Friend's brother Brother's friend 07 ,ไม่รังเกียจ
[Pun's talk]
Quand il me prend dans les bras ,
Il me parle tout bas,
Je vois la vie en rose,ครั้นเขาโอบกอดฉันด้วยความรัก โลกกลายร่างเป็นสีชมพู
ครั้นเขากระซิบแผ่วเบาข้างใบหู พลันชีวิตฉันสวยงามดังกุหลาบ
วลีคุ้นหูจากบทเพลงคลาสสิครักอมตะ
La vie en rose เปิดคลอเบาๆภายในบ้านสามชั้นหลังที่เป็นทั้งร้านกาแฟ สตูดิโอและชุมชนของคนรักงานดีไซน์ในซอยเล็กๆหน้ามหาวิทยาลัยเน็ตทำให้ผมหยุดอ่าน
'The One Minute Manager' ของ
เคนเน็ธ บลังชาร์ดและสเปนเซอร์ จอห์นสันในมือชั่วคราว
ความรักที่หอมหวาน สวยงาม และอบอวลไปด้วยออร่าสีชมพูอบอุ่นนั้นผมได้ยินมาเสมอในนิทานหลอกเด็ก นิยายของสาวช่างฝัน หรือแม้กระทั่งบทเพลงที่เกิดจากจินตนาการ
ผู้คนมากมายวิ่งไล่ล่าหามัน แย่งชิงมาครอบครอง และสุดท้ายเมื่อกาลเวลาพ้นผ่านไปก็จะเขี่ยมันทิ้งอย่างไม่ใยดี
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือผู้บริหารและผู้ก่อตั้งบริษัทตติรัตนาที่ได้รับสัมปทานเหมืองแร่ในภาคตะวันตกของประเทศไทยเกือบทุกๆจังหวัด
นายภาคภูมิ ตติรัตนา หย่าร้างกับภรรยา
นางเกศรา ที่ตอนนี้เปลี่ยนนามสกุลเป็น
ชวลิตโกศลตอนผมอายุย่างเข้า 16 ปีบริบูรณ์
สังคม หน้าตา รวมไปถึงลูกชายเพียงคนเดียว ไม่อาจเหนี่ยวรั้งความรู้สึกเหี่ยวเฉาและหมดหวังของพ่อกับแม่ไว้ได้
ผมไม่ได้เป็นเด็กที่มีปัญหา ไม่ได้ต้องการความรักความอบอุ่น ไม่เคยน้อยใจครอบครัวที่พิกลพิการ เพียงแค่ไม่มีความศรัทธาในรักนิรันดร์ก็เท่านั้น โลกปัจจุบันไม่ให้การ์ตูนดิสนีย์ที่จะมีเจ้าชายรูปงามกับเจ้าหญิงเลอโฉมครองรักกันไปจนตาย ไม่ฝ่ายใดก็ฝ่ายหนึ่งที่หวังกอบโกยความสุขไว้กับตัวมากที่สุด หรือบางที อาจเป็นทั้งสองฝ่ายที่ต้องการช่วงชิงความสุขของตนจากอีกฝ่ายเพียงชั่วคราวแล้วจากไป
ความรักเหมือนกับการเล่นหนังยาง คนเจ็บคือคนที่ไม่ยอมปล่อย
ผมไม่รู้หรอกว่าเล่นหนังยางเขาเล่ากันยังไง รู้แค่ว่ายิ่งเรายึดติดเอาความรู้สึกของตนไปฝากไว้ที่คนอื่นเท่าไหร่ คนที่ปวดร้าวก็คือตัวเรามากเท่าความคาดหวังว่าเขาจะดูแลหัวใจให้ดีเท่านั้น
ควันสีขาวลอยฉุยในอากาศ ส่วนที่ผมนั่งเป็นเก้าอี้ติดสระว่ายน้ำชั้นกราวด์ที่อนุญาตให้ลูกค้าสูบบุหรี่ได้ไม่เหมือนชั้นสองของร้านที่เป็นห้องแอร์ล้อมรอบด้วยผนังกระจกสามารถมองเห็นวิวเมืองได้ทั่วทิศทาง ซึ่งรวมไปถึงพื้นที่ด้านล่างที่ผมกำลังนั่งอยู่ อันเยื้องออกจากชั้นสองเล็กน้อยอีกด้วย
"ที่นี่เจ๋งใช่ม้า บูมบอกแล้ว"เสียงที่คุ้นเคยดังไม่ห่างจากใบหูนัก เด็กหนุ่มที่นัดผมมาเจอร้านกาแฟเล็กๆชะโงกตัวมาจากด้านหลัง โค้งตัวลงใช้คางเกยบ่าจนผมตกใจต้องหันหน้ากลับไปมอง ปลายจมูกมนของน้องชายเพื่อนชนเข้าเต็มๆโหนกแก้มแล้วถือโอกาสหอมผมไปฟอดใหญ่
"เล่นเหี้ยๆ เดี๋ยวมึงจะโดนถีบลงน้ำไอ้บูม"
ลูกชายคนเล็กของตระกูลพาณิชยโชติแลบลิ้นปลิ้นตา ลากเก้าอี้ไม้ฝั่งตรงข้ามออกแล้วนั่งเท้าค้างชะเง้อมองชื่อหนังสือภาษาอังกฤษในมือผม
"หนังสืออ่านนอกเวลาเหรอ?"
