HEARTBREAKER
57
พวกเขาพาผมกลับคอนโดโดยไม่พูดอะไรสักคำ แต่ตลอดทางผมสัมผัสได้ว่าพวกเขาเครียด เพราะคิ้วเข้มขมวดมุ่นอยู่ตลอด ผมไม่อยากให้เรื่องวันนี้มันบานปลายจนถึงขั้นมีการสอบสวน แต่ตอนนี้คงเลี่ยงไม่ได้แล้ว เพราะเมื่อครู่นี้เฟียซเพิ่งโทรมาบอกว่าอาจารย์ที่ปรึกษาประจำภาควิชาเอกของพวกผมทราบเรื่องแล้ว และที่ร้ายแรงไปกว่านั้นคือ เรื่องที่เกิดขึ้นถึงหูของท่านอธิการบดีเรียบร้อยแล้ว
“ไม่ต้องมายุ่ง ผมจัดการเองได้”
ผมหันไปมองตามเสียง พี่ควินกำลังคุยโทรศัพท์กับใครไม่รู้ ใบหน้าเขาเคร่งขรึมจนผมเป็นห่วง
“บอกว่าไม่ต้องยุ่งไง!”
ผมสะดุ้งกับเสียงตวาด พี่ควินหันมาทางผม พอเห็นว่าผมนั่งมองอยู่เขาก็ตัดสายเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋ากางเกงแล้วเดินมาหา
“หิวหรือยัง”
ใครจะไปกินลงล่ะตอนนี้ ผมส่ายหน้า พี่ควินถอนหายใจวางมือบนศีรษะผม
“ไม่ต้องกลัว กูไม่ทางให้ชื่อมึงมีประวัติเสียแน่”
“ผมไม่ได้กลัวเรื่องนี้ ผมแค่ไม่อยากให้เรื่องมันลุกลามใหญ่โต ไม่อยากให้พวกพี่กับเพื่อนผมเดือดร้อนไปด้วย”
“ไม่ต้องห่วง กูจะทำให้เรื่องมันจบเร็วๆนี้แหละ”
“พี่จะทำยังไง”
ผมถามอย่างสงสัย ในเมื่อเรื่องที่หูท่านอธิการบดีแล้วจะแก้ไขยังไง
“ไปอาบน้ำไป จะพาไปกินข้าวบ้านยาย”
“ตอบผมก่อนว่าพี่จะทำยังไง”
“ต้าร์”
พี่ควินกดเสียงต่ำ ผมเม้มปากยอมลุกขึ้นแต่ยังไม่เดินออกไป
“สัญญากับผมได้ไหมว่าพวกพี่จะไม่โกหกผม ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม ไม่บอกผมก็ไม่เป็นไร แต่อย่าโกหก” ผมมองสบตาเขานิ่งอย่างรอฟังคำตอบ
“อืม”
พี่ควินตอบรับสั้นๆ ผมเลยเดินกลับเข้าห้องตัวเอง ตอนนี้พวกเขากำลังเครียด ผมไม่อยากขัดใจหรือทะเลาะกับพวกเขา ในเมื่อเขารับปากกับผมแล้ว ผมก็จะเชื่อ
จัดการกับตัวเองเสร็จเรียบร้อย ออกจากห้องมาก็เห็นพวกเขายืนคุยกันอยู่ในห้องนั่งเล่น พี่แซทหันมามองแล้วเดินมาโอบเอวผมพาออกจากห้อง พี่ควินเป็นคนขับรถ ตลอดทางพวกเขาก็เงียบเหมือนเคย ผมคอยมองพวกเขาเป็นระยะจนกระทั่งรถเลี้ยวเข้าบ้านคุณยาย ซึ่งท่านก็ออกมายืนรอต้อนรับพวกเราอยู่หน้าเทอร์เรส ผมลงจากรถปรับสีหน้าให้เป็นปกติ ส่งยิ้มให้ท่านที่ยิ้มกว้างอ้าแขนรอกอดผมอยู่
“สวัสดีครับคุณยาย” ผมยกมือไหว้แล้วสวมกอดท่าน
“ยายคิดถึงหนูต้าร์ที่สุดเลยลูก ป่ะ เข้าบ้าน วันนี้ยายสั่งให้แม่บ้านทำกับข้าวกับขนมไว้รอหนูเยอะเลย”
ท่านบอกแล้วจับมือผมจูงเข้าบ้าน พอผมนั่งลงบนโซฟาในห้องนั่งเล่นก็มีเด็กสาวเข้ามาเสิร์ฟของว่างทันทีราวกับรอจังหวะอยู่แล้ว ผมไม่ได้สนใจของว่างตรงหน้าแต่ชะเง้อมองหาพวกเขา ทำไมยังไม่เข้ามาอีก
“พวกพี่เขานั่งคุยกันอยู่ข้างนอก อย่าสนใจเลย ทานของว่างก่อน”
คุณยายบอกพลางดันแก้วน้ำหวานมาให้ ผมยิ้มแล้วยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม
“เรื่องเรียนเป็นยังไงบ้างลูก”
“ก็ดีครับ” ผมตอบเลี่ยงๆ “เอ่อ…ผมขอไปเข้าห้องน้ำนะครับ”
คุณยายพนักหน้า ผมเลยเดินออกจากห้อง แต่ไม่ได้ไปเข้าห้องน้ำ ผมเดินหาพวกเขา
“กินข้าวเสร็จก็บอกให้ยายชวนต้าร์อยู่คุยเล่นก่อน ค่อยออกไป”
“ต้าร์จะไม่สงสัยเหรอวะ”
“ไม่หรอก ก็บอกไปว่าออกไปทำธุระแป็ปเดียวเดี๋ยวกลับมารับ”
“เออ เอาตามที่มึงว่า”
ผมแอบฟังบทสนทนาของพวกเขาอยู่ข้างประตู สังหรณ์ใจไม่ดีว่าพวกเขาจะออกไปมีเรื่อง เตรียมแผนการนัดแนะกันแบบนี้คงไม่ใช่เรื่องดีแน่ พวกเขาต้องการกันผมออกไป แต่ผมไม่ยอมหรอก! เรื่องอะไรจะปล่อยให้พวกเขาออกไปมีเรื่องอีก เรื่องเก่ายังเคลียร์ไม่จบเลย ผมรีบเดินกลับไปหาคุณยาย สักพักพวกเขาก็ตามเข้ามา คุณยายชวนผมคุยเรื่องทั่วไป ผมก็คุยเล่นกับท่านจนถึงเวลาทานข้าวเย็น พวกเขาลุกออกไปก่อน ผมกับคุณยายเดินตามหลังไป ผมนั่งทานข้าวเงียบๆ พวกเขาเองก็เงียบ แต่ผมคอยสังเกตพวกเขาตลอด จนทานข้าวเสร็จพี่ควินก็พยุงคุณยายออกไป ผมมองตามจนลับสายตา
“ต้าร์”
“ครับ” ผมหันกลับมาขานครับ
“กูจะออกไปทำธุระ อยู่คุยเล่นกับยายไปก่อน เดี๋ยวมารับ”
“ครับ” ผมตอบรับอย่างว่าง่ายแล้วลุกขึ้นเดินออกจากห้องอาหาร
“หนูต้าร์ มานี่มา ยายมีของจะให้”
คุณยายกวักมือเรียกผม ท่านนั่งอยู่ในห้องรับแขกบนตักมีกล่องของขวัญอยู่ พี่ควินนั่งอยู่ข้างๆ พอผมเดินเข้าไปเขาก็เริ่มหาโอกาสปลีกตัว
“อยู่กับยายนะ เดี๋ยวมารับ”
ผมไม่ตอบอะไร แต่มองตามเขาเดินออกจากบ้านไปพร้อมพี่แซท
“ดูนี่สิลูก”
เสียงคุณยายเรียกทำให้ผมต้องหันไปหาท่าน ผมยิ้มแม้ในใจจะเต็มไปด้วยความกังวล พวกเขาจะไปไหน? จะไปทำอะไร?
“เอ่อ…เพื่อนโทรมา ขอตัวก่อนนะครับ”
ผมแสร้งบอกคุณยายแล้วเดินออกมา ทันได้เห็นรถของพวกเขาเลี้ยวออกไป ผมมองตามแล้วล้วงเอาโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงออกมาโทรหาพี่พอล เขาต้องรู้แน่ว่าเพื่อนตัวดีของเขาจะไปที่ไหน
“ฮัลโหล พี่พอล”
“ครับ ว่าไงครับน้องต้าร์ คิดไงเนี่ยถึงโทรหาพี่ ระวังพวกมันจับได้นะว่าแอบนอกใจ ฮ่าๆๆ”
พี่พอลก็ยังเฮฮาร่าเริงเหมือนเดิม แต่ตอนนี้ผมไม่มีเวลามาเล่นด้วย
“พี่พอลครับ คืนนี้พี่พอลมีนัดกับพวกเขาหรือเปล่า”
ปลายสายเงียบไปพักนึงก็ตอบกลับมา
“มีครับ ทำไมเหรอ น้องต้าร์มีเรื่องอะไรหรือเปล่า”
“เปล่าครับ ผมแค่เป็นห่วง พวกพี่นัดกินเหล้ากันเหมือนเดิมใช่ไหม”
“ครับผม นัดกันที่ผับเดิมนั่นแหละ น้องต้าร์ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก ถ้าพวกมันเมาแล้วหาเรื่องอีกแล้วพี่จะโทรตาม ฮ่าๆๆ”
ผมยิ้มที่ล้วงข้อมูลจากพี่พอลมาได้
“ครับ เอ่อ…พี่พอลอย่าบอกพวกเขานะครับว่าผมโทรหา ผมไม่อยากทะเลาะกับพวกเขาน่ะครับ งั้นแค่นี้นะครับ สวัสดีครับ”
ผมรีบตัดบทแล้วโทรหาเพื่อนสนิท งานนี้ต้องให้เฟียซมาช่วยผม!
