แวะมาลงต่ออีกส่วนหนึ่ง อาหารหวานหลังมื้อเย็นค่ะ
เจอกันอีกทีคืนวันเสาร์นะคะ ^ ^
[2]
“อย่าร้องนะ แล้วผมจะปล่อยคุณ...”
เสียงทุ้มกระซิบแผ่วริมหูบาง ทำให้คนที่กลัวจนน้ำตาคลอรีบพยักหน้าแทนคำตอบ ทันใดนั้นเองริมฝีปากของเขาก็เป็นอิสระ แต่มีดเล่มเล็กก็ยังคงจ่อนิ่งอยู่ที่เดิม
“เอาหมาไปไว้ในห้องซะ ถ้าตุกติกล่ะก็ คอขาว ๆ ของคุณเป็นรูแน่...”
“นายเป็นใคร? ต้องการอะไร?”
กรวิชญ์เอ่ยถามออกไปพร้อมกับค่อย ๆ เดินไปทางไวท์ที่ยืนขู่อยู่หน้าห้องรับแขก คมมีดที่เฉี่ยวสัมผัสลำคอทำให้เขาขนลุกเกรียวด้วยความหวาดหวั่น สมองพยายามเค้นคิดหาทางหนีรอด
“ถ้าเงินล่ะก็ ที่นี่ไม่มีหรอกนะ”
ร่างสูงใหญ่ไม่ตอบ เพียงแค่ขยับสอดเข่าเข้าไประหว่างขาของร่างตรงหน้าแล้วกระทุ้งเบา ๆ แทนการเร่งให้รีบเดินต่อไป กรวิชญ์ขมวดคิ้วมุ่นพร้อมกับกวักมือเรียกไวท์ ในใจยังคงวางแผนหาทางหนีออกจากที่นี่ไปพร้อม ๆ กับสุนัขคู่ใจตัวนี้อย่างยากลำบาก
“ไวท์ ไปเข้าห้อง...”
สุนัขร่างใหญ่ไม่ฟังเสียงเจ้านาย กลับขู่ใส่คนแปลกหน้าพร้อมกับเริ่มเห่าไม่ยอมหยุด กรวิชญ์เองก็ไม่คิดจะห้าม เผื่อว่าใครที่ได้ยินเสียงแล้วรู้สึกผิดสังเกตจะเข้ามาช่วย แต่ความหวังก็ดับวูบเมื่อได้ยินเสียงขยับของโลหะข้างหู ดวงตาคู่สวยเบือนมองข้างศีรษะด้วยความตกใจเมื่อพบว่าในมืออีกข้างของอีกฝ่าย บัดนี้ถือปืนที่กำลังเล็งไปทางสุนัขตัวโปรดของเขาที่ส่งเสียงเห่าไม่ยอมหยุด
“ไวท์!! ไปเข้าห้องเดี๋ยวนี้!!!!”เสียงใสแทบจะกรีดร้องจนร่างปุกปุยสีขาวสะดุ้ง เนื่องจากนาน ๆ ครั้งเท่านั้นที่เจ้าตัวแสบจะถูกดุ
“เข้าห้อง!!”
เมื่อได้ยินคำสั่งย้ำอีกครั้ง ไวท์จึงมุ่งหน้าไปยังห้องนอน โดยมีอีกสองร่างเดินตามไปเพื่อปิดประตู
“เอาล่ะ ทีนี้ก็ไปห้องน้ำซะ”
กรวิชญ์เลิกคิ้วขึ้น แต่ยังไม่ทันได้ถามอะไร ร่างบอบบางก็ถูกผลักให้เดินหน้าไปทั้ง ๆ ที่ยังมีมีดจ่อคออยู่ การเดินแบบนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายนัก เขาต้องเงยหน้าขึ้นพอสมควรเพื่อหลบหลีกคมมีด ทั้งยังถูกจับมือไขว้ไว้ด้านหลังติดกับหน้าท้องของชายหนุ่มอีก
ขาเรียวก้าวเข้าสู่ห้องน้ำอย่างช้า ๆ พื้นกระเบื้องยามค่ำคืนให้สัมผัสเย็นยะเยือกไม่ต่างอะไรกับคมมีดที่ยังคงอยู่ที่เดิม กรวิชญ์ถูกต้อนให้ไปนั่งที่ชักโครกพร้อมกับเผชิญหน้ากับร่างสูงใหญ่ของผู้บุกรุก
“เอาล่ะ ทีนี้นายจะบอกได้รึยังว่าต้องการอะไร?”
