HEARTBREAKER
51
(ต่อ)
ความนุ่มนิ่มของเบาะรถและความเย็นฉ่ำของแอร์ฯมักทำให้ผมเคลิ้มหลับอยู่บ่อยๆ แต่คงไม่ใช่เวลานี้ หลังจากที่อ้อมกอดอบอุ่นของพี่ควินผละออกไป เขาก็ไม่พูดอะไรกับผมอีก อังเดรกับอะดอนิสเดินเข้ามาหาและบอกจะพาผมไปส่งบ้าน พอผมเงียบ พี่ควินก็เดินกลับไปที่โต๊ะ ผมเลยเดินตามอังเดรกับอะดอนิสออกจากผับ ทั้งๆที่พี่พอลโทรตามให้ผมมาเพื่อพาพวกเขากลับ แต่สุดท้ายกลับเป็นผมที่ต้องกลับบ้านคนเดียว
“โอ้ย!”
“เป็นอะไรครับคุณหนู”
เสียงแตกตื่นของอังเดรถามขึ้น ผมยกมือกุมขมับ จู่ๆก็รู้สึกปวดหัวจี๊ดขึ้นมา
“ไม่เป็นไร ผมแค่ปวดหัวนิดหน่อย”
“ไปโรงพยาบาลดีมั้ยครับ”
“ไม่ต้องหรอก แค่กินยาก็น่าจะหาย”
“คุณหนูคงเครียดเกินไป”
ใช่…ผมคงเครียดเกินไปจริงๆ ผมหลับตานึกถึงเหตุการณ์ในผับ สิ่งที่ผมทำลงไปมันถูกหรือผิดกันแน่
“อังเดร”
“ครับคุณหนู”
“ผมทำผิดใช่มั้ย”
ผมถามทั้งที่ยังหลับตา นึกถึงหน้าพวกเขาสองคน นึกถึงสายตาของพวกเขา นึกถึงคำพูดที่พวกเขาพูดกับผม ทุกคำ ทุกประโยค และสิ่งที่ผมโต้ตอบพวกเขากลับไป
“แล้วคุณหนูคิดว่าตัวเองทำอะไรผิดล่ะครับ”
อังเดรย้อนถาม ผมลืมตาขึ้นมองไปเบื้องหน้า
“ที่ผับ อังเดรก็เห็นไม่ใช่เหรอว่าผมทำอะไรลงไปบ้าง”
“ครับ”
“ผมตบหน้าพี่แซท ผมเถียงพี่ควิน ผมทำผิดใช่มั้ย”
“ถ้าคุณหนูคิดว่าผิด มันก็ผิด ถ้าคิดว่าไม่ผิด มันก็ไม่ผิด ทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับใจของคุณหนูเอง”
“นั้นสินะ ช่างเถอะ ขับเร็วๆสิอะดอนิส ผมปวดหัว อยากนอนพักแล้ว”
ผมพูดตัดบทแล้วหลับตา ผมถูกทรยศแล้วล่ะ เพราะหัวใจมันไม่ยอมลืมใบหน้าของพวกเขาเลย
ผมถูกปลุก ลืมตาขึ้นก็เห็นว่ารถจอดอยู่หน้าบ้านแล้ว อังเดรกับอะดอนิสยืนรอผมอยู่นอกรถ แต่ผมยังนั่งนิ่งไม่ขยับ ป่านนี่คุณป้าคงรอผมอยู่ด้วยความเป็นห่วง แต่ในใจผมกลับเป็นห่วงพวกเขา ไม่รู้ป่านนี้จะเมาเละไปถึงไหนแล้ว ถ้าไปมีเรื่องอีกจะทำยังไง พวกเขาน่าจะกลับมากับผมด้วย ไม่ใช่สิ ต้องบอกว่าผมน่าจะพาพวกเขากลับมาด้วยกัน