ผมกลับเข้าไปนั่งคุยกับคุณยายต่อ ทำตัวเป็นปกติ คุณยายให้ของขวัญผม เป็นนาฬิกาสีขาวของBurberry ผมรับมาใส่โชว์ให้ท่านดูพอดีกับเสียงโทรศัพท์ดัง ผมขอตัวออกไปคุยข้างนอก เฟียซโทรมาบอกว่ามาถึงหน้าบ้านแล้ว ผมชะเง้อมองออกไปที่ประตูรั้วก็เห็นเฟียซยืนโบกมือให้อยู่ ผมยิ้ม โบกมือกลับไปบอกเขาว่าจะรีบออกไปหา
“คุณยายครับ พอดีเพื่อนผมมีปัญหา เขาอยากให้ผมช่วย ผมขออนุญาตออกไปช่วยเพื่อนนะครับ”
ผมจำใจต้องแต่งเรื่องขึ้นมาโกหกท่านเพื่อที่จะหาทางออกไปกับเฟียซ
“แล้วเพื่อนมีปัญหาอะไร แล้วต้าร์จะไปยังไง ตอนนี้เพื่อนอยู่ที่ไหน” คุณยายถามกลับมาเป็นชุด
“น้องเขาหายไปน่ะครับ เลยให้ผมช่วยไปตามหาเป็นเพื่อน ตอนนี้เขาอยู่หน้าบ้านแล้วครับ”
ท่านเงียบไป ครุ่นคิดอยู่ครูนึงก็ถามกลับ
“แล้วต้าร์โทรบอกพวกพี่เขาหรือยัง”
“เรียบร้อยครับ พวกเขาก็รู้จักเพื่อนผมดี”
ผมโกหกอีก คุณยายวางสีหน้าลำบากใจแต่ผมก็รบเร้าท่านต่อ
“ให้ผมไปนะครับ ผมโทรบอกพวกเขาแล้ว พวกเขาไม่ว่าอะไร อนุญาตให้ผมไป แต่บอกให้ผมขอคุณยายก่อน”
ผมโยงเรื่องไปมั่วเร่งให้ท่านตัดสินใจ จนท่านถอนหายใจแล้วพยักหน้า
“ขอบคุณนะครับ”
ผมยกมือไหว้ขอบคุณท่านแล้วรีบเดินออกไป เฟียซสตาร์ทรถรออยู่ก่อนแล้ว พอผมเดินมาถึงเขาก็ยื่นหมวกกันน็อคให้
“ขอบคุณนะเฟียซ” ผมรับหมวกมาสวม
“ไม่เป็นไร ดีที่บ้านเถ้าแก่กูอยู่ซอยนี้”
“นั้นสิ บังเอิญจริงๆ”
“เออ รีบขึ้นรถเร็วๆ แล้วตอนนี้พวกมันอยู่ที่ไหน”
“ผับ ต้าร์สังหรณ์ใจว่าพวกเขาต้องออกไปมีเรื่องกับไอ้บ้าธัญญ์แน่ๆ”
“ไม่ต้องสังหรณ์หรอก กูว่าชัวร์”
เฟียซตอบสวนมาทำเอาผมกังวลหนักกว่าเดิม
“ภาวนาให้พวกเราไปถึงผับก่อนที่พวกมันจะออกไปก็แล้วกัน”
เฟียซบอกตบท้ายก่อนเร่งเครื่องยนต์ ผมกอดเอวเพื่อนไว้แน่นเมื่อความเร็วเพิ่มระดับขึ้นเรื่อยๆ ขอร้องหละ ขอให้ผมไปทันด้วยเถอะ!
