HEARBREAKER
53
เริ่มคลาสเรียนช่วงบ่ายไปได้ไม่ถึง10นาทีก็มีคนเปิดประตูห้องเข้ามาขัดจังหวะการบรรยายของอาจารย์ ผมกุมขมับทันทีที่เห็นว่าอาจารย์ท่านส่ายหน้าคล้ายจะเอือมระอาในพฤติกรรมของร่างสูงที่ไร้มารยาท ไม่เอ่ยขอโทษท่านซ้ำยังทำเป็นไม่สนใจ เดินผ่านไปเฉยๆราวกับไม่เห็นท่านอยู่ในสายตา
บอสสะกิดผมยิกๆ ผมก็ได้แต่ถอนหายใจ จนเขาเดินเข้ามาใกล้ ผมก็ทำทีเป็นพุ่งความสนใจไปที่อาจารย์ซึ่งเริ่มบรรยายต่อ
“ลุกไปนั่งที่อื่น”
เสียงเข้มเอ่ยสั่งคนที่นั่งข้างผม จนอีกฝ่ายต้องระเห็จตัวเองย้ายไปนั่งที่อื่น
“ต้าร์”
เขาเรียกแต่ผมไม่หัน
“จะมองคนอื่นอีกนานมั้ย สนใจกูหน่อย”
คราวนี้น้ำเสียงเพิ่มระดับขึ้น ผมระบายลมหายใจยาวก่อนหันไปมองเขา
“พี่ไม่มีเรียนเหรอ”
“มี แต่มึงโกรธกูอยู่ คิดว่ากูจะมีสมาธิเรียนมั้ย”
จะโทษว่าผมทำให้เขาโดดเรียนงั้นสิ?
“ไอ้ควินพามันไปส่งโรงบาลแล้ว”
“จริงเหรอครับ แล้วอาการเป็นยังไงบ้าง”
“มึงจะห่วงมันทำไม มันไม่ตายหรอก”
เสียงห้วนว่าอย่างไม่พอใจ ท่าทางจะคุยกันรู้เรื่องแล้วล่ะ
“บอส ฝากเลคเชอร์ด้วยนะ” ผมหันไปบอกเพื่อน
“จะกลับเลยเหรอ”
“อืม” ผมพยักหน้า เก็บสมุดปากกาใส่กระเป๋าแล้วลุกขึ้น
“ขออนุญาตครับ” ผมบอกแล้วเดินไปหาอาจารย์ ท่านหยุดบรรยาย รอฟังว่าผมจะพูดอะไรต่อ
“ผมมีธุระ ขออนุญาตนะครับอาจารย์” พอท่านพยักหน้า ผมก็ยกมือไหว้แล้วเดินออกมา
“จะไปไหน”
คนเดินตามหลังมาเอ่ยถามพร้อมจับแขนผมไว้
“ไปเยี่ยมธัญญ์ครับ พี่ควินพาไปที่โรงบาลคุณลุงหมอใช่มั้ย”
“จะไปเยี่ยมมันทำไม ก็บอกแล้วไงว่ามันไม่ตายหรอก!”
พี่แซทขึ้นเสียง ผมรู้ว่าเขาหงุดหงิดเลยเงียบไม่พูดต่อ ผมไม่อยากทะเลาะกับเขาเพราะเรื่องคนอื่น
“เงียบทำไม นี่มึงเป็นห่วงมันจริงๆใช่มั้ย”
ผมมองหน้าเขาอย่างเหนื่อยใจ ใบหน้าหล่อเหล่าบึ้งตึงทั้งแววตายังดุดันแข็งกร้าว ผมขยับเข้าไปใกล้ ยกมืออีกข้างประคองใบหน้าเขาไว้
“ไม่เชื่อใจผมแล้วเหรอครับ ผมอยู่กับพี่ตรงนี้ อยู่ตรงหน้าพี่ ผมจะเป็นห่วงคนอื่นได้ยังไง”
พี่แซทมองผมอย่างสับสน เขาถอนหายใจแรงแล้วรวบตัวผมเข้าไปกอด ผมยิ้ม กอดตอบเขาแน่น ส่งผ่านความรู้สึกให้เขารับรู้ว่าผมไม่ได้ไปไหน ผมยังอยู่กับเขาตรงนี้
“รู้มั้ย ทุกครั้งที่กูกอดมึง มันทำให้กูกลัว”
“กลัวอะไรครับ”
“กลัวว่ามึงจะหายไป”
ผมผละจากอ้อมกอด เงยหน้าขึ้นมองเขา นัยน์ตาคมดูจริงจังจนผมต้องซุกหน้าลงกับอกกว้างกอดปลอบเขาแนบแน่น
“บอกกูสิว่ามึงไม่ได้เป็นห่วงมัน”
ผมยิ้มกับอาการน้อยใจของคนตัวโต
“ผมไม่ได้เป็นห่วงเขา แต่ผมเป็นห่วงพี่ ถ้าเกิดเขาเอาเรื่องขึ้นมาพวกพี่จะเดือดร้อน”
“มันไม่กล้าหรอก”
“อย่าประมาทสิครับ” ผมว่าแล้วผละจากอ้อมกอด พี่แซทหน้ามุ่ยแต่ไม่พูดต่อ ผมเลยจับมือเขาไว้
