Friend's brother Brother's friend 17, รอจนกว่า
[NET's talk][/b]
ผมมีเวลาอีกราวๆเดือนครึ่งจากวันนี้ก่อนเข้าสู่เทศกาลฝึกงานภาคฤดูร้อนของนิสิตชั้นปีที่ 3 พวกเราร่วม 50 คนถึงต้องมานั่งประชุมในห้องภาคที่มีอาจารย์ยืนอธิบายรายละเอียดอยู่หน้าชั้นเรียน สถานที่ฝึกงานจะถูกทางคณะกำหนดให้ ส่วนใครจะได้ไปที่ไหนนั้นแล้วแต่ความสะดวกของแต่ละคน แน่นอนว่านิสิตส่วนใหญ่ก็จะเลือกใกล้บ้าน ยิ่งงานโยธามีให้ทำทุกจังหวัด ยิ่งนอกเขตเมืองการก่อสร้างพัฒนาก็ยิ่งผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด ไม่ต้องห่วงเลยว่าเด็กต่างจังหวัดจะไม่ได้ฝึกงานตามบ้านเกิดของตัวเอง
“มึงเลือกได้ยังวะเน็ต”ไอ้โชติสะกิดถาม เห็นมันเถียงกันล้งเล้งว่าจะเอาบริษัทเดียวกันกับที่เฟิร์นหมายตาไว้ ผมปรายตามองแผ่นกระดาษเอสี่ จริงอยู่ว่ามีเด็กต่างจังหวัดอยู่มาก แต่นิสิตที่บ้านอยู่ในกรุงเทพก็มีโขขณะที่งานค่อนข้างจำกัด ผมเลยตั้งใจว่าจะระเห็ดไปอยู่แถบๆชานเมืองหรือต่างจังหวัดที่ไม่ไกลจากกรุงเทพเท่าไหร่จะได้ไม่ต้องมาแย่งกับเพื่อนคนอื่นๆที่ไม่สะดวกใจจะไปอยู่ไกล อีกอย่างเวลาเฮียขับรถไปหาจะได้ไม่ต้องเหนื่อยนัก
ระยะเวลา 2 เดือนไม่ได้ยาวนานจนต้องแดดิ้นคิดถึงใจจะขาด แต่ผมคิดว่าในความสัมพันธ์ของผมกับเฮียที่ไม่มีชื่อเรียกตอนนี้คงอยากเจอกันบ้าง เป็นไรไป ถ้ามันไม่มาหา ผมก็กลับมากรุงเทพจะได้เยี่ยมแม่ไปด้วย ถึงป้าแกจะไม่ใช่คนขี้เหงาแต่ตั้งแต่ที่พี่เนยออกเรือนไปผมก็ไม่ค่อยอยากให้แม่อยู่คนเดียวบ่อยๆสักเท่าไร
“กูว่าจะไปอยุธยา บริษัทนี้มีชื่ออยู่น่าจะสอนงานกูบ้าง มึงอะ?”
“เฮ้ย ไปบริษัทเอกชนเหนื่อยนะ นี่ต้องอย่างกูเข้าราชการ อย่างมากก็ซีรอกซ์”
“อ่อ พอดีกูอยากได้ความรู้บ้างน่ะ”
ผมยกยิ้มที่มุมปากหลอกด่ามันไปเนียนๆ ไอ้โชติเบะปากหมั่นไส้
“กลับมาดำเป็นเหนี่ยงแน่มึงเอ๋ย ไปอยู่บริษัทก่อสร้างเนี่ย ถึงตอนนั้นล่ะเฮียเขี่ยมึงทิ้งแน่ๆ”
ผมยักไหล่ไม่แคร์ ก็ให้มันรู้ไปสิว่าถ้าผมดำแล้วเฮียมันจะไม่สนใจจริงๆ นี่ใครครับ ถ้ามันรับผมว่าที่นายช่างใหญ่ไม่ได้ก็เลิกจีบซะตอนนี้เถอะ จะได้เสียใจไม่มาก ถึงผมจะตัวเล็กผิวขาวแต่ก็อย่าลืมกันไปนะว่าไม่ใช่ผู้หญิง จะมาบอบบางอ่อนแอโดนแดดไม่ได้ทำงานหนักแล้วจะเป็นลมนี่ไม่ไหว โอเคผมยอมรับผมเป็นเกย์ เป็นเต็มตัวแล้วด้วยไม่มีเหตุผลมาฉุดรั้งเหมือนตลอดห้าปีที่ผ่านมาว่า เฮ้ย! กูไม่ใช่เกย์นะ กูไม่ชอบผู้ชายคนไหนนอกจากไอ้ปัน เพราะตอนนี้มีผู้ชายอีกคนที่ทำให้ผมต้องก้มหน้ารับสภาพเพศตัวเองแล้วว่า พอเถอะเน็ตเอ๋ย เลิกหลอกตัวเองแล้วยืดอกภูมิใจในความเป็นเกย์แบบแมนๆได้แล้ว
ผมถอนหายใจรอส่งเอกสารยื่นเรื่องขอฝึกงาน เบ็ดเสร็จก็เก็บปากกาลงกระเป๋าสะพายข้างที่มีสมุดโนตกับเท็กซ์เรียนนอนสงบนิ่งอยู่ข้างในแล้วเดินออกจากห้องพร้อมเพื่อนภาคทั้งกลุ่ม พอเห็นไอ้บูมกับน้องหยกนั่งเล่นหมากรุกจีนอยู่หน้าห้องภาคเลยชวนไอ้โชติออกมาทักเด็กๆ
“มึงเข้าเรียนกันบ้างหรือเปล่าเนี่ย”
“อ้าว พี่เน็ต พี่โชติหวัดดี ผมเพิ่งเรียนเสร็จมาเนี่ย ยังเล่นไม่ทันจบกระดานเลย”
ไอ้บูมรีบตอบ ตั้งแต่ที่ร้านเหล้าตอนนั้นผมก็ไม่ได้เจอมันอีก ไม่ได้โกรธ หมั่นไส้ หรือไม่ชอบมันหรอกครับ แตเวลาเห็นหน้าผมก็แอบรู้สึกจี๊ดนิดๆอยู่ดี
ผมยังไม่หมดความรู้สึกไปกับไอ้ปันนี่... พอเห็นว่าใครที่เป็นคนได้ยืนจับมือมันแล้วก็อดอิจฉาไม่ได้เหมือนกัน
“ยังไม่เข็ดอีกเหรอวะหยก ครั้งที่แล้วโดนมันหลอกแดกตังค์ไปเท่าไหร่”
“พี่โชติ แบบนี้ต้องมีแก้มือดิ ใครจะไปแพ้มันได้ตลอด”
“ก็มึงไง”
ไอ้บูมหัวเราะโลกมืด โลกมันคงมืดจริงๆเพราะแก้มมันขึ้นไปปิดตาตี่ๆจนหมด ผมยิ้มตามน้ำกับมันนิดๆแล้วสะกิดแขนโชติพงษ์ให้ออกไปหาอะไรกินด้วยกัน
“พี่เน็ตไม่มีเรียนแล้วเหรอ?”
