HEARTBREAKER
54
ผมตัดสินใจเดินไปหาผู้ชายคนนั้น พอเขาหันมาเห็นผมก็ทำท่าจะเดินหนี ผมรีบวิ่งไปดักหน้าเขาไว้ ท่าทีเลิกลักยิ่งดูมีพิรุธ ผมจ้องเขา แต่เขาเบือนหน้าไปอีกทางพลางเบี่ยงตัวหลบ แต่ผมก็ขยับไปดักทางเขาไว้อีก คราวนี้เขาหันมาสบตาแล้วถอนหายใจออกมา
“เมื่อกี้โทรหาใคร พี่ควินหรือพี่แซท”
ผมถามเสียงเรียบ เขากลอกตาอยู่ครู่นึงก็ยอมบอก
“พี่แซท”
ผมพยักหน้ารับรู้แต่ยังไม่ยอมหลีกทางให้เขา
“แล้วพวกเขาสั่งให้นายมาตามฉันนานหรือยัง”
“ตั้งแต่ตอนรับน้อง”
“ว่าไงนะ!”
ผมร้องขึ้นอย่างตกใจ ตั้งแต่ตอนรับน้องงั้นเหรอ! นี่ก็แสดงว่าพวกเขารู้มาตลอดเลยน่ะสิว่าธัญญ์เข้ามายุ่งวุ่นวายกับผม
“ไปได้แล้วใช่มั้ย”
“ยัง”
ผมตอบเสียงแข็ง เขาทำหน้าเซ็ง
“เอาโทรศัพท์นายมา”
“จะเอาไปทำไม”
“เอามาเหอะน่า เร็วๆ”
เขาทำท่าอิดออด มองผมอย่างไม่ไว้ใจ พอผมถลึงตาโตใส่ เขาเลยยอมล้วงเอาโทรศัพท์มือถือออกมายื่นให้ ผมรับมาเช็คดูสายโทรออกล่าสุดก็เห็นว่าเป็นเบอร์พี่แซทจริงๆ
“เฮ้ย! โทรหาใคร”
เจ้าของเครื่องร้องขึ้นเมื่อเห็นว่าผมเอาโทรศัพท์แนบหู
“มีไร กูกำลังจะออกไป”
เสียงเข้มจากปลายสายว่ามา
“พี่แซท”
ผมทักไป ปลายสายเงียบไปชั่วอึดใจ
“พี่รู้แล้วใช่มั้ย ผมรู้ว่าพี่รู้เรื่องแล้ว พี่อย่ามานะ” ผมรีบพูดดักเขาไว้
“ทำไมไม่ใช่เครื่องตัวเองโทรมา”
“จะเครื่องใครก็ช่างมันเถอะ พี่อย่ามาเปลี่ยนเรื่อง ผมไม่ให้พี่มาได้ยินมั้ย พี่ควินด้วย ห้ามมานะ”
“สายแล้ว ทำไมยังไม่เข้าเรียน”
ผมชักจะหมดความอดทนกับเขาแล้วนะ! ทำไมไม่ฟังกันบ้าง!
“ผมจะไปหาพี่เดี๋ยวนี้”
“ไม่ต้องมา”
“ผมจะไป!”
ผมขึ้นเสียงใส่แล้วตัดสายก่อนคืนโทรศัพท์ให้เจ้าของ รีบเดินกลับไปที่ตึก พวกเพื่อนๆยืนรอผมอยู่
“ฝากเช็คชื่อด้วยนะ ต้าร์จะกลับคอนโด”
“เฮ้ย! จะกลับไปทำไม”
บอสถามแต่ผมไม่มีเวลาอธิบาย รีบเดินไปเอารถที่จอดอยู่หลังตึก จะปล่อยให้พวกเขามาไม่ได้ การท้าต่อยตีกันไม่ได้ช่วยให้เรื่องมันจบ ตรงกันข้ามมันจะยิ่งสร้างความโกรธแค้นไม่จบสิ้น
เสียงโทรศัพท์ดังตลอดทางที่ผมขับรถกลับคอนโดฯ ช่วงที่รถติดไฟแดงผมหยิบมาดูก็เห็นว่าเป็นเบอร์พี่ควินกับพี่แซทที่ผลัดกันโทรมา ผมไม่รับสาย โยนไปไว้ที่เบาะข้างๆ เสียงเตือนข้อความและเสียงไลน์ดังกระหน่ำตามมา ปล่อยไว้อย่างนี้แหละ จนกว่าผมจะไปถึง พวกเขาจะได้รู้สึกบ้างว่าความร้อนใจเพราะเป็นห่วงมันเป็นยังไง!