“งั้นเราไปโรงบาลกันเถอะครับ อย่างน้อยก็ควรไปดูให้แน่ใจว่าเขาไม่ได้เจ็บหนัก”
พี่แซทพยักหน้ายอมตามใจผมโดยไม่ปริปากขัด หวังว่าไปถึงโรงพยาบาลแล้ว เขาจะไม่ระเบิดอารมณ์ขึ้นมาอีก
มาถึงโรงพยาบาลพี่แซทก็จูงมือพาผมเดินไปที่ห้องพักของลุงหมอซึ่งมีพี่ควินนั่งอยู่ในห้องด้วย ผมยกมือไหว้ลุงหมอ ท่านยิ้มตอบ ดูท่าทางท่านเหนื่อยๆ สงสัยจะมีเรื่องเครียด ผมเดาว่าเรื่องนั้นคงหนีไม่พ้นเรื่องหลายชายของท่านเอง
“เป็นไงบ้างต้าร์ สบายดีนะ ลุงไม่ค่อยมีเวลาไปเยี่ยมเลยช่วงนี้”
“ผมสบายดีครับ”
ผมยิ้มตอบ พี่ควินหันมามอง เขาลุกขึ้นมานั่งข้างๆผม
“มันไม่เป็นไรมากหรอก”
ผมเลิกคิ้ว มองพี่ควินอย่างแปลกใจกับท่าทีนิ่งๆของเขา
“ทีหลังก็อย่าทำแบบนี้อีก หัดคิดก่อนทำบ้าง พ่อแกไม่ได้ใหญ่คับฟ้านะควิน”
ลุงหมอเอ่ยต่ออย่างตักเตือน พี่ควินเงียบ เขานั่งนิ่งจนผมต้องจับมือให้กำลังใจเขา
“เอ่อ…แล้วธัญญ์ว่าไงบ้างครับ เขาไม่เอาเรื่องใช่มั้ย”
ผมถามลุงหมอ ท่านถอนหายใจมองหน้าหลานชายแล้วส่งยิ้มเจื่อนให้ผม
“เจ้าตัวเขาไม่เอาเรื่องหรอก แต่แม่เขาน่ะสิไม่ยอม”
“จริงเหรอครับ แล้วแม่ธัญญ์จะแจ้งตำรวจมั้ยครับ” ผมถามรัวเร็วอย่างตกใจ
“ตอนแรกเขาบอกจะไปแจ้งความนั่นแหละ แต่ลุงขอไว้ เขาเลยยอม แต่มีข้อแม้ ต้องให้ควินไปขอโทษเขากับลูก”
ผมหันขวับมามองคนข้างตัว ให้พี่ควินไปขอโทษเหรอ เขาไม่ทางยอมหรอกผมรู้ดี
“ทำไมต้องขอโทษด้วย มันนั่นแหละผิด เสือกมายุ่งกับต้าร์ก่อนทำไม”
พี่แซทบอกเสียงเข้ม ความเอาแต่ใจของเขาทำให้ลุงหมอถึงกับส่ายหน้า
“พอกันเลยทั้งคู่ เมื่อไหร่จะคิดได้สักที โตๆกันแล้วนะ จะเรียนจบกันอยู่แล้ว ยังทำตัวเป็นอันธพาล อีก เห็นแก่หน้าพ่อแม่บ้างสิ”
“ผมก็เป็นของผมอย่างนี้ มันเป็นสันดาน แก้ไม่ได้หรอก”
พี่แซทโต้กลับ ผมเลยต้องปรามเขาไว้โดยการจับมือพร้อมส่งสายตาขอร้องด้วย
“เอาอย่างนี้มั้ยครับ ผมจะไปขอโทษธัญญ์กับแม่เขาเอง เรื่องจะได้จบๆ”
“ไม่! / ไม่!”
สองเสียงประสานขึ้นมาพร้อมกัน ผมยิ้มเจื่อน
“กูไม่ยอมให้มึงไปขอโทษพวกมัน มึงไม่ได้ทำอะไรผิด”
พี่แซทว่าเสียงเข้ม เขาจ้องตาผมเขม็งเลย
“กูก็ไม่ยอม อย่าคิด อย่าทำ ห้ามเด็ดขาด”
พีควินเสริมขึ้นอีก น้ำเสียงเข้มไม่ต่างกัน ผมเลยต้องหุบปากนั่งเงียบเพราะไม่อยากทะเลาะกับพวกเขา เพิ่มปัญหาให้ลุงหมอต้องมานั่งปวดหัวอีก
“แล้วจะเอายังไง ถ้าไม่ไปขอโทษ เขาก็เอาเรื่อง อย่าคิดว่าลุงเป็นเจ้าของโรงพยาบาลแล้วจะให้ลุงใช้อำนาจบีบบังคับเขา ลุงไม่ทำแบบนั้นเด็ดขาด”
“ผมจัดการเอง”
พี่แซทลุกขึ้น มือที่จับไว้หลุดออก ผมจะคว้าไว้แต่ก็ไม่ทัน เขาเปิดประตูเดินออกจากห้องไปแล้ว
“ควิน ตามไปห้ามเพื่อนแกเดี๋ยวนี้”
ลุงหมอสั่งเสียงเฉียบ ผมก็เห็นด้วย ถ้าไม่ไปห้าม พี่แซทได้ก่อปัญหาใหญ่แน่ๆ พอพี่ควินลุก ผมก็ลุกตาม ออกจากห้องพักลุงหมอเราก็มองหาพี่แซทแต่ไม่เจอ