“คุณหนู เข้าบ้านเถอะครับ ดึกมากแล้ว”
ผมหันไปมองอังเดรอย่างตัดสินใจไม่ถูกว่าจะเอายังไงดี ผมเป็นห่วงพวกเขา
“ปวดหัวไม่ใช่เหรอครับ”
ผมส่ายหน้า มองอังเดรอย่างคิดไม่ตก
“คุณหนูเดินไม่ไหวเหรอครับ ถ้าอย่างนั้นผมขออนุญาต…”
“ไม่…ผมเดินไหว”
ผมบอกเสียงแผ่ว อังเดรมองผมอย่างไม่เข้าใจ
“อะดอนิส ผมมีเรื่องให้ช่วย”
“เรื่องอะไรครับ คุณหนูสั่งมาได้เลย”
“ช่วยไปบอกคุณป้าว่าไม่ต้องเป็นห่วงผม ให้ท่านเข้านอน คืนนี้ผมจะกลับไปนอนที่หอ”
อะดอนิสค้อมศีรษะให้ผมก่อนเดินเข้าไปในบ้าน
“อังเดร ผมอยากกลับไปหาพวกเขา”
ผมบอก มองอังเดรด้วยสายตาขอร้อง
“ช่วยเช็คให้หน่อยได้มั้ยว่าตอนนี้พวกเขายังอยู่ที่ผับหรือเปล่า”
“ครับ”
ผมยิ้ม อังเดรเดินห่างออกไป เขาถือโทรศัพท์แนบหู สักพักก็เดินกลับมารายงาน
“ตอนนี้บอสกับคุณควินอยู่ที่คอนโดครับ”
“จริงเหรอ งั้นรีบพาผมไปหาพวกเขาเร็ว”
“ครับ บอสคงดีใจถ้ารู้ว่าคุณหนูเป็นห่วง”
“เอ่อ…ผมก็แค่กลัวว่าพวกเขาเมาแล้วจะไปมีเรื่องอีก…ก็แค่นั้นแหละ”
ผมบอกไม่เต็มเสียงนัก อังเดรยิ้ม ผมรู้ว่าเขาไม่เชื่อที่ผมพูดหรอก แต่ก็ดีที่เขาไม่ล้อเลียนให้ผมอาย!
ผมนั่งร้อนใจมาตลอดทาง พอถึงคอนโดฯก็รีบเปิดประตูลงจากรถ ก้าวฉับๆตรงเข้าไปข้างในตึก ไม่ได้สนใจว่าอังเดรกับอะดอนิสจะตามมาหรือเปล่า รีเซฟชั่นที่นั่งอยู่เคาน์เตอร์หันมายิ้มให้ผมอย่างคุ้นเคย ผมยิ้มตอบเธอแล้วเดินไปกดลิฟต์ รออยู่แป็ปนึงลิฟต์ก็มา ผมพุ่งตัวเข้าไป กดชั้นที่พัก ยืนมองตัวเลขดิจิตอลสีแดงด้วยใจจดจ่อทั้งๆที่ไม่เคยให้ความสนใจกับมันมาก่อน ผมยิ้มเมื่อประตูลิฟต์เลื่อนเปิด เดินเร็วตรงไปที่ห้องพัก กดรหัสแทนคีย์การ์ดเพราะผมไม่ได้เอามันมาด้วย เสียงปลดล็อคประตูดังผมก็รีบเปิดมันเข้าไป สิ่งแรกที่ผมมองหาคือพวกเขา ได้กลิ่นเหล้าคละคลุ้งไปทั่วบอกให้รู้ว่าพวกเขามาที่นี่จริงๆ เดินมาถึงห้องนั่งเล่นผมก็ต้องชะงักกับสิ่งที่เห็นตรงหน้า สภาพของพวกเขาดูเละเทะจริงๆ ให้ตายเถอะ!
