HEARTBREAKER
50
(ต่อ)
7วันแล้วที่พวกเขาหายไป อาทิตย์นึงเต็มๆที่พวกเขาไม่ติดต่อกลับมานับตั้งแต่วันที่พวกเขาพาผมไปหาคุณยายวันนั้น ผมขับรถไปกลับมหา’ลัยคนเดียว ได้ใช้ชีวิตอิสระอย่างที่ต้องการมาตลอด แต่ผมกลับไม่มีความสุขเลย ผมยังจำเหตุการณ์ที่พวกเขาทะเลาะกันเพราะผมได้ดีและคงไม่มีวันลืม นับเป็นครั้งแรกที่ผมได้รับรู้ถึงความรู้สึกที่แท้จริงของพวกเขา และมันก็ทำให้ผมรู้สึกผิดอยู่ลึกๆ ผมไม่สามารถรักพวกเขาได้เต็มหัวใจ และไม่สามารถลืมเหตุการณ์เลวร้ายที่พวกเขาทำกับผมได้ ผมเห็น ผมรับรู้ และผมเข้าใจกับสิ่งที่พวกเขาทุ่มเททำเพื่อผม เงินสดในธนาคารที่เปิดบัญชีในชื่อผม บัตรเครดิตที่พวกเขาให้ผมรูดใช้ได้ตามใจบ้านหลังใหญ่ รถสปอร์ตหรู ทรัพย์สินที่พวกเขาทุ่มให้ผมเพื่อเอาใจ ผมรับรู้ ผมเห็นมันมากับตาถึงสิ่งที่พวกเขาทำให้ ไม่ใช่ว่าผมใจแข็งหรือกำลังหลอกตัวเอง ผมเป็นคน เป็นมนุษย์ธรรมดาคนนึงที่มีความรู้สึก มีหัวใจ โกรธแค้นขุ่นเคือง เจ็บได้ร้องไห้เป็น และหวั่นไหว ใช่…หลายครั้งที่ผมหวั่นไหวไปกับความใจดีของพวกเขา หลายครั้งที่ผมเผลอยิ้มและเขินอายต่อหน้าพวกเขา ความใกล้ชิดและสัมผัสของพวกเขาทำให้ผมหวั่นไหว แต่มันก็ยังไม่มากพอที่ผมจะพูดได้เต็มปากว่ารู้สึกรักพวกเขา
ถ้าคนเราแค่รู้สึกหวั่นไหวแล้วบอกว่าความรู้สึกนั้นคือความรัก นั่นคือการหลอกตัวเอง
ถ้าจะรัก หัวใจต้องไม่มีข้อแม้หรือเหตุผลใดๆ
“เฮ้ย! ใจลอยไปถึงไหนมึง”
ผมสะดุ้งกับเสียงร้องดังข้างหู หันไปมองก็เห็นเฟียซยืนหัวเราะอยู่ แถมยังมีตัวเสริมมาอีกคน ธัญญ์ น้องปีหนึ่งที่เป็นขวัญใจรุ่นพี่เกือบทั้งคณะ หมอนั่นเป็นคนตลกที่ชอบสร้างเสียงหัวเราะตลอดเวลาที่ทำกิจกรรมรับน้อง ขนาดคณะอื่นยังให้ความสนใจเลย แว่วมาว่ามีสาวๆตามกรี๊ดกลุ่มใหญ่เลยล่ะ แต่สำหรับผม หมอนี่ก็เหมือนเด็กไม่รู้จักโตที่วันๆเอาแต่ง้องแง้งเกาะติดกลุ่มผมเหมือนปลิง สลัดยังไงก็ไม่หลุด ตั้งแต่รู้ว่าผมเป็นพี่รหัส ธัญญ์ก็เข้ามายุ่งวุ่นวายกับชีวิตผม ตอนแรกผมก็ชอบนะที่น้องอัธยาศัยดี พูดเพราะกับรุ่นพี่และไม่ปีนเกลียว แต่บางครั้งผมก็รำคาญที่น้องพูดมากเกินไป
“ผมมีเรื่องสงสัยครับ”
นั้นไง มันมาแล้ว ความสงสัย