“ธัญญ์พักอยู่ห้องไหนครับ ไม่แน่ พี่แซทอาจไปหาธัญญ์ที่ห้องก็ได้”
ผมถามขึ้น พี่ควินไม่ตอบ แต่เดินตรงไปที่ลิฟต์ ผมรีบเดินตาม พอเข้าลิฟต์มาพี่ควินก็หันมาจ้องผม “บอกกูมา มึงไปดักรอเจอมันทำไม”
งานเข้า! ผมลอบกลืนน้ำลาย ก้มหน้ามองพื้น แต่พี่ควินก็จับไหล่ผมทั้งสองข้างบีบเบาๆ
“ตอบ”
เขากดดันจนผมทนไม่ไหวต้องเงยหน้ามองเขา ตอนนั้นผมใจร้อน ไม่ทันคิดไตร่ตรองให้ดี คิดแต่ว่าต้องไปหาธัญญ์ ต้องคุยกันให้รู้เรื่อง ไม่ได้คิดถึงผลที่ตามมา ถ้ารู้ล่วงหน้าว่าจะเกิดเหตุการณ์เลวร้ายตามมา ผมจะไม่ไปดักรอเจอธัญญ์เด็ดขาด
“กูรู้ว่ามันสนใจมึง แต่มึงไปหามันทำไม”
ประตูลิฟท์เปิดพอดี ผมเลยรีบเดินออกไป พี่ควินตามมาคว้าแขนไว้
“ผมแค่อยากคุยกับธัญญ์ให้รู้เรื่อง ว่าเขาต้องการอะไรจากผม”
ผมตอบเสียงเบา พี่ควินปล่อยแขน เขาแสยะยิ้ม
“มึงเลือกที่จะไปหามันก่อนโดยไม่บอกกู”
ไปกันใหญ่แล้ว!
“แกเป็นใคร จะทำอะไรลูกชายฉัน ไอ้บ้า! ออกไปเดี๋ยวนี้นะ!”
เสียงร้องโวยวายดังอยู่ไม่ไกล ผมหันไปมองก็เห็นพยาบาลยืนชี้มืออยู่หน้าห้องพักพิเศษที่เปิดประตูไว้ พี่ควินเดินตรงไปทันที ผมก็เดินตามไป แล้วเราก็เห็นคนที่ตามหากำลังบีบคอคนป่วยอยู่บนเตียง!
“พี่แซท!”
ผมร้องเรียกอย่างตกใจ รีบปราดเข้าไปดึงแขนเขา พี่ควินเองก็ล็อคตัวเพื่อนไว้ ธัญญ์กำลังหอบเอาอากาศหายใจอย่างทรมาน
“พี่แซท ปล่อยเถอะครับ ผมขอร้อง”
“แซท มึงเลิกบ้าได้แล้ว!”
พี่ควินตะคอกใส่จับพี่แซทเหวี่ยงออกไปเต็มแรง พยาบาลซึ่งผมคาดว่าน่าจะเป็นแม่ของธัญญ์วิ่งเข้ามาดูอาการคนป่วยที่สำลักไอหนักอยู่บนเตียง
“มึงห้ามกูทำไม! รู้มั้ย ไอ้เหี้ยนั่นมันพูดอะไรกับกู!”
พี่แซทระเบิดอารมณ์ใส่เพื่อน
“มันพูดอะไร”
พี่ควินถามกลับเสียงนิ่ง พวกเขายืนประจันหน้ากัน
“มันบอกว่าจะแย่งต้าร์ไป มันบอกว่าต้าร์สนใจมัน!”
ผมหันไปมองธัญญ์ทันที นี่เขากล้าพูดอย่างนั่นจริงๆเหรอ
“ฉันจะแจ้งตำรวจข้อหาทำร้ายร่างกาย! ฉันจะเอาพวกแกเข้าคุกให้หมด! ลูกฉันเกือบตาย เพราะพวกแก! ไอ้สารเลว! ไอ้ลูกพ่อแม่ไม่สั่งสอน!”
แม่ธัญญ์ตะเบ็งเสียงด่ากราดใส่พวกผม
“อย่าลามปามถึงพ่อแม่กู!”
พี่แซทตะคอกกลับ เขากำมือแน่นจนเส้นเลือกปูนนูนขึ้นอย่างน่ากลัว ค่อยๆเดินย่างสามขุมเข้าหาแม่ของธัญญ์ที่ยังโอบกอดลูกชายไว้อยู่ พี่แซทกำลังโกรธมาก ผมรู้ และพี่ควินก็เลือกที่จะยืนนิ่ง ไม่คิดห้ามปรามเพื่อนด้วย แหงะล่ะ โดยอีกฝ่ายด่าลามมาถึงพ่อแม่ขนาดนี้ ใครจะทนไว้ ขนาดผมยังไม่พอใจเลย แล้วพวกเขาที่อารมณ์ร้อนอยู่แล้วจะทนได้ยังไง!
“หยุดนะแซท! อย่าทำ!”
เสียงลุงหมอดังขึ้น ผมหันไปมองก็เห็นท่านเดินเข้ามาในห้องพร้อมอังเดรกับอะดอนิสเดินตามหลังเข้ามา
“มึงเป็นใคร ห๊ะ! กูถามว่ามึงเป็นใคร! กล้าดียังไงมาด่ากู!”