“อืม จะออกไปหาอะไรกินแล้ว ไปด้วยกันป่าว”
“พี่รหัสเลี้ยงป่าวล่ะ”
“จะให้เลี้ยงก็ลุก กูหิว ยังไม่ได้แดกอะไรแต่เช้า”
ไอ้บูมลุกพรึบเอากระเป๋าพาดบ่า น้องใครวะแม่งไม่ค่อยจะตะกละเลย ไอ้หยกโวยวายว่ายังเล่นไม่จบตาแต่สิ่งที่มันได้รับจากบูมคือรอยยิ้มฉีกให้เห็นฟันครบ32ซี่แล้วเมินเฉย บูมไม่สนใจเลยว่าเพื่อนมันจะโกรธรึเปล่าดึงแขนรัวๆให้ผมพาไปกินข้าว ไอ้โชติหัวเราะเอิ๊กอ๊ากชอบใจเสียงฟึดฟัดของรุ่นน้อง พอทำทีชวนหยกมาด้วยมันก็บอกว่ารอน้องเก๋เลิกเรียนอยู่ เดี๋ยวจะออกไปหาของกินนอกม.กับแฟน
สุดท้ายผมกับอีก 2 ตัวก็มาถึงโรงอาหารวิศวะ มีโต๊ะว่างผมก็นั่งจองแล้วสั่งให้บูมให้ซื้อมาฝากด้วย ก๋วยเตี๋ยวไก่ตุ๋นรอคิวไม่นานมันก็ยกมาวางหน้าผมก่อนโชติพงษ์จะซื้อข้าวเสร็จ บูมมันหนีบน้ำเปล่าไว้ที่จั๊กแร้เพราะมือไม่ว่าง พอวางตรงหน้าปุ๊บผมก็โซ๊ยเส้นหมี่ขึ้นมาปั๊บ
“พี่เน็ตประชุมเรื่องฝึกงานเหรอ ไปที่ไหนอะ?”
บูมชวนคุย ผมเลยรีบๆกลืนไอ้ที่ยัดเข้าปากเมื่อกี้ลงคอแล้วดื่มน้ำตาม
“ยุธยา มึงไปเซอร์เวย์แคมป์นี่ปีนี้? ไปจังหวัดอะไร?”
“ระยองอะพี่ ไปกับภาคสำรวจด้วย”
มันก้มลงกินบ้าง พอดีกับไอ้โชติที่กระแดะไปสั่งข้าวไข่เจียวเพิ่งเดินมาถึง
“ไวเนอะ เดี๋ยวก็จบกันแล้ว พี่เน็ตกับพี่โชติเรียนต่อปะ?”
“กูยังไม่สอบไฟนอลปี 3เลยนะ อย่ารีบให้กูแก่นักเลย”
ผมตอบมันยิ้มๆ โชติพงษ์พยักหน้าหงึกหงักเห็นด้วย “แต่กูก็คิดแล้วนะว่าพอจบกูจะทำงานก่อน”
“ใช่ๆ บอมก็บอกงั้น มันบอกว่าถ้าขอZ4ป๊าได้แล้วต้องหาตังค์เติมน้ำมันเอง ไม่งั้นอด”
เออ สรุปคือกูล่องลอยอยู่คนเดียวสินะ ผมไม่พูดอะไรเพราะกระเพาะกำลังทำงานได้ดี นั่งยัดห่ากินเอาๆปล่อยให้ไอ้สองตัวมันสนทนากันไปเรื่อย
“ไอ้หมอนี่ไม่ต้องคิดเลย จบหลังพวกกูอีกตั้ง2ปี เออ แล้วมึงคุยกับปันบ้างป่ะวะ?”