"พวกพี่ใช้วิธีไหนเลือกน้องรหัสเหรอครับ"
น้ำเสียงกระตือรือร้นถามขึ้น สีหน้าอยากรู้เต็มเปี่ยมจนผมอยากแกล้ง บุ้ยใบ้ให้เฟียซเป็นคนตอบแทน
"จับลูกปิงปอง"
พอเฟียซตอบ ไอ้เด็กแอคติ้งเว่อร์ก็ตาโตหันมามองหน้าผม
"โห! เอกเรามีตั้ง150คน อย่างนี้ก็เรียกว่าพรหมลิขิตสิครับ"
ผมมองหน้าคนพูดอย่างไม่เข้าใจ พรหมลิขิตอะไรของมันวะ
"คิดดูสิครับ ลูกปิงปองมี150ลูก แต่พี่ก็จับได้ผม ไม่เรียกว่าพรหมลิขิตแล้วจะให้เรียกว่าอะไร"
"ปัญญาอ่อน"
ผมว่าแล้วส่ายหน้าอย่างเอือมระอา บอกตรงๆว่าไม่เข้าใจความคิดไอ้เด็กคนนี้ พอผมเดินหนีธัญญ์ก็เดินตามมา ผมชักสีหน้าใส่แต่ธัญญ์กลับยิ้มกว้าง
"พี่ต้าร์"
"อะไร"
ผมถามเสียงห้วน เริ่มจะหงุดหงิด
"พี่ไม่เชื่อเรื่องพรหมลิขิตเหรอครับ"
ยังไม่จบเรื่องนี้อีกเหรอ ผมมองหน้าธัญญ์อย่างเหนื่อยใจ
"ว่างมากเหรอธัญญ์"
"ก็ว่างครับ"
"ถ้าว่างมากนักก็หุบปากไปซะ มันน่ารำคาญ"
“ฮ่าๆๆๆ”
เฟียซหัวเราะเสียงดังจนผมต้องหยุดเดินแล้วหันไปมอง มีเรื่องตลกอะไร?
“ธัญญ์ มึงควรดีใจนะ ปกติต้าร์มันไม่เคยพูดอย่างนี้กับใครเลยนะเว้ย มึงเป็นคนพิเศษ ฮ่าๆๆ”
เฟียซบอกกลั้วหัวเราะแล้วตบบ่าธัญญ์ที่หน้าหงอยยิ้มแห้งอยู่
“โห! พี่เฟียซ ขอบคุณมากครับที่ช่วยซ้ำเติม”
ธัญญ์ว่ากลับ ตาคมมองผมเหมือนงอน แต่ผมก็ทำเฉยไม่สนใจ
“ถ้าพี่ต้าร์รำคาญ ต่อไปนี้ผมจะไม่มาให้พี่เห็นหน้าก็ได้ครับ”
พูดแบบนี้คิดว่าผมจะง้อเหรอ เสียใจ ผมไม่แคร์หรอก ผมหันหลังเดินตรงไปที่หลังตึกได้ยินเสียงหัวเราะเฟียซดังตามมา
“ฮ่าๆๆๆ ไอ้หมาธัญญ์ แม่งโคตรน่าสงสารเลยวะ ฮ่าๆๆ”
ผมเดินมาถึงลานจอดรถ ล้วงเอาพวงกุญแจรถในกระเป๋าเป้ ได้แล้วก็กดรีโมทปลดล็อครถ ยังเดินไปไม่ถึงตัวรถเสียงเฟียซก็ถามขึ้น คำถามที่ทำให้ผมชะงัก
“พวกมันปล่อยมึงแล้วเหรอ ไม่เห็นตามคุมมาหลายวัน”
ผมหันไปมองเฟียซเดินมาคนเดียว ไม่มีธัญญ์ตามมา ผมถอนหายใจยาว เดินไปนั่งที่ม้าหินอ่อน เฟียซตามมานั่งข้างๆ
“พวกเขาหายไปอาทิตย์นึงแล้ว ไม่ติดต่อกลับมาเลย”
ผมบอกเสียงแผ่ว ก้มมองพวงกุญแจรถในมือ
“ก็ดีแล้วนี่หว่า มึงก็ได้อิสระ หรือไม่ชอบ”
“ก็ชอบ แต่มัน…”
“ทำไม หรือมึงคิดถึงพวกมัน”
ผมเงยหน้าหันไปมองเฟียซ สบสายตาคมนิ่ง
“อืม…คิดถึง”
