Friend's brother Brother's friend 32, บทส่งท้าย
[NET's talk]
ทั้งที่เดิมแล้วเฮียบอกว่าจะพาป๊ากับม้าไปหาแม่ผมตั้งแต่วันที่เปิดแถลงข่าวกับทางบ้านในห้องโถงหน้าโทรทัศน์อย่างเป็นทางการเรียบร้อยแล้ว แต่วันต่อมากลับต้องเลื่อนนัดบุพการีทั้งคู่ไปเป็นไม่มีกำหนดเพราะแม่ต้องพาพี่เนยไปอัลตร้าซาวด์ที่โรงพยาบาลตามกำหนดนัดหมอ ผลออกมาคือแม่และผมได้หลานชาย โดยพี่เนยบอกว่าตั้งใจจะให้พระเป็นคนตั้งชื่อจริงเพื่อศิริมงคล ส่วนชื่อเล่นเป็นหน้าที่ของแม่ ซึ่งคงหนีไม่พ้นตระกูล น. เหมือนผมกับพี่สาวเป็นแน่ และเหมือนทอร์นาโดถล่ม วันหลังจากพี่เนยไปโรงพยาบาล ไอ้โชติดันกริ๊งกร๊างบอกข่าวดีกับผมกลางดึกว่าข้อมูลบางอย่างที่อยู่ในเครื่องคอมพิวเตอร์ของมันเปิดไม่ได้หลังจากพ่อเจ้าพระคุณไปโหลดหนังชมพูมาแล้วไวรัสแดกเครื่องดับ ทำเอาผมต้องนั่งปั่นโปรเจคหัวขวิดขนาดที่ว่าแทบจะกลืนกินไปกับวิชาไม่กี่หน่วยกิตเป็นเนื้อเดียวกัน จวบกับเฮียที่มีอีเวนท์ยักษ์เข้ามาอีกระลอก พี่เต้ยเองก็แทบลากเฮียไปอยู่กินด้วยกันไม่ต่างจากผมและโชติพงษ์ กระนั้นที่รักของผมก็ยังไม่ใจง่ายตามผู้ชายคนอื่นไปค้างอ้างแรม ถึงดึกดื่นมากแค่ไหนสุดท้ายเฮียก็กลับมานอนที่คอนโดพร้อมมื้อเช้าในตู้เย็นซึ่งแปะโนตสีชมพูไว้บนถุงว่า’อุ่นกินก่อนออกไปเรียนด้วย’
ผมไม่มีพ่อตั้งแต่เล็ก พอถูกดูแลแบบนี้เข้าหน่อยก็รู้สึกดีเหมือนมีปีกงอกเป็นผ้าอนามัย นึกอยากตอบแทนความใจดีนั้นก็เลยจัดการซื้อนมสดร้านอาแปะหน้ามหาวิทยาลัยมาฝากเฮียตอนค่ำๆ โดยไม่ลืมแปะโพสอิทสีเขียวสะท้อนแสงเขียนด้วยลายมือชุ่ยๆว่า ‘ดื่มก่อนนอนด้วยนะ’ ให้ตอนนี้มีกระดาษสีชมพูสลับเขียวแปะบนผนังห้องดาษดื่น หลังจากเคลียร์กับทางบ้านเฮียลงตัวแล้วผมก็รู้สึกเหมือนหลุดไปอีกโลก โลกที่เราก้าวข้ามคำว่าแฟน ไปเป็นคู่ชีวิตโดยปริยาย
เวลาดำเนินเรื่อยมาจนถึงช่วงสอบไฟนอล การดำเนินชีวิตของผมกับตี๋ใหญ่ยังเป็นไปแบบไม่ค่อยได้พูดคุยกันนัก กว่ามันจะกลับผมก็ผล็อยหลับไปก่อน และกว่ามันจะตื่น ผมก็ระเห็ดออกจากบ้านไปขลุกอยู่ที่หอสมุดกับพวกไอ้โก้ ไอ้เฟิร์นตามปกติของช่วงสอบ มีเพียงวลีสั้นๆที่ไม่ต่างกันนักในแต่ละวันไว้คอยสื่อสารกัน และเวลาเพียงไม่กี่นาทีที่ใช้มองหน้าอีกฝ่ายตอนที่นอนอุตุไม่รู้เรื่องราวแล้วลักจูบเอาเบาๆไม่ให้รู้สึกตัวเท่านั้น