เสียงใสพยายามควบคุมให้คงที่ แต่ก็ไม่วายสั่นระริกเล็กน้อยด้วยความหวาดหวั่นที่ไม่อาจปกปิดได้มิด
ร่างสูงตรงหน้าไม่ตอบ กลับปลดกระดุมเสื้อเพื่อถอดเครื่องแบบคนส่งพิซซ่าออกอย่างรีบเร่ง เผยให้เห็นเสื้อเชิ้ดสีดำด้านใน เห็นได้ชัดว่ารำคาญเสื้อผ้าที่ขนาดเล็กกว่าร่างกายจนแทบทนไม่ไหว ระหว่างนั้นกรวิชญ์ก็เริ่มตวัดสายตาไปทางประตูห้องน้ำที่ถูกอีกฝ่ายยืนบังไว้จนมิด อยากจะหาจังหวะหนีออกไปอยู่หรอก แต่มีดที่อยู่ในมือใหญ่มันชวนให้ความกล้าลดลงเสียจริง
“นี่นาย ต้องการอะไรกันแน่? ฉันไม่ว่างนั่งอยู่ในส้วมทั้งคืนหรอกนะ...”
เด็กหนุ่มชะงักเมื่ออีกฝ่ายหันหน้ามามองนิ่ง ๆ เขาหลบสายตาคมที่จ้องมองมาอย่างไม่อาจทานทนต่อแรงกดดันได้ แม้จะมองเพียงเสี้ยววินาที แต่เขาก็รับรู้ถึงความหล่อเหลาของคนตรงหน้าได้เป็นอย่างดี
‘หน้าตาก็ดี ไหงคิดสั้นมาเป็นขโมยก็ไม่รู้’
ชายหนุ่มปลดเน็คไทออก พร้อมกับเดินเข้ามาหาร่างเล็กที่สะดุ้งเฮือกด้วยความตกใจ
“หันหลัง แล้วเอามือไพล่หลังไว้”
เสียงทุ้มเอ่ยสั่ง ดวงตาคู่สวยปรายมองมีดที่อยู่ในมือของอีกฝ่ายพลางยอมจำนนทำตามคำสั่งแต่โดยดี แม้ในใจจะไม่เต็มใจนัก เขานิ่งให้อีกฝ่ายมัดมือเอาไว้แน่นโดยไม่ปริปากอะไรออกมา ในใจอดกังวลไม่ได้ว่าจะหาทางหนีออกไปทั้ง ๆ ที่มือถูกมัดเสียแน่นเช่นนี้ได้อย่างไร
“เอาล่ะ ทีนี้ก็ลุกขึ้นซิ แล้วหันหน้ามาทางนี้ด้วย”
กรวิชญ์ลุกขึ้นยืน ความหงุดหงิดจนลืมกลัวทำให้เขาตัดสินใจเงยหน้ามองอีกฝ่ายอย่างท้าทาย
“สั่งอยู่ได้ พูดดี ๆ ไม่เป็นรึไง?”
“นี่คนสวย... ผมชอบเสียงของคุณนะ แต่ถ้าพูดจาไม่น่ารักมาก ๆ เข้า ระวังจะพูดไม่ได้นะครับ”
เด็กหนุ่มเงียบเสียง ก่อนจะอุทานดังเมื่ออีกฝ่ายเลื่อนมือลงมาปลดกระดุมเสื้อของเขาอย่างชำนิชำนาญ
“อะ... ทำบ้าอะไรของนาย!! หยุดนะ! ฉันบอกให้หยุดไง!!”