“ก็คุยบ้าง แต่พี่ปันตอบบูมว่า
‘เรื่องของกู’ แม่งใจร้ายสัตว์”
“ฮ่าๆ วันก่อนมึงบอกว่าเป็นแฟนกันไม่ใช่เหรอในร้านเหล้าน่ะ”
“เป็นก็เหี้ยแล้วพี่โชติ วันนั้นบูมรำคาญไอ้ขี้หม้อคนนั้นเหอะเลยแกล้งพูดไป แล้วเป็นไงรู้ไหม พอขึ้นรถไอ้พี่ปันมันหัวเสียใส่บูมใหญ่เลยว่าไปพูดแบบนั้นทำไม บลาๆๆ เชี่ยนี่เห็นนิ่งๆพอหงุดหงิดนี่บ่นเป็นหมีกินผึ้ง”
“ปกติกูไม่ค่อยเห็นมันบ่นนะ แต่อย่างมึงมันก็น่ารำคาญจริงๆแหละบูม ฮ่าๆ”
ไอ้โชติแกว่งปากแขวะไอ้ตี๋แล้วไง ตาเล็กๆของรุ่นน้องตวัดขวับมองเพื่อนพี่ชายแล้วส่งเสียงชิชะในลำคอ ผมยิ้ม ไม่ได้รู้สึกโล่งใจอย่างประหลาดที่ได้รู้ว่าปันไม่ได้เป็นแฟนกับบูม ใจหนึ่งอาจเป็นเพราะผมรู้จักปันมานานมากพอที่จะรู้แล้วว่ามันไม่ใช่คนที่คบกับใครเงียบๆง่ายๆโดยที่เพื่อนในกลุ่มไม่รู้ความเคลื่อนไหว ปันไม่ได้กระโตกกระตากเรื่องเด็กของมันมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแต่ถ้าคนๆหนึ่งที่ไม่เคยคบใครจริงจัง แล้วหันมามีแฟนเป็นตัวเป็นตนแน่นอนว่ามันต้องมีศิราณีประจำตัวหรือคนที่พอจะเห็นความเปลี่ยนแปลงของมันบ้าง ถึงแม้เพื่อนคนนั้นจะไม่ใช่ผมที่มันปรึกษา อย่างน้อยคนมีประสบการณ์อย่างหมอโต๊ดน่าจะพอรู้และขยายความให้ถึงหูผมบ้าง ไม่ใช่นิ่งเฉยไร้ข่าวการเคลื่อนไหวเหมือนทุกวันนี้
“บูมน่ารำคาญเหรอพี่เน็ต”
น้องรหัสมันกระเง้ากระงอดถาม ผมเลยปลอบส่งๆกลัวจะหาว่ารุ่นพี่รังแกเด็ก “มึงก็พูดไปไอ้โชติ บูมมันก็น่ารักดี”
“ใช่ๆ ซ้อใหญ่พูดถูก” ผมปรับหน้ายิ้มกลายเป็นหงิกแทบไม่ทัน มึงไม่น่ารักก็ตรงนี้แหละปรมัตถ์ คราวนี้ไอ้โชติเลยหัวเราะจนข้าวในปากแม่งกระเด็นหลุดมาด้วย
“เป็นซ้อใหญ่แล้วเหรอมึง?”
“เก็บปากไว้แดกข้าวเหอะโชติพงษ์” ไอ้คนวอนโดนตีนนั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่แต่ก็ไม่ยอมสงบปาก มันหันมาถามไอ้บูมในประโยคที่ทำให้ผมเองก็สะอึกไปนิดๆเหมือนกัน
“ว่าแต่พี่ชายคนรองของมึงยอมรับซ้อใหญ่หรือยังวะ?”
ถ้าพูดถึงบอมล่ะก็ ผมเคยสนิทกับมันมาก.. ไปไหนมาไหนก็มีติดสอยห้อยตามไปด้วยตลอด เราพูดกันในทุกเรื่องที่คิดแต่ตอนนี้ผมกลับทำตัวเป็นวัวสันหลังหวะไม่อยากเจอไม่อยากคุยด้วย ลองแพลมหัวเข้าไปให้เห็นสิ คร้านจะโดนมันเค้นขี้แตก โชคดีนิดหน่อยที่ปกติแล้วสำหรับผมกับพวกมหาลัยนั้นจะเจอกันนานๆที ยอมรับนะว่าแรกๆหลังจบมัธยมผมก็ใจหายซึ่งคิดว่าโชติคงไม่ต่างกัน ในเมื่อมันกับหมอโต๊ดสนิทกันมาตั้งแต่เด็ก พอวิถีทางเดินเปลี่ยนไป เราก็ต้องแยกจากอะไรๆที่เคยชินจนรู้สึกว่างเปล่า
แต่ความเจ็บปวดใดๆคงมีไม่เท่ากับที่ผมไม่ได้แอบมองไอ้ปันอีก แม้กระทั่งวันสุดท้ายของช่วงมัธยมทั้งๆที่ตั้งใจจะเล่นคีย์บอร์ดเพลงที่ไปซุ่มฝึกกับเฮียให้ปันฟังแต่ก็ไม่มีโอกาส โกรธตัวเองที่ไม่เคยกล้าพอ โกรธไอ้ปันที่ไม่คิดจะเดินมาหาผม มันใช้ชีวิตปกติธรรมดาในรั้วมหาวิทยาลัยจนแรกๆผมเองก็น้ำตาตกที่มันไม่เคยจะคิดว่าการที่ผมหายไปจะทำให้ส่วนหนึ่งส่วนใดในใจมันแหว่งไปบ้าง จนความน้อยอกน้อยใจเปลี่ยนเป็นชินชา มีแค่วาบหวามให้ใจเต้นตึกตักขึ้นมาบ้างในโอกาสที่ได้เจอปีละครั้ง
แต่พอคลื่นซัดฝั่งฟู่ แล้วทุกอย่างก็จะกลับมาสงบเหมือนเดิมผมเหลือบตามองไอ้บูมที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม มันเป็นเด็กที่น่าสนใจในระดับหนึ่ง บุคลิกของบูมมันขัดแย้งกันตลอดเวลา บางทีก็ดูเป็นเด็กใสๆ บางครั้งก็ดูเป็นผู้ใหญ่โชกโชน บางครั้งมันก็น่าเป็นห่วง ถึงส่วนใหญ่แล้วคนที่อยู่ใกล้มันน่าจะเป็นคนที่ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษมากกว่าก็เถอะ
แต่ที่แน่ๆที่ผมรู้คือมันเป็นคนประเภทกล้าได้กล้าเสีย พร้อมจะลุยได้ทุกสถานการณ์ ซึ่งผมชื่นชมข้อของนี้มันมาก
