Friend's brother Brother's friend 27, เพื่อรอยยิ้ม..
[PUN's talk]
ก่อนหน้านี้ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้น
ได้รับโทรศัพท์จากบอมในสัปดาห์ที่สี่หลังจากเปิดเทอมโทรมานัดไปกินเหล้าที่ร้านเดิมย่านสะพานหัวช้างก็รีบเคลียร์งานแล้วบึ่งรถตามมาหลังกำหนดเกือบครึ่งชั่วโมง ผู้คนในร้านคืนวันศุกร์คลาคล่ำเบียดเสียด เสียงดนตรีสดดังกระหึ่มแต่ยังไม่ทำให้พวกที่นั่งเม้ามอยกันหน้าเวทีเลิกล้มความตั้งใจ โชติพงษ์ตะเบ็งเสียงคอโก่งคุยกับหมอโต๊ดที่วันนี้หนีบน้องอรมาด้วยอย่างออกรสชาด ขณะที่ไอ้บอมนั่งเทเหล้าให้น้องชายร่วมสายเลือดมันไป ปากยังขยับเคี้ยวกับแกล้มไปไม่หยุด
“ไง พวกมึง ได้ข่าวว่าวิศวะโปรเจคโหดกันไม่ใช่เหรอ?”
เพราะอาทิตย์ก่อนเจอไอ้บอมในที่ๆน่าจะเจอมันน้อยสุดอย่างห้องสมุดเลยรู้ความลับนี้มาว่าโปรเจคจบของนิสิตวิศวกรรมศาสตร์โหดถึงขั้นต้องแลกหนังสือค้นคว้ากันข้ามมหาวิทยาลัยเลยอดแซวไม่ได้ ไอ้บอมทำหูตาขวางแล้วเปลี่ยนใจยกแก้วของบูมให้ผมซึ่งนั่งลงบนเก้าอี้ข้างๆน้องชายมัน
“ไอ้เหี้ย กูชวนมาปลดปล่อยไม่ใช่มาย้ำเรื่องหนักหัว แดกไปแล้วหุบปากเลยสัตว์ปัน”
“เฮ้ย เอาแก้วใหม่สิ นั่นมันของบูม”
หมวยเล็กร้องแหว ไม่เจอมันสองเดือนเห็นสีหน้าวันนี้ดูดีขึ้นกว่าครั้งสุดท้ายที่เจอชัดเจน เห็นแล้วก็สบายใจจนผมอดหยอกแซวมันเล็กๆไม่ได้
“เป็นไวรัสตับหรือไง ให้กูแดกต่อไม่ได้”
“เปล่า เป็นเอดส์! เอาคืนมาเลย”
“งกน่า เอาคืนไปเลย ไม่อยากแย่งของเด็ก แล้วนี่เน็ตไปไหน”
ประโยคแรกผมบ่นไอ้บูมตอนคืนแก้วให้ ส่วนประโยคหลังเปลี่ยนเป็นถามคนอื่น เห็นอยู่ว่าที่นั่งข้างไอ้บอมยังวางเสื้อชอปของเน็ตไว้แต่ไม่ยักเห็นตัว สุดหล่อประจำกลุ่มเลยพยักเพยิดไปทางห้องน้ำ
ตั้งแต่กลับมายังไม่เจอมันเลย..
คิดถึงเท่าไหร่แต่สุดท้ายก็ทำอะไรไม่ได้เพราะไม่ได้อยู่ในฐานะที่สมควรทำ.. ดังนั้นถึงงานจะหนักหนา วันนี้ยังไงตัวเองก็ต้องมาขอเจอหน้ามันสักหน่อย
“เข้าห้องน้ำหรือสูบบุหรี่?”
“อย่างหลัง.. ช่วงนี้มันดูดจัด กูกับโชติปรามก็ไม่ฟัง”
“เครียดเรื่องโปรเจคเหรอ?”
“เปล่า.... เรื่องเฮีย...”
สิ้นเสียงบอกไอ้บอมก็หลบตาลงต่ำ ผมเหลือบมองบูมเหมือนขอคำขยายความจากนี้แต่มันก็ไม่พูดอะไร หมอโต๊ดกับไอ้โชติยังคุยสัพเพเหระโดยที่น้องอรแจมด้วยเป็นระยะเหมือนหลุดไปอยู่อีกกลุ่ม กระทั่งเพื่อนตัวเล็กเดินกลับเข้าร้านมามันก็ยิ้มให้ทั้งที่ตายังดูล้าๆกับอะไรหลายอย่าง
“นี่บินตรงมาจากเมการึไงวะ กว่าจะมาถึง”
ไอ้เน็ตยังทำปากดีแซวคนอื่น มือขาวที่ดูแห้งผอมลงหยิบเสื้อชอปออกจากเก้าอี้ทรงเตี้ยแล้วนั่งแทน ผมมองทุกอิริยาบถของมันแม้กระทั่งตอนที่ยกแก้วเหล้าขึ้นดื่มยังดูลอยๆชอบกล
“นี่มันเสื้อไอ้โชติไม่ใช่เหรอ?”