ผมยืนชั่งใจอยู่หน้าประตู คิดทบทวนถึงสิ่งที่จะทำต่อจากนี้ เสียงโทรศัพท์ยังดังไม่หยุด ผมปิดเครื่องตัดรำคาญ เงยหน้ามองประตู สูดลมหายใจลึกก่อนเปิดมันเข้าไป
“ต้าร์!”
เสียงเรียกดังพร้อมกับร่างสูงของพวกเขาเดินปรี่เข้ามาหาผมหน้าตาตื่น สายตาคมสองคู่มอง
สำรวจตัวผมไปทั่ว จนพอใจแล้วสีหน้าของพวกเขาก็ดีขึ้น
“ดื้อ!”
พี่ควินดุผมเสียงเข้ม เขาจับมือผมจูงให้เดินตามไป พี่แซทเดินตามหลัง มาถึงห้องนั่งเล่นเขาก็ดันให้ผมนั่งลงที่โซฟา
“โดดเรียนทำไม”
พี่แซทถามเปิดประเด็น ผมไม่ตอบ เอาแต่มองพวกเขา
“กูถามว่ามึงโดดเรียนทำไม”
พี่แซทถามย้ำ แต่ผมก็ยังเงียบ
“ต้าร์”
พี่ควินเรียก เขานั่งลงข้างๆแล้วโอบไหล่ผมไว้
“ผมไม่อยากให้พวกพี่ออกไปมีเรื่อง”
ผมพูดตรงๆ มองพวกเขาอย่างจริงจัง แล้วพวกเขาก็เงียบ ผมขยับตัวออกห่างพี่ควิน บอกให้รู้ว่าผมไม่พอใจที่พวกเขาไม่ยอมพูด
“เงียบทำไมครับ ไม่ได้ยินที่ผมพูดเหรอ”
พี่ควินหันหน้าหนีผมแทนคำตอบ พี่แซทก็แสร้งเดินเข้าห้องครัวไป ผมเม้มปากกำมือแน่นกับท่าทีที่พวกเขาแสดงออก
“พี่ควิน หันมาคุยกับผม” ผมสั่งแล้วจับไหล่เขาหันกลับมา
“กลับไปเรียน”
“ไม่ ผมไม่ไป คุยกันให้รู้เรื่องก่อน”
จะไล่ผมกลับมหา’ลัยท่าเดียว คิดจะบ่ายเบี่ยงเปลี่ยนเรื่องเหรอ ผมไม่ยอมหรอก!
“อย่าดื้อ”
“ใครกันแน่ที่ดื้อ”
ผมย้อนเสียงแข็งจ้องตาเขาอย่างไม่ยอมแพ้ พี่ควินถอนหายใจก่อนจับมือผมฉุดให้ลุกขึ้น
“กลับไปเรียน”
ผมสะบัดมือออกอย่างแรงจนหลุด พี่ควินขึงตาดุใส่แต่ผมไม่สน
“เราต้องคุยกัน พี่อย่าเปลี่ยนเรื่องได้มั้ย พี่แซทก็เหมือนกัน ออกมาคุยกับผม”
ผมร้องบอกคนในห้องครัว พี่ควินจับมือผมไว้ ผมจะสะบัดออกแต่เขาก็บีบกระชับไว้แน่น
“ปล่อยมัน กูจัดการเอง”
พี่แซทเดินเข้ามา พี่ควินยอมปล่อยมือผมแล้วถอยออกไป ผมจ้องตาพี่แซทรอดูว่าเขาจะจัดการกับผมยังไง เขาไม่พูดอะไรสักคำ เอาแต่จ้องผมนิ่ง แต่สักพักเขาก็เคลื่อนไหวยื่นมือออกมา ผมรู้ว่าเขาจะทำอะไรเลยรีบหลบไม่ให้เขาคว้าตัวได้
“จะคุยกันดีดีไม่ได้เหรอครับ”
“มานี่”
“ไม่! ถ้าผมไป พี่ก็จะจับผมขังไว้แล้วออกไปมีเรื่อง ผมรู้ว่าพี่คิดแบบนี้”
พี่แซทหน้าเครียด เขาหันไปมองพี่ควินเหมือนจะส่งสัญญาณบางอย่างให้กันแล้วหันมามองผม
“หยุดดื้อแล้วฟังกู”
“พวกพี่นั่นแหละหยุดแล้วฟังผม!” ผมสวนกลับเสียงดังจนแทบจะตะคอก
“ถ้าพวกกูไม่ไป พวกมันก็หาว่าพวกกูปอดแหก กูไม่ยอมให้มันมาหยามศักดิ์ศรีหรอก”
ศักดิ์ศรีเหรอ? มันกินแทนข้าวได้หรือไง!
