HEARTBREAKER
58
“ต้าร์ฟื้นแล้ว! ลุงหมอ ต้าร์ฟื้นแล้วครับ”
เสียงคุ้นเคยคล้ายดังอยู่ใกล้ๆ พอลืมตาสิ่งแรกที่เห็นก็คือพวกเขาสองคน มองไปรอบตัวก็พบว่าตัวเองนอนอยู่ในห้องที่คอนโด ผมขยับตัว พวกเขาก็รีบเข้ามาประคอง พอหันไปมองนาฬิกาก็ต้องเบิกตากว้างอย่างตกใจกับเวลา นี่ผมนอนหลับไปกี่ชั่วโมงเนี่ย ตื่นมาอีกทีก็กลายเป็นเช้าวันใหม่แล้ว
“เป็นไงบ้างต้าร์”
เสียงทุ้มของลุงหมอ ท่านเดินเข้ามาในห้องพลางส่งยิ้มอบอุ่นให้ผมก่อนจะลากเก้าอี้มานั่งข้างเตียงแล้วจับข้อมือผมตรวจดูอาการ
“ไม่เป็นไรครับ เอ่อ…แล้วผมเป็นอะไรไปเหรอครับ” ผมถามด้วยความสงสัย ก้มมองตัวเองก็พบว่าอยู่ในชุดนอนที่ใส่ประจำ
คงเป็นพวกเขาที่เปลี่ยนให้ผม
“ต้าร์หมดสติไป ลุงตรวจดูอาการแล้ว ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ ไม่ได้เป็นอะไรร้ายแรงหรอก ไม่ต้องกังวล”
ผมพยักหน้ารับรู้ หันไปมองพวกเขาที่จ้องผมไม่วางตาก็ได้แต่ถอนหายใจ
“พักผ่อนมากๆ ลุงจ่ายยากับวิตามินให้แล้ว ควินกับแซทก็ดูแลน้องดีดี”
พวกเขาพยักหน้ารับ ลุงหมอทำท่าจะลุกออกไป ผมคว้ามือท่านไว้ ส่งสายตาขอร้องให้ท่านอยู่ต่อ
“ผมมีเรื่องจะคุยด้วย อยู่คุยกับผมก่อนได้ไหมครับ”
ลุงหมอหันไปมองหน้าพวกเขาแวบนึงก็หันมายิ้มให้ผม
“ได้สิ”
“ออกไปก่อนได้ไหมครับ” ผมพูดขึ้นโดยไม่ได้มองหน้าพวกเขา หลังจากนั้นพวกเขาก็ยอมออกจากห้องไปโดยดี
“มีเรื่องอะไรจะคุยกับลุงเหรอ”
ลุงหมอถามขึ้น ผมละมือออก ยิ้มให้ท่าน
“เรื่องพี่ควินน่ะครับ”
“มันรังแกอะไรต้าร์อีก”
ผมยิ้มแล้วส่ายหน้า
“เขาไม่ได้รังแกอะไรผมหรอกครับ มีเรื่องนึงที่ผมยังไม่รู้ และเขาก็ไม่บอก”
“เรื่องอะไร”
ผมมองหน้าลุงหมอ ใจนึงก็ไม่อยากเอาเรื่องกลุ้มใจของตัวเองทำให้ท่านลำบากใจหรือหนักใจตามไปด้วย แต่อีกใจผมก็อยากรู้ความจริง ถ้าจะให้ถามจากพี่ควินก็เกรงว่าเจ้าตัวจะปิดปากเงียบเหมือนเคย
“มีคนกล่าวหาว่าพี่ควินเป็นฆาตกร เขาบอกว่าพี่ควินฆ่าเพื่อนเขา แต่ที่ผมรู้คือเขาคนนั้นตายไปเพราะอุบัติเหตุรถคว่ำ ลุงหมอรู้ใช่ไหมครับว่าผมหมายถึงใคร”
ผมมองหน้าท่าน ท่านเองก็มองหน้าผม รอยยิ้มเศร้าผุดขึ้น อาการแบบนี้แสดงว่าท่านต้องรู้ความจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้แน่
“มันเป็นตราบาปติดตัวควินไปตลอดชีวิต เพราะการกระทำที่ขาดการยั้งคิดและไร้สติ”
ลุงหมอเกริ่นขึ้นด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ ผมพยายามนิ่งและตั้งใจฟัง แม้ในใจจะเต้นรัวเพราะหวาดกลัวกับความจริง
“ลุงไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์วันนั้น แต่ควินสารภาพกับลุงเองว่าเขาถือมีดแทงฮาร์ฟกับมือ”
ผมหลับตาแน่นกำมือจนสั่น สิ่งที่ผมรับรู้กับความจริงจากปากของลุงหมอมันต่างกันสิ้นเชิง