บูมฉลาดเป็นกรด ภายใต้รอยยิ้มหวานๆนั่นเลยดูอันตรายหน่อยๆผมแค่วิเคราะห์นิสัยมันคร่าวๆนะ ไม่ได้ล้วงไปลึกถึงเรื่องส่วนตัวอื่นๆ อันที่จริงไอ้บูมเป็นคนที่ไม่ค่อยเปิดปากเล่าเรื่องของตัวเองกับคนอื่นนอกจากบอมสักเท่าไร ผมเองก็ฟังผ่านๆจากเพื่อนตัวเองอีกทีผสมโรงจากการสังเกตตามประสาพี่รหัสที่ถูกฝากฝังมาเท่านั้น
ผมไม่รู้ว่าบูมจะเป็นคนที่ไปเติมเต็มช่องโหว่ที่เวิ้งว้างในใจปันได้หรือเปล่า แต่บางทีในความคิดที่สวนทางระหว่างไม่อยากให้ปันมีใครกับให้ปันรู้จักรักใครสักคนเสียทีผมก็อยากให้บูมเป็นคนนั้น เพราะอย่างน้อยผมก็จะเห็นคนที่ยืนข้างๆปันได้ตลอดเวลา
ไอ้โชติกินข้าวหมดเป็นคนสุดท้ายแต่เราก็ยังไม่ลุกไปไหน ไอ้สมองเหี้ยหันมาถามน้องรหัสผมท่าทีจริงจังขึ้นหลังจากที่บูมมันก็ตั้งหน้าตั้งตากินก๋วยเตี๋ยวในจานไม่ยอมตอบคำถามทีเล่นทีจริงที่ว่าบอมมันยอมรับหรือเปล่าถ้าผมจะมีความสัมพันธ์กับเฮียแบบนั้น จนตี๋เล็กต้องนั่งย่นจมูกเพราะถูกบังคับตอบ
“บูมจะไปรู้ได้ไงล่ะ”
“แล้วมันรู้เรื่องนี้มากแค่ไหน?”
ผมไม่รู้ว่าบูมมันรู้แผนการส่งผมมาทดสอบเฮียของไอ้บอมหรือเปล่า แต่ความสนิทสนมที่มันเป็นพี่น้องวัยไล่กันกินนอนอยู่บ้านหลังเดียวกันคาดว่ามันก็น่าจะพอรู้ ตี๋เล็กโคลงหัวไปมาก่อนตอบ
“ก็ถามบ่อยๆแหละ บูมไม่ได้เล่าละเอียดหรอก แต่ก็มีเกริ่นๆไว้บ้างเหมือนกัน กลัวบอมรู้รับไม่ได้ด้วยแล้วก็กลัวเฮียหน้าแตกถ้าจีบพี่เน็ตไม่ติดด้วย”
เออ ดีแล้วกูยังไม่อยากไปช่วยมึงหามพี่มึงเข้าโรงบาลเพราะชอคตาตั้ง ไอ้โชติหัวเราะเสียงต่ำเหล่ตามองผมกวนๆ
“เรื่องหลังไม่ต้องกลัวหรอก พี่คอนเฟิร์มว่ะ จีบติดชัวร์ๆ” ไอ้สัตว์นี่ต่อยกับกูเลยไหม! รู้ดีเกินไปแล้ว!
“จริงดิ! พี่เน็ตชอบเฮียแล้วเหรอ?”
“มึงก็ฟังไอ้โชติมากไปบูม” ผมปัดไม่เต็มปากเต็มคำ
“ทำไมอะ เฮียไม่ดีตรงไหน นี่ขนาดเจ้ทรายยังอยากได้คืนเลย โทรมาร่ำๆให้บอมช่วยง้อเฮียทุกวัน ดีนะไม่สนิทกับบูมไม่งั้นมีหวังโดนหางเลขไปด้วยอีกคน”
ผมนิ่งไปพักนึงแล้วถามน้องรหัสเนียนๆ "แล้วเฮียมึงไม่สนบ้างหรือไง"
"ไม่อะ ตั้งแต่เลิกกันเฮียไม่เคยรับสายเจ้เลย เลิกขาดมาก"
คนพูดแจ้วๆส่ายหัว ความรู้สึกสองอย่างกำลังตีกันรวนไปหมด ดีใจ แหงล่ะ มีคนชอบและไม่รวนเรเป็นใครมันก็ต้องดีใจ แต่อีกใจกลับรู้สึกผิดนี่ถ้าไอ้บอมรู้ขึ้นมาว่าเฮียมันเป็นเกย์เพราะผม ยิ่งถ้ารู้ว่าผมเองก็หวั่นไหวไปด้วย แบบนั้นจะมองหน้ามันยังไง
“พี่เน็ตอะใจแข็งเกินไปแล้ว.. เฮียเคยโทรมาฟ้องด้วยว่าพี่เน็ตอะใจร้าย”
“กูเนี่ยนะใจร้าย นี่กูใจดีจนน่าใจหายแล้วต่างหาก เฮียมึงแม่งได้คืบจะเอาศอก” ผมโวย
“พี่เน็ตก็ให้เฮียเอาๆไปเถอะน่า แล้วจะติดใจ”
“ทะลึ่งแล้วไอ้สัตว์”
โชติพงษ์ระเบิดหัวเราะกร๊ากลั่นโรงอาหาร ผมเริ่มลังเลขึ้นมาว่าจะตีหัวไอ้น้องรหัสหรือไอ้เพื่อนร่วมทุกข์ที่นั่งขำตัวหงิกงอกันก่อนดี สุดท้ายก็เลยได้แต่งอนรวบช้อนกับตะเกียบไปเก็บที่วางจานหนีไอ้สองตัวที่เข้ากันดีเป็นปี่เป็นขลุ่ย โชติพงษ์รีบตามผมมาติดๆกันก็เป็นไอ้บูมที่ยิ้มตาหยีไม่สำนึก
“ไม่เอาน่าๆ อย่างอนบูมดิ ล้อเล่นหน่อยเดียว”
“กวนตีนนะมึง เดี๋ยวกูตัดสายรหัส”
“โอ๊ยไม่ทันแล้ว ตัดสายรหัสแต่ความสัมพันธ์ฉันท์ญาตินี่มันตัดไม่ได้นะซ้อ”
ยัง ยังกวนกูไม่เลิก ผมหันมาเหวี่ยงๆหางตามองมันช่วยหยุดแซวกูสักสิบนาทีเถอะไอ้ปรมัตถ์
พอวางจานเสร็จโทรศัพท์ไอ้โชติก็ดัง เห็นว่าพี่ตี๋พี่รหัสมันโทรมาถามเรื่องฝึกงานแล้วจะชวนไปตีดอทต่อ ผมพยักเพยิดหน้าไล่มันกลับภาคไปส่งๆแล้วหันมาหาไอ้คนที่ยังดูดน้ำจนหยดสุดท้ายก่อนเงยหน้าขึ้นมายิ้มแผล่
“พี่เน็ตไปไหนต่อ?”