"ระหว่างผมกับศักดิ์ศรี พวกพี่จะเลือกอะไร"
ผมยื่นคำขาด มองพวกเขาด้วยสายตาตัดพ้อ ในเมื่อทำถึงขนาดนี้แล้วพวกเขายังกล้าหันหลังให้ ผมก็ไม่มีอะไรจะพูด!
"มึงไม่เข้าใจ"
พี่ควินบอกโดยไม่มองหน้าผม ใครกันแน่ที่ไม่เข้าใจ ที่ผมไม่ให้พวกเขาไปเพราะว่าเป็นห่วง มีใครรับประกันได้บ้างว่าพวกเขาจะปลอดภัย ไม่ได้รับบาดเจ็บ หรือเป็นอะไรที่มันร้ายแรงกว่านั้น
"เรื่องนี้มึงไม่ต้องยุ่ง"
คำพูดพี่แซทตอกย้ำให้รู้ว่าพวกเขาไม่คิดจะฟังผมเลย! ผมสูดลมหายใจลึก รู้สึกร้อนผ่าวที่กระบอกตาจนต้องกระพริบถี่ ฝืนยิ้มให้พวกเขาโดยไม่พูดอะไร ความเงียบสร้างบรรยากาศอึดอัด แต่ผมก็ยังยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับตัวไปไหน จนกระทั่งพวกเขาทนไม่ไหวพร้อมใจกันถอนหายใจดังแล้วหันหลังให้ วินาทีนั้นน้ำตามันก็ไหลออกมา ผมรีบเช็ดออกทันทีแต่มันก็ยังไหลออกมาไม่หยุด ทั้งๆที่ผมกำลังร้องไห้ แต่พวกเขาก็เลือกที่จะไป เสียงปิดประตูเหมือนถูกตะปูตอกใส่หน้า ผมนี่มันงี่เง่าสิ้นดีที่คิดห้ามคนอย่างพวกเขา!
เวลาผ่านไปเร็วอย่างน่าตกใจ สีของท้องฟ้ากลายเป็นสีดำสนิท ผมยิ้มสมเพชตัวเองที่ยังนั่งนิ่งอยู่บนเตียงทอดสายตามองออกไปนอกระเบียง หลายชั่วโมงที่ผมนั่งอยู่แบบนี้ มองท้องฟ้าด้านนอกอย่างเลื่อยลอยจมอยู่กับความคิดไร้สาระ ตั้งแต่ท้องฟ้ายังสว่างจนมันกลายเป็นสีมืด ผมนี่มันแย่จริงๆ โดดเรียนเอาเวลาทั้งวันมาทิ้งอย่างเปล่าประโยชน์ ก้มมองสภาพตัวเองที่ยังอยู่ในชุดนิสิต ข้าวก็ยังไม่ตกถึงท้องเลยทั้งวัน ถึงเวลาที่ผมต้องลุกไปอาบน้ำแล้วออกไปหาอะไรกินแล้วล่ะ เน่าจริงๆวันนี้
“ทุเรศจริงๆ”
ผมพูดกับกระจกในห้องน้ำ คราบน้ำตายังหลงเหลือเป็นทาง ตาก็บวม น่าเกลียดจริงๆ ทุเรศตัวเองชะมัด ผมหันหลังให้กระจก เปิดเรนชาวเวอร์ให้น้ำไหลลงมาใส่ตัวจนเปียก ความเย็นของน้ำเรียกความสดชื่นให้ผมตื่นตัว ถ้าได้นอนแช่น้ำอุ่นสักพักก็น่าจะดีเหมือนกัน แต่เสียงท้องผมดันร้องประท้วงขึ้นมาก่อน ต้องรีบอาบแล้วล่ะ จะได้ออกไปหาข้าวกินสักที
นับว่ายังโชคดีที่ในตู้เย็นมีข้าวกล่อง แค่เอาไปอุ่นก็ได้กินแล้ว ผมยืนเคาะนิ้วกับโต๊ะรอเวลาที่ไมโครเวฟส่งเสียงเตือน ใส่ถุงมืออีกข้างรออย่างไม่ให้เสียเวลา ผมยิ้มเมื่อเสียงเตือนดังให้ได้ยิน รีบเปิดไมโครเวฟเอาของข้างในออกมา ข้าวผัดกระเพราไส้กรอกคงพอประทังชีวิตได้ล่ะนะ ผมเดินออกจากห้องครัวตรงไปที่ห้องนั่งเล่น วางข้าวกล่องไว้บนโต๊ะ ถอดถุงมือวางตามไปก่อนจะเปิดฝากล่องข้าวออก กลิ่นหอมและควันอุ่นลอยขึ้นมา แต่เห็นปริมาณข้าวแล้วก็แอบท้อแท้เหมือนกัน ทำไมมันถึงได้น้อยอย่างนี้ล่ะเนี่ย มีหวังคืนนี้ผมได้นอนฟังเสียงท้องร้องทั้งคืนแน่ๆ