“พี่แซท พี่แซทครับ”
ผมเขย่าแขนปลุกคนที่นอนอยู่บนพื้นพรม กลิ่นเหล้าเหม็นหึ่งออกมาจากตัวเขา นี่กินหรือว่าอาบกันแน่
“พี่แซท ตื่นสิครับ”
ผมเขย่าแรงขึ้น แต่เขาก็ยังนอนนิ่ง ผมตัดใจเลิกปลุกผละไปดูพี่ควินที่นอนอยู่บนโซฟา แขนเขาห้อยตกลงมาข้างนึง ผมจับแขนเขาขึ้นแล้วตบแก้มเบาๆ
“พี่ควิน ตื่นเถอะครับ”
เขาขยับตัวนิดนึงก็นิ่งไป ผมถอนหายใจกับสภาพของพวกเขา จะนอนทั้งๆที่กลิ่นเหล้าเหม็นคลุ้งอย่างนี่น่ะเหรอ ผมมองพวกเขาแล้วตัดสินใจว่าควรเช็ดตัวแล้วเอาชุดมาเปลี่ยนให้ดีกว่า อย่างน้อยก็ช่วยให้พวกเขาสบายตัวมากขึ้น
“ต้าร์!”
เสียงเรียกดังทำให้ผมแทบวิ่งออกจากห้องจนน้ำในกะละมังใบเล็กกระฉอกออกมา ผมวางมันไว้บนโต๊ะแล้วไปดูอาการพี่แซทที่ส่ายหน้าแรง
“ต้าร์”
เขาละเมอเรียกชื่อผม…
“ต้าร์…”
“ผมอยู่นี่ครับ”
ผมยิ้มตอบ จับมือเขาไว้ พี่แซทนิ่งไป ผมวางมือเขา หันกลับมาหยิบผ้าขนหนูผืนเล็กในกะละมังบิดพอหมาด เริ่มเช็ดตัวให้เขา ปลดกระดุมเสื้อเชิ้ต ไล่เช็ดตั้งแต่ใบหน้าลงมาถึงแผงอกและหน้าท้อง เสร็จแล้วผมก็ผละไปเช็ดตัวให้พี่ควินต่อ รายนี้ก็ยังนอนนิ่งอยู่เหมือนเดิม ผมบิดผ้าขนหนูอีกผืน เช็ดหน้าให้พี่ควิน พอเช็ดมาถึงคอเขาก็ขยับตัวคล้ายจะลืมตาตื่น ผมหยุดเช็ด รอดูปฏิกิริยาเขา
“ใคร”
เสียงเบาเอ่ยขึ้น ผมยิ้ม ในที่สุดเขาก็รู้สึกตัวตื่นมาสักที
“ผมเองครับ”
“ต้าร์…”
“ครับ ผมเอง”
ผมขานรับ พี่ควินค่อยๆลืมตาขึ้น ผมขยับเข้าไปใกล้ๆ เขามองผมนิ่ง สักพักก็ยกมือขึ้นลูบแก้มผม นัยน์ตาคมดูอ่อนล้าและอิดโรย
“ผมจะเช็ดตัวให้นะครับ พี่จะได้นอนหลับสบายตัว”
เขาไม่ตอบแต่ละมือออกไป ผมเลิกเสื้อยืดที่เขาใส่อยู่ขึ้น เช็ดอ้อมไปด้านหลังวกกลับมาด้านหน้าและเช็ดแขนทั้งสองข้าง
“ลุกไหวมั้ยครับ ถ้าไหวก็เข้าไปนอนในห้องดีกว่า”
“หายโกรธแล้วเหรอ”
พี่ควินไม่ตอบแต่ถามผมกลับ คำถามของเขาทำให้ผมชะงัก
“อย่าทำแบบนั้นอีก”
ผมเงียบแล้วก้มหน้า รู้ว่าที่เขาพูดหมายถึงอะไร ลมหายใจอุ่นๆเป่ารดที่หน้าผาก พอเงยหน้าขึ้นปลายจมูกก็ชนเข้ากับจมูกโด่งของเขา
“ถึงกูจะเลวแค่ไหน แต่กูก็ไม่เคยนอกใจมึง”
“พี่ควิน”