“ว่าจะไปเดินท็อปส์ ซื้อของไปทำกับข้าวเย็นนี้ มึงล่ะ?”
“บูมว่าจะไปหาพี่ปันที่ ม. เดี๋ยวเดินออกไปด้วยกันไหม? บูมไปขึ้นรถประตู 3”
ผมพยักหน้าเห็นด้วย จากโรงอาหารไปป้ายรถเมล์ประตู 3 ที่ฝั่งตรงข้ามถนนเป็นท็อปส์พอดิบพอดีไม่ไกลเท่าไหร่ เดินไปคุยไปคงถึงก่อนรถรางวิ่งวนแน่ๆ แดดตอนบ่ายร้อนจัดๆแต่ก็ไม่มีใครบ่นอะไร
“บูม มึงตั้งใจจะจีบไอ้ปันจริงๆเหรอ?”
“หืม? ลองดูก็ไม่เป็นไรนี่ อย่างมากก็แค่อกหัก”
บูมตอบเรียบๆพลางยิ้มอ่อน เท่าที่รู้ผมเคยเห็นบูมมีแฟนก่อนหน้านี้2คน คนแรกเหมือนคบกันมาตั้งแต่มัธยมพอขึ้นมหาลัย ปลายๆปี 1 ก็เลิกกันไป อีกคนก็คือไอ้เอกที่ผมเห็นฝั่งนั้นตามมันติดแจเมื่อเดือนสองเดือนก่อนหน้านี้ คนจีบบูมผมก็เห็นเรื่อยๆ มันเป็นเด็กอัธยาศัยดีคุยกับเขาไปเรื่อยแต่ก็ไม่ได้มีใครลึกซึ้ง ส่วนใหญ่มันมักจะอยู่กับหยกหรือไม่ก็สายรหัสมันอย่างผมหรือพี่ก้องบ้าง ไม่ใช่คนเจ้าชู้แต่กะล่อนพอตัวตามนิสัยขี้เล่นของมันนั่นแหละ
“แต่พี่ปันอะ จีบโคตรยากเลย ถามคำตอบคำสุดๆ บูมจะหมดมุกคุยด้วยแล้วเนี่ย”
“แหงล่ะ มันตั้งใจจะติดอันดับหนุ่มโสดคลีโอ มึงรู้แล้วก็ถอนตัวซะเหอะ”
ผมพูดหยอกมันไป ไอ้บูมก็บ้าจี้หัวเราะแล้วบอกว่า “เออๆ ต้องใช่แน่ๆ” ผมก็อดยิ้มขำไปด้วยไม่ได้ ปันมันประเภทหวงความเพอร์เฟค ไม่รู้ว่าจะหวงไว้ทำซากอะไรนักหนา
“แต่จะพูดก็พูดเถอะนะพี่เน็ต บูมถามอะไรอย่างดิ”
“เรื่องไอ้ปันเหรอ? ถ้าเป็นเรื่องที่ไม่โดนมันกระทืบนะจะบอกให้”
“พี่ปันไม่กระทืบพี่เน็ตหรอก พี่เน็ตต่างหากจะกระทืบบูม”
ไอ้บูมเอา2มือล้วงกระเป๋าเสื้อช็อป ผมเลิ่กคิ้วขึ้นนิดๆตอนที่มันเงียบไปแต่ไม่นานบูมก็ยิ้มเศร้าแล้วพูดต่อ
“พี่เน็ตยังชอบพี่ปันอยู่หรือเปล่า”ผมได้ยินเสียงวิ้ง วิ้งอยู่ในหัว ปลายรองเท้าเผลอสะดุดเล็กๆบนฟุตบาทที่ไม่มีอะไรเกะกะ เหมือนรอยยิ้มจะถูกสต๊าฟไว้ให้ค้างอย่างนั้น
มันรู้เรื่องนี้? รู้มานานแค่ไหน? รู้จากใคร??“ไปเอามาจากไหนวะ กูกับมันเพื่อนกัน”
หลังจากสติเลื่อนลอยไปพักหนึ่งผมก็ตอบมันยิ้มๆ เอื้อมมือไปผลักไหล่ที่สูงกว่าไหล่ผมพอประมาณเบาๆเชิงหยอกล้อ
“งั้นบูมคงคิดไปเอง”
สายตาตี๋เล็กเลื่อนลอยออกไปไกลจนผมต้องจับมันโยกหัว
“อย่าเพ้อเจ้อน่า”
ไอ้บูมยิ้มตาหยี พอเห็นแบบนั้นผมถึงโล่งอกขึ้นมาหน่อยว่ามันไม่ได้เป็นอะไรแล้วจริงๆ อดไม่ได้ที่จะลองแซะถามมันขำๆ
“ถ้ากูชอบมึงจะทำไม เสยคางกูเลยไหมเนี่ย”
“โอย ใครจะแกล้งพี่รหัสลง บูมส่งให้เฮียจัดการดีกว่า” คราวนี้ไอ้บูมตบบ่าผมเบาๆแล้วพูด”เนอะ”หน้าตาเฉย