“หา? อ๋อ.. อืม กูทำโปรเจคกลุ่มเดียวกับมันเลยไปขลุกตัวอยู่ที่บ้านมันมา”
“แล้วทำไมโชติมันไม่ไปนอนที่หอมึงแทน ใกล้มหาลัยมากกว่าด้วย”
ผมถามโดยไม่ได้คิดคำตอบอะไรล่วงหน้า แต่พอไอ้เน็ตหลบเบือนสายตาทำเฉไฉ ใจก็นึกอยากคาดคั้นคำตอบขึ้นมาตงิดๆ
ในเวลานี้ที่เสียงดนตรีพาดผ่านช่องว่างของอากาศ ฝั่งหัวโต๊ะยังคุยกันสนุกสนาน ส่วนผม บอม บูม และเน็ต กลับเหมือนจมอยู่ในความคิดของตัวเอง แก้วเหล้าของบอมกับเน็ตคู่ซี้ผัวเมียสลับกันยกขึ้นลงไม่ขาดปาก ราวกับจะกินแข่งกัน ไม่นานจากที่มันมอมตัวเองจนหนำใจไอ้เน็ตก็ลุกขึ้นไปสูบบุหรี่ต่ออีกรอบให้ผมทิ้งสายตาไว้ที่แผ่นหลังซึ่งอันตรธานหายไปกับกลุ่มชนกระทั่งเสียงกระแอมไอของไอ้บอมดังขึ้น จึงหันหน้ากลับมามองบทเริ่มต้นสนทนาเกี่ยวกับบรรยากาศแปลกๆที่เกิดขึ้นทั้งหมดในเวลานี้ด้วยความตั้งใจ
“ทราย ทิ้งกู..”
สิ้นเสียงไอ้บอม นอกจากผมที่รอฟัง พวกที่ทำทีเหมือนไม่อยากยุ่งเรื่องชาวบ้านก็หูผึ่ง โชติพงษ์ทำหูตาโตกว่าใครขณะที่ไอ้หมอโต๊ดลูบสกินเฮดเกรียนๆของมันแบบงงๆกับประโยคบอกเล่าสั้นๆซึ่งประกอบด้วยประธาน กริยา และกรรมอย่างชัดเจนของปารณ
ต้นเรื่องถอนหายใจยาวเหยียด ก่อนกระดกแก้วแอลกอฮอล์สีอำพันขึ้นดื่มย้อมใจเพื่ออธิบายประโยคแรกเพิ่มเติม
“เน็ตมันขอให้ทรายเลิกให้ความหวังกู แลกกับมันจะเลิกกับเฮีย..”
“เฮ้ย!”เป็นคำอุทานประสานเสียงของผู้ร่วมโต๊ะทุกคนยกเว้นบูมซึ่งผมคิดว่าคงคุยกับไอ้บอมก่อนมาร้านแล้ว ปารณถอนหายใจซ้ำให้อายุสั้นอีกเฮือก มองทอดออกไปยังทิศที่ไอ้เน็ตเดินหายไป กระทั่งไอ้หมอโวยวายทำหน้าเหยเก
“ไอ้เชี่ยบอม มึงทำอะไรลงไปวะ? มึงก็รู้ว่าไอ้เน็ตคิดยังไงกับพี่มึง”
“กูรู้ แต่ไม่คิดว่ามันจะเป็นขนาดนี้นี่หว่า.. แล้วอะไร ทำไมมึงห่วงแต่ไอ้เน็ตวะโต๊ด กูก็แซดนะ”
“มึงแซดน่ะถูกแล้วเพราะเจ้ไม่ได้รักมึง แต่ไอ้เน็ตกับเฮียรักกัน แล้วใช่เรื่องที่ไหนที่จะต้องมาแซดไปกับมึงทั้งๆที่มันสองคนรักกันเนี่ย”
ไอ้บอมทำหน้าสำนึกผิดขึ้นมา หมอโต๊ดเลยเลิกด่า โชติพงษ์ทำท่าลูบเคราแพะที่โผล่ขึ้นมาหรอมแหรมคิด
“เฮียไม่ยอมเลิกใช่ไหม เชี่ยเน็ตถึงไปมุดหัวอยู่บ้านกูเป็นเดือนๆ ไล่กลับหอก็ไม่กลับ เรียนเสร็จแทนที่จะอยู่ทำโปรเจคที่มอก็ขนไปทำที่บ้านกู เลิกเรียนปุ๊บลากกูกลับบ้านปั๊บเหมือนกับหลบใครตลอดเวลา”