กระทั่งแค่รู้ว่ามีอีกคนอยู่ ผมกลับรู้สึกอบอุ่นในหัวใจตลอดเวลา
กระทั่งวันพรุ่งนี้ที่ผมจะสอบเสร็จ คืนนี้จึงเป็นคืนสุดท้ายที่ต้องเร่งอ่านหนังสือเอาเป็นเอาตายยันเช้า เพราะตัวหินที่ว่านี่เป็นตัวปราบเซียนดึงนิสิตวิศวกรรมศาสตร์ปีสี่ให้รู้ว่าจะจบ จะเปอร์(เรียนเกินสี่ปี) หรือจะมีใครได้ลุ้นเกียรตินิยมเทอมหน้ากันหรือไม่ โพสอิทหน้าถุงนมเย็นในตู้เย็นของผมที่ซื้อไปเมื่อหัวค่ำเลยกลายเป็นว่า “เน็ตกลับตอนสอบเสร็จนะ ประมาณเที่ยงๆ คิดถึงมาก” ตามท้ายด้วยเครื่องหมายน้อยกว่าและเลขสาม (<3)
ก็คิดถึงจริงๆนี่... แต่หลังจากนี้คงมีเวลาให้เฮียมากกว่าเดิมอีกนิดหน่อยเพราะสุดท้ายผมกับโชติที่พักเรื่องโปรเจคระหว่างสอบก็ต้องมาลุยกันต่อ อันที่จริงโชติพงษ์เคยบ่นๆเหมือนกันว่า ‘กูไม่น่าจับคู่โปรเจคกับมึงเลย นี่จะทำประกวดหรือทำแค่ให้จบกันแน่’ อยู่เหมือนกัน
“อาจารย์จรุงจิตแม่งโคตรโหด สมแล้วที่เป็นสาวแก่ทึนทึก”
คนที่ผมกำลังนึกถึงอยู่โวยวายขึ้นมา โยนชีตสรุปที่ไฮไลท์สีเป็นรุ้งลงบนโต๊ะหลัง ตามด้วยเสียงผ่อนลมหายใจยาวๆของไอ้โก้ที่กวาดตามองไปรอบห้องสมุดที่เซ็งเซ่ไปด้วยเสียงกระซิบกระซาบ
“คณะอื่นเริ่มสอบเสร็จกันหมดแล้ว”
ผมพยักหน้าเห็นด้วย โดยสังเกตได้ง่ายๆจากโต๊ะในห้องสมุดที่เพิ่มจำนวนว่างมากขึ้น ถ้าเป็นช่วงสอบแรกๆเรายังต้องไปอ่านกันใต้ศูนย์เรียนรวมตบยุงเพราะแย่งโต๊ะนั่งไม่ทันกันอยู่เลย
“อีกเทอมนึงก็จะจบแล้ว พวกมึงคิดกันหรือยังว่าจะยังไงต่อ?”
ผู้หญิงเพียงคนเดียวในโต๊ะถามขึ้น โยนชีตไปกองรวมกับโชติที่ฟุบหลับบนโต๊ะบ้าง ตามๆกันเป็นไอ้โก้ที่ละความพยายามไปอีกคน
“กูจะเรียนต่อ ไม่รู้เกรดจะถึงให้ต่อโดยไม่ต้องสอบหรือเปล่า” คนถามเป็นคนตอบคนแรก โก้พยักหน้าหงึกหงักรับรู้แล้วท้าวคางให้เห็นคอสามชั้นย่นๆ
“กูขอพ่ออยู่บ้านเฉยๆสักปี ค่อยคิดว่าจะทำอะไร”
“เจ๋ง..” โชติเงยหน้าขึ้นมาพูดพลางยกนิ้วให้ “กูอยากทำแบบมึงบ้างไอ้อ้วน”
“ความผิดมึงที่พ่อมึงไม่รวย” ไอ้โก้แสยะยิ้มตอนพูด ทำให้โชติพงษ์ทำหน้าเหม็นเขียวใส่ “ไม่เป็นไร เดี๋ยวกูจบไปทำงานเลย กว่ามึงจะสตาร์ทเงินเดือนก็น้อยกว่ากูไปแล้ว คราวนั้นแหละกูจะรวยกว่ามึง อ้วนโก้”
“ทำไปสิบปีมึงก็ไม่รวยเท่ากูหรอก”
ผมยิ้มเห็นด้วย ไอ้เฟิร์นเลยพยักเพยิดมาถามทางผม “แล้วมึงล่ะเน็ต เกาะผัวแดก?”
