(เรื่องสั้น) ♦♦ ۞บุปผาอมตะ ۞♦♦ ลงจบแล้วจ้ะ__รบกวนย้ายได้เลยค่ะ__ 08/05/12
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: (เรื่องสั้น) ♦♦ ۞บุปผาอมตะ ۞♦♦ ลงจบแล้วจ้ะ__รบกวนย้ายได้เลยค่ะ__ 08/05/12  (อ่าน 17688 ครั้ง)

ออฟไลน์ cancan

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1168
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +581/-0
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้



1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย, ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้งสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกเล้าฯ ในเรื่องการเมือง เชื้อชาติ  เผ่าพันธุ์  ศาสนา และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงการตั้งชื่อเรื่องด้วยคำหยาบ คำไม่สุภาพ  ล่อแหลม และชี้เป้าให้เล้าฯ ถูกเพ่งเล็ง จากทางราชการ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าตัวไม่ยินยอม

5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6. การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมฯทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ


เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ
การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0
 





ขอฝากเรื่องนี้ด้วย  โค้งงามๆฝากเนื้อฝากตัว

เรื่องนี้แต่งขึ้นตามจินตนาการและความรู้ที่มีอยู่น้อยนิด  ผสมปนเปแล้วจึงได้ออกมาเป็นเรื่องราวที่จะได้อ่านกันต่อไปนี้  หากอยากได้เนื้อหาเพิ่มเติมขอเชิญผู้อ่านทั้งหลายกลับไปอ่านอีกตอนหนึ่งได้ที่นี่ เจ้าค่ะ
 http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=20804.msg1277060#msg1277060 

Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10-05-2012 06:25:36 โดย cancan »

ออฟไลน์ cancan

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1168
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +581/-0
    ตอนที่1

    เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดกู่ก้องท่ามกลางป่าทึบ  ยอดไม้เสียดสีตามแรงพายุจนเกิดเสียงหวีดหวิวคล้ายกำลังเยาะเย้ยผู้เพลี่ยงพล้ำ  ดวงตาสีเพลิงเรืองแสงโชติช่วง  สุนัขป่าขนสีเดียวกับนัยน์ตาของมันขู่คำรามด้วยความขุ่นเคือง  ถึงแม้จะโดนเล่นงานจนโลหิตหลั่งไหลลงสู่พื้น  แต่อาการบาดเจ็บก็มิได้ลดทอนความหาญกล้าของมันเลยสักนิด
      แม้เจ็บปวดกายแต่ก็มิอาจเท่ากับความทรมานในจิตใจ
      “ไท่หยาง..นี่เจ้ายังมิสำนึกอีกหรือไร?” เสียงคำรามเป็นภาษาสุนัขป่าดังขึ้นจากผู้กำชัยชนะ  ดวงตาเรืองแสงแดงก่ำของมันปรากฏแววคุกคามและการต่อสู้ไม่ต่างกับดวงตาของไท่หยาง  หากแต่ขนสีนิลดำขลับที่ปกคลุมร่างกายของมันกลับทำให้ดูโหดเหี้ยมและน่าเกรงขามเป็นยิ่งนัก  สุนัขป่าสีดำตัวใหญ่กำลังแยกเขี้ยวคมกริบขู่คำราม  รอบกายของมันพุ่งแผ่รังสีแห่งการฆ่าฟัน  มัจจุราชสีดำแสดงทีท่าว่าครั้งนี้จะมิอ่อนข้อให้อีกแล้ว
      “ก็ข้ามิได้ทำผิดอันใด..เหตุไฉนถึงต้องสำนึกด้วยเล่า...พี่ใหญ่”  ไท่หยางตะโกนถามด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน  พูดได้เพียงไม่กี่คำก็สำลักออกมาเป็นสายโลหิต
      “นี่..เจ้า!”  อีกฝ่ายเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็ให้เกิดโทสะจริต  เห็นทีครั้งนี้มันต้องเล่นงานให้สาสม  ถึงจะเป็นพี่น้องร่วมสายเลือดกันก็เถอะ..แต่ก็จำต้องสั่งสอนให้เข็ดหลาบ
      เพราะเรื่องนี้มันมิอาจปล่อยวางได้..
      ความเสน่หาที่ไท่หยางมีให้ชุนหลันคู่ของมันเป็นเหมือนเนื้อร้ายที่รอวันลุกลาม...
      หากเมื่อใดที่ความรู้สึกนั้นแข็งแกร่งกว่าจิตอันสำนึกผิดชอบของไท่หยาง  เมื่อนั้นน้องร่วมสายโลหิตของมันต้องประสบเคราะห์กรรมอย่างแน่นอน 
      เพราะมันนี่ล่ะ...ที่จะเป็นผู้มอบความตายให้แก่ไท่หยางด้วยตัวเอง
      ดังนั้นจึงต้องตัดไฟตั้งแต่ต้นลม  วิธีนี้เป็นเพียงวิธีเดียวเท่านั้นที่จะช่วยน้องผู้นี้ได้  ไท่หยางจะต้องรู้ว่าใครคือผู้นำฝูง  ครั้งนี้มันจะทำให้ไอ้จอมดื้อดึงเห็นว่าชุนหลันเป็นของมันแต่เพียงผู้เดียว  ต่อให้ไท่หยางพยายามแค่ไหนก็ไม่อาจล้มมันลงได้..
      “ข้าจะบอกเป็นครั้งสุดท้าย..เลิกคิดเช่นนั้นกับชุนหลันเสียที...เจ้านั่นไม่มีทางเห็นใจเจ้าหรอก”  พี่ใหญ่กายสีดำขู่คำรามพร้อมกับย่างสามขุมเข้าหาน้องชายที่มีสีนัยน์ตามิต่างกัน
      “หึ..พี่รองตามใจท่านเพราะเห็นท่านเป็นผู้นำ  อย่าอ้างเรื่องความถูกต้องผิดชอบชั่วดี  เพราะทุกวันนี้ข้าก็เห็นอยู่เต็มตา  เช่นนั้นแล้วเหตุได้เขาถึงพลีกายให้ข้ามิได้เล่า..พวกเราต่างก็คลานตามกันมา  ไฉนเลยต้องเป็นข้าที่เสียสละชุนหลันแก่ท่าน..” ไท่หยางเถียงกลับด้วยความปวดร้าว...  มันเฝ้าสู้อุตส่าห์ทะนุถนอมความสัมพันธ์ที่มีต่อชุนหลัน  ด้วยยังมิกล้าบอกความในใจแก่พี่รองหนึ่งเดียวในดวงใจของมัน เพราะเกรงว่าฝ่ายนั้นจะเห็นเป็นเรื่องแปลกประหลาดที่น้องในไส้กลับมาคิดกันเกินเลยได้ถึงเพียงนี้
      มิคลาด...คนตัดหน้าแย่งชุนหลันไปจากมันกลับเป็นพี่ใหญ่ผู้ที่มันให้ความยำเกรงตลอดมา  คืนแล้วคืนเล่าในเหมันตฤดู..มันต้องทนเห็นสิ่งที่พี่ใหญ่กระทำต่อพี่รอง  ความรู้สึกบางประการเกาะกุมจิตใจจนมิอาจจะทานทนไหว  ไฟแห่งความริษยาและความโกรธเผาไหม้จนมิอาจมอดดับ  แม้แต่ความเย็นเยียบของหิมะก็ยังต้องสยบต่อความร้อนที่มีอยู่ในกายของมัน
      “สามหาว...เจ้ากล้าพูดจาดูถูกลับหลังพี่รองของเจ้าถึงเพียงนี้เชียวรึ  เห็นทีครานี้ข้าคงต้องกำราบเจ้าให้เข็ดหลาบ  ไอ้น้องทรยศ”
      “หึๆ...ต่อให้พี่ใหญ่ตีข้าจนตาย  ในหัวใจของข้าก็มีแต่พี่รอง”
      “เช่นนั้นแล้วจงคอยดู..ว่าข้าจะเอาจริงกับเจ้าหรือไม่  อย่ามาโอดครวญขอชีวิตกันภายหลังแล้วกัน!..” 
      สุนัขป่าตัวใหญ่สองตัวขู่คำรามเตรียมเข้าโรมรันอีกครั้ง  และคราวนี้ต่างฝ่ายมิคิดจะออมกำลังอีกแล้ว ไท่หยางใช้พละกำลังทั้งหมดต่อสู้และป้องกันตัวเองจากการจู่โจมของพี่ใหญ่  บาดแผลที่หัวไหล่ซ้ายเริ่มฉีกขาดมากขึ้น มันให้รู้สึกหงุดหงิดนักที่มิอาจกลายร่างเป็นมนุษย์เนื่องจากตอนนี้มิใช่เหมันตฤดู  ทำให้พลังวัตรของมันลดลงไปครึ่งหนึ่ง ถ้าได้ส่วนนั้นกลับมามิคาดมันอาจต่อกรกลับพี่ใหญ่ได้อย่างสะดวกดาย
      ถึงจะมีโอกาสเพียงน้อยนิดแต่ดวงตาของมันก็คอยจับจ้องหาช่องว่างที่จะเด็ดชีวิตของผู้เป็นพี่ชาย  ต่อให้ต้องลงแรงแค่ไหน มันก็จะไม่ยอมแพ้เป็นอันขาด
      “เจ้าขี่ขลาด  มิคิดจะสู้แล้วรึ  ไท่หยาง..เห็นรึยังว่าเรายังห่างชั้นกันนัก  ถ้ายังดื้อดึงมิช้านานเจ้าคงต้องดับสิ้นด้วยน้ำมือของข้า  ” สุนัขป่าผู้พี่คำรามกู่ก้อง มันจู่โจมเข้าหาน้องชายรวดเร็วราวกับสายฟ้า เพียงแค่ชั่วกะพริบตาไท่หยางก็ต้องตกตะลึงกับคมเขี้ยวขนาดมหึมา  ร่างที่ถาโถมเข้าหาเบื้องหน้าแผ่พุ่งด้วยรังสีอำมหิตอย่างมหาศาลที่กดดันให้มันมิอาจเคลื่อนไหว  สมองสั่งการผิดพลาดสับสน  ดวงตาสีเพลิงเบิกกว้างเพราะตกตะลึงกับมัจจุราชสีดำขนาดใหญ่ที่กำลังจะปลิดชีวิตของมัน
      แต่แล้ว..เงาบางอย่างก็วูบไหวอยู่เบื้องหน้า  สุนัขป่าสีเทากระโจนเข้าขวางกั้นกลางระหว่างมันกับพี่ใหญ่  การฆ่าฟันจำต้องหยุดลงในทันที
      ดวงตาเย็นชาสีอำพันจับจ้องทั้งสองฝ่าย..
      ไท่หยางมองผู้มาเยือนรายใหม่ด้วยอารมณ์วูบไหว   เจ้าของร่างเบื้องหน้าคือผู้ที่มันทั้งรักและบูชา
      “สื่อเสิน..ท่านพอได้แล้ว..”  เสียงราบเรียบเอื้อนเอ่ยขึ้น  ร่างสีเทาของผู้มาใหม่ยังคงยืนขวางโดยที่มิได้ขยับเคลื่อนไหว   ดวงตาแดงก่ำมองตอบด้วยอารมณ์อันขุ่นมัวเพราะถูกขัดใจ
      หมาป่าสีดำร่างใหญ่ เจ้าของนาม “สื่อเสิน” ส่ายหัวกระสับกระส่าย  เนื่องด้วยอารมณ์ร้ายกาจของมันถูกขัดขวางมิให้ระเบิดออก  ตอนนี้ทั้งร่างรุ่มร้อนด้วยไฟแห่งโทสะ  มันหายใจแรงถี่ก่อนพยายามสยบความอำมหิตภายในจิตใจให้มอดลง  ดวงตาสีแดงก่ำจับจ้องที่คู่ของมัน..เพราะมิคิดว่าชุนหลันผู้นี้จะทราบเรื่องบาดหมางระหว่างมันกับน้องรอง..มันคาดว่าการปรากฏกายของชุนหลันจะยิ่งทำให้เรื่องยุ่งยากมากขึ้น
      “น้องรอง..ความรู้สึกของเจ้า..ข้าทราบดี..” ชุนหลันกล่าวราบเรียบกับไท่หยาง  มันมอบดวงตาอ่อนโยนให้แก่น้องชายคนรอง
      “พี่รอง..ท่านทราบ?”  ไท่หยางถามด้วยเสียงติดขัด  ดวงตาเบิกขึ้นเพราะมิคิดว่าพี่รองของมันจะเปิดฉากได้ตรงประเด็นถึงเพียงนี้
      ชุนหลันสบดวงตาสีเพลิงคู่นั้นแทนคำตอบ
      “มะ..เมื่อไหร่กัน..?”  ไท่หยางสีหน้าสลดลง  มันมิอาจเพ่งพิศอัญมณีสีอำพันนั้นได้อีกแล้ว  ความละอายบางอย่างกำลังเกาะกุมจิตใจ
      “นานแล้ว..แต่ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะรู้เรื่องของข้ากับสื่อเสิน..”
      “...”  ไท่หยางมิอาจกล่าวอันใด  ยิ่งได้ยินพี่รองเรียกชื่อนั้น ความร้อนรุ่มในดวงจิตก็ยิ่งรุนแรงขึ้น  มันทำได้แต่เพียงคำรามออกมาด้วยความเหนื่อยอ่อน  บาดแผลบนร่างกายมิอาจทำให้ทุเลาลงได้ภายในเวลาอันสั้น

      “ข้ายืนยัน..สื่อเสิน..มิได้บังคับ..”เจ้าของดวงตาสีอำพันตอบเสียงเย็นชา
      “....”  ดวงตาสีเพลิงจับจ้องมองพื้น  คำตอบที่ได้ยินเหมือนคมหนามทิ่มแทงให้เจ็บปวด
      “แต่...ถ้าเจ้ายังดื้อดึง...ข้าก็มีวิธี..ช่วยเจ้ากำจัดพี่ใหญ่”
           “หือ?”  สื่อเสินอ้าปากค้างทำตาโต  ดวงตาแดงก่ำมองชุนหลันด้วยความประหลาดใจ  เพียงแต่อีกฝ่ายกลับปรายตาตอบโต้คล้ายกับว่าสิ่งที่พูดไปเมื่อครู่คือความตั้งใจจริง  เพียงแค่นั้นพวงหางสีดำขนาดใหญ่ก็ต้องตกวูบ  ความครั่นคร้ามบางอย่างเข้าเกาะกุมดวงใจหยิ่งผยองที่ฝ่อแฟบเหลือเท่าเม็ดถั่วเขียว
      ชุนหลัน..เจ้ามีแผนการอันใดกัน..?
      มันได้แต่ขบคิดด้วยความกังวล..
      ผิดกับไท่หยางที่ตอนนี้มันกลับทำดวงตาเป็นประกาย ..
      หรือพี่รองจะเห็นใจมันเข้าแล้ว..?
      ดวงเนตรพระเพลิงเพ่งมองอัญมณีสีอำพันเยือกเย็นคู่นั้น   ยิ่งมองก็ยิ่งหลงใหล  ชุนหลัน..พี่รองผู้นี้ของมัน แม้จะเกิดเป็นตัวผู้แต่ก็มีความงดงามอย่างประหลาด 
      ชุนหลัน...โอนอ่อนเหมือนต้นหญ้ายามต้องลม
      ชุนหลัน..กิริยานุ่มนวลเหมือนกลีบดอกกล้วยไม้
      ชุนหลัน..โดดเด่นเหมือนอัญมณีเลอค่าที่มันมิอาจเอื้อม
      โอ่นอ่อน..แต่เย็นชา..องค์ประกอบแตกต่างที่ผสมผสานอย่างลงตัว...
      “วิธีอันใดกันเล่า?”  ไท่หยางแสร้งตะโกนถามพี่รอง  หัวใจที่ถูกบิดเป็นเกลียวเมื่อครู่ก็ค่อยคลายลง  บัดนี้สุนัขสีเพลิงยอมก้มหัวเล็กน้อย
      ชุนหลันจ้องมองเจ้าน้องจอมดื้อด้วยดวงตาเป็นประกาย  น้องผู้นี้ของมันถึงจะเติบใหญ่แค่ไหนแต่ก็มีนิสัยไม่ต่างอะไรกับลูกสุนัขป่า  ขอเพียงแค่มีคนยอมอ่อนข้อให้ก็จะรู้สึกว่าตนเองมีคุณค่าและยอมเชื่อฟัง
      “สื่อเสินบำเพ็ญเพียรนานกว่าเจ้า เขามีพลังวัตรแข็งแกร่ง ด้วนเหตุที่ธาตุหยางของเขารุนแรงกว่าปกติจึงทำให้สื่อเสินประสบผลสำเร็จในวิชาชนิดหนึ่ง  ฝึกแล้วร่างกายทนทานดุจดังเหล็กกล้า อีกทั้งกำลังวังชาก็มิอาจลดทอนได้โดยง่าย  ต่อให้เจ้าสามารถยันเขาได้ถึงเจ็ดวันเจ็ดคืนติดต่อกันก็มิแน่ว่าจะล้มพี่ใหญ่ได้..” ชุนหลันอธิบายด้วยน้ำเสียงราบเรียบ หากแต่ถ้ามีผู้ใดสังเกตให้ดีก็จะเห็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของมัน
      “เช่นนี้แล้ว ยังมีหนทางอีกเหรอ?” ไท่หยางไถ่ถามอย่างใคร่รู้
      ระหว่างที่เจ้าสีเพลิงกับเจ้าสีเทากำลังสนทนากัน  สื่อเสินก็มองน้องทั้งสองด้วยแววตาเหนื่อยหน่ายแกมหมั่นไส้  ทั้งๆที่พี่ใหญ่ของพวกมันยังยืนหัวโด่อยู่นี่ แต่เจ้าพวกนั้นก็มิได้แสดงท่าทางกริ่งเกรงมันเลยสักนิด มิหนำซ้ำยังปรึกษากันเรื่องที่ว่าจะกำจัดพี่ใหญ่คนนี้ของมันได้อย่างไรอีกด้วย
      นี่มันดูเหมือนสุนัขป่าขี้เรื้อนที่ไร้น้ำยาหรือไร?
      คิดแล้วก็ให้หงุดหงิดจนอยากจะเอาหัวเขกกับตอต้นไม้แถวๆนี้สักร้อยรอบ
      สื่อเสินหายใจแรงๆทำเสียงฟึดฟัดก่อนที่จะเดินวนๆรอบตัวเองสามรอบแล้วนั่งหันหลังให้แก่น้องๆ  มันโบกหางไปมาทำเหมือนว่ากำลังชื่นชมธรรมชาติ  แต่หูใหญ่ๆทั้งสองข้างยังคงกระดุกกระดิกคอยแอบฟังเรื่องราวความเป็นไป
      “มิสิ..มีเคล็ดวิชาหนึ่งที่ถูกคิดค้นขึ้นมาคู่กัน  มันร้ายกาจจนสามารถหยุดพี่ใหญ่ให้สยบอยู่แทบเท้าของเจ้า  เคล็ดวิชานั้นอยู่ในที่พักของข้า หากเจ้าสนใจ  พรุ่งนี้ข้าจะนำมันมาให้” ไท่หยางเอื้อนเอ่ยเนิบนาบ
      “สนใจสิ..คราวนี้ข้าต้องรบกวนพี่รองแล้ว..” ไท่หยางโบกหางดีใจ มันแลบลิ้นยาวๆตวัดเลียคมเขี้ยวด้วยอาการตื่นเต้นคล้ายกับลืมความเจ็บปวดจากบาดแผลฉกรรจ์ไปหมดสิ้น   
      “หึๆ..ดีๆ..ข้าดีใจยิ่งนักที่เห็นเจ้าพยายามเพื่อข้าขนาดนี้  แต่ถ้าเป็นเช่นนี้แล้วก็เท่ากับว่าเรากำลังใช้กลโกงและมันอาจจะไม่ยุติธรรมต่อพี่ใหญ่  เพราะฉะนั้น..ข้าจึงต้องตั้งเงื่อนไขนิดหน่อย  เพื่อให้ความเป็นธรรมแก่พี่ใหญ่ด้วย เช่นนี้แล้วเจ้าจะได้สู้กันอย่างลูกผู้ชาย  เจ้าเห็นด้วยเหรอไม่ ไท่หยาง” 
      พอชุนหลันกล่าวจบ ไท่หยางก็รีบกระดิกหางก่อนผงกหัวเล็กน้อย
      “ย่อมเห็นด้วยแน่นอน  ขอเชิญท่านบอกเงื่อนไขแก่ข้า..” สุนัขป่าสีเพลิงกล่าวด้วยน้ำเสียงมุ่งมั่น
      “เงื่อนไขของข้าก็คือ..เจ้ามีเวลาฝึกมันแค่สิ้นเหมันตฤดูนี้เท่านั้น  หากการฝึกของเจ้าไม่ประผลสำเร็จ   ก็แสดงว่าเจ้ามิคู่ควรแก่ข้า  และพี่ใหญ่เป็นผู้ชนะ  ตกลงหรือไม่” ครานี้น้ำเสียงของชุนหลันกลับแฝงความเด็ดขาด
      “ฮึ่ม..ตกลง”  ไท่หยางคำรามเสียงดัง  ดวงใจน้อยๆพองโตเพราะมิคิดว่าพี่รองสุดที่รักจะเมตตามันถึงเพียงนี้   ไท่หยางถือว่านี่เป็นโอกาสอันดีที่มันจะได้แสดงความเก่งกล้าให้พี่รองได้เห็น   มิแน่มันอาจจะได้เลื่อนชั้นเป็นถึงจ่าฝูง
      “ดีๆ..น้องรอง..เจ้าช่างน่ารัก พูดกันง่ายๆแบบนี้  สุดท้ายแล้ว..ข้าคงเห็นใจเจ้าเข้าสักวัน..” สุนัขป่าขนสีเทานุ่มนวลย่างกายเข้าใกล้น้องของมันก่อนแลบลิ้นเลียรอยเลือดจากแผงคอให้อย่างรักใคร่
      ไท่หยางชื่นชอบต่อการกระทำของพี่รอง  มันกระดิกหางดีใจแล้วเดินวนรอบสุนัขป่าผู้พี่ด้วยความกระตือรือร้น  ถึงแม้จะรู้ดีว่าความอ่อนโยนที่ได้รับนี้จะยังมิใช่เพราะเสน่หาลึกซึ้งเฉกเช่นเดียวกับที่มันมีให้  แต่เพียงแค่นี้ มันก็รู้สึกอิ่มเอมสุขล้นจนมิอาจปล่อยให้ช่วงเวลานี้ผ่านไปได้โดยง่าย
      “อะแฮ่ม!...” เจ้าตัวที่ถูกลืมแกล้งทำเป็นกระแอมกระไอ  มันยังคงนั่งหันหลังให้ผู้น้องทั้งสอง  ดวงตาแดงก่ำบัดนี้อ่อนลงแล้ว  สภาวะแห่งการฆ่าฟันที่พุ่งแผ่ออกมาจากร่างสีดำเลือนหายไปหมดสิ้น  ปลายหางขนาดใหญ่นอนราบบนก้อนหินที่มันใช้พักพิงชั่วคราว  ขนนุ่มสลวยสีดำสนิททำให้มันดูโดดเด่นท่ามกลางแมกไม้เขียวชอุ่มของป่าไผ่
      ยิ่งใหญ่และทรงพลัง
      ลึกลับจนน่าหวาดหวั่น...
      ชุนหลันปรายตามองพี่ใหญ่ชั่วครู่ก่อนหันไปสั่งการแก่น้องรองของมัน
      “เมื่อตกลงเป็นเช่นนี้  ฉะนั้นทางที่ดีเจ้าก็ควรกลับไปรักษาบาดแผลได้แล้ว  น้องเล็กกำลังรอเจ้าอยู่ ให้เขาเลียบาดแผลนั่นซะ เมื่อสมานสนิทแล้วจงรีบพักผ่อน พอย่ำรุ่งข้าจะนำเคล็ดวิชานั้นไปส่งให้เจ้าด้วยตัวเอง”ชุนหลันเอ่ยด้วยเสียงราบเรียบ
      “ตกลงพี่รอง เช่นนั้นข้าขอตัว ..” ไท่หยางค้อมหัวเล็กน้อยให้ชุนหลัน  ดวงตาสีเพลิงลอบมองร่างดำทะมึนที่นั่งไม่รู้ทุกข์ร้อนอยู่บนโขดหินเบื้องบน  มันมิได้เอ่ยลาพี่ใหญ่ของมัน
      เพราะตอนนี้สุนัขป่าตัวนั้นมิใช่พี่ร่วมสายเลือดอีกแล้ว
      หากแต่เป็นศัตรูหัวใจอันร้ายกาจ
      เป้าหมายสำคัญที่มันหมายจะใช้เป็นที่เหยียบย่ำเพื่อก้าวไปสู่จุดสูงสุด
      หลังจากล่ำลาชุนหลันอันเป็นที่รัก  สุนัขป่าสีแดงเพลิงก็กระโจนเข้าพุ่มไม้หนา มันหายลับจากไปด้วยความรวดเร็ว..
      “เฮ้อ~”  หลังจากน้องสองของมันจากไป  ร่างสีดำมหึมาก็ต้องถอดถอนลมหายใจ
      ชุนหลันเยื้องกายว่องไว  มันรวดเร็วและแผ่วเบาปานสายลม  เพียงแค่ชั่วกะพริบตาร่างที่ปกคลุมด้วยขนสีเทาอ่อนนุ่มทอประกายเงินยามต้องแสงสุริยันก็ขึ้นไปนั่งเคียงคู่เจ้าดำผู้มีดวงตาแดงก่ำดุจดั่งพญามัจจุราช
      “พี่ใหญ่..ท่านถอนใจอันใด  มิดีหรอกหรือ ที่ข้าช่วยให้ทุกอย่างคลี่คลาย..” ชุนหลันเอื้อนเอ่ยก่อนเอาศีรษะถูที่บ่าของพี่ใหญ่หวังออดอ้อน พวงหางสีเทาเกี่ยวพันกับพวงหางสีดำสนิท
      “คลี่คลาย?...เฮอะ...เจ้ากำลังทำให้ข้าหนักใจล่ะสิไม่ว่า..” สื่อเสินปรายตามองน้องสาม  ตอนนี้ดวงตาแดงก่ำกลับทอประกายบางอย่าง
      “หึๆ..” ชุนหลันหัวเราะเบาๆอย่างผ่อนคลาย
      “เจ้า..คิดจะเล่นอันใดอีก..  ข้าไม่เข้าใจจริงๆ..เรื่องนี้ข้าจัดการได้  เหตุใดยังเข้ามาจุ้นจ้าน”
      “ต่อให้ท่านกับน้องรองสู้กันอีกสิบทิวาราตรีก็มิคาดว่าจะรู้แพ้รู้ชนะ  เพราะต่างฝ่ายหามีใครกล้าลงมือจริงจัง..”
      “ใครว่าล่ะ..ถ้าเจ้าไม่มายุ่ง  ป่านนี้มันได้เดินทางไปปรโลก (โลกหลังความตาย) เป็นแน่แท้” เจ้าของร่างสีดำเถียงกลับด้วยเสียงเย็นชา แม้ใจจริงจะมิได้คิดเช่นนั้น
      “แล้วไยปล่อยให้โอกาสหลุดลอยอยู่หลายครา  ถึงไท่หยางจะแกร่งเพียงไหน  แต่สำหรับท่านเขาก็เป็นเพียงยุงตัวเล็กๆเท่านั้นมิใช่รึ?” ชุนหลันพูดแดกดันก่อนลงไปนอนกระดิกหางด้วยความสำราญใจ
      ผิดกับเจ้าตัวผู้พี่ที่เข้าสู่ภาวะเคร่งขรึม  ดวงตาของมันเปล่งประกายบางอย่าง
      “วิธีของเจ้า  มิเหี้ยมโหดเกินไปรึ..” สื่อเสินกล่าวราบเรียบ
      “เหี้ยมโหด? เหตุไฉนต้องปรักปรำกันด้วยเล่า..” ชุนหลันแกล้งถาม ก่อนใช้ดวงตากลมโตมองด้วยความประหลาดใจที่พี่ใหญ่พูดออกมาเช่นนี้
      “อย่ามาทำไขสือ..เจ้าคิดว่าข้ามิทันอุบายของเจ้าหรอกรึ  เจ้าจงใจทำให้ไท่หยางอยากฝึกเคล็ดวิชาบทนั้น  เจ้าก็รู้ว่าเขาไม่มีคุณสมบัติ  หากยังดันทุรัง  นั่นอาจทำให้ถึงแก่ชีวิต”
      “เฮอะ  ก็เพราะพวกท่านนั่นล่ะ  ข้าเห็นแล้วให้รู้สึกรำคาญ  ในเมื่อข้าเป็นต้นเหตุให้พี่น้องต้องมาผิดใจกัน  ข้าก็ควรรับผิดชอบมิใช่รึ  อันที่จริงท่านก็น่าจะดีใจ  ที่ข้าทำทั้งหมดก็เพื่อท่านทั้งนั้น..”  ชุนหลันพูดแง่งอนก่อนที่มันจะเอาหางของตัวเองเกี่ยวพันกับพวงหางของผู้พี่อีกครั้ง
      “...” สื่อเสินได้แต่มองน้องชายผู้นี้ของมันด้วยความเอือมระอา
  ในฐานะพี่ใหญ่  มันคือเสาหลักของฝูง  ผู้ใดจะรู้บ้าง  ว่ามันต้องแบกภาระขนาดไหนเพื่อให้ครอบครัวเล็กๆนี้ยังคงแข็งแกร่งและเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
      ชุนหลัน  ไท่หยาง และกุ้ยหลิน ต่างก็เป็นน้องร่วมสายเลือดของมัน  เจ้าพวกนี้มักนำพาความปวดเศียรเวียนเกล้ามาให้อยู่เสมอ  แม้แต่นายใหญ่เช่นตู๋เสอผู้ที่เลี้ยงดูพวกมันทั้งสี่มาตั้งแต่เล็กๆก็มิอาจเข้าใจนิสัยของพวกมันได้อย่างถ่องแท้
      ทั้งไท่หยางและกุ้ยหลิน  แม้ว่าจะเติบใหญ่จนสามารถเอาตัวรอดได้เอง  แต่ก็ยังมีนิสัยเช่นเด็กๆที่น่ารำคาญเป็นยิ่งนัก  แต่ถ้าให้รวมไท่หยางกับกุ้ยหลินเข้าด้วยก็ยังมิอาจสร้างความหนักใจให้แก่มันได้เท่ากับชุนหลัน
      นิสัยแปลกประหลาดของน้องคนนี้คงมีเพียงแค่มันเท่านั้นที่รู้ซึ้งเป็นอย่างดี
      ภายใต้ใบหน้างดงามนุ่มนวลของชุนหลันคือสิ่งที่ใครๆก็มิอาจเข้าถึง
      นอกจากมันผู้เดียวเท่านั้น..


จบตอน

Tiamo_jamsai

  • บุคคลทั่วไป

ออฟไลน์ suck_love

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 780
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
 :mc4: :mc4: :mc4:

จุดพลุ ตุ้งแช่ ตอนรับเรื่องใหม่ฮะ
ตามมาจากนิยายเรื่องนู้น

 :mc3: อย่าลืมมาต่อเน้อ

ปล  :pig4: นะค่ะ

ออฟไลน์ sasa

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1008
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-2
อยากอ่านตอนเป็นมนุษย์ o13

ออฟไลน์ murasakisama

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1489
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +236/-4
ช้อบชอบบบบบ รอตอนต่อไปนะคะ o13

ออฟไลน์ cancan

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1168
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +581/-0
ตอนที่2

หลายสิบวันผ่านไป  ทั่วทั้งป่าก็เริ่มขาวโพลนด้วยหิมะ ..
      ดวงตาโฉบเฉี่ยวคมกริบมองทิวทัศน์เบื้องหน้าด้วยอารมณ์ผ่อนคลาย  ริมฝีปากบางหยักได้รูประบายยิ้มอ่อนๆ
      ตงเทียน(ฤดูหนาว)นี้คงไม่น่าเบื่ออีกแล้ว...

    ...

      “ชุนหลัน..”
   เสียงทุ้มนุ่มดังขึ้นที่บานประตูไม้ของห้องนอน  มันถูกเปิดออกก่อนที่ใครคนหนึ่งจะก้าวออกมาจากในนั้น
      ใบหน้างดงามราวกับรูปสลักของทวยเทพหันตามเสียงเรียก  ดวงตาคมกริบผละจากภาพทิวทัศน์ที่ริมหน้าต่างมาหยุดอยู่ที่บุรุษผู้หนึ่ง  ร่างกำยำในชุดผ้าฝ้ายสีดำยืนหาวหวอดอยู่ตรงหน้าประตูห้องนอน
      “พี่ใหญ่หายเพลียแล้วกระมัง..?” ชุนหลันวางถ้วยน้ำชา  ก่อนลุกขึ้นยืนเต็มความสูง  บุรุษหนุ่มแน่นสองคนยืนประจันหน้า  แม้รูปลักษณ์ของทั้งสองต่างสง่าผ่าเผยไม่เป็นรองกัน  หากแต่บุคลิกของชุนหลันคือคุณชายมาดนิ่งยิ้มง่ายผู้เปี่ยมด้วยความอ่อนโยน  แตกต่างจากสื่อเสินซึ่งอยู่ในชุดดำ  มันคล้ายมัจจุราชในคราบของคุณชายผู้มีใบหน้าหล่อเหลา  ดวงตาสีดำสนิทฉายแววลึกลับชวนหลงใหล
      ทั้งสองนั่งลงบนโต๊ะชุดไม้สลักซึ่งตั้งอยู่กลางห้อง  บัดนี้เข้าเหมันตฤดูครอบครัวสุนัขปิศาจซึ่งเป็นสัตว์ที่บำเพ็ญเพียรมีพลังวัตรแก่กล้าได้คืนสู่ร่างมนุษย์เพื่ออยู่ดูแลเรือนพำนักของตู๋เสอเม่ย ฉายา อสรพิษลี้ลับ  ผู้ที่สุนัขป่าทั้งสี่ให้ความยำเกรงเหมือนนายเหนือหัว เนื่องด้วยอสรพิษผู้นั้นได้เลี้ยงดูพวกมันทั้งสี่จนเติบใหญ่และแข็งแกร่งยากที่จะหาปิศาจตนใดต่อกรได้  ทุกๆฤดูหนาวตู๋เสอจะเข้าฟื้นฟูสภาพร่างกาย  บุรุษผู้นี้ต้องบำเพ็ญเพียรมิดื่มกินหรือขับถ่ายนอกจากนั่งถ่ายเทลมปราณในบึงมรกตซึ่งกอปด้วยน้ำยาปรุงที่ผสมพิษร้ายหลากหลายชนิด   และตอนนี้ตู๋เสอได้ออกเดินทางไปยังถ้ำลับของเขา  เช่นนี้แล้วจึงเป็นหน้าที่ของสี่พี่น้องที่จะต้องดูแลเรือนพักของตู๋เสอให้คงความสะอาดและเรียบร้อยอยู่เสมอ  อีกทั้งยังเป็นโอกาสที่พวกมันจะสามารถดำรงชีวิตในร่างแปลงซึ่งจะมีพลังวัตรเต็มสมบูรณ์อีกด้วย
      “อืม..” สื่อเสินเปล่งเสียงในลำคอเป็นเชิงเห็นดีกับสิ่งที่น้องสามของตนคาดคะเน  เมื่อคืนนี้เขาออกทำงานให้ตู๋เสอในร่างสุนัขป่าเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่จะกลายเป็นร่างบุรุษหนุ่ม  เพราะการเดินทางเป็นร้อยลี้ติดต่อกันมิได้หยุดพัก จึงทำให้เหนื่อยอ่อน  เมื่อกลับถึงเรือนพำนักของตู๋เสอจึงล้มลงสิ้นสมประดี
      “ดีๆ..” ชุนหลันพยักหน้าช้าๆ เมื่อทราบว่าอีกฝ่ายฟื้นฟูเต็มที่ก็เบาใจ
      “อืม..ไท่หยางกับกุ้ยหลินเล่า ก่อความวุ่นวายอันใดให้เจ้าบ้างหรือไม่ ?”  สื่อเสินไถ่ถามถึงน้องทั้งสอง
      “หึๆ..วางใจเถอะ..ไท่หยางคงขมักเขม้นฝึกฝนเคล็ดวิชานั้น..ส่วนกุ้ยหลินก็หายเข้ากลีบเมฆ  คงออกไปท่องเที่ยวตามประสา  เจ้าสองคนนั้นไม่ได้มากวนใจข้าเลยสักนิด..” ชุนหลันพูดด้วยรอยยิ้มอ่อนๆก่อนที่จะรินน้ำชาร้อนๆให้แก่พี่ใหญ่
      “ต่อให้มีพลังวัตรครบบริบูรณ์  แต่ไม่มีคุณสมบัติถูกต้องก็ทำไม่สำเร็จ  อีกทั้งยังจะกลายเป็นทำร้ายตัวเอง..”สื่อเสินส่ายหน้าเล็กน้อยแล้วกล่าวต่อ
      “เจ้าควรจะหาวิธีอื่นหลอกล่อเขา  มิใช่ทำร้ายกาจถึงเพียงนี้”  สื่อเสินกล่าวด้วยใบหน้าเคร่งเครียด
      “หืม..ไฉนไปๆมาๆกลายเป็นข้าที่โดนด่าเล่า  ก็ในเมื่อเขาอยากหาเรื่องใส่ตัวก็ช่างปะไร หึๆ..เอาเป็นว่าท่านอย่าเพิ่งวิตกเกินไป  ดีมิดีไท่หยางอาจหาวิธีพลิกแพลงจนฝึกมันสำเร็จ” ชุนหลันพูดด้วยดวงตาเป็นประกายวาววับ
      “หืม..?”  สื่อเสินขมวดคิ้วมุ่น  เขามองแววตาลึกล้ำของน้องชายอย่างจับผิด
      “หืม..อันใด? อีกฝ่ายถามกลับด้วยความสงสัย
      “ข้ารู้ว่าเจ้าอยากศึกษาเคล็ดวิชานั้นให้ลึกซึ้ง...แต่เจ้าคงมิใช้น้องชายเป็นตัวทดลองกระมัง ?” สื่อเสินหรี่ดวงตาถามอีกฝ่าย
      ชุนหลันกลับยักไหล่ด้วยใบหน้าไม่แยแส
      “อันที่จริงข้าก็ไม่ได้ตั้งใจแบบนั้น  เพราะถึงอย่างไรเขาก็ไม่มีวันฝึกสำเร็จ  และเมื่อถึงตอนนั้นก็คงหมดฤดูหนาว  ไท่หยางก็ไร้ข้ออ้างอีกต่อไป..อย่างไรซะ..เขาก็ต้องตัดใจจากข้า ใช่หรือไม่  พี่ใหญ่? ชุนหลันสบตาพี่ใหญ่ของเขาแน่วแน่
      “อืม..ย่อมต้องเป็นเช่นนั้น..” เสียงตอบเบาๆดังขึ้นมาจากฝ่ายตรงข้าม
      “อืม..เมื่อพี่ใหญ่ดีขึ้นแล้วข้าคงต้องขอไปนอนพักสักครู่” บุรุษหนุ่มในชุดผ้าฝ้ายสีขาวค่อยๆลุกขึ้น
      มิทันที่ชุนหลันจะก้าวขาออก สื่อเสินก็ปราดเข้าหาอย่างรวดเร็ว
      “สีหน้าของเจ้าไม่สู้ดีนัก..” เสียงทุ้มนุ่มพูดด้วยความกังวล  ฝ่ามือของสื่อเสินเกาะกุมอยู่ที่ใบหน้างดงามของชุนหลัน  เพียงเท่านั้นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของน้องชายก็ปรากฏขึ้น
      “หืม..ทำสีหน้าเช่นนี้..พี่ใหญ่จะช่วยข้าหรือไร..?” ชุนหลันเย้าแหย่พี่ชาย
      “หึๆ..ก็มิใช่ข้าหรอกหรือ  ที่ช่วยเจ้ามาตลอด”  สิ้นคำพูด..ปลายนิ้วของผู้พี่ก็ไล้ลงเบาๆบนริมฝีปากหยักได้รูปของผู้เป็นน้อง
      ชุนหลันยิ้มพริ้มพราย  เจ้าตัวจูงมือพี่ชายใหญ่เดินกลับเข้าห้องนอนอีกครั้ง 
      สื่อเสินทิ้งตัวลงบนพื้นเตียง ร่างกำยำนั่งตัวตรงมองน้องชายที่นั่งอยู่บนพื้นเบื้องหน้า
      ชุนหลันเลียริมฝีปากแห้งผากของตนเอง..
      บุรุษชุดดำค่อยๆโน้มตัวลง  ใบหน้าคมคายเฉียดเข้าใกล้ใบหน้างดงามดุจเทพยาดา
      “เอาไป..เท่าที่เจ้าต้องการ..” สื่อเสินกระซิบแหบพร่าข้างริมใบหูของชุนหลัน  สิ้นเสียงนั้นฝ่ามือขาวซีดของผู้เป็นน้องก็ค่อยไล้ผ่านสาบเสื้อก่อนคลี่คลายให้แยกออกจากกัน  เป้าหมายของชุนหลันคือสิ่งที่อยู่ต่ำกว่านั้น  ปมเชือกกางเกงของสื่อเสินถูกแก้ออก  ความร้อนราวแท่งเหล็กที่ถูกนาบไฟสัมผัสฝ่ามือของชุนหลัน 
      ดวงเนตรคมกริบจับจ้องเบื้องหน้า..
      สื่อเสินเอนกายเล็กน้อย สองฝ่ามือยันพื้นเตียงก่อนอ้าขาเพื่อความสบาย  ดวงตาลึกลับเพ่งพิศผู้ที่อยู่ต่ำกว่า
      ชุนหลันหรี่ตาลง   พอเห็นเช่นนั้นก็ต้องลอบชื่นชมสรีระบุรุษที่ปรากฏแก่สายตา 
      งดงามแต่แข็งแกร่ง
      ทั้งท้าทายและเชิญชวน
      ดวงเนตรคมกริบของชุนหลันช้อนขึ้นมองใบหน้าหล่อเหลาของพี่ใหญ่
      บุรุษผู้นี้ เป็นของเขาแต่เพียงผู้เดียว...
      ...
      .........................................................................
      ..............................................................
      