“กูไม่รู้ กูก็ไม่เจอเฮียเหมือนกัน แต่จะให้เดาก็คงไม่จบนั่นแหละ วันก่อนกูคุยกับทรายแก้วเขาก็ยังฟูมฟายเรื่องเฮียอยู่เลย”
บอมยกเหล้าขึ้นดื่มจนหมดแก้ว ไอ้บูมที่เงียบอยู่นานไหวไหล่แล้วถอนใจแทนพี่มัน “ใครก็ได้ช่วยด่าบอมให้บูมทีเถอะว่ามันโง่ ผู้หญิงทำกับขนาดนี้ก็ยังยอมคุยด้วยอยู่ได้ บูมไม่อยากด่าพี่ชายตัวเองเลย กลัวบาปจะตายชัก”
“ถุย แค่นี้มึงก็ด่ากูแล้วไอ้แต๋ว”
บอมคงเมาแล้วถึงได้กัดแม้กระทั่งน้องชายสุดที่รักของตัวเองเหวี่ยงๆ โชคดีที่คนน้องมันมีสติถึงแค่แยกเขี้ยวใส่พี่ชายแล้ววางแก้วกระทั้นแสดงให้เห็นว่าไม่ชอบใจแต่ไม่ระรานหรือต่อปากต่อคำอะไรให้งานกร่อยไปกว่าเก่า
“แล้วนี่จะเอายังไงต่อ.. ทั้งพี่ทั้งเพื่อนมึงกู่ไม่กลับแล้ว บอม มึงรับไม่ได้จริงๆเหรอวะถ้ามันจะคบกัน”
หมอโต๊ดถาม มันเป็นคนเดียวในตอนนี้ที่กล้าเตือนสติศูนย์กลางจักรวาลกลุ่มอย่างปารณ ทั้งๆที่ปกติแล้วควรจะเป็นหน้าที่ผมแท้ๆแต่ในเวลานี้กลับรู้สึกหนักอึ้งในใจจนไม่อาจเป็นผู้ใหญ่ในกลุ่มคอยไกล่เกลี่ยเรื่องราวทั้งหมดได้ดังเก่า
“กูรับได้ รับไม่ได้แล้วยังไงวะ...” บอมถามเสียงอ้อแอ้ ไล้ปลายนิ้ววนรอบขอบแก้วตาลอย
“มึงน่าจะรู้ว่าที่เน็ตมันทำแบบนี้เพราะมึง”
“ก็ใครใช้ให้มันเสือกไปกินกับเฮียจริงๆล่ะ”
“ได้ข่าวว่ามึงนั่นแหละส่งมันไป ไอ้ปัญญาอ่อนเอ๊ย ไอ้เน็ตมันไม่เคยมีเมียข้อนี้ก็รู้กันอยู่ เคยถูกไอ้เหี้ยโชติตราหน้าว่าอนาคตมันจะเป็นเกย์ด้วยซ้ำมึงก็จับมันใส่พานประเคนให้เฮียที่เคว้งเพราะผู้หญิงของตัวเองกับน้องชายในไส้หักหลังหมาดๆ แล้วยังไง ตอนที่กูรู้ยังไม่แปลกใจเลยที่มันจะชอบกันจริงๆขึ้นมา เฮียมึงจบชายล้วน ทำงานในกองถ่ายเห็นเก้งกวางบ่างชะนีมาเยอะ มีผู้ชายตัวขาว เอวบาง ปากแดงมาให้มันลอง มันก็ลองสมใจมึงให้เลยไง.. ทีตอนนี้เสือกมาบอกว่าไม่อยากให้มันได้กัน ไอ้ไม่รักฝืนใจส่งมันไปให้ใกล้น่ะไม่เท่าไหร่ แต่พอรักกันไปแล้วต้องมาฝืนใจห่าง มึงก็น่าจะรู้นี่บอมว่ามันเจ็บขนาดไหน ทำไมมึงใจร้ายแบบนี้วะ”
หมอโต๊ดเทศน์ยาวเหยียดให้ตัวต้นเรื่องคิด ผมปิดตาหลับลงเมื่อรับรู้ถึงความเจ็บปวดในใจของไอ้เน็ตแล้วผุดลุกขึ้นจากโต๊ะโดยลืมสังเกตสายตาของน้องชายเพื่อนข้างๆที่สุดท้าย มันก็ยังทิ้งให้มองแผ่นหลังตัวเองละห้อยติดตามห่างๆ