ผมตอบไปตามความรู้สึก
“ฮึ! อย่าบอกนะว่ามึงรักพวกมันแล้ว”
เฟียซว่าเสียงเยาะ
“เปล่า ไม่ได้รัก”
“เรื่องของมึงเหอะ จะรักไม่รักก็เรื่องของมึง ตัวมึง หัวใจมึง”
เฟียซว่าแล้วลุกขึ้นเดินไปที่รถมอเตอร์ไซต์
“โกรธต้าร์เหรอ!“
ผมตะโกนถาม
“กูจะโกรธมึงทำไม”
เสียงเข้มสวนกลับมา ผมเงียบ นั่นสิ เฟียซจะโกรธผมทำไม ผมนี่งี่เง่าจริงๆ
“กูกลับนะ มึงก็ขับรถกลับบ้านดีดี ถึงแล้วไลน์มาบอกด้วย”
“อือ…เฟียซก็ขับรถดีดีนะ”
เจ้าของรถมอเตอร์ไซต์พยักหน้าให้ผมก่อนสวมหมวกกันน็อคสตาร์ทเครื่องแล้วขับออกไป ผมยกมือลูบหน้าช้าๆ ถอนหายใจแรงแล้วลุกขึ้นเดินไปที่รถ หลายวันมานี่ผมเอาแต่คิดฟุ่งซ่าน ควรหาเวลาพักสมองบ้าง ถึงบ้านแล้วผมจะนอน นอนให้เต็มอิ่มเลย
**************************************************
ก็อกๆๆ
“คุณหนู คุณหนูคะ”
ผมงัวเงียลุกขึ้นนั่งพิงหัวเตียง มองนาฬิกาบนโต๊ะบอกเวลา4ทุ่มกว่า คุณป้ามีเรื่องด่วนอะไรถึงขึ้นมาเรียกผมกลางดึกอย่างนี้
“คุณหนู นอนหลับอยู่เหรอค่ะ”
“ตื่นแล้วครับ”
ผมร้องบอก ลงจากเตียง เดินไปเปิดประตู สีหน้าคุณป้าดูตื่นตระหนก
“มีอะไรเหรอครับ”
“เพื่อนคุณควินกับคุณแซทโทรมาค่ะ บอกว่ามีเรื่องด่วนจะคุยกับคุณหนู เธอบอกว่าโทรเข้ามือถือแล้วแต่คุณหนูปิดเครื่องเลยโทรเข้าเบอร์บ้าน”
“เขาได้บอกชื่อมั้ยครับ”
“บอกค่ะ ชื่อพอล”
พี่พอลเหรอ มีเรื่องด่วนอะไร
“เธอยังรอคุยกับคุณหนูอยู่นะคะ”
“ครับ”
ผมรับคำแล้วรีบลงบันไดไปห้องรับแขก
“ฮัลโหลพี่พอล มีเรื่องด่วนอะไรเหรอครับ”
ผมถามปลายสายด้วยความร้อนใจ
“ต้าร์ รีบมาที่ผับมูซด่วนเลย ไอ้ควินกับไอ้แซทมีเรื่อง มันเมาแล้วไปหาเรื่องชาวบ้านเค้า”
ให้มันได้อย่างนี้สิ!
“ครับๆ ผมจะรีบไป”
ผมบอกแล้ววางสาย วิ่งกลับขึ้นห้อง เปลี่ยนชุดด้วยความรีบเร่งเสร็จแล้วก็รีบวิ่งลงมา คุณป้ายืนรอผมอยู่ สีหน้าท่านไม่บอกก็รู้ว่าเป็นห่วงผม
“ป้าเข้านอนไปเลยนะครับ ผมจะไปหาพวกพี่เขา ไม่ต้องห่วงนะครับ ผมจะให้อังเดรกับอะดอนิสพาไป”
ผมบอกท่านแล้วรีบเดินออกไปนอกบ้าน อังเดรกับอะดอนิสยืนรอผมอยู่ที่รถก่อนแล้ว พี่พอลคงโทรบอกพวกเขาก่อนหน้าจะโทรหาผม
“หายหัวไปเป็นอาทิตย์ ที่แท้ก็ไปเมาอยู่ที่ผับ คอยดูนะ! ผมจะอัดพวกเขาให้เละเลย!”