ผมมองเขาอย่างรู้สึกผิดกับสิ่งที่ทำลงไป เพราะความโกรธทำให้ผมขาดสติทำประชดพวกเขา แถมยังไปลากธัญญ์เข้ามายุ่งด้วยอีก ผมนี่มันงี่เง่าจริงๆ
“กลับมาเป็นคนเดิมได้รึยัง กูคิดถึงต้าร์คนเดิม”
ผมถูกพี่ควินดึงเข้าไปกอด แรงโอบรัดแน่นทำให้หน้าผมซบกับแผงอกเขา ความอบอุ่นจากอ้อมกอดและคำพูดของเขายิ่งทำให้ผมเสียใจกับการกระทำของตัวเอง ผมทำผิดไปจริงๆ
“ดึกแล้ว ไปนอน”
พี่ควินบอกพลางดันผมออก เขายันตัวเองขึ้นนั่ง ผมลุกขึ้นจะช่วยพยุงแต่เขาส่ายหน้า ร่างสูงค่อยๆลุกขึ้นยืน ผมถอยห่างหลีกทางให้เขา
“บอกให้ไปนอน”
พี่ควินบอกย้ำคำเดิม ผมยิ้มแล้วบุ้ยใบ้มองไปที่พี่แซท
“ช่างหัวมัน”
เขาบอกอย่างไม่ใส่ใจแล้วเดินเซออกไป ผมมองตามจนเขาเข้าห้องตัวเองไป หันกลับมามองพี่แซทที่ยังนอนหลับไม่รู้เรื่องอยู่ จะปลุกยังไงให้เขาตื่นดีล่ะเนี่ย เมาหนักกว่าพี่ควินซะด้วย
“พี่แซท พี่แซท ตื่นเถอะครับ”
ผมนั่งลงข้างๆเขย่าแขนปลุกเขาแรงๆ คนนอนนิ่งเริ่มมีปฏิกิริยาตอบกลับ เขาส่ายหน้าไปมา ผมเลยยื่นมือไปตบแก้มเขาเบาๆ
“พี่แซท ตื่นซะทีสิครับ”
“อื้อ…”
เขาส่งเสียงเหมือนรำคาญ คิ้วเข้มขมวดมุ่น ผมตบแก้มเขาแรงขึ้น คราวนี้เขาเริ่มปรือตา
“พี่แซท”
ผมเรียก เปลือกตาเขากระพริบถี่ก่อนลืมขึ้นเต็มตา พอเห็นว่าเป็นผมเขาก็ชักสีหน้าแล้วผลักออกห่างทันที คงยังโกรธอยู่สินะ เรื่องที่ผับนั่น
“ผมเช็ดตัวให้แล้ว พี่เข้าไปนอนในห้องเถอะครับ”
เขาเงียบไม่ยอมพูดด้วย ตั้งใจจะนอนตรงนี้จริงๆหรือไง
“ลุกเถอะครับ ผมช่วยนะ”
ผมบอก จะช่วยพยุงเขาลุกขึ้น แต่เขาก็ผลักผมออกอีก
“ไปไกลๆ”
“แน่ใจนะครับว่าอยากให้ผมไปจริงๆ”
ผมย้อนถาม จ้องตาเขานิ่ง
“มึงอยากไปจากกูทุกลมหายใจอยู่แล้วนี่”
เขาว่าประชดกลับมาอีก
“แล้วพี่จะยอมปล่อยผมไปจริงๆเหรอครับ”
ผมถาม คราวนี้เขาเงียบ
“นี่ก็ดึกมากแล้ว เราอย่ามาทะเลาะกันเลยนะครับ”
ผมบอกแล้วจับแขนเขาไว้ นัยน์ตาคมมองผมอย่างจะดุที่ผมรั้นไม่ยอมฟัง แต่เขาก็แค่มองไม่ได้ผลักผมออก ผมช่วยพยุงเขาลุกขึ้นยืน ร่างสูงเซมาทางผมจนเกือบล้ม แต่ยังดีที่ผมตั้งหลักได้ ผมจับแขนเขาให้พาดลงบนบ่า มืออีกข้างก็โอบรอบเอวเขาไว้
