงผ้าเย็นออกแล้วโป๊ะใส่หน้าเพื่อน
“เออๆ ดีดี”
เฟียซยิ้มอย่างชอบใจ เจ้าตัวเอนหลังพิงพนักเก้าอี้หลับตาปล่อยให้ผมเช็ดหน้า
“เป็นไง รู้สึกดีขึ้นบ้างมั้ย”
“ที่สุดอ่ะ ขอบใจมาก”
ผมยิ้ม เก็บผ้าเย็นที่ถูกใช้งานเสร็จแล้วไปทิ้งถังขยะ
“พรุ่งนี้พวกมึงมาแต่เช้านะ ปีสามจะประชุมเรื่องสายรหัส”
เฟียซหันไปบอกตัวเล็กกับบอส
“ไรวะ”
บอสเงยหน้าขึ้นจากโทรศัพท์ทันที เจ้าตัวคงหงุดหงิดที่ต้องตื่นเช้า
“เออ”
ผิดกับตัวเล็กที่รับคำโดยดี สองคนนี้นิสัยต่างกันสุดขั้วแต่ก็อยู่ด้วยกันได้ แถมยังรักกันดีอีกต่างหาก
“มึงก็เหมือนกัน อย่าสายนะ”
“ครับ รู้แล้วครับ”
ผมยิ้มตอบเฟียซแบบล้อๆ
“วันนี้ขับรถมาเองเหรอ”
“อืม”
“พวกมันซื้อให้”
“อือ”
“พวกคนรวย รวยจนไม่รู้จะเอาเงินไปทำอะไร”
ผมแสยะยิ้มกับคำพูดประชดประชันของเฟียซ ก็จริง พวกเขารวย ทั้งรวยทั้งมีอิทธิพล ไม่เคยคิดเหมือนกันว่าในชีวิตผมจะต้องมายุ่งเกี่ยวกับพวกเขาลึกซึ้งถึงขั้นนี้
“ไม่มีอะไรให้ทำแล้ว กลับบ้านไป”
“แล้วเฟียซล่ะ”
“กูนอนนี่”
“อ้าว…นอนเฝ้าของเหรอ”
“อืม”
ผมพยักหน้า ความจริงอยากนอนเป็นเพื่อนเฟียซ แต่ไม่ได้หรอก พวกเขาคงไม่ยอม
“บอส ตัวเล็ก กลับบ้านเลยมั้ย”
“ไปดิ”
บอสรับคำ เก็บกระเป๋าแล้วเดินมากอดคอผม
“ไปนะ”
ผมหันไปบอกลาเฟียซ
“ขับรถดีดี ถึงบ้านแล้วไลน์มาบอกด้วย”
“ครับผม”
“เพื่อนหรือพ่อกันแน่วะ กูชักไม่แน่ใจ ฮ่าๆๆ”
บอสพูดแซวจนเฟียซขว้างขวดน้ำใส่ ดีนะที่หลบทันไม่งั้นโดนหน้าเต็มๆแน่
พวกเราเดินแยกจากเฟียซมาที่ลานจอดรถหลังตึกคณะ บอสกับตัวเล็กขับรถออกไปก่อนแล้ว แต่ผมยังยืนอยู่ข้างรถลังเลว่าจะโทรฯบอกพวกเขาดีมั้ยว่าผมจะกลับบ้านแล้ว
“ขึ้นรถ”
ผมขมวดคิ้วกับน้ำเสียงคุ้นเคยที่ดังอยู่ข้างหลัง พอหันไปมองก็พบว่าพี่ควินลดกระจกรถโผล่หน้าออกมา โดยมีพี่แซททำหน้าที่เป็นคนขับ
“แล้วรถผมล่ะครับ”
“เอากุญแจมา เดี๋ยวให้คนขับไปไว้ให้ที่คอนโด”
ผมไม่ตอบแต่ทำตามที่พี่ควินบอก ยื่นกุญแจรถส่งให้แล้วเปิดประตูเข้าไปนั่งที่เบาะหลัง ผมนั่งเล่นเกมในโทรศัพท์ไม่ได้สนใจพวกเขา จนกระทั่งรถเบรกกะทันหันผมถึงได้เงยหน้ามองว่าเกิดอะไรขึ้น
“ขับรถยังไงคุณ”
พี่ควินลดกระจก คุยกับเจ้าของรถมอเตอร์ไซต์ที่ขับปาดหน้าออกมาจากซอย