เนอะห่าอะไร! เชื่อกูเถอะร้อยทั้งร้อยเฮียมันไม่จัดการกูด้วยการเสยคางหรอก ลากกูขึ้นเขียงที่เรียกว่าเตียงแล้วฟัดนี่ว่าไปอย่าง ผมทำหูตาโตไอ้เวรนี่เผลอแป๊บเดียวแซวกูอีกแล้วนะแต่ยังไม่ทันได้โวยวาย ตี๋เล็กก็วิ่งไปป้ายรถเมล์โบกมือหยอยๆให้ผมซึ่งเดินถึงตีนสะพานลอยพอดิบพอดี ผมชี้หน้ามันอย่างคาดโทษจนสุดท้ายมันก็ขึ้นรถตู้หายไปเหลือไว้แค่ผมกับความรู้สึกว่างเปล่าในใจ
ผมชอบปันก็จริง แต่ไม่เคยคิดจะเสียงที่จะลองอกหักเหมือนที่บูมทำ.. ดังนั้นจะไปพูดจากันท่ามันก็ใช่เรื่อง
ถ้าบูมบอกว่า
’คงคิดไปเอง’ นั่นหมายความว่ามันคงสังเกตผมมาระยะหนึ่งจนแน่ใจเลยถามเชิงขออนุญาต
ผมแค่นยิ้มกับตัวเอง มีสิทธิ์ไปห้ามด้วยอย่างนั้นหรือก็เปล่า บางทีคนเราก็ควรอยู่ในตำแหน่งของตัวเอง อยู่กับความจริงให้มากกว่าความฝัน พอคิดได้แบบนั้นหน้าของอดีตนายแบบก็โผล่เข้ามาให้ผมต้องอมยิ้มถึงสาเหตุที่ทำให้ตัวเองต้องมาเดินซูเปอร์มาเก็ตเหงาๆในช่วงบ่ายแก่ๆ
วันนี้เฮียออกไปกองถ่ายตั้งแต่เช้าก่อนผมตื่นเสียอีก มันบอกว่าสัปดาห์หน้าต้องออกต่างจังหวัดอีกแล้ว พักนี้ดูโหมงานเหนื่อยๆกว่าจะกลับก็มืดตลอด เมื่อคืนผมนอนก่อนมันแล้วตื่นมากลางดึกเห็นเฮียกลับมาต้มมาม่ากินก่อนนอนก็แอบรู้สึกผิดนิดๆ มานอนตากแอร์ ชาร์จแบตไอโฟนห้องมันแต่ไม่เคยทำตัวให้เป็นประโยชน์อะไรสักอย่าง ไม่รู้เฮียบ้าหรือโง่ที่ลงโทษคนไม่ได้เรื่องด้วยการจูบหน้าผากก่อนนอนทุกคืน
เดี๋ยวๆ อย่าเพิ่งเข้าใจผิด ผมไม่ได้ย้ายมาอยู่กับมันถาวรหรอกครับ แค่ช่วงนี้เฮียบอกว่างานเยอะมากทั้งกองถ่ายทั้งที่ต้องเอามาใส่เอฟเฟคในออฟฟิศ ละครก็เริ่มออนแอร์ไปแล้วจะมีผิดพลาดไม่ได้เด็ดขาดดังนั้นมันเลยขอกำลังใจเล็กๆด้วยการได้นอนกอดผมเฉยๆโดยที่สัญญาเป็นมั่นเหมาะว่าจะไม่ทำทะลึ่งหรือลวนลามเกินความจำเป็นแน่ๆ
ไอ้ตอนรับปากก็ยังไม่ทันคิดหรอกว่า แล้วมันมีความจำเป็นอะไรให้มึงลวนลามกูวะ
แต่เอาเถอะ ผมก็ยังอยู่รอดปลอดภัยมาได้ถึงทุกวันนี้ ไม่อยากบอกหรอกว่ามันเป็นพ่อพระเอก พ่อคนดี แต่ส่วนหนึ่งผมว่าที่แม่งไม่ทำอะไรกูก็เพราะเหนื่อยหมดแรงมาจากกองแล้วมากกว่า
แม่ผมเป็นครูสอนทำขนม ฝีมือในการทำกับข้าวแน่นอนว่าต้องเด็ดสาระตี่ แต่คนที่ได้มรดกด้านนี้ไปเต็มๆคือพี่เนยลูกสาวที่ออกเรือนไปแล้ว เหลือก็แต่ผมที่พอทำได้แบบเอาตัวเองรอดไปวันๆ อย่างมากก็ไข่เจียว หมูทอด กับสารพัดต้มจืดเท่านั้นแหละ เพราะงั้นถ้าเฮียมันฝันว่าผมจะเป็นพ่อศรีเรือนให้มันนี่เลิกคิดไปได้เสียเถอะ เกินความสามารถจริงๆ