“ถ้าทำได้ก็จะทำอยู่หรอกนะ”
“โฮ่ เดี๋ยวนี้แรดขึ้นนะ”
“ก็ตามมึงแหละเฟิร์น” ผมว่าแล้วกวาดตาอ่านหนังสือต่อ เหมือนกลายเป็นคนเดียวที่ยังไม่ละความพยายามแม้เวลาจะล่วงมาจนถึงตีสามเศษ “กูคงทำงานก่อนสักสองปี จากนั้นก็เรียนไปด้วยทำงานไปด้วย จะได้ไม่ต้องขอเงินแม่เรียน”
“ขอผัวสิ” ไอ้เฟิร์นสะกิดบอก ผมหัวเราะในลำคอแล้วปราดตามองมัน “รู้สึกมึงจะใส่ใจเฮียบีมของกูมากเกินไปแล้วนะ”
“ฮู่ว มี’ของกู’ ด้วยเว้ย ถามจริงเถอะ หน้าตามึงก็เทรนด์ จีบสาวแคระๆสักคนยังไงก็ติด มึงจะเดินทางนั้นจริงเหรอวะ?”
ไอ้เฟิร์นท้าวแขนกับโต๊ะบ้างแล้วจ้องถาม ผมเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “ถ้าเลือกได้ก็ไม่เลือกหรอก แต่มันเลือกไม่ได้แล้วว่ะ เป็นไปแล้ว”
“อ้อ นั่นสิ” เฟิร์นพยักหน้ารับรู้แต่ยังจ้องผมเขม็ง “กูถามอะไรอีกอย่างดิ”
“เอ๊ะ กูอ่านหนังสืออยู่ มึงจะสู่รู้อะไรนัก”
ผมเริ่มรำคาญเลยบ่นๆไป ตัวสู่รู้ทำหน้าหงิกแต่ก็ยังถาม “มึงพิศวาสผู้ชายคนอื่นบ้างรึเปล่า? แบบ เห็นหล่อๆล่ำๆ แซบๆเดินมาแล้วอยากได้อะ”
“ไม่ จบแล้วใช่มั้ย? กูจะอ่านต่อแล้วนะ”
“ที่จริงไม่อยากจบหรอก แต่นี่มันตัวปราบเซียน ให้มึงอ่านเงียบๆก็ได้”
“แล้วทำไมพวกมึงไม่อ่าน?”
อีหนูจำไมแยกเขี้ยวยิงฟันกว้าง “ก็พวกกูไม่ใช่เซียนไงไอ้โง่”
++++++++++++++++++
สิบสองนาฬิกาสิบห้านาที ผมเดินทางมาถึงคอนโดหรูใกล้มหาวิทยาลัยตามความคาดหมาย ไขกุญแจกริ๊กเข้าห้องที่เงียบสนิทก่อนเดินลิ่วเหวี่ยงสัมภาระลงโซฟาก่อนแบกร่างอ่อนเปลี้ยเพลียแรงเนื่องจากไม่ได้หลับไม่ได้นอนทั้งคืนเข้าห้องนอน ทิ้งตัวฟุบแล้วปล่อยให้ตัวเองดำดิ่งไปกับกลิ่นหอมอ่อนๆของเฮียซึ่งยังติดอยู่บนปลอกหมอน กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็ตอนที่เสียงโทรศัพท์แผดลั่นจากห้องนั่งเล่นปลุกให้ปรือตาเปิดขึ้นในห้องนอนซึ่งมืดสนิท หยิบนาฬิกาที่หัวเตียงขึ้นมากดดูก็พบว่าเวลาเลื่อนคล้อยมาจนทุ่มเศษ จึงยอมจำนนลุกเดินเกาพุงใต้เสื้อนิสิตยับๆเน่าๆที่สวมมาสองวันซ้อนไปคว้าเอาโทรศัพท์กดรับสายเป็นอันสิ้นสุดเสียงโหยหวนจากคนโทรเข้า
“ว่าไงบูม?”
“กินเหล้ากัน”
ปลายสายไม่คิดจะถามสารทุกข์สุขดิบ เข้าประเด็นรวดเร็วด้วยน้ำเสียงเริงร่า
“ที่ไหน? ใครบ้าง?”
“ที่คอนโดเฮีย ตอนนี้บูม พี่บอม พี่ปัน พี่โต๊ด พี่โชติอยู่ข้างล่าง ลงมาช่วยขนของหน่อยสิ พี่ปันซื้อโฮการ์เด้นมาให้บูมด้วย”
“เฮ้ยๆ มึงขอเจ้าของห้องหรือยังวะ? เดี๋ยวเฮียได้บ่นตาย มันยิ่งทำงานเหนื่อยๆอยู่ช่วงนี้”
“พี่เน็ตก็รู้ว่าเฮียใจดี ไม่ว่าหรอก ลงมาเถอะ น้ำแข็งจะละลายแล้ว”
สุดท้ายผมก็ปฎิเสธอะไรไม่ได้ เดินคอตกลงลิฟท์มาช่วยไอ้พวกขี้เมายกเบียร์กับเหล้าขึ้นห้อง ประทานโทษเถอะครับ นี่มึงซื้อมาเปิดร้านกันเลยหรือไง ถ้าจะขนกันมาเยอะขนาดนี้
“เฮียยังไม่กลับเหรอ?”