เรามาถึงผับแล้ว เฟียซขับรถวนหาที่จอด ผมก็สอดส่ายสายตามองหารถของพวกเขาไปด้วย จนรถจอดสนิท ผมลงจากรถโดยไม่ได้ถอดหมวกออก
“เฟียซ ช่วยมองหารถBMWสีขาวหน่อย ทะเบียน…”
ผมชะงักเพราะสายตามองไปเห็นรถที่ว่าอยู่เยื้องไปทางซ้ายมือ
“เจอแล้วเฟียซ รถของพวกเขา นั่นไง คันนั้น” ผมบอกพลางชี้มือให้เพื่อนดู
“เออ กูเห็นแล้ว ต้าร์ หลบเร็ว”
เฟียซว่าแล้วกดหัวผมลงพลางดึงแขนให้หลบอยู่หลังต้นเสา เสียงเดินกับเสียงคุยกันดังใกล้เข้ามา ผมเม้มปากแน่น เฟียซเองก็เงียบกริบ เสียงสตาร์ทรถดังตามมาให้ได้ยิน ผมเกร็งตัวรับรู้ได้ว่ารถแล่นออกไปแล้วถึงได้ระบายลมหายใจออกมาแรงๆ เฟียซถอยหลังแล้วดึงผมออกไปด้วย
“พวกมันไปแล้ว”
“รีบตามไปสิ เร็ว”
“เออ มึงก็รีบขึ้นรถดิ”
เฟียซว่า ผมเลยรีบกระโจนขึ้นเบาะหลังทันที
“อย่าให้พวกเขารู้นะว่าเราสะกดรอยตาม” ผมตะโกนบอกเพื่อนแข่งกับเสียงลมพัด
“เออ กูรู้น่า”
เฟียซขับรถเร็วแต่ก็ยังรักษาระยะห่างไม่ให้พวกเขาจับได้ ผมจ้องรถของพวกเขาไม่ให้คลาดสายตา พวกเขาจะไปไหนกันแน่ ขออย่าให้เป็นอย่างที่ผมคิดเลย
“เลี้ยวแล้ว”
ผมบอกเฟียซเมื่อรถของพวกเขาเลี้ยวเข้าซอยข้างหน้า เฟียซชะลอความเร็ว ขับตามไปโดยทิ้งระยะห่างมากกว่าเดิม แต่ผมก็ยังเห็นรถของพวกเขาอยู่ รอบข้างไม่มีเสาไฟเลย มันมืดและเปลี่ยวจนผมรู้สึกกลัว แต่พอขับเข้าซอยมาลึกผมก็เห็นว่ามีสนามอยู่ทางขวามือ มันคล้ายสนามแข็งรถที่ผมเห็นในรายการทีวี ขนาดใหญ่พอสมควร มีไฟสปอร์ตไลท์ส่องสว่างทั่วสนาม และยังมีกลุ่มคนจำนวนนึงจอดรถอยู่ในสนามด้วย
“เอาไงต่อวะ พวกมันขับเข้าไปแล้ว”
เฟียซจอดรถห่างจากทางเข้าสนามพอสมควร ผมคิดอยู่ครู่นึงก็ตัดสินใจลงจากรถ ถอดหมวกกันน็อคออก
“เราต้องเดินเข้าไปแล้วล่ะ”
ผมว่า เฟียซก็พยักหน้าเห็นด้วย แต่ก่อนจะแอบเข้าไปเฟียซก็เข็นรถไปซ่อนไว้ข้างหลังพุ่มไม้ใหญ่ที่บังรถไว้ได้ทั้งคัน เฟียซเดินนำหน้าผม เขาระวังตัวและส่งสัญญาณให้ผมทำตาม ทั้งเดินย่องบ้าง วิ่งบ้าง เราลัดเลาะไปตามสนามผ่านทางแนวรั้วของพุ่มไม้ ผมเดาว่าสนามแข่งรถที่นี่อาจจะเป็นสนามเถื่อน เพราะมันตั้งอยู่ในซอยเปลี่ยวแถมยังลึกด้วย คงไม่มีใครใช้เส้นทางเปลี่ยวๆแบบนี้สัญจรกันหรอก
“นั่นไง รถพวกมัน แต่ไม่เห็นคนว่ะ”
เฟียซชี้ให้ผมดู ผมเพ่งมองก็เห็นตามที่เพื่อนบอก
“มีตึกอยู่ด้วย พวกเขาอาจอยู่ในตึกก็ได้”
ผมบอกพลางมองไปทั่วบริเวณ ตึกที่ว่าอยู่ข้างหลังสนามมีสองชั้นสี่คูหาทาสีขาวทั้งตึกและเปิดไฟสว่าง ข้างหน้าตึกมีต้นสนสูงเรียงกันตลอดแนวบังตึกไว้ รถของพวกเขาจอดอยู่หน้าตึก แต่บริเวณนั้นไม่มีคนเลย
“เอาไงต่อ จะเข้าไปดูในตึกไหม”
“ไม่ รอดูก่อนดีกว่า ขืนเข้าไป มีความเสี่ยงโดนจับได้สูง”
“แล้วแต่มึง”
เฟียซตามใจผม เราซุ่มดูอยู่จากฝั่งรั้วสนาม ไกลจากบริเวณตึกแต่ก็ยังมองเห็นรอบๆบริเวณ
“เฮ้ย มีรถมา”
เฟียซสะกิดบอก ผมรีบก้มหัวต่ำซุกตัวเข้าพุ่มไม้ทันที จนรถขับผ่านไปผมถึงได้เงยหน้าขึ้นมอง รถที่ว่านั้นสีขาวแต่ยี่ห้ออะไรไม่รู้ ผมมองตามจนรถคันนั้นจอดอยู่หน้าตึกหลังรถของพวกเขา
“ไอ้เหี้ยธัญญ์!”