ไม่นาน ผักกาด หมูสับ รวมไปถึงเครื่องปรุงเล็กๆน้อยๆก็กองกันอยู่บนรถเข็น ที่คอนโดมันไม่มีเครื่องครัวสักอย่างดังนั้นมันจะได้แดกต้มจืดไมโครเวฟฝีมือณัฏฐนิชแน่ๆ ส่วนข้าวเดี๋ยวซื้อแบบขายเป็นถ้วยไปอย่าเรื่องมากเสียเวลาหุง ผมเดินออกมาจ่ายเงิน ไม่ลืมซื้อขนมติดห้องนิดๆหน่อยๆไปด้วย นึกถึงช่วงสอบที่ผมวุ่นๆ ตอนนั้นเฮียเตรียมของกินเครื่องบำรุงไม่เคยขาดตกบกพร่อง เรียกได้ว่าถ้าต่อสายน้ำเกลือได้มันคงทำไปแล้วผมนี่สิไม่เคยใส่ใจอะไรมันสักอย่าง ไม่เคยถามว่ามันชอบกินอะไรไม่ชอบอะไร เท่าที่สังเกตมันก็ไม่ได้ดูเป็นเทวดามาจากไหนคือถ้าหิวเจอร้านข้าวที่ไหนก็กิน ไม่ได้ติดหรูต้องกินห้างหรือร้านอาหารดีๆ ถ้าไม่นับเรื่องหน้าตากับรถแล้วผมก็คิดว่ามันไม่ได้วิเศษเลิศเลออย่างที่แฟนคลับชื่นชมนักหรอก
เฮียมีมุมงี่เง่าเกรียนแตก มีมุมทะเยอทะยาน บางทีก็อบอุ่น บางครั้งก็โกรธเกรี้ยว ทะลึ่งทะเล้น เห็นแก่ตัว สกปรกและอีกหลายๆอย่างต่างจากภาพลักษณ์ที่ถูกมองจากภายนอกโดยสิ้นเชิง ผมยังจำภาพมันในความคิดสมัยก่อนได้ว่าเป็นคนที่เข้าถึงยากและจับอารมณ์ไม่ค่อยได้
เปล่าเลย มันแค่รู้จักวางตัวเท่านั้น
ผมยืนเคาะช้อนอยู่หน้าซิงค์ล้างจานจนสัญญาณเตือนหมดเวลาของไมโครเวฟดัง ใส่ถุงมือกันร้อนยกถ้วยต้มจืดออกมาควันฉุย ชิมรสชาตินิดหน่อยพอรู้สึกว่ากินได้แล้วก็ครอบฝาชีแก้วไว้บนเคาท์เตอร์ครัว เดินมาเปิดทีวีดูหนังช่องสตาร์มูฟวี่จนค่อยๆผล็อยหลับ กระทั่งเสียงกุกกักดังขึ้นจากประตูนั่นแหละ ผมถึงได้ตื่นขึ้นมามองนาฬิกา ปาเข้าไปห้าทุ่มกว่าแล้วเฮียเพิ่งถอดรองเท้าเก็บเข้าตู้ พอมันเห็นผมนอนอยู่ที่โซฟาก็เดินมาหา
“ทำไมไม่เข้าไปนอนในห้องดีๆ ไม่เมื่อยหรือไง”
“มันเผลอหลับไปเอง เฮียกินอะไรมาหรือยัง?”
“ยัง ทำงานเสร็จก็รีบกลับมา มึงไปนอนซะเดี๋ยวกูหาอะไรกินรองท้องแล้วตามไป”
“มีต้มจืด ผมยังไม่ได้กินข้าวเหมือนกัน เฮียไปอาบน้ำดิเดี๋ยวอุ่นรอ”
“ทำเองเหรอ?”
“ซื้อมา”
ไม่มีทางหรอกถ้าจะตอบว่า ครับ เน็ตทำเอง สุดฝีมือเลยนะ ฆ่าปาดคอกูเลยเหอะ เฮียยกมือขึ้นมายีผมสีส้มๆที่ตอนนี้มันลีบจากการสระเมื่อช่วงเย็นไปเรียบร้อยแล้วเดินเข้าห้องน้ำ ผมก็ผละจากทีวีมาในครัวเหมือนกัน ไม่นานกับข้าว1อย่างพร้อมข้าวเปล่าสองจานก็ถูกยกมาวางบนโต๊ะเตี้ยหน้าทีวีพร้อมกับเจ้าของห้องที่ออกมาจากห้องน้ำ
เฮียสวมผ้าเช็ดตัวสีขาวพันท่อนล่างเอาไว้ มันนั่งขัดสมาธิลงบนพรมข้างๆผมแล้วตักต้มจืดร้อนๆซดชิมรสชาติ
“ถูกปากหรือเปล่า?”
“ก็พอกินได้ เค็มไปหน่อย ซื้อที่ไหน?”
“แถวๆนี้แหละ เมื่อคืนเห็นนั่งซดมาม่าแล้วสงสาร”
ไอ้คนนั่งข้างๆผมอมยิ้ม มันซดน้ำซุปเข้าปากอีกรอบแล้วพูดขึ้นมาลอยๆ
“มึงรู้มั้ยเน็ต อาหารที่อร่อยเมนหลักมันไม่ใช่ว่าเรากินอะไรหรอก มันอยู่แค่ว่ากินกับใครเท่านั้นแหละ”
หน็อย มึงจะบอกว่าต้มจืดกูนี่รสแย่อย่างนั้นใช่ไหม? ผมชะงักนิดๆเหลือบมองคนพูดด้วยหางตา เฮียมันยังกินไปมองทีวีไปไม่ได้สนใจผมเท่าไหร่แต่หูกลับแดงจัด นี่มึงเขินเรื่องอะไรวะ?