"เปล่า อ่านฆ่าเวลาเฉยๆ มีคนนัดแล้วมันมาสาย"
"แย่เนอะ" บูมยิ้มตาปิด อันที่จริงมันเลทไม่มากหรอกครับแค่ราวๆ15นาทีได้ ถ้ามีใครจะผิดก็คงเป็นผมที่เสร่อมานั่งก่อนเวลานัดเกือบค่อนชั่วโมง อ่านหนังสือแนวบริหารจัดการคนเดียวเงียบๆได้ร่วม30-40หน้าก่อนถูกจู่โจมเมื่อครู่
"แล้วชวนออกมานี่มีอะไร"
เมื่อวานผมได้รับข้อความประหลาดๆจากเบอร์คนที่นั่งฝั่งตรงกันข้าม สัมภาระที่บอมเอามาด้วยคือไอโฟน4s กับกระเป๋าตังค์พอลสมิธ ไม่มีเค้าของคนมีธุระหรือภาระอะไรที่่จำเป็นต้องให้เพื่อนพี่ชายออกมาเสียเวลาหลับเวลานอนออนแซทเทอร์เดย์เลยสักนิด
"เสาร์อาทิตย์อยู่บ้านเฉยๆแล้วมันเหงานี่"
"แล้วทำไมไม่ชวนเฮียๆ เพื่อนๆมึงออกไปแรด ไอ้เอกอะไรนั่นก็มี?"
"อยากมากับพี่ปัน"
มันตอบหน้าระรื่น ไอ้เด็กผู้ชายตาตี่จนเป็นขีดฉีกยิ้มกว้างจนผมต้องเอาสันหนังสือเคาะหน้าผากมัน
"โอ๊ย เจ็บจัง"
"เดี๋ยวมึงจะโดน" จริตจก้านไอ้บูมกวนประสาท ไม่รู้มันไปฝึกท่าทางตอหลดตอแหลนี่มาจากไหน เท่าที่ผมจำได้คือมันเป็นน้องชายขี้อ้อนๆของบอมกับเฮีย เด็กซื่อๆที่ดูไม่รู้จักโตตอนมัธยมมันหายไปไหนแล้วไม่รู้
"รอโดนอยู่ตั้งนานแล้วเนี่ย พี่ปันสั่งอะไรกิน?"
"เก็กฮวย"
"นี่มันร้านกาแฟ"
"ก็สั่งกาแฟสิวะสัตว์" บูมทำหน้าหงิก เกยคางกับโต๊ะเหมือนหมาถูกดุ "หยาบคายกับน้องชะมัด"
ผมทำหน้าหน่ายมันสุดชีวิต กางหนังสือขึ้นมาอ่านเหมือนไม่สนใจไม่นานเงาที่ตกลงมาบนหนังสือก็วูบไหว พอเงยหน้าขึ้นก็เห็นบูมลุกไปที่เคาท์เตอร์สั่งเครื่องดื่มเรียบร้อยพร้อมกับเสียงล้งเล้งดังขึ้นจากทางประตูร้าน สายตาที่มองแผ่นหลังเด็กหนุ่มเลื่อนไปยังกลุ่มหญิงชายราวๆสี่-ห้าคนที่เดินเข้ามาพร้อมหนังสือ ดูก็รู้ว่าน่าจะเป็นเด็กมหาลัยฝั่งโน้นมาหาที่ติว ช่วงใกล้สอบมิดเทอมมหาวิทยาลัยไหนๆก็เหมือนกันคือจะเจอนักศึกษาได้ตามร้านกาแฟ หอสมุด หรืออะไรก็ตามที่มีบริการที่นั่งให้นั่งได้ฟรีๆ นานๆ และเย็นๆ
"อ้าว พี่ปัน"
ผู้ชายผอมจัดและสูงพอตัวในกลุ่มที่ว่าแสดงตัวว่ารู้จัก ผมขมวดคิ้วเล็กน้อยตอนหมอนั่นเดินแยกจากเพื่อนมาหาที่โต๊ะ หนังสือในมือผมอ่านชื่อวิชาก็พอจะเดาๆได้ว่าคงเรียนบริหารการจัดการเหมือนกัน
"ผมกาย รุ่นน้องโรงเรียนพี่ไง ไม่คุ้นหน้าบ้างเหรอ?"