เฟียซร้องขึ้นมา ผมรีบตะครุบปากเพื่อนทันทีด้วยกลัวว่าใครจะผ่านมาได้ยิน ผมเองก็ตกใจที่เห็นว่าใครลงมาจากรถคันนั้นแต่ก็ต้องตั้งสติ เป็นอย่างที่ผมคิดจริงๆด้วย พวกเขานัดเจอกับธัญญ์!
“เบาๆสิ เดี๋ยวก็ถูกจับได้หรอก”
ผมว่าเฟียซ เจ้าตัวย่นคิ้วแล้วจับมือผมออก
“โทษๆ กูลืมตัวไปหน่อย แล้วจะเอายังไงต่อ ไอ้ตัวเหี้ยมันมาแล้ว กูว่ามีเปิดศึกกันแน่”
ผมคิดหนัก จะทำยังไงดี ผมไม่อยากให้พวกเขามีเรื่องเจ็บตัวอีก แค่เรื่องต่อยตีกันที่โรงยิมวันนั้นหน้าพวกเขายังไม่หายดีเลย ผมต้องห้ามไม่ให้พวกเขามีเรื่องกัน ทางออกที่ดีที่สุดคือการพูดคุยโดยสันติวิธี แต่เป็นไปได้ยากมากผมรู้ดี แต่จะให้ยังไงล่ะ ผมคิดไม่ออกแล้ว
“กูว่าตอนนี้เรารีบตามไปดูก่อนดีกว่า”
เฟียซเสนอ ผมพยักหน้าเห็นด้วย เราค่อยๆลัดเลาะไปตามรั้วอย่างระแวดระวังจนมาถึงข้างตึก ดีที่ไม่มีคนอยู่บริเวณนี้พวกผมเลยซ่อนตัวได้สบาย
“ไอ้ธัญญ์มันเดินอ้อมไปข้างหลัง”
เฟียซว่า ผมสูดหายใจลึกแล้วค่อยๆผ่อนออกมาช้าๆก่อนตัดสินใจ
“ป่ะ ไปดูให้รู้ว่าพวกเขาจะทำอะไร”
ผมบอก จากนั้นเฟียซก็นำทางพาผมเดินอ้อมไปด้านหลังตึก บรรยากาศวังเวงและมืดสลัวทำให้ผมต้องจับชายเสื้อเฟียซไว้แน่น
“ไม่ต้องกลัว กูเห็นพวกมันแล้ว”
เฟียซบอกแล้วฉุดให้ผมนั่งลงข้างๆกองยางรถยนต์ที่ทับถมกันเป็นตั้งสูง
“พวกมันอยู่ตรงนั้น”
เฟียซชี้บอกตำแหน่ง ผมมองตาม เห็นร่างสูงของพี่แซทยืนอยู่ในสนามคอนกรีตคล้ายกับสนามบาส ซึ่งข้างหลังมีเสาไฟส่องอยู่ ผมขยับตัวพยายามเพ่งมองให้เห็นชัดๆ จากพิกัดที่ผมกับเฟียซซุ่มดูอยู่ตรงนี้ไม่ห่างจากสนามนั้นนัก ยังดีที่ไฟมีอยู่แค่ดวงเดียว มันเลยส่องสว่างได้แค่บริเวณสนาม ไม่เลยมาถึงบริเวณที่พวกผมอยู่
“กูเห็นไอ้ธัญญ์แล้ว มึงเห็นไหม มันยืนจ้องหน้าไอ้แซทอยู่ แล้วไอ้ควินไปไหนวะ”
เฟียซบรรยายให้ผมฟัง ผมจิ๊ปากอย่างขัดใจที่ไม่เห็นอย่างที่เฟียซบอก
“ขยับไปอีกได้ไหม ต้าร์มองไม่เห็น”
ผมบอกแล้วดันให้เฟียซขยับ เจ้าตัวก็ทำตามขยับไปอยู่อีกด้าน ผมขยับตามมองไปที่สนามก็ได้เห็นธัญญ์ตัวเป็นๆยืนเผชิญหน้ากับพี่แซทอยู่ ผมชะเง้อมองหาอีกคน พี่ควินหายไปไหน?
“โดนพวกกูยำตีนไปคราวก่อน มึงยังไม่เข็ดใช่ไหม”
ผมมองหาเจ้าของเสียงเข้มดุ แล้วร่างสูงของพี่ควินก็เดินออกมาให้เห็น เขาเดินมาหยุดอยู่ข้างๆที่แซท แต่ที่ทำให้ผมตาโตคือสิ่งที่อยู่ในมือเขา ไม้หน้าสาม!