“ขอโทษครับพี่ ขอโทษครับ”
อีกฝ่ายก้มหัวขอโทษขอโพยเพราะรู้ว่าตัวเองเป็นฝ่ายผิด
“ทีหลังก็ดูดีดีหน่อย”
“ครับๆ”
เคลียร์กันได้แล้วพี่แซทก็ออกรถ พี่ควินหันมามองผมแวบนึงก็หันกลับไป ผมยักไหล่กลับมานั่งพิงเบาะเล่นเกมต่อ ผมเล่นเกมจนโทรศัพท์แบตหมดพอดีกับที่รถชะลอความเร็ว ผมหันไปมองข้างทาง ขมวดคิ้วกับสถานที่คุ้นเคย
“มาเยี่ยมคุณยายเหรอครับ”
ผมถามขึ้น แต่ไม่มีเสียงตอบรับกลับมา พอรถจอดนิ่งผมก็เปิดประตูลงจากรถ เห็นคุณยายพี่ควินยืนอยู่ที่หน้าเทอร์เรส ผมส่งยิ้มให้ท่าน ในขณะที่ท่านอ้าแขนรอผมอยู่ เห็นอย่างนั้นผมก็รีบวิ่งขึ้นไปหาท่านทันที
“ในที่สุดหนูต้าร์ก็มาหายาย คิดถึงที่สุดเลยลูก”
“ผมก็คิดถึงคุณยายครับ”
ผมบอกพลางกอดท่านไว้หลวมๆ
“คิดถึงแต่ก็ไม่มาหายายเลย”
“ก็มาแล้วไงครับ”
ผมผละออกแล้วยิ้มกว้างให้ท่าน
“เข้าบ้านดีกว่า ยายให้เด็กทำขนมไว้รอหนูเยอะเลยลูก”
ผมประคองท่านเดินเข้าบ้าน ตรงไปที่ห้องนั่งเล่น บนโต๊ะมีขนมกับแก้วน้ำหวานตั้งรออยู่ก่อนแล้ว
“นั่งลูกนั่ง ไหนมาให้ยายดูหน้าใกล้ๆสิ ผอมไปรึเปล่าลูก หืม…”
นั่งลงได้ท่านก็ประคองหน้าผมด้วยสองมืออวบอูม มองอย่างสำรวจ
“ไม่หรอกครับ แค่ผมตัวเท่าเดิม คุณยายเลยมองว่าผอม”
“อย่าโกหก”
พี่ควินบอกพลางเดินเข้ามานั่งโซฟาฝั่งตรงข้าม พี่แซทเดินตามมานั่งข้างๆ
“แย่งน้องกินหมดใช่มั้ย ดูสิ แขนเล็กนิดเดียว”
คุณยายหันไปเอ็ดพวกเขาแล้วจับแขนผมพลิกดู
“เด็กดื้อไม่ยอมกินข้าว”
พี่ควินว่า คุณยายเลยหันมาดุผม
“ทำไมไม่กินข้าว หนูต้องกินนะลูก กินเยอะๆ อย่าอด”
“ครับ”
ผมรับคำเสียงอ่อย เข้าใจว่าท่านเป็นห่วง
“ดีแล้ว นี่ขนมมีแต่ของอร่อย กินเลยลูก กินเยอะๆ”
ท่านเลือนจานขนมหวานมาตรงหน้า ผมเลยยกจานขึ้นมาแล้วทานให้ท่านดูจนท่านยิ้มอย่างพอใจ
“อย่าแย่งน้องนะ ยายจะออกไปดูในครัวหน่อย”
ท่านหันไปสั่งพวกเขาแล้วลุกเดินออกจากห้องไป ผมวางจานขนม ดูดน้ำหวานจนชุ่มคอ
“พี่แซทเป็นอะไรครับ ยังโกรธผมเรื่องเมื่อเช้าเหรอ”
ว่าจะไม่ถามนะ แต่เห็นเขาเงียบ ไม่ยอมคุย มันก็ขัดหูขัดตา
“กูมีสิทธิ์อะไรไปโกรธมึง”
ผมแสยะยิ้มกับคำพูดเขา ทั้งน้ำเสียงและแววตาบอกชัดว่าเขาโกรธผมยังจะมาพูดประชดอีก
“ครับ ไม่มี”
คิดว่าพูดจาประชดเป็นคนเดียวหรือไง
“มึง!”