  “อืม..บาดแผลค่อยดีขึ้นแล้ว..”
  “...”
      กุ้ยหลินช้อนสายตามองพี่ชายที่ยังคงนั่งนิ่ง  ดวงพักตร์ขาวนวลดุจดั่งเนื้อหยกขาวส่ายไปมาช้าๆ   ก่อนถอดถอนฝ่ามือเรียวงามออกจากอกแกร่งของผู้ที่กำลังพึ่งการรักษาของตน
      “ชอบเขาข้างเดียว..” เสียงใสเอ่ยขึ้นเลื่อนลอยด้วยความหมั่นไส้  ขนาดโดนพี่ใหญ่เล่นงานถึงขั้นนี้ยังยอมเป็นตัวโง่งมปล่อยให้พี่รองปั่นหัวเล่นอีก..
      “...”  เจ้าของดวงเนตรสีน้ำตาลมิอาจเอื้อนเอ่ยสิ่งใด  ใบหน้าหล่อร้ายปรากฏรอยกรามขึ้นเป็นสันที่ด้านข้าง
      “ข้าว่า..ท่านเสียเวลาเปล่า เคล็ดวิชาอะไรนั่นฝึกได้จริงรึเปล่าก็ไม่รู้” กุ้ยหลินยังคงเจื้อยแจ้วขณะที่กำลังบรรจงทาสมุนไพรลงบนบาดแผลตรงหัวไหล่ของพี่ชาย
      หารู้ไม่ว่าการวิพากษ์วิจารณ์เช่นนั้นกลับทำให้อีกฝ่ายเกิดโทสะ  ฝ่ามือใหญ่รวบข้อมือเล็กอย่างรวดเร็ว กุ้ยหลินร้องเสียงหลงก่อนเสียหลักถลาเข้าไปปะทะอกบึกบึนของอีกฝ่าย  ไท่หยางยิ้มร้ายกาจจงใจคุกคามผู้เป็นน้อง
      “หึ..อย่าจุ้นเรื่องของข้าจะดีกว่า   ว่าแต่เจ้า..เข้าฤดูหนาวแล้วไฉนยังมีเวลามาดูแลบาดแผลให้แก่ข้า มิใช่ต้องไปรอคอยสหายจากแดนไกลหรอกหรือ..” พี่ชายยิ้มเหี้ยม ดวงตาวาวโรจน์ดั่งเปลวเพลิงที่พร้อมเผาไหม้ทุกสิ่งให้ราบคาบ
      “หือ!..ท่านพูดอันใด” กุ้ยหลินกล่าวอึกอัก
      “หึ..อย่ามาไขสือ  ข้ารู้  ว่าเจ้าเข้าใจสิ่งที่ข้าพูด  หลินน้อย..เจ้าเองก็มีชนักติดหลังมิใช่หรือไร?”ไท่หยางกระซิบเสียงเจ้าเล่ห์      
กุ้ยหลินสะบัดตัวออกห่าง  ใบหน้างดงามบูดบึ้งก่อนลุกขึ้นยืนจังก้าท้าวสะเอวเอาเรื่องบุรุษตรงหน้า
      “แล้วจะเป็นไรเล่า  เรื่องของข้าไม่ได้สร้างความเดือดร้อนแก่ผู้ใด  ส่วนเจ้า...ถ้าอยากจะเอาตัวเองไปแทรกกลางระหว่างพี่รองกับพี่ใหญ่ก็เชิญ  พวกโง่เง่า ชอบเห็นกงจักรเป็นดอกบัว” กุ้ยหลินพูดได้เพียงเท่านั้น  ก็มิอาจทนเห็นใบหน้ากวนโทสะของไท่หยางได้อีก  ไม่ใช่เพราะความหวังดีหรือไร  ถึงได้ยอมเอาตัวเองเข้าไปแส่หาเรื่อง  มิคาดเจ้าพี่ชายผู้ดื้อดึงกลับมิเห็นน้ำใจ ซ้ำยังหาว่าผู้อื่นจุ้นจ้าน  เช่นนี้ก็คงได้แต่ปล่อยให้โง่งมอยู่คนเดียวนั่นล่ะดีที่สุด
      เด็กหนุ่มเดินลิ่วๆออกมาจากห้องนั้นด้วยความไม่สบอารมณ์  พอนึกถึงไท่หยางก็ให้รู้สึกเสียดายแทน  พี่ชายของตนผู้นี้มีดีไม่แพ้ใคร  ทั้งรูปร่างหน้าตาก็มิได้อัปลักษณ์น่าเกลียด  แถมยังมีพลังวัตรแก่กล้าประกอบด้วยวรยุทธลึกล้ำ   สติปัญญาฉลาดหลักแหลมดุจปราชญ์ผู้รอบรู้  แต่ดันมาตกม้าตายเพราะความหน้ามืดตามัวในเรื่องไม่เป็นเรื่อง
      กุ้ยหลินขบคิดถึงความสัมพันธ์ของพี่ชายทั้งสามก็ให้เกิดอาการปวดหัว  ไม่ทราบว่าพี่รองอย่างชุนหลันมีดีอะไรถึงขนาดทำให้พี่ใหญ่ต้องบาดหมางกับไท่หยาง และถึงแม้จะพอระแคะระคายว่าพี่ใหญ่สนิทสนมแน่นแฟ้นกับชุนหลันถึงขั้นไหน  แต่เจ้าของผิวนวลขาวก็อดที่จะเคลือบแคลงสงสัยในท่าทางและความสัมพันธ์ของสองคนนั้นมิได้
      กุ้ยหลินนั่งลงตรงระเบียงของเรือนพัก  ดวงเนตรสุกใสทอดมองบึงน้ำแข็งที่อยู่ท่ามกลางสวนหินซึ่งบัดนี้ถูกปกคลุมด้วยหิมะ  หลินน้อยนั่งแกว่งเท้าคิดเรื่อยเปื่อยอยู่เป็นนานสองนานก็สังเกตเห็นว่าหิมะเริ่มโปรยปรายอีกแล้ว  เพียงเท่านั้นหัวใจดวงเล็กก็ล่องลอยออกไปยังบ้านพักแห่งหนึ่ง  ทุกๆเหมันตฤดูมันมีนัดกับบุคคลสำคัญ  และตอนนี้ก็ได้เวลาที่จะต้องออกเดินทางไปยังที่แห่งนั้น กุ้ยหลินมิอาจรอช้า ร่างโปร่งดีดตัวขึ้นยืนอย่างคล่องแคล่วแต่ด้วยความเร่งรีบจึงมิทันระวังว่ามีใครอีกคนยืนอยู่ใกล้ๆ
      “ปึก!”
      กุ้ยหลินเสียหลักล้มลงเพราะมิอาจทนต่อแรงปะทะ  แต่โชคยังดีที่คนผู้นั้นเอื้อมมือยื้อยุดกันไว้ได้ทัน พอกลับมาทรงตัวได้อีกครั้ง ร่างใหญ่ของใครคนหนึ่งก็ก้าวเข้ามาประชิด
      “พี่รอง..” หลินน้อยครางชื่อของพี่ชายแผ่วเบา
      “หลินน้อย..จะเร่งรีบไปไหนกัน”  เสียงนุ่มนวลของผู้พี่ถามไถ่น้องเล็กสุดท้อง
  กุ้ยหลินอยู่ในอ้อมกอดของพี่รองก็ให้เกิดความรู้สึกประหม่า  ดวงเนตรคมกริบของคนผู้นี้คล้ายมีอำนาจลึกลับสะกดให้หัวใจของมันเต้นไม่เป็นจังหวะ  ความรู้สึกเช่นนี้ก่อให้เกิดปัญหาคาใจที่ยากแก่การแก้ไขให้กระจ่าง 
      เพราะตัวกุ้ยหลินเองก็มิอาจเข้าใจว่าเหตุไฉนตนถึงได้รู้สึกยำเกรงพี่รองถึงเพียงนี้
      “ว่าอย่างไรเจ้าตัวเล็ก..” ชุนหลันคาดคั้นน้องน้อย  หากแต่ยังคงใช้เสียงนุ่มนวลมิได้บังคับขู่เข็ญเอาความเป็นจริงเป็นจัง  เมื่อเห็นว่าน้องชายสุดท้องกำลังหัวหดตัวสั่นก็ให้นึกสนุก  ประกายวูบไหวปรากฏบนดวงเนตรคมกริบเพียงชั่วครู่  ชุนหลันกระชับอ้อมแขนของตน  ออกแรงเพียงเล็กน้อย ร่างผอมแห้งแต่นุ่มนิ่มชวนสัมผัสก็แนบชิดเข้าหา  ปลายจมูกโด่งเฉียดเข้าใกล้ผิวเนื้อเนียนนุ่มนั้นอย่างจงใจ
      “พี่รอง?”  กุ้นหลินตกใจจนทำอันใดมิถูก ดวงตาเหลือกลานและร่างกายก็สั่นเทามากขึ้น
    ความรู้สึกเช่นนี้เหมือนคนใกล้จมน้ำ  เพราะถูกกระแสพลังบางอย่างกดดันจนมิอาจหายใจได้อย่างสะดวกดาย
      “อืม..พอได้กอดเจ้าแบบนี้ทีไร ข้าก็อดนึกถึงดรุณีแรกแย้มมิได้  เหตุไฉนสวรรค์ต้องกลั่นแกล้งมิยอมให้เจ้าเกิดเป็นหญิง ช่างน่าเสียดายจริง.. ถ้าหากมีเทพองค์ใดเห็นใจข้าบ้าง มิคาดป่านนี้ เจ้าคงเป็นน้องสาวที่งดงามหาหญิงใดเทียบ”
      กุ้ยหลินได้ยินพี่ชายพูดเช่นนั้นก็ทำเป็นใจดีสู้เสือแกล้งปั้นปึ่งแง่งอนก่อนบอกกล่าวแก่พี่รอง
      “ฮึ..เช่นนั้นก็ควรปล่อยข้าได้แล้ว  หากอยากได้ดรุณีแรกแย้มมาเป็นน้องในไส้  ก็ไปหาเอาข้างหน้าเถิด  ไฉนมาเสียเวลาอยู่ตรงนี้เล่า”
      “หึๆ..ช่างพูดดีนัก ถ้าเช่นนั้นขอให้พี่รองผู้นี้บอกกล่าวกันสักหน่อยเถิด  ถึงเจ้าจะเกิดเป็นชาย แต่ข้าก็รู้สึกหวงแหนเป็นยิ่งนัก โดยเฉพาะผิวเนื้อขาวสะอาดนุ่มนิ่มของเจ้า  น้องเล็ก..ไม่ว่าจะอย่างไร  เจ้าก็ต้องรักษามันไว้อย่าให้มีแม้แต่รอยขีดข่วน..” ชุณหลันหยุดพูดเล็กน้อย  ดวงเนตรคมกริบสังเกตปฏิกิริยาอีกฝ่ายแล้วก้มลงกระซิบใกล้ริมใบหูของผู้น้อง
      “ที่สำคัญ..จงอย่าให้ไอ้พวกมนุษย์ชายหรือหญิงคนใดได้เห็นและสัมผัสมันเป็นอันขาด  เพราะมันจะนำพาความเดือดร้อนมาให้เจ้าและพวกเรา  โดยเฉพาะพี่ใหญ่  เขาคงไม่ชอบแน่ๆ  ถ้าความซุกซนของเจ้าสร้างปัญหาแก่พวกเรา” 
      กุ้ยหลินได้ยินพี่รองพูดเช่นนั้นก็ให้รู้สึกหายใจไม่สะดวก  ร่างแข็งทื่อมิอาจเคลื่อนไหว  คำเตือนของพี่รองเหมือนกำแพงไม้ไผ่ที่ถูกเหลาให้แหลมคม   หากคิดกระโดดข้ามไป ก็ต้องไม่เกิดข้อผิดพลาด  มิเช่นนั้นร่างกายคงถูกเสียบติดอยู่บนปลายแหลมได้รับความเจ็บปวดแสนสาหัส
      ระหว่างที่หลินน้อยต้องตกอยู่ในสถานการณ์อันน่าอึดอัด  ใครคนหนึ่งก็เอ่ยทักขึ้นด้านหลัง  เสียงนั้นเหมือนระฆังช่วยชีวิตน้อยๆของกุ้ยหลิน
      “หลินน้อย..เจ้าออดอ้อนอันใดกับพี่รอง?”
      เสียงทุ้มต่ำเนิบนาบของสื่อเสินทำให้ชุนหลันเผลอคลายอ้อมกอดลงเล็กน้อย  กุ้ยหลินฉวยโอกาสนั้นพลิ้วกายออกจากอกอุ่นของพี่ชายคนรองก่อนน้อมกายคารวะพี่ใหญ่  สื่อเสินสังเกตเห็นสภาวะผ่อนคลายของน้องเล็ก  ก็ให้ต้องลอบส่งสายตาตำหนิแก่ชุนหลัน
      “ไฉนพี่ใหญ่ปรักปรำผู้น้องเช่นนี้เล่า  เป็นพี่รองต่างหาก  ที่ยื้อข้าไว้มิยอมปล่อย”  กุ้ยหลินได้ทีรีบเอื้อนเอ่ยด้วยใบหน้าปั้นปึ่ง  ฝ่ายสื่อเสินได้ยินเช่นนั้นก็ส่ายหน้าช้าๆ ดวงเนตรลึกลับสุดหยั่งคาดทอดมองน้องชายทั้งสอง
      ชุนหลันและกุ้ยหลินสวมชุดขาวเช่นเดียวกัน  ทั้งสองคล้ายภูติพรายท่ามกลางสายหิมะเบื้องหลัง  ยิ่งเพ่งพิศก็ให้รู้สึกราวกับต้องมนต์จนมิอาจละสายตา หากเปรียบกุ้ยหลินเหมือนกวางดาวตัวน้อยอันบริสุทธิ์และงดงาม  ใครๆก็คงพากันกล่าวว่าชุนหลันเหมือนหงษ์ขาวที่อ่อนช้อยและสูงส่ง  แต่สำหรับสื่อเสินกลับมองชุนหลันต่างออกไป  อันที่จริงน้องรองของเขาไม่เหมือนหงส์ขาวเลยสักนิด  ในความคิดของสื่อเสิน  ชุนหลันคือเสือดาวหิมะทั้งขี้เล่นมากเล่ห์
      สวยงามแต่ไม่น่าเข้าใกล้...
      พี่ใหญ่ผู้สุขุมยืดตัวตรงเอามือไพร่หลัง  พอทอดถอนลมหายใจแล้วจึงเริ่มเอื้อนเอ่ยต่อน้องเล็ก
      “อย่าได้ถือสาพี่ชายเจ้า   เขาเห็นเจ้าตั้งแต่ยังแบเบาะ  เราสองคนช่วยกันดูแลเจ้าและไท่หยางตั้งแต่วัยเยาว์  มันคงทำใจลำบากอยู่เหมือนกันที่ต้องยอมรับว่าบัดนี้น้องๆเติบใหญ่กันหมดแล้ว ด้วยนิสัยขี้เล่นของชุนหลัน  เขาคงมิได้ไตร่ตรองว่าการเย้าแหย่อาจสร้างความรำคาญใจแก่น้อง”
      “ข้ามิได้ถือสาอันใด”  หลินน้อยรีบเอ่ยเสียงอ่อน
      ดวงตากลมโตลอบมองพี่คนรอง  บัดนี้ร่างสูงสง่างามกำลังชื่นชมทิวทัศน์ขาวสะอาดที่ปกคลุมด้วยหิมะ  ใบหน้าผุดผ่องเพราะผิวขาวซีดโดดเด่นไม่ต่างจากเกล็ดหิมะที่กำลังโปรยปรายลงมาจากเบื้องบน  เส้นผมสีเงินนุ่มลื่นดุจไหมยาวสยายเต็มทั่วทั้งแผ่นหลังของผู้เป็นพี่
      ฝ่ายสื่อเสินเห็นน้องเล็กอ่อนลงก็คิดว่ามิมีเรื่องอันใดค้างคากันอีก
      “เช่นนั้นก็ดีแล้ว”  สื่อเสินบอกแก่กุ้ยหลิน  ก่อนพยักหน้าช้าๆเป็นเชิงพอใจ
      ส่วนกุ้ยหลินนั้น..เมื่อเห็นว่าพี่ใหญ่มิได้เอ่ยอะไรเพิ่มเติม  และพี่รองก็มิได้สนใจจะต่อความ  จึงกล่าวขอตัว
      “ในเมื่อพี่รองมีพี่ใหญ่เป็นเพื่อนคุยแล้ว  เช่นนั้นข้าคงต้องขอตัวไปพักผ่อน”  สิ้นเสียงของมัน น้องเล็กสุดท้องจึงน้อมกายคารวะก่อนเคลื่อนคล้อยจากไปราวภูติพราย
      สื่อเสินมองการจากไปของน้องเล็กแล้วก็ลอบถอนหายใจเล็กน้อย    ก่อนก้าวเข้าไปยืนชมหิมะเคียงข้างชุนหลัน
      หนึ่งดำหนึ่งขาว..ความแตกต่างที่มิอาจบรรจบพบกัน..
      “รู้ใช่หรือไม่ ว่ากุ้ยหลินมิได้กลับเข้าห้อง?” ชุนหลันเอ่ยขึ้นก่อนปรายตามองพี่ชาย
      “อืม..คงต้องปล่อยไปก่อน” สื่อเสินกล่าวเสียงเรียบ
      “แปลกนัก..ดุดันเช่นท่านก็ผ่อนปรนเป็น” อีกคนกลับหัวเราะชอบใจ
ฝ่ายสื่อเสินหันไปมองคู่สนทนาเพียงชั่วครู่  ก่อนขยายความให้ฟังเพิ่มขึ้น
      “ต้องจัดการไท่หยางก่อน”
       ชุนหลันได้ฟังคำตอบก็พยักหน้าเบาๆเป็นเชิงรับรู้  ก่อนจงใจเปลี่ยนเรื่องคุย
  “อืม..เฮ้ออ~ หิมะเริ่มหนาขึ้นแล้ว  อากาศแบบนี้ถ้าได้ขนจิ้งจอกมาทำเสื้อกันหนาวให้ท่านได้ก็คงดี” 
  สื่อเสินได้ยินเช่นนั้นก็เงียบไปสักพัก ก่อนที่จะอุทานออกมาเสียงดัง  พี่ใหญ่ก้มหัวส่ายศีรษะช้าๆด้วยใบหน้าแสดงความเสียดาย
  ชุนหลันเห็นเช่นนั้นก็ต้องเลิกคิ้วด้วยความฉงน  ท่าทางของพี่ใหญ่ถึงกับสร้างความขบขันได้ชั่วขณะ
  “เป็นอันใดไปแล้วเล่า?” น้องรองกลั้นเสียงหัวเราะเพื่อถามไถ่
  “เฮ้ออ~...เพราะเมื่อวานนี้ข้าเหนื่อยล้าจนเกินไป  ระหว่างทางที่จะกลับมา จึงได้เผลอทำของวิเศษหล่นหาย”สื่อเสินอธิบาย
  “ของวิเศษ?”
  “อืม..ข้าคาบมันไว้ในปาก  แต่มิคาดมันดิ้นหลุดและหายไปอย่างรวดเร็ว  ทั้งๆที่ตั้งใจว่าจะเอามันให้เจ้าแท้ๆ  แต่กลับทำตกหาย    ไปซะได้”
  “ของวิเศษอันใด..ถึงขยับได้?”  ชุนหลันถามไถ่ด้วยความอยากรู้
  “เฮ้ออ~..ในเมื่อหายไปแล้วเจ้าก็อย่าไปใส่ใจอีกเลย  ข้าเกรงว่าถ้าบอกแล้วจะยิ่งเสียดาย  เพราะเจ้ามันพวกโลภมาก เดี๋ยวก็อดใจไม่ไหวจนถ่อสังขารออกไปหามันที่ข้างนอกนั่น”  สื่อเสินเอ่ยด้วยใบหน้าเอือมระอา
  “หึๆ..เช่นนั้นเป็นความผิดท่านที่ทำของๆข้าหายไป คราวนี้จะชดเชยกันอย่างไรดี?” สิ้นประโยคนั้นดวงพักตร์งดงามก็เคลื่อนเข้า  ใกล้พี่ชาย  เนตรสีเทาลึกล้ำจ้องมองผู้พี่อย่างเจ้าเล่ห์
  สื่อเสินกระตุกยิ้มเล็กน้อยแล้วย้อนถามกลับ
  “ผู้อื่นให้เจ้าไปหมดแล้ว..อยากได้อันใดอีกเล่า?”
  “อะไรก็ได้..มัดจำไว้ก่อนดีหรือไม่” ชุนหลันกระซิบถามเสียงนุ่ม  มิทันที่จะเอื้อยเอ่ยอันใดต่อจากนั้น ฉับพลันก็ถูกนิ้วแกร่งของพี่ใหญ่เข้าจู่โจมริมฝีปากสีสวยของตน  ปลายนิ้วลากไล้แผ่วเบาก่อนเปลี่ยนเป็นปลายลิ้นอ่อนละมุน  ชุนหลันครางพึงพอใจกับสิ่งที่พี่ใหญ่มัดจำเอาไว้  เจ้าตัวเผยอปากยอมให้ตนเองถูกรุกราน

   

  ดวงเนตรสองคู่ปรือปรอย.....ลมปราณไหลเวียนถ่ายเท
  สองชิวหาเคลื่อนคล้อยสอดประสาน ......ดื่มด่ำด้วยอวิชาพิสดาร



จบตอน

ช่วง :m26:กระซิบกระซาบ
(ดีใจจังที่มีคนเข้ามาอ่านแล้ว    :mc4:)

เรื่องนี้รับรองว่าผู้อ่านทั้งหลายไม่ต้องรอนาน  เพราะว่า ว่า ว่า cancan ปั่นมันเสร็จแล้ว เนื่องจากว่า  อยากใช้ช่วงที่พักจาก บลัดลันลาบาย เขียนอะไรที่มันเป็นอีกรสชาติ  พอดีคิดถึงเรื่องนี้แล้วมันก็เป็นตอนสั้นๆ  cancan เลยขออนุญาตแย่งเวลาของบลัดฯ กับ ปอนด์&แฮม มาเขียนเรื่องนี้ให้จบ แหะๆ  อ่านะ  ก็ขอออกนอกลู่นอกทางนิดส์นึง  ตอนนี้ก็คงกลับไปทุ่มเทให้บลัดฯต่อไปและปอนด์&แฮมเป็นระยะๆ  ส่วนเรื่องนี้จะลงให้เรื่อยๆเลย  เดี๋ยวก็จบแล้วล่ะ อิอิ  ตอนท้ายๆของเรื่องนี่ถ้าเป็นคนที่ขี้ร้อนในเลือดกำเดาไหลง่ายก็อย่าลืมซื้อกระดาษทิชชู่ไว้บ้างนะ 555555

สุดท้ายต้องขอบคุณที่เข้ามาอุดหนุนกันนะ  จุ๊บุๆ +1 ทุกท่าน



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 06-05-2012 22:06:33 โดย cancan »

ออฟไลน์ cancan

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1168
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +581/-0
ตอนที่3




   หลังจากกุ้ยหลินปั้นปึ่งจากไป ไท่หยางก็เดินลมปราณสมานบาดแผลอยู่หนึ่งชั่วยาม แล้วจัดการแต่งกายรัดกุมเพื่อเร่งรุดออกไปด้านนอก  ก่อนนั้นก็มิลืมหยิบฉวยคัมภีร์ที่เป็นสุดยอดเคล็ดวิชาเล่มหนึ่งติดมือไปด้วย  ในใจของสุนัขปิศาจในร่างมนุษย์เต็มไปด้วยไฟแห่งการต่อสู้  ดวงตาสีน้ำตาลส่องประกายโชติช่วงด้วยความทะเยอทะยาน  ทั้งนี้เพราะกำลังใจอันดีที่ได้จากพี่รองผู้งดงาม  คัมภีร์เล่มนี้พี่รองเป็นผู้มอบให้เองกับมือ
   ต่อให้ต้องสู้กับพี่ใหญ่จนชีวิตหาไม่มันก็ไม่นึกเสียดาย  เพราะอย่างน้อยก็แสดงให้คนที่มันแอบนึกถึงได้เห็นแล้วว่าตนเองเองก็มีดีมิใช่ชั่ว  เพราะฉะนั้นขอเพียงแค่ได้ลงมือศึกษาเคล็ดวิชานี้อย่างจริงจัง  มิช้านานก็คงได้สั่งสอนพี่ใหญ่กลับไปได้บ้างอย่างแน่นอน
ไท่หยางเสาะหาถ้ำแห่งหนึ่งเพื่อหลบเข้าไปฝึกวิชาในนั้น   เมื่อหาที่เหมาะๆได้ก็จัดแจงนั่งลงขัดสมาธิแล้วเอาเคล็ดวิชากางออกที่ด้านหน้า  โชคดีที่ถ้ำแห่งนี้มีร่องหลืบอยู่เบื้องบนเป็นผลให้แสงอาทิตย์เล็ดลอดลงมาได้ถึงด้านล่าง   ด้วยสติปัญญาและความจำเป็นเลิศจึงจัดแจงศึกษาและท่องจำสิ่งที่เขียนอยู่ในนั้นให้ขึ้นใจภายในครั้งเดียว  ทั้งนี้เพื่อจะได้ไม่ต้องลำบากยามเมื่อสิ้นแสงสุริยา
   ไท่หยางใช้เวลาศึกษาเคล็ดวิชาอยู่สิบสองชั่วยามก็ให้รู้สึกว่ายังไม่มีอันใดคืบหน้า  แม้จะท่องจำทุกสิ่งได้หมดแต่สุดท้ายก็รู้สึกว่ามันช่างไร้ประโยชน์  บุรุษในชุดเทานั่งศึกษาเคล็ดวิชาอยู่เช่นนั้นมิยอมเคลื่อนไหวไปที่ใด  จนเวลาล่วงเลยไปสามวันสามคืนก็ยังไม่มีสิ่งใดทำให้ไท่หยางเข้าใจเคล็ดวิชานี้ได้อย่างถ่องแท้  ทั้งๆที่มันก็เพียงแต่ชี้แนะการเดินลมปราณ  ไท่หยางทบทวนเนื้อความแล้วก็ให้รู้สึกว่าคล้ายผู้ฝึกต้องมีลมปราณสองแขนงแตกต่าง    ใช้ลมปราณหนึ่งนำพาลมปราณหนึ่งไหลเวียนตามจุดต่างๆ  ขบคิดอยู่นานก็มิอาจเข้าใจว่ามันจะสร้างประโยชน์อันใด  อีกทั้งตอนนี้ก็ยังมิทราบแน่ว่าเคล็ดวิชานี้จะร้ายกาจแค่ไหน  ยิ่งคิดก็ให้หงุดหงิดงุ่นง่านจนสมาธิหมดลง
   เช้ารุ่งขึ้นของวันที่สี่ ไท่หยางจึงยอมปรากฏกายออกจากถ้ำ  เมื่อเท้าเหยียบลงบนหิมะหนานุ่มก็เห็นว่าทั่วทั้งบริเวณของผืนป่ากลายเป็นสีขาวโพลนให้รู้สึกน่ามองไปอีกแบบ  ไท่หยางสูดหายใจเอาอากาศบริสุทธิ์เข้าปอดก่อนตัดสินใจออกเดินชมทิวทัศน์เพื่อลบล้างอารมณ์หงุดหงิดจากการฝึกวิชา
   หากแต่พอออกเดินมาได้ไม่ไกลนักใบหูทั้งสองข้างก็ได้ยินเสียงคำรามก้อง  ไท่หยางขมวดคิ้วฉุกใจคิดว่าเหตุใดถึงได้ยินเสียงคล้ายสัตว์กินเนื้อขนาดใหญ่อยู่ใกล้ๆบริเวณนั้น  บุรุษในชุดเทาหลับตาลงก่อนเพ่งสมาธิใช้หูทิพย์สดับฟังความเคลื่อนไหว แต่แล้วก็ต้องลืมตาขึ้นอีกครั้ง ดวงเนตรสีน้ำตาลเป็นประกายโหมไม้ด้วยไฟแห่งโทสะ  หัวใจบีบอัดเพราะตอนนี้ทราบเรื่องราวกระจ่างแล้ว  ร่างใหญ่โผทะยานขึ้นด้วยวิชาตัวเบา แม้ล่องลอยดั่งเมฆาหากแต่รวดเร็วราวอินทรี
.........................................
............................