“ไปนอนกันเถอะครับ”
ผมยิ้มบอก เขาไม่ตอบแต่ยอมเดินตามแรงดันของผม จนมาถึงหน้าห้อง ผมเปิดประตูประคองเขาเข้าห้อง ส่งเขาถึงเตียงนอน
“จะอาบน้ำมั้ยครับ”
เขาเงียบไม่ยอมตอบ ผมยิ้ม รู้ว่าเขายังโกรธอยู่
“งั้นเปลี่ยนชุดเถอะครับ จะนอนทั้งๆที่ชุดเหม็นแต่เหล้าแบบนี้คงไม่ดี”
เขายังคงเงียบ นั่งก้มหน้านิ่งเหมือนไม่รับรู้ว่าผมมีตัวตนอยู่ในห้อง
“ไม่อาบน้ำ ไม่เปลี่ยนชุด งั้นก็นอนเถอะครับ ราตรีสวัสดิ์นะครับ”
ผมบอกลากำลังจะหันหลังกลับก็ถูกดึงแขนไว้ หันไปมองก็เห็นว่าพี่แซทมองผมอยู่
“มึงทำกูบ้า รู้ตัวรึเปล่า”
ในที่สุดเขาก็ยอมพูด คราวนี้ผมเป็นฝ่ายเงียบบ้าง
“กูเกือบจะฆ่าไอ้เหี้ยนั่นแล้ว”
ผมตาโต ตกใจกับคำพูดเขา ผมหาเรื่องเดือดร้อนมาให้ธัญญ์จริงๆ หวังว่าหมอนั่นคงสบายดีนะ
“ฮึ! ทำไม กลัวมันตายเหรอ มันยังไม่ตายหรอก กูยังไม่ได้ทำอะไรมัน มีแต่มึงที่ทำ”
น้ำเสียงเยาะกึ่งประชดว่าผมกลับ นัยน์ตาคมก็มองผมอย่างดุดัน
“ถ้ามึงทำแบบนั้นอีก กูจะจับมึงขัง”
“โหด”
ผมว่าเสียงแผ่ว แต่เขาได้ยินเลยดึงแขนผมเข้าไปใกล้จนตัวแทบจะเกยอยู่บนตักเขา เรามองตากันในระยะประชิดชนิดที่สัมผัสได้ถึงลมหายใจ
“ไม่อยากให้กูโหดก็อย่าทำ กูเป็นคนเลว มึงก็รู้นี่”
ใช่…ผมรู้ดีที่สุดเลยล่ะ!
“ไปนอน”
เขาบอกพลางปล่อยแขนผม ขยับไปเอนหลังพิงหัวเตียง ให้มันได้อย่างนี้สิ พูดประชด ข่มขู่ เสร็จแล้วก็ไล่ผมไปนอน พวกเขานี่เหมือนกันจริงๆ ผมหันหลังเดินไปที่ประตู จังหวะที่เปิดประตูก้าวขาออกจากห้อง เสียงเข้มก็ดังขึ้น
“ไม่ใช่แค่มึงที่รู้สึกเจ็บ กูก็เจ็บเป็นเหมือนกัน”
ผมปิดประตู ยืนพิงมันอยู่นาน คิดทบทวนคำพูดของพวกเขา ผมเอาแต่เชื่อความคิดของตัวเองฝ่ายเดียวมาตลอดจนลืมไปว่าพวกเขาก็มีความรู้สึกเหมือนกัน ผมปิดกั้นมันทั้งๆที่รู้ การกระทำของผมวันนี้ ทำให้พวกเขาเผยความรู้สึกออกมา ที่สำคัญ…มันทำให้ผมรู้ว่าตัวเองก็แคร์พวกเขาเหมือนกัน
**************************************************
ก็อกๆๆ