“ถ้ากูเข็ดแล้วจะกล้าโผล่หัวมาเจอพวกมึงเหรอ”
ธัญญ์สวนกลับเสียงเรียบ ผมเม้มปากแน่นกับสถานการณ์ตรงหน้า เฟียซเองก็เงียบตั้งใจฟัง
“ลาออกซะ ไสหัวมึงออกไป!”
พี่แซทตวาดไล่จนผมสะดุ้ง เฟียซตบบ่าผมเบาๆอย่างปลอบให้ผมมีสติ
“มึงมีสิทธิ์อะไรมาสั่งกู”
ธัญญ์สวนกลับอย่างยียวน เขากำลังยั่วให้พี่แซทโมโห แล้วคนอย่างที่แซทก็ยั่วโมโหขึ้นง่ายๆด้วย ผมรู้ดี
“สิทธิ์ของพ่อมึงไง ไอ้สัด!”
พี่แซทถลาจะเข้าไปซัดธัญญ์แต่ถูกพี่ควินดึงแขนไว้ คนกำลังอารมณ์เดือดหันมามองเพื่อนตาดุแสดงความไม่พอใจ แต่พี่ควินก็เงียบส่ายหน้าแทนคำตอบ พี่แซทเลยเดินกลับมายืนอยู่ที่เดิม เขาเสยผมขึ้นอย่างหงุดหงิด
“อยากให้พ่อกับแม่มึงตกงานนักใช่ไหม กูจะได้จัดการให้”
พี่ควินข่มขู่ และผมเชื่อว่าเขาทำจริงแน่ถ้าธัญญ์ไม่ยอมอ่อนข้อให้
“น้ำหน้าอย่างพวกมึงก็ดีแต่ใช้อำนาจพ่อมาข่มคนอื่น ถุย!”
ธัญญ์ต่อว่าเสียงเยาะแล้วถ่มน้ำลาย และนั้นเป็นการกระทำที่ผิดพลาดเพราะพี่ควินฟาดไม้หน้าสามในมือใส่ทันที ผมอ้าปากค้างเมื่อธัญญ์หลบ…แต่ไม่พ้น แขนข้างซ้ายของเขาถูกสันไม้ฟาดใส่เต็มๆ แต่ถึงอย่างนั้นเจ้าตัวก็ยังทน ไม่ทรุดลงอย่างที่คาด
“อย่าปากกล้าให้มันมาก กูไม่ได้ทนให้มึงมาเห่าใส่”
พี่ควินเค้นเสียง เขาชี้ไม้หน้าสามในมือไปที่หน้าธัญญ์
“มึงจะลาออกไปดีดี หรือจะให้กูถีบมึงออกไป!”
พี่แซทตะโกนบอก ธัญญ์หัวเราะ ผมมองเขาอย่างไม่เข้าใจ บ้าไปแล้วหรือไง ไม่กลัวตายเหรอ!
“กูไม่ออก ใครหน้าไหนก็ไม่มีสิทธิ์มาไล่กูออก”
พี่แซททนไม่ไหว เขาเดินเข้าไปกระชากคอเสื้อธัญญ์ พี่ควินไม่คิดห้ามเพื่อนแล้วตอนนี้ เขาปล่อยให้พี่แซททำตามใจ ผมมองดูเหตุการณ์ด้วยความกลัวและกังวล
“ไอ้ธัญญ์แม่งดื้อด้านว่ะ เจอแบบนี้แล้วยังไม่ถอยอีก เป็นคนอื่นกูว่าเพ่นตั้งแต่ไอ้แซทตะคอกใส่แล้ว”
เฟียซพูดขึ้น ผมส่ายหน้าอย่างหงุดหงิดที่คิดหาทางออกไม่ได้ จะทำยังไงดี จะทำยังไงดี
“เลิกยุ่งกับคนของกูแล้วไสหัวออกไป จะไปตายที่ไหนก็ไป!”
พี่แซทตะคอกใส่ แต่ธัญญ์กลับยิ้มเยาะ เขายกมือขึ้นมาผลักพี่แซทเต็มแรงจนมือที่จับกระชากคอเสื้ออยู่หลุดออก พี่แซทตาขวาง เขาโกรธจนกู่ไม่กลับแล้ว ผมสัมผัสได้ ตายแน่!
“แซท กูเอง”
พี่ควินพูดแทรกขึ้น เขากันพี่แซทออกไป วินาทีนี้ผมนั่งไม่ติดแล้ว ผมยืนขึ้นจะก้าวขาออกไปแต่เฟียซดึงผมไว้
“มึงจะบ้าเหรอต้าร์ มีสติหน่อยสิวะ”
เฟียซเตือนผมเสียงเข้ม เขาดึงผมไว้สุดแรง ผมหายใจแรงพยักหน้าช้าๆ เฟียซเลยยอมปล่อยมือ
“บอกดีดีไม่ชอบ เดี๋ยวกูสงเคราะห์ให้!”