กลิ่นเมนทอลลอยคละคลุ้งตลบหลังร้านเมื่อผมเดินพ้นประตูเข้าสู่เขตสำหรับผู้สูบบุหรี่ มีสิงห์อมควันยืนอยู่ราวๆสี่ถึงห้าคนโดยเว้นระยะห่างแก่กันเพื่อเป็นพื้นที่ส่วนตัว แต่คนที่เพิ่งทิ้งมวนบุหรี่ลงกระถางทรายเพื่อจุดมวนใหม่กลับมีเพียงคนเดียวเพราะนอกจากนั้นหลังจากหมดมวนแรกก็เดินกลับเข้าไปในร้านตามจุดประสงค์เดิมที่มาดื่มเหล้าไม่ใช่สูบบุหรี่
ณัฏฐนิชสวมเสื้อยืดสีน้ำตาลหลวมโครก เนื้อผ้าย้วยทิ้งตัวจนเห็นรูปร่างชัดเจนแบบไม่ต้องสัมผัส กางเกงยีนส์ขาเดฟตัวเก่งมันถ้าจะให้เดาคงไม่ได้ซักร่วมเดือนตามนิสัย ยืนกอดอกทอดสายตาเหม่อลอยออกไปไม่มีที่สิ้นสุด
“ยืมไฟแชคหน่อย”
ผมขอ เจ้าของมือขาวจึงยืนไฟแช็กสีเหลืองมาให้อย่างว่าง่าย ผมพยายามสบตามันที่เอาแต่เหม่อบ้าง หลบบ้างเหมือนคนไม่อยากสู้หน้าสังคมแต่ก็ไม่เป็นผล สุดท้ายตัวเองก็กลายเป็นฝ่ายล่าถอยถอนสายตามาสูบบุหรี่ข้างมันเงียบๆ
“เมาหรือยัง?”
เน็ตพยักหน้า มันดีอย่างตรงที่เน็ตไม่ใช่พวกฝืนรั้น เมาก็บอกว่าเมา ซึ่งสมควรอยู่ที่มันจะเมา จากที่เห็นเข้าร้านไปก็ซัดเอาๆแข่งกับไอ้บอมซึ่งเริ่มเลื้อยไปกับไอ้โชติแล้วตอนที่ผมออกมา ไม่รู้ว่าก่อนผมมาถึงพวกมันดื่มไปหนักแค่ไหนเวลานี้เน็ตถึงต้องใช้กำแพงยันเป็นที่พิงกาย ใบหน้าที่เคยขาวใสแดงจัดจนเห็นเม็ดสิวที่เห่อบนหน้าผากกว้างชัดเจน
แต่แม้จะมีคำพูดร้อยพันอยากพูดกับเพื่อนตัวเล็ก ทว่าในเวลานี้ผมกลับพูดอะไรไม่ออก ได้แค่ปล่อยให้ความเงียบครอบงำจนได้ยินเสียงลมหายใจผ่านก้นกรองของตัวเองจนน่าหนวกหู
ผู้คนที่มาสูบบุหรี่หน้าร้านเดินกลับเข้าไปเรื่อยๆ กระทั่งเหลือแค่ผมกับเพื่อนรักเพียงสองคนในที่สุด ผมจึงค่อยๆเอื้อมมือไปจับมือขาวของมันช้าๆ แววตาของณัฏฐนิชยังเหม่อเหมือนไม่รู้สึกถึงการล่วงเกินของใครอีกคนแม้แต่น้อยยิ่งทำให้ผมเจ็บใจ
ตัวไม่อยู่ตรงนี้ แต่เฮียก็ยังเอาหัวใจไอ้เน็ตลอยไปไกลได้ง่ายดาย
ไม่ใช่ช้าไปแค่ก้าวเดียว แต่ผมกำลังรู้สึกว่าเฮียเดินนำผมไปจนแทบไม่เห็นฝุ่น
“เน็ต...” “หืม?” เหมือนเจ้าของชื่อมันจะรู้สึกตัวจากแรงบีบที่มือมากกว่าเสียง ไอ้เน็ตพยายามดังมือตัวเองออกแต่ผมก็ไม่ยอมปล่อยไปง่ายๆจนคิ้วบางของณัฎฐนิชขมวดเข้าหากันด้วยความคลางแคลงใจ
“มึงผอมลงหรือเปล่า?”