น้องชายคนเล็กของตระกูลพาณิชยโชติถามหลังชะเง้อชะแง้ไม่เจอใครในห้องนั่งเล่นตลอดไปจนถึงครัวและห้องนอน ผมเลยตอบมันไปในลำคอ แล้วหันมาจัดการกับถุงพลาสติกที่หิ้วอบายมุกกองมหึมาอยู่เหนือโต๊ะเตี้ยหน้าทีวี
“แล้วนึกยังไงกันถึงมานี่” เสียงนั้นผมถามลอยๆ แต่ไอ้บอมที่นั่งอ้าซ่าแกะถุงขนมกินก่อนใครเป็นคนหันมาตอบ
“ไอ้ปันมันจะแถลงข่าว พวกกูเห็นว่าชวนมึงไปร้านเหล้าหลายรอบแล้วเสือกไม่ไปเลยยกกันมานี่แทน”
“ก็กูไม่ว่าง”
“ทีไอ้โชติยังว่าง” หมอโต๊ดเถียงทันทีที่ผมแย้ง ไอ้บอมเลยแสยะยิ้ม “ติดผัว” มันว่าแล้วโยนสแนคแจ๊คเข้าปาก
“ครวย”
ไม่แค่เสียง ผมยกนิ้วแจกเป็นออฟชั่นเสริม เรียกเสียงหัวเราะจากพวกที่ฟังอยู่ได้ครืน มีแค่ปันเท่านั้นที่ยิ้มอ่อนๆไม่ตลกโปกฮาไปกับคนอื่น
“บูม ไปหยิบแก้วในครัวมา”
“ครับผม” ตี๋เล็กตะเบ๊ะมือบอก พลันวิ่งหายไปหลังประตูครัว ก่อนกลับมาอีกทีพร้อมแก้วในมือสองใบ ที่เหลืออีกสี่หนีบไว้กับแขน ไอ้ปันเลยรีบลุกขึ้นไปช่วยน้อง “เดี๋ยวก็หล่นแตกกันพอดี”
ผมเหลือบตามองบอม มันไหวไหล่นิดๆเหมือนจะบอก ‘กูก็ไม่รู้เหมือนกัน’ ดักคำถามผม จากนั้นหมอโต๊ดก็เป็นคนกระวีกระวาดชงแอลกอฮอล์ส่งให้เพื่อนๆ โดยมีแค่ปรมัตที่ดื่มเบียร์ยี่ห้อโปรดของมัน
“เป็นวัยรุ่นปีสี่แม่งยาก”
จู่ๆไอ้บอมก็บ่น เปิดทีวีดูช่องเอชบีโอซึ่งกำลังเอาแฮรี่พอร์ตเตอร์ภาคสามมาฉายซ้ำ ท่าทางคงคิดไม่ตกเกี่ยวกับโปรเจค ได้ยินมาว่ามหาลัยมันให้ทำคนเดียว ไม่ได้จับกลุ่มเหมือนผม แต่พอตัวพี่มันบ่น ไอ้คนน้องเลยเอาบ้าง
“ปีสามก็ยาก”
ทุกคนหันไปมองต้นเสียงเห็นฟองเบียร์ฟอดติดเหนือปากไอ้บูมกลายเป็นหนวดสีขาวๆก็ยิ้ม ไม่คิดจะเตือน มีก็แต่ปันนภที่เสือกกล่องทิชชู่ให้น้อง แล้วเถียง“กูว่าจบไปทำงานยากกว่า”
จากนั้นไอ้หมอเมียเดียวก็รีบส่งเสียงฮื่อไม่เห็นด้วยแล้วขัด “แต่งงานยากสุด”
“อ้อ เรื่องนั้นมึงกับไอ้เน็ตชิงเรียนรู้กันก่อนพวกกูแล้วไม่ใช่เรอะ?”
ปารณกระตุกยิ้มที่มุมปากให้ผมหันไปผลักหัวมันทิ่มแก้ว ก่อนสุดหล่อมันจะคว้าคอผมเข้าลอคแล้วใช้กำปั้นยีบนผมสีน้ำตาลเบจเหมือนมิซาเอะกับชินจัง “ตบหัวใคร หืม? มึงตบหัวใครไอ้สั้น??”