ไอ้เด็กหน้าตามีเชื้อฝรั่งอ่านเครื่องหมายเควชั่นมาร์คบนหน้าผากผมออกจึงรีบแนะนำตัวตัดหน้าคำถาม แต่ประทานโทษเถอะครับ มันเป็นปกติของผู้ชายที่จะไม่จำใบหน้าของเพศเดียวกันมันเปลืองเม็มโมรีไม่ใช่หรือ? ผมส่ายหัวมองมันตั้งแต่หัวจรดเท้า ไม่มีส่วนไหนที่เรติน่าผมจะชินตากับรูปร่างหน้าตาของมันเลยสักนิด
"ใจร้ายว่ะ ผมน่ะจำพี่ได้แม่นเลย กลุ่มเดียวกับพี่บอม สุดหล่อประจำโรงเรียน"
"เออ ก็กูดัง"
"ฮะๆ ไม่เถียงๆ พวกผู้หญิงที่ห้องผมกรี๊ดพี่มากอะ คนเหี้ยอะไรมีเสน่ห์ฉิบ"
สรุปจะชมหรือด่า? เอาให้แน่ ผมปิดหนังสือลงโดยใช้ที่คั่นหนังสือคั่นหน้าที่อ่านคาไว้ ชายนิรนามในสายตาเบิกตาสีน้ำตาลอ่อนกว้างลากเก้าอี้ที่บูมนั่งเมื่อครู่มานั่งข้างผมแล้วดึงหนังสือเล่มหนาไปลูบปกอย่างเสียมารยาท
"ผมหาเล่มนี้อยู่ อ่านจบเมื่อไรยืมหน่อยดิพี่"
"กูไม่รู้จักมึง ทำไมต้องให้ยืม"
"เฮ้ยอย่าใจร้ายกับรุ่นน้องโรงเรียนดิ แล้วนี่มาคนเดียวเหรอครับ ไปนั่งด้วยกันไหมชั้นบนมีแอร์นะ"
กายเอ่ยชวน อื้อหือ พออยากอ่านหนังสือแล้วทำตีซี้กูทันทีเลยนะไอ้ลูกครึ่ง หน้าไอ้เด็กโข่งมารยาททรามนี่เป็นโทนตะวันตกนิดๆ ตาสีน้ำตาลจมูกโด่งเป็นสันสูง คิ้วกับผมเป็นสีเดียวกันคือน้ำตาลประกายทอง หน้าตาไม่ได้จัดว่าหล่อหรือสวย ออกแนวกลางๆมากกว่า
"มึงไปนั่งกับเพื่อนเถอะ กูมากับน้องไอ้บอม"
ผมไม่รู้ว่ามันเป็นรุ่นน้องผมกี่ปี ไม่รู้ว่ามันรู้จักบูมหรือเปล่าเลยเอาชื่อของสุดหล่อประจำโรงเรียนที่มันตั้งให้มาอ้าง ตอนนั้นที่ตาสีอ่อนของกายมีประกายวูบไหวเล็กน้อย
"มากับไอ้บูมเหรอ?"
"อืม กูมาด้วยกัน"คนที่ตอบไม่ใช่ผม แต่เป็นคนที่ถูกถามถึง มือขาวเหลืองของบูมถือมิลค์เชคโอรีโอ้มาแล้ววางข้างๆแก้วกาแฟที่พร่องไปเกินครึ่งระหว่างที่ผมรอมันก่อนหน้านี้
"ชิมดิ อร่อยดี"
บูมพยัดเพยิดไปทางแก้วเครื่องดื่มของมัน นมปั่นในแก้วพลาสติกใสเหมือนถูกดูดไปบ้างแล้วแต่ผมส่ายหน้าปฏิเสธ
"มึงแดกไปเถอะ"
"คนเขามีน้ำใจ แม่งไม่มีมารยาทเลย มาอ่านหนังสือเหรอกาย?"