“ลุงรู้ว่าหลานทั้งสองคนไม่ถูกกัน จะบอกว่าเกลียดขี้หน้ากันก็ได้ แต่ลุงก็ไม่คิดว่าความเกลียดจะทำให้ถึงขั้นฆ่ากัน พ่อเขารักลูก ถึงรู้ว่าลูกผิดแต่ก็ปกป้อง ไม่ยอมแจ้งความ ไม่ยอมส่งลูกให้ตำรวจ ไม่ยอมให้ลูกติดคุก ลุงเองก็มีส่วนผิด เพราะลุงไม่ได้คัดด้านที่พ่อควินทำแบบนั้น ฮาร์ฟก็เป็นหลานลุงคนนึง ลุงก็รักเขา ชีวิตเขามีค่าไม่ต่างจากควิน แต่เรื่องมันผ่านไปแล้ว ย้อนกลับไปแก้ไขไม่ได้ ชีวิตคนที่ยังอยู่ก็ต้องดำเนินต่อไป”
ผมกัดฟันลืมตาขึ้นมอง ลุงหมอยิ้มเศร้า ถอนหายใจ ท่านยื่นมือออกมาวางบนศีรษะผมลูบเบาๆ
“ที่ควินไม่ได้บอกความจริงคงเพราะกลัวว่าต้าร์จะเกลียดมันมากกกว่าเดิม แต่เชื่อลุงเถอะ ควินมันไม่ได้มีความสุขกับสิ่งที่ทำลงไปหรอก ฆ่าน้องตัวเองกับมือ ถึงจะเกลียดกันขนาดไหน มันก็เสียใจ คนปากหนักอย่างนั้น ต่อให้รู้สึกผิดหรือเจ็บปวดแค่ไหนก็ไม่ปริปากพูดออกมาหรอก ดูที่มันทำกับพ่อตัวเองสิ”
คำพูดลุงหมอทำให้ผมรู้สึกผิดขึ้นมาทันที ผมตะโกนบอกว่าเกลียดเขา ความรู้สึกของคนฟังจะเป็นยังไง
“หลานลุงไม่ใช่คนดี ต้าร์ก็พิสูจน์ด้วยตัวเองแล้ว ต่อจากนี้ก็แล้วแต่ต้าร์ตัดสินใจ ตั้งสติไตร่ตรองให้ดี ถ้าต้าร์ต้องการจะไป ลุงจะช่วย”
ผมยิ้มกับความเมตตาของลุงหมอ ท่านใจดีและเอ็นดูผมเสมอมา
“ขอบคุณนะครับที่บอกความจริงกับผม”
“ไม่เป็นไร ยังไงซะวันนึงความจริงมันก็ต้องปรากฏ ต่อให้มีเงินเยอะแค่ไหนก็ปิดปากคนทั้งโลกไม่ได้ แล้วคนที่รู้เรื่องนี้เขาเป็นใครล่ะ พวกอริไอ้ควินมันล่ะสิ”
ลุงหมอส่ายหน้าอย่างระอา ท่านคงเหนื่อยใจกับพฤติกรรมของหลานชาย
“ลุงหมอก็รู้จักเขาครับ ธัญญ์ คนไข้ที่ลุงหมอดูแลนั้นแหละครับ”
“เวรกรรมจริงๆ เฮ้อ…”
ผมพลอยถอนหายใจยาวตามลุงหมอไปด้วย ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่เรื่องวุ่นวายนี้จะจบซะที
“ต้าร์เลิกคิดเรื่องที่ทำให้ปวดหัวเถอะ ตอนนี้ต้องผักผ่อนมากๆ ดูแลตัวเองดีดี สุขภาพสำคัญที่สุด”
“ครับ” ผมรับคำ ยิ้มให้ลุงหมอวางใจ
“งั้นลุงไปก่อนก่อนนะ มีปัญหาอะไรก็โทรบอกลุงได้ตลอด ไม่ต้องเกรงใจ”
“ขอบคุณลุงหมอมากนะครับ”
ผมยกมือไหว้ลุงหมอก่อนท่านจะลุกเดินออกจากห้องไป สักพักพวกเขาก็เข้ามาในห้อง มานั่งขนาบสองข้างเตียงโดยไม่พูดอะไร
“ผมขอโทษ” พวกเขาขมวดคิ้วมองหน้าผม พี่แซทถึงขั้นเอาหลังมือมาทาบหน้าผากคล้ายจะวัดไข้ให้ ส่วนพี่ควินนั่งนิ่งแต่ตาจ้องผมเขม็ง
“ผมผิดที่ตะโกนใส่พวกพี่ไปแบบนั้น ขอโทษนะครับ ตอนนั้นผมขาดสติ”
“งั้นมึงก็ไม่ได้เกลียดกูจริงๆใช่ไหม”
พี่แซทถามชิดใบหน้า ผมยิ้มแล้วยกมือประคองหน้าเขาไว้
“ไม่ครับ”
“จริงๆนะ มึงอย่าหลอกให้กูดีใจแล้วมาเหยียบหัวใจกูทีหลังนะ”
ผมหลุดขำ พักหลังมานี่พี่แซทพูดเยอะขึ้นแถมยังกวนจนผมตามไม่ทัน
“จริงสิครับ ก็ตอนนั้นผมโกรธนี่นา แต่ตอนนี้หายแล้ว”
ผมยิ้ม ผละมือออกแต่พี่แซทรวบตัวผมไว้ เขาซุกหน้ากับซอกคอผมพูดเสียงอู้อี้