หมอหัวเราะลั่น ยกตีนขึ้นก่ายโต๊ะเตี้ยโดยไม่คิดจะห้าม “ถ้าไอ้เน็ตไม่ได้เป็นเมียเฮีย กูว่าซักวันมึงสองตัวต้องได้กันเองจริงๆแน่”
“อย่าแช่งกู ไอ้หมอ” ปารณสวนกลับเสียงขรม แล้วยกแก้วเหล้าขึ้นดื่ม กูอยากได้มึงตายแหละไอ้เวร
“แล้วนี่พวกมึงสอบกันเสร็จหมดแล้วเหรอ?”
“เออ เข้าปิดเทอมสุดท้ายกันแล้ว ไวเนอะ เหมือนไม่กี่วันก่อนพวกมึงยังไปแง้วๆอยู่บ้านกูให้เฮียติวภาษาอังกฤษให้อยู่เลย”
เจ้าบ้านรำเริกบุญคุณ ผมจิบเหล้าไปพลางนึกถึงอดีตไปด้วย “ตอนนั้นมึงเครซี่เจ้ทรายมาก ตอนนี้เป็นยังไงบ้าง”
“ไม่ได้ดูข่าวเหรอ? ทรายแก้วโกอินเตอร์น่ะ หนังฟิลิปปินส์ติดต่อให้ไปเล่น คงเป็นปีกว่าจะกลับมาไทย”
“สภาพจิตใจมึงล่ะ”
“ก็โอเค เดี๋ยวกูคงเจอคนที่ใช่เอง ตอนนี้ก็เรียนไปก่อน”
“วิถีเซเลป” ผมแขวะ ไอ้บอมเริ่มทำตาขวางเหมือนจะคว้าผมไปยีหัวอีกรอบ คราวนี้ตัวเองเลยรีบระเห็ดไปนั่งเบียดหมอโต๊ดก่อนถูกทารุณกรรมอีกรอบ
“แล้วปัน พวกกูได้ยินมาว่ามึงจะไปอยู่กับแม่เหรอ?”
บุรุษที่สองเงยหน้าขึ้นจากแก้วเหล้าแล้วพยักหน้าเงียบๆ จับจ้องสายตามาที่ผมครู่หนึ่งก่อนหันไปตอบบอม “ต่อโทสองปีแล้วก็กลับมาทำงานกับพ่อ เขาอยากให้กูไปอยู่กับแม่บ้าง”
“แล้วมึงกับแม่สนิทใจกันดีเหรอวะ?”
โชติพงษ์ถามแทนเพื่อนคนอื่นๆ ไอ้ปันถอนหายใจแล้วส่ายหัว “ก็คงไม่แย่เท่าไหร่หรอก”
“แล้วที่บอกว่าจะต่อไทย? ไมไม่ต่อแล้ววะ?”
“กูอยู่ไม่ได้...”
ไอ้ปันเหลือบตามองผมอีกรอบแล้วยกเบียร์ขึ้นมาจิบ
“หนีคดีอะไรวะ นี่มึงไปทำใครท้องหรือเปล่าเทพปัน?” ไอ้บอมถามกวนๆ ปันนภหัวเราะแล้วโบกมือ “คนจบMBAเกลื่อนตลาด กูว่าอังกฤษเครดิตดีนะ ขืนเรียนอยู่ไทยกูว่าเอาวุฒิป.ตรีไปสมัครงานเก็บประสบการณ์ยังคุ้มกว่า”
ผมไม่ใช่คนจับโกหกเก่ง แต่ไม่รู้ทำไมครั้งนี้ถึงรู้สึกได้ว่านี่เป็นแค่เสี้ยวหนึ่งของเหตุผลมัน บางทีอาจเป็นเพราะแววตาตัดพ้อนั่นที่มองมาบ่อยๆ เฮ้ย อย่าสิ อนาคตมึง ชีวิตมึงไม่เกี่ยวกับกูนะ
“แต่จะกลับมาใช่ไหม?” ผมถาม ไอ้ปันยิ้ม ผมเลยเหลือบไปมองบูมที่ยังดูแฮรี่คุยกับเฮอร์ไมโอนี่ในโทรทัศน์ ทำทีเป็นไม่สนใจ “อืม กลับมาแน่” มันว่า ผมจึงฉีกยิ้มกว้างขวางแล้วพูดลอยๆ
“ดีแล้ว เด็กแถวนี้มันจะได้ไม่ต้องอกแตกตาย”
“เปล่าซักหน่อย!” เด็กแถวนี้รีบเถียง
“อะไรบูม มึงดูหนังอยู่ไม่ใช่เหรอ?”