เสียงโวยลั่นของเขามีผลต่ออีกฝ่ายเพียงเรียกเสียงหัวเราะเบา ๆ ในลำคอเท่านั้น มือใหญ่เลิกเสื้อไปด้านหลัง พันเป็นปมทับเน็คไทอีกชั้นหนึ่ง เผยให้เห็นเรียวบ่าลาด ผิวขาวเนียนละเอียดชวนมองดูเปล่งประกายยิ่งนักภายใต้แสงไฟสีส้มในห้องน้ำเช่นนี้
“อยู่นิ่ง ๆ สิคนสวย... คุณชอบความตื่นเต้นไม่ใช่เหรอ?”
กรวิชญ์ขมวดคิ้วมุ่น ก่อนจะเบิกตากว้างอย่างนึกขึ้นได้ว่าเคยให้สัมภาษณ์ไว้เช่นนั้น แต่นั่นเขาหมายถึงความตื่นเต้นประเภทบันจี้จั๊มพ์อะไรแบบนั้น ไม่ใช่ถูกคนบุกรุกเข้าบ้านแล้วจับแก้ผ้าแบบนี้!!
ระหว่างที่เขากำลังตื่นตระหนกนั้นเอง มือใหญ่ก็คว้าเอาฝักบัวมาเปิดน้ำร้อนจัดแล้วหันมาทางร่างบอบบางอย่างรวดเร็ว
“อ๊ะ...!! แค่ก แค่ก!! ทะ ทำอะไรของ... แค่ก!!”
เขาสำลักน้ำเต็ม ๆ น้ำร้อนจัดทำให้เขารู้สึกแสบจมูก ให้ตายเถอะ ไอ้หมอนี่มันเสียสติไปแล้วรึไง?!
“นายจะทำอะไรกันแน่!!”“เดี๋ยวก็รู้... ผิวของคุณเนี่ยนะ เวลาโดนน้ำร้อนเข้าไปแบบนี้แล้วขึ้นสีได้เร็วจริง ๆ”
ประโยคหลังที่เอ่ยด้วยน้ำเสียงเพ้อฝันทำให้เด็กหนุ่มขนลุกซู่ด้วยความหวาดกลัว การถูกขโมยบุกบ้านก็น่ากลัวอยู่แล้ว และถ้าขโมยนั่นเป็นคนโรคจิตด้วยล่ะก็ ความน่ากลัวมันเพิ่มขึ้นเป็นร้อยเท่าเลย!!
“เอาล่ะ มาอาบน้ำกันดีกว่า”
กรวิชญ์ผงะไปกับคำพูดของอีกฝ่าย ก่อนจะพยายามดิ้นเมื่อมือใหญ่ค่อย ๆ ปลดซิปกางเกงของเขาอย่างเบามือ
“นายจะบ้าเหรอ!! ปล่อยฉันนะ!!!”
อีกฝ่ายหัวเราะในลำคอเบา ๆ พลางรูดกางเกงขายาวสีน้ำตาลของเด็กหนุ่มลง และก่อนที่กรวิชญ์จะทันได้อ้าปากพูดอะไร เขาก็รู้สึกถึงความเย็นเยียบที่แนบลงบนผิวอ่อนริมขอบกางเกงใน
“น้องกรครับ เคยเรียนศิลปะไหม?”
“นะ นาย... หมายความว่ายังไง?”
ร่างสูงจุปากคล้ายกับไม่พอใจกับสิ่งที่ได้ยิน “ไม่ชอบให้คุณเรียกผมแบบนั้นเลยนะ... ผมชื่อ 'ปัถย์' ผมถามว่าเคยเรียนศิลปะรึเปล่า คุณกลัวเสียจนฟังผมไม่รู้เรื่องเชียวหรือ?” มือแกร่งจิกเรือนผมนุ่มแล้วดึงจนใบหน้างามแหงนหงาย “ตอบมาผมซิ คนสวย เราจะได้เรียนกันต่อ”
“คะ เคย...”