พี่แซทขึ้นเสียงแล้วก้าวพรวดเข้ามาหา ผมนั่งนิ่งปล่อยให้เขาบีบคาง ไม่หวั่นกลัวนัยน์ตาดุดันที่จ้องมองในระยะประชิด
“แซท มึงจะทำอะไร มีสติหน่อยสิวะ”
พี่ควินเอ่ยเตือนเพื่อน
“กูมีสติ กูยังมีสติ”
พี่แซทเค้นเสียงพูด เขาบีบคางแรงขึ้นจนผมนิ่วหน้าแต่เขาก็ยังไม่ยอมปล่อย
“แล้วในฐานะผัว กูมีสิทธิ์มั้ย”
คำพูดร้ายกาจพ่นออกจากปากเขา ยอมรับว่ามันเสียดแทงใจผมกับคำว่าผัวที่เขาเน้น
“แซท พอได้แล้ว มึงอยากให้ยายเข้ามาเห็นเหรอ”
พี่ควินเตือนอีกครั้ง คราวนี้พี่แซทยอมถอย เขาปล่อยมืออกจากคางผมแต่ยังไม่ยอมกลับไปนั่งที่ตัวเอง ผมพยายามนับหนึ่งถึงสิบในใจอย่างช้าๆ พยายามระงับอารมณ์ไม่ให้เดือดตามสถานการณ์ แต่คำพูดเขามันทำให้ผมเจ็บ
“ผัวที่ถูกยัดเยียดให้ด้วยการขืนใจ” ผมเค้นเสียงบอก มองหน้าพี่แซทด้วยสายตาแข็งกร้าว “แบบนี้ผมไม่ยอมรับหรอก”
“ต้าร์!”
ไม่ใช่เสียงคนที่อยู่ตรงหน้า แต่เป็นเสียงของพี่ควินที่เรียกผมดังลั่นห้อง ผมแสยะยิ้มแล้วลุกขึ้น
“ทำไมครับ ผมพูดอะไรผิดเหรอ”
“หยุด!”
พี่ควินสั่ง เขายืนขึ้นแล้ว ท่าทางโกรธผมด้วย แต่ผมไม่ผิด ทำไมผมต้องหยุด ในเมื่อผมไม่ได้ทำอะไรผิด!
“โอ้ย!” ผมกำลังจะเปิดปากโต้ตอบกลับไป พี่แซทก็กระชากแขนผม ดึงให้เดินตามเขาขึ้นบันไดไป ผมขืนตัวไว้แต่ก็สู้แรงเขาไม่ได้
“แซท! หยุด!”
พี่ควินตะโกน เขาเดินตามมา ผมพยายามสะบัดแขนให้หลุดจากการจับกุมแต่พี่แซทก็ดึงจนผมเจ็บร้าวไปทั้งแขน เขาเปิดประตูห้อง กระชากผมเข้าไป เตียงนอนที่เห็นเบื้องหน้าทำให้ผมกลัว กลัวจนพูดไม่ออก
“เงียบทำไม พูดสิ ปากเก่งให้ตลอด”
พี่แซทพูดพร้อมกับเหวี่ยงผมลงบนเตียง เขาตามมาคร่อมตัวผม จับข้อมือทั้งสองข้างขึ้นเหนือศีรษะกดแนบกับฟูก ผมกัดฟันแน่นรับรู้ได้ว่าตัวกำลังสั่นเพราะความหวาดกลัวกับเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นเหมือนกับเหตุการณ์เลวร้ายในอดีตที่ยังฝั่งอยู่ในความทรงจำ
“แซท มึงเลิกบ้าได้แล้ว!”
พี่ควินจับคอเสื้อพี่แซทแล้วดึงอย่างแรงจนเขาเสียหลักหงายหลัง พอเป็นอิสระ ผมก็รีบลุกขึ้นนั่งแล้วลงจากเตียง
“ปล่อยกู!”
“เลิกบ้าได้แล้ว เป็นเหี้ยอะไร!”
“กูบอกให้ปล่อย!”
ตึง!
พี่ควินต่อยพี่แซทจนล้มโครมไปกองกับพื้น ผมยืนนิ่งอยู่กับที่อย่างตกใจกับเหตุการณ์ตรงหน้า
“ที่นี่บ้านกู ถ้าอยากบ้าก็กลับไปบ้านมึง!”
พี่ควินคะคอกใส่ พี่แซทค่อยๆยืนขึ้นยกมือเช็ดเลือดที่มุมปาก เขาหันมามองผมด้วยสายตาวาวโรจ พอพี่แซทเงียบไป พี่ควินก็หัน
มาหาผม
“ลงไปข้างล่าง คุณยายรออยู่”
ผมพยักหน้า หันหลังให้เขา เดินไปที่ประตู แต่เสียงเข้มของพี่แซททำให้ผมชะงัก
“กูรู้ว่ากูผิดที่ข่มขืนมึง ใช่ กูผิด กูยอมรับ ที่ผ่านมา กูพยายาม กูทุ่มเททำทุกอย่างเพื่อมึง หวังให้มึงให้อภัย แต่สิ่งที่กูทำมันไม่เคยมีค่าในสายตามึง มึงไม่เคยมองว่ากูดี ไม่เคย!”
“แซท! มึงหุบปากไปเลย!”
“ไม่! กูจะพูด มึงจะกลัวทำไมควิน มึงจะกลัวเหี้ยอะไร ในเมื่อมึงกับกูก็รู้ว่าความจริงมันเป็นยังไง!”