พอแกล้งน้องเล็กได้พวกขี้เหล้าก็ยกยิ้มกันชุดใหญ่ มีแค่บูมเท่านั้นที่นั่งหน้าหงิกซดเบียร์โฮก โฮก ไม่สนใจใคร อะไรวะ มึงเป็นคนขี้อายตั้งแต่เมื่อไหร่ไอ้น้องรหัส
“ไอ้คนนี้ไม่เห็นเกี่ยวว่ากูจะกลับหรือไม่กลับ” ปันหัวเราะ มันเหลือบตามองคนถูกพาดพิงแล้วเอนตัวสบายๆกับพนักพิงโซฟา วาดแขนยาวอ้อมหลังไอ้บูมไปให้พวกผมหลิ่วตาล้อ
“มึงเคยอ่านหนังสือของยิบรานไหม?”
“หนังหน้าอย่างพวกกูน่ะเหรอจะอ่านหนังสือ” โชติพงษ์ถามขันๆ ไอ้คนเปลี่ยนเรื่องรวดเร็วยกเหล้าขึ้นจิบบ้างด้วยท่าทีปกติ ทว่ายังเห็นแววหยอกล้อในดวงตาชัด ข้างๆกันนั้นเป็นปรมัตนั่งเงียบจมูกหูแดงก่ำ ไม่รู้ว่าเมาแล้วหรือยังไง
“มีคนเอาหนังสือเล่มนี้มาให้กูอ่าน หน้านึงถูกคั่นเอาไว้ เป็นบทกวีน้ำเน่าๆที่กูจำได้ขึ้นใจเลย”
ผมเห็นไอ้บูมทำตาขวางมองปันนภเหมือนห้าม แต่คุณชายกลับทำทีเหมือนกำลังถูกยุ เอ่ยบทกวีที่ว่าได้อย่างแม่นยำถูกต้อง
“ เมื่อความรักร้องเรียกเธอจงตามมันไป
แม้ว่าทางของมันนั้นจะขรุขระและชันเพียงไร
และเมื่อปีกของมันโอบรอบกายเธอ จงยอมทน
แม้ว่าหนามแหลมอันซ่อนอยู่ในปีกนั้นจะเสียดแทงเธอ
และเมื่อมันพูดกับเธอ จงเชื่อตาม
แม้ว่าเสียงของมันจะทำลายความฝันของเธอ
ดังลมเหนือพัดกระหน่ำสวนดอกไม้ให้แหลกราญไปฉะนั้น ..”
“พี่ปัน!” สุดท้ายคนที่พยายามเก็บอาการที่สุดก็ร้องแหว ผิวขาวเหลืองของตี๋เล็กแดงตลอดจนถึงลำคอ ผมพอจะเข้าใจแล้วว่าใครเป็นคนเอาหนังสือที่ว่านั่นไปให้ไอ้ปันอ่าน ปารณเองก็หัวเราะ หันไปมองน้องชายคนเล็กล้อๆ “สงสัยกูต้องบอกป๊าเตรียมตั๋วเครื่องบินไปอังกฤษแล้วล่ะมั้ง?”
“บูมจะฟ้องเฮียว่าบอมกับพวกพี่แกล้งบูม”
“เฮ้ย กูไม่เกี่ยว” ผมรีบแย้ง ไอ้บูมแทบจะพ่นไฟใส่หน้า “ตัวเปิดประเด็นเลยเหอะ! ไม่คุยด้วยแล้ว เล่นวินนิ่งดีกว่า ใครจะเล่นบ้าง”
ไอ้ตัวแสบรีบเปลี่ยนเรื่อง พี่ๆของมันก็หลอกง่ายเหลือเกิน ยกมือขึ้นแย่ง ร้อง “กูๆ” แสดงเจตจำนงกันใหญ่ มีแค่ปันนภเท่านั้นที่ปลีกตัวออกมาสูบบุหรี่ พอเห็นน้องรหัสเล่นเกมส์กับพวกพี่ๆเพลินแล้วผมจึงค่อยลุกตามคุณชายออกไป
“เป็นไง?”
เสียงประตูบานเลื่อนปิดลง คนถูกทักเลิ่กคิ้ว พ่นควันสีขาวให้ลอยละล่องออกนอกระเบียง “ก็ไม่เป็นยังไง”
“มึงเฮิร์ทหรือเปล่า?”