พี่ควินเงื้อไม้ในมือขึ้นสูง ผมหลับตาแน่น ในใจเต้นตุบๆด้วยความกลัว แต่เสียงที่ว่าสวนอย่างไม่กลัวตายทำให้ผมลืมตาโพล่งตัวชาวาบ
“มึงถนัดเรื่องฆ่าคนอยู่แล้วนี่ ฆ่ากูอีกสักคนจะเป็นไรไป”
“พูดเหี้ยอะไร มึงพูดเรื่องเหี้ยอะไร!”
พี่ควินตวาด ผมสะดุ้งเฮือก จ้องเขาทุกการเคลื่อนไหว เมื่อกี๊นี่ธัญญ์พูดอะไร เขารู้อะไรที่ผมยังไม่รู้ เขาไปรู้อะไรมา!
“กูจัดการมันเอง ควิน มึงถอยไป”
พี่แซทเข้ามาดึงพี่ควินออกพร้อมกับดึงไม้ในมือเขามาด้วย
“กูจะทำให้มึงจำไปจนวันตายว่าอย่ามาปากดีใส่กู!”
ยังไม่ทันที่พี่แซทจะฟาดไม้ใส่ธัญญ์ เจ้าตัวก็โพล่งคำพูดที่ทำให้ผมแทบล้มทั้งยืน
“อยากเป็นฆาตกรตามเพื่อนมึงก็เอาเลย เพื่อนมึงฆ่าไปแล้วคนนึง มึงก็ฆ่ากูตามไปอีกคน ดี...พวกมึงจะได้มือเปื้อนเลือดกันให้หมด เอาเลย! ฆ่ากูเลย!!”
ผมมองพี่แซทที่ชะงักไป เขาลดมือลงมองธัญญ์นิ่งงัน ผมมองเลยไปที่พี่ควินที่ถูกกล่าวหา เขาเองก็ยืนนิ่งแต่มือกำแน่นจนสั่น นี่มันเรื่องอะไรกัน ที่ธัญญ์พูดมันหมายความว่ายังไง!
“มึงรู้เหรอ ไม่มีทาง!”
พี่แซทตะคอกใส่ เขากำอาวุธในมือแน่น ผมส่ายหน้าอย่างไม่เข้าใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้า ราวกับตอนนี้ผมกำลังยืนอยู่คนเดียวท่ามกลางความมืดและหาทางออกไม่เจอ ผมกำลังจะหันไปหาเฟียซ แต่เสียงของธัญญ์ทำให้ผมตาค้าง
"พวกมึงคิดเหรอว่าไม่มีใครรู้ วันนั้นกูเห็นกับตาว่าไอ้ควินถือมีดแทงไอ้ฮาร์ฟ!"
ผมทรุดอยู่ข้างกำแพงตึก ยกมือที่กำลังสั่นปิดปากไว้แน่น ไม่จริงใช่ไหม ที่ผมได้ยินเมื่อกี๊มันไม่ใช่เรื่องจริงใช่ไหม!
"ฆ่าคนตาย แต่มึงยังรอดมาถึงทุกวันนี้ กูรู้ กูเห็นทุกอย่าง ไอ้ฆาตกร! มึงฆ่าเพื่อนกู!!!"
เสียงตะโกนของธัญญ์ดังก้อง มันสะท้อนอยู่ในหัวผมซ้ำไปซ้ำมา
'ฆาตกร'
"ถ้าไม่อยากตายตามเพื่อนมึงไปก็เลิกยุ่งกับเมียกู!"
เสียงพี่ควิน ผมหลับตา นึกถึงรอยยิ้มและอ้อมกอดอบอุ่นของเขา ไหนบอกว่าจะไม่โกหกกันไง แล้วที่ผมได้ยินวันนี้มันคืออะไร?
"คิดว่าฆ่ากูได้ง่ายๆก็ลองดู กูไม่กลัวพวกมึงหรอก กูจะทำให้พวกมึงเจ็บ เหมือนที่เพื่อนกูเจ็บ กูจะทำให้พวกมึงทรมานเหมือนตายทั้งเป็น!"
“ไม่จริงใช่ไหม! บอกผมสิว่ามันไม่ใช่เรื่องจริง!!!”
ผมตะโกนดังลั่น ไม่ทันแล้ว เฟียซห้ามผมไม่ทันแล้ว ตอนนี้พวกเขาหันมาทางผมแล้ว และผมก็เดินออกจากที่มืด ที่ซ่อนตัวอยู่ ผมเดินออกมาหาแสงสว่าง เดินออกมาเผชิญหน้ากับพวกเขา
“ต้าร์ มาได้ยังไง”
พี่แซทถามเสียงเบา เขาทิ้งอาวุธในมือแล้วส่ายหน้า
“ผมจะมาได้ยังไงไม่สำคัญหรอก ที่สำคัญคือสิ่งที่ผมได้ยินมันคืออะไร ความจริงมันเป็นยังไง ผมอยากรู้แค่นี้!”