“ก็..ไม่รู้สิ งานหนักว่ะ ไอ้เหี้ยโชติก็ไม่ค่อยช่วยห่าอะไรเลย ขนาดจะยืมหนังสือกูยังใช้มันไม่ได้”
ไอ้เน็ตแสร้งบ่นหัวเสีย ยิ้มเจื่อนที่ปากเหมือนคนยังมีชีวิตแต่ไร้ซึ่งจิตใจ ดูความคิดหลายอย่างตีรวนอยู่ในสมองมันมากกว่าปกติที่มันจะเป็น
เน็ตเป็นคนยิ้มง่ายกว่านี้... นั่นเป็นเสน่ห์ของมัน
“ถ้าเรื่องของเฮียจะทำให้มึงต้องเจ็บ ทำไมไม่ปล่อยให้มันผ่านๆไปวะ ลืมมันไม่ได้เลยหรือยังไง?”
“มึงพูดอะไร กูไม่ได้...”
“มึงไม่ต้องมายิ้มกลบเกลื่อน กูจำได้ว่ายิ้มของมึงสวยขนาดไหน ไอ้เน็ต... กูรู้ว่ากูไม่มีสิทธิ์จะพูดแบบนี้ แต่เปลี่ยนจากเฮียมาเป็นกูได้ไหมวะ? กูจะไม่ทำให้มึงต้องเครียดแบบนี้เลย”
ตากึ่งตี่กึ่งโตของไอ้เน็ตเบิกกว้าง มันพยายามดึงมือกลับจริงจัมากขึ้น แต่สุดท้ายก็ยังคงไม่สำเร็จ ณัฎฐนิชจึงยกมืออีกข้างขึ้นสูบบุหรี่ต่อด้วยความอึดอัดใจ
ใช่... ผมมองออกว่ามันอึดอัดใจ แต่ก็ไม่คิดอยากปล่อยให้มันหลุดไปเลย..
“...พูดอะไรของมึง ไอ้ปัน”
เน็ตพยายามผ่อนลมหายใจ มันไม่มองแม้แต่เสี้ยวหน้าผมขณะที่ผมยังคงจ้องหน้ามันจริงจังมากกว่าเก่า
“กูชอบมึง...”“ไม่ตลกนะเว่ย!”บุหรี่ของผมกับเน็ตตกลงบนพื้นแล้ว เหลือแค่แรงเหวี่ยงจากแขนเล็กๆที่ทำให้ผมรวบไว้แล้วดึงมันเข้ามากอด ใช้จังหวะที่ไม่ทันระวังฉวยเข้าจูบที่ปากให้กลิ่นของควันบุหรี่ที่ต่างผสมผสานกันในลมหายใจ
“..........”
ตัวณัฏฐนิชไม่ดิ้นรนต่อต้านแต่กลับสั่นสะท้านเหมือนคนหวาดกลัว ผมค่อยๆผละริมฝีปากออกมาเมื่อเห็นว่าตากลมจ้องเอาเรื่องแบบไม่ลดละ
“......เน็ต กู..”
“กู
เคยชอบมึง... ปัน...”
ตาของเน็ตไม่ได้หลุกหลิกเคลื่อนไหว กลับเป็นผมเองที่กรอกไปมาราวกับอยากห้ามไม่ให้อาการร้อนผ่าวที่กระบอกตาขับความหวาดหลัวของประโยคถัดไปออกมา
“แต่ตอนนี้กูรักเฮีย.. “
“เข้าใจกูไหม.. กูรักเฮีย...ถึงมันจะเป็นไปไม่ได้ ถึงบอมจะไม่ยอมรับ ถึงกูจะดึงเฮียตกต่ำ แต่กูก็รักมัน... รักแค่มัน”
ไม่ต้องมีคำปฏิเสธ ไม่ได้มีคำเอ่ยขอให้กลับไปเป็นเพื่อนกันเหมือนดังเก่า ไม่มีคำไล่ไม่อยากเจอหน้า แต่คำว่า
กูรักเฮีย กลับดังสะท้อนตั้งแต่สมองไปถึงจิตใจ
ไม่มีประโยชน์... ถึงอยากจะเยียวยาเป็นคนดูแลมันในเวลานี้เท่าไหร่ ผมกลับเห็นคุณค่าที่ไม่มีแล้วของตัวเองในสายตาคู่นั้นอย่างชัดเจน เน็ตขืนตัวด้วยแรงไม่มากแต่ผมก็ไม่อาจฝืนรั้งมันเอาไว้ เสียงฝีเท้าหนึ่งไกลออกไปให้ใจเจ็บ ขณะที่เสียงผ้าใบของใครอีกคนกลับเข้ามาใกล้...
ผมผ่อนลมหายใจเข้าออกช้าๆ กำมือที่อยู่ข้างลำตัวเข้าหากัน
“...พี่ปัน.....”ผมไม่รู้ว่าไอ้บูมตามมาตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่เสียงที่เรียกชื่อผมมันสั่นจนคิดว่าปรมัตคงได้ยินประโยคเมื่อกี้
“โอเคหรือเปล่า?”