เสียงรายการทีวีดังคลอเพิ่มบรรยากาศในการกินข้าวมื้อดึกที่เลยเที่ยงคืนไปหลายนาที ผมมองเจ้าจอสี่เหลี่ยมแบนราบเบื้องหน้าพลางตักข้าวกินไปด้วย หูแว่วได้ยินเสียงเปิดประตูแต่ผมไม่สนใจ นั่งกินข้าวต่อไป จู่ๆไฟก็สว่างจ้าขึ้นมา ผมกระพริบตา ไม่ได้หันไปมองว่าไฟมันเปิดได้ยังไงเพราะรู้อยู่แล้วว่าต้องมีคนไปเปิดมัน ผมก้มลงมองกล่องข้าวก็พบว่ามันหมดเกลี้ยง แต่ทำไมรู้สึกเหมือนไม่ได้กินเลยแฮะ
“ดึกแล้ว ทำไมมานั่งอยู่ตรงนี้”
“กินข้าวครับ”
ผมตอบเสียงเรียบแล้วลุกขึ้นเก็บข้าวกล่อง เดินผ่านหน้าร่างสูงที่ถามผมเมื่อกี้
“ต้าร์”
“ครับ”
ผมขานรับแต่ไม่ได้หยุดฟัง เดินเข้าห้องครัวทิ้งกล่องข้าวแล้วล้างมือ จากนั้นก็เปิดตู้เย็นหาน้ำดื่ม
“เป็นอะไร”
“เปล่าครับ” ผมตอบ เดินออกจากห้องครัวมาปิดทีวี
“หันมาคุยกับกู”
ผมหันกลับไปตามคำสั่ง พี่ควินขยับเข้ามาใกล้ เขาจับคางผมเชยขึ้น ทำให้ผมมองเห็นหน้าเขาได้ชัดๆ ชัดจนเห็นร่องรอยฟกช้ำบนใบหน้าและที่หางคิ้วมีรอยแตก
“ทำไมเพิ่งกินข้าว”
“มัวแต่นั่งเล่น คิดเรื่องไร้สาระเพลินน่ะครับ รู้ตัวอีกทีก็ดึกแล้ว”
พี่ควินขมวดคิ้วคล้ายไม่เชื่อคำพูดผม แต่เขาก็พยักหน้า ยกมือขึ้นลูบแก้มผมเบาๆ
“อาบน้ำหรือยัง”
“เรียบร้อยครับ”
“อืม…กูได้กลิ่นหอมจากตัวมึง”
เขาบอกแล้วก้มหน้าเข้าใกล้ ฝังจมูกโด่งที่ซอกคอสูดกลิ่นตัวผม ผมยืนนิ่งปล่อยให้เขาทำตามใจจนเขาผละห่างออกไปเอง
“ง่วงหรือยัง”
“ครับ” ถึงจะยังไม่ง่วง แต่ดึกมากแล้วก็สมควรเข้านอนล่ะนะ
“ไปนอนเถอะ”
ผมหันหลังให้เขา เดินตรงไปที่ห้อง
“ต้าร์”
เสียงเรียกดังตามมา ผมหันกลับไปมอง แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไร ผมเลยเดินต่อ เข้าห้องขึ้นเตียงนอน ผมนอนไม่หลับ เพราะยังไม่ง่วง นึกขึ้นได้ว่าปิดโทรศัพท์ไปตั้งแต่ตอนนั้นเลยหยิบมาเปิดเครื่อง จำนวนข้อความและไลน์ที่ไม่ใช่น้อยๆทำให้ผมต้องเปิดดู มีทั้งข้อความของเฟียซ บอสและตัวเล็ก ครบทีม ผมเข้าแชทในกรุ๊ปไลน์ ทักเพื่อนๆไปว่านอนยัง แล้วข้อความแต่ละคนก็ไหลพรวดตามมา ผมถามเรื่องเรียน แต่เหมือนเพื่อนๆจะถามผมแต่เรื่องของพวกเขา ผมเลยไม่พิมพ์ตอบกลับไปในประเด็นนี้ เพราะมันไม่ใช่เรื่องของผม เราแชทกันเพลินจนเสียงเคาะประตูห้องดัง ผมเลยหยุดมอง พี่แซทเปิดประตูเข้ามา
“ทำไมยังไม่นอน ไหนบอกง่วง”
“ผมไม่ได้บอก”