“มึงชอบปั่นหัวกู ทำให้กูเป็นบ้า กูจะคลั่งตายก็เพราะมึงนั่นแหละ”
“มาโทษผมได้ยังไง พวกพี่นั่นแหละปั่นหัวผม ชอบหาเรื่องมาให้ผมปวดหัวอยู่เรื่อย”
ผมว่าแล้วดันตัวเขาออกซึ่งเขาก็ยอมถอยโดยดี ผมหันไปมองคนที่ยังนั่งนิ่งจ้องผมอยู่ เขาไม่พูดอะไรสักคำตั้งแต่เข้ามา
“พี่ควินยังโกรธผมอยู่เหรอครับ ทำไมไม่พูดอะไรเลย”
“จะให้กูพูดอะไร”
ผมยิ้ม ในที่สุดเขาก็ยอมเปิดปาก ผมเขยิบเข้าไปใกล้แล้วเอนตัวซบเขา แขนแกร่งยกขึ้นโอบกอดผมทันที เขารัดแน่นจนหน้าผมแนบกับอกกว้างของเขา
“ถามลุงหมอแล้วใช่ไหม”
ผมพยักหน้า เขารู้ว่าผมต้องถามความจริงจากลุงหมอ ถึงได้ออกไปจากห้องโดยไม่โวยวายสักคำ
“ความจริงที่มึงอยากรู้ ทำให้มึงเกลียดกูมากกว่าเดิมหรือเปล่า”
ผมส่ายหน้า ขยับนั่งตัวตรงเผชิญหน้ากับเขา มองสบนัยน์ตาคมแล้วยิ้มให้เขาด้วยความจริงใจ
“ไม่ครับ ผมไม่ได้เกลียดพี่”
“ไม่ต้องมาหลอกให้กูดีใจ กูรู้ว่ากูเหี้ย กูเลว มึงจะเกลียดกูก็ถูกต้องแล้ว”
“ทำไมต้องว่าตัวเองด้วย ในเมื่อเรื่องมันผ่านไปแล้ว ตอนนั้นผมแค่อยากรู้ว่าความจริงมันเป็นยังไง ตอนนี้ผมรู้แล้ว และผมก็ไม่ได้รู้สึกอย่างที่พี่คิดไปเองด้วย”
พี่ควินมองตาผมแล้วดึงผมเข้าไปกอดไว้แน่น ผมยิ้ม กอดตอบเขา หลับตาซึมซับเอาความอบ
อุ่นจากอ้อมกอดนี้ไว้
“ต่อไปนี้เรามาทำสัญญากันนะครับ” ผมพูดขึ้น
พี่ควินผละจากอ้อมกอด เขามองหน้าผมอย่างงุนงง หันไปมองพี่แซท เขาเองก็มองผมด้วยสายตาแบบเดียวกัน
“พวกเรามาทำสัญญากันว่าจะไม่พูดโกหก มีเรื่องอะไรก็อย่าปิดบังกัน ผมสัญญากับพวกพี่ตรงนี้เลยว่าผมจะไม่พูดโกหก ไม่ปิดบัง ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม” ผมบอกพลางยกมือข้างขวาขึ้น
พวกเขามองหน้ากันเลิกลั่กแต่สักพักก็ยอมยกมือขึ้นตอบรับ
“เออ ไม่โกหก ไม่ปิดบัง / เออ ไม่โกหก ไม่ปิดบัง”
ผมหัวเราะที่พวกเขาพูดขึ้นมาพร้อมกันแล้วหันมองหน้ากันอย่างระอา
“สัญญากันแล้วนะครับ พวกพี่อย่าลืมล่ะ”
ผมยิ้มให้พวกเขา พี่ควินขยับเข้ามานั่งซ้อนข้างหลังแล้วกอดผมไว้ พี่แซทแสยะยิ้มมองเพื่อนตาขวางแต่ก็ไม่ได้เข้ามาก่อกวน เขานอนเหยียดขามาทางผม สภาพบนเตียงตอนนี้ทำให้ผมหลุดหัวเราะ
“หิวหรือยัง”
พี่ควินกระซิบถามพลางไล้จมูกกับข้างแก้มผม
“ยังครับ”
“แต่กูหิวแล้ว”
“อ้าว…” ผมลากเสียงยาว พอหันไปมองก็ถูกงับปลายจมูกอย่างหยอกล้อ
“น้อยๆหน่อยมึง กูเปิดทางให้หน่อย เอาใหญ่เลยนะไอ้สัด”
พี่แซทแขวะเพื่อน ผมยิ้มขำ
“มันเป็นสิทธิ์ของกูอยู่แล้วเว้ย มึงเสือกอะไร”
พี่ควินสวนกลับ ผมส่ายหน้าแล้วจับแขนที่กอดรัดรอบเอวออกซึ่งเขาก็ยอมคลายอ้อมกอดโดยดี
“อย่าทะเลาะกันนะ ผมขี้เกียจห้ามแล้ว”
ผมว่าเสียงเรียบ พวกเขาเลยเงียบ ผมมองหน้าพวกเขาแล้วหวนคิดถึงเหตุการณ์วุ่นวายที่ผ่านมา ช่วงนี้มีแต่เรื่องแย่ๆ ตัวผมเองยังเหนื่อย แล้วพวกเขาจะเหนื่อยขนาดไหน แต่ทั้งๆที่มีแต่เรื่องแย่ๆเข้ามาพวกเขาก็ยังดูแลผมอย่างดี