เสียงเคาะประตูทำให้ผมที่ลนลานรีบแต่งตัวเพราะตื่นสายหันไปมอง พอเดินไปเปิดก็เห็นพี่ควินยืนอยู่ ได้กลิ่นสดชื่นออกมาจากตัวเขา แสดงว่าเขาอาบน้ำเรียบร้อยแล้ว ผมนึกว่าเขาจะนอนจนถึงเย็นเพราะอาการแฮงค์ซะอีก เขามองผม หัวคิ้วมุ่นเล็กน้อย คงเพราะผมยังแต่งตัวไม่เรียบร้อย ผมยิ้มเจื่อนรีบติดกระดุมเสื้อนิสิต
“ทำไมตื่นเร็วล่ะครับ วันนี้มีเรียนเหรอ”
“เดี๋ยวไปส่ง”
เขาบอกเสียงเรียบแล้วเดินไป ผมรีบเดินไปหยิบโทรศัพท์มือถือใส่กระเป๋าเป้สะพายบ่า วันนี้ผมตื่นสาย ขนาดตั้งนาฬิกาปลุกไว้แล้วแท้ๆ เพราะพวกเขานั้นแหละทำให้ผมนอนไม่หลับเอาคิดแต่เรื่องของพวกเขาทั้งคืน
“ไปกันเถอะครับ สายแล้ว”
ผมยิ้มบอกพี่ควินที่นั่งรออยู่ในห้องนั่งเล่น เขาลุกขึ้นเดินนำออกไป ผมเดินตาม เราไม่ได้พูดคุยอะไรกันจนกระทั่งลงลิฟต์มา เขาเปิดประตูรถให้ ผมยิ้มขอบคุณเขา จู่ๆก็รู้สึกคิดถึงบรรยากาศในรถขึ้นมา หลายวันแล้วสินะที่ผมไม่ได้นั่งรถของพวกเขา พี่ควินขับรถค่อนข้างเร็วเพราะรู้ว่าผมสายแล้ว พอรถเลี้ยวเข้ามหา'ลัย จอดที่หน้าคณะ ผมก็หันไปยิ้มกว้างให้คนใจดีที่อุตส่าห์ขับรถมาส่ง
“ขอบคุณนะครับ”
“เดี๋ยว”
เขารั้งแขนไว้ตอนที่ผมหันกลับไปเปิดประตู
“ขอมากกว่าคำขอบคุณได้มั้ย”
คำขอตรงๆทำให้ผมอึ้ง
“เอ่อ..”
ผมอึกอัก มองเขาอย่างไม่รู้จะทำอะไรเป็นการตอบแทน
“เร็วๆ ง่วง”
อ้าว…ถ้าง่วงแล้วจะตื่นมาส่งผมทำไม คนบ้า! ผมยู่ปาก ขยับเข้าไปใกล้ ตัดสินใจจรดจมูกลงบนแก้มข้างซ้ายของเขาเร็วๆแล้วรีบผละออกมา ลงจากรถโบกมือให้เขา
“ขับรถดีดีนะครับ”
ผมบอกแล้วผลักประตูปิด
“เรียนเสร็จแล้วโทรหา จะมารับ”
พี่ควินลงจากรถมาบอกแล้วกลับเข้าไป ผมยืนรอจนเขาขับรถออกจากมหา’ลัยไปก็รีบเดินเข้าตึก หางตาเหลือบเห็นน้องรหัสกำลังเดินมา ผมต้องขอโทษธัญญ์ เพราะเมื่อคืนหาเรื่องใส่ตัวให้ แต่ตอนนี้สายแล้ว เอาไว้ตอนกลางวันล่ะกัน
เสียงบรรยายของอาจารย์ดังผ่านไมค์ท่ามกลางนักศึกษาเกือบร้อยชีวิตที่นั่งเรียนรวมกันอยู่ หนังสือบนโต๊ะยังไม่ได้ถูกเปิดเลยสักหน้า ผมเอาแต่นั่งสัปหงกจนเฟียซที่ตอนแรกนั่งอยู่ข้างๆกันต้องหนีไปนั่งที่อื่น ผมฟุบหน้าลงบนโต๊ะอย่างง่วงงุน จนกระทั่งเสียงบรรยายจบลง เสียงลุก เสียงเดิน และเสียงพูดคุยดังแทนที่ผมก็เงยหน้าขึ้น
“ไปกินข้าวกัน”