ขึ้นรถมาได้ผมก็ว้ากลั่น อังเดรหันมายิ้มจางๆให้ผมแต่ไม่พูดอะไร อะดอนิสก็เหลือบมองผมทางกระจกอย่างหวาดๆ
ผมไม่ได้พูดเล่นนะ ถ้าพวกเขาเป็นอย่างที่พี่พอลบอกจริงๆ!
เสียงโหวกเหวกโวยวายดังต้อนรับทันทีที่ผมย่างก้าวเข้าผับดัง อังเดรเดินนำหน้าผม อะดอนิสเดินรั้งท้าย พวกเขาคอยประกบผมไม่ห่าง แต่ผมร้อนใจอยากเจอพวกเขาจนต้องดุนหลังสั่งให้อังเดรเดินเร็วๆ ผมเห็นกลุ่มคนยืนอยู่หนาตาเบื้องหน้า และนักท่องเที่ยวมากมายยืนกันเป็นกลุ่มๆอยู่ตามมุม สถานการณ์ไม่ปกติแบบนี้ บอกชัดว่าในผับกำลังเกิดเรื่อง!
“มึงจะเอายังไง! คิดว่าพ่อมึงใหญ่แล้วจะทำตัวกร่างยังไงก็ได้เหรอวะ!”
“อ้าว…ไอ้เหี้ยนี่ บอกแล้วไงว่าเพื่อนกูเมา มันเมาอ่ะ มึงเข้าใจมั้ย!”
เสียงพี่พอล…ผมรีบวิ่งไปตามเสียงทันที อังเดรขวางผมไว้ไม่ทัน ผมถลาเข้าไปในวงล้อมของผู้ชายกลุ่มใหญ่
“ต้าร์!”
เสียงเรียกผมดังลั่น หันไปมองก็เห็นพวกพี่พอล พี่ร็อค ช่วยกันพยุงพี่แซทอยู่อย่างทุลักทุเล สภาพพี่แซทเมาเละอย่างที่พี่พอล
บอกจริงๆ
“เฮ้ย! มึงเป็นใครวะ มาเสือกอะไร”
“ไม่ใช่เรื่องของมึง!”
ผมว่าสวนกลับเสียงห้วนอย่างไม่สบอารมณ์ ไม่จำเป็นต้องพูดจาดีกับคนที่พูดจาเหี้ยๆกับผมก่อน!
“อ้าว! ไอ้นี่ พูดงี้อยากมีเรื่องเรอะ”
“อย่ายุ่งกับคนของกู!”
ผมชะงักกับเสียงเข้มดุ พี่ควินเดินชนไหล่พี่ร็อคมาหาผม แขนยาวรวบตัวผมเข้าไปในอ้อมกอด ได้กลิ่นเหล้าหึ่งออกมาจากตัวเขา
“แค่เหยียบตีน พวกมึงมีปัญหาอะไรนักหนา ถ้าอยากมีเรื่องนักก็ไปเจอกันข้างนอก”
พี่ควินบอกฝ่ายตรงข้าม เขากอดผมแน่นจนผมอึดอัด
“ไอ้เหี้ยนั่นเหยียบตีนกูสองครั้ง บอกให้มันมาขอโทษกู”
“ให้พ่อมึงมากราบตีนกูก่อนดิ”
เสียงพี่แซท เขาพยายามสลัดพี่พอลกับพี่ร็อคออก เชื่อเขาเลย เมาแล้วยังปากดีอีก!
“มึงเล่นถึงพ่อกูเลยเหรอ วันนี้กูเอามึงตายแน่ ไอ้สัด!”