“เราไปทำบุญกันไหมครับ พักนี้มีแต่เรื่องไม่ดีเข้ามา เข้าวัดทำบุญ ปล่อยนกปล่อยปลา คงช่วยให้จิตใจสงบลงได้บ้าง” ผมชวนพวกเขา มองหน้าอย่างรอฟังคำตอบ
“แล้วแต่มึง”
พี่แซทตอบมา ผมเลยหันไปจ้องพี่ควินขอคำตอบ
“อืม ไปก็ไป”
ผมยิ้มกว้างกับคำตอบ ขยับลงจากเตียง
“อีกยี่สิบนาทีเจอกันครับ” ผมบอกพวกเขาแล้วคว้าผ้าเช็ดตัวเดินเข้าห้องน้ำ
ผมเดินสะพายกระเป๋าออกจากห้องหลังจากจัดการกับตัวเองเสร็จ ก่อนออกมาผมโทรหาเฟียซถามถึงเรื่องเมื่อคืน เจ้าตัวบอกว่าเป็นห่วงผมมากที่จู่ๆก็หมดสติไป เฟียซเล่าว่าสถานการณ์ตอนนั้นชุลมุนมาก เพราะทุกคนเอาแต่ตกใจจนทำอะไรไม่ถูก ยังดีที่พี่ควินตั้งสติได้เร็วเลยรีบอุ้มผมพาไปที่รถ เฟียซขับรถตามพวกเขามาถึงคอนโดแต่ไม่ได้ขึ้นมาเพราะพวกเขาไม่อนุญาต หวิดจะวางมวยใส่กันแล้ว ดีที่เฟียซยอมถอยกลับไปโดยดี ผมก็ได้แต่ขอโทษเพื่อนไปและบอกให้เขาวางใจว่าผมไม่ได้เป็นอะไรมาก
ได้ยินเสียงคุยกันอยู่ในห้องนั่งเล่น พอเดินเข้าไปก็เห็นพวกเขายืนประจันหน้ากันอยู่
“ตกลงอะไรกันครับ” ผมแกล้งถาม
“เปล่า แค่คุยกันว่าจะไปวัดไหน”
พี่ควินตอบพลางเดินเข้ามาดึงกะเป๋าออกจากไหล่ผมไปสะพาย
“ไปวัดประจำของยายมึงก็ได้นี่หว่า ไปวัดนั้นแหละ”
พี่แซทว่าแล้วเดินนำออกไปก่อน ผมมองตามแล้วหัวเราะ ประโยคแรกกก็เหมือนจะออกความเห็นนะ แต่ประโยคหลังกลับตัดสินใจเองซะงั้น เผด็จการเสมอต้นเสมอปลายจริงๆ
“อยากกินอะไร”
พี่ควินถาม โอบเอวผมพาเดินออกจากห้อง
“เช้าๆแบบนี้ กินโจ๊กก็ได้ครับ”
วันนี้พี่แซทเป็นคนขับรถ เขาสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวพับแขนถึงข้อศอก แต่งตัวเรียบร้อยพร้อมจะไปวัดทำบุญ ส่วนพี่ควิน เขาสวมเสื้อยืดคอวีสีขาว มีแว่นกันแดดRaybanห้อยอยู่ที่คอเสื้อ ผมยิ้มพอใจกับการแต่งตัวของพวกเขาซึ่งใจตรงกันกับผม เพราะผมก็ใส่เสื้อแขนยาวสีขาวเหมือนกัน ถึงจะเผด็จการ เอาแต่ใจ ใช้กำลัง แต่พวกเขาก็รู้จักกาลเทศะ รู้จักเคารพให้เกียรติสถานที่ล่ะนะ
“ต้าร์อยากกินโจ๊ก”
พี่ควินหันไปบอกพี่แซท คนมีหน้าที่ขับรถพยักหน้ารับรู้แล้วเปิดไฟเลี้ยวซ้าย ผมมองไปก็เห็นป้ายร้านโจ๊กอยู่ข้างหน้า
พวกเขาตามใจผม(เกือบ)ทุกเรื่องจริงๆ
พอพวกเราเข้าไปในร้าน ผมสั่งโจ๊กใส่ไข่ไปชามนึง หันไปมองคนพามา พวกเขาก็พร้อมใจกันส่งสายตาบอกให้ผมจัดการให้ด้วย ผมยิ้มแล้วหันไปสั่งโจ๊กไส่ใข่อีกสองชามกับพนักงานที่จ้องพวกเขาตาวาว
“ไม่ชอบเหรอครับ น้องเขาออกจะน่ารัก ปากแดง” ผมเอ่ยแซวหลังจากพนักงานเดินกลับไป
“ไม่ชอบ / ไม่ชอบ”
พวกเขาตอบพร้อมกันด้วยใบหน้าบึ้งตึง
“ผมก็แค่ล้อเล่น อย่าจริงจังสิครับ”
“กูไม่ชอบใครนอกจากมึง”
พี่แซทว่าเสียงเข้มแล้วยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม ช่างเป็นคนที่พูดตรงจริงๆ ไม่คิดว่าคนฟังอย่างผมจะเขินบ้างหรือไง!