บอสเข้ามาตบไหล่ ผมยิ้มแล้วลุกขึ้นหยิบกระเป๋าเป้สะพายเดินไปหาเฟียซที่ยังนั่งอยู่
“ไปกินข้าว”
ผมบอก เฟียซหันมาทำหน้านิ่งใส่
“กูนึกว่ามึงนอนฝันกลางวันอยู่”
ผมตีหน้านิ่งไม่โต้ตอบแล้วเดินตามบอสไป พอเดินมาถึงโรงอาหารผมก็เดินไปนั่งจองโต๊ะ ให้บอสไปซื้อก่อน
“จะกินไร เดี๋ยวไปซื้อให้”
เฟียซยืนค้ำมือกับโต๊ะชะโงกหน้ามาถาม ผมยิ้มแล้วหันไปชี้ที่ร้านบะหมี่เกี๊ยวหมูแดง
“เอาบะหมี่เกี๊ยวหมูแดง เอาแห้งนะ ขอน้ำซุปด้วย”
ผมสั่งเสร็จเฟียซก็เดินไปซื้อให้ นั่งรอสักพักเสียงร้องทักก็เรียกให้ผมหันไปมอง
“พี่ต้าร์! หวัดดีครับพี่ ทำไมมานั่งอยู่คนเดียวล่ะครับ เพื่อนพี่หายไปไหนหมด”
ไอ้เด็กคนนี้มันพูดมากจริงๆ ผมส่ายหน้าแล้วเลือกที่จะนั่งเงียบ จนบอสกับตัวเล็กเดินเข้ามา ธัญญ์ก็หันไปทัก
“หวัดดีครับพี่บอส พี่ตัวเล็ก กินอะไรกันเหรอครับ น่าอร่อย ผมไปซื้อมากินบ้างดีกว่า”
ผมมองตามร่างสูงของธัญญ์เดินไปที่ร้านข้าวแล้วหันกลับมามองบอสที่จ้องผมอยู่
“ไอ้ธัญญ์มันพูดมากดีเนอะ”
ผมยิ้ม พยักหน้าเห็นด้วยกับบอส
“ว่าแต่คนอื่น ไม่ดูตัวเอง”
ตัวเล็กพูดขึ้น บอสเลยตักข้าวยัดใส่ปากแฟนไปคำโตเล่นเอาสำลัก ผมนั่งหัวเราะเพื่อนจน
เฟียซเดินกลับมาพร้อมธัญญ์
“ขอบคุณ”
ผมยิ้มบอกเมื่อเฟียซวางชามก๋วยเตี๋ยวลงตรงหน้า
“เพื่อนมึงหายหัวไปไหนหมดวะ หรือไม่มีใครอยากคบมึงแล้ว”
เฟียซถามธัญญ์ เจ้าตัวยิ้มกว้าง
“พวกมันออกไปหาไรกินข้างนอกพี่ ผมขี้เกียจไปกับพวกมัน”
ผมกำลังจะอ้าปากบอกขอโทษเรื่องเมื่อคืน แต่นึกขึ้นได้ว่ายังมีพวกเพื่อนๆนั่งอยู่ ถ้าบอกไปคงได้อธิบายกันยาว งั้นเอาไว้ตอนเย็นล่ะกัน
"พี่ต้าร์รู้จักกับพี่ควินขาโหดคณะสถาปัตย์ด้วยเหรอครับ เมื่อเช้าเห็นลงจากรถมาด้วยกัน"
เสียงน่ารำคาญของไอ้เด็กพูดมากถามขึ้นขณะที่ผมกำลังคีบเส้นบะหมี่เข้าปาก คนอื่นๆที่นั่งทานข้าวกลางวันด้วยกันต่างหันมามองหน้าคนถามอย่างแปลกใจระคนสงสัย
"อืม" ผมตอบรับสั้นๆแล้วจัดการกับบะหมี่ในชามต่อ
"เป็นอะไรกัน" ธัญญ์พูดเบาๆแต่ผมได้ยินเลยวางตะเกียบแล้วหันไปมองหน้าอย่างจริงจัง
"พี่จะเป็นอะไรกับใคร แล้วมันเกี่ยวอะไรกับธัญญ์เหรอ"