พี่แซทไม่ฟังเสียงห้าม เขายังคงตะคอกใส่แม่ธัญญ์จนเธอตัวสั่น สงสัยจะเริ่มกลัวขึ้นมาแล้ว
“ไปห้ามเขา”
ลุงหมอสั่งอังเดร ร่างสูงใหญ่พยักหน้าแล้วเดินไปล็อคตัวพี่แซทไว้
“ปล่อยกู!”
“ออกไปก่อนเถอะครับบอส”
อังเดรพยายามพูดขอร้องเจ้านาย แต่พี่แซทก็ดื้อเพ่งไม่ยอมท่าเดียว ดิ้นจนศอกไปกระแทกปากอังเดรจนได้เลือด แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็พยายามล็อคตัวพี่แซทพาออกจากห้องไปได้สำเร็จ อะดอนิสหันมามองผมแล้วค้อมศีรษะให้ก่อนเดินตามออกไป
“ผอ.คะ ผอ.ต้องช่วยดิฉันกับลูกนะคะ เด็กนั้นมันจะฆ่าลูกชายดิฉัน มันเข้ามาบีบคอลูกชายฉันถึงในห้อง”
แม่ธัญญ์ฟ้องลุงหมอหน้าตาตื่นกลัว ผมยืนนิ่งรอฟังว่าลุงหมอจะตอบว่ายังไง
“ไม่ต้องห่วง ผมจะจัดการให้ คุณออกไปก่อนเถอะ ผมขอดูอาการเขาหน่อย”
“แต่…”
เธอเอ่ยแย้งขึ้นแต่ก็ต้องเงียบไปเพราะลุงหมอมองเธอด้วยสายตาดุ
“ก็ได้ค่ะ แต่ถ้าผอ.ไม่ช่วยดิฉันกับลูก ดิฉันจะไปแจ้งความเอาเรื่องให้ถึงที่สุด!”
เธอพูดทิ้งท้ายแล้วเดินออกจากห้องไป จังหวะที่เดินผ่านพวกผมยังหันมาส่งสายตาอาฆาตให้ด้วย
“พี่ควิน”
ผมเรียกเขาเสียงตื่น เพราะร่างสูงเดินเข้าไปหาธัญญ์
“ถ้าไม่อยากเจ็บหนักกว่านี้ อย่ายุ่งกับคนของกู กูเตือนมึงแล้วนะ”
พี่ควินพูดขู่ธัญญ์แล้วเดินออกจากห้องไป ผมมองตามจนประตูปิด ถอนหายใจอย่างโล่งอกที่พี่ควินไม่ก่อเรื่องขึ้นมาอีก อย่างน้อยเขาก็ยังมีสติมากว่าพี่แซท แต่ตอนนี้เขาโกรธผมแล้ว
“ไม่ตามไปล่ะ”
ลุงหมอหันมาถาม ผมยิ้มเจื่อน
“ไม่ดีกว่าครับ รอให้เขาใจเย็นก่อนดีกว่า ผมไม่อยากทะเลาะกับเขา”
ลุงหมอยิ้มแล้วหันไปสนใจตรวจอาการคนป่วยต่อ ผมมองธัญญ์ที่นอนหอบหายใจอยู่ บริเวณลำคอมีรอยนิ้วมือเด่นชัด ถ้าผมกับพี่ควินเข้ามาช้ากว่านี้ ธัญญ์อาจจะขาดอากาศหายใจตายจริงๆ
“ไม่เป็นไรแล้ว เดี๋ยวหมอให้พยาบาลเข้ามาทายาให้ พักผ่อนซะ จะได้หายเร็วๆ”
ธัญญ์พยักหน้าแต่สายตามองมาที่ผม
“จะออกไปพร้อมลุงมั้ย”
ผมมองธัญญ์แล้วส่ายหน้า
“ลุงหมอไปก่อนเถอะครับ ผมขอคุยกับธัญญ์หน่อย”
“อืม…ดูแลตัวเองด้วย”
ลุงหมอตบบ่าผมเบาๆแล้วเดินออกจากห้องไป ผมหันมามองธัญญ์ที่ส่งยิ้มหวานมาให้
“ทำไมถึงพูดแบบนั้น”
ผมถามเข้าเรื่อง ธัญญ์เลิกคิ้วแล้วยักไหล่
“พูดอะไรครับ ไม่เห็นรู้เรื่องเลย”
ตอแหลจริงๆ!
“นายไปพูดกับพี่แซทแบบนั้นทำไม”
“อ๋อ….”
เจ้าตัวลากเสียงยาว ยกยิ้มมุมปาก ผมมองอย่างไม่สบอารมณ์
“ผมก็แค่พูดเล่นน่ะครับ ไม่คิดว่าพี่เขาจะจริงจัง”
“พูดเล่นเหรอ นายบ้าไปแล้วรึไง!”
กวนระสาท! ไอ้เด็กนี่มันพลิกลิ้น พูดโกหกได้หน้าตาเฉย!
“ทำไมครับ ที่โมโหนี่เพราะพี่ผิดหวังใช่มั้ยที่ผมบอกว่าพูดเล่นน่ะ ที่จริงแล้วพี่ก็สนใจผมอยู่ใช่มั้ยล่ะ”
ไม่พูดเปล่า มันยังฉวยโอกาสจับมือผมด้วย!