พอโจ๊กมาเสิร์ฟพวกเราก็ทานกันไปเงียบๆ ผมทานจนพร่องไปครึ่งนึงพี่ควินก็วางถุงยาไว้ข้างๆ
“ขอบคุณนะครับ” ผมยิ้มบอกกับความห่วงใยและเอาใจใส่ของเขา
“กูไม่ชอบให้มึงป่วย”
พวกเขาขยันทำให้ผมเขินจริงๆ ให้ตายเถอะ!
เรียกพนักงานเก็บเงินเสร็จพวกเราก็เดินทางกันต่อ ผมนั่งมองวิวข้างทางไปเรื่อยจนรู้สึกได้ว่าพี่แซทกำลังขับรถออกนอกเมือง ผมขมวดคิ้วก่อนชะโงกหน้าไปตรงกลางระหว่างเบาะตอนหน้า
“เราจะไปวัดไหนกันเหรอครับ”
“อยุธยา”
พี่ควินเป็นคนตอบ ผมพยักหน้าแล้วกลับมานั่งที่ เสียงเตือนไลน์ดังพอดีผมเลยหยิบโทรศัพท์มาดู บอสทักผมมา ผมทักเพื่อนกลับไปในแชทกลุ่ม จากนั้นเฟียซกับตัวเล็กก็ตามมาสมทบ พวกเราเลยแชทคุยกันเป็นเรื่องเป็นราวถึงหัวข้อที่ธัญญ์ก่อขึ้นวันนั้นจนรู้ถึงหูของท่านอธิการบดี
“ต้าร์ ถึงแล้ว”
เสียงพี่ควินเรียก ผมเงยหน้าขึ้นจากจอโทรศัพท์ มองออกไปนอกกกระจกรถก็เห็นร้านค้าแผงลอยเรียงรายเต็มสองข้างทาง ผมเก็บโทรศัพท์แล้วเปิดประตูลงจากรถ
“วัดใหญ่จังเลยครับ สวยด้วย”
ผมยิ้ม มองสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่เบื้องหน้า กำแพงรั้ววัดทาด้วยสีขาวสูงตระหง่านล้อมรอบบริเวณอาณาเขตของวัด พระพุทธรูปขนาดใหญ่ โบสถ์และเจดีย์ข้างในทำให้ผมตื่นตาตื่นใจกับการมาทำบุญครั้งนี้
“แดดร้อนแล้ว”
พี่แซทบอกพร้อมกับสวมหมวกให้ผมกันแสงแดด ผมยิ้มขอบคุณเขา
“ถวายสังฆทานด้วยนะครับ มาทำบุญทั้งที ต้องทำให้สมบูรณ์” ผมบอกแล้วชี้ให้พวกเขาดูร้านขายชุดสังฆทานก่อนเดินนำไปที่ร้าน
“เอาสังฆทานชุดใหญ่สามชุดครับ” ผมบอกเจ้าของร้าน
พี่แซทเปิดกระเป๋าตังค์ควักเงินออกมาจ่าย ส่วนพี่ควินรับหน้าที่หิ้ว
“ใกล้จะได้เวลาพระท่านฉันเพลแล้ว จะเอาพวกของคาวของหวานถวายด้วยไหมล่ะพ่อหนุ่ม”
ผมหันไปมองพวกเขาเมื่อเจ้าของร้านบอก พวกเขาก็พยักหน้าตามใจผมเหมือนเคย
“เอาครับ แล้ววัดนี้มีพระประจำอยู่กี่รูปเหรอครับ”
“เก้ารูป หลวงพี่สามรูป ที่เหลือก็สามเณร นั่นนะ เดินเลยไปอีกสองร้าน มีร้านกับข้าวขายอยู่ ร้านขนมหวานก็ขายติดกันนั่นแหละ เดินไปดู”
“ขอบคุณมากครับ”
พวกเราเดินไปตามที่คุณป้าเจ้าของร้านขายสังฆทานบอก มีคนยืนมุงรอซื้อกับข้าวกันเต็ม ผมยืนรอจนคนบางตาก็เข้าไปสั่ง บอกแม่ค้าว่าเอาไปถวายเพล รอสักพักแม่ค้าก็ยื่นถุงกับข้าวพร้อมกับข้าวเปล่าส่งให้ พี่แซทเข้ามายืนขนาบข้างควักเงินจ่ายอย่างรู้หน้าที่ พอได้ของคาวแล้วก็ต่อด้วยของหวาน
“ขาดดอกไม้ธูปเทียนครับ” เดินออกจากร้านขายขนมหวานผมก็หันไปบอกพวกเขา
“เจอร้านแล้ว เดี๋ยวกูเดินไปซื้อ รออยู่ตรงนี้แหละ”
พี่แซทบอกแล้วเดินไป ผมมองตามจนเข้าหยุดอยู่ที่หน้าแผงลอยเล็กๆที่ขายดอกไม้ธูปเทียนเป็นชุด
“หนักไหมครับ ผมช่วยถือไหม”
ผมถามพี่ควินที่ยืนรออยู่ข้างๆ เขาส่ายหน้า ผมเลยยิ้ม ไม่พูดต่อ จนพี่แซทเดินกลับมา พวกเราก็เดินเข้าวัดกัน