“นิดหน่อย”
“แล้วเรื่องบูม..?”
“มึงดูเชียร์มันนะ”
“น้องมันก็น่ารักดีไม่ใช่เหรอ?” ปันนภพยักหน้าเห็นด้วย แล้วหันมายิ้มให้ผมที่ปาก แต่ตากลับเหมือนอยากจะร้องไห้
“เคยได้ยินประวัติของทัชมาฮาลไหม?” ผมส่ายหัว ให้ปันเล่า “มึงรู้ไหม เขาว่ากันว่าจา มาฮาลนั่งมองทัชมาฮาลเพราะคิดถึงเมียจนวันตาย.. ที่จริงนะ กูไม่เชื่อหรอกว่าจะมีคนที่ยินดีที่แค่ได้คิดถึงและรักคนรักของตัวเองแม้ไม่ได้ครอบครอง ไม่ได้อยู่กินด้วยกันกระทั่งลมหายในสุดท้ายจริง เพราะงั้นกูเลยเลือกที่จะไปอังกฤษ... กูคงทนไม่ได้ถ้าต้องเห็นมึงกับเฮียมีความสุขด้วยกัน”
“เขาว่าคนเจ้าชู้จะขี้หึง ท่าจะจริง”
ไอ้ปันหัวเราะหยัน “กูจะไม่โกหกตัวเองอีก ต่อไปนี้กูจะไม่รอให้อะไรๆมันสายไปเหมือนเรื่องของมึง”
“อย่างน้อยกูหวังว่าจะเป็นเรื่องไอ้บูม”
“บอกตรงๆ กูยังไม่พร้อม ไอ้บูมทั้งร้ายทั้งน่ารำคาญ แต่ก็จริงอย่างที่มึงพูด มันน่ารัก และซื่อสัตย์กับความรู้สึกของตัวเองดีด้วย...”
ผมพยักหน้าเห็นด้วย ไอ้ปันอัดควันบุหรี่เข้าปอดอีกครั้งแล้วยิ้มให้กับท้องฟ้าสีมืด “แต่กูก็ตอบไม่ได้ว่าจะมีวันที่กูพร้อมรักมันไหม บางทีมันอาจเป็นคนพิสูจน์นิยามรักทัชมาฮาลให้กูก็ได้.. การมีความสุขและยินดีรักใครสักคนแม้จะไม่ได้รับความรักกลับมาน่ะ”
“...............”
“มันต้องมีคนหัน... ไม่กูหันมา มันก็คงหันไป มึงไม่ต้องมาทำตัวเป็นพ่อสื่อพ่อชักให้กูหรอก มันเป็นเรื่องของอนาคต กูคงทำให้มึงสบายใจได้แค่ว่า บางทีกูก็อาจจะชอบมันนิดๆก็ได้”
ปันนภหลิ่วตา ผมพยักหน้ารับรู้ก่อนชวนมันกลับเข้าไปข้างใน เหล้าหมดไปหลายขวดแล้ว วินนิ่งก็เหมือนถูกผู้เล่นบังคับเป๋ไปเป๋มาตามสติที่เลือนราง
“เล่นมั้ยพี่เน็ต พี่ปัน?”
หัวข้อสนทนาเมื่อครู่หันมาถาม ตาขีดๆของน้องรหัสเยิ้มหวานมองผม จากนั้นก็เลื่อนไปมองไอ้ปันที่เบือนหน้าหนีเอามือเกาจมูกตัวเองเก้อๆ เสียดายที่บอมนอนหลับไปแล้วบนโซฟาไม่งั้นคงได้มีลูกคู่ช่วยผมแซวคุณชายแน่ๆ ส่วนไอ้หมอคงพาโชติพงษ์คออ่อนเข้าห้องน้ำ เพราะผมไม่เห็นว่าพวกมันนั่งอยู่ในนี้ ที่ระเบียงซึ่งผมเพิ่งเข้ามาก็ด้วย
แกร๊ก...จู่ๆเสียงเปิดประตูก็ดังขึ้น ปันนั่งลงไปเล่นวินนิ่งกับบูมที่พื้นแล้ว เหลือแค่ผมที่ยังสนใจการมาของคนใหม่ เฮียสวมเสื้อเชิร์ตสีชมพูโอรสพับแขนขึ้นถึงข้อศอก ปลดกระดุมสองเม็ดบนแต่ชายเสื้อยังเก็บเข้ากางเกงสแลคขาเดฟดีมองรอบห้องด้วยความแปลกใจ ก่อนสายตาจะมาหยุดที่ผมซึ่งยิ้มแผล่รู้สึกผิดนิดๆที่ให้เฮียต้องมาเจอห้องตัวเองในสภาพนี้
“มากินเหล้ากันเหรอ?”