พี่แซทชะงักไปนิดก่อนเดินเข้ามาใกล้ เขานั่งลงบนเตียงใกล้ปลายเท้าผม
“เป็นอะไร”
“เปล่าครับ”
“มึงเป็น”
ผมถอนหายใจ ขี้เกียจเถียงกับเขา ในเมื่อตอบความจริงไปแล้วเขาไม่เชื่อก็ช่างเถอะ ผมขยับตัววางโทรศัพท์ไว้บนโต๊ะ หยิบผ้าห่มขึ้นคลุมเอนตัวลงนอน
“คุยกับกูก่อน”
“มีเรื่องอะไรก็ว่ามาสิครับ”
ผมถามไป พี่แซทเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้ เขานอนลงข้างๆกระเถิบตัวเบียดผมจนสัมผัสได้ถึงลมหายใจ แขนใหญ่วางพาดที่เอวผมก่อนจะกอดรัดไว้
“ทำไมไม่ถามกูสักคำว่าเจ็บมั้ย”
เขาพูดแล้วยื่นหน้าเข้ามาใกล้ ผมย่นคิ้วมองรอยเขียวช้ำเป็นจ้ำและปากที่มีรอยแตกด้วยสายตานิ่งๆ
“เจ็บมั้ยครับ” ในเมื่อเขาอยากให้ถาม ผมก็ทำตามคำสั่ง
“มึงห่วงกูจริงๆเหรอ”
“ก็พี่อยากให้ผมถามไม่ใช่เหรอครับ”
“มึง…”
พี่แซทมองผมแปลกๆ เขาหายใจแรงเหมือนกำลังข่มกลั้นอารมณ์บางอย่างที่ผมเดาว่าน่าจะเป็นโทสะ ผมไม่ได้ตั้งใจจะยั่วโมโหเขานะ เขาถาม ผมก็ตอบ
“มึงกลับไปเป็นเหมือนเดิมอย่างที่ไอ้ควินบอกจริงๆ”
พี่แซทพูดแล้วขยับตัวลุกขึ้นนั่ง ผมเลยพลิกตัวนอนตะแคงหันหลังให้เขา
“มึงกลับไปเย็นชาใส่พวกกูเหมือนเดิม ชอบนักเหรอ เวลาเห็นพวกกูทุกข์ใจ”
“แล้วแต่พวกพี่จะคิดเถอะครับ” ผมตอบแล้วหลับตา
“ทำยังไงถึงจะหายโกรธ”
ผมลืมตา พี่ควินเข้ามาในห้องอีกคนแล้ว นี่พวกเขาจะไม่ให้ผมนอนใช่มั้ย? ผมลุกขึ้นนั่งพิงหัวเตียงมองหน้าคนถาม พี่ควินนั่งลงบนเตียงตรงหน้าผม
“ไม่ต้องทำอะไรครับ ผมไม่ได้โกรธ”
“มึงโกรธ”
พี่แซทโต้กลับเสียงเข้ม ผมยิ้มให้เขา
“ทำไมผมต้องโกรธด้วยล่ะ ในเมื่อมันไม่ใช่เรื่องของผม”
“ต้าร์ อย่าทำแบบนี้”
พี่ควินขยับเข้ามาจับมือผมไว้ เขาลูบหลังมือผมเบาๆ
“ผมทำอะไรครับ” ผมถามเขาอย่างไม่เข้าใจ
“มึงทำตัวเย็นชา เหมือนเมื่อก่อน”
“ผมก็เป็นของผมอย่างนี้ ไม่ว่าตอนนี้หรือตอนไหน” ผมตอบเสียงเรียบ
“ไม่ มึงเปลี่ยนไป กูรู้ เมื่อก่อนมึงเย็นชา ไม่สนใจว่าพวกกูจะเป็นจะตายยังไง แต่พักหลังมานี้ไม่ใช่ มึงเริ่มเปิดใจ เริ่มสนใจพวกกูมากขึ้น”
ผมมองตาพี่ควิน นัยน์ตาคมจ้องมองผมนิ่ง
“เหรอครับ ผมเป็นแบบนั้นเหรอ”
“กูรู้ว่ามึงโกรธที่พวกกูไม่ฟังมึงเมื่อเช้า”
ผมเบนสายตาไปมองพี่แซท
“ผมไม่ได้โกรธ ผมแค่เสียใจ”
พวกเขาเงียบไป ผมยิ้มแล้วหันไปมองนอกระเบียง
“ผมแค่ไม่เข้าใจว่าศักดิ์ศรีมันกินแทนข้าวได้เหรอ ไม่เข้าใจว่าทำไมพวกพี่ถึงไม่เป็นห่วงตัวเอง แต่ผมก็คิดได้แล้วครับ ผมเองที่ผิด ไปยุ่งวุ่นวายเรื่องของพวกพี่ ผมผิดเองที่เสือกไม่เข้าเรื่อง”
“ต้าร์!”