"ดีครับ เรียกชื่อของผมด้วยสิ เรียกว่า 'พี่ปัถย์' เร็วเข้า"
เรือนร่างบอบบางสะท้านเฮือกเมื่อรับรู้ได้ถึงปลายลิ้นที่โลมเลียเรือนคอขาวเนียน “อย่า... พะ พี่ปัถย์...” เขารู้สึกขยะแขยงจนน้ำตาแทบไหล
“เป็นเด็กดีแบบนี้ตั้งแต่แรกก็ไม่ต้องเจ็บตัวหรอก...” เอ่ยพร้อมกับปล่อยมือที่ขยุ้มผมสีเข้ม “พูดถึงเรียนศิลปะ รู้ใช่ไหมว่าต้องระบายสีอ่อนก่อนสีเข้ม?”
กรวิชญ์ไม่ตอบ กลับขมวดคิ้วมุ่นพลางปรับระดับลมหายใจให้เข้าที่ และเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเงื้อมีดขึ้น เขาจึงรีบพยักหน้าโดยเร็ว
“ตอบเป็นคำพูดสิ”
“ใช่! มันก็ต้องแบบนั้นอยู่แล้วนี่!”
“อืม ดี คุณก็เข้าใจเรื่องกฎของสีดีนี่” ชายหนุ่มเอ่ยเสียงกังวาน พร้อมกับเปล่งเสียงหัวเราะออกมาอย่างน่าขนลุก “รู้ไหมว่าทำไมแม่มดถึงอยากเห็นสโนว์ไวท์เปื้อนเลือด?”
กว่ากรวิชญ์จะเข้าใจความหมายของคำพูดนั้น คมมีดก็พุ่งมาทางหน้าท้องขาวเนียนของเขาแล้ว!!
"สีแดงที่ไหลรินบนผิวขาว ๆ ของคุณ... คงเป็นภาพที่สวยงามน่าดูเลย ว่าไหม?”
“ ----------!!!!”
ฟึ่บ!!ปลายมีดที่ควรจะฝังเข้าเนื้อของเขา กลับเลยไปตัดสายเน็คไทที่พันข้อมือของเขาออกแทน พร้อมกับเสียงหัวเราะเบา ๆ ของคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าที่ดังขึ้นเมื่อร่างเพรียวถึงกับไม่อาจห้ามอาการสั่นของร่างกายได้
"คุณคิดว่าผมโหดร้ายขนาดนั้นเชียวหรือ? ถ้าคุณออกจะน่ารักและเชื่อฟังแบบนี้ ผมรับประกันว่าจะไม่ทำร้ายคุณ... เราออกไปทานอาหารค่ำกันดีกว่า"
ปัถย์เดินเข้ามาพยุงร่างที่เปียกน้ำจนชุ่มไปหมดทั้งตัวให้ลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกไป ในตอนนั้นกรวิชญ์สามารถสะบัดหลุดได้โดยง่ายเนื่องจากอีกฝ่ายลดมีดลง แต่เขาไม่มีแรงจะขัดขืนในตอนนี้ ความหวาดกลัวจากวินาทีที่คิดว่าตนเองจะโดนแทงยังเกาะกุมอยู่ในใจ
"พิซซ่าที่ผมเอามาส่งให้คุณเป็นพิเศษ คุณยังไม่ได้ทานเลยสินะ"
มือแกร่งกดบ่าบางให้นั่งลงบนเก้าอี้โต๊ะอาหาร ก่อนจะก้มลงมัดข้อเท้าของเขาติดกับขาเก้าอี้อย่างรวดเร็ว
"ไม่ต้องห่วง ผมไม่ได้มัดแน่นขนาดนั้น แค่กันคุณลุกไปไหนทั้ง ๆ ที่ยังทานไม่เสร็จเท่านั้น"
"... พิซซ่านั่น?"
"ใช่สิ ไม่ง่ายเลยนะที่จะยืมชุดคนส่งพิซซ่ามาเสิร์ฟให้คุณ ที่จริงผมก็ขอร้องดี ๆ แล้วแท้ ๆ ว่าเดี๋ยวจะเอามาคืน หมอนั่นก็ไม่น่าวุ่นวายให้เสียเวลาเลยจริง ๆ นะ"
ชายหนุ่มแกว่งมีดเล่นไปมา ทำให้กรวิชญ์ค่อย ๆ เข้าใจความหมายของคำพูดนี้ได้อย่างช้า ๆ
"นาย... ฆ่าเขา?"