"ปล่อย"
ผมสั่งพลางส่งสายตาดุแกมตำหนิให้คนบนเตียง แต่ดูท่าทางเจ้าตัวจะไม่ทุกข์ร้อนอะไรเลย ซ้ำยังยิ้มเจ้าเล่ห์อีกต่างหาก
"แค่จับมือเอง อย่าดุสิครับ ผมเจ็บอยู่นะ"
"น่าจะโดนหนักกว่านี้" ผมเค้นเสียงบอก พยายามบิดมือออกแต่ธัญญ์ก็ไม่ยอมปล่อย สงสัยจะอยากเจ็บตัวเพิ่ม!
"ใจร้าย ที่ผมเป็นแบบนี้ก็เพราะพี่ไม่ใช่เหรอ พี่เป็นคนมาดักรอผมเองนะ"
"หุบปากแล้วปล่อยมือได้แล้ว"
ผมถลึงตาใส่อย่างโมโห ใช้มืออีกข้างแกะมือใหญ่ออกแต่ธัญญ์กลับหัวเราะร่าบีบกระชับมือผมแน่นขึ้น
"อยากให้ผมหุบปากก็เอาปากพี่มาปิดปากผมไว้สิครับ"
แทนคำตอบ ผมยื่นมือไปหยิบแก้วน้ำบนโต๊ะมาสาดใส่หน้าคนบนเตียง ออกแรงกระชากมือจนหลุดแล้วขว้างแก้วเปล่าตามไป
"โอ้ย!"
ผมแสยะยิ้มเยาะมองธัญญ์ยกมือขึ้นกุมศีรษะที่มีหยดเลือดไหลลงมาโดนหน้าผาก
"เจ็บตัวเพิ่มอีกนิดคงไม่เป็นไรนะ พ่อนายเป็นหมอนี่"
ผมบอกอย่างไม่สนใจ หันหลังเดินออกจากห้องพักพิเศษสวนทางกับพยาบาล
"ขอโทษนะครับ ผมอยากได้แอลกอฮอล์ต้องไปที่แผนกจ่ายยาใช่มั้ยครับ"
"จะล้างแผลเหรอคะ"
"ล้างเชื้อโรคที่มือน่ะครับ"
ผมเดินหงุดหงิดมาถึงหน้าห้องพักของลุงหมอกำลังจะเคาะประตูก็มีมือนึงโผล่มาจับมือผมไว้ ผมตกใจหันไปมองก็เห็นว่าเป็นพี่
ควิน
“หายไปไหนมาครับ”
“มึงนั่นแหละ หายไปไหนมา”
โดนย้อนเข้าให้ ผมยู่ปาก มองไปเห็นเก้าอี้ที่ทางโรงพยาบาลจัดเตรียมไว้บริการประชาชนอีกด้าน
นึงผมก็จับมือพี่ควินดึงให้เขาเดินตามมานั่งด้วยกัน
“อังเดรพาพี่แซทไปไหนครับ”
“กลับคอนโด”
ผมพยักหน้า นั่งเงียบจมอยู่กับความคิดตัวเอง จนพี่ควินบีบกระชับมือผมถึงรู้สึกตัว
“มึงไม่ได้คิดอะไรกับมันใช่มั้ย”
“ไม่มีทาง” ผมรีบตอบทันที
“ผมไม่เคยคิด ธัญญ์เข้ามายุ่งวุ่นวายกับผมตั้งแต่ตอนรับน้อง พอหนักเข้าผมก็ไม่ชอบใจ สงสัยว่าเขาต้องการอะไรกันแน่เลยไปดักรอจะคุยกันให้รู้เรื่อง”
ผมบอกไปตามความจริง มองพี่ควินอย่างขอให้เขาเชื่อใจผม
“แล้วมันบอกว่าไง”
“เขาพูดไม่รู้เรื่อง กวนประสาท”
ผมเลี่ยงที่จะบอกความจริงในประเด็นนี้ เพราะขืนบอกไปว่าธัญญ์พูดยังไง พี่ควินได้วิ่งโร่ไปบีบคอธัญญ์ให้ตายจริงๆแน่ ผมไม่อยากให้เรื่องบานปลายใหญ่โตไปมากกว่านี้ ทางที่ดีต้องจบเรื่องนี้ให้เร็วที่สุด
“มันกล้าพูดกับไอ้แซทแบบนั้น แสดงว่ามันไม่ยอมเลิกยุ่งกับมึง”
“ก็ช่างเขาสิครับ ผมไม่เล่นด้วย เขาจะทำอะไรได้ พี่อย่าห่วงเลยครับ” ผมยิ้มบอกให้เขาวางใจ
“ไม่ให้กูห่วงได้ไง มึงเป็นแฟนกูนะ มีคนมายุ่งกับแฟนจะให้กูอยู่เฉยได้ยังไง”
คำว่าแฟนที่ออกจากปากพี่ควินทำให้ผมเกิดอาการร้อนฉ่าที่ใบหน้า เผลอยิ้มไม่รู้ตัว
“ไม่ว่าใครหน้าไหนที่กล้ามายุ่งกับมึง กูบอกไว้เลย กูไม่ปล่อยมันไว้แน่”
ผมมองสบตาพี่ควินนิ่งงัน นัยน์ตาคมคล้ายจะสะกดให้ผมคล้อยตามไปกับคำพูดเขา
“ยิ่งกูรักมึงมากเท่าไหร่ กูก็ยิ่งหวงมึงมากเท่านั้น จำไว้”
ครับ ผมจะจำไว้ จะจำให้ขึ้นใจเลย!