   “หนอย~..” กุ้ยหลินคำรามรอดไรฟัน  ดวงตาดำขลับจ้องเขม็งที่ร่างใหญ่ดำทะมึน  แม้สองมือจะว่างเปล่าไร้อาวุธแต่ก็ตั้งท่าเตรียมจู่โจมเข้าหาอีกครั้ง    ฝ่ายหมีป่าดวงตาแดงก่ำยืนขึ้นเต็มความสูงสองเมตร มันจงใจข่มขวัญคู่ต่อสู้ผู้เสียเปรียบ
กุ้ยหลินมองร่างสีขาวขนปุยที่นอนขดตัวสั่นอยู่เบื้องหน้าของหมีตัวใหญ่ก็ให้รู้สึกเจ็บใจ  เพราะรู้ว่าตนเองไม่อาจเป็นฝ่ายได้เปรียบ  ตอนนี้กลับนึกเสียดายที่ลืมหยิบกระบี่ติดมือมาด้วย  อีกทั้งวิชาหมัดมวยก็มิได้เอาอ่าว  เห็นจะดีอย่างเดียวก็คือวิชาตัวเบา   ถ้าหากสามารถฉกเอาเจ้าตัวเล็กนั่นมาได้ทุกอย่างก็คงจบลงไม่ต้องมีผู้ใดเจ็บตัว  เพราะกว่าที่หมีป่าตนนั้นจะได้ทำร้ายตน  กุ้ยหลินก็คงวิ่งหนีไปไกลลิบแล้ว
    แต่เรื่องราวกลับไม่เป็นเช่นนั้น  เพราะเจ้าปิศาจตัวเล็กนั่นมีกลิ่นอายพิเศษ  ถึงยังมิได้แปลงร่างแต่ก็พอจะรู้ว่ามันมีพลังวัตรมิใช่ชั่ว  ไม่เช่นนั้นหมียักษ์คงไม่ยอมทิ้งที่นอนอบอุ่นในช่วงจำศีลออกมาด้านนอกที่เต็มไปด้วยหิมะเย็นเยียบ ตั้งแต่กุ้ยหลินปะทะกับมันมาได้เกือบ1ชั่วยาม นี่ก็เป็นครั้งแรกที่มันยอมวางเจ้าตัวนั้นลงบนพื้น ขนสีขาวปุกปุยแทบกลายเป็นสีเดียวกับหิมะ
    กุ้ยหลินกัดฟันเข้าแย่งชิงเจ้าขนปุยตัวนั้นอีกครั้ง   หากแต่ครานี้ตนเองกลับเป็นฝ่ายเสียที  หมีป่าแม้จะตัวใหญ่แต่ก็รวดเร็วและ แข็งแรง  ร่างโปร่งโดนซัดกลับด้วยพละกำลังมหาศาล  ที่เป็นเช่นนี้  เพราะกุ้ยหลินนั้น เมื่อแบ่งสมาธิเพื่อจ้องจะแย่งเจ้าตัวขนปุยออกมาก็ทำให้สภาวะป้องกันลดลง   กรงเล็บขนาดใหญ่ตวัดเฉียดต้นแขนผอมแห้ง  แม้เพียงแค่นั้นก็ ถึงกับทำให้โลหิตไหลซึมผ่านแขนเสื้อสีขาว
  หมีป่าร้องคำรามกึงก้อง  ตอนนี้มันเห็นแน่นอนแล้วว่าตนเองเป็นต่อ แต่ด้วยเหตุใดไม่ทราบ นอกจากไม่คิดซ้ำเติมเพื่อเอาให้ถึงชีวิต แต่กลับก้มลงคาบร่างสีขาวที่ยังขดตัวเป็นก้อนกลมเล็กๆ ขึ้นมา   ดวงพักตร์ขาวผ่องดุจหยกขาวจ้องมองหมีตัวใหญ่มิวางตา  หมายมั่นว่าจะไม่ยอมปล่อยให้มันเอาสิ่งนั้นไป เมื่อเห็นว่าหลีกเลี่ยงการปะทะเช่นนี้มีแต่เสียเปรียบ  ครานี้จึงเตรียมเข้าจู่โจมเต็มกำลัง  กุ้ยหลินทะยานกลับเข้าไปอีกครั้ง  กำหนดจิตและกายประสานกัน ขับเคลื่นลมปราณเพื่อผลักดันหยิบยืมพลังแฝงนำออกใช้  พลังรุนแรงถูกสั่งสมก่อนปล่อยออกด้วยเพลงเตะ    กุ้ยหลินตวัดแข้งอย่างรวดเร็วเข้าที่ศีรษะด้านข้างของหมีป่า   ร่างใหญ่    ยักษ์ถึงกับเซถลา และเผลอปล่อยก้อนกลมๆสีขาวหลุดออกจากปาก
   ดวงเนตรสีดำขลับจับจ้องที่ก้อนกลมนั้นหมายทะยานเข้าเพื่อใช้โอกาสนี้แย่งชิง  มิคาดหมีร้ายกาจกลับพลิกกายได้ทัน  ดวงตาแดงก่ำแสดงความโกรธเกรี้ยว  กรงเล็บขนาดใหญ่ฟาดลงบนหัวไล่ของกุ้นหลินทันที   หลินน้อยเห็นเช่นนั้นก็รู้แล้วว่าเสียทีจึงฉากหลบด้วยความว่องไวแต่ก็มิอาจหลุดพ้นจากเครื่องจักรสังหาร  เล็บคมกริบเฉี่ยวผ่านหัวไหล่สร้างความเจ็บปวดแปลบ  เสื้อสีขาวถูกย้อมสีแดงเป็นจุดที่สอง    ตอนนี้กุ้ยหลินอยู่ห่างจากหมีใหญ่เพิ่มขึ้นอีกลายวายิ่งทำให้ทุกอย่างยุ่งยากเพราะไม่อาจแย่งเอาสิ่งนั้นมาได้โดยง่าย
   หมีป่าก้มลงคาบก้อนกลมสีขาวขึ้นมาอีกครั้ง  คราวนี้คมเขี้ยวของมันฝังลึกลงในขนปุย  ส่งผลให้สิ่งนั้นขยับเคลื่อนไหว  มันส่งเสียงครางอย่างทรมาน  สายโลหิตไหลซึมผ่านขนสีขาว  หมีใหญ่คาบสิ่งนั้นไว้อย่างมั่นคง  มันจ้องมองกุ้ยหลินด้วยดวงตามาดร้าย
ระหว่างที่จับจ้องกันอยู่นั้น กุ้ยหลินก็ได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวอยู่เหนื่อศีรษะ  ร่างของผู้มาเยือนรายใหม่ปรากฏอยู่ตรงหน้าระหว่างมันและหมีร้าย  ดวงตาดำขลับเบิกขึ้นด้วยความยินดีเมื่อพบว่าบุรุษแปลกหน้าคนนั้นคือไท่หยาง
   ฝ่ายไท่หยางเมื่อมาถึงก็ยืนหันหลังให้ผู้น้อง แล้วหันหน้าเผชิญกับหมีป่าดุร้าย  กุ้ยหลินมองภาพตรงหน้าแล้วก็อดเปรียบเทียบ มิได้  มันรู้สึกว่าหมีป่าตัวนี้ร้ายกาจจริงๆ แม้พี่ชายจะมีร่างกายแข็งแรงสูงใหญ่แต่เมื่อเทียบกับร่างดำทะมึนตรงหน้ากลับดูเล็กลงถนัดตา
      กุ้ยหลินนั้น..เมื่อเห็นว่าตนเองมีพี่ชายมาเสริมทัพก็รู้สึกผ่อนคลายลง  ผู้น้องรีบเอื้อนเอ่ยเสียงดัง
      “พี่ท่าน  เห็นสิ่งที่อยู่ในปากมันหรือไม่..จงอย่าปล่อยให้เจ้าตัวร้ายนั่นเอามันไปได้  ผู้น้องมิมีความสามารถ  เช่นนี้ต้องขอความกรุณาจากท่านแล้ว”
      ไท่หยางสีหน้าเคร่งขรึม  ได้ยินน้องเล็กบอกเช่นนั้นก็เพ่งมองก้อนกลมสีขาวที่อยู่ในปากหมีร้าย   พี่ชายปรายตามองน้องคนเล็กก่อนเอ่ยเสียงเรียบ
      “ธุระอันใดกันเล่า  ที่ข้าจะต้องยื้อแย่งสิ่งนั้นมาให้เจ้า”
      กุ้ยหลินได้ยินเช่นนั้นก็ต้องอ้าปากค้างมิคิดว่าพี่ชายจะเย็นชาเพียงนี้  ดวงตาดำขลับแสดงความปั้นปึ่ง  ดวงพักตร์ขาวสะอาดย่นยู่เพราะความโมโห  ริมฝีปากเล็กๆเตรียมด่าทอผู้พี่  แต่ก่อนที่จะได้พูดจาร้ายกาจออกไป ก็ถูกไท่หยางพูดตัดหน้า
      “ข้ามานี่มิได้แย่งชิงสิ่งนั้น  แต่ตั้งใจจัดการกับมันที่กำลังทำร้ายเจ้า  จงนั่งรออยู่ตรงนี้สักครู่เถิด”  สิ้นคำไท่หยางก็กระโจนออกไปเบื้องหน้า  ฝ่ามือทั้งสองข้างตั้งท่าก่อนผลักดันพลังปราณออกมา  พลังนั้นมีสภาวะรุนแรงร้ายกาจแม้ฝ่ามือของไท่หยางยังมิทันกระทบร่างของหมีใหญ่   แต่ร่างดำทะมึนก็ถูกผลักออกไปไกลอีกหลายวา  หมีใหญ่ล้มลงไม่เป็นท่า  มันส่งเสียงร้องโหยหวน  ก้อนกลมสีขาวจึงหลุดออกมาจากป่ากร่วงลงสู่พื้น   การจู่โจมเพียงครั้งเดียวถึงกับทำให้อีกฝ่ายหลั่งโลหิต  หมีป่าดุร้ายตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น มันสำนึกว่า คู่ต่อสู้ตรงหน้าร้ายกาจเกินไป  ร่างใหญ่ลงยืนสี่ขา  ก่อนหันหลังออกวิ่งหายเข้าไปในป่าลึกที่ขาวโพลน
      เมื่อเห็นสัตว์ดุร้ายตนนั้นจากไป ไท่หยางก็ออกก้าวเดินก่อนหยุดลงก้มมองก้อนปุกปุยสีขาวที่บัดนี้ปรากฏรอยเลือดสีแดงบางส่วน  บุรุษชุดเทาก้มลงเก็บสิ่งนั้นขึ้นก็พบว่ามันมีรูปร่างคล้ายสุนัขจิ้งจอก  ดวงตาสีน้ำตาลมองร่างเล็กจิ๋วที่มีพวงหางขนาดใหญ่อย่างพิจารนา  คิดว่าคงเพราะใช้หางพันร่างตนเองเอาไว้เมื่ออยู่ไกลๆจึงมองเห็นเป็นเพียงก้อนกลมๆ    และตอนนั้นเอง..เปลือกตาของสิ่งนั้นก็ค่อยๆเปิดขึ้นเผยให้เห็นนัยน์ตาสีชมพูแววาวราวอัญมณี  จิ้งจอกตัวเล็กมองไท่หยางด้วยความซาบซึ้ง  มันครางหงิงๆก่อนที่จะสลบไปในที่สุด
      ........................................
      ............................
      เมื่อจัดการไล่เจ้าหมีป่าตนนั้นไปได้  ไท่หยางจึงพากุ้ยหลินกลับมายังถ้ำที่ตนใช้ฝึกวิชา  พี่ชายปล่อยให้น้องเล็กโคจรลำปราณ  ส่วนตนเองเข้าไปในส่วนที่ลึกกว่าเพื่อนั่งศึกษาเคล็ดวิชาต่อ
      กุ้ยหลินหาที่เหมาะนั่งลงขัดสมาธิ  ข้างกายของมันมีร่างเล็กฟูฟ่องนอนหลับอยู่  เจ้าตัวเล็กแม้มีบาดแผลจากคมเขี้ยวของหมีป่า  แต่หลังจากที่เรื่องราวจบลงจนเมื่อเดินทางมาถึงถ้ำแห่งนี้  กุ้นหลินก็เห็นว่าบาดแผลบนตัวของสิ่งนั้นค่อยๆสมานกันจนเรียบร้อยดีแล้ว  มีเพียงร่างกายเล็กจิ๋วที่ยังนอนตัวอ่อนปวกเปียกเนื่องจากความเหนื่อยอ่อน  เมื่อเห็นเช่นนี้  ดวงพักตร์สีขาวจึงค่อยคลายกังวล  สำหรับบาดแผลบนร่างกายตนเองนั้น  ถึงแม้จะมีโลหิตไหลออกมาแต่ก็มิได้รุนแรงอันใด  ขอเพียงแค่ได้นั่งโคจรลมปราณเพื่อสมานบาดแผลสักสองชั่วยาม ร่างกายก็จะกลับมาเป็นปกติ
      หลินน้อยคิดได้ดังนั้นก็หลับตาลง  แล้วกำหนดจิตรวมเป็นหนึ่งเดียวกับร่างกาย เพื่อนำพาลมปราณเคลื่อนคล้อย
      หลังจากนั้นสองชั่วยามผ่านไป  ดวงเนตรของกุ้ยหลินก็กลับมาสุกใส  เจ้าตัวลุกขึ้นยืดเส้นยืดสาย  ตอนนี้บาดแผลสมานดีแล้ว  อาการเจ็บปวดหายไปหมดสิ้น  จะมีก็เพียงแต่ไอเย็นที่กระทบถูกผิวเนื้อ ความหนาวเหน็บแผ่ซ่านเข้าไปถึงกระดูก  กุ้ยหลินเอามือทั้งสองข้างถูกันเพื่อให้เกิดความร้อน  และตอนนั้นเองก็สังเกตเห็นแสงเรืองรองสว่างไสว  ดวงเนตรดับขลับมองกองไฟที่ถูกจุดขึ้นอย่างกระทันหันด้วยความสนเท่ห์   กุ้ยหลินก้าวเดินเข้าหากองไฟ  ยิ่งเดินเข้าใกล้ก็ยิ่งรู้สึกอุ่นสบาย
      “พี่ท่านนั่งตรงนี้เถิด  พายุกำลังจะมา  ข้าได้เตรียมไฟไว้ให้แล้ว”
      เสียงใสๆของใครคนหนึ่งดังขึ้นข้างกองไฟ  ทันทีที่กุ้ยหลินก้มลงมองก็ต้องเบิกตาอ้าปากด้วยความตกใจ  เพราะมิคิดว่าที่แห่งนี้จะมีผู้อื่นอยู่ด้วย
      ฝ่ายผู้แปลกหน้าเมื่อเห็นท่าทางของกุ้ยหลินก็ให้รู้สึกขบขันจนเปล่งเสียงหัวเราะชอบใจก่อนเอื้อนเอ่ยแผ่วเบา
      “ตกใจอันใดเล่า..ข้าเอง ที่เป็นจิ้งจอกตัวนั้น...”
       ภายในถ้ำมืดมิดแม้มีกองไฟแต่ก็มิอาจเห็นทุกอย่างได้ถี่ถ้วน  เมื่อกุ้ยหลินเพ่งพินิจผู้แปลกหน้าแล้วจึงรู้สึกคลับคล้ายคลับคา  ใบหน้านวลของอีกฝ่ายขาวหมดจด สีแก้มเปล่งปลั่งดั่งดรุณีแรกแย้ม  แม้ดวงตาก็ยังเปล่งประกายงดงามราวอัญมณี  กุ้ยกลินลองใช้จมูกทิพย์สูดดมก็รู้ว่ากลิ่นกายเช่นนี้มิผิดแน่
      ปิศาจจิ้งจอกนี่เอง
      “เช่นนั้นเป็นเจ้าใช่หรือไม่..ที่ขอความช่วยเหลือจากข้าเมื่อตอนนั้น”  กุ้ยหลินเอ่ยถาม
      “ถูกต้องแล้ว  ข้าต้องขอขมาที่นำพาความยุ่งยากแก่ท่าน”  ผู้แปลกหน้าเอ่ยเสียงอ่อน
      “อืม..ไม่เป็นหรอก..” กุ้นหลินยิ้มให้อีกฝ่าย   เจ้าตัวจัดแจงนั่งลงข้างกองไฟเพื่อรับความอบอุ่น  มิคาด สายตาก็พบกับภาพล่อแหลมเบื้องหน้า    กุ้ยหลินรีบถอยห่างก่อนหันหลังให้ใครคนนั้นทันที
      “เอ่อ..แม่นาง..ท่านคืนร่างเป็นจิ้งจอกน้อยก่อนได้หรือไม่..”  หลินน้อยถามเสียงติดขัด
      “เรียนพี่ท่าน..ตอนนี้ยังกระทำมิได้  เพราะถ้าอยู่ในร่างจิ้งจอก  ข้ามิอาจโคจรลมปราณได้สะดวก  ข้าต้องรีบฟื้นฟูกำลังเพื่อมิให้เป็นภาระแก่ท่าน  ไม่ทราบว่าพี่ชายมีปัญหาอันใด?”  ผู้แปลกหน้าถามเสียงอ่อน
      “เอ่อ..ถ้าเช่นนั้น  เจ้านำเสื้อคลุมของข้าไปใส่ไว้ก่อนเถิด  เจ้าเปลือยเปล่าเช่นนี้ ส่วนข้าก็เป็นชายอีกทั้งพี่ข้าก็ฝึกวรยุทธอยู่ด้านใน  ไฉนปล่อยให้ตัวเองเดินเหินทั้งที่เปลือยเปล่าเช่นนี้เล่า”  กุ้ยหลินทำเป็นโวยวาย
      ฝ่ายนั้นเมื่อได้ฟังก็หัวเราะคิกคัก  ก่อนเอื้อมมือหยิบเสื้อคลุมจากมือของกุ้ยหลิน
      “ขอบคุณพี่ท่านที่ห่วงใยข้า  เพื่อไม่ให้อุจาดตาข้าจะใส่เสื้อคลุมไว้เช่นนี้  แต่ก่อนอื่น  ข้าว่าท่านเข้าใจผิดไปบางประการ”
      “เข้าใจผิดอันใด?”  กุ้ยหลินไถ่ถามทั้งที่ยังยืนหันหลังให้คนผู้นั้น
      “ได้โปรดหันมาก่อนเถิด  ข้าใส่เสื้อคลุมแล้ว” 
      เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลินน้อยจึงยอมหันกลับไปตามเดิม 
      “ข้าเป็นบุรุษเพศต่างหากเล่า”  จิ้งจอกแปลงเอื้อนเอ่ยเอียงอาย
      “หือ!..เป็นเช่นนั้นจริง?”  กุ้ยหลินถามเสียงหลง
      ฝ่ายนั้นเมื่อเห็นใบหน้าฉงนสงสัยก็ให้ความกระจ่าง  สองมือขาวบอบบางแหวกชายเสื้อคลุมที่ตนเองใส่ออกมาชั่วครู่   เมื่อเห็นว่ากุ้ยหลินได้ยลโฉมหลักฐานแน่ชัดจึงจัดแจงใส่กลับไปให้เรียบร้อยเหมือนเดิม
      “เช่นนี้เชื่อหรือยัง?..” จิ้งจอกน้อยกล่าวเอียงอาย
      “ข้าเชื่อแล้ว..” กุ้ยหลินเห็นหลักฐานก็ยอมรับตามความจริง  เจ้าของดวงตาดำขลับเอียงคอด้วยความประหลาดใจ  มิคิดว่าในโลกหล้าจะมีบุรุษเพศที่งดงามอ่อนช้อยราวสตรีได้ถึงเพียงนี้
      “ว่าแต่..ข้ามิคุ้นหน้าเจ้ามาก่อน  ไม่ทราบมีชื่อเสียงอันใด?”  กุ้ยหลินเริ่มสนทนาจริงจัง
      “ตอนนี้ผู้น้องมิอาจตอบได้    จำได้ว่าหมดสติอยู่ตรงโขดหิน  พอฟื้นขึ้นมาก็พบกับหมีใหญ่โตร้ายกาจตนหนึ่ง  ข้าถูกมันจับตัวไว้  แต่เมื่อเห็นท่านผ่านมาจึงผนึกลมปราณเป็นกระแสเสียงเพื่อขอความช่วยเหลือจากท่าน” จิ้งจอกน้อยเล่าความให้แก่อีกฝ่าย
      “เจ้าจะบอกว่าตนเองความจำเสื่อมงั้นรึ?”  กุ้ยหลินเอ่ยถาม
      “ข้าคิดว่าเป็นเช่นนั้น..”
      “อืม..เช่นนั้นตอนนี้เจ้าก็ควรจะมีชื่อเรียกเสียก่อน  เมื่อเวลาสื่อสารหรือสนทนาจะได้ไม่สับสน” กุ้ยหลินออกความเห็น
      “แล้วแต่พี่ท่านเถิด..”
      กุ้ยหลินใช้ความคิดอยู่ชั่วครู่ ก่อนหันไปขอความเห็นจากจิ้งจอกน้อย
      “ข้าเรียกเจ้า ผิงผิง ดีหรือไม่?”
      จิ้งจอกน้อยได้ยินเช่นนั้นก็เงยหน้าขึ้นสบดวงเนตรดำขลับด้วยความตื้นตัน
      “ไพเราะยิ่ง..ขอบคุณพี่ท่าน  จากนี้ไปข้าชื่อผิงผิงแล้ว”
      “อืม..ดีๆ..ไม่อยากเชื่อว่าวันนี้ข้าจะได้มีน้องเล็กกับเขาแล้ว  เสียดายที่ข้ามิอาจอยู่ที่นี่ได้นานนัก  เพราะต้องรีบกลับไปหาใครคนหนึ่ง..จะพาเจ้าไปเที่ยวเล่นด้วยก็คงไม่ค่อยสะดวก  เกรงว่าจะเกิดอันตรายขึ้นอีก” กุ้ยหลินเอื้อยเอ่ยอย่างครุ่นคิด
      “ท่านไม่ต้องลำบากขนาดนั้น  ปัญหาของข้าทิ้งไว้ที่ตรงนี้เถิด  เพียงแค่นี้ก็รบกวนมากพอแล้ว  ว่าแต่พี่ท่านอย่าเพิ่งออกไปตอนนี้เลย  เพราะก่อนหน้านั้นข้าได้สังเกตการณ์ เห็นว่าภายนอกเริ่มมีพายุพัดผ่าน  เช่นนี้แล้วคงไม่เป็นการดีหากต้องออกเดินทางในสภาพอากาศที่หนาวเหน็บ”  จิ้งจอกน้อยที่บัดนี้ได้ชื่อว่าถิงถิงออกความเห็น
      “อืม..เช่นนั้นคงต้องรออีกสักสองวัน  ว่าแต่เราจะอยู่กันอย่างไร  ในสถานที่แบบนี้คงหาอาหารลำบาก”
      “เรื่องนั้นข้าจัดการไว้แล้ว..ตอนที่ข้าฟื้นขึ้นมาเห็นว่าท่านกำลังโคจรลมปราณจึงใช้เวลานั้นออกล่ากระตายป่า  มิคาดว่าใกล้ๆบริเวณนี้มีหลุมโพรงของมันอยู่สองสามแห่ง  ข้าจึงสามารถจับมาได้สามตัว  หวังว่าจะสามารถใช้พอประทังชีวิตได้” ถิงถิงชี้แจงแก่กุ้ยหลิน
      “อืม..เจ้านี่ช่างรอบคอบดีแท้..เฮ้อ..ว่าแต่พี่ชายข้าจะเป็นอย่างไรบ้าง  เจ้าได้ลองแอบเข้าไปสังเกตการณ์ดูหรือไม่” 
      เมื่อได้ยินกุ้ยหลินพูดถึงอีกบุรุษหนึ่ง  ถิงถิงก็ก้มหน้าลงหลบซ่อนดวงพักตร์แดงซ่านเพื่อมิให้อีกฝ่ายได้เห็น
      “ผู้น้องมิกล้าเข้าไปรบกวนเขาหรอก..”
      “อืม..ถ้าพวกเราไม่ได้เขาไว้  ป่านนี้คงตกอยู่ในสภาพย่ำแย่  ข้านี่ไม่ได้เรื่องเลยจริงๆ”  กุ้ยหลินพูดด้วยเสียงเอือมระอา
      “เหตุใดต้องว่ากล่าวตัวเองเช่นนั้น  หากไม่ได้ท่านยื้อหมีดำตัวนั้นไว้  ท่านผู้นั้นก็คงมิเจอกับพวกเรา”  ถิงถิงรีบแก้ต่าง
      “อืม..ก็จริงของเจ้า  อ้อ..พี่ข้าคนนี้ชื่อ ไท่หยาง  เอาไว้เมื่อเขาออกมาแล้วข้าจะแนะนำให้พวกเจ้ารู้จักกันอีกที”
      “แล้วแต่พี่ท่านเถิด” ถิงถิงตอบเสียงเบา
      หลังจากนั้นกุ้ยหลินก็รอให้พายุพัดผ่านอีกสองวัน   พอวันที่สามหิมะหนาทึบก็ตกทับปิดปากถ้ำจนสนิท  กุ้ยหลินและถิงๆช่วยกันขุดคุ้ยกองหิมะจนในที่สุดปากถ้ำก็เปิดขึ้นอีกครั้ง  ทำให้อากาศภายในถ่ายเทได้สะดวก  เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ทั้งสองจึงชวนกลับเข้ามาในถ้ำ
      “อืม..น้องถิงๆ..พี่ว่าจะเข้าไปดูด้านในเสียหน่อย..”  กุ้ยหลินบอกแก่ถิงๆก่อยบุ้ยหน้าไปยังทิศทางที่ไท่หยางเข้าไปฝึกยุทธ
      “อืม..เอ่อ..ข้าขอถามท่านหนึ่งข้อได้หรือไม่” ถิงถิงกล่าวตะกุกตะกัก
      “หืม..ย่อมได้  น้องถิงๆว่ามาเถิด” กุ้ยหลินตอบรับ
      “เหตุใดเขาถึงต้องมุ่งมั่นฝึกวรยุทธขนาดนั้น  ไม่ทราบว่าพี่ชายท่านจะประลองฝีมือกับผู้ใด?”
      “เฮ้อ~.. พอได้ยินเจ้าถามแบบนี้ข้าก็รู้สึกเสียดายเวลาแทนเขา  พี่ข้าคนนี้มีความมุ่นมั่นผิดๆ  เขาหลงรักคนของพี่ใหญ่  เพราะความหน้ามืดตามัวเช่นนี้แหละจึงทำให้พี่น้องต้องมาทะเลาะกันเอง” กุ้ยหลินกล่าวอย่างปลงๆ
      “เป็นเช่นนี้นี่เอง”  ถิงถิงเอ่ยเสียงเบาหวิว ก่อนที่จะถอนหายใจแล้วกล่าวต่อ
      “เช่นนั้นเชิญพี่ท่านเถิด  ข้าจะรออยู่ตรงนี้แล้วกัน”
      “อืม..” กุ้ยหลินรับคำถิงถิงแล้วจึงเดินเข้าไปส่วนลึกของถ้ำ
      สองเท้าของกุ้ยหลินก้าวเดินตามโขดหินสูงต่ำ  บางจุดมีแสงจากด้านบนส่องถึง  จึงทำให้หิมะบางส่วนตกลงมาได้บ้าง  แต่เมื่อยิ่งเดินลึกก็เริ่มรู้สึกผิดปกติ  ด้วยเพราะมิอาจเข้าใจว่าเหตุใดภายในถ้ำด้านในถึงเย็นเยียบยิ่งกว่าด้านนอกหลายเท่านัก  หลังจากครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก็ต้องตื่นตระหนกเพราะรู้สึกสังหรณ์ไม่ดี      กุ้ยหลินรีบผนึกลมปราณเร่งฝีเท้าผ่านซอกหลืบของหินน้อยใหญ่  ตัวมันคิดถึงพี่ชายผู้ดื้อดึง  ตั้งแต่เข้ามาพักรักษาบาดแผลจากการปะทะกับหมีป่าตนนั้น  ตนก็ยังไม่เห็นไท่หยางออกมาจากด้านในเลยสักครั้ง
      กุ้ยหลินเร่งฝีเท้าจนพบกับที่กว้างแห่งหนึ่ง  พอสัมผัสได้ถึงพลังเย็นยะเยือกบางอย่างก็ต้องตื่นตระหนกแทบสิ้นสติ  ดวงตาดำขลับสอดส่ายหาเป้าหมาย และในที่สุดมันก็พบผู้เป็นพี่ชายนั่งขัดสมาธิอยู่ด้านหนึ่งของห้องโถง  ที่น่าตกใจก็คือ กุ้ยหลินทราบแน่แล้วว่าพลังเย็นยียบแบบนั้นมาจากร่างของไท่หยางนั่นเอง
      หลินน้อยเร่งรุดเข้าไปนั่งลงตรงหน้าพี่ชายที่ยังคงขัดสมาธิมิไหวติง  เพียงแค่มองอาการก็ทราบว่าโดนธาตุไฟเข้าแทรกเป็นแน่แท้  กุ้ยหลินค่อยๆเข้าประครองพี่ชาย ทันทีที่แตะต้อง  ร่างใหญ่นั้นก็ล้มลงไม่อาจทรงกายได้อีก  ดวงตาของไท่หยางปิดสนิทมิรับรู้สิ่งใด  กุ้ยหลินมองใบหน้าซีดเผือดของผู้พี่ด้วยความหนักใจ  จึงจัดแจงให้พี่ชายนอนราบแล้วออกไปเรียกถิงถิงให้มาช่วยกันดูอาการ
      ฝ่ายถิงถิงเมื่อทราบว่าไท่หยางฝึกโคจรลมปราณจนธาตุไฟเข้าแทรกก็หน้าถอดสี  ร่างโปรงขาวสะอาดภายใต้เสื้อคุมของกุ้ยหลินรีบตามติดกลับเข้ามาด้านในด้วยกัน
      “อาการย่ำแย่แค่ไหน”  ถิงถิงรีบถามกุ้ยหลินที่กำลังนั่งลงมองพี่ชาย
      กุ้ยหลินส่ายหน้าด้วยความยากลำบากใจ
      “อาการแบบนี้มีคนเดียวที่จะช่วยได้” กุ้ยหลินเอ่ยขึ้น
      “ใครกันพี่ท่าน  บอกแก่ข้ามา  ถิงถิงผู้นี้รับอาสาจะพาเขามาให้” ถิงถิงรีบกล่าวร้อนรน
      “มิได้..คนๆนั้นเป็นนายเหนือหัวของพวกพี่  บัดนี้เขาเดินทางไปบำเพ็ญเพียรในถ้ำแห่งหนึ่งเป็นสถานที่ปิดไม่มีใครสามารถเสาะหาได้” กุ้ยหลินบอกเสียงเครียด
      “เช่นนั้นจะทำอย่างไรกันดีเล่า..”ถิงถิงกล่าวเสียงเครือ
      เมื่อเห็นอาการอีกฝ่าย กุ้ยหลินก็ให้รู้สึกสงสัย ถิงถิงผู้นี้เมื่อเห็นไท่หยางล้มป่วยก็ดูเป็นเดือดเป็นร้อนยิ่งกว่าตนซึ่งเป็นน้องชายแท้ๆเสียอีก  แต่แล้วก็ต้องตัดความสงสัยนั้นทิ้งไปเมื่อเห็นว่าบัดนี้ร่างกายของพี่ชายซีดเซียวไร้สีเลือดก็ให้ตกใจ  กุ้ยหลินพอจะรู้ว่าไท่หยางเป็นวรยุทธใช้พลังสายร้อนในการโคจรลมปราณ  เหตุไฉนตอนนี้กลับถ่ายเทออกมาเป็นพลังเย็นดุจดั่งน้ำแข็ง  พอไตร่ตรองแล้วก็คิดได้ว่าที่ไท่หยางต้องเป็นเช่นนี้คงเพราะเคล็ดวิชาที่พี่รองเป็นผู้มอบให้
      กุ้ยหลินลุกขึ้นยืนกำหมัดแน่นขยี้เท้ากับพื้นด้วยความเจ็บใจ  ไม่คิดว่าพี่รองจะเหี้ยมโหดขนาดนี้  สำหรับกุ้ยหลินแล้ว  พี่รองเหมือนปิศาจในคราบเทวดา  เวลาดีก็ดีใจหาย  เวลาร้ายก็ร้ายจนสุดคาดเดา
      พอก้มลงมองร่างพี่ชายที่นอนแน่นิ่งก็ได้แต่เจ็บใจ   ไม่คิดว่าตนเองจะไร้ประโยชน์ถึงเพียงนี้
      และตอนนั้นเอง  ถิงถิงซึ่งยืนมองทั้งไท่หยางและกุ้ยหลินก็เอ่ยขึ้นด้วยเสียงหนักแน่น
      “พี่ท่าน..ข้าช่วยเขาได้..”
      กุ้ยหลินได้ฟังเช่นนั้นก็มองถิงถิงด้วยความฉงน
      “เจ้า..ช่วยได้?”
      “ย่อมแน่นอน..” ถิงถิงยืนยัน
      “เจ้าจะทำอย่างไร?” กุ้ยหลินถามไถ่ด้วยความเคลือบแคลง
      “...” ถิงถิงมิกล่าวตอบ มันพยักหน้าช้าๆคล้ายบอกว่าให้อีกฝ่ายวางใจ
      ถิงถิงเคลื่อนกายลงนั่งบนพื้นก่อนหลับตาลงคล้ายกับต้องการโคจรลมปราณ  มิคาดเพียงไม่กี่ชั่วอึดใจกุ้ยหลินก็มองเห็นหางสีขาวค่อยๆยื่นออกมาจากด้านหลังของถิงๆ  พวงหางขนาดใหญ่โผล่พ้นชายเสื้อ  สีของมันขาวสะอาดไม่ต่างจากหิมะ
      “ตัดหางข้า..  ข้ารู้ว่าเลือดที่ไหลออกจากหางของข้ามีสรรพคุณวิเศษ     ที่บาดแผลของข้าหายสนิทได้รวดเร็วโดยมิต้องโคจรลมปราณก็เพราะว่าเลือดที่หล่อเลี้ยงในหางของข้ามีพลังสมาน  ข้าแน่ใจว่ามันต้องช่วยพี่ชายของท่านได้”
      กุ้ยหลินได้ฟังวิธีของถิงถิงก็ต้องเบิกตากว้างด้วยความตื่นตระหนก
      “ถิงถิง..พี่ข้าไปทำอะไรให้เจ้า  เจ้าถึงต้องกระทำถึงเพียงนี้..”
      ถิงถิงเห็นท่าทางของกุ้ยหลินที่แสดงความตกใจและคาดคั้นก็ให้รู้สึกกระดากอาย ดวงพักตร์ขาวนวลเปล่งสีแดงเรื่อ ก่อนเอื้อนเอ่ยแผวเบา
      “เรียนพี่ท่านตามตรง..เพราะเขาที่ช่วยมิให้ข้าต้องจบชีวิตลงอย่างอนาจ..”
      “แค่นั้นหรือ..?”  กุ้ยหลินก้าวเข้าไปจับหัวไหล่ของถิงถิง
      “...” อีกฝ่ายก้มหน้ามิยอมสบตา
      “แค่นั้นหรือ..?..มันต้องมีอีก..ข้ารู้ว่าเจ้ายังบอกไม่หมด” กุ้ยหลินคาดคั้นเจ้าจิ้งจอกน้อย
      “เพราะ..เอ่อ..เพราะข้ามิอาจทนเห็นเขามีสภาพแบบนี้” ถิงถิงตอบเสียงเบาหวิว
      พอได้ฟังเช่นนั้นกุ้ยหลินก็ต้องเบิกตาขึ้นเมื่อตระหนักได้ถึงความจริงบางประการ
      “อย่าบอกนะ..ว่าเจ้า”
      ถิงถิงพยักหน้าช้าๆ..
      “ใช่แล้ว..น้องถิงถิงผู้นี้แอบชอบพี่ชายของท่าน”   
      “ไม่..ข้าทำไม่ได้..” กุ้ยหลินผละจากถิงถิง สีหน้าเคร่งเครียดอย่างเห็นได้ชัด
      ฝ่ายถิงถิงนั้นเมื่อเห็นว่ากุ้ยหลินมิยินยอมก็รีบคลานเข้าไปกอดขาเพื่อขอความเห็นใจ
      “ได้โปรดเถิดพี่ท่าน  อนุญาตให้ข้าช่วยเขา  หรือพี่ท่านรังเกียจข้าที่เป็นคนนอก” ถิงถิงกล่าวด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ
      “ข้าไม่ได้รังเกียจเจ้าสักนิด  แต่นั่นไม่ใช่วิธีที่ดี  แม้ข้าจะไม่รู้ว่าหางของเจ้าสำคัญขนาดไหน  แต่ข้าก็พอจะเดาได้ว่าถ้าตัดหางออกแล้วมันต้องไม่เกิดผลดีแก่เจ้าในภายหน้า ถึงอย่างไรซะ  ข้าก็อนุญาตให้เจ้ารักษาไท่หยางแบบนั้นมิได้” กุ้ยหลินพูดเสียงเด็ดขาด
      “ถ้าเช่นนั้น..ข้าก็ต้องขออภัย” สิ้งเสียงของถิงถิง ร่างขาวสะอาดก็เข้าจู่โจมกุ้ยหลินจากด้านหลัง  เพียงชั่วพริบตาถิงถิงก็ใช้วิชาสกัดจุดมิให้กุ้ยหลินเคลื่อนไหวหรือพูดอันใดได้อีก  มีเพียงดวงตาดำขลับเท่านั้นยังคงกลิ้งกลอกไปมาด้วยความกังวลอย่างสุดแสน
      

ออฟไลน์ cancan

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1168
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +581/-0
ฝ่ายถิงถิง..เมื่อสะกดการเคลื่อนไหวของกุ้ยหลินได้สำเร็จก็จัดการหยิบกระบี่ของไท่หยางที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้นขึ้นมา  เมื่อดึงออกจากฝักก็เห็นถึงอานุภาพร้ายกาจ  กระบี่คมกริบสะท้อนแสงแวววาวทั้งยังเอี่ยมสะอาดเพราะได้รับการดูแลเป็นอย่างดี 
      ถิงถิงกลืนน้ำลายก่อนจับพวงหางของตนเองขึ้น  เจ้าตัวสูดลมหายใจเข้าปอดแล้วตั้งสมาธิ  แม้อากาศในบริเวณนั้นจะเย็นเยียบไปด้วยพลังที่แผ่พุ่งจากร่างของไท่หยาง  แค่ตอนนี้ทั่วทั้งใบหน้าของถิงถิงกลับปรากฏเม็ดเหงื่อซึมซับแพรวพราว  จิ้งจอกน้อยตั้งสมาธิอยู่ชั่วครู่ก็เงื้อกระบี่ขึ้นเหนือปลายหาง  สะบัดข้อมือเพียงครั้งเดียวหางพวงใหญ่สีขาวก็ถูกตัดออกไปกว่าครึ่ง  ถิงถิงทิ้งกระบี่ลง ร่างโปร่งเซเล็กน้อย  เจ้าตัวกัดฟันข่มความเจ็บปวกทุกข์ทรมานแล้วรีบคว้าส่วนของหางที่หล่นลงบนพื้น  เมื่อจับขึ้นมาบีบออกก็เห็นรอยเลือดไหลลงมาตามรอยตัด  จิ้งจอกน้อยใจเด็ดรีบให้ไท่หยางดื่มกินเลือดส่วนนั้นทันที
      ถิงถิงใช้แขนข้างหนึ่งรองศีรษะของไท่หยางก่อนเอานิ้วง้างริมฝีปากที่ปิดสนิทให้เปิดอ้า  จากนั้นรีบบีบเลือดที่อยู่ในหางให้หยดลงคอของผู้ป่วยด้วยความรวดเร็ว  ทุกอย่างนี้เป็นการรักษาที่ทุกลักทุเล  แต่ถิงถิงก็ยังทำเพื่อคนที่ตนเองแอบชื่นชอบตั้งแต่แรกพบด้วยความสมัครใจ
      ส่วนหางนั้นเมื่อถูกบีบเลือดออกจนหมดก็ฝ่อแฟบแห้งเหี่ยวขนสีขาวหลุดร่วงสุดท้ายจึงเหลือเพียงกระดูก 
ถิงถิงโยนมันทิ้งไปยังอีกมุมหนึ่งของห้องโถง  สำหรับส่วนหางที่ยังคงเหลือติดตัวบนก้นกบของปิศาจจิ้งจอกแม้ไม่มีเลือดไหลเลอะเทอะ  แต่ก็ไม่ได้สวยงามเหมือนเดิมอีกแล้ว 
ถิงถิงนั้นเมื่อคุมคุมพลังไม่ได้ส่วนหางก็หดหายกลับเข้าลำตัวเหลือเพียงร่างแปลงที่คล้ายมนุษย์ธรรมดาผู้หนึ่ง  เนื่องจากหางเป็นจุดเดียวที่เก็บพลังวัตรวิเศษเอาไว้   เมื่อได้รับความเสียหายก็ถึงกับทำให้ถิงถิงมีสภาพร่างกายอ่อนแอ 
      จิ้งจอกน้อยมองผลงานของตัวเองด้วยรอยยิ้ม  สิ่งที่มันคาดคิดเป็นจริง  บัดนี้ร่างกายของไท่หยางไม่ได้ถ่ายเทพลังเย็นอีกแล้ว  ผิวเนื้อก็เริ่มกลับมามีสีเลือดขึ้นอีกครั้ง    เมื่อเห็นเช่นนั้นมันก็เบาใจลง  ครานี้จึงจัดการคลายจุดให้แก่กุ้ยหลิน  ฝ่ายกุ้ยหลินนั้นเมื่อได้รับการคลายจุดก็รีบหันกลับมาดูถิงถิง..  เมื่อเห็นสีหน้าซีดเผือดของเจ้าจิ้งจอกก็รีบมองสำรวจพี่ชายของตนเอง
      หลังจากเห็นทุกอย่างชัดเจนก็แน่ใจว่า ถิงถิงได้ทำการตัดหางตัวเองเพื่อรักษาไท่หยางแล้วเรียบร้อย
      กุ้ยหลินให้รู้สึกเป็นห่วงถิงถิงยิ่งนัก  มิคิดว่าเรื่องราวจะวุ่นวายถึงเพียงนี้  มันปราดเข้าไปประครองร่างอ่อนแรงของถิงถิงแต่ยังมิทันไรก็โดนเจ้าจิ้งจอกชิงพูดตัดหน้า
      “พี่ท่าน..ข้ารักษาเขาแล้ว..เชื่อว่าอีกไม่นานเขาจะลุกขึ้นมาโคจรพลังได้  ตอนนี้ข้าขอเพียงอย่างเดียว  ได้โปรดอย่าบอกเรื่องราวที่ข้ารักษาเขาด้วยเลือดในหาง  ท่านจะช่วยปิดบังมันไว้ได้หรือไม่” ถิงถิงพูดด้วยความเหน็ดเหนื่อย
      “ย่อมได้..แค่นี้ข้าทำให้ได้” กุ้นหลินรีบพูด
      “อืม..เช่นนั้นต่อจากนี้คงต้องฝากท่านแล้ว  อันตัวข้าคงมิอาจกระทำการใดได้ชั่วคราวนอกจากนอนพักฟื้นฟูร่างกาย  อาจมีพิษไข้บ้าง  แต่พี่ท่านอย่ากังวล  ขอเพียงข้าได้นอนพักสักสองวันทุกอย่างก็จะดีขึ้น”  สิ้นประโยคนั้น ถิงถิงก็ค่อยๆหลับตาลง  อันที่จริงแล้วมันสลบลงในอ้อมกอดของกุ้ยหลิน
      ส่วนกุ้ยหลินนั้นเมื่อเรื่องราวเป็นเช่นนี้ก็จำต้องอยู่ในถ้ำต่ออีกหนึ่งวัน  มันจัดการทำความสะอาดกระบี่และเฝ้าปรนนิบัติผู้ป่วยทั้งสองอย่างเต็มกำลัง  ฝ่ายไท่หยางนั้นเมื่อได้เลือดจากหางของจิ้งจอกน้อยก็มีพละกำลังฟื้นฟูขึ้น  สุดท้ายจึงกลับมาเป็นปกติรู้สึกเพียงแค่ว่าตนเองได้นอนหลับไป  แต่ถึงกระนั้นก็ยังต้องนั่งโคจรลมปราณทะลวงจุดต่างๆเพื่อขับไล่พลังต่างขั้วซึ่งยังคงหลงเหลืออยู่บ้าง
      เมื่อไท่หยางฟื้นขึ้นกุ้ยหลินจึงเห็นว่าเป็นโอกาสแก่มันที่จะได้ออกเดินทางเสียที  จึงเล่าเรื่องราวของถิงถิงให้ไท่หยางฟัง ยกเว้นเรื่องที่ถิงถิงยอมเสียสละหางส่วนหนึ่งเพื่อรักษาไท่หยาง  กุ้ยหลินโกหกว่าถิงถิงล้มป่วยเพราะความหนาวเหน็บ  ส่วนไท่หยางนั้นได้มันปรนนิบัตรดูแล  สุดท้ายร่างกายจึงค่อยๆฟื้นกำลังจนกลับมาเป็นปกติ  ก่อนไปกุ้ยหลินจึงได้ฝากให้ไท่หยางช่วยดูแลถิงถิงแทนตนเอง