เสียงหัวเราะดังก้องไปถึงขั้วหัวใจของเด็กหนุ่ม "อย่าใช้คำพูดน่ากลัวแบบนั้นสิ ผมแค่อยากมอบความสุขให้คุณถึงที่ หมอนั่นอยากมาขัดขวางผมเองนี่นะ ผมก็จำเป็นต้องป้องกันตัวเท่านั้น"
มือใหญ่เปิดฝากล่องพิซซ่า เผยให้เห็นพิซซ่าขนาดกลางที่ยังอยู่ในสภาพเดิม ตอนนี้กรวิชญ์เริ่มกังวลกับคราบเมือกสีขาวที่อยู่บนหน้าพิซซ่าจนละสายตาไม่ได้ ทำให้อีกฝ่ายสังเกตถึงความตีงเครียดบนใบหน้าเยาว์วัยแล้วมองตามดวงตาคู่สวย รอยยิ้มค่อย ๆ ผุดขึ้นบนใบหน้าดูดี
"ผมอุตส่าห์ใส่ส่วนประกอบพิเศษเพื่อคุณโดยเฉพาะเลยด้วย" เอ่ยพลางหยิบพิซซ่าขึ้นมาถือไว้ แล้วยื่นมาทางเด็กหนุ่ม "เอ้า อ้าปากสิครับ"
กรวิชญ์ตัวสั่นด้วยความหวาดหวั่น เขารู้แล้วว่าอะไรอยู่บนนั้น ริมฝีปากคู่สวยเม้มแน่นโดยไม่รู้ตัว
"อ้าว ต่อต้านอีกแล้วเหรอครับ?"
ชายหนุ่มเลิกคิ้วขึ้นพร้อมแสดงอาการแปลกใจ เขาสั่นศีรษะพร้อมกับวางพิซซ่าลงแล้วหันไปทางมีดที่วางอยู่ข้าง ๆ ตอนนั้นเองที่เด็กหนุ่มนึกได้ว่าอีกฝ่ายกำลังจะทำอะไร
"เปล่า! หะ ให้ฉันกินเถอะ..."
ปัถย์ระบายลมหายใจออกมายาวคล้ายกับเอ็นดูเด็กดื้อ "เข้าใจง่าย ๆ แบบนี้ตั้งแต่แรกก็หมดเรื่อง"
เขาเอื้อมมือไปหยิบพิซซ่าแล้วป้อนให้อีกฝ่ายถึงปาก นัยน์ตาคู่โตเหลือบมองคราบขาวบนพิซซ่าสลับกับรอยยิ้มบนใบหน้าคมเข้ม ก่อนที่เรียวปากบางจะค่อย ๆ เผยอแล้วกัดลงบนพิซซ่าเล็กน้อยเพื่อเลี่ยงไม่ให้ถูกคราบเลอะนั่น
"ทานเยอะ ๆ สิครับ ผมอยากให้คุณทานนะ"
"มะ ไม่ล่ะ... ฉันยังไม่หิว"
ทันใดนั้นเอง มือแกร่งก็ตะปบเข้าที่กรามของเขา พร้อมกับบีบให้อ้าปากอย่างรุนแรงแล้วยัดพิซซ่าเข้าไปทั้งชิ้น
"อึก! อื้อ... อ!!"
เด็กหนุ่มพยายามคว้าข้อมือหนาเอาไว้ แต่ก็ไม่อาจเบือนหน้าหนีได้ ร่างบางเกร็งไปทั้งตัว แต่อีกฝ่ายกลับเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มคล้ายกับบิดาสอนบุตรให้ทานอาหารอย่างอ่อนโยน
"เป็นเด็กดีนะครับ น้องกร ผมอยากให้คุณทานให้หมดทั้งชิ้น..." เขาเลื่อนชิ้นพิซซ่าให้ลึกลงไปอีกจนอีกฝ่ายแทบขย้อน "ค่อย ๆ เคี้ยวสิครับ จะได้กลืนลงไป..."