พี่ควินพาผมกลับคอนโด พอเดินเข้าห้องสิ่งแรกที่ผมมองหาคือพี่แซท ผมกลัวว่าเขายังโกรธอยู่แล้วจะอาละวาดทำลายข้าวของ แต่สิ่งที่ผมคิดกลับไม่ใช่อย่างนั้น พี่แซทอารมณ์เย็นลง เขานั่งดื่มเบียร์อยู่ในห้องนั่งเล่น พอเขาหันมาเห็นผมก็กวักมือเรียกให้เข้าไปหา ผมยิ้มกว้าง เดินเข้าไปนั่งข้างๆเขา
“อารมณ์ดีแล้วเหรอครับ”
“ทำไม กลัวกูอาละวาดเหรอ”
ก็กลัวน่ะสิ! ผมได้แต่คิดในใจ แต่เหมือนเขาจะรู้เลยแกล้งเอากระป๋องเบียร์เย็นๆมาแนบแก้มผม พอผมถลึงตาโตใส่ เขาก็หัวเราะก่อนผิวปากอย่างอารมณ์ดี ผมมองเขาอย่างแปลกใจแล้วหันไปมองพี่ควินที่เดินเข้ามานั่งข้างๆอย่างขอความเห็น
“แดกยาผิดขวดเหรอมึง”
พี่ควินทักขึ้น ผมรอฟังว่าพี่แซทจะตอบยังไง แต่เขาก็แค่แสยะยิ้มแล้วกระดกกระป๋องเบียร์ดื่มจนหมด ท่ามกลางความสงสัย เสียงโทรศัพท์พี่แซทก็ดังขึ้น เขารับสายแต่ไม่พูดอะไรสักคำจนวางไป ผมยิ่งงงหนัก
“เรียบร้อย”
“อะไรครับ เรียบร้อยอะไร” ผมถามพี่แซท
“เรื่องพวกมันไง เรียบร้อยแล้ว”
“พวกมัน?” ผมทำหน้างง ก็มันงงจริงๆนี่นา
“มึงทำอะไร”
พี่ควินถามขึ้นบ้าง
“เปล่า กูไม่ได้ทำอะไร พ่อเลี้ยงกูต่างหากที่ทำ ไม่เกี่ยวกับกู”
พ่อเลี้ยง…เดี๋ยวนะ!
“เมื่อกี้พี่บอกว่าพ่อเลี้ยงพี่เป็นคนทำเหรอครับ แล้วท่านทำอะไร”
“ก็เอาเงินอุดปากตามประสานั้นแหละ”
เชื่อได้มั้ยเนี่ย!
“แล้วแม่ธัญญ์เขายอมเหรอครับ ประกาศเสียงแข็งว่าจะแจ้งความจับพวกเราเข้าคุกขนาดนั้น”
“ฮึ! มันก็เก่งแต่ปาก เจอปืนเข้าหน่อยก็กลัวจนหัวหด”
ว่าไงนะ! ปืนเหรอ!
“ทำหน้าตกใจทำไมก็แค่ปืน”
ก็แค่เหรอ…นั่นมันปืนนะ ปืนเลยนะ! จะใช้คำว่าแค่ได้ยังไง
“มึงบอกพ่อเลี้ยงมึงเหรอ” พี่ควินถามต่อ
“เปล่า ไอ้อังเดรมันบอก”
อังเดรนะอังเดร ทำบ้าอะไรลงไปเนี่ย! ไปบอกมาเฟียให้มาจัดการกับคนธรรมดาเนี่ยนะ เชื่อเขาเลย!
“ก็ดี เรื่องจะได้จบ ไม่ต้องถึงมือกู” พี่ควินว่า
“มันจะจบจริงๆเหรอครับ” บอกตรงๆว่าผมยังไม่แน่ใจ
“ลองแดกลูกปืนดูมันก็จบเอง”
ผมมองพี่แซทอย่างหน่ายๆ เขาคลุกคลีอยู่กับวงการมาเฟียจนเห็นชีวิตคนเป็นของเล่นไปแล้วหรือไงถึงได้พูดเรื่องคอขาดบาดตายได้อย่างไม่สะทกสะท้าน
“มึงก็อย่าไปยุ่งกับมัน อย่าให้กูรู้นะว่ามึงไปดักรอเจอมันอีก”
พี่แซทหันมาขู่ ผมได้แต่นั่งเงียบ ถึงไม่บอกผมก็ไม่คิดจะไปยุ่งเกี่ยวกับคนพรรค์นั้นอยู่แล้ว ยิ่งได้รู้ธาตุแท้ถึงสันดานที่แท้จริง ผมก็ยิ่งเกลียด หวังว่าต่อไปนี้อีกฝ่ายจะคิดได้แล้วไม่มายุ่งวุ่นวายกับผม เพราะถ้าธัญญ์ยังดันทุรังก็มีแต่เจ็บตัวฟรีๆ ถ้าเขาฉลาดพอ เขาก็น่าจะคิดได้ว่าไม่ควรยุ่งกับผมอีก
************************************************************
วันนี้ผมมีเรียนตอนเช้าแค่วิชาเดียว ผมขับรถมาเองด้วย เมื่อคืนพวกเขาพากันดื่มในห้องนั่งเล่น พอเมาก็นอนบนโซฟา ตอนผมออกมาพวกเขาก็ยังไม่ตื่นกันเลย ผมล้วงเอาโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงตั้งใจจะโทรหาเฟียซแต่กลับมีเสียงเรียกเข้าดังขึ้นซะก่อน ผมยิ้มแล้วรับสาย
“ว่าไงเฟียซ กำลังจะโทรหาอยู่พอดีเลย”
“มาถึงยัง”
น้ำเสียงเคร่งเครียดถามกลับมา ผมย่นคิ้วอย่างงุนงง
“อืม ถึงแล้ว ทำไมเหรอ”
“มาหากูที่โรงยิมเก่าด่วนเลย”
“มีเรื่องอะไรเหรอ”
“มาแล้วมึงก็รู้เอง”
เฟียซตัดสายไปแล้ว ผมมองหน้าจอโทรศัพท์ก่อนเก็บมันใส่กระเป๋ากางเกงตามเดิมแล้วรีบเดินไปที่โรงยิมเก่าตามที่เฟียซบอก เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?