ผมอยากจะตบมันหัวทิ่มสระถ้าประโยคหลังมันไม่หันไปเปลี่ยนเรื่องคุยกับชายแปลกหน้าสำหรับผมก่อน ทั้งสองคนดูรู้จักกันดีแบบที่ผมไม่ต้องแนะนำอะไรให้มากความแล้ว
"อืม วันจันทร์มีเทสย่อย แล้วเอกไปไหนเสียล่ะ"
"มันก็อยู่ของมันดิ"
"นอกใจแฟนหรือไง"
กายปรายตามาทางผม นอกใจเหี้ยอะไร อย่าดึงกูเข้าไปอยู่ในวงจรอุบาทว์ของไอ้บูมได้ไหม?
"กูไม่ได้เป็นแฟนเอก"
เออ ใช่! มันเป็นผัวเมียกัน ถุย! ไอ้กายทำหน้าพะอืดพะอมไม่ต่างจากผมที่อยากจะขำคำแก้ตัวของมัน เหี้ยมากอะมึงแทบจะสิงกันให้กูเห็นที่ม.ตั้งแต่วันก่อนแล้วยังทำเป็นพูดว่าไม่ใช่แฟน อมวัดมาให้กูดูทีซิ อยากจะเชื่อจริงๆ
"มึงเลิกพูดแบบนี้เหอะบูม มึงจะคบกันก็คบไปดิ กูไม่ได้ว่าอะไร ไม่เห็นต้องโกหก"
"กูไม่ได้โกหก กูไม่ได้ชอบมัน"
"แต่มึงก็นอนให้มันเอา"
"จะให้บอกกี่ครั้งว่ากูไม่ได้เต็มใจ!"
บูมตะเบ็งเสียงต่ำไม่ได้โวยวายให้ลูกค้าในร้านตกใจ ผมฟังดูก็พอจะจับเค้าลางได้ ไอ้กายนี่คงเป็นเพื่อนที่มันพูดถึงวันก่อน แฟนเก่าไอ้เอกที่มอมยาแล้วลากมันไปปล้ำ สายตาบูมเจ็บปวด ซึ่งดูไม่ต่างกับกายที่หลบตาสีอ่อนลงต่ำไม่ยอมมองหน้าเพื่อนมันสักเท่าไร
"ใครจะคิดยังไงกูไม่สนหรอกนะกาย กูแค่อยากให้มึงเข้าใจกู เราเป็นเพื่อนกันตั้งแต่ประถมไม่ใช่เหรอ? มึงรู้จักนิสัยกูดีไม่ใช่เหรอ?"
"...ตบมือข้างเดียวมันไม่ดังหรอกว่ะบูม"
คือไม่ได้ตั้งใจจะเสือกอะไรหรอกนะแต่คุยกันข้ามหัวกูแบบนี้ขอเก็บข้อมูลหน่อยเหอะ ผมนั่งเงียบๆไม่ออกความเห็นทำทีเป็นเปิดหนังสือที่ถูกคั่นเอาไว้ขึ้นมาอ่านให้มันได้เคลียร์กันไปโดยที่หูก็กระดิกฟังคำแก้ตัวของไอ้บูมที่บอกว่าไม่ได้ชอบเอกแต่ก็ยอมให้เรื่องมันเกิดยืดเยื้อมาจนถึงตอนนี้
ใช่ ผมก็คิดแบบนั้น ถูกของกาย ถ้าบูมไม่เล่นด้วยต่อให้ทู่ซี้แค่ไหนเอกมันก็ทำได้แค่เป็นหมาอยากแดกปลากระป๋อง จะกัดแกะแงะเกาเท่าไร ถ้าบูมมันใจแข็งไม่โอนอ่อนผ่อนตาม แฟนไอ้กายก็คงถึงเนื้อถึงตัวมันได้ไม่มากเท่านี้ไม่ใช่หรอกหรือ?