“สงสัยคนกลุ่มนั้นน่าจะเป็นคนในพื้นที่นะครับ ผมเห็นเขาถือปิ่นโตด้วย คงเอาไปถวายเพล เราเดินตามเขาไปดีกว่าครับ” ผมบอกพวกเขา เร่งเดินตามกลุ่มคนข้างหน้าไป
กุฏิสงฆ์ขนาดสองชั้นปรากฏอยู่เบื้องหน้า ประตูเปิดรอต้อนรับ มีผู้คนจำนวนนึงเข้าไปถวายเพล พวกผมถอดรองเท้าก่อนเข้าไปสมทบ ผมถอดหมวกก้มลงกราบพระพุทธรูปแล้วเข้าไปนั่งข้างๆกลุ่มคนที่นั่งรอกันอยู่
“มาจากกรุงเทพเหรอพ่อหนุ่ม”
คุณป้าท่านนึงเอ่ยทัก ผมยิ้มให้แล้วพยักหน้าตอบรับ
“ครับ พวกผมมาจากกรุงเทพ ตั้งใจมาทำบุญ”
“ดี เด็กวัยรุ่นสมัยนี้ไม่ค่อยชอบเข้าวัดทำบุญกัน ดีแล้วล่ะ รีบเอาของไปถวายเพลเถอะ เดี๋ยวพระท่านก็ออกมาแล้ว”
ผมยิ้ม คลานเข่าไปตามคนที่กำลังต่อแถวอยู่ มีคนคอยจัดการให้อยู่ข้างๆ ไม่นานพระภิกษุทั้งเก้ารูปก็ออกมา พวกผมรีบหมอบกราบ
“จะถวายเพลใช่ไหม เอาของมานี่ เดี๋ยวจัดการให้”
คุณลุงในชุดขาวผมเดาว่าท่านน่าจะเป็นมัคทายกบอกพร้อมกับยื่นมือออกมา ผมเลยยื่นถุงกับข้าวกับถุงขนมหวานไปให้ พอคุณลุงจัดการเสร็จก็ส่งถาดขนาดใหญ่มาให้ พี่ควินรับมาถือไว้ ผมมองดูก็เห็นว่าของที่ซื้อมาถวายถูกจัดใส่ถ้วยชามเรียบร้อย ผมยิ้มอย่างพอใจ
“เข้าไปถวายกันเถอะครับ” ผมบอกพวกเขา
เสียงตีระฆังบอกเวลาพระฉันเพลหลังจากที่พวกผมยกถาดอาหารให้กับสามเณรเบื้องหน้าก่อนจะถอยออกมานั่งรอที่เสื่อ ผมรู้สึกจิตใจสงบตั้งแต่เข้าวัดมาแล้ว เหมือนกลิ่นอายของวัดจะขจัดเรื่องเครียดทางโลกของผมออกไปชั่วขณะ นั่งรอสักพักพระภิกษุและสามเณรก็ฉันเสร็จ ผมยกมือพนมไหว้เพราะต่อจากนี้จะเป็นการอนุโมทนา
“ตอนกรวดน้ำจับต่อกับป้าก็ได้พ่อหนุ่ม”
คุณป้าท่านเดิมหันมาบอก ผมยิ้มกับความใจดีของท่าน
“กรวดน้ำแล้ว จับผมไว้นะครับ” ผมหันไปบอกพวกเขา
พอเริ่มกรวดน้ำผมก็ยื่นมือแตะแขนคุณป้า พี่ควินพี่แซทก็ยื่นมือมาแตะแขนผมต่ออีกที
“จะถวายสังฆทานด้วยเหรอ ถ้าถวายสังฆทานต้องขึ้นไปถวายในโบสถ์ ไปบอกมัคทายก เขาจะพาไป”
คุณป้าบอกพลางมองมาที่ชุดสังฆทานข้างๆพี่ควิน ผมพยักหน้ารับรู้ ยกมือไหว้ขอบคุณท่าน
“คุณลุงชุดขาวนั่นใช่ไหมครับ”
“ใช่ คนนั้นแหละ ไปบอกตอนนี้เลยก็ได้ว่าจะถวายสังฆทาน”
“ครับ”
“เดี๋ยวกูไปบอกเอง”
พี่ควินอาสาลุกไปบอก ผมกับพี่แซทเลยนั่งรอ พอพี่ควินกลับมาพวกเราก็ออกจากกุฏิเดินตามคุณลุงไป
“มาช่วงเช้าก็ดีนะ คนยังไม่เยอะ ถ้ามาช่วงบ่ายคนแน่น”
คุณลุงหันมาบอก ผมยิ้มตอบ พี่ควินกับพี่แซทช่วยกันหิ้วชุดสังฆทานเดินขนาบข้างผม พอขึ้นโบสถ์มา คุณลุงก็แยกไปจัดการสถานที่ให้พระภิกษุทั้งสามรูป พี่ควินยกชุดสังฆทานมาวางไว้ตรงหน้าผมอย่างเตรียมพร้อม ผมหันไปยิ้มกว้างให้เขา
“เอาไว้กรวดน้ำ ตอนรีบศีลรับพร อยากอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้ใครก็เขียนบอกท่านไป”