อีกฝ่ายชี้หน้าด่า พุ่งตัวเข้ามา พี่ควินยกเท้าจะถีบแต่ยังช้ากว่าอังเดรกับอะดอนิสที่ควักปืนออกมาจ่อหัวคู่อริ เสียงกรี๊ดและเสียงแตกฮือดังขึ้น ผมมองเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างใจเย็น ทั้งๆที่สถานการณ์เข้าขั้นวิกฤต คนถูกปืนจ่อหัวตัวสั่นแล้ว พวกพี่ยืนอยู่ข้างหลังมองหน้ากันเลิกลั่ก ก็สมควรกลัวอยู่หรอก อังเดรกับอะดอนิสเตรียมเหนี่ยวไกจริงๆแน่ถ้าอีกฝ่ายขยับ ไม่ใช่แค่ขู่ ผมรู้ดีว่าพวกเขาถูกฝึกและได้รับคำสั่งมาเพื่อปกป้องบอสของพวกเขา
“กูว่าไปดีกว่าวะ ก่อนจะได้ตายจริงๆ”
เสียงจากคนที่ยืนอยู่แถวหลังเอ่ยขึ้นแล้วเจ้าตัวก็รีบหันหลังวิ่งออกไปก่อนตามด้วยคนอื่นๆ
“รีบไปก่อนที่ปืนจะลั่น”
อังเดรพูดขึ้นเสียงเรียบแต่ยังไม่ยอมผละปืนออกห่าง คนที่ปากเก่งในตอนแรกรีบวิ่งหนีไปทันที อังเดรกับอะดอนิสเก็บปืนพก ถอยไปยืนอยู่ข้างๆ
“ปล่อยผมได้แล้ว อึดอัด”
ผมสั่งพี่ควิน เขายอมคลายอ้อมกอดไม่ให้ผมอึดอัดแต่ก็ยังไม่ยอมปล่อยจนผมต้องออกแรงผลักเขาออกห่าง นัยน์ตาคมมองผมอย่างไม่เข้าใจ แต่ผมไม่พูด มองหน้าเขานิ่ง
“มาทำไม”
ผมหันไปมองคนถาม พี่แซทยืนเองได้แล้ว แต่ก็ยังทรงตัวได้ไม่ดีนัก
“ก็ไม่ได้อยากมานักหรอก”
ผมตอบเสียงเรียบ
“ฮึ! แล้วมาทำไม มึงมาทำไม!”
ตอบแทนที่ตะคอกใส่กัน ผมตบหน้าเขาไปทีนึง มันแรงพอที่จะทำให้เขาเซ ผมรู้ว่าผมทำในสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิด และผมไม่สนใจด้วยว่าใครจะมองยังไง
“มีสติเมื่อไหร่เราค่อยมาคุยกัน”
ผมบอกแล้วเดินไปนั่งที่โซฟาข้างๆพี่ร็อค แม้จะมีเสียงเพลงดังขึ้นแต่ผมรู้ว่าพวกเพื่อนๆของพี่ควินกับพี่แซทกำลังมองผมอยู่ แต่ผมก็ยังนั่งนิ่งไม่พูดอะไร
“กลับบ้าน”
พี่ควินเดินเข้ามาสั่ง ผมแสยะยิ้ม มองเขาตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า สารรูปไม่ต่างกัน แค่เขาดูมีสติมากกว่าพี่แซทนิดนึง
“ผมไม่ได้มาที่นี่เพื่อมาฟังคำสั่งพี่”
“ต้าร์!”
“อย่ามาตะคอกใส่ผมนะ! ผมทนฟังมามากพอแล้ว!”
พี่ควินมองหน้าผมนิ่ง คงคิดไม่ถึงว่าผมจะกล้าต่อปากต่อคำกับเขาแถมยังกล้าตะคอกเขากลับแบบนี้ มาถึงขั้นนี้แล้ว ผมไม่คิดจะหยุดหรอก!
“กล้าปล่อยผมไปมั้ยล่ะ ถ้ากล้าก็บอกมาเลย แล้วพวกพี่จะไปตายห่าที่ไหนก็ไป!”
-------------------------------------------------------------------------
ต้าร์เวอร์ชั่นดาร์กโหมด
ขออภัยที่หาย(หัว)ไปนานนะคะ
ขอบคุณสำหรับคอมเม้นท์และการติดตามทั้งในเล้า ในเด็กดี และในเพจ
ไม่มีอะไรจะเวิ่น เอาเป็นว่า เจอกันตอนหน้าค่ะ