ผมตะโกนจนตัวสั่นเทิ้ม หันไปจ้องพี่ควินที่ยืนนิ่งเหมือนหุ่น นัยน์ตาคมกำลังสั่นไหวไม่ต่างจากผม
“ตอบมาสิ ตอบผมมา!” ผมเดินเข้าไปหาพี่ควิน หยุดอยู่ตรงหน้าเขาแล้วเขย่าอย่างบ้าคลั่ง
“ตอบผมสิ พูดออกมาสิ พี่เงียบทำไม ทำไมไม่พูด”
ผมร้องถามเหมือนคนบ้า ควบคุมตัวเองไม่อยู่ พี่ควินไม่พูดอะไรเลย เขาเอาแต่ยืนนิ่งเงียบ
“ต้าร์ กลับบ้าน กลับบ้านเดี๋ยวนี้”
พี่แซทเข้ามาดึงผมออก แต่ผมก็สะบัดตัวจนหลุด
“อย่ามาแตะผมนะ ถ้าไม่คิดจะบอกความจริงก็อย่ามาเข้าใกล้ผม”
ผมบอกเสียงแข็ง หันไปมองพี่ควินที่ยังไม่ยอมปริปาก เขามองผมนิ่ง ดวงตาแดงก่ำกำลังสั่นไหว ผมส่ายหน้าอย่างผิดหวัง นึกถึงคำตอบรับที่ผมขอให้เขาสัญญาว่าจะไม่โกหกกัน
“พวกพี่เห็นผมเป็นอะไร สัตว์หรือสิ่งของ ผมเป็นอะไรในสายตาของพวกพี่ ห๊ะ! พวกพี่เห็นผมเป็นตัวอะไร!!”
“กรรมกำลังตามสนองพวกมึงแล้ว ฮ่าๆๆๆ สมน้ำหน้า! สะใจจริงโว้ย!!!”
เสียงธัญญ์ตะโกนก้อง แต่ผมไม่สนใจ พวกเขาเองก็ไม่ได้หันไปมองเช่นกัน ได้ยินเสียงเดินลากเท้าออกไป คงเป็นธัญญ์ที่ทิ้งระเบิดเอาไว้แล้วหนีไปตามเคย
“ไอ้เฟียซ! มึงพาต้าร์มาเหรอ มึงพาต้าร์มาทำไม!!”
พี่แซทหันไปเล่นงานเฟียซ ผมตวัดสายตามองเขาอย่างไม่พอใจ
“อย่ามาว่าเพื่อนผม” ผมกดเสียงต่ำมองเขาตาขวาง
“ทำไม มึงจะปกป้องมันทำไม!”
“ทำไมผมจะปกป้องไม่ได้ ในเมื่อเฟียซเป็นเพื่อนรักของผม เขาไม่เป็นคนที่จริงใจและหวังดีกับผมที่สุด เขาพูดความจริงกับผมเสมอ! ไม่เหมือนพวกพี่ มีเรื่องอะไรที่ผมยังไม่รู้บ้าง พวกพี่ปิดบังอะไรผมอยู่!”
“มึงไม่ต้องย้ำหรอกว่าพวกกูเป็นคนอื่นสำหรับมึง”
พี่ควินพูดเสียงเรียบแต่เสียดแทงหัวใจผมเต็มๆ หมายความว่ายังไง? ผมยังไม่ได้พูดสักคำเลยนะว่าพวกเขาเป็นคนอื่น ผมแค่ถามหาความจริง!
“คำพูดกูจะมีความหมายอะไร ในเมื่อมึงไม่เคยเห็นว่ากูสำคัญ”
“พี่ควิน” ผมเรียกเขาเสียงแผ่ว
“ความรักของกูไม่เคยอยู่ในสายตามึงอยู่แล้วนี่ ช่างมันเถอะ กูชินแล้ว กูผิดตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว”
“หยุดนะ หยุดพูดเดี๋ยวนี้!” ผมตะโกนใส่หน้าเขา
“ความจริงที่มึงอยากรู้ มันจะทำให้มึงเกลียดกูมากกว่าเดิม”
พี่ควินพูดทิ้งท้าย เขามองตาผมแล้วเดินผ่านไป ผมกำมือแน่นหันกลับไปมอง ตะโกนสุดเสียง
“ผมเกลียด! ผมเกลียดพี่!! ผมเกลียดพวกพี่จริงๆ!!!”
“ต้าร์! ต้าร์!!!”
------------------------------------------------------------
กลิ่นมาม่ารสต้มยำลอยอบอวล
บอกแล้วว่าน้องธัญญ์มันแซ่บ
ขอบคุณสำหรับคอมเม้นท์และการติดตามนะคะ