ผมไม่รู้ว่าควรตอบว่าอะไร ตั้งแต่เกิดมาเพิ่งเคยรู้สึกสิ้นหวังที่สุดก็ครั้งนี้ แรงอุ่นเกิดวาบขึ้นที่แผ่นหลัง ไอ้บูมสอดแขนผ่านเอวหนาของผมสวมกอดจากด้านหลังโดยใช้แก้มนิ่มๆแนบผ่านผิวผ้า
“บูม....”
“ไม่ต้องหันมาหรอก..”
“.............”
“แค่รู้ว่ายังมีใครอยู่ตรงนี้อีกคนก็พอ...”ผมเงียบ จุดบุหรี่ขึ้นสูบอีกมวนเพื่อทบทวนความรู้สึกที่ขุ่นฟุ้งในใจ นึกสมเพชตัวเองที่นึกอยากฉวยเอาเวลาที่ไอ้เน็ตอ่อนแอเข้าแทรกไปในหัวใจมัน ทั้งๆที่สิ่งที่ผมควรทำตอนนี้ น่าจะเป็นสิ่งที่บูมทำกับผมมากกว่า
หมวยเล็กยังคงกอดผมนิ่งๆ ไม่พูดจารบกวนอารมณ์ที่รื้นขึ้นในอก นาน.. กระทั่งบุหรี่มวนนั้นมอดดับลง
"กลับเข้าไปข้างในกันเถอะ"
ผมแตะข้อมือที่กอดผมไว้ ปรมัตค่อยๆคลายแรงลงอย่างว่าง่าย พอพลิกตัวกลับก็เห็นรอยยิ้มอ่อนคล้ายปลอบประโลมของผู้ชายหน้าหวานรออยู่ก่อนให้ตัวเองเป็นฝ่ายหลบเลี่ยงสายตา แล้วกล่าว "ขอบใจ" เบาๆให้รอยยิ้มตรงหน้ายิ่งฉายกว้างขึ้น
"ไม่เป็นไร...เรา... ไปช่วยพี่เน็ตกันเถอะ..."
ผมกลั้นใจพยักหน้า ถึงแม้ไม่ใช่คนที่จะยืนตำแหน่งนั้นแต่เวลานี้เราทุกคนที่เป็นเพื่อน เป็นน้องไอ้เน็ตก็ควรทำอะไรสักอย่าง..
ทำอะไร ที่เรียกรอยยิ้มไม่มีพิษมีภัยนั่น กลับมาให้ได้..ผมกลับเข้ามาในร้านอีกครั้งพร้อมบูม เห็นพระเอกของงานนั่งงุ้มหน้าตาปรอยอยู่ที่เก่า สืบสาวราวเรื่องได้เป็นว่าพอมันหุนหันเข้าร้านมาก็รบเร้าชวนโชติพงษ์กลับ ทว่าไอ้ยักษ์ยังอยากอยู่ฝอยกับเพื่อนเก่าอยู่เน็ตเลยพลอยกลับไม่ได้ไปด้วย สุดท้ายจึงนั่งยกเหล้าซดจนเอียงตัวเอนลงหนุนตักไอ้บอมอย่างที่เห็น ตากึ่งตี่กึ่งโตมีหยาดน้ำใสๆเกาะอยู่ที่หัวตาโดยมีมือหยาบของไอ้บอมคอยลูบไม่รู้ว่าปลอบหรือเช็ดน้ำที่หยดจากแก้วเหล้าของมันลงแก้มกันแน่
ผมถอนหายใจยาวจนบูมเอื้อมมือมาแตะบ่าปลอบอีกครั้ง
"เน็ต... กลับกับกูไหม"
เพื่อนตัวเล็กปรือตาเปิด ค่อยๆยันตัวขึ้นลุกนั่ง สภาพตอนนี้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่เดี๋ยวพยักหน้าเดี๋ยวส่ายหัวเหมือนสับสนหลากหลายความคิดในหัว แต่สิ่งหนึ่งที่ผมอ่านชัดเจนว่าแฝงอยู่ในแววตาไม่แน่ใจของมันคือความรู้สึกหวาดระแวง ดังนั้นผมจึงส่งยิ้มแห้งๆไปให้
"ไอ้ที่เหลือน่าจะอยู่กันยาว เดี๋ยวบูมไปนอนบ้านกูด้วย มึงก็ไปด้วยกันสิ"