ผมถามอย่างไม่สบอารมณ์ รู้สึกว่าตั้งแต่ได้รู้จักกับธัญญ์ เด็กนี่เหมือนจะเข้ามายุ่มย่ามกับชีวิตส่วนตัวผมมากขึ้นทุกที
"ขอโทษครับ ผมก็แค่เป็นห่วง" เสียงหงอยๆตอบกลับมา
"ขอบใจที่เป็นห่วง แต่พี่ดูแลตัวเองได้"
ผมว่าแล้วลุกขึ้น หยิบกระเป๋าเป้สะพายบ่าบะหมี่เกี๊ยวที่ซื้อมายังกินไม่หมด แต่ผมไม่อยากนั่งอยู่ที่นี่แล้ว เฟียซจับแขนผมไว้ แต่ผมจ้องตาจนเฟียซยอมปล่อย ก่อนเดินออกจากโรงอาหารผมหันกลับไปมองน้องรหัสตัวเองที่ยังนั่งหน้าหงอยมองผมอยู่
"ธัญญ์คงไม่ลืมใช่มั้ย ว่าพี่เป็นแค่พี่รหัสของธัญญ์"
ธัญญ์ไม่ตอบแต่พยักหน้ารับ แววตาที่มองมาโดยไม่คิดจะปิดบังความรู้สึกนั้นทำให้ผมต้องตัดสินใจพูดออกไป แม้รู้ว่าจะทำให้คนฟังเจ็บปวดก็ตาม
"ความรู้สึกมันห้ามกันไม่ได้ แต่คนที่มีเจ้าของแล้วก็ไม่ควรยุ่ง จริงมั้ย?"
ผมเดินออกมาอย่างหงุดหงิดและสับสน ไม่เข้าใจว่าทำไมธัญญ์ถึงพูดเรื่องที่พี่ควินมาส่งผมเมื่อเช้า แล้วทำไมต้องพูดตอนที่ผมอยู่กับเพื่อนๆด้วย เขาต้องการอะไร ทั้งๆที่ในผับเมื่อคืนนี้ผมก็แนะนำพี่ควินกับพี่แซทให้เขารู้จักในฐานะเพื่อนไปแล้ว เขาเองก็เป็นฝ่ายยกมือสวัสดีพี่ควินก่อนด้วย แล้วทำไมมาถามผมแบบนี้ หรือว่าเขาต้องการแกล้งผม โทษฐานที่ไปทำให้เขาเดือดร้อน แต่สายตาของธัญญ์มันบอกชัดเจนว่าเขารู้สึกยังไงกับผม ถ้าแค่รู้สึกชอบมันก็ยังมีทางยับยั้งได้ แต่ถ้าความรู้สึกของธัญญ์มันถลำลึกมากกว่านั้น ผมคงทำอะไรไม่ได้มากนักนอกจากปฏิเสธและอยู่ให้ห่างจากเขา ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่ธัญญ์มองผมเปลี่ยนไปจากเดิม เมื่อคืนท่าทางและสายตาของเขาก็ยังเหมือนตอนแรกที่เราเจอกันอยู่เลย ทำไมจู่ๆวันนี้ถึงได้เปลี่ยนท่าทีไป
ถ้าธัญญ์กำลังเล่นตลกกับผมอยู่ บอกตรงๆ ผมตามเขาไม่ทันจริงๆ!
--------------------------------------------------------------------------------------------
มาแล้ววว มาแล้วจ้าาา
ตอนนี้ยาวมหาศาล ฟาดไป 16 หน้าเวิร์ด
ขอบคุณสำหรับคอมเม้นท์และการติดตามเช่นเคย ขอบคุณนะคะ
ตอนหน้าจะโฟกัสที่น้องธัญญ์ หุหุ เด็กคนนี้แซ่บ บอกเลย