คุณลุงบอกพร้อมส่งคนโทกรวดน้ำ แก้ว กระดาษกับปากกามาให้ พี่ควินรับมาวางไว้ยื่นกระดาษกับปากกาส่งให้ผม ผมเขียนชื่อนามสกุลของคุณพ่อคุณแม่เสร็จแล้วก็ส่งต่อให้พี่ควิน เขามองผมงงๆ
“เขียนชื่อคุณแม่พี่ควินสิครับ แล้วก็น้องชายด้วย”
ผมยิ้มบอกพลางจับมือเขาไว้อย่างให้กำลังใจ เขามองหน้าผมนิ่งบีบมือผมกลับแล้วก้มหน้าเขียนชื่อใส่กระดาษ เสร็จแล้วก็ส่งให้คุณลุงส่งต่อให้พระภิกษุเพื่อที่ท่านจะได้ทำพิธีต่อไป
“จุดธูปจุดเทียนก่อนนะโยม”
พระภิกษุเอ่ยบอก พี่แซทจัดการแบ่งธูปเทียนให้ผมแล้วเขาก็ล้วงเอาไฟแชคจากกระเป๋ากางเกงมาจุดไฟ
“ว่านโมสามจบแล้วกล่าวถวายสังฆทานตามอาตมา”
พวกผมพนมมือปฏิบัติตามที่พระภิกษุบอก
“ข้าแต่พระสงฆ์ผู้เจริญ ข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอถวายภัตตาหาร กับทั้งบริวารทั้งหลายเหล่านี้แด่พระภิกษุสงฆ์ ขอพระภิกษุสงฆ์จงรับ ซึ่งภัตตาหาร กับทั้งบริวารทั้งหลายเหล่านี้ของข้าพเจ้าทั้งหลาย เพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขแก่ข้าเจ้าทั้งหลาย สิ้นกาลนานเทอญ”
“สาธุ”
พวกผมยกชุดสังฆทานขึ้นถวายให้พระภิกษุ จากนั้นท่านก็ให้ศีลให้พร ผมค้อมศีรษะลงต่ำรับฟังอย่างตั้งใจ ถึงช่วงกรวดน้ำผมจับมือพี่ควินให้เขาช่วยผมกรวดน้ำด้วยกัน พี่แซทที่นั่งข้างๆก็แตะมือผม จนเสร็จพิธีการ ผมยกมือไหว้พระภิกษุและกราบพระพุทธรูปเบื้องหลัง
“จะคิดจะทำอะไรก็ขอให้ตั้งมั่นอยู่ในสตินะโยม”
“ครับ” ผมตอบรับ แปลกใจนิดหน่อยที่ท่านมองมาที่ผมก่อนเบนสายตาไปที่พวกเขา
“ระลึกถึงสิ่งที่คิดจะทำ มีสติอยู่เสมอ เวรกรรมไม่อาจลบล้างได้ด้วยการทำบุญเพียงครั้งเดียว แต่ถ้าเรามีจิตใจที่บริสุทธิ์ คิดดี ทำดี ระลึกดี บุญกุศลจะหนุนนำให้เราพบเจอแต่สิ่งดีนะโยม สังขารเมื่อมาถึงก็ยากจะยื้อ เกิดแก่เจ็บตายเป็นสัจธรรมของมนุษย์ แม้แต่สัตว์ก็เวียนว่ายตายเกิดเช่นเดียวกัน”
ผมหันไปมองพวกเขา พวกเขาเองก็หันมามองผม พวกเราเงียบคล้ายกับตกอยู่ในภวังค์ได้แต่มองหน้ากันจนเสียงคุณลุงมัคทายกดังขึ้น
“เสร็จพิธีแล้ว น้ำที่กรวดก็เอาออกไปเทใส่ต้นไม้ข้างนอก วางแก้วไว้แถวนั้นแหละเดี๋ยวเด็กวัดมันก็มาเก็บไปเอง จะไปทำบุญกันต่อก็ตามสบายนะ เดินทางกลับดีดี ขอให้โชคดี”
ผมไหว้ขอบคุณท่านเดินตามหลังพระภิกษุออกจากโบสถ์ไป พวกผมก็ลุกขึ้นเดินตามออกไป
“ใส่หมวก แดดร้อน”
พี่แซทบอกแล้วดึงหมวกในมือผมไปสวมให้
“ขอบคุณนะครับ วันนี้ผมมีความสุขมากที่ได้มาทำบุญกับพวกพี่”
ผมยิ้มบอกพวกเขาจากใจจริง พี่ควินกระตุกยิ้ม เขาสวมแว่นกันแดดแล้วยื่นมือมาลูบแก้มผมเบาๆ
“กูก็ดีใจที่ได้มาทำบุญกับมึง”
ผมยิ้มกว้าง จับมือเขาแนบแก้ม
“เกิดชาติหน้าขอให้มึงรักกู หลงกู สาธุ”
พี่แซทยกมือไหว้ท่วมหัว ผมขำกับท่าทางของเขา ไม่คิดว่าเขาจะมีมุมแบบนี้ด้วย พี่ควินผละออกไป เขาเดินไปเทน้ำที่กรวดไปใส่ต้นไม้ใหญ่ใกล้ๆ เขาหลับตานิ่งอยู่ครู่นึงก็วางแก้วไว้แล้วเดินกลับมา