“กูบอกให้มึงหุบปากไง”
พี่ควินกดเสียงต่ำ เขาไม่ได้หันกลับไปมองพี่แซทแต่กลับจ้องมาที่ผมด้วยสายตาที่สั่นไหว
“มึงหนีความจริงไม่พ้นหรอกควิน ทั้งมึงทั้งกู เลิกหลอกตัวเองได้แล้ว ต้าร์ไม่ได้รักมึง ไม่ได้รักกู มันไม่ได้รัก ไม่เคยรัก ไม่คิดจะรัก ทำดีให้ตายมันก็มองว่ากูกับมึงเลว!”
“หยุด! พอได้แล้ว!!!”
พี่ควินตะโกนดังลั่นจนผมสะดุ้ง
“ทำดีแล้วยังไง ทำดีไปมันก็ไม่รัก ทำดีให้ตายมันก็ไม่คิดจะรัก!”
ผมก้มหน้ามองมือที่จู่ๆก็สั่นขึ้นมา อยากปิดหูไว้ไม่ให้ได้ยินที่พวกเขาพูด แต่กลับยกมือไม่ขึ้น
“ทุกวันนี้มึงมีความสุขเหรอควิน บอกกูสิว่ามึงมีความสุข ได้อยู่กับคนที่มึงรัก แต่มันไม่ได้รักมึง!”
“เลิกพล่ามได้แล้ว”
“มึงจะหลอกตัวเองทำเหี้ยอะไร! มึงก็เห็นแล้วนี่ว่าต่อให้ไม่มีมึงกับกู มันก็อยู่ได้”
ผมกำมือแน่น แน่นจนรู้สึกเจ็บเพราะเล็บที่จิกเข้าเนื้อ ผมไม่อยากอยู่ที่นี่แล้ว ไม่อยากอยู่แล้ว!
“ขอโทษไปแล้วได้อะไร ให้กูบอกขอโทษมึงแล้วกูจะได้ความรักจากมึงมั้ยต้าร์”
ผมเงยหน้าขึ้นเพราะมือหนักๆที่วางบนบ่าทั้งสองข้าง พี่แซทยืนอยู่ตรงหน้า นัยน์ตาคมแดงก่ำจนผมตกใจ
“ทำดีแล้วมึงไม่เห็นค่า กูก็จะเลว เลวให้มึงจำไปจนวันตาย มึงจะได้ไม่ลืมกู!”
พูดเสร็จเขาก็ผลักจนผมทรุดลงกับพื้นแล้วเดินผ่านไป พี่ควินเข้ามาดูผม ใบหน้าเรียบเฉยไม่แสดงออกว่ารู้สึกยังไงทำให้ผม
อยากร้องไห้ออกมาจริงๆ
“เจ็บรึเปล่า”
ผมส่ายหน้า มองตาเขา ทำไมถึงยังนิ่งได้ขนาดนี้ เขาคิดอะไรอยู่กันแน่
“กูมันเลว กูเห็นแก่ตัว ทำเลวกับมึงไว้แล้วยังกล้าหวังให้มึงรัก”
“พี่ควิน”
ผมเรียกเขาเสียงแผ่ว ไม่อยากจะเชื่อว่าในที่สุดเขาก็ยอมสารภาพความในใจออกมา หลังจากปล่อยให้พี่แซทระเบิดอารมณ์ระบายสิ่งที่อัดอั้นอยู่ในใจออกมาจนหมด
“จะโกรธกูแค่ไหน จะเกลียดกูมากยังไงก็อย่าไปจากกู”
นัยน์ตาที่ไร้แววดุดัน แต่กลับเต็มไปด้วยความเศร้าหมองมองผมอย่างวอนขอ
“มึงอยู่ได้ถ้าไม่มีกู แต่กูอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีมึง”
ผมหลับตา ไม่อยากมองหน้าเขา ไม่อยากเห็นแววตาที่สะท้อนถึงความเจ็บปวดของเขา พวกเขาเจ็บ ผมก็เจ็บ ในเมื่อเจ็บกันทุก
คนแล้วทำไมต้องทน ทำไม…
---------------------------------------------------------------------------------------
ความสัมพันธ์นับวันยิ่งดิ่งลงเหว
เรื่องนี้สอนให้รุ้ว่าคนเลวก็มีหัวใจ
ยังไม่จบตอนนะคะ คาดว่าตอนนี้ 130% ก็ 150% แล้วแต่จะปั่นจบตอนได้แค่ไหน
ขอบคุณสำหรับคอเมนท์และการติดตามทั้งในเล้า ในเด็กดี และในเพจนะคะ
เจอกันอีกครึ่งที่เหลือค่ะ