ผมตู่บังคับเอาน้องรหัสไอ้เน็ตหนีบไปด้วยหน้าตาเฉย เพื่อนตัวเล็กจึงยอมกึ่งพยักหน้ากึ่งสัปหงก ไอ้บูมไม่เพียงไม่ปฏิเสธให้ผมเสียหน้า มันยังทำรู้ดีไปหิ้วปีกพี่รหัสมันทั้งที่ตัวเองก็ไม่ได้ตัวใหญ่กว่าไอ้เน็ตสักเท่าไรด้วยซ้ำ พอจับคนเมาวางเป็นตุ๊กตาหน้ารถสำเร็จ เน็ตก็ผล็อยหลับ ผมคอยคาดเข็มขัดให้แล้วใช้นิ้วหัวแม่มือปาดหยดน้ำใสๆที่หัวตาช้ำออกเบามือ เผลอสบตาของบูมในกระจก จากนั้นก็ปล่อยให้ความเงียบสื่อสารกันและกันตลอดค่ำคืน
+++++++++++++++++++++
ขนมปังปิ้งส่งกลิ่นหอมเย้าจมูกยามสายผสานกับน้ำโสมจากเกาหลีอุ่นๆที่พ่อซื้อมาฝากเมื่อสัปดาห์ก่อนลอยมาจากห้องอาหาร ผมกดรีโมททีวีหรี่เสียงแล้วหันไปถามป้าดวงถึงแขกที่พักด้วยกันอีกห้องเมื่อคืนว่าตื่นกันหรือยังด้วยน้ำเสียงเรียบๆ
"คุณบูมตื่นแล้วค่ะ รอคุณเน็ตอาบน้ำอยู่ ประเดี๋ยวคงลงมาพร้อมกัน นี่ป้าก็เตรียมอาหารเช้าไว้ให้แล้ว"
สิ้นเสียงรายงานจากแม่บ้านก็ปรากฏร่างของบุคคลที่ถูกอ้างอิงพอดิบพอดี สภาพของเน็ตยังไม่ค่อยดีนัก ตาบวมช้ำจากที่ร้องไห้ตลอดคืน ทว่าปากสีสดก็ยังพูดคุยกับน้องรหัสเจื้อยแจ้วจากชั้นบน ชี้ให้เห็นว่ามันเสียใจแต่ไม่ได้เสียผู้เสียคนจนน่าเป็นห่วง
"เป็นยังไงบ้าง แฮงค์หรือเปล่า"
"ปวดหัว เมื่อยตัวนิดๆ ไม่เป็นไรมาก แต่หิวนี่ดิ ไส้จะขาดอยู่แล้ว"
คนพูดลูบท้องตัวเองไปด้วยตามประสา ผมผยักหน้าเดินนำเน็ตไปที่ห้องอาหาร บูมที่คุ้นทางดีรีบไปจองหัวโต๊ะซึ่งวางน้ำส้มคั้นสดเมนูโปรดของตัวเองตั้งแต่ครั้งที่มันมาอยู่ที่บ้านผมเป็นสัปดาห์ๆ
"ทำไมบูมได้น้ำส้ม แต่กูได้น้ำโสมวะ?"
ไอ้เน็ตเกาหัวแกรก พอยกชิมก็ทำหน้าปะแล่มๆ "ไม่มีน้ำส้มกูบ้างเหรอ?"
"ไม่มี อยากได้เมนูพิเศษต้องมาค้างบ่อยๆ"
"ไม่ต้องมาหยอด เมื่อคืนกูจำได้นะไอ้สัตว์"
มันค้อนผมปะหลักประเหลือก เห็นแบบนี้แล้วอยากให้มาเกี่ยงงอนกันทุกวันจริงๆเลยสิพับผ่า ผมหัวเราะแสร้งจิบน้ำโสมไปแล้วหันมาพูดกับไอ้เน็ต
"ถ้ามึงรักเฮียก็อย่าจำคำพูดกูเลย คิดซะว่าไม่เคยได้ยิน"
"กูไม่จำให้รกสมองหรอก"
อื้อหืออ ไม่ยักจะรู้มาก่อนว่าไอ้เน็ตจะใจร้ายได้ขนาดนี้ ผมซ่อนความรู้สึกขื่นไว้ในใจด้วยรอยยิ้ม แต่ก็เผลอสบตาไอ้บูมที่มองอยู่ตั้งแต่แรกให้ต้องชะงักในความรู้สึกไม่ได้
"ถ้าพี่เน็ตรักเฮียแล้วจะเลิกกับเฮียทำไมล่ะ"
"ละ..เลิกอะไร ไม่เคยเป็นแฟนกันสักหน่อย"
"โถ่ พี่เน็ต.. ไม่ต้องมาฟอร์มหรอก ไม่ทันแล้ว รักกันก็เป็นแฟนกัน ไม่เห็นจะยากเลย"
ไอ้บูมหันไปคุยกับพี่รหัสมัน บิขนมปังจิ้มแยมกินไปด้วย
"เฮียเลือกพี่เน็ตแล้วนะ.. ทำไมถึงหนีซะล่ะ"