จบตอนจ้า
:call:

ออฟไลน์ cancan

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1168
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +581/-0
ตอนที่4



  หลังจากสลบลงในอ้อมกอดของกุ้ยหลิน  จิ้งจอกน้อยก็คล้ายคนป่วยเพราะพิษไข้  มันนอนกระสับกระส่ายอยู่สามวันก็ค่อยรู้สึกว่าทุเลาลง  ถิงถิงค่อยๆเปิดเปลือกตาก่อนยันกายลุกขึ้น  ตอนนี้แม้ว่าร่างกายจะดีขึ้นมากแล้ว  แต่มันก็รู้สึกได้ว่าทุกอย่างไม่ได้ดีเหมือนเดิม  เพียงแค่มองแวบแรก...เจ้าจิ้งจอกก็สำนึกได้ว่าตอนนี้ตนไม่ได้อยู่ในห้องโถงนั้นอีกแล้ว  มันคาดว่าที่แห่งนี้คงเป็นอีกส่วนหนึ่งที่อยู่ภายในถ้ำ 
      ถิงถิงก้มลงสำรวจตนเองซึ่งตอนนี้อยู่ในชุดผ้าฝ้ายสีขาวสะอาดตา  อีกทั้งยังมีผ้าห่มผืนใหญ่คลุมทับอีกชั้น  มันนอนอยู่บนแท่นหินขนาดพอดีตัวตรงพื้นหินที่ต่ำลงไปยังพบกองไฟซึ่งมอดลงแล้ว  ถิงถิงนั่งมองสิ่งรอบตัวได้สักพักก็ให้รู้สึกระคายเคืองในลำคอจนต้องไอออกมาเสียงดัง   มิคาด เบื้องหน้ากลับมีจอกน้ำสะอาดที่ถูกส่งมาด้วยมือแข็งแรง
      จิ้งจอกน้อยมองเห็นมือข้างนั้นแล้วก็จำได้ทันทีว่าคนที่ยื่นจอกน้ำมาให้คือผู้ใด  เจ้าตัวรีบก้มหน้าก่อนรับจอกน้ำมาจิบทีละนิด  ตอนนี้หัวใจน้อยๆกลับเต้นตึกตัก  ดวงพักตร์ขาวซีดปรากฏสีแดงจางๆ
      “กุ้ยหลินมีธุระต้องจากไป  เขาจึงฝากเจ้าไว้กับข้า” เสียงทุ้มต่ำของไท่หยางดังขึ้น เมื่อเห็นว่าคนป่วยรับน้ำไปดื่มแล้ว
  “...”
      “เชื่อว่าเจ้าคงรู้แล้วว่าข้าเป็นใคร...ส่วนเรื่องของเจ้า..กุ้ยหลินได้เล่าให้ข้าฟังหมดแล้ว หลินกุ้ยให้ข้าเรียกเจ้าว่าถิงถิง  เช่นนั้นเจ้าก็เรียกข้าตามที่กุ้ยหลินเรียกเถิด”
  “...” 
      ไท่หยางยืนเอามือไพร่หลัง  เจ้าตัวหันข้างให้ถิงถิงซึ่งนั่งอยู่บนแท่นหิน  เมื่อเห็นว่าฝ่ายนั้นมิได้เอ่ยอันใดนอกจากเอาแต่พยักหน้าก็ให้รู้สึกหงุดหงิดใจ
“เจ้ามีปากหรือไม่..หรือว่าล้มป่วยครานี้ทำให้เป็นใบ้ด้วย” บุรุษชุดเทาพูดเสียงเรียบ  แม้มิได้ตั้งใจดุด่า แต่เพียงแค่นั้นก็ถึงกับทำให้คนฟังต้องร้อนรน  ร่างผอมซีดห่อตัวด้วยอาการลนลานก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก
      “พี่ท่าน..แข็งแรงดีแล้ว..?” 
      ไท่หยางเห็นอาการเกรงกลัวของถิงถิงแล้วก็ต้องถอนหายใจ ก่อนกล่าววาจาต่อด้วยเสียงนุ่มนวลขึ้น
      “อืม..อย่าเพิ่งไปนึกถึงผู้อื่น  ตัวเจ้าไม่สบายควรพักผ่อนให้เพียงพอ  จากนั้นค่อยว่ากันว่าเจ้าจะเอาอย่างไรต่อไป..”ไท่หยางพูดได้เพียงเท่านั้นก็หันมองปิศาจจิ้งจอกเล็กน้อยก่อนเดินจากไปโดยมิได้เอ่ยเพิ่มเติมอีก
      ฝ่ายถิงถิงเมื่อได้สนทนากับบุรุษที่ตนแอบชื่นชอบก็ให้รู้สึกว่าเขาผู้นั้นช่างแสนจะเย็นชา  นอกจากน้ำเสียงจะแข็งกระด้างแล้วยังแสดงท่าทางเหินห่างไร้มนุษยสัมพันธ์
      แต่ถึงกระนั้น จิ้งจอกน้อยก็ไม่อาจปฏิเสธความรู้สึกของตนเองได้..
      หลังจากได้นอนพักฟื้นร่างกายอย่างเพียงพอ  วันต่อมา ถิงถิงก็สามารถลุกขึ้นมาเดินได้อย่างคล่องแคล่ว  เมื่อไม่มีกุ้ยหลินอยู่เป็นเพื่อนก็ให้รู้สึกเคว้งคว้าง  นอกจากคอยดูแลความเรียบร้อยสถานที่ก็มิอาจออกไปไหน  เนื่องด้วยถิงถิงแอบเห็นว่าไท่หยางยังคงหมุกมุ่นอยู่กับการฝึกวิชา จึงรู้สึกกังวลเกรงว่าจะเกิดเรื่องขึ้นอีก
      เย็นวันหนึ่ง  ระหว่างที่จิ้งจอกน้อยกำลังนั่งจิบน้ำชาอยู่ในส่วนของถ้ำซึ่งถูกตกแต่งไว้เป็นที่พัก  ไท่หยางก็เดินออกมาจากด้านในซึ่งทอดมาจากห้องโถงใหญ่ที่เอาไว้สำหรับฝึกยุทธโดยจำเพาะ  เมื่อสังเกตเห็นว่าถิงถิงยังคงพักอยู่ที่เดิมก็ให้รู้สึกแปลกใจจนต้องเอ่ยถาม
      “เจ้า..ยังอยู่อีกรึ?”
      ถิงถิงนั้นเมื่อเห็นพี่ชายผู้แข็งกระด้างเอ่ยทักเช่นนั้นก็ให้รู้สึกห่อเหี่ยวขึ้นอีก  ร่างผอมนั่งตัวลีบก้มหน้ามิกล้าสบตาตอบ  มีเพียงริมฝีปากเล็กที่เอื้อนเอ่ยออกมา
      “ข้า..ไม่มีที่ไป..”
      ไท่หยางมองถิงถิงแล้วก็รู้สึกอ่อนใจ  ตั้งแต่เกิดมาถึงแม้จะมีพี่มีน้อง  แต่ทุกคนต่างเป็นตัวของตนเอง รักอิสระและชอบท่องเที่ยว แม้แต่กุ้ยหลินน้องเล็กที่ดูจะอ่อนแอที่สุดก็ยังเป็นประเภทที่มีความเชื่อมั่นไม่ยึดติดกับพี่ชาย  แต่สำหรับถิงถิงกลับแตกต่างออกไป  เมื่อไท่หยางได้เห็นท่าทางและแววตาเช่นนั้นก็ให้แปลกใจตนเอง
      ความขัดแย้งบางอย่างที่เกิดขึ้นในจิตใจยากแก่การอธิบาย..
      ถิงถิงเหมือนพวกที่ไม่รู้จักโต อ่อนแอ และเป็นจุดอ่อน  หากให้ติดสอยห้อยตามไปไหนด้วยก็จะเป็นตัวถ่วง  แต่ถึงรู้เช่นนั้นแล้ว  บางส่วนในจิตใจก็กลับเกิดความรู้สึกบางอย่าง
      มันเป็นความรู้สึกที่บอกให้ตนรับผิดชอบกับร่างที่นั่งอยู่เบื้องหน้า...
      ไท่หยางคิดว่ามันคือความสงสารและเวทนาที่มีอยู่ลึกๆของก้นบึ้งในหัวใจที่เย็นชาของเขา  เพราะตั้งแต่เกิดมา นอกจากตู๋เสอผู้เป็นนายและพี่น้องแล้ว  มันก็ยังมิเคยรู้สึกเห็นใจใครมาก่อน...
      “เช่นนั้นจะเอาอย่างไร?”  ไท่หยางถามกลับเสียงเรียบ
      “ข้าขออยู่รับใช้พี่ไท่หยางได้หรือไม่?”
      พอได้ยินถิงถิงถามแบบนั้น  ไท่หยางก็ต้องหลับตาลงเพื่อระงับอารมณ์หงุดหงิดเนื่องจากตนเองก็คิดไว้แล้วว่าต้องออกมาเป็นแบบนี้  สุดท้าย...ถิงถิงน้อยผู้อ่อนแอก็ต้องหาที่พึ่งพิง  แล้วผู้โชคดีคนนั้นจะเป็นใครล่ะ  ถ้าไม่ใช่เขา
      ก็ในเมื่อถ้ำแห่งนี้มีแค่ถิงถิงและเขาเท่านั้น..
      พอนึกถึงตรงนี้ก็รู้สึกหงุดหงิดกุ้ยหลินขึ้นอีกคน  ที่เป็นผู้เอาภาระมาทิ้งไว้ให้  ส่วนตัวเองหนีไปมีความสุข  ไท่หยางปรายตามองชะตากรรมของตนเองก่อนขบกรามเพื่อระงับความครุกรุ่นที่การฝึกวรยุทธครั้งนี้มีอุปสรรคขวากหนามเข้ามาให้ปวดหัวมิขาดตอน
      “เช่นนั้นก็ตามใจเจ้า  ถ้าอยากอยู่ที่นี่ก็เชิญ  แต่ระหว่างที่ข้าศึกษาเคล็ดวิชาอย่าได้เข้ามาเกะกะเป็นอันขาด  ข้ามันเป็นพวกมิตรสัมพันธ์น้อย ยิ่งเวลาฝึกวิชาจะหมกมุ่นสุดขีด  ฉะนั้นเจ้าอยู่ส่วนเจ้า  เรากินนอนไม่ยุ่งเกี่ยวกัน  หวังว่าเจ้าจะเข้าใจ”  ไท่หยางออกคำสั่งเด็ดขาด
      “ข้าเข้าใจ  จะไม่ทำตัวเกะกะท่านแน่นอน  ขอบคุณพี่ไท่หยาง” ถิงถิงนั้นเมื่อได้รับอนุญาตให้อยู่ต่อก็ดีใจเป็นยิ่งนัก  ดวงพักตร์สว่างสุกใส  เป็นครั้งแรกที่มันเงยหน้าขึ้นกล้าเผชิญหน้ากับบุรุษแข็งกระด้าง 
      ไท่หยางเมื่อได้เห็นรอยยิ้มสดใสและแววตาสีชมพูเรืองรองราวอัญมณีของถิงถิงก็รู้สึกตกตะลึงไปชั่วขณะ  เป็นครั้งแรกที่มันได้มองถิงถิงอย่างเต็มตา  มิคิดว่าแม้จิ้งจอกน้อยจะเป็นเพศเดียวกัน  แต่ก็ยังงดงามถึงเพียงนี้ 
      แต่ความงดงามนั้นจะมีประโยชน์อันใดต่อมัน
      ในเมื่อทั้งหัวใจของไท่หยางมอบให้ชุนหลันผู้สูงส่งไปหมดแล้ว
      ต่อให้ถิงถิงงดงามแค่ไหน  ก็มิอาจทำให้หัวใจดวงนี้สั่นคลอน
      อีกหลายวันต่อมา..
      ไท่หยางนั้นเมื่อยอมให้จิ้งจอกน้อยอาศัยอยู่ในถ้ำด้วย  สุดท้ายก็ต้องพบว่าเป็นความผิดอย่างมหันต์   เพราะมันมิคิดว่าผลของมันจะออกมาเป็นแบบนี้
      จู่ๆถิงถิงผู้เหนียมอายและอ่อนน้อมในตอนแรก  ก็กลายเป็นพวกชอบจุ้นจ้านไปเสียทุกเรื่อง  จิ้งจอกน้อยคอยจ้องรอดูว่าไท่หยางจะหยุดพักจากการศึกษาเคล็ดวิชาเมื่อไหร่  พอก้าวออกไปด้านนอกทีไร  ก็จะเจอเจ้าจอมจุ้นเสนอหน้าคอยรับใช้  บางครั้งไท่หยางนั่งพักดื่มน้ำชา  ถิงถิงก็จะทำตัวเป็นเสี่ยวเอ้อคอยรินน้ำชาให้
      “พี่ท่านปวดหัวไหล่ใช่หรือไม่?”  เสียงใสๆของถิงถิงดังขึ้นขณะที่กำลังรินน้ำชา
      “อืม”  ไท่หยางรับคำอย่างมิได้ใส่ใจ  มือหนึ่งถือตำรา ส่วนอีกมือหนึ่งก็บีบหัวไหล่ของตนเองเพื่อให้ผ่อนคลาย  มันหารู้ไม่ว่าผู้หนึ่งกับยิ้มกริ่มก่อนจัดแจงวางกาน้ำลงแล้วทำการบีบนวดหัวไหล่ของไท่หยาง
      ฝ่ายนั้นเมื่อโดนสัมผัสถูกตัวก็ขมวดคิ้วนิ่วหน้า ก่อนเอ่ยวาจาเสียงดัง
      “เจ้า..ทำอันใด!?”
      “พี่ไท่หยางอย่าเพิ่งโกรธเคือง..ข้ามีเจตนาดีอยากนวดให้  เช่นนี้แล้วท่านจะได้ผ่อนคลายปลอดโปร่ง  จะอ่านสิ่งใดก็เข้าใจไม่ติดขัด  มาเถอะ  หันหลังให้แก่ข้า แล้วอ่านเคล็ดวิชาของท่านต่อไป อย่าได้ใส่ใจผู้น้องอีกเลย” ถิงถิงเอ่ยเสียงนุ่มนวล  มันจงใจเอาน้ำเย็นเข้าลูบ  วาจาอ่อนหวานรวบรัดตัดตอนเพื่อมิให้ไท่หยางหงุดหงิดมากขึ้น
      “...”  ฝ่ายไท่หยางได้แต่นั่งเงียบ   ทีแรกก็สีหน้าปั้นปึ่งมิรู้ว่าจะรับมือกับคนผู้นี้อย่างไร  ถิงถิงไม่ใช่พวกชอบโวยวายเหมือนกุ้นหลิน  อีกทั้งสติปัญญาก็คล้ายจะมีเล่ห์อุบายหลอกล่อ  เมื่อต้องใช้สมาธิศึกษาตำราอย่างเคร่งครัด  มันก็มิอาจจะเอาใจใส่กับเรื่องไม่เป็นเรื่อง  สุดท้ายจึงต้องปล่อยเลยตามเลย
      แต่เมื่อเวลาผ่านไปสักครู่  ถึงแม้จะรู้สึกรำคาญอยู่บ้าง  แต่ก็ต้องยอมรับว่าฝีมือการนวดของถิงถิงเป็นที่น่าประทับใจทีเดียว
      และนั่นคือจุดเริ่มต้นแห่งความสัมพันธ์ระหว่างสุนัขปิศาจทั้งสอง  ไท่หยางเริ่มชาชินกับความจุ้นจ้านของถิงถิง  อันที่จริงแล้วมันเหนื่อยอ่อนเพราะขี้เกียจจะสู้รบ  แม้มันจะดุด่าเสียงดัง  แต่จิ้งจอกน้อยก็มิเคยโวยวายต่อว่ากลับ  ถิงถิงไม่มีแม้แต่ทีท่ากลัวเกรงหรือเสียใจที่ไท่หยางแสดงความรำคาญและเย็นชาออกไป   มิหนำซ้ำเจ้าตัวดียังเอื้อนเอ่ยด้วยวาจาไพเราะอ่อนหวาน  ถือหลักเย็นสยบร้อน  โดยการใช้เหตุผลหว่านล้อมจนไท่หยางต้องยอมแพ้
      ดังนั้นนอกจากเป็นเสี่ยวเอ้อแล้วถิงถิงจึงรับหน้าที่ปรนนิบัติดูแลนวดให้แก่ไท่หยางอีกด้วย
      วันหนึ่งขณะที่ไท่หยางกำลังให้จิ้งจอกน้อยนวดหัวไหล่  เจ้าตัวก็เริ่มพูดขึ้น
      “ถิงถิง...ข้าว่าเจ้าอยู่ว่างๆ  ควรฝึกวรยุทธเพิ่มเติมบ้าง”
      “ผู้น้องอาภัพ  มิอาจจำสิ่งใดได้  วรยุทธตนเองก็ยังไม่แน่ชัด  อีกทั้งสภาพร่างกายอ่อนแอ จะเอาปัญญาที่ไหนไปฝึกได้”  จิ้งจอกน้อยเอ่ยเสียงอ่อย
      “อืม..ถ้าฝึกเองไม่ได้ก็ต้องมีคนช่วย” ไท่หยางออกความคิด
      “ผู้ใดเล่า  ท่านหรือ  จะยอมสอนข้า”  อีกฝ่ายถามทีเล่นทีจริง
      “อืม..ระหว่างนี้ข้าศึกษาเคล็ดวิชาของข้า  เจ้าคงเห็นแล้วว่ามันทำให้ข้าเกิดธาตุไฟเข้าแทรก  เช่นนี้จึงมิควรรีบร้อนลงมือฝึกสุ่มสี่สุ่มห้า  นอกเสียว่าจะนำมันมาศึกษาอย่างถ่องแท้  ข้าคิดว่าจึงเป็นโอกาศอันดีที่จะพอมีเวลาบางส่วนช่วยสอนเจ้าได้ ดีหรือไม่?”
      “...” ฝ่ายถิงถิงเมื่อได้ฟังดังนั้นก็ต้องลอบยิ้มด้วยความดีใจอย่างสุดแสน  มิคาดคิดว่าไท่หยางผู้เย็นชาจะเมตตามันถึงเพียงนี้  พอรู้สึกว่าภายใต้ฝ่ามือคือร่างกายของคนที่ตนเองรักใคร่ก็ให้เกิดอาการกระดากอายจนมิอาจเอ่ยอันใด
      “ถิงถิง..ไฉนจึงเงียบไปเล่า ตกลงว่าเจ้าเห็นด้วยหรือไม่? ไท่หยางขมวดคิ้วหน้านิ่ว ก่อนเอ่ยถามอีกครั้ง
        “อืม..แล้วแต่พี่ท่านจะเมตตา” ถิงถิงตอบแก่ไท่หยางด้วยรอยยิ้มอบอุ่น
      “ดีดี..ข้าเต็มใจสอน  ขออย่างเดียว อย่าทำตัวเหลาะแหละให้ข้ารำคาญก็พอแล้ว” ไท่หยางพยักหน้าพึงพอใจ
      ถิงถิงเมื่อได้ไท่หยางเป็นครูก็รู้สึกฮึกเหิมกำลังใจดี   พยายามอดทนฝึกร่ายรำหมัดมวยตามที่อาจารย์สอน  หากแต่ฝึกไปหลายวันแล้วแต่ความคืบหน้าก็มีไม่มากนัก  เพราะเป็นอุปสรรคเนื่องจากสภาพร่างกายไม่เอื้ออำนวย  พอออกแรงมากๆก็เริ่มเหนื่อยอ่อนจนต้องขอนั่งพักหลายครั้งติดๆกัน
      ไท่หยางมองลูกศิษย์แล้วก็ให้รู้สึกหงุดหงิดยิ่งนัก  สุดท้ายจึงสุดจะอดกลั้นเลยพูดจาร้ายกาจออกมา
      “เห็นทีพรสวรรค์ของเจ้าคงมีแต่รินน้ำชากับนวดเฟ้นกระมัง...เหลาะแหละเช่นนี้แล้วจะฝึกวิชาได้อย่างไร”
      “...” ถิงถิงเม้มปากแน่น นึกเสียใจอยู่ลึกๆที่ได้ยินคำพูดเช่นนั้น  แต่ก็ยังกล้ำกลืนพยายามลุกขึ้นตั้งท่าก่อนกำหนดจิตเพื่อควบคุมลมปราณให้ไหลเวียนแล้วออกร่ายรำเพลงมวยอีกครั้ง  แต่มิวายต้องหน้ามืดซวนเซ  เพราะจู่ๆก็รู้สึกว่าร่างกายอ่อนแรงจนสุดจะทานทน  เมื่อเป็นเช่นนี้ก็รู้สึกให้อับอายยิ่งนัก
      “เฮ้ออ~ พอเถอะ จะฝืนให้ดูทุเรศไปไย  ข้าขี้เกียจต้องมานั่งดูแลเจ้าเหมือนครั้งที่แล้ว  เอาเป็นว่าถ้ามันหนักเกินกำลังของเจ้า เอาไว้เราค่อยๆฝึกกันทีละนิด  ถ้าไม่ได้ก็อย่าฝืนอีกเลย”  ไท่หยางพูดด้วยสีหน้าเหนื่อยอ่อน   บอกไม่ถูกว่าตอนนี้รู้สึกเช่นไร  ทั้งๆที่ตั้งใจถ่ายทอดสุดกำลังแต่พอเห็นลูกศิษย์ไร้ความสามารถเช่นนี้ก็ทั้งผิดหวังและหงุดหงิดเป็นยิ่งนัก 
      แต่สิ่งที่ทำให้โมโหจนสุดจะทนก็เห็นจะเป็นเพราะร่างกายที่อ่อนแอของเจ้าจิ้งจอกน้อย
      อันร่างกายอ่อนแอนั้นโทษมันมิได้  แต่ต้องโทษเจ้าของที่ไม่ยอมดูแลรักษา  ในเมื่อรู้ว่าตนเองไม่พร้อมเหตุใดยังดันทุรังตกลงเรียนวรยุทธ  ภาพถิงถิงที่มีเหงื่อโซมกายและใบหน้าซีดเซียวยิ่งทำให้ไท่หยางหงุดหงิดถึงที่สุด 
      ความเวทนาฉายออกมาจากดวงตาสีน้ำตาลเพียงชั่วครู่ก่อนกลายเป็นความเย็นชาปั้นปึ่งแทนที่
      “เจ้าพักผ่อนเถอะ..”สิ้นเสียงทุ้มต่ำแข็งกร้าว  ร่างสูงสง่าก็ก้าวยาวๆจากไป
      จิ้งจอกน้อยมิคาดคิดว่าเพียงแค่คำพูดไม่กี่คำของไท่หยาง กลับส่งผลต่อจิตใจมันถึงเพียงนี้  ทันทีที่ดวงพักตร์ขาวซีดหมองหม่นก้มลง  หยาดน้ำใสๆก็ตกกระทบบนหลังมือทั้งสองข้าง      
      ถิงถิงส่ายหน้าช้าๆ  ที่ต้องมานั่งเสียใจอย่างนี้ ก็เพราะตนเองหาเรื่องใส่ตัวแท้ๆ  ถ้าไม่ได้ชอบไม่ได้รักเขา  มีหรือจะต้องมาทนทุกข์อยู่แบบนี้   
      ยิ่งนับวันก็ยิ่งรัก  ยิ่งนับวันก็มีแต่ถลำลึก  ถิงถิงกำลังร่วงลงสู่หุบเหว
      แต่การตกลงไปครั้งนี้มีแต่มันเพียงผู้เดียว
      จิ้งจอกน้อยนั่งหมดแรงอยู่เป็นนานสองนานก็ค่อยรู้สึกว่าฟื้นกำลังขึ้นมาบ้าง   ตอนนี้ไม่รู้ว่าไท่หยางหายไปไหน  แต่ก็ยังตั้งใจว่าจะฝึกวรยุทธต่อไปมิท้อถอย  แม้ได้มีโอกาสเรียนรู้นิสัยใจคอของไท่หยางไม่นานนัก  แต่ด้วยสติปัญญาก็พอจะรู้ว่าคนผู้นี้แข็งนอกอ่อนใน ถึงจะมีนิสัยเย็นชาร้ายกาจ โมโหร้ายอยู่บ้าง  แต่เมื่อมีใครสักคนโอนอ่อนผ่อนตาม  สุดท้ายแล้วก็จะยอมฟังผู้อื่น  ถิงถิงนั้นเป็นพวกมุ่งมั่นอดทนสูง  เวลาที่ไท่หยางแสดงอารมณ์หงุดหงิดมันขึ้นมาครั้งใด  ตนเองก็จะยอมนอบน้อมมิขึ้นเสียงเถียงกลับ  จนเวลาผ่านไปชั่วครู่มันจะเป็นฝ่ายเดินเข้าหาออดอ้อนเอาใจใช้วาจาอ่อนหวานหว่านล้อมจนไท่หยางกลับมาพูดดีด้วยอีกครั้ง   นี่จึงเป็นวิธีที่จิ้งจอกน้อยใช้รับมือสุนัขป่าอารมณ์ร้ายซึ่งก็ได้ผลดีมาโดยตลอด
      ครั้งนี้ถิงถิงก็ตั้งใจทำเช่นเดิม  แต่มันเดินตามหาไท่หยางแล้วก็ไม่ทราบว่าหายไปไหน  จึงคิดว่าคงจะนั่งอ่านเคล็ดวิชานั้นอยู่ในส่วนห้องโถงภายในถ้ำ  เจ้าตัวจัดการเตรียมน้ำชาถือเข้าไปเพื่อจะออดอ้อนเอาใจเพราะอยากให้เขาหายโกรธตนโดยเร็ว
      แต่มิคาดเมื่อเข้าไปถึงด้านในกลับไม่พบไท่หยางอีกเช่นนั้น  มีเพียงโต๊ะอ่านหนังสือที่มีตำราอยู่หนึ่งเล่ม  กระบี่ประจำกายของไท่หยางและเชิงเทียนตั้งอยู่บนนั้น  ส่วนด้านข้างตรงพื้นก็เต็มไปด้วยวิชาตำราวรยุทธที่ไท่หยางหามาศึกษาควบคู่กับเคล็ดวิชานั้น
      ถิงถิงน้อยวางชุดน้ำชาลง  ดวงเนตรสุกใสเพ่งพินิจตำราเคล็ดวิชาที่วางอยู่บนโต๊ะอย่างสนใจ
      “นี่คงเป็นเคล็ดวิชาที่พี่ไท่หยางกำลังศึกษาอยู่กระมัง”
      มือขาวซีดถือวิสาสะหยิบเคล็ดวิชาเล่มนั้นขึ้นมาเปิดดู  แต่พออ่านไปได้ไม่กี่หน้าก็ต้องเบิกดวงเนตรย่นคิ้วด้วยความกระวนกระวาย  ยังมิได้อ่านเพิ่มต่อไปก็เกิดเสียงหนึ่งังขึ้นที่ทางเข้า
      “ถิงถิง  เจ้าทำอันใด?”  ใครคนนั้นตวาดขึ้นเสียงดังก้องไปทั่วผนังหิน
      ฝ่ายถิงถิงเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็สะดุ้งตกใจจนตัวโยน  เคล็ดวิชาที่ถือคาไว้ก็ร่วงหล่นลงพื้น  มิทันที่จะเอื้อนเอยชี้แจงอีกฝ่ายก็ปราดเข้าประชิดก่อนกระชากร่างผอมแห้งขึ้นไปยืนประจันหน้า
      “ใครใช้ให้เจ้าจุ้นจ้านถึงเพียงนี้?”  ใบหน้าหล่อเหลาบัดนี้บูดเบี้ยวด้วยอารมณืโทสะรุนแรงที่แม้แต่ถิงถิงเองยังนึดหวาดหลัว
      “พี่ไท่หยาง..ข้า..”  จิ้งจอกน้อยตัวสั่นเอยเสียงอ่อย   มิทันไรก็ถูกผลักออกมาจนล้มลงไม่เป็นท่า
      “เจ้าถือดีอันใด กล้ายุ่งกับของๆข้า”  ไท่หยางตวาดกราดเกรี้ยว  เดิมทีก็หงุดหงิดมากแล้วที่เห็นถิงถิงฝึกวิชาไม่เอาอ่าว  จึงคิดว่าออกไปเดินสูดอากาศด้านนอกเพื่อระงับอารมณ์ร้าย แต่พอมาถึงมิทันไรก็ต้องเห็นว่าถิงถิงกล้าขัดคำสั่ง  พื้นที่ส่วนนี้ตนเองเคยบอกไว้แล้วว่าห้ามแตะต้องเข้าใกล้  ไฉนถึงกล้าลองดียั่วอารมณ์โกรธกันถึงเพียงนี้
      “พี่ไท่หยาง  โปรดฟังข้าก่อน    ข้า..ข้านึกว่าพี่ท่านอยู่ในนี้  จึงตั้งใจนำน้ำชามาให้”  จิ้งจอกน้อยเอ่ยเสียงเบาหวิว
      “แล้วข้าสั่งเจ้ารึไงกันเล่า!” ฝ่ายไท่หยางได้ฟังก็ปัดชุดน้ำชาตกลงบนพื้นจนแตกละเอียด
      “ข้าขอโทษ”
      “อย่ามาเสแสร้ง..เจ้าชอบทำตัวเยี่ยงนี้  ยิ่งทำให้ข้าสงสัยนัก”
      “ข้า..ข้าทำตัวอันใด!?” ถิงถิงเงยหน้ามองไท่หยางด้วยความตกใจ
      “เจ้าทำตัวอ่อนแอเกินปกติ  มิหนำซ้ำยังเอาใจข้าเกินความจำเป็น  ที่ลงทุนทำเช่นนี้ต้องการอันใดกันแน่” ไท่หยางว่ากล่าวน้ำเสียงเย็นชา
      “ไม่นะ..พี่ท่านเข้าใจผิดใหญ่โตแล้ว..” ถิงถิงเอ่ยเสียงดัง ดวงเนตรเกร็งเขม็ง
      “เข้าใจผิดอันใด  อย่านึกนะ ว่าข้าไม่เห็น  ก่อนหน้านี้เจ้าอ่านสิ่งนี้อยู่มิใช่หรอกหรือ” ไท่หยางหยิบเคล็ดวิชาขึ้นมาโบกให้ถิงถิงน้อยได้เห็น
      “แล้วทำไมกันเล่า?”
      “ก็มิใช่เจ้าอยากรู้รึไงว่าด้านในมันเขียนอย่างไร” ไท่หยางยิ้มเจ้าเล่ห์  ใบหน้าร้ายกาจมองจิ้งจอกน้อยราวกับว่ามันจับพิรุธของผู้กระทำผิดได้
      “ใช่  ข้าอยากรู้ถึงได้อ่านมัน  แต่มันไม่ใช่อย่างที่ท่านคิด  ข้ามิได้ตั้งใจจะขโมยสิ่งนั้น”ถิงถิงกล่าวหนักแน่น
      ปึง!
      ไท่หยางตบโต๊ะระบายความโกรธ
      “เห็นกันอยู่ชัดๆเช่นนี้ ยังจะมาเถียงเสียงแข็ง  หากเจ้าบริสุทธิ์ใจจริงคงไม่เข้ามาในที่นี้ตั้งแต่แรก  เจ้ากล้าขัดคำสั่ง  คิดลองดีกับข้ารึไง” ไท่หยางเสียงเหี้ยม
      ฝ่ายจิ้งจอกน้อยโดนกล่าวหาเช่นนี้ก็รู้สึกเหมือนหัวใจถูกบีบอัด  มันตะโกนกลับไปเสียงดัง
      “ไฉนต้องต่อว่ากันขนาดนี้  ผู้อื่นสู้อุตส่าห์นึกถึง เป็นห่วงว่ามันคือวิชาร้ายกาจอันใด  ถึงทำให้ท่านต้องเกิดธาตุไฟเข้าแทรก  ที่แท้เป็นเช่นนี้ ท่านยังดันทุรังฝึกมันอีก” ครานี้ถิงถิงเถียงกลับมิอ่อนข้อ
      “เคล็ดวิชานี้เป็นเช่นไร” อีกฝ่ายกัดฟันถามขบกรามแน่น
      “ท่านก็รู้แล้วเคล็ดวิชานี้เป็นสิ่งนอกรีต   ฝึกแล้วควบคุมไม่ได้ก็ไม่ต่างอะไรจากมารร้าย  เช่นนี้แล้วยังไปยุ่งกับมันอีกทำไมเล่า”
      “นี่มันเรื่องของข้ามิเกี่ยวอันใดกับเจ้า”
      “มิเกี่ยวับข้า  แต่ข้าเป็นห่วงท่าน” ถิงถิงเถียงกลับ
      “ห่วงข้า หรือห่วงเคล็ดวิชากันแน่ “ ไท่หยางถามด้วยใบหน้าร้ายกาจ
      “เคล็ดวิชาบ้านี่ไม่อยู่ในสายตาข้าเลยด้วยซ้ำ  หากทำได้ข้าจะเผามันเสียเดี๋ยวนี้  ข้าไม่ทราบว่าท่านได้มันมาอย่างไร  แต่ข้ารู้ว่าคนที่เคยถือครองมันไว้ต้องไม่ใช่คนดี”
      ถิงถิงหารู้ไม่ว่าเมื่อพูดเช่นนั้นออกไปแล้วจะทำให้อีกฝ่ายโกรธเคืองจนตวาดออกมาอีกครั้ง
      “สามหาว...! เคล็ดวิชานี้พี่ชายข้าให้มา ไม่รู้อันใดอย่าพูดจาส่งเดช  เห็นทีเราจะอยู่ร่วมกันมิได้แล้ว เจ้าจิ้งจอกปากร้าย”  ไท่หยางกล่าวเย็นชา
      ฝ่ายถิงถิงได้ฟังดังนั้นก็ตาเหลือกตกใจ คลานสี่ขาเข้าใกล้บุรุษตรงหน้า
      “ท่าน..คงมิไล่ข้าไปใช่หรือไม่?”
      “ใช่  ข้าไล่เจ้า  ในเมื่ออยู่ร่วมกันดีๆไม่ได้ เจ้าก็ไปเสียเถอะ” ไท่หยางกล่าวเสียงแข็ง
      “ไม่พี่ท่าน..ข้าไม่ไป”  ถิงถิงก้มลงอ้อนวอนขอร้อง  รู้สึกเสียใจเป็นยิ่งนักที่เรื่องราวบานปลายถึงเพียงนี้ ทั้งหมดเพราะความจุ้นจ้านของตนเองแท้ๆ 
      “จะไปดีๆ  หรือให้ข้าโยนเจ้าออกไป”
      “ไม่..ข้าไม่ไปไหนทั้งนั้น  และข้าก็จะไม่ให้ท่านโยนข้าออกไปด้วย” ถิงถิงเข้ากอดขาของไท่หยาง  เจ้าจอมจุ้นใบหน้าบูดบึ้ง เม้มปากแน่น  มือน้อยๆเหนียวหนึบยิ่งกว่าปลิงดูเลือด
      ไท่หยางเห็นท่าทางดื้อดึงเช่นนั้นก็ทั้งโมโหทั้งอ่อนใจ  ร่างกายผอมแห้งของถิงถิงนั้น ถ้ามันออกแรงเตะแค่ครั้งเดียวก็แทบช้ำในตาย  แต่ความรู้สึกบางอย่างทำให้มิอาจลงมือทำทารุณเช่นนั้นได้  จึงได้แต่สลัดเบาๆ  เพียงแค่นั้นถิงถิงน้อยก็กระเด็นออกพ้นทาง
      “เช่นนั้นก็ตามใจ  ขอเชิญอยู่ที่นี่ให้สบาย อยากทำอะไรก็เชิญ”  ไท่หยางกล่าวเสียงเย็นชา ก่อนหยิบเคล็ดวิชายัดเขาไปในสาบเสื้อ  ร่างสูงใหญ่มิรอช้า  เคลื่อนกายพริ้วไหวออกไปรวดเร็ว  มัน ปล่อยให้จิ้งจอกน้อยนั่งน้ำตาคลอเบ้าอ้าปากพะงาบๆอยู่เพียงลำพัง


จบตอน  :call:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ cancan

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1168
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +581/-0
  ตอนที่5