พี่ควินตะคอก เขาตะบบไหล่ผมไว้ ผมมองหน้าเขานิ่งเฉย ไม่โต้ตอบ
“อย่าพูดแบบนี้อีก มึงไม่ใช่คนอื่น มึงเป็นเมียกู!”
“ครับ”
ผมตอบรับง่ายๆ แต่กลับเป็นการราดน้ำมันลงบนกองไฟ พี่แซทผลักพี่ควินออก เขากระชากผมเข้าไปใกล้แล้วดันให้นอนลง คร่อมตัวผมไว้ นัยน์ตาแข็งกร้าวจ้องผมอย่างโกรธจัด
“มึงจะเอายังไง ห๊ะ! กูถามว่ามึงจะเอายังไง!”
ผมเค้นยิ้มมองคนข้างบน
“ตอนนี้ ผมอยากให้พวกพี่ออกไป ผมจะนอน” ผมตอบเสียงนิ่ง
“แซท ปล่อย”
พี่ควินบอกเพื่อนเสียงเย็น แต่ผมรู้ว่าพี่แซทไม่ฟังหรอก เขากำลังโกรธ
“ไม่! มึงก็เห็นว่ามันทำอะไร มันกำลังปั่นหัวมึง ปั่นหัวกู”
“กูบอกให้ปล่อย! ดึกแล้ว ไว้คุยกันพรุ่งนี้”
“กูจะคุยวันนี้ ตอนนี้!”
พี่แซทโต้กลับอย่างเอาแต่ใจ เขาหันกลับมาจ้องผม
“กูผิดที่ไม่ยอมฟังมึง กูผิดเอง มึงจะให้กูทำยังไง บอกมา!”
“คุกเข่าขอโทษผมสิ ทำได้มั้ยล่ะ”
ผมบอกแล้วแสยะยิ้ม พี่แซทนิ่งไป เขากัดฟันแล้วถอยออกไป ผมลุกขึ้นนั่ง เขาไม่กล้าหรอก คนที่รักศักดิ์ศรีอย่างพวกเขาไม่กล้าคุกเข่าขอโทษผมหรอก!
“เพราะเป็นมึง กูถึงยอม เพราะกูรักมึง กูถึงยอม”
พี่แซทบอกพลางจ้องตาผม ผมมองตามเขาก้าวลงจากเตียงไป จ้องเขาทุกการเคลื่อนไหวจนขายาวๆของเขาค่อยๆย่อลง ผมตาโตกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น
“อย่า! อย่าทำนะ!”
ผมร้องเสียงหลง รีบถลาลงจากเตียงไปหาเขา แต่เขาผลักผมออกมาแล้วคุกเข่าลงตรงหน้าผม!
“กูขอโทษ หายโกรธกูได้หรือยัง”
ทำไมถึงยอมทำ ทำไม! ผมยืนนิ่งอย่างทำอะไรไม่ถูก ตกใจกับสิ่งที่พี่แซททำ ผมท้าเขาเพราะคิดว่าเขาไม่กล้า แต่เขากลับทำมันจริงๆ!
“มึงก็ผิดเหมือนกัน คุกเข่าเป็นเพื่อนกูเลย”
พี่แซทหันไปบอกพี่ควินที่ยังยืนอึ้งอยู่ข้างหลัง ผมรีบส่ายหน้าทันที ขอร้องผ่านทางสายตาให้เขารู้ว่าผมไม่ได้ต้องการแบบนี้
“มึงนะมึง ชอบหาเรื่องใส่ตัว ไอ้เหี้ย ไอ้ควาย แม่งเอ้ย!”
พี่ควินสบถด่าเพื่อนเป็นชุดก่อนจะขยับตัวทำท่าจะคุกเข่าลงจริงๆ ผมปรี่เข้าไปกอดเขาไว้
“ไม่ อย่าทำนะ ไม่เอา”
ผมส่ายหน้ารัว พวกเขาเป็นบ้าไปแล้วหรือไง!