"กู...ไม่ได้หนี แต่บูม มึงจะเข้าใจอะไรวะ มีตั้งหลายอย่าง"
"มันจะอะไรเยอะแยะ ทำตัวให้เยอะเองรึเปล่า บูมไม่เห็นเฮียจะมีเรื่องอะไรให้ต้องกลุ้มซักอย่างนอกจากพี่เน็ตไม่รับทั้งๆที่รักเนี่ย"
ไอ้เน็ตถอนหายใจ ดูเหมือนหัวข้อสนทนาของเช้าวันนี้จะรสชาดแย่กว่าน้ำโสมของพ่อเสียแล้ว
"มึงไม่อยากให้เฮียมึงแต่งงานเหรอวะ? ไม่อยากให้เฮียมึงประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานเหรอวะ? กูถามจริง มึงอยากให้ที่บ้านมองหน้ากันไม่ติดเหรอวะ? กูว่าไม่หรอกมั้ง"
"ทำไมพี่เน็ตถามว่าใครอยากให้อะไรเป็นยังไง แต่ไม่ถามคนที่พี่เน็ตแคร์ที่สุดอย่างเฮียล่ะว่าอยากให้พี่เน็ตคิดแทน ตัดสินใจแทนแบบนี้หรือเปล่า"
"คนเราแต่งงานเพราะอยากใช้ชีวิตกับคนๆนึงจนกว่าจะหมดลมหายใจไม่ใช่เหรอ คนเราอยากประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานเพื่อคนที่เราแคร์ไม่ใช่เหรอ แล้วสิ่งที่คนที่บ้านต้องการที่สุด ก็คือให้คนในครอบครัวเรามีความสุขก็พอไม่ใช่เหรอ พี่เน็ต คำตอบทุกอย่างบูมว่าเฮียตอบพี่เคลียร์หมดแล้วนะ จะคิดอะไรให้มากความ"
ณัฏฐนิชเม้มปากเข้าหากันแน่น มันกำหูแก้วจนเห็นเส้นเลือดสีเขียวเต้นตุบไปบนผิวขาว
"เน็ต อย่าดูถูกแม่ตัวเองว่าเขาเลี้ยงลูกมาไม่คู่ควรกับใคร ที่จริงกูไม่อยากพูดแบบนี้หรอกนะ แต่มึงลองเอาคำพูดไอ้บูมไปคิดให้ดี.. สิ่งที่มึงทำตอนนี้ ใครได้รับผลดีจากมันบ้าง...?"
ผมพูดปิดท้ายก่อนสบตาไอ้บูมเงียบๆ ความรู้สึกสาปแช่งปารมีกับไอ้เน็ตสุมอยู่เต็มอก แต่หากมันต้องแลกมาด้วยความว่างเปล่าของรอยยิ้มไอ้เน็ตล่ะก็ ผมขอให้ความริษยามันมอดไหม้ในใจก็พอ
"...แต่กูรับปากเจ้ไปแล้ว"
"พี่เน็ต เจ้ทรายไม่ได้ปล่อยมือบอมหรอกนะ.. แต่โชคดีของบอมน่ะ ที่มันฉลาดเหมือนน้องมันบ้างเสียที.. มันคุยกับเจ้ได้แต่ไม่ได้หน้ามืดตามัวเหมือนเมื่อก่อนแล้ว เพราะงั้นอย่าเอาเรื่องนี้มาอ้างอีกเลย"
บูมถอนหายใจ วางแก้วน้ำส้มลงบนที่รองแล้วหันมองพี่รหัสด้วยรอยยิ้มอ่อนในแววตา
"ตามใจตัวเองได้แล้วน่า.. ไม่มีใครว่าอะไรหรอก"
------------------------------------------
COMPLETE Friend's brother Brother's friend 27
12/09/12
สวัสดีวันพุธสีเขียว
ที่จริงเรื่องนี้ปันเป็นพระเอกค่ะ ส่วนเน็ตกับเฮียแค่ตัวประกอบเสริมสร้างความเป็นพระเอกให้ปันนภทั้งนั้น 
ขอบคุณสำหรับกำลังใจและคนที่ติดตามกันอยู่เนอะ รับรองค่ะว่าตอนท้ายไม่มีผิดหวัง ^^
เจอกันวันสีเขียวหน้าค่ะ
รักคนอ่าน 