"มึงพูดเหมือนไม่เคยถูกมันทำเรื่องเหี้ยๆใส่"
เสียงของบูมติดขัด และทำให้ใจผมกระตุกวูบ ผมจินตนาการไม่ออกว่า
'เรื่องเหี้ยๆ' ที่บูมมันเอ่ยถึงคืออะไร แต่เสียงฝีเท้าที่ก้าวห่างออกไปโดยไร้คำโต้ตอบของกายกำลังทำให้ผมเริ่มสติแตก ถึงตอนนี้คงทำทีเป็นไม่สนใจอ่านหนังสือในมือต่อไม่ได้แล้ว ผมลุกขึ้นจูงมือสั่นๆของบูมออกจากร้าน ยัดมันเข้าในแคมรี่ที่เอามาใช้ชั่วคราวโดยทิ้งแก้วมิลค์เชคไว้ที่เดิมให้น้ำแข็งปั่นละเหยออกมาเป็นไอเกาะพราวรอบตัวแก้วพลาสติก
"เล่ามา"ผมไม่ได้คาดเข็มขัด แต่ติดเครื่องรถเพื่อเปิดแอร์ บูมหันหน้าออกไปนอกกระจกปากมันเม้มแน่นไม่ยอมปริเอ่ยให้ผมรับรู้ มือที่วางอยู่บนหน้าตักมันกำเข้าหากันจนผมคิดว่าเล็บอาจจิกเนื้อจนเป็นรอยบุ๋ม
"บูม มันทำอะไรมึง"
"เปล่า ไม่มีอะไร ลากขึ้นรถมาทำไมเนี่ย" เสียงถามมันสั่่น พยายามพูดกลั้วหัวเราะเปลี่ยนเรื่องให้การกระทำของผมเป็นเรื่องตลก ภาพลางๆผ่านฟิล์มสีทึบทำให้ผมเห็นหน้ามันไม่ถนัดนัก ผมไม่ใช่คนใจดี ไม่ใช่พวกชอบช่วยเหลือคนอื่น แต่ก็ไม่เคยแล้งน้ำใจกับคนรู้จักตราบใดที่ยังพอจะช่วยเหลืออีกฝ่ายได้
ผมปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านไปไม่ได้
บูมยังคงปิดปากให้เสียงเงียบของเครื่องยนต์ขับกล่อม ผมจ้องลึกสบตามันผ่านภาพสะท้อนก่อนมันจะเป็นฝ่ายหลุบสายตาลงเบื้องล่าง
"จะให้กูบอกเฮียมึงใช่ไหม?"
ผมบังคับให้มันสบตาผมด้วยคำพูด ตาตี่ๆของมันพยายามเบิกขึ้นเล็กน้อยระริกไหว มือที่ถูกผมแตะเบาๆที่หลังมือเริ่มออกแรงบีบจนผมต้องใช้นิ้วตัวเองประสานไม่ให้อีกฝ่ายทำร้ายตัวเองมากเกินไป
"เล่ามาให้หมด..."
ว่ากันว่า ปลาใหญกินปลาเล็ก คนโง่ย่อมเป็นเหยื่อของคนฉลาด
ฉลาดในที่นี้ไม่เคยมีคำจำกัดความเสียด้วยว่าจะฉลาดในรูปแบบไหน ฉลาดด้วยสติปัญญา ฉลาดด้วยไหวพริบ หรือฉลาดในกลโกง
ผมยอมรับอย่างหนึ่งว่าเอกเป็นคนฉลาด มันเลือกเอาความอ่อนแอของตัวเข้าหาเพื่อนสนิทแฟนให้ใจอ่อน แค่ความเห็นใจเล็กๆน้อยๆของไอ้บูมกลับกลายเป็นความประมาทเปิดโอกาสให้คนที่จ้องจะทำลายแทรกตัวเข้าใกล้อย่างเงียบเชียบ ความระยำของเอกไม่ได้จบแค่ฉวยโอกาสกับไอ้บูมคืนนั้น เรื่องขื่นขมค่อยๆถูกระบายออกมาจากปากรุ่นน้องอายุห่างกันไม่ครบ12เดือนเต็มมีทั้งการทำร้ายร่างกาย แต่ยังมีคลิปวีดีโอที่ถูกถ่ายเอาไว้แบลคเมล์มันอีก ระยะเวลาร่วมเดือนที่ความสัมพันธ์จัญไรๆนี้เกิดขึ้นกับบูมและเอก ผมรับฟังเรื่องราวเท็จจริงทั้งหมดจากปากแดงๆของไอ้หมวยตรงหน้าฟังโดยไม่เสนอความคิดเห็นใดๆ
"ตอนคบกับกาย เอกก็เป็นแบบนี้ บูมคิดมาตลอดว่ามันคงรักกายมาก..."ไอ้บูมไม่ได้มีสีหน้าเศร้าสลด มันเรียบเฉยเสียจนผมแปลกใจว่ามันไม่โกรธเกลียดไอ้เอกบ้างหรือยังไง "พี่ปันรู้ไหม? ที่บูมผิดหวังที่สุดไม่ใช่เรื่องที่เอกมันเหี้ยแบบนี้หรอกนะ บูมไม่ใช่ผู้หญิงที่จะต้องกลัวว่าจะมีอะไรเสียหาย ไม่ใช่ครั้งแรกด้วย ก่อนหน้านี้บูมก็มีแฟนมาเรื่อยๆอยู่แล้ว แต่เป็นไอ้กายต่างหาก"