พอผมมาถึงแล้วเดินเข้าโรงยิมไปก็เห็นผู้ชายกลุ่มใหญ่ซึ่งคุ้นหน้าคุ้นตากันดีเพราะเป็นรุ่นพี่คณะผมเอง แต่ที่ผมตกใจก็คือ ผู้ชายร่างสูงในชุดไปรเวทที่ศีรษะพันด้วยผ้าพันแผลและที่แขนก็เข้าเฝือก หน้าตามีรอยฟกช้ำ เขาคนนั้นกำลังยืนมองมาที่ผมอยู่
ธัญญ์! ทำไมมันถึงมาอยู่ที่นี้!
“ต้าร์ มานี่”
เฟียซหันมาเรียก ผมเดินไปหาเพื่อนทั้งที่สายตายังมองธัญญ์ด้วยความตกใจระคนสงสัย
“เกิดอะไรขึ้น ทำไมมัน…”
“ไอ้เหี้ยนั่นเอาเรื่องที่มันโดนไอ้ควินกับไอ้แซทซ้อมไปบอกพี่ปีสามน่ะสิ”
บอสตอบผม และคำตอบนั้นก็ทำให้ผมจ้องไปยังร่างสูงของธัญญ์เขม็ง
“กูไม่ยอมให้น้องกูเจ็บตัวฟรี ต้าร์เป็นพี่รหัสธัญญ์ไม่ใช่เหรอ ทำไมถึงปล่อยให้พวกมันทำร้ายน้อง”
พี่ปีสามซึ่งผมจำชื่อไม่ได้แต่จำหน้าได้เพราะตอนไปดักรอธัญญ์ที่หน้าหอประชุมเมื่อวาน พี่คนนี้แหละที่เดินกอดคอธัญญ์ออกมา
“แล้วพี่เกี่ยวอะไรด้วย”
คำถามผมทำให้ทุกคนอึ้งเพราะไม่คาดคิดว่าผมจะกล้าถามรุ่นพี่แบบนี้ เฟียซจับแขนผมไว้ เขาจะดึงผมให้ไปยืนหลบอยู่ข้างหลังแต่ผมไม่ยอม สะบัดแขนจนหลุดแล้วเดินเข้าไปหาธัญญ์แทน
“นายต้องการอะไร ทำแบบนี้ทำไม”
ผมถามธัญญ์ตรงๆ สารรูปดูไม่ได้ขนาดนี้แล้วยังกล้าออกจากโรงพยาบาลมาก่อเรื่องวุ่นวายอีก ไอ้เด็กนี่ไม่ธรรมดาจริงๆ มันกำลังคิดบ้าอะไรอยู่!
“ผมไม่ได้ทำอะไร”
ธัญญ์ตอบพลางส่ายหน้า
“คิดจะเข้าข้างคนของตัวเองเหรอ น้องรหัสเจ็บขนาดนี้ยังไม่สนใจ ยังมีจิตสำนึกอยู่หรือเปล่า”
“เฮ้ย! พูดเกินไปป่ะวะ”
เฟียซทนไม่ไหวต้องออกโรงปกป้องผม ผมแค่นยิ้ม บอกว่าผมไม่มีจิตสำนึกเหรอ บอกว่าผมไม่สนใจเหรอ แล้วใครหน้าไหนที่ไปห้ามไม่ให้มีเรื่อง ใครกันที่สั่งให้พาตัวมันไปส่งโรงพยาบาล!
“นี่ไม่ใช่เรื่องของมึง เฟียซ ถอยไป กูจะคุยกับต้าร์”
“ต้าร์เป็นเพื่อนผม”
“พอเถอะเฟียซ ต้าร์จะคุยกับเขาเอง”
ผมดันเฟียซออก ยืนประจันหน้ากับรุ่นพี่ เหลือบมองธัญญ์ที่ยืนนิ่งอยู่ข้างหลัง
“ซ้อมคนแล้วเอาเงินฟาดหัว คิดว่าพ่อเป็นมาเฟียแล้วจะทำอะไรได้ตามใจชอบหรือไง แบบนี้มันหยามกันเกินไป”
“แล้วพี่จะเอายังไง” ผมถามอย่างไม่อยากเสียเวลามาอารัมภบทกันยืดเยื้อ
“ไปบอกพวกมันมาเจอกันที่นี่ แค่ไอ้ควินกับไอ้แซทสองคน”
ผมแสยะยิ้มกับวิธีการแก้ปัญหาของคนอวดเก่ง คิดจะนัดมาต่อยตีกันเพื่อวัดว่าใครจะชนะแล้วให้มันจบเรื่องกันไปงั้นเหรอ ใช้ตีนคิดหรือไง!