“กูก็ผิด”
พี่ควินว่าแล้วดันผมออก แต่ผมไม่ยอม โผเข้ากอดเขาไว้แน่น
“ต้าร์ ปล่อย”
“ไม่ปล่อย บ้าไปแล้วเหรอ ศักดิ์ศรีพวกพี่เอาไปไว้ไหน”
“ทิ้งไว้กับตีนมึงไง”
เขาบอกแล้วแกะแขนผมออก ผลักจนผมเสียหลังถอยหลังแล้วเขาก็คุกเข่าลง
“กูผิดไปแล้ว หายโกรธเถอะ ยกโทษให้กูด้วย”
ผมทรุดลงกับพื้นพร้อมน้ำตาที่ไหลอาบแก้มตอนไหนไม่รู้ พวกเขาบ้าไปแล้วจริงๆ ยอมคุกเข่าตามคำท้าผมง่ายๆได้ยังไง!
“ร้องไห้ทำไม อย่าร้อง”
พี่ควินคลานเข้ามาใกล้ เขายื่นมือออกมาเกลี่ยน้ำตาให้ผม
“แล้วพี่คุกเข่าทำไม คนบ้า บ้าทั้งคู่เลย ลุกเดี๋ยวนี้เลยนะ”
ผมว่าพลางทุบไหล่เขา หันหลังกลับไปทุบพี่แซทด้วย
“ก็มึงโกรธกู จะให้ทำไง มึงบอกให้กูคุกเข่าขอโทษ กูก็ทำแล้ว หายโกรธหรือยัง”
พี่แซทว่ายาวแล้วจ้องตาจนผมปล่อยโฮพลางทุบเขาไปด้วย
“กูเจ็บนะ ทุบทำไม”
พี่แซทจับมือผมไว้ เขาโน้มหน้าเข้ามาใกล้จนหน้าผากเราชิดกัน
“ร้องไห้ทำไม”
“เพราะพี่นั่นแหละ”
“เอ้า! กูผิดอีก”
“ลุกเดี๋ยวนี้เลย!”
ผมว้ากใส่แล้วผลักเขาออก พี่แซทกระตุกยิ้มแต่ยังไม่ยอมลุก เขาเกี่ยวคอผมไว้ กระซิบข้างหู
“หายโกรธได้แล้ว ยกโทษให้กูด้วย กูเมื่อย”
ผมหัวเราะทั้งน้ำตา พยักหน้าให้เขา พี่ควินลุกขึ้นพลางดึงผมให้ลุกตามไปด้วย
“แล้วกูล่ะ หายโกรธหรือยัง”
“พี่ก็ลุกสิ” ผมบอกพี่ควินที่ยังนั่งคุกเข่าอยู่
“บอกก่อนว่าหายโกรธแล้ว”
“ครับ หายโกรธแล้ว”
ผมยิ้มบอก พี่ควินรีบลุกขึ้น เขาผลักพี่แซทออกแล้วดึงผมไปกอด
“มึงออกไปเลย คืนนี้กูจะนอนกับต้าร์”
“ได้ไงวะ มึงนั่นแหละออกไป”
“มึงอย่ามาเนียน ไอ้สัด มึงบอกเองว่าอาทิตย์นี้ให้ต้าร์อยู่กับกูสี่วัน”
“กูบอกมึงตอนไหนวะ”
“ออกไป ก่อนที่กูจะเอาตีนยัดปากมึง”
“ไอ้เหี้ย อย่าให้ถึงที่กูนะมึง”
พี่แซทเดินกระแทกส้นเท้าออกจากห้องไป เขาปิดประตูห้องเสียงดังจนผมสะดุ้ง พอเหลือแค่ผมกับพี่ควิน ในห้องก็ตกอยู่ในความเงียบ
“มึงเป็นคนแรกที่ทำให้กูยอมคุกเข่าให้”
“ผมไม่คิดว่าพวกพี่จะทำจริงๆ”
ผมบอกเสียงอ่อน พี่ควินจับคางผมเชยขึ้น นัยน์ตาคมพราวระยับ ผมรู้สึกเสียวสันหลังแปลกๆ แต่จะถอยหนีก็ไม่ทันแล้ว เพราะแขนอีกข้างของเขาโอบรัดรอบเอวผมไว้แน่นเลย
“มองหน้ากูสิ แล้วบอกว่าเห็นอะไรบ้าง”
ผมทำตามคำสั่ง ไล่สายตามองใบหน้าเขา
“คิ้วเข้มๆ จมูกโด่งๆ ตาคมๆ หล่อครับ”
ผมยิ้มบอก แต่พี่ควินขึงตาดุใส่
“กูหล่ออยู่แล้วไม่ต้องบอก แต่มึงเห็นมั้ยว่าหน้ากูช้ำ เจ็บ”