ไม่ใช่เรื่องบังเอิญหรอกครับที่บูมจะนัดผมไปที่ร้านนั้น ไม่ใช่ว่ามันเหงา ไม่ใช่อยากออกมาเที่ยวกับผมด้วย แต่เหตุผลทั้งหมดทั้งมวลของมันคืออยากเจอเพื่อนคนนั้นอีกครั้ง ได้อธิบายพูดอะไรในสิ่งที่มันเคยเอ่ยครั้งแล้วครั้งเล่าแม้ดูเหมือนคำขอโทษของมันไม่เคยได้เข้าไปถึงอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย
"ให้เวลามันหน่อย มันเพิ่งเลิกกันไม่ถึงเดือนดี เป็นใครก็ชอคแหละวะ แต่เชื่อกู บูม เพื่อน ยังไงมันก็เป็นเพื่อน"
ไม่มีเหตุผลใดๆมากพอที่จะตัดความสัมพันธ์ของคนที่ช่วยเหลือเกื้อกูลกันมาตลอด ไม่มีข้อบังคับอะไรที่จะทำให้เราเกลียดคนที่เรารู้จักดีที่สุด ทางฝั่งไอ้กายผมเองก็พอจะจินตนาการถึงความรู้สึกของมันออก อาจเป็นไปในทำนองผิดหวังที่ถูกเพื่อนและแฟนร่วมกันหักหลัง กระนั้นผมยังศรัทธาว่าเวลาจะเป็นยารักษาทุกสิ่งเมื่อมันก้าวหมุนไป
"ที่จริงวันนั้นกูก็เห็นมึงอี๋อ๋อกันดี"
"โหยพี่ ผมไม่ใช่นางเอกจำเลยรักที่ไม่กลัวบทลงโทษ โดนซ้อมทีเดียวก็เข็ดแล้ว อีกอย่างกำลังหาจังหวะเหมาะๆ ลบคลิปอยู่ในมือถือกับคอมพ์ที่บ้านมันอยู่ แต่ไอ้สัตว์นี่ระวังตัวแจ"
บูมโคลงโยกหัวลอบถอนหายใจออกมาเป็นระยะ
"จะให้กูช่วยไหม?"
ผมไม่ใช่พวกที่อยากจะยุ่งเรื่องคนอื่น เป็นมนุษย์ที่จัดอยู่ในพวกใครจะทำอะไรก็ทำไปอย่าให้มาเดือดร้อนกูพอ แต่หลังจากฟังเรื่องคร่าวๆของไอ้หมวยแล้วก็อดไม่ได้ที่จะยื่นตีนเข้าไปแหย่ ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับผมเลยที่จะกำจัดใครสักคนให้พ้นหูพ้นตา ในแวดวงธุรกิจ เบื้องหลังภาพคุณหญิงคุณนายคุณชายคุณท่านทั้งหลายล้วนแต่เป็นฉากมืดที่คนสามัญธรรมดาคาดไม่ถึง มือของทุกคนสะอาด เพราะสิ่งโสมมที่เกิดขึ้นใต้รอยยิ้มแห่งมิตรไมตรีล้วนแต่ชี้นำออกคำสั่งให้ชนชั้นไพร่ลงมือทั้งสิ้น กระนั้น โชคดีครอบครัวที่ไม่ใช่อันดับต้นๆของแวดวงธุรกิจอย่างผมก็ยังอยากมีชีวิตปกติสามัญ อำนาจบารมีที่นายภาคภูมิ ผู้เป็นบิดาสร้างไว้จึงเป็นเพียงเกราะบางๆไม่ให้ใครเข้ามากอบโกย เอารัดเอาเปรียบให้เดือดร้อนได้เท่านั้น
"ไม่เป็นไรหรอก แค่พี่ปันมาตามนัดก็ช่วยบูมมากแล้ว ไม่รู้จริงๆว่าถ้าไม่มีพี่วันนี้ผมจะเข้าไปคุยกับมันยังไง"
นั่นไง ซื้อหวยไม่เห็นถูกแบบนี้บ้าง ห่า เอากูออกมาเป็นตัวล่อชัดๆ
"งั้นธุระมึงหมดแล้วสินะ เออ ดี กูจะได้เอามึงไปโยนไว้ที่บ้านแล้วกลับไปนอน"
"ดีเลย บูมอยากไปบ้านพี่ปัน"
มือที่ปล่อยออกจากหลังมือนิ่มของไอ้หมวยมาจับเกียร์รถชะงัก ปรายหางตามายังคนที่เอาแก้มแนบคอนโซลรถอ้อนๆแล้วผมก็ถอนใจหน่าย
"มึงจะไปทำไม"
"พี่ปันไปทำอะไร?"