  ไท่หยางนั้นจิตใจไม่สงบสุขก็ไม่อาจศึกษาเคล็ดวิชาต่อไปได้  มันมิคิดว่าคำพูดของถิงถิงจะมีอิทธิพลต่อจิตใจของตนเองขนาดนี้  ด้วยเพราะคำกล่าวหาที่ว่าเคล็ดวิชานั้นเป็นสิ่งนอกรีตของพวกมาร  พวกที่จะฝึกได้จึงมีแต่ปิศาจร้ายกับมนุษย์จิตใจชั่วช้า 
      ไฉนเลยมันจะไม่รู้เล่าว่าสิ่งที่อยู่ในมือนี้ร้ายกาจเพียงไหน  แม้อ่านแล้วเนื้อหาจะไม่ได้ลึกซึ้งอันใด  แต่ความรู้สึกกลับมิใช่แบบนั้น
      คล้ายเส้นผมบังภูเขา  ความกระจ่างอยู่แค่ปลายจมูกแต่ก็มิอาจเข้าใจถ่องแท้
      เช่นนี้จึงเป็นสิ่งท้าทายที่หลอกล่อให้มันอดใจมิได้   ถึงแม้จะเจ็บป่วยเพราะการฝึกมาแล้วแต่ก็ยังดันทุรังศึกษาเคล็ดวิชานี้ต่อไป  และอีกประการที่สำคัญ  มันมิคิดว่าพี่รองผู้แสนดีจะมอบสิ่งนี้ให้ทั้งๆที่รู้ว่ามันคือวิชาอันตรายร้ายแรง  ถึงอย่างไร ไท่หยางก็ยังเชื่อว่านี่คือความปรารถนาดีที่ชุนหลันต้องการให้ตนพัฒนาก้าวหน้า
      จริงๆแล้วมันก็เดาได้ว่า ที่ชุนหลันทำเช่นนี้มิได้อยากให้ตนต้องห้ำหั่นกับพี่ใหญ่   จึงได้คิดนำวิชาพิสดารมาให้เพื่อไท่หยางจะได้หมกมุ่นอยู่กับการฝึกจนลืมเรื่องบาดหมางที่มีต่อพี่ใหญ่  เช่นนี้พี่น้องจะได้มิต้องทะเลาะ
      ไท่หยางจึงสำนึกว่าพี่รองของตนนั้นโอบอ้อมอารีต่อมันถึงเพียงนี้  นอกจากไม่ได้ดุด่าที่บังอาจล่วงเกินพี่ใหญ่  แต่ยังหาทางออกให้มันได้มีโอกาสฝึกฝนฝีมือตนเอง
      ดังนั้นไท่หยางจึงใช้โอกาสนี้เป็นบททดสอบใช้ชุนหลันเห็นว่ามันเองก็มีดีมิแพ้พี่ใหญ่เช่นกัน
      หลังจากเดินย่ำผ่านพื้นดินที่ปกคลุมด้วยหิมะอยู่หนึ่งชั่วยาม  จิตใจก็ค่อยสงบลง  ตั้งแต่มันออกมาฝึกวรยุทธอยู่ในถ้ำก็ยังมิได้กลับไปเยี่ยมเยียนชุนหลันเลยสักครั้ง
      ในเมื่อเดินออกมาไกลขนาดนี้แล้ว  ครานี้จึงขอไปให้เห็นหน้าพี่ชายในดวงใจเพื่อเป็นขวัญกำลังใจสักนิดก็คงดี
      ไท่หยางใช้เวลาเพียงหนึ่งชั่วยามก็เดินทางกลับมาถึงเรือนพักของตู๋เสอ
      ที่แห่งนี้เมื่อไม่มีกุ้ยหลินจอมยุ่งวิ่งเล่นอยู่รอบๆก็ให้รู้สึกเงียบเหงาไร้ชีวิตชีวา  ขับเคลื่อนพลังเพียงถีบฝ่าเท้าขึ้นเบื้องบนก็ลอยละล่องผ่านแมกไม้จนไปหยุดอยู่ที่ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง 
      ต้นไม้นี้มีความสำคัญยิ่งนัก  เนื่องจากนี่คือสถานที่ลับของมัน  ไท่หยางถือคาคบนี้เป็นจุดชมวิว  เบื้องหน้าต่ำลงไปคือห้องของชุนหลันผู้พี่  เพราะมีจุดชมวิวเช่นนี้แล  ไท่หยางถึงสามารถลักลอบแอบมองการกระทำของพี่ชายได้อย่างสะดวกดาย 
      ชุนหลันมักใช้เวลาส่วนใหญ่นั่งศึกษาตำราต่างๆ  บางครั้งก็วาดภาพอักษรขีดเขียนคำกลอนอยู่ตรงโต๊ะเขียนหนังสือติดริมหน้าต่าง   ถึงแม้พี่ชายคนนี้ภายนอกจะดูแข็งแรง  แต่บ่อยครั้งที่ไท่หยางแอบเห็นว่า  ฝ่ายนั้นมักจะปรากฏใบหน้าซีดเผือด  บางทีถึงกับกระแอมไอติดกัน จนไม่สามารถเขียนหนังสือต่อได้  เมื่อไท่หยางเห็นดังนั้นก็ให้กังวลใจ  เพราะมันมิคิดว่าพี่ชายจะมีร่างกายอ่อนแอ  เนื่องจากเวลาเจอกันชุนหลันจะไม่ปรากฏอาการแบบนั้นให้เห็น จนแล้วจนรอดจึงไม่สามารถสอบถามได้โดยตรง เพราะเกรงว่าพี่ชายจะรู้ว่าถูกแอบมองจากบนคาคบไม่อยู่เป็นประจำ
      แม้ว่าการแอบมองแบบนี้จะได้เห็นใบหน้าสง่างามที่แสนคิดถึง  แต่มันก็กลับสร้างความเจ็บช้ำน้ำใจให้ไท่หยางอยู่บ่อยครั้ง  และตอนนี้ก็ด้วยเช่นกัน
      ดวงเนตรสีน้ำตาลจับจ้องเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายในห้องนั้นด้วยความริษยา   
      วันนี้ช่างเป็นวันอับโชค  ไม่ว่ามันจะทำการได้ก็ให้มีเรื่องต้องขุ่นข้องหมองใจ  อุตส่าห์หนีเรื่องชวนปวดหัวจากที่โน่น  ก็ต้องมาเจอเรื่องเจ็บช้ำน้ำใจอยู่ที่นี่
      แต่ครานี้รุนแรงกว่าการที่ต้องทะเลาะกับจิ้งจอกน้อยหลายเท่านัก
      ภาพที่แลเห็นแต่ไกลช่างแจ่มชัดราวกับว่าอยู่ห่างกันเพียงไม่กี่วา   ทรมานคล้ายคมหอกทิ่มทะลุผ่านกายา
      “นี่ขนาดตะวันยังมิลับขอบฟ้า  ท่านก็มิอาจอดกลั้นได้หรือไรกัน พี่ใหญ่”  ไท่หยางคำรามรอดไรฟัน 
      ความปวดร้าวในจิตใจผลักดันให้น้ำนัยน์ตาเอ่อล้น ดวงตาสองข้างแดงก่ำเพราะความอิจฉาและน้อยใจ  หรือมันจะเป็นพวกมืดบอดเช่นที่กุ้ยหลินเคยต่อว่า 
      พี่รองนะพี่รอง  ถ้าโดนพี่ใหญ่บังคับไฉนไม่ขัดขืน  เหตุใดยังปล่อยให้เขาล่วงเกินถึงเพียงนี้
      ไท่หยางมองร่างขาวสะอาดที่บัดนี้ถูกปลดเปลื้องเสื้อตัวบนจนหลุดลุ่ย  ชุนหลันหอบหายใจด้วยสีหน้ามิอาจคาดเดา  ผมเผ้าที่ถูกผูกไว้ดีแล้วตอนนี้กลับยาวสยายอยู่บนโต๊ะกลางห้อง  ร่างนั้นโดนผลักให้แผ่นหลังติดราบกับพื้นโต๊ะที่ทำจากหินหยก  ความเย็นของมันคงจะร้ายกาจจนทำให้ชุนหลันถึงกับสั่นสะท้าน
      เพียงชั่วพริบตาไท่หยางก็เห็นใครอีกคนอยู่บนร่างของชุนหลัน  คนผู้นั้นมิใช่ใครอื่น หากแต่เป็นพี่ชายร่วมสายเลือด 
      ความสัมพันธ์ลึกลับนี้มีเพียงไท่หยางเท่านั้นที่ได้เห็น  แม้แต่กุ้ยหลินที่ระแคะระคายอยู่บ้างก็ยังมิเคยได้สัมผัสด้วยตาเหมือนไท่หยาง
      ดวงเนตรสีน้ำตาลวาวโรจน์ขุ่นเคือง  มันมองร่างของพี่ใหญ่ที่กำลังคุกคามพี่รอง
      สื่อเสินกำลังฟอนเฟ้นชุนหลันด้วยความลุ่มหลง  ยอดอกสีชมพูถูกดูดดุนจนเจ้าของต้องบิดกายสะท้าน
      เพียงแค่นั้นไท่หยางก็มิอาจมองต่อได้อีก
      เป็นเช่นนี้ตลอด     มันไม่เคยใจแข็งดูฉากเร่าร้อนจนจบได้เลยสักครั้ง  เพราะหากถึงตอนนั้น  มันคงจะทุกข์ทรมานจนกระอักเลือดออกมาก็เป็นได้   
      เมื่อได้เห็นภาพบาดตาเช่นนี้  ไท่หยางก็คล้ายคนไม่มีที่ไป  มันโซซัดโซเซลงจากต้นไม้ใหญ่  ตั้งใจว่าจะกลับเข้าป่าเพื่อไประงับอารมณ์ริษยาบ้าคลั่ง  แต่ก่อนที่จะจากเรือนพักมานั้นก็มิวายแอบเข้าไปโรงเก็บสุรา เพื่อหยิบไหสุราติดมือมาด้วยถึงสามไห 
ไท่หยางดืมน้ำสุราเดินไม่เป็นท่าอยู่ในป่าเขา  จนเมื่อไหเหล้าใบสุดท้ายถูกเขวี้ยงลงพื้น  มันก็เดินมาถึงปากถ้ำแล้ว
      “พี่ไท่หยาง..!”  ฝ่ายคนที่นั่งรออยู่ด้วยความว้าวุ่นใจ  เมื่อเห็นไท่หยางกลับมาด้วยสภาพแบบนี้ก็ให้รู้สึกเป็นห่วงอย่างสุดแสน
      เจ้าจิ้งจอกมิไถ่ถามอันใด มันถลาเข้าหาทั้งๆที่น้ำตายังเปรอะเปื้อนเต็มใบหน้า  ซ้ำายังกระวีกระวาดพยุงร่างไร้สมดุลของใครอีกคนเดินเข้าไปพักในถ้ำยังส่วนที่จัดเอาไว้
      เมื่อจัดแจงให้ไท่หยางนอนลงได้อย่างทุกลักทุเล  ก็รีบน้ำผ้าชุบน้ำสะอาดมาเช็ดใบหน้าให้  ถิงถิงน้อยนั้นเมื่อเห็นไท่หยางดวงตาแดงก่ำผมเผ้ารุงรังไร้สภาพก็เกิดความสงสารจับใจ  ซ้ำยังไม่เข้าใจว่าเหตุใดไท่หยางผู้นี้ถึงไม่เหมือนคนก่อนหน้านั้นที่พูดจาว่าร้ายตนเสียไม่เหลือชิ้นดี
      ไท่หยางผู้นี้นอกจากเมามายไม่เหลือสภาพกลับยังดูคล้ายบอบช้ำราวกับนกปีกหัก
      ระหว่างที่กำลังช่วยซับใบหน้านั้น  ข้อมือของถิงถิงก็ถูกคว้าไว้  แรงบีบจากมือแข็งแรงทำให้ต้องนิ่วหน้าเจ็บปวด
      “เจ้า..ยังเสนอหน้าอยู่อีก?”
      สิ้นเสียงแหบพร่าของคนที่นอนหน้าแดงก่ำ  ถิงถิงก็ให้รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ  เพียงแต่ตอนนี้มิอยากถูกขับไล่ จึงได้แต่ก้มหน้าเงียบงัน
      “ไปซะ..ข้าไม่อยากเห็นหน้าเจ้า  ข้าอยากอยู่คนเดียว..”  ไท่หยางกัดฟันพูด  ก่อนสะบัดข้อมือนั้นให้พ้นทาง
      “ไม่..พี่ท่านยังมิหายโกรธเคืองข้าอีกหรือ..”
      “ใช่..ข้าโกรธเจ้า  ข้าโกรธทุกคน  ไปซะ  ข้าอยากอยู่คนเดียว”  ไท่หยางตวาดเสียงดัง
      ฝ่ายถิงถิงเมื่อเห็นไท่หยางปัดป่ายมือและออกปากขับไล่อีกครั้งก็ร้องขออ้อนวอน  ทั้งยังยื้อยุดมือคนพาลมิให้ปัดข้าวของเสียหาย
      “ไม่  พี่ท่านเมามายเช่นนี้จะช่วยตัวเองได้อย่างไร  ได้โปรดเถิด  ให้ข้าดูแลท่าน”  จิ้งจอกน้อยเอื้อนเอ่ยปานจะขาดใจ สองมือก็ยื้อยุดแขนของไท่หยางมิให้เคลื่อนไหวได้สะดวก
      ฝ่ายไท่หยางผู้เมามายเมื่อเห็นความดื้อของจิ้งจอกน้อยก็นิ่งเงียบไปชั่วอึดใจ ก่อนกล่าวเสียงอำมหิตผิดธรรมดา
      “หึ..อยากดูแลข้านัก  เช่นนั้นข้าจะให้เจ้าได้ดูแลสมใจ” 
      สิ้นเสียงนั้นจิ้งจอกน้อยที่มิได้ตั้งตัวก็กลับเป็นฝ่ายถูกไท่หยางฉุดลงไปนอนแทนที่  เจ้าจิ้งจอกตาเหลือกมิคาดว่าคนมึนเมาจะมีเรี่ยวแรงถึงเพียงนี้ 
      ความเมามายของไท่หยางทำให้ตนเองขาดสติ พอผลักถิงถิงลงนอนแล้วร่างใหญ่โตก็ขยับเข้าทาบทับไว้ทั้งตัวมิได้สนใจอาการตื่นตระหนกของผู้น้อย  ใบหน้าแดงก่ำแม้ยังคงหล่อเหลามีสง่าราศีแต่หาใช่เหมือนคนมีสติไม่  ผู้เหนือกว่ารีบเข้าข่มผู้น้อยด้วยพละกำลังที่เป็นต่อ 
      ด้วยความตกใจกับท่าทางของไท่หยาง  ถิงถิงผู้น่าสงสารก็ร้องโวยวายมิเข้าใจว่าอีกฝ่ายกำลังทำอันใด  ได้แต่เบี่ยงใบหน้าหลบริมฝีปากร้อนระอุที่ระดมทาบทับด้วยความรุนแรงและสะเปะสะปะไม่เป็นทิศทาง
      พอดิ้นไปมาจนมือทั้งสองข้างเป็นอิสระถิงถิงก็จับใบหน้าแดงก่ำนั้นไว้มั่นมิให้เคลื่อนไหวก่อนเอ่ยวาจาเรียกสติใครอีกคน
      “พี่ไท่หยาง  ท่านทำอันใด  ข้าเจ็บปวดไปหมดแล้ว  ได้โปรดอย่าลงโทษข้าอีกเลย”  ถิงถิงอ้อนวอนขอร้อง
      “หึๆ  ข้าทำอันใดกัน  นี่มิใช่การลงโทษหรอกถิงถิงผู้โง่เขลา  ข้ากำลังให้เจ้าได้ดูแลข้าตามที่ร้องขอมาไงเล่า” ไท่หยางเอ่ยยียวน
      “ไม่..พี่ไท่หยาง  ข้ามิได้หมายความเช่นนี้” ถิงถิงพยายามผลักศีรษะของอีกฝ่ายให้ห่างตัว
      “แบบไหนก็เหมือนกันทั้งนั้น  แบบนี้ก็เรียกว่าดูแล  เจ้าอย่าเรื่องมากอีกเลย”  ไท่อย่างกล่าวอย่างรำคาญก่อนจัดการรวบข้อมือทั้งสองข้างของถิงถิงไว้ด้านบน
      ฝ่ายจิ้งจอกน้อยผู้น่าสงสารสู้แรงสุนัขป่าไม่ไหว จะให้ลงมือขัดขืนก็ทำมิได้ เพราะตอนนี้ตั้งใจขยับส่วนไหนก็โดนสกัดกั้นไว้หมดสิ้น ไท่หยางแม้เมามายแต่กลับรอบคอบระวังจุดอ่อนของตนเองไม่ให้ถูกจู่โจมได้โดยง่าย  เมื่อรู้แล้วว่าตนเองเหนือกว่าจึงกระทำการตามอำเภอใจมิสนว่าจะสร้างความหวาดกลัวและตื่นตระหนกให้อีกฝ่ายแค่ไหน
      ไท่หยางระดมจูบดุเดือดตามผิวเนื้อขาวสะอาด  เพียงไม่นานทั่วทุกแห่งก็กลับกลายบอบช้ำ  ยิ่งได้สัมผัสร่างของถิงถิงอารมณ์คุไหม้ก็ยิ่งถาโถม  ร่างกำยำฟอนเฟ้นทุกหนั่นเนื้อด้วยความหลงละเมอว่าเป็นมันมิใช่พี่ใหญ่ที่อยู่กับชุนหลัน 
      ความโกรธผลักดันให้กระทำทารุณ  คมเขี้ยวปรากฏทั่วทั้งลำคอและแผ่นอกผอมบางที่สะท้อนขึ้นลง
      ยอดอกที่แม้จะตั้งชันเพราะถูกปรุกเล้าก็มิได้ช่วยให้จิตใจของใครอีกคงหลงใหลเคลิบเคลิ้ม 
      แผ่นอกหนาสะท้อนหายใจแรงถี่  ไท่หยางขบกรามแน่นเพราะตอนนี้เหมือนถูกบีบให้แตกสลาย
      ดวงตาแดงก่ำมองร่างบอบช้ำที่นอนรอชะตากรรมอยู่เบื้องใต้
      เพียงแค่นั้นไท่หยางก็ต้องทิ้งตัวลงซบหัวไหล่ของอีกฝ่ายหากแต่ยังยั้งน้ำหนักไว้เพราะเกรงว่าใครอีกคนจะช้ำในตายเสียก่อน
      ถิงถิงเงียบไปแล้ว  ริมฝีปากสั่นเทามิได้เอ่ยอันใดนอกจากเม้มสนิท  ดวงตาสีชมพูเลื่อนลอยสุดที่จะคาดเดาว่าจุดหมายอยู่ตรงไหน  ใบหน้าเปรอะเปื้อนน้ำตาเมื่อเห็นแล้วก็สร้างความเวทนาแก่คนมองอย่างสุดแสน
      ครานี้ไท่หยางสร่างเมาแล้ว  แม้ภายนอกจะยังมีสภาพเหมือนเดิม  แต่ตอนนี้มันควบคุมจิตใจได้ดีขึ้น
สองฝ่ามือที่ยันร่างไว้กำแน่นจนได้รับความเจ็บปวดจากปลายเล็บ
      นี่มันปล่อยให้ทุกอย่างเลยเถิดมาถึงขั้นนี้ได้อย่างไร
      ไท่หยางหายใจรุนแรง  มันรับรู้ว่าส่วนนั้นของตนเองได้ล่วงล้ำเข้าไปข้างในตัวของถิงถิง  กลิ่นคาวเลือดที่ได้รับจากจมูกทิพย์ของสุนัขป่าช่วยยืนยันว่ามันเป็นคนทำร้ายถิงถิงน้อยด้วยตัวเอง
      เมื่อเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกเจ็บใจที่ปล่อยให้ความริษยาที่มีต่อพี่ใหญ่ยามเมื่อได้ใกล้ชิดชุนหลันกลายเป็นคมหอกที่ทิ่มแทงผู้อื่น
      มิหนำซ้ำคนผู้นั้นยังเป็นถิงถิง
      จิ้งจอกน้อยจอมจุ้นจ้านที่คอยเสนอหน้าเอาใจมันสารพัด  แม้จะโดนมันดุด่าว่ากล่าวแค่ไหนก็ไม่เคยโกรธหรือย้อนกลับด้วยวาจาร้ายกาจเลยสักครั้ง
      ใบหน้าของไท่หยางซบลงข้างแก้มนวลของถิงถิง  มันกัดกรามคำรามเสียงต่ำราวกับสัตว์ร้ายที่เจ็บปวดทรมาน
      มิคาด ระหว่างที่ไท่หยางกำลังโกรธแค้นต่อการกระทำของตนเอง  กลับมีฝ่ามือหนึ่งลูบหลังให้อย่างเบามือ
      “พี่ไท่หยาง  ท่านดีขึ้นแล้วใช่ไหม?” ถิงถิงน้อยเอ่ยด้วยเสียงเบาหวิวราวกับสายลม
      “...” ฝ่ายไท่หยางเมื่อได้ยินเจ้าจิ้งจอกเอื้อนเอ่ยด้วยวาจานุ่มนวลก็ให้รู้สึกคับแค้นใจอย่างสุดแสน  มันมิเอ่ยสิ่งใดนอกจากคำรามด้วยความทรมานหัวใจ  ครานี้เป็นมันนี่เองที่กระทำผิดอย่างมิน่าให้อภัย 
      “หาก..ท่านกำลังทรมาน  ก็ขอให้ปลดปล่อยที่ข้าเถิด  อย่าได้เก็บความทุกข์นั้นไว้แต่ผู้เดียวเลย” 
      เมื่อไท่หยางได้ฟังคำพูดของถิงถิง ก็ให้รู้สึกเสียใจจนน้ำตาเอ่อคลอ  มิคิดว่าถิงถิงน้อยจะดีกับมันถึงเพียงนี้
      “...” ไท่หยางมิอาจว่ากล่าว มันยันกายขึ้นเหนือศีรษะถิงถิง  เมื่อได้มองใบหน้าซีดเผือดของอีกฝ่ายก็ให้รู้สึกสงสารและเสียใจกับการกระทำของตนเอง
      “...” ถิงถิงก็ไม่ได้เอ่ยอันใดอีกมีเพียงหยาดน้ำที่ไหลข้างแก้มเพราะคิดว่าไท่หยางเองก็เจ็บปวดใจเช่นกัน
      ฝ่ายไท่หยางนั้นพอเห็นน้ำตาของถิงถิงก็นึกว่าถิงถิงเจ็บปวดร่างกายเพราะน้ำมือของตน  แต่จะให้หยุดกลางครันก็ทำมิได้  เพราะทุกสิ่งทุกอย่างยังค้างคาอีกทั้งระหว่างที่หยุดไปเมื่อครู่ร่างกายตรงส่วนที่ประสานก็เกิดตอบสนองต่อกันอย่างช่วยไม่ได้
      เมื่อถิงถิงลองสบดวงตาของไท่หยางก็เห็นว่าฝ่ายนั้นอ่อนลง มิหนำซ้ำดวงเนตรสีน้ำตาลยังฉายแววต้องการจนมิอาจปิดกั้น  ส่วนตนเองนั้นพอได้พักก็รู้สึกหายใจได้สะดวกขึ้น  หลังจากอาการตื่นตระหนกสงบลงแล้วจึงสำนึกได้ว่าร่างกายเปลือยเปล่าของตนเองและไท่หยางอยู่ในท่าล่อแหลมมากขนาดไหนก็ให้เกิดอาการเอียงอายและความรู้สึกบางประการที่แปลกประหลาด    ถิงถิงน้อยยิ่งขยับเคลื่อนไหวก็ยิ่งรับรู้ความเป็นตัวตนของไท่หยาง
      บัดนี้เจ้าจิ้งจอกแปลงได้รู้แล้ว...
การมีสัมพันธ์แนบแน่นเป็นเช่นนี้เอง...
      ไท่หยางนั้นเมื่อเหตุการณ์ล่วงเลยมาถึงขนาดนี้ก็ต้องปล่อยเลยตามเลยเพื่อให้ทุกอย่างผ่านไปมิค้างคา  ส่วนหนึ่งที่ตัดสินใจเช่นนี้ก็เพราะฤทธิ์ของสุราที่ยังมิหายไปด้วยเช่นกัน
      ดังนั้นครานี้จึงเริ่มดื่มด่ำทุกอณูเนื้อของร่างกายที่อยู่เบื้องร่างแต่มิได้กระทำกิริยาป่าเถื่อนอีกแล้ว
      ฝ่ายถิงถิงเมื่อเห็นไท่หยางเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังก็ให้เกิดอารมณ์วูบไหว  สัมผัสของร่างใหญ่เบื้องบนเชื้องช้าลงหากแต่หนักแน่น  ปลายลิ้นร้อนชวนให้เคลิบเคลิ้มจนลืมความเจ็บปวดไปหมดสิ้น  สุดท้ายแล้วกรงเล็บน้อยๆสองข้างก็ต้องจิกลงบนแผ่นหลังบึกบึนเพื่อตอบรับจังหวะเร้าร้อนและยอมถูกเผาไหม้ไปด้วยกัน 
      แม้ครั้งนี้ไท่หยางจะมอบความสุขให้จนล้นปรี่  แต่เพราะร่างกายอ่อนแอจึงทำให้เจ้าจิ้งจอกถึงกับสิ้นสมประดี  ไท่หยางเอาแขนหนุนศีรษะก่อนมองถิงถิงในระยะประชิด
      ตอนนี้ความรู้สึกของเด็กผู้นี้มันทราบดี
      มันเองมิใช่คนไร้สติปัญญา ไฉนเลยจะไม่เข้าใจว่าเหตุใดถิงถิงถึงยอมอ่อนข้อให้ทุกอย่าง  เมื่อคิดเช่นนี้แล้วก็เกิดความสับสนบางประการ 
      พี่รองผู้แสนดีของมันจะดีจริงหรือไม่?
      เหตุไฉนดวงตาคมกริบที่แสนเย็นชาคู่นั้นกลับฉายแววตาเช่นเดียวกับถิงถิง
      ไท่หยางไตร่ตรองเรื่องราวต่างๆ  มันจำแววตาของชุนหลันยามที่ได้แนบชิดกับสื่อเสินได้เป็นอย่างดี
      แววตาคู่นั้นแม้เย็นชาเช่นปกติ  แต่กลับมีประกายบางอย่างที่มันเองก็มิเคยสังเกตมาก่อน
      ประกายที่ปรากฏให้เห็นนั้นเป็นเช่นเดียวกับประกายที่ปรากฏบนดวงตางดงามของถิงถิงยามที่มันมอบความสุขให้
      และตอนนี้มันเข้าใจกระจ่างแล้วว่าสิ่งนั้นสื่อถึงอะไร...
      ไท่หยางขมวดคิ้วมุ่น  จู่ๆก็นึกอยากสัมผัสผิวแก้มนิ่มนวลของเจ้าเด็กน้อยที่นอนขดตัวมิรู้เรื่อง
      ปลายนิ้วแกร่งไล้เบาๆลงบนแก้มของถิงถิง
      หรือมันจะเป็นอย่างที่กุ้ยหลินว่า
      พวกโง่เง่าชอบเห็นกงจักรเป็นดอกบัว....
      หรือชุนหลันผู้พี่ที่แสนดีของมันจะมิได้หวังดีอย่างที่มันเชื่อมาตลอด...
      ไท่หยางขบกรามด้วยความเคยชิน  น่าแปลกที่ตอนนี้สภาพจิตใจกลับราบเรียบดั่งผืนน้ำ
      มันไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน ว่าทำไมมิได้รู้สึกขุ่นเคืองผู้ใดอีกแล้ว..
      อีกทั้งยังรู้สึกอยากปล่อยวางเสียบ้าง..
      แต่ถึงกระนั้นก็คิดว่าต้องพูดคุยกับชุนหลันให้รู้เรื่องราว  อย่างน้อยๆก็อยากจะทราบเหตุผลที่แท้จริงว่าเหตุใดถึงนำเคล็ดวิชามารเล่มนี้หยิบยื่นให้แก่มัน
      ไท่หยางค่อยๆขยับกายลุกขึ้นก่อนดึงผ้าห่มคลุมร่างของจิ้งจอกน้อยให้อย่างเบามือ  จากนั้นจัดการแต่งตัวให้มิดชิดเรียบร้อย  ครานี้ตั้งใจว่าจะคุยกับพี่รองคนนี้ให้รู้เรื่องเสียที  จึงคิดจะนำกระบี่ไปด้วยเผื่อไว้ว่าจะเจอกับพี่ใหญ่  จะได้เอาไปเป็นเครื่องป้องกันก่อนที่จะถูกเตะตายเสียก่อน
      ดวงเนตรสีน้ำตาลมองจิ้งจอกน้อยที่หลับสนิทเป็นครั้งสุดท้าย  ความรู้สึกบางประการเกิดขึ้นในจิตใจ
      แน่นอนว่าตอนนี้มันย่อมมีมากกว่าแค่ความเวทนาสงสาร
      แต่ถ้าหากยังมีพี่รองติดค้างอยู่ในหัวใจมันก็มิอาจเปิดใจให้ใครได้อย่างจริงจัง  ตอนนี้มันจึงต้องรู้ความจริงให้ได้ว่าเรื่องราวระหว่างพี่รองและพี่ใหญ่เป็นเช่นไร
      ไท่หยางคิดเช่นนี้แล้วก็ให้นึกหวาดหวั่นจนเผลอเอ่ยออกมา
      “พี่รอง..ท่านคงไม่ใจร้ายกับข้ากระมัง”
      สุดท้ายเมื่อจัดการทุกอย่างเรียบร้อยไท่หยางจึงค่อยๆเดินจากไปอย่างเงียบกริบเพื่อจะได้ไม่รบกวนคนที่พักผ่อน มันเดินเข้าไปหยิบกระบี่ในห้องโถงก่อนย้อนกลับออกไปทางเดิม
      ระหว่างที่ไท่หยางออกไปนั้น  จิ้งจอกน้อยผู้หลับใหลอยู่ก็ค่อยๆเบิกดวงเนตรขึ้น  มันกำมือแน่นด้วยความเจ็บช้ำใจอย่างมิเคยเป็นมาก่อน  ตอนนี้มันทราบดีแล้วว่าต่อให้ยื้อไว้สักแค่ไหนก็มิอาจรั้งไท่หยางได้สำเร็จ
      “พี่ไท่หยาง..พี่รองของท่านช่างโชคดีนัก”
      ถิงถิงเอ่ยเสียงเบาหวิว  หยาดน้ำใสร่วงหล่นเป็นสาย
      ความทรมานเพราะถูกหมางเมินเป็นเช่นนี้เอง



จบตอนจ้า
:call:

ออฟไลน์ moobarpalang

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1081
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +185/-6
มาต่อไวๆนะ

jinglan

  • บุคคลทั่วไป
งื้อ สงสารถิงถิง    :m15: :sad11:
ยอมทุกอย่างเลย ไท่หยางโหดร้ายเกินไปแล้ว  :m31: :m16:

ออฟไลน์ murasakisama

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1489
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +236/-4

ออฟไลน์ cancan

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1168
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +581/-0
  ตอนที่6