หลังจากฝืนต้านอยู่พักหนึ่ง ในที่สุดกรวิชญ์ก็ยอมเคี้ยวอย่างช้า ๆ หยดน้ำใสปริ่มขอบตาด้วยความขยะแขยงกับรสชาติเฝื่อนคอที่ได้รับ เขาใช้เวลาอยู่นานกว่าพิซซ่าทั้งชิ้นจะหมด แล้วปัถย์จึงผละถอยไปนั่งที่เดิม
"ดื่มน้ำหน่อยไหมครับ?"
กรวิชญ์หอบหายใจแรงโดยไม่พูดอะไร เขายกหลังมือเช็ดริมฝีปากพร้อมกับปาดน้ำตาด้วยความสะอิดสะเอียน เด็กหนุ่มไม่ได้เงยหน้าขึ้นมองว่าอีกฝ่ายลุกไปไหน และเมื่อรู้สึกตัวอีกที ก็มีขวดเบียร์วางอยู่ตรงหน้าของเขาแล้ว
"อา... จริงสิ ดื่มเบียร์ท่านี้ไม่ได้นี่เนอะ" ชายหนุ่มคว้ามีดแล้วเดินมาทางร่างบอบบางที่ยังคงถูกมัดอยู่กับเก้าอี้ "พอผมปลดเชือก ให้คุณไปยืนขึ้นแล้ววางมือลงบนโต๊ะ เข้าใจนะครับ?"
กรวิชญ์ปรอยตามองอีกฝ่ายด้วยความไม่เข้าใจ แต่ก็รีบรับคำเมื่อรู้สึกได้ถึงคมมีดที่จ่อผิวอยู่ด้านหลัง
"ขะ เข้าใจแล้ว!"
ปัถย์ใช้เวลาไม่นานในการแกะเชือก แล้วใช้มีดจี้หลังเด็กหนุ่มให้ไปยืนชิดขอบโต๊ะอาหาร กรวิชญ์วางมือทั้งสองข้างลงบนโต๊ะตามคำสั่งแล้วรอดูต่อไปว่าอีกฝ่ายจะทำอะไร
"กางขาออกซิ..."
ใบหน้าเนียนแดงซ่านขึ้นมาทันที "นายจะบ้า...!!"
เขาเอี้ยวตัวกลับมา ก่อนชะงักไปเมื่อพบกับปลายมีดที่จ่อคออยู่แทนคำตอบ เขาจึงหันกลับไปแล้วกางขาออกโดยไม่พูดอะไรอีก
"กว้างกว่านี้ครับ... กว้างอีกหน่อย คนดี"
กรวิชญ์แยกขาออกกว้างจนหน้าจะทิ่มหากไม่มีโต๊ะคอยรองรับน้ำหนัก แล้วชายหนุ่มจึงก้มลงผูกข้อเท้าของเขาเอาไว้กับขาโต๊ะอย่างแน่นหนา ทำให้ร่างบอบบางแนบสนิทติดกับโต๊ะโดยสมบูรณ์ หยดน้ำที่ยังไม่แห้งตั้งแต่ตอนอยู่ในห้องน้ำหยดแหมะลงบนพื้น
"กันคุณเมาแล้วล้มน่ะครับ" ชายหนุ่มหัวเราะเบา ๆ เมื่อเห็นอีกฝ่ายมองมาด้วยสายตาไม่เข้าใจ "ทีนี้เรามาดื่มกันเถอะ"
"จะดื่มท่านี้ได้ยังไงกันล่ะ?! มีหวังสำลักกันพอดี"
"ดื่มได้สิครับ ท่านี้ทำให้รับแอลกอฮอล์ได้รวดเร็วที่สุดด้วย... คุณคอแข็งนี่นา ก็ต้องให้ดื่มท่าที่เมาง่ายที่สุดสิ"
กรวิชญ์ยังคงไม่เข้าใจกับคำพูดของอีกฝ่าย แต่แล้วก็ต้องร้องลั่นเมื่อคมมีดเลื้อยขึ้นมาตาขอบกางเกงใน
"นายทำอะไรน่ะ!!"