“ไม่รู้ว่าวัดนี้ให้ปล่อยนกปล่อยปลาได้หรือเปล่า ลองไปถามกันเถอะครับ”
ผมชวนแล้วเดินนำไปก่อน ลองไปถามคนที่มาทำบุญเหมือนกันเขาก็บอกว่าวัดนี้ไม่มีที่ให้ปล่อยนกปล่อยปลา ถ้าอยากซื้อมาปล่อยก็ให้ไปอีกวัดนึง
“เอายังไงดีครับ เราจะไปกันไหม แต่ผมอยากไปนะ”
ผมบอกแล้วยิ้มกว้าง พวกเขาก็พยักหน้าตามใจผม จากนั้นพวกเราก็ขึ้นรถเดินทางกันต่อ
มาถึงอีกวัดนึง ลงจากรถปุ๊บก็ได้ยินเสียงนกร้องต้อนรับ มองไปก็เห็นร้านค้าเต็มไปด้วยกรงนกที่แข่งกันส่งเสียงร้องอยู่ พอพวกเขาเดินมาหยุดข้างๆผมก็ชี้ให้ดู
“เจอแล้วครับ ร้านขายปลาคงอยู่แถวนี้แหละ”
ผมบอกแล้วออกเดิน เจ้าของร้านต่างพากันส่งเสียงเรียกลูกค้ากันระงม ผมเดินไปหยุดที่ร้านซึ่งมีเด็กผู้หญิงกำลังเทอาหารนกใส่ในกรงอยู่ ผมถามราคา ตกลงว่าจะเอา คราวนี้พี่ควินเป็นคนจ่ายเงิน ได้นกแล้วเราก็เดินหาซื้อปลา ผมตาโตเมื่อเดินมาหยุดที่ร้านขายปลาร้านนึง หน้าร้านเขามีเต่าตัวใหญ่มากอยู่ในบ่อ ผมก้มลงมอง ในบ่อมีเงินเหรียญเต็มเลย
“จะเอาเป็นถุงหรือจะเอาเป็นตู้”
พี่ควินถามแล้วชี้ให้ดู ผมมองตามก็เห็นชั้นตู้ปลาวางอยู่เต็มร้าน มีแบบขายเป็นถุงด้วย
“เรามากันสามคน เอาแบบตู้ก็ได้ครับ”
พี่ควินจัดการเจรจาซื้อ ผมยืนรออยู่หน้าร้านดูเต่าไปพลางๆ พี่แซทก็ยืนอยู่ข้างๆด้วย
“ได้แล้ว ป่ะ เข้าไปปล่อย”
พี่ควินเดินมาโอบไหล่ผม เขายกตู้ปลาให้ดู ผมยิ้ม แล้วพวกเราก็เดินเข้าไปในวัด มีคนมาทำบุญกันเยอะเลยที่วัดนี้ ผมเห็นผู้หญิงกับผู้ชายคู่นึงถือถุงปลาเดินไปทางขวา ผมเลยสะกิดพี่ควินแล้วชี้ให้ดู
“ตามไปครับ เขาคงเอาปลาไปปล่อย”
เดินตามมาจนถึงด้านหลังวัดผมก็เห็นแม่น้ำกว้างสุดลูกหูลูกตา มีหลายคนมาปล่อยปลาที่นี้ พี่ควินเดินลงบันไดไปนั่งยองๆอยู่ท่าน้ำเขายกตู้ปลาขึ้น ผมกับพี่แซทเดินตามไปนั่งข้างๆ ผมหลับตาขอให้ปลาที่กำลังจะปล่อยมีชีวิตต่อไปในแม่น้ำแห่งนี้
“ปล่อยได้เลยครับ”
ผมบอก พี่ควินก็จัดการเปิดตู้ออก น้ำกับตัวปลาก็ไหลทะลักออกจากตู้อย่างเร็ว ร่วงลงสู่แม่น้ำ
“ต่อไปก็ปล่อยนก พี่แซท กรงนกอยู่ไหนครับ”
พี่แซทยกกรงนกขึ้น ผมรับมาถือไว้ ลุกขึ้นเดินกลับขึ้นไปข้างบน
“ผมจะถือกรง พี่แซทเป็นคนเปิดนะครับ”
ผมบอก พี่แซทพยักหน้าแล้วค่อยๆเปิดกรงออก ผมจับกรงไว้แน่นเพราะมันโยกจากแรงนกที่เคลื่อนไหวอยู่ข้างใน พอพี่แซทเปิดกรงออกกว้าง นกในกรงก็โบยบินออกไป ผมยิ้ม มองตามจนลับสายตา รู้สึกอิ่มเอมอย่างบอกไม่ถูก
“หิวหรือยัง”
พี่ควินถาม เขาดึงกรงนกไปถือไว้เอง
“ก็…นิดหน่อยครับ”
“งั้นก็ขับรถหาร้านอาหารแถวนี้ กินเสร็จแล้วก็กลับคอนโด”
“โอเคครับ”
ผมรับคำแล้วจับมือพวกเขาไว้คนละข้าง พวกเขาหันมามองแต่ไม่พูดอะไร แรงกระชับมือตอบกลับมาทำให้ผมยิ้มอย่างมีความสุข วันนี้ผมมีความสุขมากจริงๆ มันจะเป็นความทรงจำดีดีของผมอีกวันนึง
V
V
V