   ไท่หยางเร่งรุดกลับมายังเรือนพักของตู๋เสือผู้เป็นนาย  ตอนนี้เรือนพักสงบเงียบ มีเพียงสื่อเสินและชุนหลันที่ยังพักอาศัยและดูแลความเรียบร้อย 
      ร่างสูงในชุดเทามิรอช้า  มันรีบเดินเข้าทางลานหน้าบ้านก่อนผ่านระเบียงไม้มุ่งไปทางห้องของชุนหลัน   ตอนนี้ท้องฟ้าสว่างดีแล้ว  อีกทั้งหิมะที่จับตัวหนาก็เริ่มละลายอย่างเห็นได้ชัด   ไท่หยางจำได้ดีว่าช่วงนี้ชุนหลันมักจะตื่นขึ้นมานั่งจิบชาอ่านบทกลอนหรือท่องปรัชญา  ดังนั้นเมื่อเห็นว่าประตูห้องของชุนหลันแง้มอยู่จึงถือวิสาสะเข้าไป
      เมื่อเปิดประตูห้องเข้ามาไท่หยางก็ต้องตกตะลึงกับภาพตรงหน้า  มือข้างที่กำกระบี่อ่อนแรงจนเกือบทำตกลงบนพื้น
      ชุนหลันหลับตาซึมซับความอิ่มเอิบ  ก่อนปลดปล่อยความสุขหยาดสุดท้ายเข้าไปในร่างกายของใครอีกคน  ใบหน้างดงามดุจเทพยดาปรากฏเม็ดเหงื่อแพรวพราว   มันหันมามองน้องชายที่ยืนตัวแข็งทื่อด้วยสายตาเย็นชา ก่อนก้มลงช้อนร่างพี่ใหญ่ที่สลบไสลตัวอ่อนขึ้นด้วยลำแขนทั้งสองข้าง   ตอนนั้นเองบางสิ่งบางอย่างของชุนหลันก็แยกออกจากร่างของสื่อเสินที่ยังคงนอนหลับตานิ่งด้วยใบหน้าซีดเซียว   เส้นผมดำขลับตกสยายปกคลุมรอบโครงหน้าหล่อเหลา
      ชุนหลันค่อยวางร่างสื่อเสินที่สิ้นสติลงบนเตียงก่อนห่มผ้าให้เรียบร้อย  หลังจากนั้นก็มิวายจุมพิตแผ่วเบาบนหน้าผากของสื่อเสินด้วยความรักใคร่
      การกระทำของชุนหลันเป็นไปอย่างเนือบนาบมิรีบร้อน  มันทำราวกับว่าในห้องนั้นมิได้มีบุคคลที่สามยืนอยู่ด้วย   จวบจนเมื่อมันหันมามองไท่หยางด้วยดวงตาเย็นชาก่อนกล่าวเสียงเรียบแก่ผู้น้อง
      “หากเจ้าไม่รีบร้อน  ขอข้าแต่งตัวให้เรียบร้อยก่อนจะได้หรือไม่”
      ไท่หยางมองร่างเปลือยเปล่าของพี่ชายที่ตอนนี้คล้ายมีเลือดหล่อเลี้ยงจนผิวขาวออกสีอมชมพูเหมือนคนที่สุขภาพดีสมบูรณ์ทุกประการ  มันกลืนน้ำลายด้วยความยากลำบาก ก่อนก้มหน้าเพื่อเป็นเชิงว่ามันจะออกไปรอที่ด้านนอก
      ชุนหลันใช้เวลาอยู่ชั่วครู่ก็แต่งตัวเรียบร้อย  สุดท้ายจึงเปิดประตูออกไปหาน้องชายตัวดี
      ฝ่ายไท่หยางเมื่อเห็นชุนหลันออกมาพบก็ให้รู้สึกลำคอตีบตันมิอาจพูดอันใด
      ดังนั้นคนที่เปิดฉากอย่างตรงประเด็นจึงเป็นชุนหลัน
      “เมื่อเห็นแบบนี้แล้ว  เจ้าคิดเช่นไร?”ชุนหลันเอ่ยเสียงนุ่มนวล
      “ข้า...” อีกฝ่ายกลับวาจาติดขัด
      “เข้าใจแล้วสินะ  ว่าพี่ใหญ่มิได้บังคับข้า”
      “.....”ไท่หยางก้มหน้า  ความสับสนบางประการทำให้ต้องขมวดคิ้วขบกรามแน่นขึ้น
      “เจ้าชอบข้ามิได้หรอก  เพราะเจ้าไม่เคยเข้าใจข้า”
      ไท่หยางได้ฟังดังนั้นมันก็เงยหน้าขึ้นมองชุนหลันผู้พี่ด้วยความฉงนสงสัย
      “ข้า..ไม่เข้าใจท่าน?”
      ชุนหลันยิ้มดวงตาเป็นประกาย ก่อนเอื้อยเอ่ยอย่างสบายอารมณ์
      “ใช่...สิ่งที่เจ้าเห็นก็คือตัวตนของข้า  หากแต่นั่นมิใช่ทั้งหมด  ไท่หยางเอ๋ย..พี่รองเช่นข้าไม่ได้ดีเลิศเหมือนที่เจ้าจินตนาการไว้หรอก”
      “ข้าก็รู้  ไม่มีผู้ใดดีเลิศ” ไท่หยางยังคงแย้งเสียงอ่อย
      ชุนหลันส่ายหน้าช้าๆก่อนระบายลมหายใจเหนื่อยอ่อน เพราะความดื้อดึงของใครอีกคน
      “นั่นล่ะ ที่ข้าบอกเจ้าแล้ว ว่าเจ้าไม่เข้าใจอะไรเลย  เจ้าน่าจะฟังกุ้ยหลินบ้าง  ถึงมันจะปากร้ายสักหน่อย แต่ก็ฉลาดใช้ได้”
      “หือ.. น้องเล็กก็รู้เรื่องว่าพี่ใหญ่โดนท่าน...” ไท่หยางกล่าวด้วยความแปลกใจ
      ชุนหลันส่ายหน้าอีกครั้ง  มันหัวเราะเสียงนุ่ม
      “ไม่..แต่หลินน้อยมีสัญชาตญาณที่ดี...มันรู้ว่าข้าไม่ใช่คนจริงใจอะไร”
      “แล้วเหตุใดท่านปล่อยให้ข้าเข้าใจผิดกันเล่า  ทำไมไม่เล่าความจริงแก่ข้า ..หรือเห็นเป็นเรื่องสนุกที่จะปั่นหัวข้าได้”ไท่หยางกำมือแน่น ตอนนี้กลับมีความคับแค้นบางประการ
      “หึๆข้ายอมรับ  ว่าใบหน้าดื้อรั้นของเจ้าช่างเร้าใจดีนัก” ชุนหลันกล่าวเสียงเรียบ  หากแต่ดวงตากลับเป็นประกายอำมหิต
      “พี่รอง?!” ไท่หยางครางด้วยความตกตะลึง
      “หึ..ข้าบอกความจริงไม่ได้  เพราะสื่นเสินไม่ต้องการเช่นนั้น  เจ้าก็รู้พี่ใหญ่นอกจากจะเหี้ยมโหดเข้มงวด เขายังหยิ่งในศักดิ์ศรี  หากนำเรื่องแปลกประหลาดเช่นนี้ไปป่าวประกาศโพนทะนาข้ามิโดนเขาเตะตายหรอกรึ  หรือแม้แต่เจ้า  หากรู้ความจริงว่าเป็นเช่นไร  เขาคงเล่นงานเจ้ามิยั้งมือแน่แล้ว” ชุนหลันกล่าวเสียงเครียดก่อนเงียบไปสักครู่  พอเห็นว่าไท่หยางไม่ได้เถียงกลับจึงเริ่มพูดต่อ
      “ข้าเองก็เฝ้ารอว่าเมื่อไหร่เจ้าจะใจกล้าพอที่จะยอมรับความจริง  หากเจ้าแอบดูจนรู้เรื่องตั้งแต่แรก  ป่านนี้ก็มิต้องมีใครยุ่งยากใจ”
      “พี่ท่านรู้?”
      “หึ..เจ้าคิดว่าข้าเป็นตัวโง่งมรึไง  ผู้อื่นแอบดูความเคลื่อนไหวอยู่ด้านนอกไฉนข้าจะไม่รู้”
      “ข้า..” ไท่หยางให้ละอายใจนัก มันมิคิดว่าพี่รองจะรู้มาโดยตลอดว่ามันแอบดูเขาอยู่บนคาคบไม้เป็นประจำ
      “ช่างเถอะเอาเป็นว่า เมื่อรู้ทุกอย่างกระจ่างแล้วก็เหยียบเรื่องนี้ไว้ อย่าให้พี่ใหญ่ระแคะระคายเป็นอันขาด  ส่วนข้านั้นคงรับเจ้าได้แค่ความเป็นพี่น้อง  เพราะคนที่อยู่ในใจข้ามีเพียงสื่อเสินเท่านั้น”ผู้เป็นพี่กล่าวจริงจัง
      ไท่หยางถอนหายใจแล้วก็ต้องเอื้อยเอ่ยขึ้นว่า
      “เช่นนั้นข้าขอถามท่านอีกหนึ่งข้อ”
      “ว่ามาเถิด”
      “เหตุใดถึงเอาเคล็ดวิชามารให้แก่ข้า?”
      เมื่อชุนหลันได้ฟังคำถามของไท่หยางก็ดวงตาเป็นประกายอีกครั้ง  มันยิ้มเจ้าเล่ห์ก่อนเฉลยความจริง
      “เพราะมันช่วยหยุดเจ้ามิให้มายุ่งกับข้าและสื่อเสินได้    และอีกประการหนึ่งก็คือ เจ้าไม่มีทางฝึกสำเร็จ  เพราะมันเป็นเคล็ดวิชาที่ใช้พลังสายเย็นควบคุมพลังสายร้อน  เจ้าที่ฝึกพลังสายร้อนมาตั้งแต่ต้นมิสามารถบรรลุเคล็ดวิชานี้ได้  หากดันทุรังฝึกฝนก็มีแต่จะทำให้ธาตุไฟเข้าแทรก  สุดท้ายไม่กลายเป็นมารก็ต้องพิการเป็นบ้า  นี่คือเหตุผลของข้า  เข้าใจแล้วใช่หรือไม่”
      “........” ไท่หยางสุดจะเอ่ยอันใดออกมา มันขมวดคิ้วมุ่นก้มหน้านิ่ง
      “เมื่อเรื่องที่ค้างคาก็พูดกันไปหมดแล้ว  เช่นนี้ข้าคงต้องขอตัวเข้าไปดูพี่ใหญ่ก่อน    ส่วนเจ้า  เมื่อรู้ว่าเคล็ดวิชานั้นไม่มีประโยชน์อันใดก็จงอย่าฝึกต่อ  รวมทั้งเลิกสร้างปัญหาแก่ข้าและพี่ใหญ่  เจ้าจะคิดอย่างไรกับข้าก็เชิญ  จะโกรธเกลียดกันข้าก็จะไม่ว่า  แต่สำหรับสื่อเสิน  ข้าว่าเขายังเอ็นดูเจ้าอยู่มากทีเดียว ..” ชุนหลันพูดแก่น้องชาย  มันมองไท่หยางอย่างพิจารณาแล้วหันหลังกลับเข้าห้อง”
      ฝ่ายไท่หยางนั้นก็มีสีหน้าเคร่งเครียด  มันยืนนิ่งอยู่พักใหญ่จนสุดท้ายก็ถอนลมหายใจออกมา  ร่างสูงในชุดเทาหมุนกายก่อนเดินกลับออกไปด้านนอก  ดวงตาสีน้ำตาลเลื่อนลอย  เมื่อเห็นพี่ชายที่แสนดีอย่างชุนหลันเป็นเช่นนี้มันก็ให้รู้สึกเคว้งคว้าง
      เป็นเช่นที่กุ้ยหลินว่าไว้ไม่มีผิด
      มันคือตัวโง่งมที่เห็นกงจักรเป็นดอกบัว
      ไท่หยางถอนหายใจเหนื่อยอ่อน  ใครๆต่างพากันบอกว่ามันเป็นพวกหัวดื้อจอมรั้นมิฟังเหตุผล  แต่กาลนี้กลับเป็นเช่นนั้นไม่  ด้วยเพราะมันก็รู้ดีว่าตนเองมีสติปัญญามิใช่ชั่ว  เมื่อทุกอย่างกระจ่างแจ้งเช่นนี้เหตุใดยังจะต้องดื้อดึงจมปรักอยู่กับความคิดของตนเอง
      แต่ที่น่าแปลกก็คือ  ตอนนี้มันกลับตัดใจจากชุนหลันได้อย่างง่ายดาย  อีกทั้งยังมิได้โกรธเคืองว้าวุ่นอันใดอีก  สองเท้าที่ย่ำผ่านหิมะตรงเข้าป่าลึกเบื้องหน้านั้นกำลังก้าวอย่างมั่นคง
      ครานี้มิใช่ร่างกายนำพา
      หากแต่หัวใจกำลังนำพา
      ตัดสินใจทิ้งเรื่องวุ่นๆไว้เบื้องหลัง
      สุดปลายทางข้างหน้าคือใครคนหนึ่งที่มันเริ่มห่วงใย
      ไท่หยางเดินเข้าปากถ้ำด้วยความรีบร้อน  แม้รู้ว่าจิ้งจอกน้อยจะต้องนั่งรออย่างทุกครั้ง  แต่ครานี้มันอยากจะไปให้เห็นเจ้าจอมจุ้นโดยเร็ว  ก่อนจากมานั้นเกิดเรื่องราวมากมาย  มันอดคิดไม่ได้ว่าถิงถิงอาจขุ่นเคือง
      แต่เมื่อเดินเข้าไปถึงในห้องที่จัดไว้  บนแท่นหินกลับพบแต่กองผ้าห่ม  ไท่หยางมองสภาพยุ่งเหยิงเบื้องหน้า  บนพื้นตรงแท่นหินยังปรากฏเสื้อผ้าของจิ้งจอกน้อยที่ถูกฉีกทึ้งไม่เหลือชิ้นดี
      เพียงแค่เห็นเช่นนั้นก็ให้รู้สึกเหมือนหัวใจถูกบีบอัด
      เจ้าจิ้งจอกน้อยไปหลบซ่อนอยู่ที่ใด  หรือครานี้มันจะโกรธจนหนีหน้ากันไปแล้ว
      ไท่หยางให้ว้าวุ่นใจ  มันเดินเข้าออกถ้ำด้านนอกและด้านในเพื่อตรวจดูให้รู้แน่ว่าถิงถิงยังอยู่ในนี้หรือไม่  ร่างสูงใหญ่เหมือนหนูติดจั่น  หลังจากวิ่งหาเจ้าจิ้งจอกตัวน้อยอยู่หลายรอบก็ไม่พบแม้แต่เงา
      เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ถึงกับทำให้เดินซวนเซก่อนทิ้งกายลงนั่งบนแท่นหินราวกับไร้เรี่ยวแรง
      ไท่หยางก้มหน้ากุมขมับ  มิคิดว่าเพียงแค่ไม่เห็นหน้าถิงถิงน้อยแล้วจะรู้สึกกังวลใจเช่นนี้
      ดวงเนตรสีน้ำตาลเกร็งเขม็งก่อนเหลือบมองกองผ้าห่มที่อยู่ด้านข้าง  กลิ่นอายบางอย่างยังคงอบอวลให้วาบหวามและคำนึงถึง  มือแกร่งเอื้อมไปสัมผัสผืนผ้าด้วยความคิดคำนึง  ก่อนหน้านั้นผ้าผืนนี้มิใช่หรือที่มันเป็นคนหยิบขึ้นคลุมร่างน้อยๆของถิงถิง
      แต่แล้วเมื่อฝ่ามือสัมผัสกับผ้าก็ให้รู้สึกผิดสังเกต  ไท่หยางขมวดคิ้วความรู้สึกคล้ายว่าภายใต้ผ้าห่มมีบางสิ่งที่เคลื่อนไหว  ฉับพลันมันจึงเลิกผ้าห่มขึ้น
      ดวงเนตรสีน้ำตาลเบิกขึ้นด้วยความดีใจ  เมื่อเห็นว่าสิ่งที่อยู่ภายใต้ผ้าห่มคือจิ้งจอกน้อยสีขาวปานหิมะกำลังนอนขดตัวมิรู้เรื่องราว
      “ถิงถิง  เจ้าอยู่นี่เอง”  ไท่หยางระบายยิ้มอ่อนๆ  มันเอื้อมมือออกไปตั้งใจว่าจะอุ้มเจ้าจิ้งจอกตัวเล็กขึ้นมาแนบอกอุ่น  แต่แล้วสิ่งมีชีวิตสีขาวกลับเมินเฉยมันมิเพียงดิ้นรนสุดแรง มิหนำซ้ำยังคลืบคลานหดตัวหนีไปนอนขดอยู่อีกด้าน  เจ้าจิ้งจอกน้อยนอนนิ่งดวงตาสีชมพูราวอัญมณีกลับปรือปรอยเย็นชามิได้สนใจไท่หยางเลยสักนิด
      ฝ่ายคนที่นั่งอยู่เมื่อเห็นเช่นนั้นก็รู้ว่ามันคงทำให้เจ้าของร่างปุกปุยเกิดความขุ่นเคืองขึ้นแล้ว  เพราะสำนึกว่าตนเองคงสร้างความเจ็บช้ำใจแก่ถิงถิงมิใช่น้อยจึงได้พยายามเปลี่ยนท่าทียอมเอาใจอีกฝ่าย  ซึ่งกิริยาเช่นนี้มันก็มิเคยทำต่อผู้ใดมาก่อน
      “ถิงถิง...เจ้าเป็นอันใด  โกรธข้าใช่หรือไม่  เหตุไฉนมิยอมคืนร่างมาพูดคุยกันให้รู้เรื่อง”  ไท่หยางยื่นมือเข้าลูบขนนุ่มนิ่มของถิงถิง  จิ้งจอกน้อยนอกจากไม่ตอบสนองแล้วยังหันหน้าหนีราวกับว่ามิอยากเห็นหน้าใครอีกคน  มันนอนซมเซาราวกับสิ่งมีชีวิตที่รอวาระสุดท้าย
      ไท่หยางถอนหายใจด้วยความกังวล  เมื่อถิงถิงไม่ยอมคืนร่างมันก็มิอาจกระทำการใดได้    เพราะหากจะพูดจากันให้รู้เรื่องก็ต้องใช่ร่างแปลงเช่นมนุษย์ถึงจะดีที่สุด  ยิ่งถิงถิงปิดกั้นตนเองเช่นนี้ก็เท่ากับว่าไม่เปิดโอกาสให้มันได้ปรับความเข้าใจ
      เวลาผ่านไปอีกสองวัน ไท่หยางก็ให้รู้สึกจนปัญญา  เพราะเจ้าจิ้งจอกยังคงนอนซมอยู่ที่เก่า  นอกจากไม่ลุกไปไหนแล้วมันยังมิยอมกินอาหาร   ไท่หยางให้รู้สึกกังวลมากขึ้นหลายเท่า   เพราะมันรู้ว่าร่างกายของถิงถิงอ่อนแอผิดปกติ  เมื่อไม่ยอมให้อะไรตกถึงท้องเช่นนี้ก็ยิ่งส่งผลร้าย      
      สุดท้ายแล้ววันที่สามไท่หยางก็บอกกับตนเองว่ามันจะไม่ทนเห็นสภาพถิงถิงเป็นเช่นนี้อีก  ไท่หยางค่อยๆอุ้มร่างเจ้าจิ้งจอกที่บัดนี้ดวงตาปิดสนิท  นอกจากร่างกายผ่ายผอมแล้ว ขนสีขาวสะอาดก็กำลังหลุดร่วง  เมื่อเห็นเช่นนี้ไท่หยางก็รู้สึกเจ็บปวดใจเป็นยิ่งนัก  มันค่อยๆหย่อนร่างของจิ้งจอกน้อยเข้าไปยังเสื้อชั้นในเพื่อมอบความอบอุ่นจากกายาให้  มีเพียงปลายจมูกแหลมของร่างเล็กเท่านั้น ที่ยืนออกมาเพื่อให้ได้รับอากาศไว้หายใจ  ไท่หยางหยิบกระบี่ขึ้น  มันกำหนดจิตผนึกกำลังก่อนใช่วิชาตัวเบาพริ้วไหวออกไปจากถ้ำอย่างรวดเร็ว
      ใช้เวลาเพียงไม่นานร่างของไท่หยางก็ร่อนลงตรงสถานที่แห่งหนึ่ง  รอบด้านเป็นพุ่มไม้หนาที่บัดนี้น้ำแข็งเริ่มละลายลงแล้ว  ผ่านแยกพุ่มไม้นั้นไปคือที่พักอาศัย  บริเวณนี้อยู่ในหุบเขาเป็นสถานที่ปิด ยากแก่ใครจะพบเห็นได้โดยง่าย
      ไท่หยางได้กลิ่นอายของมนุษย์มาจากที่พักแห่งนั้น  แต่นั่นมิใช่สิ่งที่มันสนใจ   ดวงเนตรสีน้ำตาลฉายแววจริงจังแน่วแน่  มันเอามือป้องปากก่อนส่งเสียงกู่ก้อง  เสียงนี้หากใครได้ยินก็รู้ว่าเป็นเสียงเห่าหอนของสุนัขป่าอันน่าขนลุก
      ไท่หยางยืนอยู่ตรงนั้นอีกครึ่งชั่วยามมันก็ได้ยินเสียงฝีเท้าคลื่นไหวราวภูติพราย  เสียงบางสิ่งเสียดสีกับกิ่งไม้แห้งๆที่แผ่ออกอยู่ทั่วทั้งบริเวณดังขึ้น  ก่อนที่จะมีใครคนหนึ่งโผล่พ้นออกมาจากพุ่มไม้น้ำแข็ง  ใบหน้าอ่อนหวานที่คุ้นเคยมองมาที่มันด้วยความประหลาดใจ
      “พี่ไท่หยาง..ท่านต้องการให้ข้าช่วยเหลืออันใด?”  ผู้มาใหม่นั้นคือกุ้นหลินนั่นเอง 
      เมื่อเห็นสีหน้าเคร่งเครียดระคนว้าวุ่นของพี่ชาย  หลินน้อยก็ลืมเลือนความหวาดหวั่นที่ไท่หยางรู้ว่ามันอยู่ที่นี่
ดวงตาสีน้ำตาลของพี่ชายแสดงความเหนื่อยล้าบางประการซึ่งกุ้ยหลินเองก็มิคิดว่าจะได้เห็นมาก่อน
      “เจ้าช่วยพูดกับเขาให้ข้าหน่อยเถิด..” ไท่หยางกระซิบเสียงเบาหวิวก่อนที่จะค่อยๆช้อนร่างสีขาวออกมาจากด้านในของเสื้อ
      “เฮ่ย! ไฉนถิงถิงถึงมีสภาพแบบนี้?”  หลินน้อยมองเจ้าจิ้งจอกอย่างมิเชื่อสายตา    เพียงแค่จากกันไม่นาน  ถิงถิงก็มีสภาพทรุดโทรมราวกับสุนัขป่วยใกล้ตาย
      “เป็นเพราะข้าไม่ดีเองที่ไปสร้างความขุ่นเคืองใจแก่ถิงถิง  สุดท้ายจึงกลายเป็นจิ้งจอกมิยอมกลับคืนอีก  ที่แย่กว่านั้นคือตอนนี้ร่างกายกลับทรุดโทรมอย่างรวดเร็ว  ข้าเห็นแล้วก็รู้ว่าหากอยู่เฉยถิงถิงก็คงไม่รอด  เช่นนี้จึงอยากให้เจ้าช่วยพูดให้เขากลับร่างในตอนที่ยังสามารถทำได้  เพื่อจะหาวิธีรักษา” ไท่หยางกล่าวเสียงเครียด
      “เอ่อ..แล้วพี่เล่า  ไปทำอะไรให้น้องถิงถิงโกรธถึงเพียงนี้?” กุ้ยหลินเอ่ยถามด้วยสีหน้าบูดบึ้ง
      “ข้า..เอ่อ..”
      “อันใดเล่า..ถ้าข้าไม่รู้แล้วจะช่วยท่านได้อย่างไรกัน” กุ้ยหลินรุกเร้า
      ไท่หยางถอนหายใจอีกครั้งก่อนยอมบอกตามความจริง
      “ข้าขืนใจถิงถิง”
      “หา!..”  กุ้ยหลินอุทานออกมาเสียงดัง  มันอ้าปากค้างดวงตากลมโตเบิกขึ้นเท่าไข่ห่าน  ก่อนที่จะเปลี่ยนทีท่าเป็นหงุดหงิดงุ้นง่าน  หลินน้อยขยี้เท้ากับพื้นด้วยความแค้นใจ
      “ข้าฝากให้ท่านดูแลถิงถิง  ไฉนมาย่ำยีน้องข้าถึงเพียงนี้  ท่านมิรู้หรอกว่าทำให้ถิงถิงเจ็บปวดแค่ไหน  ไหนบอกว่าหัวใจท่านมีพี่รองหมดแล้ว  เหตุใดยังยุ่งเกี่ยวกับถิงถิง”
      “เฮ้อ~  เรื่องนี้ช่างซับซ้อนนัก  ข้ายอมรับว่าทำผิดมหันต์อย่างมิน่าให้อภัย  ข้าใช้ถิงถิงระบายอารมณ์หงุดหงิดที่เกิดขึ้นเพราะพี่รอง  แต่ตอนนี้ทุกอย่างในใจข้ากระจ่างชัดแล้ว    หัวใจของข้าไม่มีพี่รองอีกแล้ว  และตอนนี้คนที่ข้าห่วงใยมากที่สุดคือถิงถิง  พอเห็นสภาพของถิงถิงเป็นเช่นนี้ข้าก็ยิ่งปวดใจ  ถิงถิงไม่ยอมกลายร่างข้าก็ไม่รู้จะพึ่งใคร  มีแต่เจ้านี่ล่ะ  ที่สนิทกับเขามากที่สุด  ข้าจึงอยากให้เจ้าช่วยเกลี้ยกล่อมถิงถิง”
      “เฮ้อ~เรื่องนี้เป็นเพราะท่านดื้อดึง  มีถิงถิงผู้แสนดีอยู่เคียงใกล้แต่ก็มิเคยชายตามอง  จนสุดท้ายเกิดเรื่องถึงจะมารู้ใจตนเอง” กุ้ยหลินกล่าวอย่างปลงๆ
      “อย่าเพิ่งพูดมากความ  ตอนนี้ข้ารู้สึกว่าถิงถิงอ่อนแรงมาก  ตั้งแต่เมื่อคืนก็มิได้ขยับเขยื้อนเอาแต่นอนนิ่ง  ข้าเลยไม่แน่ใจว่าถิงถิงยังรู้สึกตัวหรือไม่”  ไท่หยางกล่าวอย่างกังวล
      “ส่งถิงถิงมาให้ข้าเถอะ”  กุ้ยหลินเอื้อมมือรับถิงถิงมาโอบอุ้ม พอเห็นน้องเล็กร่างกายปวกเปียกเรียกเท่าไหร่ก็ไม่ขยับจึงรู้ว่าเจ้าจิ้งจอกอาการเพียบแล้ว  ดวงตาดำขลับเหลือบมองพวงหาที่สั้นลงอย่างเห็นได้ชัด  ด้วยสติปัญญาจึงคิดว่าที่ถิงถิงมีอาการเช่นนี้ต้องมาจากหางที่โดนตัดออก  มันตัดสินใจอยู่ชั่วครู่จึงบอกความจริงแก่ไท่หยาง
      “พี่ท่านสังเกตเห็นนี่หรือไม่?” หลินน้อยชี้พวงหางของถิงถิงให้ไท่หยางดู
      “อืม..มันเป็นอันใด?”  ไท่หยางนึกสงสัย  ตอนนี้เพิ่งสังเกตเห็นว่าพวงหางของเจ้าจิ้งจอกสั้นลงมากกว่าเดิม
      “อาจเป็นเพราะสิ่งนี้โดนตัดออก  จึงส่งผลกระทบต่อสุขภาพของถิงถิง”
      “หืม..ใช่โดนตัดนานแล้วหรือไม่?” ไท่หยางถามด้วยความครุ่นคิด
      “เมื่อเรื่องถึงขั้นนี้  ข้าคงต้องบอกตามตรง  เพราะถิงถิงมีดวงจิตกล้าแข็ง  ข้าคิดว่ามันเป็นประเภทบูชาความรัก  เมื่อมอบดวงใจให้ใครแล้วก็ซื่อตรง  ถิงถิงเป็นผู้ช่วยชีวิตท่านเอาไว้เมื่อตอนที่ท่านฝึกวิชาจนธาตุไฟเข้าแทรก  มันรักท่านมากจนถึงกับตัดหางส่วนหนึ่งทิ้ง  ถิงถิงบอกแก่ข้าว่าเลือดในหางเป็นเหมือนยาที่มีสรรพคุณวิเศษสามารถช่วยท่านได้  หลังจากที่ถิงถิงลอบสกัดจุดข้ามันก็ตัดหางตนเองออกก่อนให้ท่านดื่มเลือด  มิคาดหลังจากนั้นท่านกลับมีอาการดีวันดีคืน  ส่วนถิงถิงกลับตรงกันข้าม”  กุ้นหลินส่ายหน้าช้าๆก่อนเอามือลูบเส้นขนนุ่มนิ่ม  แต่แล้วก็ต้องพบว่าขนส่วนใหญ่ร่วงติดมือมาด้วย
      เมื่อไท่หยางได้ฟังเช่นนั้นก็รู้สึกคล้ายกับถูกค้อนเหล็กทุบหัว  มันแสดงท่าทางตกตะลึงอย่างเห็นได้ชัด  ร่างสูงใหญ่ซวนเซเล็กน้อย  ความรู้สึกหลากหลายปะปนอยู่ในจิตใจให้วุ่นวาย
      “เช่นนี้แล้วข้าควรทำอย่างไรดี  ข้ามิอาจปล่อยให้จิ้งจอกน้อยทุกข์ทรมานเพราะตัวข้าเป็นต้นเหตุ  เจ้าบอกข้าสิน้องเล็ก  ว่าข้าควรทำเช่นไร..”  ไท่หยางกล่าวเสียงสั่นเครือ  ดวงเนตรสีน้ำตาลฉายแววสับสนอย่างมิเคยเป็นมาก่อน
      “พี่ไท่หยางสงบอารมณ์ก่อน    ข้าพอจะรู้ว่าใครคือคนที่จะช่วยท่านได้ในตอนนี้” กุ้ยหลินกล่าวเสียงเครียด
      “ใครกัน?”  ไท่หยางถามไถ่อย่างรวดเร็ว
      “ข้าก็ไม่แน่ใจ  เพียงแต่คิดว่าเขาน่าจะพอมีวิธี  แต่ก่อนอื่น  ข้าขอถามท่านสักข้อ”
      “ว่ามาเถอะ  น้องเล็ก”
      “ท่าคิดอย่างไรกับถิงถิง?”  กุ้ยหลินเอ่ยถามอย่างชัดเจน  ดวงตาดำขลับมองอีกฝ่ายเพื่อหาคำตอบ
      “ข้า..ก็มิอาจตอบได้ แต่ตอนนี้ข้าเข้าใจอยู่อย่างก็คือ  ความรู้สึกที่ข้ามีต่อชุนหลันคือความลุ่มหลง  ข้าหลับหูหลับตาชื่นชอบเขาโดยมิได้ตรึกตรองอันใด  เมื่อเป็นเช่นนี้ข้าก็มิอาจบอกเจ้าได้ว่าข้ารู้สึกอย่างไรต่อถิงถิง  เพราะข้าไม่เข้าใจว่าความรักแท้จริงนั้นเป็นเช่นไร  ข้ารู้เพียงแต่ว่า  เมื่อเห็นถิงถิงเจ็บป่วยเช่นนี้  ข้าก็รู้สึกเจ็บด้วย    สภาพของเขากำลังทำให้จิตใจของข้าอ่อนแอ  เช่นนี้แล้วข้าจึงอยากดูแลเขา  ข้าอยากให้ถิงถิงฟื้นขึ้นมาเพื่อที่เราได้ปรับความเข้าใจต่อกัน”  ไท่หยางกล่าวตามความเป็นจริง
      กุ้ยหลินพยักหน้าเล็กน้อย  ก่อนที่จะเริ่มเอื้อนเอ่ย
      “อืม..ถ้าหากท่านอยากดูแลถิงถิง  ข้าว่าสิ่งแรกที่ท่านต้องกระทำคือการลดทิฐิ  เพราะคนที่ข้าคิดว่าสามารถช่วยถิงถิงได้ก็คือพี่ใหญ่    พี่ไท่หยาง...ท่านต้องลืมเรื่องบาดหมางที่มีต่อพี่ใหญ่ให้หมดสิ้น  แล้วพาถิงถิงไปขอคำปรึกษาเพื่อรับความช่วยเหลือจากเขา  ข้าบอกท่านแล้วเช่นนี้  ท่านคิดว่าตนเองทำได้หรือไม่?”
      “ได้สิ..ข้าทำได้แน่นอน” ไท่หยางตอบกลับอย่างรวดเร็ว

จบตอน




เดี๋ยวพรุ่งนี้จะลงให้จบเลยนะ  ขอบคุณล่วงหน้าที่เข้ามาอุดหนุน

ออฟไลน์ JuDaZz

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 35
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-0
สนุกมากเลย เขียนเก่งมากเลยค่ะ

Peppermint

  • บุคคลทั่วไป
ทำไๆมคู่คนพี่มันตรงกันข้ามกันล่ะนิ อยากเห็นพี่ใหญ่ร๊กพี่รองง่ะ -..-;
เปฝกำลังใจให้ค่ะ

ออฟไลน์ BExBOY

  • กัญชาเป็นยาเสพติด โปรอ่านฉลากก่อนสูบ
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 425
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-0
โอ้ สนุกมากค่ะ
ตอนแรกไม่คอยชอบพี่รอง แต่พอรู้ว่าเฮียเป็นคิง....อึ่งแดก :a5:
แม่ง โคตรคาดไม่ถึงเลยวุ่ย ร้ายกาจมากเฮีย ก๊าก :z3:
สงสารถิงน้อย

รอติดตามอยู่จ้า :z2: :z2: :z2:

จิ้ม :z13:

jinglan

  • บุคคลทั่วไป
ทำไมคู่พี่ใหญ่กับพี่รองถึง.. . :a5:

ไท่หยาง ถ้าถิงๆเป็นไรไปนะ น่าดู :angry2:

ออฟไลน์ Nus@nT@R@

  • Life is Investment
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5589
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +456/-11

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ zitronen-tee

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 320
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
    • https://www.facebook.com/DaisyLetter
พี่ใหญ่เป็นคนคาบถิงถิงมาใช่รึเปล่า แล้วก็เผลอทำตกหายที่ไหนไม่รู้ในตอนที่สอง

ออฟไลน์ takara

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4145
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +379/-13
ผิดคาดเลยแฮะ แต่ก้อลุ้นดีนะ

ออฟไลน์ cancan

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1168
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +581/-0
ตอนสุดท้าย