“กูดีใจนะที่มึงซื้อของกินมาให้ แล้วก็ทั้งดีใจทั้งโกรธที่มึงอยู่รอกินข้าวด้วย ถ้าเป็นโรคกระเพาะอีกจะทำยังไง”
“เฮีย ผมไม่เคยเป็นโรคกระเพาะ ลืมๆเรื่องที่ไอ้บอมหลอกไปได้แล้วเหอะ”
“ถึงอย่างนั้นก็อย่าเป็นเลย มันรักษาไม่หาย มึงกินข้าวตรงเวลาได้ก็กินไปเถอะ ซื้อของมาให้กูก็พอแล้ว”
นี่ถ้ากูบอกว่าลงมือทำให้เองจะมีคนหัวใจวายตายไหมวะ เอาเถอะถือว่าทำบุญให้คนเฒ่าคนแก่ ผมจะนั่งกินเงียบๆของตัวเองไปก็แล้วกัน
จากนั้นตลอดมื้อดึกก็ไม่มีคำสนทนา เหลือก็แค่คนบ้าสองคนนั่งกินไปยิ้มไป สุดท้ายเฮียก็เป็นคนยกจานไปล้าง ผมเช็ดโต๊ะเสร็จก็เข้าไปนอนเล่นรอมันในห้องนอน
ไม่นานผู้ชายผิวขาวจัดเดินตามเข้ามา มันล้มตัวลงข้างๆผมแต่ไม่ยอมปิดไฟโคมสีส้มเหลือง ตะแคงหน้าหันมามองปากยังไม่หยุดยิ้มตั้งแต่กลับมา
“เป็นเหี้ยอะไรเนี่ย ปิดไฟนอนได้แล้ว”
“ทำไมอะ ก็กูดีใจ”
“เยอะ!”
ผมด่า แต่ก็ไม่คิดว่าจะได้เห็นสีหน้าสลดของไอ้ตัวโตหรอกครับเพราะไม่เคยได้เห็นจริงๆจากสามใบเถาตระกูลนี้ มันเอื้อมมือมาแตะเอวผมรั้งให้ขยับตัวเข้าไปหาแล้วกอดจนจมหายไปในอก
“มึงแม่งโคตรน่าปล้ำ”
“ถ้ามึงปล้ำกูนะพรุ่งนี้เช้ากูตื่นมาตัดจู๋มึงโยนลงคอห่านจริงๆด้วย”
“โหดสัตว์! ไอ้เหี้ยกูก็ผู้ชายนะ จะมีอารมณ์กับคนที่รักมันแปลกตรงไหนวะ”
“มึมึงก็มีไป ไม่ต้องเอากูไปเกี่ยว มือน่ะมีไหม? ไปเอาออกเองสิวะ”
“กูก็เอาออกของกูทุกวันแหละ แต่มันไม่ฟิน...”
ผมทุบอกมันดังอึ้ก! ไม่ต้องห่วงครับผมไม่ได้ทุบแบบเขินอายอะไรแบบนั้นแน่ๆเพราะไอ้คนที่กอดผมถึงกับสะดุ้งโหยงทีเดียว เฮียหัวเราะเบาๆแต่ยังไม่คลายอ้อมแขนออก
“พร้อมเมื่อไหร่บอกกูนะ”
“ให้กูบอกยังไง เฮียครับ เอาเน็ตที... งั้นเหรอ?”
ผมเงยหน้าขึ้นถามมันตาขวาง ไอ้เฮียคงหมั่นไส้ถึงได้งับปลายจมูกของผมเบาๆ
“ถึงตอนนั้นพูดให้ได้แบบนั้นนะ อย่ามาป๊อดให้กูเห็น”
เออ! กูป๊อด!! นี่ยังไม่รู้เหรอว่าไม่ต้องรอให้ถึงเวลานั้นหรอก ตอนนี้กูก็ป๊อด กูเป็นไอ้ขี้ป๊อด ห่า ผมดิ้นอยู่ในแขนมันขลุกขลักๆ พักเดียวก็ขี้เกียจสะดีดสะดิ้งเฮียมันเลยเอี้ยวตัวไปปิดไฟโคมที่หัวเตียงให้ทั้งห้องเหลือแต่ความมืด
“เออ เฮีย ผมมีเรื่องจะบอก”
“อะไร พร้อมแล้วเหรอ?”
คร๊วยย หยุดคิดเรื่องใต้สะดือสักสิบนาทีเถอะครับ เฮียมันหัวเราะในลำคอพอเห็นผมเงียบไปแล้วแก้ให้ “ว่ามาๆ มีอะไร”
“ปิดเทอมนี้ต้องฝึกงาน ผมเลือกไปยุธยานะ สองเดือน”
“แล้วพักที่ไหน?”
“อาจารย๋น่าจะช่วยหาที่อยู่ให้แหละ”
“อืม เดี๋ยวไปหาบ่อยๆ”
มันพูด ก่อนจูบลงบนหน้าผากผมเหมือนทุกๆคืน
“แต่ตอนนี้นอนได้แล้ว ฝันดีนะครับ”
ผมยิ้ม ตอบมันไปแค่ “อืม...” ในลำคอเหมือนทุกวัน
เราจมอยู่ในอ้อมแขนของกันและกันและปล่อยให้ความมืดของรัตติกาลค่อยๆครอบงำสติให้หลุดลอยไป
------------------------------------------
COMPLETE Friend's brother Brother's friend 17
11/07/12ช่วงนี้ป่วยอะ ฟื้ดดด (สูดน้ำมูก) ตอนต่อไปยังไม่เขียนซักบรรทัดกำลังอยู่ในช่วงอึนๆ
ขออนุญาตไปกินยานอนนะคะ หายมึนแล้วจะรีบมาต่อเลย