"อย่าดิ้นนะครับ ถ้าพลาดพลั้งไปโดนอะไรเข้า ผิวสวย ๆ ของคุณจะเป็นรอยได้นะ"
เขาหัวเราะเบา ๆ พร้อมกับค่อย ๆ ตัดผ้าชิ้นสุดท้ายบนเรือนร่างงดงามให้ขาดจากกัน ซากกางเกงสีขาวที่ตกลงบนพื้นเรียกอาการสะท้านในใจของเจ้าของร่างเพรียว เขาคิดว่าคงไม่ได้หูแว่วที่ได้ยินเสียงหอบหายใจอย่างกระหายของคนด้านหลัง
มือใหญ่ลูบแก้มก้นเนียนอย่างเบามือ เรียกอาการหวั่นระทึกของเด็กหนุ่มจนขนลุกเกรียว กรวิชญ์พยายามเกร็งตัวโดยไม่พูดอะไร จนกระทั่ง ปลายนิ้วยาวค่อย ๆ เลื่อนเข้าสู่ร่องหลืบด้านหลัง
"ดะ เดี๋ยว! นายจะทำอะไรน่ะ?!"
"พูดจาไม่มีหางเสียงเลย... ผมว่าผมบอกชื่อคุณแล้วนะ ต่อจากนี้ช่วยเรียกชื่อผมด้วยนะครับ"
"นายมันบ้าไปแล้ว!! ทำแบบนี้กับฉันทำไม?!"กรวิชญ์ตะคอกออกมาอย่างเหลืออด ใบหน้าเนียนแดงก่ำด้วยความอายระคนความโกรธ แต่อีกฝ่ายกลับทำเพียงแค่สั่นศีรษะอย่างนึกปลง ก่อนจะเดินออกไปทางโถงทางเข้าแล้วกลับมาพร้อมกับกระเป๋าสีดำใบใหญ่
กรวิชญ์เงียบเสียงลงเมื่อเห็นสิ่งที่อีกฝ่ายหยิบออกมา ทำให้ร่างสูงอมยิ้มเล็กน้อย
"เงียบได้แล้วเหรอครับ? ผมนึกว่าต้องลงไม้ลงมือกับคุณจนถึงที่สุดเสียอีกกว่าคุณจะเงียบ... แบบนี้ก็ดีครับ ผมจะได้ไม่ต้องฝืนใจทำร้ายคุณ"
เด็กหนุ่มระบายลมหายใจด้วยความโล่งอก ก่อนที่เรือนร่างจะเขม็งเครียดอีกครั้งเมื่อได้ยินประโยคถัดไป
"แต่เพื่อเป็นการหลาบจำ ผมคงต้องสร้างรอยบนร่างกายของคุณสักหน่อย"
แส้หนังสีดำสะบัดวูบ ก่อนจะฟาดลงบนแผ่นหลังเนียนสุดแรง
"อื้อ!!!"หยดน้ำตาหยดลงบนโต๊ะไม้ในทันที เจ็บแสบจนไม่อาจห้ามเสียงร้องได้อยู่ อีกฝ่ายตวัดแส้อีกไม่กี่ครั้งก็หยุดมือ เพียงเท่านั้นใบหน้างามก็เต็มไปด้วยน้ำตา เด็กหนุ่มทรุดฮวบลงกับโต๊ะพลางหอบหายใจและกลั้นสะอื้น รอยบวมแดงปรากฏบนแผ่นหลังเนียน
"อึก ฮือ... ฮึก"
"ไม่น่าหัดต่อปากต่อคำเลยนะ... ผมไม่อยากให้ร่างกายของคุณมีรอยเลยแท้ ๆ" ปัถย์จุปากเบา ๆ "เอาล่ะ มาดื่มเบียร์กันดีกว่า... จะได้อารมณ์ดีขึ้น"
ภาพตรงหน้าพร่ามัวไปด้วยหยดน้ำใส กรวิชญ์ยอมให้อีกฝ่ายจับต้องร่างกายแต่โดยดี ในตอนนี้เขายอมทำทุกอย่าง ขอเพียงได้รับอิสรภาพอีกครั้งหนึ่ง ---
สนใจรับพิซซ่าซีฟู้ดสักถาดไหมคะ?