"กูจะกลับไปนอน"
"บูมก็อยากนอนกับพี่ปัน"
'อยากนอน'ของมึงนี่มีความหมายแฝงใช่ไหมไอ้บูมมึงถึงฉีกยิ้มแก้มปิดตาขนาดนั้น ทะลึ่งทะเล้นไม่มีใครเกิน ผมส่ายหัวก่อนค่อยๆผ่อนแรงที่เท้าจากเบรคมาเป็นคันเร่ง แคมรี่ของพ่อค่อยๆเคลื่อนตัวออกไปเบื้องหน้า
"จะจีบกูหรือไง?"
ผมถามผ่านความเงียบที่ก่อตัวขึ้นภายในห้องโดยสารโดยไม่สบตามัน ผมอ่านไม่ออกว่าสิ่งที่บูมทำอยู่คือแค่หยอกเล่นตามประสาเด็ก หรือชอบผมจริงๆ บูมก้มๆเงยๆเหมือนหาแผ่นซีดีในซองอยู่แล้วตอบผมเหมือนไม่ใส่ใจ
"ได้หรือเปล่าล่ะ?""ไม่ได้ กูไม่ได้ชอบผู้ชาย"
ผมตอบชัดเจน เหมือนน้องไอ้บอมจะเจอซีดีเพลงที่ถูกใจแล้วมันถึงเงยหน้าขึ้นมายัดแผ่นกลมๆใส่เครื่องเล่นเพลงหน้ารถ
"ยังไม่ลองเลย รู้ได้ไงว่าไม่ชอบ"
"ทำไมจะไม่รู้ นี่ตัวกูนะ"
เสียงเมโลดี้เพลง Misread จากนักร้องชาวนอร์เวย์ที่ผมชื่นชอบนักหนาดังให้ผ่อนคลาย บูมเคาะนิ้วตามจังหวะสบายๆของทำนอง
"พี่ปันไม่รู้เหรอว่าทำไมนักกีฬาถึงต้องมีโคช ทั้งๆที่โคชไม่ได้ลงเล่นด้วยสักหน่อย"
"จะพูดอะไรก็พูด อย่าลีลา"
"ถามจริงๆเถอะรู้ตัวหรือเปล่าว่าชอบแอบมองพี่เน็ต"
เอี๊ยดด..
ผมสะดุ้ง เผลอแตะเบรคตามปฏิกิริยาของคนขับรถที่กำลังตกใจ
"ก็เหี้ยแล้ว กูไม่ได้ชอบมัน"
"ไม่ได้บอกว่าชอบสักหน่อย คิดไปเอง แค่จะบอกว่าพี่ปันน่ะไม่ได้รังเกียจผู้ชายไม่ใช่เหรอ?"
"ถ้าแง่นั้นล่ะกูรังเกียจแน่ๆ!"