  เมื่อแยกกับกุ้ยหลิน  ไท่หยางก็พาถิงถิงไปที่เรือนพักของตู๋เสอ   มันรู้สึกโล่งใจเป็นยิ่งนักเมื่อเห็นว่าตนเองมิได้มาขัดจังหวะเวลาสำคัญของสื่อเสินและชุนหลันเช่นครั้งที่แล้ว 
      ชุนหลันนั้นเมื่อเห็นว่าไท่หยางกลับมาด้วยความรีบร้อนก็มิเอ่ยอันใด  ได้แต่คอยจับตาสังเกตว่าพี่ใหญ่จะดำเนินการอย่างไร   ฝ่ายสื่อเสินตอนแรกก็ตั้งท่าเตรียมรับการจู่โจม  เพราะรู้ว่าน้องคนนี้ใจร้อนหากมีโทสะเข้าครอบงำรุนแรงก็มักจะใช้กำลังก่อนไถ่ถาม  แต่ด้วยความที่เป็นคนสุขุมเยือกเย็นและรู้จักสังเกตจึงเห็นว่าน้องชายมาครั้งนี้คงมิได้คิดจะคุกคาม   หากแต่เป็นจุดประสงค์อื่นที่มันยังมิรู้แน่ชัด
      “พี่ใหญ่  ข้ามาหาท่าน”  ไท่หยางคารวะพี่ใหญ่ก่อนรีบเอ่ยความ
      “อืม..เจ้าฝึกวิชาสำเร็จแล้วสิ” สื่อเสินกล่าวเสียงเรียบ  ก่อนผลักกระดานหมากล้อมออกไปเล็กน้อยเพื่อเป็นสัญญาณบอกแก่ชุนหลันว่ามันจะไม่เล่นต่อแล้ว
      ฝ่ายไท่หยางกลับถอนลมหายใจเหนื่อยอ่อนมันเริ่มกล่าวแก่สื่อเสินอีกครั้ง
      “ข้ามาครั้งนี้มิได้ต้องการสู้กับท่าน...ข้าจะไม่ฝึกวิชานั้นอีกแล้ว”
      “หืม..เจ้าตัดใจจากชุนหลันแล้วรึไง?” สื่อเสินเลิกคิ้วด้วยความสงสัย
      “ข้า...” ไท่หยางขมวดคิ้วมุ่น  มันรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย ก่อนหลับตาลงและตั้งใจเรียบเรียงคำพูด
      “ข้าขอโทษพี่ใหญ่  ข้าผิดไปแล้วที่บังอาจไปล่วงเกินท่าน  ข้ามันน้องอกตัญญู  หากท่านจะตีข้ามันก็สมควรแล้ว”
      “หึๆ..วันนี้เจ้ามาแปลก  กินของผิดสำแดงมารึ”  สื่อเสินแกล้งพูดแดกดัน
      “ไม่..พี่ใหญ่  ที่ข้ามา ข้าต้องการขอโทษท่าน” ไท่หยางพูดเช่นนั้นแล้วก็นั่งลงคุกเข่าขอขมา 
      ฝ่ายชุนหลันเมื่อเห็นเหตุการณ์ระหว่างพี่ชายและน้องชายก็รู้สึกรำคาญมิอยากให้ยืดเยื้ออีกจึงเอ่ยแก่พี่ใหญ่ของมัน
      “พี่ท่าน  น้องมันสำนึกผิดแล้ว  อย่าได้ถือสาอีกเลย”
      สื่อเสินถอนลมหายใจ  มันมองใบหน้าซีดเซียวเหนื่อยล้าของไท่หยางแล้วก็ให้นึกเวทนา
      “เจ้าลุกขึ้นเถอะไท่หยาง  หากเจ้าคิดได้เช่นนี้ก็ดีแล้ว..”
      “ข้าขอบคุณพี่ใหญ่ยิ่งนัก” ไท่หยางเอ่ยด้วยความซาบซึ้ง
      “อืม..เมื่อรู้เรื่องกันแล้วเหตุใดยังไปนั่งคุกเข่าอยู่ตรงนั้น” สื่อเสินว่ากล่าวเสียงเรียบ
      “ที่มาหาท่านครั้งนี้  นอกจากจะมาขอโทษที่เคยล่วงเกินท่านแล้ว  ข้ายังมีเรื่องมารบกวนให้ท่านช่วย” ไท่หยางเอ่ยเสียงอ่อย
      สื่อเสินถอนหายใจเอือมระอาอีกครั้ง  น้องๆของมันก็เป็นเช่นนี้  ชอบก่อเรื่องราวไม่ว่างเว้น
      “มาเถอะ  มานั่งข้างๆกันแล้วเล่าความให้ข้าฟังโดยละเอียด”  พี่ใหญ่ว่ากล่าวแก่น้องชาย 
      ไท่หยางค่อยๆลุกขึ้น  มันนั่งลงข้างพี่ชายด้วยใบหน้าสำนึกผิด  ต่อจากนั้นจึงเริ่มเล่าเหตุการณ์ตั้งแต่ที่เข้าป่าไปฝึกวิชาจนได้เจอกับเจ้าจิ้งจอกน้อยนามว่าถิงถิง
      หลังจากนั่งฟังน้องชายเล่าเรื่องราวแล้วสื่อเสินที่รู้อยู่ตั้งแต่ต้นว่าไท่หยางซุกสิ่งใดไว้ในเสื้อก็เอ่ยสั่งการ
      “อืม..ที่แท้เรื่องราวเป็นเช่นนี้  เอาเถอะ  หากข้ามีความสามารถพอ ก็ถือว่าครั้งนี้เจ้าสิ่งนั้นโชคดียิ่งนัก  ตอนนี้เจ้าก็เอามันออกมาให้ข้าดูเถอะ”
      ฝ่ายไท่หยางจึงทำตามพี่ใหญ่  มันค่อยๆช้อนร่างสีขาวออกมาจากเสื้อ  แล้ววางลงบนโต๊ะ  จิ้งจอกน้อยนอนนิ่งมิไหวติง
      ส่วนชุนหลันนั้นเมื่อเห็นลูกจิ้งจอกขนสีขาวราวหิมะนอนสงบอยู่บนโต๊ะก็มองด้วยความสนใจ
      สื่อเสินมองสิ่งมีชีวิตเล็กๆนั้นด้วยใบหน้าเรียบเฉย  มันยื่นมือออกไปทาบทับ  เพียงแค่หนึ่งฝ่ามือของสื่อเสินก็สามารถบดบังร่างสีขาวได้เกือบหมดยกเว้นพวงหางที่ฟูฟ่อง
      ชุนหลันนั้นเมื่อสังเกตเห็นท่าทางของสื่อเสินก็ขมวดคิ้วสงสัย  ก่อนที่จะเบิกตาขึ้นด้วยความตกใจ  ดวงเนตรงดงามเขม็งเกร็งด้วยความริษยาบางประการ
      “สื่อเสิน..เจ้า”  ชุนหลันตวาดเสียงดัง  แต่มันก็มิอาจขัดขวางพี่ใหญ่ได้
      ฝ่ายไท่หยางเห็นท่าทางของพี่ชายทั้งสองก็รู้สึกสงสัย  มันมองดูด้วยความกังวล  เพราะมิรู้ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น  ระหว่างที่ชุนหลันกำลังโกรธจนใบหน้าเกร็งเขม็งไท่หยางก็สัมผัสได้ว่ารอบกายของพี่ใหญ่ถ่ายเท่พลังความร้อนบางประการ  แม้แต่มันที่อยู่ใกล้ๆก็รู้สึกได้ถึงความอุ่นที่คล้ายรัศมีรอบกายของสื่อเสิน
      หลังจากอดทนนั่งรออยู่ครึ่งชั่วยาม  ไท่หยางก็เห็นว่าพี่ใหญ่ค่อยๆลืมตาขึ้นก่อนถอนฝ่ามือออกจากร่างของถิงถิงซึ่งอยู่ในคราบของจิ้งจอกน้อย  พี่ใหญ่มีสีหน้ายิ้มพอใจในขณะที่พี่รองอย่างชุนหลันกลับบึ้งตึง
      “หึๆ เป็นอย่างที่คิดไว้มิผิดเพี้ยน”  สื่อเสินกล่าวเบาๆ 
      “เป็นอย่างไรบ้างพี่ท่าน”  ไท่หยางรีบเอ่ยถาม
      “น่าจะทำให้ดีขึ้นได้บ้าง โชคของมันที่ร่างกายมิได้ต่อต้านกัน”
      ฝ่ายน้องชายได้ฟังคำพูดวกวนเช่นนั้นก็ให้รู้สึกสับสน  แต่ก็อดดีใจมิได้ที่รู้ว่าพี่ใหญ่สามารถช่วยเจ้าจิ้งจอก
“จริงหรือพี่ใหญ่  แต่ไฉนยังมิยอมขยับกาย”  ไท่หยางสังเกตร่างสีขาวด้วยความเคลือบแคลง
แต่แล้วมันก็ต้องอ้าปากค้างตกใจกับการกระทำของพี่ใหญ่ 
      สื่อเสินดีดหน้าผากของเจ้าจิ้งจอกน้อยอยู่สองสามที  ความเจ็บปวดครั้งนี้ทำเอามันร้องครางหงิงๆ  ก่อนยอมขยับกายเป็นครั้งแรก
      “เลิกเสแสร้งแล้วรีบคืนร่างซะ  ข้าไม่คิดทำอันใดกับเจ้าแล้ว นี่เห็นเป็นเพราะเจ้ามีบุญคุณช่วยชีวิตน้องข้าไว้  ครานี้ข้าก็จะช่วยเจ้า จะได้ไม่ติดค้างกันอีก”สื่อเสินกล่าวกับจิ้งจอกน้อยเสียงเรียบ
      เมื่อจิ้งจอกน้อยเปิดตาแล้วเห็นใบหน้าของสื่อเสินก็ต้องร้องหงิงๆตัวสั่นเทา    ครั้งนี้มันยอมคลานสี่ขาเข้าไปซุกอยู่ในวงแขนของไท่หยางก่อนทำดวงตาสีชมพูวิบวับเพื่อแอบมองใบหน้าเรียบเฉยของสื่อเสิน
      ฝ่ายชุนหลันนั้นเมื่อเห็นอัญมณีสีสวยที่กลิ้งกลอกคอยแอบมองนั้นก็ให้เกิดความสนใจเป็นยิ่งนัก
      “ข้าไม่ทำอะไรเจ้าหรอกน่า  แต่ถ้าหากยังมิยอมคืนร่าง  ข้าก็จะจับเจ้าถลกหนังเก็บขนสีขาวนั่นเอาไว้  ส่วนหางครึ่งหนึ่งของเจ้าข้าก็จะเอาไปต้มเป็นยาให้ชุนหลัน”
      “พี่ใหญ่”  ไท่หยางครางเสียงหลง  มันกระชับอ้อมแขนที่มีเจ้าจิ้งจอกซุกอยู่ในนั้น
      ชุนหลันฟังพี่ใหญ่อยู่ชั่วครู่ก็หรี่ตาคิดคำนึง  เพียงไม่นานก็เอื้อนเอ่ยออกมาเสียงดัง
      “พี่ใหญ่  สิ่งนี้ใช่หรือไม่  ที่ท่านบอกว่าเป็นของวิเศษที่ทำหล่นหายเมื่อครั้งนั้น”
      “...” สื่อเสินมิกล่าวอันใด นอกจากพยักหน้า   
      “พวกท่านพูดเรื่องอันใดกัน” ไท่หยางถามผู้พี่ด้วยความงุนงง
      “หึๆ  น้องรอง  สิ่งที่อยู่ในอ้อมแขนของเจ้า  แท้จริงแล้วพี่ใหญ่เป็นคนนำมา  เขาตั้งใจจะยกมันให้แก่ข้า”  ชุนหลันเอื้อนเอ่ยด้วยดวงตาพราวระยับ
      ไท่หยางได้ฟังเช่นนั้นก็ตาเหลือกลนลาน   หากเป็นจริง  ครานี้ถิงถิงก็แย่แล้ว
      “อืม..เจ้านี่ข้าได้มันมาจากพรานป่าผู้หนึ่งตอนที่ออกไปสืบเสาะเรื่องราวให้แก่นายท่าน   เพียงแว่บแรกที่ได้สัมผัสกลิ่นอายข้าก็รู้ว่ามันคือปิศาจจิ้งจอกหิมะ  ความวิเศษอยู่ที่หางนั่น  เลือดและเนื้อในหางของมันหากน้ำมาปรุงเป็นยาก็มิต่างอะไรกับยาอายุวัฒนะ  มีสรรพคุณเสริมสร้างกำลังวังชา  ที่สำคัญ  มันช่วยเจ้าได้ ชุนหลัน”
       ชุนหลันนั้นแม้ใบหน้าจะเรียบเฉยหากแต่ดวงตากลับแวววาวคล้ายลูกแก้ว  ไท่หยางลอบมองสีหน้าของพี่ชายผู้นี้แล้วก็ให้รู้สึกเสียวสันหลังแทนถิงถิง  จึงต้องอุ้มช้อนเจ้าจิ้งจอกไว้อย่างมั่นคง  จากนั้นเอ่ยถามเรื่องราวที่ค้างคาใจมานาน
      “เอ่อ  พี่ใหญ่  มิทราบว่าพี่รองล้มป่วยเป็นอันใด?”
      “หึๆ  ชุนหลัน  ไท่ตี้ตี้(น้องไท่)อยากรู้เรื่องของเจ้า  จะอนุญาตให้ข้าพูดหรือไม่?”  สื่อเสินถามความเห็นแก่ชุนหลัน
      “ตามใจท่านเถอะ” ฝ่ายนั้นเหลือบมองเล็กน้อยก่อนเอ่ยปากอนุญาต
      “พี่เจ้าคนนี้เดิมทีก็แข็งแรง  แต่ด้วยความซุกซนและฮึกเหิมเกินกำลัง  เมื่อแปดปีก่อนชุนหลันประมือกับแม่ชีผู้หนึ่ง  มิคาดว่านางฝีมือแก่กล้า สุดท้ายชุนหลันโดนฝ่ามือของนาง  ทำให้ต้องกระอักเลือดออกมาถึงเก้าครั้งติดต่อกัน    โชคดีที่นายท่านมีความรู้เรื่องยาจึงช่วยดูแลให้จนมันหลุดพ้นจากเงื้อมมือของเซ็งฮีไต๋ตี๋(ยมบาล)  แต่ถึงกระนั้นร่างกายก็ไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว  ฝ่ามือคู่นั้นของนางชีมีพิษสงร้ายกาจ   เมื่อโดนเข้าหนึ่งครั้งก็แผ่พุ่งพลังเย็นคุกคามคล้ายเข็มพิษหนึ่งหมื่นเล่มเสียดแทงเข้ากระแสเลือดไหลเวียนมิจบสิ้น  จะขับออกให้ก็กระทำมิได้  มีเพียงยาของนายท่านที่ช่วยรักษาบาดแผลและความบอบช้ำภายใน”
      “เช่นนั้นพิษฝ่ามือที่ยังคงไหลเวียนอยู่ในร่างพี่รองใช่หรือไม่?”  ไท่หยางถามขึ้น
      “ใช่..นายท่านบอกว่าแม้ชีผู้นั้นมีจิตเมตตา  นางมิได้ลงมือเต็มกำลัง  เพียงมุ่งหวังแค่สั่งสอนและตัดโอกาสมิให้ชุนหลันไปก่อความวุ่นวายกับผู้ใดอีก  ฉะนั้นเมื่อเวลาผ่านไป  ร่างกายของเขาจึงคล้ายคนปกติ  มีเพียงแค่บางครั้งที่อ่อนแรงทรุดลง  แต่ถ้าหากควบคุมสติหมั่นกำหนดจิตบำเพ็ญเพียรแล้วโคจรพลังปราณให้ถูกวิธีก็จะไม่เป็นไร”  เมื่อพูดถึงตรงนี้สื่อเสินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้น
“แล้วอาการของถิงถิงเล่า  เป็นเช่นไร?” ไท่หยางถามแก่พี่ใหญ่
      “เดิมทีจิ้งจอกหิมะก็เป็นปิศาจบำเพ็ญเพียร  เพียงแค่ถูกตัดหางก็ไม่อาจทำให้ร่างกายอ่อนแรงถึงเพียงนี้  ข้าจึงคิดว่ามันคงมีเบื้องหลังอันใด  จึงทำให้ลมปราณข้างในมีปัญหามิต่างจากชุนหลัน  เช่นนี้ข้าจึงต้องบังคับขู่เข็ญให้มันคืนร่างจะได้สอบถามความจริงเพื่อหาวิธีแก้ไข” สื่อเสินอธิบาย
      ไท่หยางได้ยินเช่นนั้นก็วางเจ้าจิ้งจอกลงบนโต๊ะ  มันกระซิบเสียงนุ่มนวลหว่านล้อม
      “ถิงถิงน้อย  เจ้าคืนร่างก่อนเถอะ  พี่ใหญ่มิได้จะทำร้ายเจ้า  หากเขาเอ่ยปากจะช่วยเจ้า  นั่นหมายความว่าเขาต้องการทำเช่นนั้นจริงๆ   เจ้าเจ็บปวดครั้งนี้ข้าแทบเป็นบ้า  อย่าทำให้ข้ากังวลอีกเลย”
      ฝ่ายจิ้งจอกน้อยเมื่อเห็นสายตาเศร้าสร้อยของคนรักก็ให้รู้สึกสงสารจับจิต  สุดท้ายจึงตัดสินใจคืนร่างกลับเป็นร่างมนุษย์เช่นเดิม
      เพียงไม่กี่ชั่วอึดใจร่างสุนัขจิ้งจอกก็กลายเป็นร่างมนุษย์เปลือยเปล่าผิวขาวดุจดั่งหิมะ  ก่อนหน้านั้นได้สื่อเสินช่วยไว้  ตอนนี้จึงมีสีหน้าเปล่งปลั่งงดงามดูดีขึ้นบ้าง
      ไท่หยางตาโตตกใจ  มันรีบตะครุบร่างผอมของถิงถิงเอาไว้  ก่อนถอดเสื้อคลุมให้ใส่เพื่อปกปิดร่างไร้อาภรณ์  เมื่อลอบสังเกตก็แอบเห็นว่าบุคคลที่อันตรายต่อถิงถิงมากที่สุดในตอนนี้ก็คือชุนหลันนั่นเอง   ใบหน้าเย็นชาสูงส่งของพี่คนนี้เปลี่ยนไปทันทีเมื่อได้เห็นร่างเปลือยเปล่าของถิงถิง  ความพึงพอใจปรากฏออกมาอย่างชัดเจน
      แม้เป็นรอยยิ้มพริ้มพรายที่เปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ของชุนหลัน  แต่ไท่หยางกลับรู้สึกว่านั่นคือรอยยิ้มของมัจจุราช
      เมื่อได้เห็นแล้วก็ให้รู้สึกหวาดหวั่นอย่างประหลาด
      หลังจากถิงถิงยอมคืนร่าง  ไท่หยางก็กอดเอวมันไว้เคียงข้างก่อนเอ่ยออกมาเป็นคนแรก
      “พี่ใหญ่จะถามอันใดได้  กุ้ยหลินบอกว่าถิงถิงความจำเสื่อม  มิอาจเล่าเรื่องราวในอดีต” 
      “หึๆ..เป็นเช่นนั้นจริงรึ?”  สื่อเสินยกยิ้มมุมปาก ดวงตาเป็นประกายอำมหิต  มันใช้สายตาคาดคั้นจิ้งจอกน้อย  ฝ่ายนั้นเมื่อได้รับพลังคุกคามก็ย่นคอหดตัว  มือเล็กๆขาวๆรีบกอดลำแขนไท่หยางไว้แน่น ก่อนเอื้อนเอ่ยออกมาแผ่วเบา
      “เรียนพี่ท่านทั้งหลาย  ข้ามิได้ความจำเสื่อม  หากแต่จำเป็นต้องโป้ปด  เพราะรู้ว่าตนเองมีของดีติดตัว  ถ้าเล่าเรื่องราวความจริง  ก็ยิ่งเป็นภัยร้าย  ข้าเป็นคนต่างถิ่นไฉนจึงกล้าไปบอกผู้อื่นได้เล่าว่าตนเองเป็นจิ้งจอกหิมะ  เช่นนั้นแล้วข้าคงต้องมิอาจทำอันใด นอกจากนั่งระวังว่าจะมีผู้ใดมาลอบตัดหาง”
      “หึๆ..เช่นนั้นก็เล่าเรื่องราวของเจ้ามา  แท้จริงเจ้าชื่ออันใด” สื่อเสินเริ่มสอบสวน
      “เดิมทีข้าอยู่บนเทือกเขาสูงห่างไกลจากที่แห่งนี้  ข้ามีพี่น้องสิบคน  หากแต่ข้ามันอาภัพ  พอเกิดมาแม่ก็ตาย  เช่นนี้จึงทำให้ข้าถูกบิดาหมางเมินมิได้สนใจ  นอกจากมิได้ตั้งชื่อให้ยังต้องคอยเป็นเด็กรับใช้ของพี่ๆทั้งหลาย  โชคดียังมีพี่บางคนที่เมตตายอมสอนวรยุทธให้บ้าง  จนสุดท้ายวันหนึ่งข้าแอบได้ยินบิดาพูดคุยกับพี่ใหญ่  จึงได้ทราบว่าระหว่างตั้งท้องมารดาได้ฝึกวิชาชนิดหนึ่งมีความร้ายกาจทรงอนุภาพสามารถทำร้ายล้างศัตรูด้วยพลังเย็น  ด้วยเพราะความลุ่มหลงในวรยุทธทำให้มารดาของข้ามิยอมปล่อยวาง  แม้ตั้งท้องข้าจนใกล้คลอดก็ยังดันทุรังฝึกฝน  จนสุดท้ายตอนฝึกเกิดเจ็บท้องทำให้ลมปราณเดินผิดทิศทางธาตุไฟเข้าแทรก  เมื่อคลอดข้าออกมาก็ถึงแก่ความตาย  ส่วนข้านั้นก็ได้รับผลกระทบ  พลังเย็นที่นางฝึกฝนแทรกซึมเข้าร่างกายข้าตั้งแต่นั้น  มันเหมือนเนื้อร้ายรอวันกำเริบ  โชคดีที่จิ้งจอกหิมะเช่นข้ามีพลังลมปราณเกิดขึ้นที่หาง หากมีหางไว้ข้าก็ยังมิเป็นอันใด  เพียงแต่ฝึกวรยุทธโหกโหมรุนแรงมิได้  หลังจากข้าได้รู้ว่าเป็นต้นเหตุให้แม่ต้องตายก็เกิดความเสียใจจนหนีออกมา  มิคาดเจอพรานป่าฝีมือร้ายกาจ  มันสามารถจับข้าได้  ตั้งแต่ตอนนั้นข้าก็ถูกชะตาชักพาจนมาเจอพวกท่าน” ถิงถิงเอื้อนเอ่ยเสร็จแล้วก็ก้มหน้าเบียดกายเข้าใกล้ลำแขนของไท่หยางหวังเป็นที่พึ่งพิง
      “เป็นเช่นนี้นี่เอง..”สื่อเสินพยักหน้า
      “พี่ใหญ่รักษาถิงถิงได้แล้วใช่หรือไม่?”  ไท่หยางรีบถามด้วยความกระตือรือร้น
      “ยัง...ข้าแค่ชะลอเวลาให้เท่านั้น  อาการของจิ้งจอกตนนี้อาจจะหนักกว่าชุนหลัน”
      “แล้วข้าควรทำเช่นใด  ขอพี่ท่านโปรดชี้แนะ”  ไท่หยางมีสีหน้าเคร่งเครียด มันขบกรามแน่นราวกับพบความทุกข์ใหญ่หลวง  ถิงถิงน้อยเห็นเช่นนั้นก็ให้รู้สึกซาบซึ้ง  มันมิคิดว่าสุดท้ายแล้วไท่หยางเอาใจใส่มันถึงเพียงนี้
      สื่อเสินหรี่ตาลงอย่างพิจารณาแล้วจึงเอ่ยถาม
      “จิ้งจอกตัวนี่ใช่หรือไม่  ที่ทำให้เจ้าล้มเลิกความตั้งใจทั้งหมด”
      “ใช่แล้ว” ไท่หยางกล่าว
      “เช่นนั้นกล้าบอกข้าได้หรือไม่  ว่าเจ้าคิดเช่นไรต่อมัน..”
      “ข้า...”  ผู้น้องเช่นไท่หยางเมื่อได้ยินพี่ใหญ่ถามตรงประเด็นเช่นนั้นก็ให้รู้สึกกระดากอาย  มันก้มหน้าเล็กน้อยแล้วขมวดคิ้วมุ่นมิเคยหนักใจเช่นนี้มาก่อน  สุดท้ายเมื่อถอนหายใจแล้วจึงเอ่ยขึ้นด้วยเสียงหนักแน่น
      “ตอนนี้ข้าแน่ใจแล้ว ถิงถิงน้อยคือผู้ที่ข้าอยากอยู่ด้วย  ข้า..รักมัน” 
      ฝ่ายถิงถิงเมื่อได้ยินไท่หยางเอื้อนเอ่ยเช่นนี้ก็รู้สึกหัวใจเต้นอย่างรุนแรงจนเผลอบีบลำแขนของคนข้างเคียง  ใบหน้าขาวกระจ่างซับสีเลือดก่อนเบียดซุกร่างใหญ่ด้วยความกระดากอายมิแพ้กัน
      “ดี..เมื่อเจ้ากล้าพูดเช่นนี้ คงไม่มีปัญหาใดอีก  เจ้าล่ะชุนหลัน  ขัดข้องหรือไม่ที่จะช่วยน้องชายคนนี้กับคนรักของมัน”  สื่อเสินปรายตามองชุนหลันที่นั่งปั้นปึ่งอยู่เป็นนานสองนาน 
      เจ้าของดวงพักตร์งดงามอันตรายเปลี่ยนสีหน้าเป็นยิ้มพริ้มพรายเหมือนนึกอะไรขึ้นได้
      บางทีนี่อาจเป็นเรื่องสนุกอีกประการ
      ชุนหลันมองสื่อเสินเป็นเชิงแง่งอนก่อนยอมเอื้อยเอ่ยเสียงนุ่มนวล
      “ได้สิ  ข้าย่อมช่วยพวกเขา  คนหนึ่งก็เป็นน้องชาย  อีกคนหนึ่งก็เป็นน้องสะใภ้  มีหรือจะนิ่งเฉยได้”
      ไท่หยางมองดวงเนตรสุดหยั่งคาดของชุนหลันที่กำลังส่องประกายวิบวับแล้วก็ต้องลอบกลืนน้ำลายด้วยความยากลำบาก  เมื่อพี่ใหญ่เห็นเช่นนั้นก็ระบายยิ้มก่อนส่ายหน้าช้าๆ
      คราวนี้ไท่หยางคงตาสว่างเสียที..
      “วางใจเถอะน้องรัก  พี่คนนี้จะไม่ให้มีเรื่องอันใดผิดพลาด  หากมีผู้ไม่ประสงค์ดีคิดเห็นว่าการช่วยเจ้าเป็นเรื่องสนุก  ข้านี่ล่ะ  จะกระทืบมันให้จมดิน”  สื่อเสินพูดเสียงแข็งก่อนปรายตามองชุนหลันอย่างผู้เหนือกว่า
      “หึ..”ฝ่ายผู้ถูกมองก็ได้แต่ส่งค้อนให้  ชุนหลันมีสีหน้าปั้นปึ่งอีกครั้งเมื่อเห็นว่าเจ้าของแววตาดำสนิทลึกลับคู่นั้นมิได้พูดเล่น
      “แล้วพี่ใหญ่มีวิธีอันใดช่วยถิงถิง  ได้โปรดบอกกล่าวแก่ข้า” ไท่หยางรีบเอ่ยถามเพื่อมิให้เสียเรื่อง
      “เมื่อไม่กี่ปีก่อน ข้าพบวิชามารชนิดหนึ่ง  คาดว่าที่ได้มานั้นเป็นเพียงครึ่งเดียว  แต่ถึงกระนั้นก็มีประโยชน์อย่างยิ่ง เพราะส่วนที่ได้มานั้นกล่าวถึงการดูดพลังของผู้อื่นเพื่อใช้รักษา”
      “เป็นเช่นไร  แล้วจะอันตรายหรือไม่”
      “อันที่จริงวิชานั้นมีไว้ใช้กับพวกที่ฝึกยุทธพลังสายเย็นผิดพลาด  หรือได้รับบาดเจ็บสาหัส  หากผู้นั้นเป็นมาร  มันจะหาเหยื่อที่มีพลังสายร้อนดึงดูดพลังจากฝ่ายตรงข้ามเพื่อรักษาสมดุลในร่างกาย  จากนั้นก็ฆ่าทิ้งมิให้เป็นภัยในภายหลัง  แต่ข้านำสิ่งนี้มาพลิกแพลงไว้ช่วยชุนหลัน ดังนั้นเจ้าทั้งสองต้องมีความชำนาญในการควบคุมพลังปราณ  เพราะถ้าหากระหว่างถ่ายเทเกิดปัญหาฝ่ายหนึ่งจะสามารถช่วยอีกฝ่ายหนึ่งได้ เคล็ดวิชาที่ว่านั้นก็คือเคล็ดวิชาที่เจ้าได้จากชุนหลัน”
      ไท่หยางได้ฟังเช่นนั้นก็เบิกตาขึ้นด้วยความกระจ่าง  ก่อนเอื้อนเอ่ยด้วยความยินดี
      “ที่แท้เป็นเช่นนี้  มิน่าเล่า  ข้าฝึกมันแล้วจึงเกิดธาตุไฟเข้าแทรก  เป็นเพราะข้าไม่มีคุณสมบัติ  อันที่จริงเคล็ดวิชาที่ว่าต้องให้ถิงถิงเป็นผู้ฝึกใช่หรือไม่”
      “ย่อมเป็นเช่นนั้น” สื่อเสินพยักหน้า
      “แล้วจะต้องทำอย่างไร  พี่ท่านโปรดชี้แนะ”
      “เวลาฝึกนั้นต้องฝึกพร้อมกันทั้งเจ้าและถิงถิง  เพื่อให้ต่างฝ่ายเรียนรู้ควบคุมลมปราณแปลกแยก  ถิงถิงจะต้องรู้จักใช้พลังเย็นให้เป็นประโยชน์  ในเมื่อมันแทรกซึมอยู่ในร่างกายของเราดังนั้นมันก็คือทาสของเรา  จงใช้พลังเย็นควบคุมพลังร้อนที่ถ่ายเทเข้าร่างกายนำพาทะลวงตามจุดต่างๆเช่นการโคจรลมปราณทั่วไป  แต่จะต้องให้มันไหลเวียนมิให้ขาดตอนหรือสะดุดลงเด็ดขาด ทำเช่นนี้จนรู้สึกว่าร่างกายร้อนจัดแล้วก็จะเข้าใจเอง”  สื่อเสินหยุดเล็กน้อยก่อนหันไปสบตากับไท่หยางแล้วเริ่มอธิบายต่อ
      “ส่วนเจ้านั้นเมื่อถ่ายเทพลังให้เขา  อีกในหนึ่งจะต้องผลักดันพลังเย็นแปลกปลอมออกไปมิให้เข้าสู่ร่างกาย  มิเช่นนั้นอาจเป็นอันตราย  ถ้าเพลี่ยงพล้ำระหว่างถ่ายเทพลังก็จะเกิดปัญหาใหญ่หลวง หากถิงถิงเป็นประเภทจิตใจมิกล้าแข็ง  เขาก็จะดูดพลังเจ้าจนหมด  สุดท้ายคงกลายเป็นมารร้าย ส่วนเจ้าไม่พิการก็เป็นบ้าหรือตายคาอกถิงถิง”
      “ตายคาอก?”  ไท่หยางทวนคำด้วยใบหน้าฉงน
      “ใช่แล้ว..ตายคาอก” สื่อเสินพูเสียงเรียบ
      “เหตุไฉนต้องตายคาอก?”  ผู้น้องยังคงสงสัย
      “เพราะมันคือวิชามาร  การถ่ายเทพลังหรือดูดพลังย่อมมิใช่ธรรมดา  มารคือสิ่งไม่ดี  ความชั่วร้าย อัปมงคล รวมไปถึงตัณหาราคะ  เชื่อว่าผู้คิดค้นคงเป็นมารร้ายที่ชอบเสพสม  ดังนั้นจะถ่ายเทพลังเช่นนี้ได้ต้องรวมกายเป็นหนึ่งเท่านั้น  ประเด็นสำคัญก็คืออยู่ที่จิตใจล้วนๆ  จิตจะต้องนำพาร่างกาย  มิใช่ร่างกายนำพาจิต  ถึงจะใช้วิธีนั้น  แต่ก็ต้องควบคุมจิตจดจ่ออยู่กับลมปราณ  เช่นนั้นจึงจะรักษาชีวิตไว้ได้ทั้งสองฝ่าย”
      สิ่งที่พี่ใหญ่พูดทำเอาไท่หยางเบิกตาด้วยความตกตะลึง  มันอ้าปากค้างคล้ายคนบ้าใบ้  ฝ่ายจิ้งจอกน้อยก็มีใบหน้าแดงก่ำ พอนึกภาพว่าตนต้องทำเช่นนั้นก็อายแทบแทรกแผ่นดินหนี
      “เมื่อเจ้ารู้แล้วว่าข้ากับชุนหลันใช้วิธีใดในการรักษา  ก็อย่าถามรายละเอียดให้มากความ  เพราะข้าจะมิกล่าวอันใดอีก  เจ้าจะคิดอย่างไรก็ตามใจเจ้า  ส่วนจะใช้วิธีนี้หรือไม่ก็ตรองดูเอาเองแล้วกัน” สื่อเสินปิดท้ายด้วยน้ำเสียงเย็นชา  สีหน้าของมันตอนนี้ไม่ต่างกับสีหน้าของชุนหลัน
      สุดท้ายแล้วเมื่อไม่มีหนทางอื่น  ทั้งถิงถิงและไท่หยางจึงต้องพึ่งสื่อเสินและชุนหลันให้ช่วยถ่ายทอดเคล็ดวิชานี้ให้ ระหว่างนั้นถิงถิงก็ได้สื่อเสินช่วยถ่ายพลังร้อนให้บางส่วน  แต่นั่นก็มิอาจช่วยมันได้มากนัก  เพราะยังคงอ่อนแรงอยู่บ่อยครั้ง ฝ่ายสื่อเสินผู้มีประสบการณ์นอกจากช่วยยื้อเวลาให้ถิงถิงแล้วก็ยังต้องจัดการตระเตรียมให้ร่างกายและจิตใจของถิงถิงกับไท่หยางพร้อมแก่การฝึกอีกด้วย
      ก่อนอื่นทั้งสองฝ่ายต้องเข้าบำเพ็ญเพียรจิตใจให้สงบเยือกเย็น  นอกจากนี้ต้องฝึกโคจรลมปราณอยู่เป็นนิจรวมทั้งมิแตะต้องเนื้อสัตว์คล้ายถือศีลอด  ทำเช่นนี้เป็นเวลาห้าวัน สื่อเสินจึงเริ่มถ่ายทอดเคล็ดวิชาให้แก่ไท่หยางและถิงถิง
      เริ่มแรกนั้นสื่อเสินให้ไท่หยางและถิงถิงหันหน้าเข้าหาก่อนนำฝ่ามือประกบกัน  โดยมีตนนั่งซ้อนหลังน้องชาย  ส่วนชุนหลังนั่งซ้อนหลังถิงถิง  เมื่อเริ่มเดินลมปราณโคจรสื่อเสินจึงเป็นฝ่ายชักนำไท่หยาง  มันถ่ายทอดกระแสพลังชักนำให้ไท่หยางรู้ว่าจะต้องบังคับจิตตนเองให้เคลื่อนไหวลมปราณเช่นไร   จึงจะทำให้กระแสพลังเย็นจากฝั่งของถิงถิงและชุนหลันแทรกมิอาจผ่านเข้ามาได้  ในขณะเดียวกันยังสามารถถ่ายทอดกระแสพลังร้อนให้ฝ่ายนั้นได้ด้วย  สิ่งนี้เป็นเพียงการฝึกฝน  ทั้งสี่จึงต้องเริ่มควบคุมกระแสพลังภายในทีละน้อยและค่อยเป็นค่อยไป  อีกทั้งยังระมัดระวังมิให้เกิดข้อผิดพลาด  มิเช่นนั้นจะได้รับผลกระทบกันถ้วนหน้า
      เมื่อฝึกเช่นนั้นอยู่สามวันถิงถิงและไท่หยางจึงรู้แจ้งทุกประการ  สื่อเสินจึงแนะนำขั้นตอนสุดท้ายที่ยากเป็นยิ่งยวด
      “หา!...เหตุใดจึงต้องมีพวกท่านอยู่ด้วย” ไท่หยางโวยวายเสียงดัง