“ถ้าพี่คิดได้แค่นี้ ผมว่าพี่เอาเวลาไปตั้งใจเรียนให้จบดีกว่านะครับ”
ผมยิ้มบอก ได้ยินเสียงบอสหัวเราะด้วย แต่คนตรงหน้าผมกำหมัดแน่นแล้ว คงจะโกรธน่าดู
“หลงผัวจนโงหัวไม่ขึ้น”
“มึง! ถอนคำพูดเดี๋ยวนี้!”
เฟียซปราดเข้าไปกระชากคอเสื้อคนตรงหน้าที่พูดจาดูถูกผม
“กูไม่ถอน มึงจะทำไม!”
“เฟียซ ปล่อยเถอะ อย่าไปยุ่งกับหมาบ้าเลย”
“มึงว่ากูเป็นหมาเหรอ!”
“ได้ยินแล้วจะถามทำไมอีก”
ผมตอบหน้าตาย ยักไหล่อย่างไม่กลัว ตัวเล็กเข้ามาดึงเฟียซออกไปส่วนบอสก็เข้ามาดึงแขนผมไว้ ตอนนี้เลยกลายเป็นว่าพวกรุ่นพี่กำลังตั้งท่าจะเข้ามารุมรุ่นน้องอย่างพวกผม โดยมีน้องปีหนึ่งยืนคุ้มอยู่เบื้องหลัง
“ฉันไม่รู้นะว่านายทำยังไง พวกรุ่นพี่ถึงได้ไปอยู่ข้างนายได้ วิธีสิ้นคิดแบบนี้ คงมีแต่นายที่คิดได้”
ผมบอกธัญญ์เสียงเรียบ แล้วหันมามองหมาบ้าที่เป็นเดือดเป็นร้อนแทนคนอื่น เรื่องของตัวเองก็ไม่ใช่ ดันเสือกแส่หาเรื่อง
“พี่พูดถูกครับ ผมหลงผัวจนโงหัวไม่ขึ้นจริงๆนั่นแหละ”
ผมบอกเขาก่อนหันไปพยักหน้าให้เฟียซ แล้วกลุ่มเราก็เดินออกจากโรงยิม ไม่มีใครพูดอะไร ทุกคนพร้อมใจกันเงียบ ต่างคนต่างใช้ความคิด จนเราเดินมาถึงหน้าตึกคณะ เฟียซก็ดึงแขนผมไว้
“ไอ้ธัญญ์มันเป็นนักเลง แต่ก่อนเคยแข่งรถ ไอ้พวกนั้นก็เป็นลูกน้องมัน”
“เฟียซรู้ได้ยังไง” ผมถามอย่างแปลกใจกับข้อมูลใหม่ที่ได้รับรู้
“ก็ตั้งแต่ที่มึงบอกว่าจะไม่เอามันเป็นน้องรหัสนั่นแหละ กูก็ไปตามสืบเรื่องมันมา”
“มิน่า พวกรุ่นพี่ถึงได้ดูเกรงใจมันนัก ที่แท้ก็เป็นแบบนี้เอง”
บอสว่าเสียงเยาะ ผมนิ่งคิด พ่อเป็นหมอ แม่เป็นพยาบาล แต่ลูกกลับเป็นนักเลง คนเรานี่ดูกันที่ภายนอกไม่ได้จริงๆ
“แล้วอย่างนี้ ไอ้ควินกับไอ้แซทจะรู้มั้ย”
ตัวเล็กถามขึ้น นั่นน่ะสิ พวกเขาจะรู้มั้ย?
“รู้ กูว่ายังไงพวกมันก็ต้องรู้ ผีเห็นผี นังเลงมันก็ต้องรู้จักนักเลง ขนาดกูยังสืบจนรู้ แล้วพวกมันจะไม่รู้ได้ไง”
คำพูดเฟียซทำให้ผมคิดถึงเรื่องที่โรงพยาบาล ท่าทางกับการกระทำของพวกเขา ก็คงจะเป็นอย่างที่เฟียซบอกจริงๆนั่นแหละ พวกเขาต้องรู้เรื่องของธัญญ์มาก่อนแน่ๆ
“แล้วจะเอาไงต่อ ต้าร์จะบอกพวกมันมั้ย”
ผมมองหน้าบอสอย่างใช้ความคิด
“ถึงไม่บอกพวกมันก็รู้ ป่านนี้คงรู้แล้วแหละ”
“หมายความว่าไง” ผมหันไปถามเฟียซ
“หันไปมองที่13นาฬิกาดู”
ผมหันไปมองตามที่เฟียซบอกพิกัด แล้วก็เห็นผู้ชายคุ้นหน้าคนนึงกำลังยืนพิงเสาคุยโทรศัพท์อยู่
“คนนั้นมัน…”
“คนที่มึงหลอกแล้วหนีกลับบ้านไง”
เฟียซพูดขึ้น ผมหัวเราะ ใช่…ผู้ชายคนนั้น ที่ผมเคยหลอกเขาแล้วก็หนีกลับบ้าน ให้มันได้อย่างนี้สิ นี่พวกเขาสั่งคนตามผมตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย ถ้าเฟียซไม่บอกผมคงไม่รู้ตัว
-----------------------------------------------------
ยกพู่เชียร์น้องธัญญ์
เด็กมันอยากลองของ
ขอบคุณสำหรับคอมเม้นท์และการติดตามนะคะ