‘สมน้ำหน้า อยากออกไปมีเรื่องทำไมล่ะ’ ผมคิดในใจ
“เป่าเร็วๆ”
“อะไรนะครับ”
ผมถามย้ำ จะให้เป่าอะไร ผมไม่เข้าใจ
“เป่าแผลบนหน้าไง เร็วๆ”
“พี่ไม่ใช่เด็กแล้วนะ” ผมยิ้มล้อเขา
“จะเป่าไม่เป่า”
“ครับๆ เป่าก็เป่า” ผมรับคำ เป่าลมใส่แผลบนหน้าให้เขาเบาๆ
“นอนเป่าดีกว่า จะได้ไม่เมื่อย”
พี่ควินบอกพลางดันผมลงบนเตียง พอหลังสัมผัสกับความนุ่มผมก็ยิ้มเจื่อน เริ่มไม่ปลอดภัยแล้วล่ะ ผมว่า…
“ทายาหรือยังครับ ช้ำขนาดนี้”
“ทาแล้ว มึงเป่าให้กูแล้ว เดี๋ยวมันก็หาย”
“งั้นเราก็นอนเถอะครับ”
ผมบอกแล้วพลิกตัวหนี แต่พี่ควินรู้ทัน เขาจับไหล่ผมพลิกกลับแล้วกดจมูกลงบนแก้ม
“กูบอกมึงไปหรือยังว่ากูรักมึง”
ผมเงียบ พูดไม่ออก จู่ๆก็มาบอกรักบนเตียงแบบนี้
“คนรักกัน ก็ต้องแสดงความรักให้กัน จริงมั้ย”
ไม่จริง!
“จูบหน่อย”
“อะไรนะครับ”
“จูบกูหน่อย”
ผมหลับตาแล้วยื่นหน้าออกไป จูบสะเปะสะปะไปทั่ว ไม่รู้ว่าถูกส่วนไหนบนใบหน้าของเขาบ้าง
“ต้าร์”
“ครับ” ผมขานรับเสียงเบาหวิว ยังไม่กล้าลืมตา
“ใครสอนให้มึงหลับตาจูบ”
ไม่มีใครสอนทั้งนั้นแหละ จะถามทำไมเนี่ย!
“ต้าร์”
“ครับ”
จะเรียกทำไมนักหนา อยู่ใกล้กันจนจะสิงร่างได้อยู่แล้ว!
“กูจะถอดกางเกงมึงแล้วนะ”
ถอดก็ถอดสิ…เดี๋ยวนะ
“เฮ้ย! พี่จะทำอะไร” ผมลืมตาโพล่ง
“ถอดกางเกง”
เขาตอบง่ายๆ แล้วก็ทำตามอย่างที่พูด ผมอ้าปากค้างมองดูเขาถอดกางเกงออกไปต่อหน้าต่อตา
“จะถอดเสื้อด้วย”
“พี่ควิน” ผมเรียกเขาเสียงอ่อน ส่ายหน้าหวือ
“ไม่ทันแล้ว”
เขาว่าแล้วจับผมถอดเสื้อ ทั้งเนื้อทั้งตัวผมเหลือชั้นในอยู่ชิ้นเดียว ผมเม้มปากแน่นจะยกขาขึ้นมาก็ทำไม่ได้เพราะพี่ควินจับตรึงไว้
“ต้าร์”
“อย่าแกล้งผมได้มั้ยเล่า จะทำอะไรก็รีบทำ ผมก็อายเป็นนะ คนบ้า!” ผมร่ายยาวแล้วหันหน้าหนี
“ได้ กูจะรีบทำ แต่ไม่รับประกันนะว่ามึงจะได้นอนมั้ยคืนนี้”
“ถ้าผมลุกไปเรียนไม่ไหว ผมจะไม่คุยกับพี่ คอยดู” ผมขู่บ้าง
“ก็ไม่ต้องไป จบ”
“ผมจะไป”
“หยุดเถียงได้แล้ว กูทนไม่ไหวแล้ว”
เสียงสั่นพร่าบอกชิดใบหน้า ก่อนผมจะรู้โล่งที่ช่วงล่าง ผมหลับตาแน่นจิกเล็บลงบนไหล่เขา ทั้งๆที่ห้องเปิดแอร์เย็นฉ่ำแต่ผมกลับรู้สึกร้อนเพราะฝีมือคนที่คร่อมตัวอยู่ด้านบน เขาทำให้ผมร้อนเหมือนไฟลน!
-------------------------------------------------------
กีสสสสส พี่ควินคนบ้า ทำอะไรน้อง *ตีรัวๆ*
ลงแบบไม่ได้ตรวจทานคำผิดเลย
ใครอ่านแล้วสะดุดเม้นเตือนได้นะคะ
ขอบคุณทุกๆคอมเม้นท์และการติดตาม