“เฮียหวัดดี” ไอ้บูมหันไปไหว้พี่ชาย ปันนภเองก็เช่นกัน มีแต่ผมที่ไม่ได้ทำความเคารพแต่เลี่ยงไปเทน้ำเย็นๆมาให้เจ้าของห้องเป็นการขอโทษ เฮียไม่ได้พูดอะไร แค่รับน้ำไปดื่มแล้วขอตัวเข้าห้องนอนให้ผมมองตามด้วยความกังวลเท่านั้น
“มีอะไรจะคุยกันก็เข้าไปก็ได้นะ พวกนี้เดี๋ยวกูดูให้”
ปันนภบอกทั้งๆที่ไม่ได้หันมามอง ผมจึงเดินตามเจ้าของคอนโดเข้าห้อง เห็นเฮียกำลังจะถอดเสื้อเลยเดินเข้าไปช่วยมันปลดกระดุม
“ไม่ไปออกไปดื่มกับเพื่อนๆล่ะ?”
“เฮียโกรธเน็ตหรือเปล่า?”
“หืม?”
คนถูกถามย้อนเสียงสูง ผมเลยเหลือบตามองมันแล้วหลุบตาลงต่ำเหมือนเด็กๆมีความผิด “ก็คอนโดเฮีย แต่เน็ตกลับให้พวกนั้นเข้ามาวุ่นวาย”
“อะไรกัน ไม่เห็นต้องโกรธ อะไรของเฮียก็เหมือนของเน็ตแหละ ห้องเฮียก็เหมือนห้องเน็ต เพื่อนเน็ตก็เหมือนเพื่อนเฮีย คิดอะไรเนี่ย เกรงใจเหรอ?”
ผมพยักหน้า”ก็เฮียกลับมาเหนื่อยๆ...”
“เห็นเน็ตอยู่ในห้องเฮียก็หายเหนื่อยแล้ว ไหน แล้วสอบเป็นยังไง ทำได้หรือเปล่า?”
“ก็ไม่ได้แย่อะไร แล้วงานเฮียยังเหลืออีกเยอะไหม? เสร็จเมื่อไหร่?”
“ใกล้แล้วแหละ แต่พรุ่งนี้ว่าจะลาไปกินข้าวกับแม่เน็ต”
ผมเงยหน้าขึ้นมองคนพูด ไอ้ตัวโตมันยิ้มกรุ้มกริ่มแล้วดึงผมเข้าไปกอด แถมด้วยหอมอีกฟอดใหญ่ๆที่แก้มซ้าย “เฮ้ยๆ อย่าเพิ่งดิ ไปกินข้าวกับแม่เน็ตอะไร ไม่เห็นรู้เรื่อง”
“โทรนัดกันไว้เมื่อวาน เห็นว่าเน็ตสอบเสร็จวันนี้ด้วย ป๊ากับม้าก็ร้อนใจแล้ว”
“ไม่เห็นบอกก่อน”
ผมบ่น ไอ้เฮียยังยิ้มเนือยๆ ดูเหนื่อยๆเพลียๆ ผมเลยเขย่งเท้าขึ้นจูบที่ปากมันเบาๆ
“งั้นก็ไปอาบน้ำนอนเถอะ เน็ตออกไปอยู่กับเพื่อนอีกสักพักจะไล่มันกลับมานอนกอดเฮียแล้ว”
พูดจบก็รีบหมุนตัวหนี แต่ก็ช้ากว่ามือปลาหมึกที่คว้าเอาเอวคอดของผมดึงเข้าประชิดตัวไว้ได้ “เฮียก็อยากกอดเน็ตใจจะขาดแล้วเหมือนกัน”
“เหนื่อยก็นอนเถอะ อย่าฝืนทำ เดี๋ยวหลับกลางทางแล้วจะค้างกันทั้งคู่”
พอพูดจบไอ้เฮียหื่นก็ทำตาลุกวาวเหมือนถูกหยาม จนผมต้องรีบเอามือแปะหน้ามันไว้ก่อนจะยื่นมาฉวยโอกาสผมเหมือนตาแก่ตัณหากลับ “ไว้ก่อนน่า...” พูดแค่นั้นเฮียก็ยอมปล่อยง่ายๆ โดยฝากจูบอุ่นๆไว้ที่หลังมือผมก่อนเดินตัวปลิวผิวปากเข้าห้องน้ำไป
++++++++++++++++++++