ไอ้บูมปลดเบลท์ออก ตอนนี้รถของผมจอดอยู่ริมทางในซอยยังไม่ออกถนนใหญ่ โชคดีที่ไม่ใช่ถนนที่มีรถสวนไปมาพลุกพล่านการเบรคตัวอย่างกระทันหันเมื่อครู่จึงเกิดแค่เสียงยางรถขูดครากกับพื้นยางมะตอยเท่านั้น
"อะไร?" ถามเมื่อบูมเริ่มขยับตัว ผมเหลือบมองมันด้วยหางตาแต่ยังไม่ทันได้พูดอะไรต่อไอ้หมวยก็ปีนข้ามเกียร์จากฝั่งมันมาคร่อมผมไว้ทั้งตัว ไหล่กว้างสองข้างถูกมือขาวๆออกแรงกดไม่มากนักเหมือนจะสั่งให้ผมอยู่นิ่งๆมากกว่าขืนบังคับจริงจัง บูมใช้น้ำหอมกลิ่นchance ของ chanel ผมรับรู้ได้เมื่อมันเบียดตัวเข้ามาใกล้ กลิ่นลมหายใจของมันยังติดมิลค์เชคโอรีโอ้จากร้านกาแฟเมื่อครู่อยู่หน่อยๆ เช่นเดียวกับที่ปลายลิ้นที่ยังหอมกลิ่นนมและหวานรสครีมโอรีโอเมื่อผมได้ชิมมัน
"................."
ริมฝีปากแดงตอดดูดที่กลีบปากผมอีกครั้ง และผมก็ทำเช่นเดียวกันกลับไป บูมเอียงคอเผยอริมฝีปากให้ลิ้นชื้นของผมชอนไชเข้าไปลึก เสียงครางอย่างพออกพอใจดังลอดออกมาจากลำคอ มือที่กดไหล่ผมไว้เปลี่ยนสอดสางเข้าไปในเรือนผมเล่น ขณะที่มือของผมค่อยๆเลื่อนมาลูบบั้นทายงอนของน้องชายเพื่อนสนิทด้วยปฏิกิริยารีแอคชั่นอันเป็นปฏิกิริยาของระบบประสาทที่ตอบสนองของร่างกายที่อยู่ใต้อำนาจจิตใจ
เราจูบกันจนน้ำลายเปียกจาถึงปลายคาง ริมฝีปากช้ำเจ่อแดงและระบมไปหมดคนที่นั่งคร่อมผมไว้ถึงค่อยๆดันตัวออกมา
"เห็นม้า ไม่ได้รังเกียจจริงๆด้วย"
บูมยิ้มจนตาปิด มือทั้งสองข้างของมันยังประสานคล้องกันไว้ที่ท้ายทอย ผมเบือนหน้าหนีจากมันไปยังอีกฝั่งของถนนที่เป็นกำแพงอิฐของรั้วบ้านเปล่าๆ
"เขินเหรอ?"
เปล่า! กูละอาย! ผมถอนหายใจแล้วแกะมือตุ๊กแกให้ปล่อย จูบมันไปแล้ว ถึงตัวเองไม่ใช่คนเริ่มแต่จัดสนองมันเต็มอัตราขนาดนั้นก็ไม่ต้องสนแล้วแหละว่าใครเริ่มก่อน ไอ้บูมหัวเราะคิกคักปีนกลับไปที่เบาะของตัวเองหลังจากสมใจอยาก ใช้นิ้วชี้พันปลายผมที่ระต้นคอของมันแล้วพูดเสียงใส
"พี่ปันจูบเก่งชะมัดเลย..."------------------------------------------COMPLETE Friend's brother Brother's friend 0720/05/12
มาตามสัญญาเมื่อสายันต์คร้าบบบ พาร์ทที่แล้วเฮียถูกคนอ่านงอนหนักเราพักยกไว้หน่อย เผื่อใครคิดถึงปันนี่ (ชื่อแลดูคาวาอี้มาก >///<)
ตอนนี้แต่งตามอารมณ์เลยค่ะ แต่งไปแต่งมาหมั่นเขี้ยวปัน จับจูบซะ (อนุมานตัวเองเป็นบูมไปเรียบร้อย) เรื่องเลยออกมาเอวังด้วยประการฉะนี้ แล้วเหมือนเพิ่งมาระลึกได้ด้วยตัวเองว่า เฮ้ย ไอ้พี่น้องบ้านนี้ ชิงจุ๊บคนอื่นอีกแล้วรึ? ตอนหน้าจะให้มันปล้ำจูบกันเองเสียดีมั้ย #ประชด
ตอนต่อไปคาดว่าจะเสร็จเฮีย เอ้ย เฮียจะเสร็จเทันวันพฤหัสเน่อ ช่วงนี้งานไม่เยอะเท่าไหร่ ฮิฮิ ขอบคุณที่ติดตามกันมานะคะ รักคนอ่าน ชุบชุบ