ออฟไลน์ cancan

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1168
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +581/-0
  “เพราะเจ้ายังมิเข้าใจว่าการที่ต้องควบคุมจิตใจในภาวะเช่นนั้นมันยากเย็นแค่ไหน  หากปล่อยให้ตัณหาชักพาจนลืมวัตถุประสงค์  พวกเจ้าทั้งสองจะต้องพบความลำบาก  เช่นนี้ในช่วงแรกๆจึงต้องมีข้าและชุนหลันคอยควบคุม” สื่อเสินอธิบายด้วยใบหน้าเรียบเฉย 
      ไท่หยางนั้นเมื่อคิดว่ามาถึงขั้นนี้แล้วก็ต้องทำให้ถึงที่สุด  แต่มันก็อดห่วงความรู้สึกของถิงถิงมิได้จึงหันไปขอความเห็น
      “ถิงถิง  เจ้าจะยอมหรือไม่”  มันถามจิ้งจอกน้อยด้วยเสียงนุ่มนวลที่สุด
      ฝ่ายถิงถิงนั้นได้แต่เอียงอายจนมิกล้าสบตาผู้ใด  มันได้แต่เม้มปากสนิทแน่น  พวงแก้มของมันสุกปลั่งด้วยสีเลือด  มันคิดว่าถ้านี่คือหนทางสุดท้ายที่จะยื้อชีวิตตนไว้  เช่นนั้นก็ไม่มีอะไรต้องคิดอีกแล้ว
      เพราะความต้องการที่แท้จริงของถิงถิงผู้นี้ก็คืออยากอยู่เคียงข้างพี่ไท่หยางตลอดไป
      “ถิงถิง  เจ้าว่าอย่างไร?”  ไท่หยางลองถามอีกครั้ง  มันมีสีหน้ากังวลอย่างเห็นได้ชัด
      เจ้าจิ้งจอกน้อยเอียงอายอยู่สักพักจึงยอมพยักหน้าตกลง
      เมื่อสื่อเสินเห็นทุกอย่างลงตัวดีแล้วจึงคิดว่ามิควรรอช้า  มันให้เวลาถิงถิงและไท่หยางได้พักผ่อนอยู่ครึ่งวัน  จนเมื่อยามไฮ่ (เริ่มตั้งแต่21.00น.) จึงคิดว่าเป็นเวลาที่เหมาะสม
      สื่อเสินมองไท่หยางแน่วแน่ก่อนออกคำสั่ง
      “ก่อนอื่นเจ้าต้องเล้าโลมถิงถิง..”
      “ข้า...ต่อหน้าพวกท่าน”  ไท่หยางหน้าตาตื่น  มันมองพี่ชายทั้งสองด้วยความยุ่งยากใจ
      ชุนหลันเห็นน้องชายมิได้ความก็ให้รู้สึกหงุดหงิด  มันส่งเสียงรำคาญใจก่อนเคลื่อนไหวรวดเร็วสุดที่ใครจะคาดเดา  เพียงเสี้ยววินาทีก็เข้าถึงตัวถิงถิงก่อนยึดแขนเล็กทั้งสองข้างของเจ้าจิ้งจอกไว้ด้านหลัง  แล้วจึงแนบชิดกายเข้าใกล้  ฝ่ายถิงถิงเมื่อถูกตรึงร่างไว้กับร่างใหญ่  ยิ่งเห็นว่าผู้พี่ของไท่หยางนามว่าชุนหลันยืนแนบชิดอยู่ด้านหลังก็ยิ่งตื่นตระหนกจนตัวสั่น  ไท่หยางเห็นเช่นนั้นก็ร้องเสียงหลง  มันตั้งใจจะถาโถมเข้าไปช่วยเจ้าจิ้งจอก  แต่มิทันที่จะได้เคลื่อนไหวก็โดนพี่ใหญ่ซึ่งอยู่ใกล้กันใช้วิชาสกัดจุดกับตัวมันจึงได้แต่ยืนนิ่งค้างอยู่เช่นนั้น
      ไท่หยางขบกรามด้วยความเจ็บใจ  โดนสกัดจุดครั้งนี้ฝีมือเช่นมันก็มิอาจแก้ไขได้โดยง่าย
      “ในเมื่อเจ้าชักช้าอิดออดข้าคงต้องมอบหน้าที่นั้นให้ชุนหลัน”  สื่อเสินกล่าวเสียงเรียบ  คำพูดของมันทำให้ไท่หยางแทบกระอักออกมาเป็นโลหิต
      “สงบสติอารมณ์แล้วจดจ้องอยู่ที่ถิงถิง  อย่างไรซะค่ำคืนนี้เจ้าก็ต้องเป็นคนรักษาถิงถิง  อย่าทำให้เสียเรื่อง”  สื่อเสินกล่าววาจาอีกครั้ง  น้ำเสียงของมันจริงจังมิได้ล้อเล่น  ผู้น้องได้ฟังแล้วก็พยายามข่มสติทั้งๆที่เคลื่อนไหวไม่ได้
      เวลาผ่านไปเท่าใดไม่มีใครทราบ  หากแต่ทุกอย่างยังคงดำเนินการ
      หัวใจของไท่หยางเต้นระส่ำไม่เป็นจังหวะ  ดวงเนตรสีน้ำตาลจดจ้องอยู่ที่ใบหน้าและร่างเปลือยเปล่าขาวสะอาดของถิงถิง
      “อา..อา..พี่ไท่หยาง”  ดวงเนตรของจิ้งจอกน้อยปรือปรอย  หยาดน้ำคลอหน่วย  ใบหน้าแดงระเรื่อราวกับเป็นไข้  ถิงถิงนั่งอยู่บนตักของชุนหลัน  ร่างกายของมันเกร็งจนสั่นไหว  ยิ่งได้เห็นใบหน้าครุกรุ่นด้วยอารมณ์พิศวาสของคนรัก  หัวใจของมันก็เต้นระส่ำ  ความรู้สึกบางอย่างแทรกซึมผ่านกล้ามเนื้อจนมันกระตุกถี่  ฝ่ามือใหญ่ที่นิ่มนวลของชุนหลันทำให้มันนึกถึงฝ่ามือของไท่หยางผู้เป็นที่รัก
      “เจ้าควรใช้โอกาสนี้ฝึกควบคุมอารมณ์ไว้ให้มั่น  อย่าให้ความต้องการของสังขารนำพาจิตใจจนกระเจิดกระเจิง  เพราะคนผู้เดียวที่ถิงถิงจะต้องพึ่งพาในภายภาคหน้ามีแต่เจ้าเท่านั้น”  สื่อเสินเอ่ยกำชับไท่หยาง  มันยืนกอดอกมองปฏิกิริยาของน้องชายด้วยใบหน้าเคร่งขรึม
      ฝ่ายไท่หยางนั้นหอบหายใจถี่  แม้มันมิอาจขยับได้แต่ก็รู้ดีว่าร่างกายของตนนั้นอาการเพียบแล้ว  มันจึงพยายามควบคุมอารมณ์ร้อนแรงภายใน  กำหนดจิตเป็นหนึ่งเดียว 
      ระหว่างที่สื่อเสินกำลังควบคุมไท่หยาง  ร่างกายของถิงถิงก็ถูกเตรียมพร้อมโดยชุนหลัน  ดวงตาสีเทาเย็นชาบัดนี้ฉายแววสุดหยั่งคาด  ปลายลิ้นเรียวของชุนหลันแหย่ชอนเข้าไปด้านในใบหูของถิงถิง  ฝ่ามือทั้งสองข้างก็บดขยี้ยอดอกสีสดให้ตั้งเด่น  จิ้งจอกน้อยบิดกายเร่าๆด้วยความรู้สึกแปลกประหลาด  มันถูกจับนั่งในท่าน่าอายจนแทบแทรกแผ่นดินหนี  ร่างกายทุกสัดส่วนปรากฏแก่บุรุษผู้เป็นที่รักซึ่งยังคงยืนหอบหายใจอยู่เบื้องหน้า
      ถิงถิงเดี๋ยวตัวอ่อนเดี๋ยวเกร็งแข็ง  เจ้าของร่างขาวสะอาดหอบหายใจเพราะความยั่วยวนที่ชุนหลันมอบให้  ฝ่ามือใหญ่เลื่อนเข้าใกล้จุดลึกลับ    เมื่อถูกล่วงล้ำถึงขั้นนั้นถิงถิงก็มิอาจหนีบขาไว้ได้อีก  มันจิกเล็บลงบนลำแขนทั้งสองข้างที่กำลังปรนเปรอให้ด้วยความรู้สึกที่มิอาจบรรยายได้  ครั้งนี้ช่างแตกต่างจากครั้งแรกที่มันยินยอมต่อไท่หยางนัก
      ร่างกายทุกสัดส่วนกำลังถูกกระตุ้นจนมิอาจทนทานไหว  ต่อให้กัดฟันเม้มปากจนแน่นแต่สุดท้ายก็ต้องเปล่งเสียงน่าอายออกมา  สิ่งเดียวที่ยังพอทำให้สงบลงได้คือเอ่ยชื่อคนรักแทนเสียงร้องน่าเกลียด
      “ไท่หยาง..พี่ไท่หยาง..”  ถิงถิงร่ำร้องชื่อนั้นมิหยุดหย่อน  ร่างกายเดี๋ยวบิดซ้ายเดี๋ยวแอ่นออก  ยิ่งตอนที่ถูกสัมผัสนวดเฟ้นใกล้ตรงจุดลับก็ยิ่งรู้สึกทรมานจนต้องเกร็งหน้าท้องแอ่นกาย  พอทำเช่นนั้นริมฝีปากของชุนหลันก็เข้าครอบครองยอดเม็ดสีสดของมันแล้วดุนดันด้วยปลายลิ้นราวกับผลไม้รสหวาน
      ปลายนิ้วทั้งห้าของชุนหลันนั้นก็ร้ายกาจนัก  มันสัมผัสนวดเฟ้นหนักหน่วงแต่มิได้คุกคาม  ยามใดที่มีการตอบสนองกลับผ่อนปรนให้รู้สึกสั่นไหว  ยามใดที่ผ่อนคลายกลับจงใจนวดเฟ้นให้ล้ำลึก  เม็ดเหงื่อแพรวพราวบนร่างของถิงถิงทำให้มันดูยั่วยวนยิ่งนัก  หากแต่ดวงเนตรสีน้ำตาลที่กำลังทุกข์ทรมานกลับมิอาจเมินภาพสัดส่วนสำคัญ  ตรงจุดนั้นของถิงถิงตื่นตัวอย่างเห็นได้ชัด  มิหนำซ้ำยังเคลื่อนไหวมีชีวิตชีวา   สายน้ำปริศนาเปียกชุ่มราวหยาดน้ำผึ้งหอมหวาน  ไท่หยางกลืนน้ำลายด้วยความยากลำบาก  เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วมันจะหักห้ามใจได้อย่างไร
      ฝ่ายสื่อเสินเห็นน้องชายกำลังสั่นคลอนก็รีบหว่านล้อมด้วยน้ำเสียงหนักแน่นเพื่อมิให้จิตใจของไท่หยางยินยอมต่อร่างกาย   มันจงใจใช้ปลายนิ้วจิ้มเข้าที่ด้านหลังของอีกฝ่าย  เมื่อไท่หยางโดนเข้าไปเช่นนั้นก็ถึงกับร้องออกมาหนึ่งคำก่อนกัดฟันด้วยความเจ็บปวด  มันรับรู้ได้ว่ามีกระแสพลังบางอย่างจี้ผ่านผิวหนังบริเวณกระดูกสะบักเข้ามาถึงเส้นประสาท  ความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันทำให้สามารถเรียกสติกลับมาได้อีกครั้ง  ไท่หยางจึงรวบรวมสมาธิตั้งมั่น  ดวงเนตรสีน้ำตาลจับจ้องเพียงใบหน้าของคนรัก 
      เมื่อมีสติดีพร้อมก็สัมผัสได้ถึงความพลุ่งพล่านที่หล่อหลอมอยู่ภายใน
      จิตเป็นนาย  กายเป็นบ่าว
      สิ่งที่เรียกร้องอยู่เบื้องลึกมิใช่แค่ความต้องการเสพสมกับคนรัก
      หากแต่มันคือขุมพลังที่มันต้องควบคุม
      สิ่งนี้เองที่จะช่วยให้ถิงถิงมีชีวิตอยู่กับมัน
      เคียงคู่กันจนสิ้นชะตาฟ้าลิขิต
      ดวงจิตของไท่หยางค่อยๆสงบลง  เมื่อเป็นเช่นนั้นก็กลับมาหายใจได้สะดวกมากขึ้น  แม้รู้ว่าร่างกายกำลังมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อภาพเบื้องหน้า  หากแต่ตอนนี้ดวงจิตของมันมิได้ลุ่มหลงไปกับแรงกระตุ้น  มันมิได้ต้องการตอบสนอง
      ตอนนี้มันต้องการเป็นผู้ให้..
      เพียงแค่สื่อเสินได้เห็นอาการสงบนิ่งของไท่หยางก็ต้องลอบยิ้มด้วยความพอใจ  มันชื่นชมที่น้องคนนี้ซึ่งโดยทั่วไปแล้วเป็นคนที่ร้อนรุ่มด้วยโทสะบ่อยครั้ง  อีกทั้งยังมีความอดกลั้นน้อย  แต่เมื่อถึงตอนนี้  มันได้เห็นแล้วว่าไท่หยางมีดีมิใช่ชั่ว  คงเป็นเพราะความจริงใจที่มีต่อจิ้งจอกตนนั้น  มันถึงผ่านอุปสรรคได้มากมายเพียงนี้  สื่อเสินมิรอช้ารีบคลายจุดให้แก่ไท่หยาง  จากนั้นจึงยืนรอให้ผู้น้องฟื้นตัวก่อนคืบคลานไปหาคนรักของมัน 
      สื่อเสินตามไท่หยางเข้าไปทาบทับแผ่นหลังจากนั้นก็คลายปมเชือกและปมกางเกงของน้องชายออก  เมื่อทุกอย่างถูกปลดเปลื้อง  สื่อเสินและชุนหลันก็พยักหน้าแก่กัน  ตอนนี้มันรู้แล้วว่าทุกอย่างพร้อมดีแล้ว  ชุนหลันจับให้จิ้งจอกน้อยตั้งท่า  ก่อนเอาบ่าให้ศีรษะของอีกฝ่ายพักพิง   
      ถิงถิงหอบหายใจด้วยความตื่นเต้นแปลกประหลาด ยิ่งได้เห็นไท่หยางถูกปลดเปลื้องก็ตัวอ่อนปวกเปียกคล้ายโดนไฟแผดเผา  ไม่ว่าจะถูกเชิดให้วางท่าเช่นไรก็ยอมแต่โดยดีมิได้ขัดขืน
      “สูดหายใจลึกๆ  ทุกอย่างจะราบรื่น”เสียงนุ่มนวลของชุนหลันกระซิบข้างริมใบหูของถิงถิง  มันใช้ใช้ฝ่ามือข้างหนึ่งทาบทับแผ่นหลังเปลือยเปล่าของเจ้าจิ้งจอกน้อย   
      ฝ่ายสื่อเสินก็เช่นเดียวกัน ฝ่ามือของมันทาบทับบนแผ่นหลังของไท่หยาง  ชายเสื้อสีเทาหลุดร่วง  เผยให้เห็นผิวเนื้อละเอียดที่ตึงแน่นไปด้วยกล้ามเนื้อ  สื่อเสินควบคุมจิตถ่ายทอดพลังเป็นหนึ่งเดียวกับไท่หยาง  พลังร้อนสองสายหล่อหลอมไหลผ่าน  เมื่อถ่ายเทดีแล้วสื่อเสินก็ดันร่างน้องชายเข้าใกล้คนรักของมัน
      ฝ่ายถิงถิงนั้นถูกชุนหลัยจับไว้  ตอนนี้รู้สึกถึงพลังเย็นแผ่ซ่านจากฝ่ามือที่ด้านหลัง  มันหอบหายใจถี่  ขาเรียวข้างหนึ่งที่ถูกชันหลันตรึงไว้โดนจับให้แยกออกมากขึ้น  เมื่อเป็นเช่นนั้นก็รู้สึกถึงความชุ่มฉ่ำน่าอาย  ร่างกายกระตุกสั่นไหวเรียกร้องการเติมเต็ม 
      “อ๊ะ..อื้อ”  ถิงถิงกัดฟันขบกราม  มันหลับตาซึมซับความเจ็บปวดที่กำลังแทรกผ่าน  ความทรมานเกิดขึ้นอย่างที่มิเคยเป็นมาก่อน 
      “ร้อน..ข้าร้อนเหลือเกิน”  ถิงถิงวิงวอนเสียงอู้อิ้  สองมือจิกเล็บลงบนลำแขนของชุนหลันด้วยความทรมาน
      “เจ้าต้องอดทน..อีกสักพักก็จะดีขึ้น  ความเจ็บปวดนี้จะทำให้เจ้ามีสติ”  ชุนหลันกระซิบเสียงนุ่ม  มันค่อยๆดันสะโพกของร่างขาวสะอาดเข้าใกล้ไท่หยางมากขึ้น
      “อึก..”ฝ่ายไท่หยางนั้นก็ทรมานมิต่างกัน  ความรู้สึกของมันตอนนี้เหมือนโดนกระทำทารุณ  ส่วนอ่อนไหวที่ตึงแน่นกำลังแทรกผ่านด้วยความยากลำบาก  พลังบางอย่างคล้ายผลักดันคล้ายดึงดูด    ตอนนี้รู้สึกตนเองร้อนราวกับไฟ  หากแต่พื้นที่ที่แทรกเข้าไปกลับเย็นเยียบราวน้ำแข็ง   เพียงชั่วครู่เรือนกายของมันก็ถูกครอบครองไว้ด้วยความเยือกเย็นจากถิงถิง   
      ทั้งทรมานทั้งเสียวสะท้าน
      จิตใจที่เตรียมไว้ดีแล้วกลับถูกยุแยงด้วยแรงปรารถนาอีกครั้ง
      รับรู้ถึงความเย็นที่อ่อนนุ่ม
      รับรู้ถึงแรงบีบรัดและอาการเกร็งกระตุก
      เมื่อเห็นสีหน้าทรมานของไท่หยาง  สื่อเสินก็รีบเอื้อนเอ่ยแก่น้องชาย
      “จงตั้งสติให้มั่น  อย่าลืมว่าเจ้ากำลังทำอะไร  จิตคือนายของร่างกาย  ที่ทรมานอยู่นี่มิใช่เพื่อถิงถิงหรือไร”
      เมื่อไท่หยางได้ยินดังนั้นมันก็พยายามเรียกสติตนเองอีกครั้ง  ก่อนกำหนดจิตตั้งมั่นน้อมนำพลังร้อนที่สื่อเสินถ่ายเทให้เพื่อเรียนรู้การเคลื่อนไหวลมปราณโดยมีสื่อเสินเป็นผผู้นำทาง  เพียงไม่นานก็รู้สึกว่าจิตใจสงบลงอีกครั้ง  เมื่อควบคุมพลังความร้อนของตนเองได้แล้วจริงค่อยๆโคจรตามทิศทางที่พี่ชายนำพา
      ฝ่ายชุนหลันเห็นเช่นนั้นก็รีบถ่ายเทพลังเย็นบางส่วนถ่ายทอดแก่ถิงถิง  เดิมทีพลังนี้เป็นสิ่งไม่ดี  เมื่อนำออกใช้ก็ทำให้ร่างกายเสียสมดุล  แต่เมื่อมีสื่อเสินคอยกำกับอยู่เช่นนี้  ก็เท่ากับว่ามันได้พลังจากสื่อเสินเข้ามาช่วย  เช่นนี้จึงไม่มีอันใดน่าเป็นห่วง  แต่ต้องระวังมิให้เกิดข้อผิดพลาด
      ความเจ็บปวดทำให้ถิงถิงได้สติ  มันมิได้เคลิบเคลิ้มไปกับรสพิศวาส   เพราะมิได้มีการเล้าโลมตั้งแต่ที่ไท่
หยางรุกล้ำเข้ามา   ดังนั้นจึงพยายามสงบอารมณ์ละทิ้งความรู้สึกของเนื้อสัมผัสเนื้อที่ด้านล่าง  ก่อนเพ่งสมาธิไปที่ดวงจิตเพื่อควบคุมลมปราณ  มันถ่ายทอดพลังเย็นด้วยลมปราณตามที่ชุนหลันชักพา  เมื่อได้รับเอาพลังร้อนเข้ามาก็ใช้พลังเย็นควบคุมการไหลเวียนของพลังร้อน 
      ฝ่ายไท่หยางก็ถ่ายเทพลังร้อนสู่ถิงถิง  ในขณะเดียวกันมันก็ผลักดันมิให้พลังเย็นแทรกผ่านเข้ากายา  ทั้งหมดนี้อยู่ในความควบคุมของสื่อเสินทั้งสิ้น   
      สุดท้ายแล้วทุกอย่างก็บรรลุผล  ถิงถิงรู้สึกว่าตนเองกระปรี้กระเปร่ามีกำลังวังชา  ตอนนี้พลังร้อนที่ได้รับเหมือนอาหารอันโอชะที่กินเท่าไหร่ก็มิรู้สึกอิ่ม  ดวงตาสีชมพูปรือปรอยด้วยความสุขสม  ร่างกายของมันตอบสนองต่อพลังแปลกปลอมที่ถูกถ่ายเทมาจากไท่หยาง  เช่นนี้แล้วจึงรู้สึกว่าสะโพกเริ่มเคลื่อนไหวเองโดยมิได้ตั้งใจ  พอได้ทำเช่นนั้นก็ยิ่งรับรู้ถึงสิ่งที่ไท่หยางถ่ายเทให้อย่างต่อเนื่อง  จนในที่สุดมันจึงสัมผัสได้ว่ามีวงแขนทั้งสองข้างมารับร่างมันไว้ 
      วงแขนที่มันคุ้นเคย  เจ้าจิ้งจอกน้อยโอบแขนรอบคอของคนรัก
      ไท่หยางระบายยิ้มอย่างเหนื่อยอ่อน 
      ความรู้สึกของมันตอนนี้แปลกประหลาดจนยากจะอธิบาย
      คล้ายโดนดูดพลังชีวิตจนเรี่ยวแรงถดถอย
      หากแต่ก็มีบางสิ่งทำให้รู้สึกตื่นเต้น
      ถิงถิงน้อยเคลื่อนไหวเชื่องช้าอ้อยอิ่ง 
      ร่างกายสองร่างประสานเป็นหนึ่ง
      ดวงพักตร์ทั้งสองเคลื่อนคล้อยเข้าหา  ดวงตาสองสีสบประสานลึกซึ้ง
      ถิงถิงให้รู้สึกตื้นตันจนน้ำตาเอ่อคลอ 
      นี่เป็นครั้งแรกที่ไท่หยางยิ้มอ่อนโยนให้แก่มัน
      แม้แต่ดวงเนตรสีน้ำตาลก็แสดงออกถึงความรักใคร่
      สิ่งสำคัญเหนืออื่นใดมิใช่ร่างกาย
      หากแต่เป็นดวงจิตสองดวงผูกพัน
      ความเสียสละ  ความห่วงใย  คือดวงจิตอันบริสุทธิ์ที่ช่วยให้มันทั้งสองมาถึงจุดนี้
      แม้ร่างกายจะสุขสม  หากแต่จิตใจกลับอิ่มเอมยิ่งกว่า
      เมื่อจิตใจอิ่มเอมด้วยความคิดที่บริสุทธิ์  ร่างกายก็ไหลเวียนถ่ายเทพลังงานได้อย่างสะดวก
      เช่นนี้แล้วจิตจึงเป็นนายของสังขาร
      เมื่อถิงถิงน้อยรู้สึกว่างร่างกายอิ่มสมบูรณ์ดีแล้ว  ด้วยสติของมันจึงสั่งการให้หยุดเคลื่อนไหว  จากนั้นจึงยอมเป็นฝ่ายปล่อยไท่หยางออกไป  แต่สองแขนขาวสะอาดยังโอบรอบคอคนรักไว้อย่างมั่นคง
      ฝ่ายไท่หยางนั้นเมื่อได้รับอิสระจากถิงถิง  ความรู้สึกพิสดารก็หดหายไปจนหมดสิ้น  อีกทั้งร่างกายยังอ่อนเพลียคล้ายกับฝึกร่ายรำหมัดมวยติดต่อกันหลายวันมิได้หยุดพัก   แต่ด้วยเพราะได้รับการฝึกฝนวรยุทธจนแก่กล้า  ความอ่อนเปลี้ยเพียงแค่นี้จึงมิได้ทำให้สิ้นสติสมประดี  มันยังสามารถทรงกายอยู่ได้  ที่สำคัญคือกำลังใจอันดี
      เมื่อได้มองเห็นใบหน้าสุกใสเปล่งปลั่งของเจ้าจิ้งจอกน้อย  ไท่หยางก็ต้องระบายยิ้มอ่อนๆ  ตอนนี้มันรู้แล้วว่าถิงถิงจะมิเป็นอันใด   เพราะตัวมันคือยารักษาชั้นดี
      หลังจากทุกอย่างผ่านพ้นไปแล้ว  ถิงถิงและไท่หยางจึงมารู้ทีหลังว่าพี่ใหญ่และพี่รองไม่ได้อยู่ตรงนั้นอีกแล้ว  จนเมื่อทั้งสองรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดใหม่  จึงได้ทราบว่าสื่อเสินและชุนหลันออกไปนั่งเล่นหมากล้อมดื่มด่ำธรรมชาติยามค่ำคืน  อันที่จริง  ทั้งสองออกไปตั้งแต่ที่รู้ว่าถิงถิงสามารถควบคุมพลังของไท่หยางได้  เพราะเมื่อถึงจุดนั้นแล้วก็ไม่มีเรื่องใดให้พวกพี่ๆต้องกังวลใจอีก   
      ฝ่ายจิ้งจอกน้อยและไท่หยางจึงพากันเข้าห้องหับพักผ่อน  อันไท่หยางนั้นแม้สูญเสียพลังให้แก่ถิงถิงแต่มันก็สุขสบายมิต่างจากจักรพรรดิ  เพราะไม่ว่าต้องการสิ่งใด คนรักของมันก็กระทำให้มิได้บ่ายเบี่ยง  ไม่เว้นแม้แต่ช่วยอาบน้ำถูหลัง หรือปูที่นอนทำความสะอาดห้องหับ
      พอวันรุ่งขึ้น  สื่อเสินจึงช่วยแนะว่า  หากจะให้ถิงถิงมีสุขภาพแข็งแรงสืบเนื่องมิต้องถ่ายเทพลังให้บ่อยๆ  จะต้องให้ถิงถิงหัดฝึกยุทธออกกำลังกาย โดยเริ่มจากเล็กน้อย  มิใช่หักโหมโดยทันที  สำหรับไท่หยางนั้น  สื่อเสินรู้ว่าน้องมีพลังร้อนแฝงอยู่ในตัว   พลังนั้นมักจะผลักดันให้ไท่หยางเป็นคนโมโหง่ายและอารมณ์ร้อน     จึงได้แต่แนะว่าควรฝึกนั่งบำเพ็ญเพียรเพื่อควบคุมจิตใจของตนเองให้สงบนิ่งดุจผืนน้ำ  ไท่หยางและถิงถิงได้ฟังดังนั้นก็น้อมรับยอมปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด
      หลังจากเวลาผ่านพ้นจนตะวันเคลื่อนคล้อย  ถิงถิงจึงได้พบกับกุ้ยหลินที่กำลังแอบย่องเข้ามาที่เรือนพัก
      “พี่ท่านกลับมาแล้ว..” ถิงถิงน้อยร้องออกมาด้วยความดีใจ
      “ชู่ว!..อย่าเสียงดังไป  เดี๋ยวพี่ใหญ่มาเห็นข้าจะซวยเอา  ข้าขี้เกียจปั้นเรื่องราว”  กุ้ยหลินรีบเอ่ยต่อถิงถิง  แต่แล้วมันก็ทำหน้าตื่นตกใจระคนยินดี ก่อนจับร่างของถิงถิงหมุนไปมาเพื่อสำรวจตรวจตรา
      “นี่เจ้าหายดีแล้วใช่หรือไม่” กุ้ยหลินกล่าวอย่างตื่นเต้น
      “อาการข้าดีขึ้นแล้ว  ต้องขอบคุณเหล่าเกอเกอ(พี่ชาย)ของท่าน”
      “แล้วทำเช่นไร  ถึงดูดีขึ้นมากขนาดนี้”  ความอยากรู้ของหลินน้อยทำให้มันต้องคาดคั้นเจ้าจิ้งจอก
       “...”หากแต่อีกฝ่ายมิยอมตอบกลับหลบสายตาอีกทั้งยังอมยิ้มเขินอาย  เมื่อเห็นท่าทางถิงถิงเช่นนี้  กุ้ยหลินก็ให้รู้สึกคันหัวใจยิ่งนัก  แต่ยังมิเอ่ยอันใดได้  ไท่หยางก็เปิดประตูออกมา  มันบิดขี้เกียจคล้ายคนเพิ่งตื่นนอน  ผู้พี่รีบเอ่ยทักน้องชายคนเล็ก
      “เจ้ากลับมาได้เสียทีนะกุ้ยหลิน..แล้วนี่มาคาดคั้นอันใดกับคนของข้า”  ไท่หยางขมวดคิ้วมุ่น  มันมองกุ้ยหลินที่จับมือถือแขนคนรักของตนมิวางตา
      “โอว..เดี๋ยวนี้น้องเล็กของข้ากลายเป็นคนของท่านแล้วรึ  ท่าทางท่านจะลืมไปแล้วกระมังว่าผู้ใดกันที่ท่านไปขอความเชื่อเหลือแต่แรก”  กุ้ยหลินกอดอกว่ากล่าวด้วยสีหน้าปั้นปึ่ง
      ฝ่ายไท่หยางเห็นเช่นนั้นก็อดยิ้มมิได้  มันวางมือบนศีรษะของน้องชายก่อนโยกเบาๆด้วยความเอ็นดูมิเสื่อมคลาย
      “เป็นเพราะเจ้านั่นล่ะ  หากไม่ได้เจ้า ข้ากับถิงถิงคงไม่ได้ยืนอยู่เช่นนี้”
      “พี่ท่านพูดเกินไปแล้ว  น้องเพียงแต่แหย่เล่นอย่าได้ถือสา” กุ้ยหลินตกใจที่พี่ชายพูดเช่นนั้น  ดวงตาดำขลับของมันสลดลงทันทีเมื่อนึกขึ้นได้ว่าเอ่ยวาจารุนแรงเกินไป
      “ใช่  เพราะพี่ท่าน  ข้าถึงได้มีชีวิตอยู่ต่อ  ถิงถิงขอขอบคุณจากใจจริง”  เจ้าจิ้งจอกรีบกล่าวเสริม
      “โอย..พอแล้วๆ  ข้ามันก็แค่พวกดีแต่ปาก  ใครมาก็ได้แต่ชี้แนะนำทาง  มิได้ลงแรงกระทำอันใด  พวกท่านกำลังทำให้ข้าได้หน้าเกินไปแล้ว”  กุ้นหลินรีบแก้ต่าง
      แต่ชั่วขณะนั้นเอง  เสียงทุ้มต่ำลุ่มลึกของใครคนหนึ่งก็ดังขึ้น
      “เจ้ารู้ตัวก็ดีแล้วนะหลินน้อย  แล้วนี่หายหน้าหายตาไปหลบอยู่ที่ใด”  สื่อเสินกล่าวเสียงเรียบ  ร่างสูงใหญ่ในชุดดำค่อยเดินเข้ามาสมทบ  เพียงแค่มันปรากฏกายก็ถึงกับทำให้หลินน้อยหน้าเสียก่อนทำตัวลีบไปแอบอยู่ข้างไท่หยาง
      “พี่ใหญ่อย่าเอ็ดน้องเล็กได้หรือไม่  ดูสิ  มันกลัวจนหัวหดแล้ว”  ฝ่ายชุนหลันที่เดินตามมาก็รีบเอ่ยด้วยใบหน้ายิ้มละไม  มันอยู่ในชุดขาวสะอาดทำให้ดูสูงส่งคล้ายเทพยดามาจุติ
      “ใช่แล้ว  พี่ใหญ่ชอบดุข้าอยู่เรื่อย  พี่รองท่านต้องช่วยข้า  อีกหน่อยต้องกลายร่างเป็นสุนัขป่า  ถึงตอนนั้นเขายิ่งน่ากลัวกว่าเดิมหลายเท่า  ท่านช่วยทำให้พี่ใหญ่เลิกดุข้าทีเถอะ”  หลินน้อยรีบทำเสียงออดอ้อน  มันกล่าวให้ชุนหลันช่วยเหลือ  แต่สองมือกับยื้อลำแขนไท่หยางไว้อย่างมั่นคง
      “หึๆ..ข้าไม่ตีเจ้าหรอกหลินน้อย  อย่าได้กังวลถึงขั้นนั้น”  สื่อเสินเห็นความฉลาดของน้องมันก็ให้รู้สึกเอ็นดู  สุดท้ายจึงยอมจบเรื่องราว  ก่อนหันมาพูดกับไท่หยาง
      “เมื่อนายท่านกลับมาแล้วพวกเราคงต้องกินยาลดทอนพลังวัตร  เช่นนี้จะเป็นอุปสรรคต่อเจ้าและถิงถิง  ทางที่ดีเมื่อเจ้ากลืนยาเม็ดนั้นแล้ว  ภายในสองชั่วยามก่อนที่ยาออกฤทธิ์จงรีบคายออกมาเข้าใจหรือไม่”
      ไท่หยางฟังแล้วก็ให้เกิดสงสัยจึงรีบเอื้อนเอ่ย
      “เช่นนี้แล้วมิผิดต่อคำสัตย์ที่ให้ไว้ต่อนายท่านหรือพี่ใหญ่” 
      สื่อเสินได้ฟังดังนั้นก็สบตาไท่หยางด้วยความดุดัน  มันกล่าวเสียงกร้าวแก่น้องชาย
      “เพื่อจะได้ช่วยชุนหลัน ข้าเองก็คายเม็ดยานั่นออกเช่นกัน  และชุนหลันก็ทำเช่นเดียวกับข้า  แม้ว่าสิ่งนี้จะถือว่าเราใช้กลโกงต่อนายท่าน  แต่ขอถามสักครั้ง  ว่าข้าและชุนหลันเคยผิดคำสัตย์หรือไม่”
      ไท่หยางมิเอ่ยอันใดนอกจากส่ายหน้าแทนคำตอบ  สื่อเสินเห็นเช่นนั้นจึงกล่าวต่อ
      “นับจากนี้ข้าก็ยังคงรับใช้นายท่านและใช้ชีวิตในร่างสุนัขป่า  อีกทั้งเวลาที่ต้องใช้กำลังก็จะไม่ใช้ออกเต็มที่  นอกจากเวลาที่ชุนหลันต้องการข้า  ข้าจึงกลับกลายเป็นร่างนี้  เมื่อช่วยชุนหลันแล้วข้าก็จะกลับไปใช้ชีวิตเป็นสุนัขป่าเช่นเดิม  จนกว่าจะถึงฤดูตงเทียนในปีหน้า  ข้าจึงสามารถใช้ร่างนี้ได้นานกว่าปกติ  ที่ข้าอธิบายเช่นนี้เจ้าเข้าใจหรือไม่”
      “พี่ใหญ่กำลังจะบอกว่า  ที่ต้องทำเช่นนี้  เพราะความจำเป็นใช่หรือไม่” ไท่หยางกล่าวด้วยความมิแน่ใจ
      “นั่นก็ส่วนหนึ่ง..แต่ประเด็นของข้าก็คือ  บางสิ่งบางอย่างนั้นเราก็ควรต้องพลิกแพลงเพื่อให้เกิดความสมดุล  แต่ไม่ว่าจะกระทำการได้ สิ่งนั้นต้องตั้งมั่นอยู่บนความซื่อสัตย์และคงไว้ซึ่งศักดิ์ศรี  หากเจ้ารับปากนายท่านไว้ว่าจะรับใช้เขาในร่างนั้นจนกว่าจะถึงฤดูตงเทียน  เจ้าก็ต้องทำให้ได้  ไม่ว่าคู่ต่อสู้ของเจ้าจะร้ายกาจเพียงไหน  แต่เจ้าก็ต้องต่อสู้ให้ได้ด้วยกำลังเพียงครึ่งเดียวที่มีอยู่  เช่นนี้แล้วจึงจะมีทั้งความซื่อสัตย์และคงไว้ซึ่งศักดิ์ศรี  อีกทั้งยังสามารถปกป้องครอบครัวของเจ้าไว้ได้”
      “ข้าเข้าใจแล้วพี่ใหญ่”  ไท่หยางนั้นเมื่อได้ฟังดังนี้ก็เกิดความเข้าใจถ่องแท้  มันจึงน้อมรับด้วยความจริงใจ
      “อืม..กาลเวลาภายหน้าจะเป็นข้อพิสูจน์ตัวเจ้า  หากเมื่อถึงตอนนั้นเจ้าผิดจากที่ข้าเคยสอนไว้  ข้าผู้เป็นพี่ใหญ่ของเจ้า  จะปลิดชีวิตของเจ้าด้วยกำลังครึ่งหนึ่งที่มี  เพราะฉะนั้นจงรักษาชีวิตของเจ้าไว้เพื่ออยู่เคียงข้างคนที่รัก  อย่าได้ออกนอกลู่นอกทางเป็นอันขาด รับปากข้าได้หรือไม่” สื่อเสินกล่าวจริงจัง
      “ข้ารับปากท่าน   หากข้าคิดใฝ่ต่ำมิหยิ่งในศักดิ์ศรี  อีกทั้งยังทำให้ชื่อเสียงท่านมัวหมอง  ผู้น้องจะยอมมอบชีวิตน้อยๆนี้แก่ท่าน”  ไท่หยางรับคำ  สื่อเสินได้ฟังดังนั้นก็พยักหน้าด้วยความพอใจ
      “ท่านพูดเรื่องอะไรกัน..นี่ข้าพลาดสิ่งใดไป”  กุ้นหลินที่ฟังอยู่นานแล้วก็โวยวายอยากรู้ขึ้นมาบาง
      “หึๆ..หลินน้อย  เป็นเพราะเจ้าชอบซุกซนเที่ยวเล่น ถึงไม่พลาดเรื่องสนุกไป  ช่างน่าเสียดาย” ชุนหลันเอ่ยด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม  ดวงตางดงามของมันส่งประกายแพรวพราว
      “เรื่องสนุกอันใด?  ทำไมข้าไม่รู้เรื่อง  ถิงถิง  เจ้ารีบบอกข้าเถอะ..”  กุ้นหลินย้ายไปเกาะแขนถิงถิงแล้วก็อ้อนวอนขอความเห็นใจ  ฝ่ายจิ้งจอกน้อยก็ได้แต่ปิดปากหัวเราะกับท่าทางอยากรู้ของอีกฝ่าย
      

ออฟไลน์ cancan

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1168
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +581/-0
  “จะรู้ไปทำไม  มิใช่กงการของเจ้าสักนิด”  ไท่หยางเห็นแล้วก็ให้รู้สึกรำคาญ    มันหยิกพวงแก้มของน้องชายด้วยความหมั่นไส้
      “โอ๊ย!..ไฉนพี่ท่านรุนแรงแก่ข้า  ข้าโกรธท่านแล้ว ชิ่วๆ  ไปไกลๆเลย  ข้าจะคุยกับถิงถิง  ถิงถิงจ๋า  เจ้ายังมิได้บอกข้าเลยว่าพี่ข้ารักษาเจ้าได้อย่างไรกัน” กุ้ยหลินออดอ้อน
      ฝ่ายถิงถิงเมื่อโดนตอกย้ำเช่นนั้นก็ให้รู้สึกอายแทบแทรกแผ่นดินหนี  เพราะตรงนี้นอกจากมีไท่หยางแล้วยังมีสื่อเสินกับชุนหลัน มันจึงมิกล้าแม้แต่มองหน้าผู้คน  ได้แต่ก้มลงซ่อนใบหน้าแดงก่ำ
      สื่อเสินเห็นท่าทางรบเร้าของน้องชายคนเล็กแล้วก็ส่ายหน้ารู้สึกปวดเศียรเวียนเกล้าขึ้นมาอย่างบอกมิถูก  มันจึงปลีกตัวออกไปอย่างเงียบๆ  ฝ่ายชุนหลันก็ตามไปด้วย  จึงเหลือเพียงไท่หยางที่ต้องรับมือกับหลินน้อยจอมแสบ 
      “เจ้าจะรบเร้าอันใด  ต่อให้เจ้าลงไปนอนดิ้นถิงถิงก็ไม่ยอมปริปากเป็นแน่” ไท่หยางกล่าวอย่างรำคาญ
      “โอ๊ย!  ข้าโกรธพวกท่านแล้ว  ทีเรื่องสนุกทำไมถึงใจร้ายมิยอมเล่าความให้ข้าฟังบ้าง” กุ้ยหลินโวยวายแง่งอน  มันหันไปใช้กำปั้นน้อยๆทุบอกพี่ชายด้วยความคลั่งแค้น  ฝ่ายไท่หยางเมื่อโดนเช่นนั้นก็จำต้องรวบข้อมือน้องเอาไว้
      “หึๆ..มันมิใช่เรื่องสนุกอันใด  อีกทั้งเล่าออกไปก็มิได้  เจ้าอย่ารู้เลย  เอาเช่นนี้ดีไหม  ถิงถิงมีฝีมือทำขนม  เดี๋ยวข้าจะให้เขาทำขนมอังกู๊(ขนมเต่า)เป็นการชดเชยดีหรือไม่”  ไท่หยางกล่าวด้วยแววตาเจ้าเล่ห์
      “ขนมอังกู๊  เจ้าทำมันได้?”  กุ้นหลินได้ยินดังนั้นก็เปลี่ยนจากสายตาขุ่นเคืองมาเป็นดวงตากลมโตสุกใส มันผละออกจากไท่หยางทันที  ร่างโปร่งพลิ้วไหวไปเกาะแขนถิงถิงอีกครั้ง
      “ย่อมได้  ตอนเด็กๆ  พี่สะใภ้ของข้าคนหนึ่งเคยสอนทำขนมอังกู๊ ถ้าพี่ท่านอยากลิ้มลองข้าย่อมทำให้ได้”  ถิงถิงน้อยเอื้อนเอ่ยเสียงนุ่มนวล  มันหยุดเล็กน้อยก่อนสังเกตปฏิกิริยาของกุ้ยหลิน  แล้วจึงกล่าวต่อ
      “หากท่านสนใจว่าทำเช่นไร ข้าจะสอนให้ดีหรือไม่  เผื่อว่าพี่ท่านอาจจะอยากทำให้ผู้อื่นทานบาง”
      กุ้ยหลินได้ฟังดังนั้นก็ให้นึกถึงบุคคลสำคัญของมัน  ดวงตาดำขลับปรากฏสายตามุ่งมั่น ก่อนหันไปสบตาจิ้งจอกน้อย
      “นั่นย่อมดีเป็นที่สุด  เผื่อว่าข้าอยากทำทานเองจะได้ไม่รบกวนเจ้าอย่างไรเล่า  เช่นนี้เราไปที่ห้องครัวแล้วเริ่มกันเลยดีไหม”
      ถิงถิงยิ้มหวานดวงตาคล้ายอัญมณีกลิ้งกลอกแพรวพราว  มันหัวเราะเสียงใสก่อนตอบรับกุ้ยหลิน
      “ดีสิพี่ท่าน  ข้าเองก็ชักคันไม้คันมือ  อยากทำให้ท่านดูแย่แล้ว”
      “ดีๆ  งั้นเราไปกันเถอะ”  กุ้ยหลินว่ากล่าวเสียงดัง  สุดท้ายมันจึงจูงมือเจ้าจิ้งจอกออกเดินไปยังห้องครัวโดยมิสนใจไยดีพี่ชายอีก
      ฝ่ายไท่หยางนั้นเมื่อเห็นกุ้ยหลินเปลี่ยนไปสนใจสิ่งอื่นมันก็ต้องลอบถอนลมหายใจ  ก่อนจะระบายยิ้มอ่อนๆออกมา
      หลินน้อยถ้าจะเจอคู่ปรับตัวฉกาจเสียแล้ว..
      ถ้าให้เป็นเรื่องชี้ชวนชมหว่านล้อม  คงไม่มีใครชำนาญเท่าถิงถิง  จิ้งจอกน้อยของมันเป็นแน่แท้...
      ดวงเนตรสีน้ำตาลจับจ้องสองร่างที่เคลื่อนคล้อยหายลับไปอีกด้านหนึ่งของตัวเรือน   ก่อนเปลี่ยนทิศทางขึ้นมองท้องนภาขาวกระจ่าง  เมื่อเห็นเช่นก็ให้รู้สึกปลอดโปร่งดวงจิตสงบนิ่งอย่างมิเคยเป็นมาก่อน
      ร่างสูงใหญ่ในชุดเทาเดินกลับเข้าห้องหับอีกครั้ง  ไท่หยางตั้งใจว่าจะนั่งบำเพ็ญสมาธิรอจิ้งจอกน้อยอยู่ที่นี่  มันเดินไปที่เตียงแล้วก็ต้องหยุดชะงักเมื่อเห็นบางสิ่งตกลงบนพื้น  ไท่หยางก้มลงเก็บมันคือมา
      ที่แท้คือเคล็ดวิชาที่ชุนหลันได้มอบให้    ตอนนี้ส่วนปกของมันกลับเปรอะเปื้อนด้วยบางสิ่ง  ดวงเนตรสีน้ำตาลเห็นแล้วก็ให้เกิดประกายสั่นไว้  เป็นเพราะก่อนหน้านั้นมันใส่เคล็ดวิชาไว้ด้านในของสาบเสื้อด้วยความเคยชิน    มิทราบเพราะเหตุใดจึงทำให้ตัวเล่มโผล่พ้นออกมาตอนช่วงเวลาสำคัญ
      อันตัวมันเองนั้นเมื่อร่างกายฟื้นสภาพก็รู้สึกอยากแตะต้องปรนเปรอถิงถิงด้วยใจรัก  เมื่ออยู่ในช่วงที่กำลังนำพาถิงถิงน้อยสู่สวรรค์ชั้นฟ้าจึงมิได้สนใจเคล็ดวิชาเล่มนี้ว่ามันอยู่อย่างไร  สุดท้ายคาดว่าคงรับสายน้ำแห่งความสุขของจิ้งจอกน้อยเข้าไปเต็มๆ  จึงได้มีสภาพย่นยู่เกรอะกรังเช่นนี้  ส่วนเจ้าจิ้งจอกนั้นคงมิได้ทันสังเกต  เมื่อหยิบฉวยเสื้อผ้าของมันไปซักทำความสะอาดจึงมิรู้ว่าเคล็ดวิชานี้ร่วงหล่นลงบนพื้น
      ไท่หยางพลิกมันไปมาด้วยสีหน้ามิอาจคาดเดา
      และตอนนั้นเองดวงเนตรสีน้ำตาลก็สังเกตเห็นสิ่งแปลกประหลาดที่ปกของเคล็ดวิชา
      แม้ปกกระดาษจะโดนน้ำรักของถิงถิงจนยับเยินแต่ตอนนี้มันกลับปรากฏตัวอักษรขึ้นที่ด้านหน้า
      ไท่หยางขมวดคิ้วด้วยความประหลาดใจ  มันจำได้ว่า ที่หน้าปกมิเคยมีอักษรอันใดขีดเขียนไว้
      ดวงเนตรสีน้ำตาลจับจ้องที่ตัวอักษร  ริมฝีปากได้รูปของไท่หยางออกเสียงตามคำนั้นอย่างแผ่วเบา
   
    “บุปผาอมตะ  ส่วนที่สอง”

                  จบ



จบแล้วล่ะ  ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะ  จุ๊บุๆ

(;ノ゚Д゚)ノ ชี้แจง  ที่ชื่อบุปผาอมตะ  เพราะเป็นชื่อเคล็ดวิชาที่ม่อเจวียนเป็นผู้คิดค้น  มี2 ส่วน
1  ดูดเพื่อไว้เป็นขุมพลังในการออกสู้
2  ดูดเพื่อไว้รักษายามที่ได้รับบาดเจ็บสาหัส

สรุปแล้วคือเคล็ดวิชานี้เป็นของพรรคมาร ซึ่งก็คือ พรรคบุปผาดำ ของม่อเจวียนนั่นเอง 

ชอบไม่ชอบยังไงติดเตียนได้นะ มิต้องเกรงใจ  สุดท้ายข้าน้อยก็คงต้องจากกันเท่านี้  ขอบคุณมากๆสำหรับคนที่เม้นให้  เพราะไม่งั้นเรื่องนี้คงจะไร้สีสันเงียบเหงามิใช่น้อย Zzz..(u_u)  ขอบคุณสำหรับกำลังใจเจ้าค่ะ(¯▽¯;)
:pig4:

Peppermint

  • บุคคลทั่วไป
ว้า จบแย้ว เป็นกำลังใจให้คนเขียนค่า น่าจะมีคู่พี่ใหญ่กับพี่รองบ้างนะ

ออฟไลน์ ตัวเลข

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 225
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
สนุกดีค่ะ อยากจะอ่านทั้งคู่ของที่ใหญ่และคูของน้องเล็กจังเลย ไม่รู้ว่าจะมีให้อ่านหรือเปล่านะ

ออฟไลน์ jinjin283

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 934
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-1
จบแล้วเหรอคะ กำลังสนุกเลยอะ
อยากรู้ว่าจะฝึกวิชาที่สอต่อไหมอะ ^^

ออฟไลน์ cancan

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1168
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +581/-0
ว้า จบแย้ว เป็นกำลังใจให้คนเขียนค่า น่าจะมีคู่พี่ใหญ่กับพี่รองบ้างนะ

เอาไว้ถ้าคันไม้คันมือเมื่อไหร่  เดี๋ยวเขียนเสร็จหมดแล้วจะเอามาลงค่ะ

สนุกดีค่ะ อยากจะอ่านทั้งคู่ของที่ใหญ่และคูของน้องเล็กจังเลย ไม่รู้ว่าจะมีให้อ่านหรือเปล่านะ
กำลังคิดว่าคู่ของพี่ใหญ่อาจจะเป็นตอนสุดท้ายของเรื่องนี้เลยก็ได้  แต่ว่า...ยังไม่ได้เขียนเลยอ่ะ ==" แหะๆ

จบแล้วเหรอคะ กำลังสนุกเลยอะ
อยากรู้ว่าจะฝึกวิชาที่สอต่อไหมอะ ^^

ขอบคุณที่ชอบค่ะ  คงไม่ได้ฝึกต่อ  เพราะส่วนแรก สื่อเสินและไท่หยางไม่มีค่ะ^^  ถ้าได้อ่านยามเมื่อได้พบพาน..จะรู้ว่า  ม่อเจวียนใช้ส่วนแรกตอนที่สูบพลังจากตู๋เสอ



สุดท้าย โค้งงามๆ  ขอบคุณคร้าฟฟฟ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-04-2014 07:16:12 โดย cancan »

ออฟไลน์ bulldog17

  • ❤GOT7
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3689
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +265/-12
สนุกมาก o13

แอบช๊อคเมื่อรู้ว่าชุนหลันเป็นเมะ!!!!

สรุปว่า ชอบค่าาาา :L2:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด