Red Rose < By Foggy > :: จบ ::
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Red Rose < By Foggy > :: จบ ::  (อ่าน 84348 ครั้ง)

Unn

  • บุคคลทั่วไป
Red Rose < By Foggy > :: จบ ::
« เมื่อ15-01-2008 18:48:52 »

 :m4:  ก่อนอื่นก็ทักทายกันก่อนนะงับ เรื่อง Red Rose นี่ เป็นนิยายแนวแฟนตาที่หลายๆคน
คงได้อ่านกันมาบ้างแล้ว แต่ผมเห็นว่าที่บอร์ดนี้ยังไม่มีเอามาลงไว้เลยงับ 
ก็เลยคิดว่าน่าจะเอามาลงให้อ่านกัน  เผื่อบางคนต้องการอ่านซ้ำ และบางคนที่ยังไม่อ่าน แหะๆ 

 ป.ล. ผมขอเรื่องนี้จากคุณ Foggy ทางเมลล์งับนานแล้วเหมือนกัน หวังว่าจะชอบกันนะค๊าบ
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-05-2008 14:15:23 โดย Unn »

Unn

  • บุคคลทั่วไป
Re: Red Rose < By Foggy >
«ตอบ #1 เมื่อ15-01-2008 18:54:27 »

:m22:Chapter 1 The Letter

      คุณไทกิ…
 
 แม่ขอโทษที่ต้องตัดสินใจแบบนี้ แม่ไม่เข้มแข็งพอที่จะเผชิญหน้ากับลูก ขอเวลาให้แม่ทำใจสักนิดเถอะนะลูกรัก
เทอมหน้าลูกก็เข้า ม.ปลายแล้ว แม่คงต้องให้ลูกไปอยู่โรงเรียนหอ แม่จัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยแล้ว
ดูแลตัวเองด้วยนะคุณไทกิ
                     รักลูกมากที่สุด
                            แม่


หนุ่มน้อยวัยสิบหกขยำจดหมายที่จ่าหน้าซองส่งมาจากแคนาดา โยนทิ้งลงไปในตะกร้าขยะอย่างไม่ใยดี
ก่อนจะฟุบตัวลงบนเตียงโทรมๆในห้อง บนหัวเตียงยังมีซองเอกสารปึกหนาที่ส่งมาจากโรงเรียนหอมีชื่อของโตเกียว

รินคัง โรงเรียนหอเอกชนชายล้วน
รับนักเรียนจำนวนจำกัด
นักเรียนที่ได้รับหนังสือเรียกตัวทุกท่าน กรุณายื่นใบลงทะเบียนก่อนวันที่ 15 เมษายน และรายงานตัวเข้าหอ
ก่อนวันเริ่มต้นวันเปิดภาคเรียนอย่างน้อยหนึ่งสัปดาห์ หากไม่มาตามกำหนดนัดหมายจะถือว่าสละสิทธ์
การเข้าเรียนในปีการศึกษานี้
กำหนดการรับน้องใหม่และกำหนดการเลือก ‘สมาชิก’ ได้แนบไว้ในเอกสารวันเปิดภาคการศึกษาแล้ว


เด็กหนุ่มพลิกตัวแล้วหยิบเอกสารต่างๆขึ้นมาดู ส่วนใหญ่เป็นหมายกำหนดการและกฎระเบียบสำหรับน้องใหม่
เค้าเปิดผ่านไปเรื่อยๆ จนถึงหน้าสุดท้าย เห็นกระดาษปริ๊นสีทองอาบมันที่ดูเหมือนเป็นบัตรเชิญ
เค้าทิ้งเอกสารที่เหลือลงไปกองบนเตียง แล้วหยิบการ์ดแผ่นนั้นขึ้นมาดูใกล้ๆ

คุณโนมูระ ไทกิ  ได้รับเชิญให้เข้าร่วมงาน new member party ที่ห้องประชุมหอไฟ วันที่ 29 เมษายน
เวลา 19.00 น. และเป็นหนึ่งในหกผู้ถูกคัดเลือกเข้ากลุ่มสมาชิกพิเศษ
                  เทนโนะ ซุย
               ประธานกรรมการกลุ่มสมาชิกพิเศษ


ตอนแรกคิกว่าจะเป็นอะไรที่น่าสนใจกว่านี้ซะอีก ก็แค่งานรับน้องน่าเบื่อ ไทกิโยนกระดาษสีทองแผ่นสุดท้าย
ทิ้งไปในตะกร้าขยะ มือกำหมัดแน่น ก่อนจะระบายอารมณ์ทุบเตียงปังๆด้วยความโมโห

“แม่นะแม่! ทำแบบนี้มันเกินไปแล้วนะ!”

เด็กหนุ่มดีดตัวขึ้น ก่อนจะเดินไปที่หน้ากระจก ส่องดูหน้าตัวเองที่เหมือนแม่เปี๊ยบ แล้วตะโกนระบายอารมณ์
ใส่เงาในกระจกเหมือนเห็นเป็นหน้าแม่ใจร้ายที่ทิ้งเค้าไป

“ลูกคนเดียวถ้าไม่มีปัญญาเลี้ยง ก็เอาไปทิ้งสถานสงเคราะห์สิ เที่ยวเอาไปฝากให้เป็นภาระชาวบ้านอยู่ได้ โธ่ว้อยยยย!!”

ไทกิเดินระบายอารมณ์ด้วยความหงุดหงิดใจหลายรอบ แต่ก็คิดไม่ตก เงินที่ได้ตอนทำงานพิเศษก็ใกล้จะหมดแล้ว
ค่าเช่าห้องรูหนูก็ค้างเค้าตั้งหลายเดือน ไม่รู้จะโดนเฉดหัวออกไปเมื่อไหร่
เด็กหนุ่มเหลือบไปมองกองเอกสารที่โยนทิ้งลงถังไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบ
เอาวะ! ก็ยังดีกว่าอดตายข้างถนน…

วันนี้วันสุดท้ายแล้ว อีกสามชั่วโมงก็จะปิดรับลงทะเบียน เด็กหนุ่มยัดข้าวของที่มีอยู่น้อยนิดลงกระเป๋า
แล้วออกเดินทางมุ่งสู่ที่ซุกหัวนอนใหม่… โรงเรียนหอเอกชนรินคัง

Unn

  • บุคคลทั่วไป
Re: Red Rose < By Foggy >
«ตอบ #2 เมื่อ15-01-2008 18:58:28 »

 :m22:Chapter 2 Fantastic School

‘ปิดรับลงทะเบียน 16.00 น.’

ป้ายกระดาษแผ่นเบ้อเริ่มที่แปะหราอยู่หน้าโต๊ะรับลงทะเบียน เล่นงานหนุ่มน้อยแทบลมจับ

‘อะไรฟะ มาช้าแค่ 3 นาทีก็ไม่รับ บ้าอ่ะป่าว’ ไทกิบ่นในใจ

“เอ่อ… อาจารย์ครับ คือพอดีแถวบ้านผมรถติด ก็เลยมาช้า (ข้อแก้ตัวยอดฮิต แต่รถไฟใต้ดินติดนี่มันก็นะ…)
ขอผมลงทะเบียนด้วยคนได้มั้ยครับ”

ไทกิอ้อนเสียงอ่อนเสียงหวาน อาจารย์สาวแสนสวยที่กำลังเตรียมเก็บของกลับก็กรีดยิ้มหวานเชื่อมมาให้

“หนูจ๋า… ไม่ได้อ่านเอกสารกำหนดการที่แนบไปให้เหรอจ๊ะ ว่ากำหนดลงทะเบียนเค้าเปิดรับตั้งสองสัปดาห์
แล้วทำไมเพิ่งมาเอาป่านนี้ล่ะจ๊ะ ฮึ…”

“กะ… ก็… พอดีผมเพิ่งกลับมาจากต่างประเทศ นี่ไง… ผมยังมีจดหมายของแม่ที่เตือนให้มาลงทะเบียนอยู่เลย”

ไทกิรื้อซองเอกสาร ถึงจะขยำจดหมายของแม่ทิ้งไปแล้ว แต่ก็ยังโชคดีที่ซองจดหมายติดมากับเอกสารรายงานตัว อาจารย์สาวสุดสวยกรีดนิ้วรับมาดู เห็นตราประทับหราส่งมาจากแคนาดา ก่อนจะพลิกมาดูอีกด้าน พอเห็นชื่อที่จ่าหน้าซองเท่านั้น อาจารย์สาวก็ทำตาโตเท่าไข่ห่าน

“เธอ! เธอนั่นเอง เด็กใหม่ที่เค้าลือกัน …โนมูระ ไทกิ!”

อาจารย์ทักชื่อเค้าอย่างกับเห็นเป็นดาราชื่อดัง จนไทกิต้องถอยไปตั้งหลัก อะไรกัน…
ยังไม่ทันเข้าเรียนเค้าก็ดังขนาดนี้แล้วเหรอ โรงเรียนนี้มันชักจะยังไงๆแล้วสิ

“ฉันคิดว่าเธอจะไม่มาซะแล้ว ฉันชื่อ โอคุนิ ซายะ เรียกอาจารย์ซายะก็ได้ ฉันสอนวิชาภาษาอังกฤษจ้ะ”
แล้วอาจารย์สุดสวยก็คว้าแขนหมับไม่ให้เค้าตั้งตัว

“มาเถอะจ้ะ ชีจัง… เค้ากำลังรอเธออยู่ ฉันจะพาเธอไปเอง”

อาจารย์ซายะพาเดินขึ้นไปบนตึกใหญ่ซึ่งเป็นตึกที่เก่าแก่ที่สุด ไทกิมองดูบรรยากาศรอบๆในโรงเรียนด้วยความตื่นเต้น
 โรงเรียนนี้ท่าทางจะเก่าแก่มากจนเหมือนมีมนตร์ขลัง ตัวตึกทุกตึกทำจากอิฐสีแดง
ดูสง่างามเหมือนปราสาทขุนนางยุโรปสมัยก่อนไม่มีผิด มันสวยขนาดนี้นี่เอง มิน่า… ถึงเป็นโรงเรียนในฝัน
ที่ใครๆก็อยากมาเรียน

“นั่นอะไรฮะ?” ไทกิชี้นิ้วไปยังตึกสี่หลังที่ตั้งอยู่ใกล้ทะเลสาบหลังโรงเรียน

“อ๋อ… นั่นเป็นหอพักจ้ะ หอสีน้ำตาลที่อยู่ทางขวามือสุดเป็นหออาจารย์ชื่อ ทสึจิเอ็น (หอดิน) ถัดมาหอสีเขียว
คือหอซีเนียร์ปีสามชื่อ มิสึเอ็น (หอน้ำ) ส่วนที่อยู่ทางซ้ายตึกสีครามเป็นหอจูเนียร์ปีสองชื่อ คาเสะเอ็น (หอลม)
และหอสีแดงซ้ายมือสุด คือหอปีหนึ่งชื่อ ฮิโนะเอ็น (หอไฟ)”

“ผมก็อยู่ที่นั่นเหรอฮะ”

“ใช่จ้ะ… เด็กใหม่จะอยู่หอไฟ แต่กว่าหอจะเปิดก็ต้องรอใกล้ๆเปิดเทอมนั่นแหละจ้ะ”

ซวยล่ะสิ… กว่าจะเปิดเทอมก็อีกตั้งสองอาทิตย์ กุญแจห้องเช่าก็คืนเจ๊หน้าเลือดไปแล้วด้วย
แล้วช่วงนี้จะไปซุกหัวอยู่ที่ไหนดีฟะ

อาจารย์ซายะพามาถึงห้องผู้อำนวยการ เคาะประตูอยู่ตั้งนานแต่ก็ไม่มีเสียงตอบกลับมา

“ชีจัง… นายอยู่ข้างในหรือเปล่า เปิดประตูหน่อยสิ” อาจารย์สุดสวยส่งเสียงเรียกไปก่อน พร้อมกระทืบเท้าขู่
เป็นระยะๆ แต่ผ่านไปร่วมสิบนาทีก็ยังไม่มีทีท่าว่าประตูห้องจะเปิด

“ไอ้บ้า ชิงุเระ! ถ้านายไม่เปิดนะ แม่จะตามไปเชือดถึงหอเลยคอยดูเด่ะ!!”

ได้ผล…
ทันทีที่เสียงกัมปนาทของอาจารย์สาวสุดสวยตะโกนลั่นตึก ไทกิก็ได้ยินเสียงหล่นตุ้บดังมาจากในห้อง
พร้อมๆกับเสียงของแตกระเนระนาด แล้วประตูห้องก็ถูกเปิดออก ชายหนุ่มวัยกลางคน ผมฟู หัวกระเซิง
ตาปรือ แสดงว่าเพิ่งตื่นนอนก็แง้มหน้าออกมา พอเห็นหน้าอาจารย์สุดสวยเท่านั้นเค้าก็ถึงกับตาสว่าง

“ แหะ แหะ… ซายะจัง ว่าไงเหรอจ๊ะ” ผอ. หนุ่มส่งยิ้มขัดตาทัพ

อาจารย์ซายะไม่พูดพล่ามทำเพลง ผลัก ผอ. จนพ้นทางแล้วลากคอลูกศิษย์ไปโยนลงบนโซฟากลางห้อง

“เด็กนี่ใคร?” ผอ. หนุ่มเดินตามมาถาม

“ลูกชายของริเอะ”

“ห๊า! ไทกิซังน่ะเหรอ!” ว่าแล้ว ผอ. ก็มาจับไม้จับมือทักทายไทกิเป็นการใหญ่
“สวัสดี ได้ยินชื่อเสียงเธอมานานแล้ว ฉันชื่อ คุรากิ ชิงุเระ เป็น ผอ. โรงเรียนนี้ ฉันกับซายะเป็นเพื่อนกับของแม่เธอ”

“เอ่อ… หวัดดีฮะอาจารย์” เด็กหนุ่มโค้งตอบ แม่ไม่เห็นเคยบอกเลยว่ามีเพื่อนเป็นอาจารย์ แถมยังเป็นถึง ผอ. โรงเรียนซะด้วย แต่สมแล้วที่เป็นเพื่อนแม่ มีแต่คนเพี้ยนๆทั้งนั้น

“แม่ของเธอฝากให้ฉันช่วยดูแลเธอระหว่างที่เค้ากำลังทำใจอยู่ เธออยู่ที่นี่ให้สบาย คิดว่าเป็นบ้านก็ได้ เรื่องอื่นไม่ต้องห่วงนะ ทั้งค่าเล่าเรียน ข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัว เครื่องแบบ ฉันจะจัดการให้เอง”

“แล้วจะให้ผมพักที่ไหนล่ะครับ?”

“เธอไม่มีที่พักเหรอ”

ไทกิส่ายหน้า “ผมเคยเช่าห้องอยู่ แต่ตอนนี้คืนไปแล้ว ขอผมเข้าไปอยู่ในหอได้มั้ยครับ”

“คงไม่ได้หรอกจ้ะ ตามกฎของโรงเรียนจะไม่เปิดหอไฟจนกว่าจะเปิดเทอม” อาจารย์ซายะเป็นคนตอบ

“แต่ก็ไม่ใช่จะไม่มีทางนะ” ผอ. หนุ่มยักคิ้วแผล็บ “ตามฉันมาสิ”

อาจารย์พาไทกิเดินทัวร์โรงเรียนอีกรอบ คราวนี้พาไปด้านหลังซึ่งเป็นโซนหอพัก ที่นี่ร่มรื่นน่าอยู่มาก
โดยเฉพาะฝั่งซ้ายที่เป็นหอเฟรชชี่และหอจูเนียร์ สร้างตึกหันหน้าชนกันยังกับจะท้ารบ
ส่วนอีกฝั่งของทะเลสาบเป็นหออาจารย์และหอพี่ซีเนียร์ที่ต้องการความสงบ

หอลม… เป็นจุดหมายปลายทางของพวกเค้า หอนี้เป็นตึกเก่าแก่สี่ชั้น ฉาบสีฟ้าใส ด้านหน้าก็ปลูกดอกไฮเดรนเยียสีฟ้า
ทั่วไปหมด ผิดกับหอไฟที่อยู่ตรงข้ามลิบลับ เพราะหอนั้นร้อนแรงสมชื่อ ตัวหอเป็นสีแดงปลั่ง ปลูกดอกกุหลาบแดง
ประดับรอบหอ ดูแล้วเหมือนเป็นหอคู่อริที่มีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

อาจารย์ชิงุเระพาขึ้นมาที่ชั้นสอง ห้องใหญ่ห้องแรกที่อยู่ติดบันได คือห้องที่ไทกิจะต้องขออาศัยซุกหัวนอน
ในช่วงที่ปิดเทอมนี้…

ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
Re: Red Rose < By Foggy >
«ตอบ #3 เมื่อ15-01-2008 20:35:13 »

หุหุ คนแรกกกกก  :oni1: :oni1: :oni1: :oni1:

ken_krub

  • บุคคลทั่วไป
Re: Red Rose < By Foggy >
«ตอบ #4 เมื่อ15-01-2008 20:58:17 »

เป็นกำลังใจให้ครับ

ออฟไลน์ ★L'Hôpital

  • แค่เราได้พบกัน...
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1521
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-18
Re: Red Rose < By Foggy >
«ตอบ #5 เมื่อ15-01-2008 23:57:36 »

มารออ่านตอนต่อไปนะคร้าบ  :oni2:

Unn

  • บุคคลทั่วไป
Re: Red Rose < By Foggy >
«ตอบ #6 เมื่อ16-01-2008 09:40:59 »

 :m22:Chapter 3 Junior Leader

ก๊อก… ก๊อก…

อาจารย์หนุ่มเคาะประตูเรียกเจ้าของห้อง ไทกิกวาดสายตาไปรอบๆ ที่นี่เงียบยังกะหอร้าง
(แหงล่ะ… ก็นี่มันช่วงปิดเทอมนี่จ๊ะ) แน่ใจนะว่ายังมีสิ่งมีชีวิตหลงเหลือยู่

ประตูห้องถูกเปิดดังเอี๊ยดช้าๆ นิ้วเรียวยาวขาวๆเป็นอย่างแรกที่โผล่มาก่อน
ก่อนจะตามมาด้วยเจ้าของร่างสูงโปร่งเกือบหกฟุต ในชุดเสื้อเชิ้ตลำลองไม่ติดกระดุมโชว์หน้าอกตึงหรา
ไทกิเห็นแล้วถึงกับตะลึง ไอ้หมอนี่สูงชะลูดยังกะยักษ์ หน้าตาก็คมคายใช้ได้อยู่หรอก
เสียแต่มันทำหน้าบอกบุญไม่รับประทาน นัยน์ตาสีรัตติกาลนั่นก็ดุจนดูเหมือนยักษ์
ยิ่งเห็นตอนมันแยกเขี้ยวด้วยแล้ว ไทกิยิ่งมั่นใจเลยล่ะว่ามันเป็นยักษ์แน่ๆ

“ไง… ซุยคุง ไหนๆเธอก็เฝ้าโรงเรียนตลอดปิดเทอมอยู่แล้วนี่ ครูว่าเธอน่าจะสมัครเป็นยามซะเลยนะ
 จะได้มีค่าจ้างเป็นโบนัสพิเศษด้วยไง”

“แล้วอาจารย์คิดว่าที่ผมตกระกำลำบากอยู่ทุกวันนี้เพราะใครกันล่ะ” เจ้าลูกศิษย์ส่งเสียงเข้มดุ
จนแม้แต่ ผอ. ยังกลัว ตบไหล่มันป้าบๆเพื่อเป็นการขอโทษที่บังอาจไปลามปามเล่นหัวกับมัน

“พอดีครูมีเรื่องจะรบกวนเธอหน่อย” ผอ. แสยะยิ้มเอาใจเป็นพิเศษ แต่ศิษย์โปรดไม่รับมุก พอมันเหลือบไปเห็นเด็กใหม่แบกเป้อยู่ข้างหลัง มันก็รู้แกวอาจารย์ทันที

“ไม่!”
มันปฏิเสธเด็ดๆ ทั้งที่ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอาจารย์จะขออะไร แถมยังทำท่าจะปิดประตูหนี จน ผอ.
ต้องออกแรงงัดประตูสู้แรงกับมัน

“ฟังก่อนน่าซุย… ถ้าครูไม่ลำบากจริงๆก็คงไม่มาขอร้องเธอหรอก”

ซุยยกมือขึ้นกอดอก “แล้วตั้งแต่ผมมาเข้าเรียนที่นี่ อาจารย์มีเรื่องลำบากกี่ครั้งแล้วครับ”

ผอ. ทำท่านับนิ้ว แต่นับยังไงก็นับไม่ครบซะที เลยได้แต่ยิ้มแห้งๆกลบเกลื่อน “แหะ แหะ… ครูก็จำไม่ได้แล้วล่ะ แต่น่านะ… ซุย คราวนี้มันเรื่องคอขาดบาดตายจริงๆ ถือว่าช่วยครูเถอะนะ”

เด็กหนุ่มรุ่นพี่ปรายหางตามองรุ่นน้องที่ยังยืนเอ๋อ ก่อนจะส่ายหัวหนักแน่น

“ไม่เอา… ผมไม่อยากมีปัญหา คราวก่อนเพราะเรื่องรุ่นพี่ผมยังเกือบเอาชีวิตไม่รอด ยังไงผมก็ไม่เอาอีกแล้ว”

เมื่อการเจรจาไม่เป็นผล อาจารย์ ผอ. เลยแกล้งตีบทโศก หันมาทางตัวปัญหาที่ยังยืนนิ่ง

“ครูเสียใจจริงๆเด็กน้อย ใจจริงก็อยากให้เธอไปพักด้วย แต่มันเป็นกฎของที่นี่ ห้ามไม่ให้นักเรียนเข้าไปในเขตหออาจารย์เด็ดขาด คืนนี้เธอคงต้องนอนที่ศาลาริมน้ำแล้วล่ะ โถ… น่าสงสารจริงๆไทกิซัง”

อาจารย์ชิงุเระกอดเด็กใหม่ แล้วแกล้งบีบน้ำตาด้วยความสมเพช ปากก็พร่ำเพ้อไปร้อยแปด
จนคนที่ปฏิเสธฟังแล้วยังใจเสีย

“เธอคงต้องนอนตากลมตากน้ำค้าง ที่นี่ตอนกลางคืนหนาวซะด้วย แถมยุงก็ชุมอีกต่างหาก
เกิดโชคร้ายป่วยเป็นไข้จับสั่นตาย แล้วใครจะรับผิดชอบล่ะเนี่ย ฮือๆๆๆ”

ตายเลยเรอะ… ไทกิแค่นยิ้ม แค่นอนในศาลามันต้องถึงตายเลยเหรอฟะเนี่ย ทีเมื่อก่อนนอนข้างถนน
ยังไม่เห็นจะตายเลย อาจารย์นี่ก็ช่างเว่อร์จริงๆ

“โอเคฮะ… ผมยอมแพ้” คนที่ไม่อยากรับภาระที่สุดกุมขมับยอมจำนน ก็ถ้าเกิดมีคนตายในโรงเรียนจริงๆ
เค้านั่นแหละที่จะโดนประณามมากที่สุด

“แต่แค่คืนนี้คืนเดียวเท่านั้นนะครับ พรุ่งนี้อาจารย์ต้องหาที่พักให้เค้าให้เรียบร้อย ไม่งั้นผมจะไล่มัน
ไปนอนข้างถนนจริงๆด้วย”

“อืม… เอางั้นก็ได้” ชิงุเระแอบเอานิ้วไขว้กลางหลัง โกหกเอาตัวรอดไว้ก่อน เพราะบางทีเด็กนี่อาจต้องอาศัยซุกหัว
อยู่ในห้องศิษย์โปรดเป็นอาทิตย์ๆก็ได้

“เอ่อ… เดี๋ยวครับอาจารย์ อาจารย์จะให้ผมพักอยู่กับ เอ่อ…” ว่าแล้วตาสวยๆของเด็กใหม่
ก็ตวัดไปมองรุ่นพี่ที่ยังยืนเต๊ะท่าหน้าห้อง

“อ้อ… ครูลืมแนะนำ นี่ โนมูระ ไทกิ เป็นเด็กใหม่ที่จะเข้ามาเรียนเทอมนี้ ส่วนนี่…” อาจารย์วาดมือไปทางรุ่นพี่ขี้เต๊ะบ้าง “เทนโนะ ซุย รุ่นพี่ปีสอง เป็นประธานชั้นปีและเป็นหัวหน้าหอลมด้วย”

เทนโนะ ซุย ! ประธานกรรมการกลุ่มสมาชิกพิเศษ…

ว่าแต่ไอ้กลุ่มพิเศษนี่มันคืออะไรหว่า?

“งั้นครูฝากด้วยนะซุยคุง”

อาจารย์ตบไหล่ทิ้งท้าย ก่อนจะเผ่นแนบ ทิ้งภาระชิ้นสำคัญไว้กับประธานหอสุดหล่อ

“เฮ้… ไอ้เด็กใหม่ เข้ามาสิ มัวยืนเต๊ะอยู่หน้าประตูทำไม”

นั่น… มันยังมีหน้ามาย้อนความคิด เป็นรุ่นพี่ เป็นประธานหอแล้วใหญ่นักหรือไงฟะ

ไทกิเดินตามเข้ามาในห้อง เจ้าของห้องก็จัดการปิดประตูแล้วล็อกกลอนเรียบร้อย เพราะกลัวจะโดนคนมาก่อกวนอีก ห้องนี้กว้างพอดู แถมยังสะอาดสะอ้านน่าอยู่ ทั้งตู้ โต๊ะ เตียงล้วนมีสองชุด แสดงว่ายังมีรูมเมทอีกคน

“ฉันขอเตือนนายไว้ก่อนนะ ว่าห้ามแตะต้องอะไรในห้องนี้เด็ดขาด รูมเมทฉันเค้าไม่ชอบให้ห้องรก
โดยเฉพาะของส่วนตัวของเค้า ถ้ามันกระดิกจากที่เดิมไปนิดเดียวล่ะก็ นายตายแน่”

รุ่นพี่ส่งเสียงขู่ จนไทกิทำหน้าเหรอหรา ไม่ให้เค้าแตะต้องของในห้อง แล้วจะให้อยู่ให้นอนยังไงล่ะเนี่ย

“แล้วจะให้ฉันนอนตรงไหนล่ะ”

รุ่นพี่ยืนกอดออกไล่มองรุ่นน้องตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า ก่อนจะขยิบตาส่งต่อไปที่พื้นกลางห้อง
ไทกิมองตามแล้วกลับมาถามใหม่

“ฉันนอนพื้นก็ได้ แต่ขอหมอนกับผ้าห่มหน่อยได้มั้ย”

ซุยเริ่มหงุดหงิด ไอ้นี่มาขออาศัยคนอื่นแล้วยังไม่เจียม ยังมีหน้ามาต่อรองไม่เลิก แต่เพราะขี้เกียจตีฝีปากกับเด็ก
เค้าก็เลยยอมเดินไปหยิบหมอนและผ้าห่มของตัวเองเสียสละให้มัน

“แล้วข้าวเย็นล่ะ จะกินที่ไหน”

ซุยโยนมาม่าคัพแถมให้อีกถ้วย

“แล้วถ้าจะอาบน้ำล่ะ”

ซุยชี้นิ้วที่เริ่มสั่นยิกๆด้วยความโมโห ไปทางห้องเล็กซึ่งเป็นห้องน้ำในตัว

“แล้วถ้า…”

“โอ๊ย! พอซะทีเถอะ!”

ไอ้หมอนี่มันจะอะไรกันนักกันหนา เป็นลูกหมาหรือไง เค้าถึงต้องมาดูแลมันอย่างกะทาสขนาดนี้
 ซุยทำท่าขีดเส้นแบ่งห้องเป็นสองฟาก ก่อนจะอธิบายให้มันเข้าใจ

“ฝั่งโน้นของรูมเมทฉัน นายห้ามยุ่ง ส่วนฝั่งนี้ของฉันเอง นายอยากจะทึ้งจะหยิบอะไรไปใช้ก็เชิญตามสบาย
แต่อย่ามากวนใจฉันอีก”

ซุยตัดบท ก่อนจะกระแทกตัวกลับไปนั่งทำงานต่อหน้าจอคอมพิวเตอร์
ทิ้งเจ้าตัวปัญหาให้ยืนอึ้งทำตาปริบๆอยู่กลางห้องคนเดียว

Unn

  • บุคคลทั่วไป
Re: Red Rose < By Foggy >
«ตอบ #7 เมื่อ16-01-2008 09:47:22 »

 :m22:Chapter 4 Boy Trouble

เสียงจึ๊กจั๊กจอแจดังรบกวนตลอด ทั้งที่เค้าต้องการสมาธิในการทำงานอย่างมาก พอส่งสายตาดุๆปราม
มันก็หยุดไปพักหนึ่ง แล้วก็เริ่มต้นรื้อของในเป้ใหม่ ไม่รู้มีสมบัติอะไรมากมายนักหนาถึงต้องตั้งใจรื้อขนาดนั้น

ไทกิอาบน้ำ กินมาม่าเสร็จแล้วก็รื้อของและดูเอกสารทั้งหมด ตารางเรียนและกิจกรรมตลอดเทอมสาหัสกว่าที่คิด
 แถมกิจกรรมช่วงกลางคืนก็เยอะ คงเพราะเป็นโรงเรียนหอเลยถือโอกาสใช้เวลาให้คุ้มค่าที่สุด

แต่ในจำนวนนั้นยังมีกิจกรรมหนึ่งที่ไทกิดูยังไงก็ไม่เข้าใจ นั่นคือ… การคัดเลือก Special members

“นี่ๆ นาย… ไอ้เมมเบอร์ที่ว่ามันคืออะไรเหรอ?” เด็กใหม่ตามไปตื๊อถึงโต๊ะคอม
จนคนที่หงุดหงิดอยู่แล้วต้องกัดฟันกรอดๆ

อดทนไว้ซุย… มันเป็นเด็กใหม่ มันยังไม่รู้ธรรมเนียม อภัยให้มันก่อน ทนไว้

“เป็นสมาชิกพิเศษของโรงเรียน” ซุยตอบสั้นๆ

“แล้วมันพิเศษตรงไหนล่ะ”

“เปิดเทอมแล้วนายก็รู้เอง”

ไอ้ตัวยุ่งยืนส่งสายตาปริบๆไม่เลิก จนคนที่ทนไม่ไหวต้องผลักมันไปไกลๆ

“ฉันว่าแทนที่นายจะห่วงเรื่องนั้น นายห่วงชีวิตตัวเองก่อนดีกว่า เอาเวลาไปคิดว่าพรุ่งนี้จะไปซุกหัวนอนที่ไหน
บอกไว้ก่อนนะว่าฉันยอมให้นายอยู่ที่นี่แค่คืนนี้คืนเดียวเท่านั้น”

“นายกลัวอะไรนักหนาฮึ ฉันไม่ใช่ฆาตกรซะหน่อย” ไอ้ตัวดียักคิ้วแผล็บ แล้วยังเสนอหน้าไปจ้องจอคอม
ด้วยว่าเค้ากำลังทำอะไรอยู่ มันกวนจนเจ้าของห้องชักอยากจะเปลี่ยนใจมาเป็นฆาตรกรซะเอง

“โอ้… ตารางการแบ่งห้องของปีหนึ่งนี่นา ขอดู…”

ยังไม่ทันจะขอ เจ้าของคอมพิวเตอร์เค้าก็กดปิดหน้าจอพรึ่บ พร้อมกับชักสีหน้าฉุนๆให้มันไสหัวกลับไปที่เดิมของมัน
 แต่ของแค่นี้มีเหรอคนอย่างไทกิจะยอมแพ้ นิ้วเรียวๆเลยเอื้อมไปจิ้มเปิดหน้าจอขึ้นมาใหม่

“ทำเป็นงกไปได้ ขอดูหน่อยน่า เผื่อนายจัดห้องไม่ถูกใจ ฉันจะได้…”

พรึ่บ!

คนที่เส้นความอดทนขาดไปแล้ว เดินไปดึงปลั๊กจอคอมเพื่อตัดความรำคาญ เป็นอันว่าข้อมูลทั้งหมดที่อุตส่าห์นั่งหลังขดหลังแข็งทำมาทั้งวัน มีอันต้องอันตรธานหายไปเพราะไอ้ตัวแสบนี่คนเดียว

“เฮ้ย! ทำแบบนี้ไม่เกินไปหน่อยเหรอซุย ฉันเห็นนายนั่งทำอยู่ตั้งนาน”

เจ้าของห้องไม่ตอบ เค้าเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวแล้วหนีเข้าไปในห้องน้ำ ปิดประตูดังปัง

“โธ่เอ๊ย… คุยด้วยก็ไม่คุยด้วย หยิ่งชะมัด” ไทกิบ่นอุบ ก่อนจะเสียบปลั๊ก แล้วเปิดหน้าคอมขึ้นมาใหม่
“ก็ให้มันรู้ไปว่าคนอย่างฉันจะล้วงข้อมูลจากนายไม่ได้”

นานแค่ไหนแล้วที่ไม่ได้แตะเจ้าคอมเพื่อนยาก…หนึ่งปีได้แล้วมั้ง ตั้งแต่วันที่หนีออกมาจากที่นั่น?

ไทกินึกถึงวันเก่าๆ เมื่อก่อนต้องนั่งอยู่หน้าจอคอมเป็นสิบๆชั่วโมงเพื่อทำงานให้ ‘พวกมัน’ งานลับๆที่น่าเบื่อ
จนต้องหนีออกมา หนึ่งปีแล้วที่พวกมันเที่ยวตามหาคนที่หายไปอย่างไร้ร่องรอย แหงล่ะ… ก็เค้าลบข้อมูลทุกอย่างของ ‘Red Rose’ ออกจากฐานข้อมูลของพวกมันไปหมดแล้วนี่

Red Rose ไม่มีตัวตนอยู่ในโลกอีกแล้ว คนที่มีชีวิตอยู่ตอนนี้คือ โนมูระ ไทกิ เด็ก ม.ปลายธรรมดาๆคนหนึ่งเท่านั้น
ไทกิเจาะข้อมูลเข้าไปเรื่อยๆ แล้วก็อดตื่นเต้นไม่ได้ คนชื่อ เทนโนะ ซุย นอกจากจะล็อกข้อมูลไว้เป็นอย่างดีแล้ว
มันยังเก็บข้อมูลสำคัญๆของโรงเรียนไว้ตั้งหลายอย่าง ไทกิเจาะเข้าไปจนถึงฐานข้อมูล ‘Special member’
แล้วก็เปิดออกดู แต่ทว่า…

พรึ่บ!

หน้าจออันตรธานไปอีกรอบ ไทกิเงยหน้าขึ้น เห็นยักษ์สุดหล่อที่ตัวยังเปียกหมาดๆนุ่งผ้าเช็ดตัวผืนเดียว
โชว์ปลั๊กในมืออย่างไม่กลัวโดนไฟดูด แถมหน้าตาของมันยังบอกอาการโมโหสุดๆ
จนจำเลยต้องกลืนน้ำลายดังเอื๊อก

“นายทำบ้าอะไร!”

คำด่าระลอกแรกที่ทำให้เด็กหนุ่มรุ่นน้องต้องเสียวสันหลังวูบ

‘ไอ้งก… ขอดูหน่อยก็ไม่ได้’ ไทกิเถียงในใจ

“นายรู้มั้ยว่าข้อมูลในนั้นสำคัญแค่ไหน” คราวนี้มันเล่นกระทืบเท้าตึงๆเข้ามาใกล้
จนไทกิต้องลุกจากเก้าอี้เพื่อหาทางหนี

‘ก็ถ้ามันไม่สำคัญ แล้วฉันจะอยากดูมั้ยล่ะ’ คนผิดยังแอบคิดแก้ตัวในใจ

“ถ้าไม่จัดการให้สำนึก นายคงไม่เลิกกวนใจฉันใช่มั้ย!”

‘เฮ้ย…’ ไทกินึกเถียงมันไม่ทันแล้ว เพราะท่าทางมันจะเอาจริง เล่นเดินพาร่างกึ่งเปลือยที่เพิ่งขึ้นมาจากอ่างน้ำ
เดินตรงเข้ามาหา ไทกิหันซ้ายหันขวา แล้วก็เจอเป้าหมายที่จะใช้เป็นที่หลบ

เด็กหนุ่มกระโดดม้วนตัวลงบนเตียงที่ปูผ้าปูตึงเรียบกริบด้วยท่าที่สวยงาม
ถ้าเป็นนักยิมนาสติกก็คงต้องให้คะแนนเต็ม แต่ซวยที่มันไม่ใช่
เพราะกรรมการในชุดผ้าขนหนูกำลังยืนอึ้งทำตาปริบๆ

‘ฮ่าๆๆๆๆ เตียงของเพื่อนมัน คงไม่กล้าตามมาหาเรื่องล่ะสิ ถ้าเกิดของๆเพื่อนนายเสียหายไป ฉันไม่รู้ด้วยนะเฟ้ย’
ไทกิคิดอย่างย่ามใจ

แต่… ของแค่นี้ก็หยุดคลื่นความโกรธของเจ้าชายสายน้ำไม่ได้เหมือนกัน ซุยเดินทั่กๆตรงเข้ามาหาไอ้ตัวแสบ
แล้วกระโดดชาร์จล็อกตัวมันไว้บนเตียงแน่นหนา ชนิดที่ดิ้นยังไงก็ดิ้นไม่รอด

ไทกิตาเหลือก หยดน้ำบนปอยผมของมันหยดเผาะๆโดนหน้ายังไม่เท่าไหร่ แต่ไอ้นั่น… ท่อนกล้ามเนื้อตึงที่พาดอยู่บน
เรียวขาโดยไม่ตั้งใจ พอมองไปที่พื้นผ้าขนหนูของไอ้ชีเปลือยก็หล่นไปกองเรียบร้อย
เด็กหนุ่มกัดฟันมองลงไปเบื้องล่าง และทันทีที่เห็นชัดเจนว่าอะไรกำลังทำร้ายร่างกายเค้าอยู่
ฝันร้ายในอดีตก็ย้อนกลับมาเล่นงานเด็กหนุ่มจนเสียสติ

“ออกไป! ไม่! อย่าทำแบบนี้ ฉันไม่เอา ไม่!!!”

ไทกิตะโกนสุดเสียง พร้อมกับดิ้นทุรนทุรายเหมือนจะขาดใจ จนรุ่นพี่ยังตกใจว่ามันเป็นอะไรกันแน่

“นายเป็นบ้าอะไร ฉันไม่ได้คิดจะทำอะไรนายซะหน่อย” ซุยพยายามจับแขนคนที่กำลังดิ้นพล่าน
แต่จับยังไงมันก็ไม่หยุด มันทรมานเหมือนจะขาดใจตายซะให้ได้

“ไม่!!!” เสียงสุดท้ายที่มันฝืนตะโกนออกมาก่อนจะหมดสติไปในที่สุด

“เฮ้ย! ตื่นสิไอ้บ้า ตายหรือยังวะเนี่ย” ซุยปลุกยังไงมันก็ไม่ตื่น แต่พอเห็นมันยังหายใจอยู่เค้าก็ค่อยโล่งอก
เลยพามันกลับไปนอนที่เตียงของตัวเอง

คืนนี้มีแต่ฝันร้าย…

มือที่เคยอบอุ่นกอดรัดร่างเค้าแน่นขึ้น พร้อมกับลูบเรียวแขนเรียวขาไปมาเบาๆ

‘ผิวคุณไทกิสวยมาก ขาวและนุ่มกว่าผู้หญิงบางคนซะอีก’

ใบหน้าที่เคยศรัทธาค่อยๆโน้มลงมาใกล้ แตะจมูกซุกไซ้ไปทั่วซอกคอจนร้อนผ่าว

‘ตัวก็หอม… น่ารักมาก’

ริมฝีปากที่ก้มลงมากระซิบ เปลี่ยนเป้าหมายไปที่หน้าอก ทิ้งรอยดูดดื่มทั่วไปหมด แม้แต่ยอดอกสีกลีบกุหลาบ
ยังโดนเค้นจนช้ำ เค้าบอกว่ารัก… แต่ทำไมต้องแสดงความรักที่ทำให้รู้สึกอึดอัดแบบนี้ด้วย

‘อื้อ… ดูซิ แล้วตรงนี้ล่ะ จะน่ารักด้วยมั้ยนะ’

คนๆนั้นแสยะยิ้ม มือที่เคยอบอุ่นกลับมอบความโหดร้ายอย่างที่สุด เมื่อมันค่อยๆฉีกเสื้อตัวเก่งของเค้าออก
จากนั้นก็ระดมจูบและลูบไล้ด้วยความหื่นกระหาย เค้าร้องไห้และพยายามขอร้องให้หยุด แต่คนๆนั้นก็ไม่หยุด
จนกระทั่งอาภรณ์ชิ้นสุดท้ายถูกปลดเปลื้อง มือกร้านที่เคยใจดีก็ค่อยๆรุกล้ำเข้ามาตรงหว่างขา…

“ไม่!!!!!!!!!!!!!!!!!”

เสียงตะโกนดังสนั่นหวั่นไหว เล่นจนหอลมสะเทือน ไทกิสะดุ้งตัวตื่นจากฝันร้าย เหงื่อไหลท่วมหน้า
ร่างกายยังหอบไม่หยุด ขวัญหนีกระเจิดกระเจิง โชคดีที่ยังมีมืออุ่นๆเอื้อมมาแตะไหล่
พร้อมกลิ่นโกโก้ร้อนหอมกรุ่นที่จ่อเข้ามาใกล้จมูก ไทกิเงยหน้ามองคนที่อุตส่าห์มีน้ำใจดูแลเค้า
แต่พอเห็นว่ามันเป็นใครเค้าก็อดแปลกใจไม่ได้

“กินซะ เผื่อจะดีขึ้น” ซุยวางถ้วยโกโก้ไว้บนหัวเตียง ก่อนจะกลับไปนั่งทำงานต่อที่หน้าจอคอม
ไทกิยกโกโก้ขึ้นดื่ม ความหวานและความอุ่นทำให้รู้สึกดีขึ้นเยอะ
เขาวางถ้วยไว้ที่เดิมแล้วยิ้มให้คนที่หันกลับมามองด้วยความเป็นห่วง

“นายดูแลฉันตลอดเลยเหรอ”

“ฉันก็แค่ทำหน้าที่รุ่นพี่” คนขี้เก๊กตอบสั้นๆ ก่อนจะหันไปพิมพ์งานต่อ

“ขอบใจ”

“ฉันไม่อยากได้คำขอบใจ แค่นายไม่มายุ่งกับชีวิตฉันอีก ฉันก็พอใจแล้ว”

ขนาดปรามมันไปแล้วนะเนี่ย แต่ดูเหมือนมันจะแกล้งไม่ได้ยินซะงั้น แถมยังเดินตรงดิ่งเข้ามาตื๊อ
เกาะแข้งเกาะขาจนน่าเตะกลับไปที่เดิม

“นี่ๆ ฉันหิวแล้ว” ไทกิตบไหล่ตื๊อคนที่กำลังตั้งหน้าตั้งตาทำงาน จนเค้าต้องโยนมาม่าให้มันอีกถ้วย

“ไม่เอา… ฉันไม่กินมาม่า ฉันอยากไปกินที่โรงอาหาร อยากกินข้าวหน้าเนื้อ ข้าวหมูทอด ข้าวห่อไข่ ข้าวเทมปุระ…”
แล้วมันก็งอแงเรียกร้องไม่เลิก

“ปิดเทอมจะมีแม่บ้านที่ไหนมาทำอาหารให้นายกิน งี่เง่า!” ซุยด่ามันไปอีกยก แต่นอกจากมันจะไม่สลด
แล้วยังมีหน้ามายิ้มใส่

“โรงอาหารไม่เปิด ไปกินข้างนอกก็ได้นี่ นะ… ซุย”

“ฉันต้องทำงาน”

“คนทำงานก็ต้องกินข้าว ขืนหมกตัวอยู่แต่ในห้องนานๆเดี๋ยวก็รากงอกพอดี ไปหาอะไรอร่อยๆกินกันดีกว่าน่า”
 คราวนี้ไทกิไม่พูดเปล่า ยังแย่งเม้าท์มาจากมือรุ่นพี่ เซฟข้อมูลให้แล้วปิดคอมให้เสร็จสรรพ

“ชวนฉันไปกินข้าวข้างนอก แล้วนายมีเงินหรือไง” ซุยมองไอ้ตัวแสบด้วยสายตาเหยียดหยาม
ขนาดเสื้อผ้าที่มันหอบมายังโทรมอย่างกะผ้าขี้ริ้ว ตัวก็ผอมกะหร่องยังกะไม้เสียบผี แบบนี้มันยาจกชัดๆ

“แหะ แหะ” ไทกิหัวเราะกลบเกลื่อน “แหม… เป็นรุ่นพี่ทั้งที เลี้ยงรุ่นน้องแค่นี้ไม่ได้หรือไง”

แล้วมันก็แถไปเรื่อย ลองมันหน้าด้านขนาดนี้ เถียงไปก็คงไม่ชนะ ซุยเลยตัดใจเดินไปหยิบเสื้อแจ็กเก็ตสองตัว
 ตัวหนึ่งใส่เอง ส่วนอีกตัวโยนให้มันใส่

“โอ๊ย… แค่ไปกินข้าว ไม่ต้องแต่งหล่อขนาดนี้ก็ได้” ไทกิแซว “ฉันไม่ใส่นะ ร้อน…”

เท่านั้นแหละ… การตะลุมบอนระหว่างรุ่นพี่รุ่นน้องร่วมสถาบันก็เกิดขึ้น เมื่ออีกฝ่ายพยายามยัดเยียดให้มันใส่เสื้อแจ็กเก็ต แต่มันก็ดิ้นขัดขืน ไม่ยอมให้เค้าใส่ให้

“บอกไว้ก่อนนะ ถ้านายจะออกไปในสภาพชุดผ้าขี้ริ้วแบบนี้ล่ะก็ ไม่ต้องมาเดินกับฉัน และเรื่องที่จะให้ฉันเลี้ยงข้าว
นายก็เลิกคิดไปได้เลย” พอซุยยกเรื่องกินขึ้นมาอ้าง ไอ้ตัวแสบก็รีบหยิบเสื้อขึ้นมาสวม แล้วทำท่านิ่งเงียบเรียบร้อย
เพราะไม่อยากอดตาย

“เสร็จแล้ว ก็ไปกันได้แล้ว เสียเวลาฉันชะมัด”

ซุยเดินบ่นไปตลอดทาง ในขณะที่รุ่นน้องยังเดินตามไปต้อยๆด้วยความร่าเริง

wutwit

  • บุคคลทั่วไป
Re: Red Rose < By Foggy >
«ตอบ #8 เมื่อ16-01-2008 16:07:33 »

พล็อตเรื่องน่าหนุกเนอะ

เป็นกำลังใจให้คับ

มาต่อไวๆละกัน

 :m4: :m4: :m4:

Unn

  • บุคคลทั่วไป
Re: Red Rose < By Foggy >
«ตอบ #9 เมื่อ17-01-2008 18:53:26 »

 :m23:  หง่า จากที่อ่านมาผมต้องขอโทษจิงๆงับ ตอน search เพื่อดูนิยายผม search อีกเรื่อง
แต่พอลงดันตัดสินใจเอาเรื่องนี้มาลง  โดยที่ไม่ได้ดูเลย  ไงก็ขอโทษโม กะ ทุกคนด้วยนะค๊าบ
ผิดพลาดจิงๆ แต่เรื่องนี้ผมขอมาจากคุณ foggy ผ่านทางเมล์แล้วก็ยังมีอีกหนึ่งเรื่อง
ยังไงผมขออณุญาตลงต่อให้จบนะค๊าบ  ขอโทษทุกคนที่อ่านแล้วด้วยคับ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: Red Rose < By Foggy >
« ตอบ #9 เมื่อ: 17-01-2008 18:53:26 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ oaw_eang

  • Global Moderator
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2122/-586
Re: Red Rose < By Foggy >
«ตอบ #10 เมื่อ17-01-2008 19:04:49 »

มะเป็นไรคับน้อง Unn

เอามาลงต่อเลยครับ

พี่อยากอ่านต่อแว้ววววววววววววววววววววว  :mc2:

Unn

  • บุคคลทั่วไป
Re: Red Rose < By Foggy >
«ตอบ #11 เมื่อ17-01-2008 19:05:52 »

 :m22: Chapter 5 Night Carnival

“เอาข้าวหน้าเนื้อชุดใหญ่ เกี๊ยวซ่า โซบะ อ้อ… แล้วก็ซุปมิโสะด้วยนะ เร็วๆด้วยนะครับ”
ไอ้ตัวแสบมันสั่งเอาๆชนิดไม่เกรงใจคนเลี้ยงที่ได้แต่นั่งมองตาปริบๆ

“อ้าว… นายก็สั่งมั่งสิซุย เอาให้เต็มที่เลยนะ ไม่ต้องเกรงใจ”

“ทำไม… นายจะจ่ายหรือไง” ซุยย้อน ไอ้ตัวดีเลยแกล้งหัวเราะกลบเกลื่อน

“แหม… ก็เงินนาย ไหนๆก็ออกมาแล้ว กินให้เต็มที่เลยสิเพื่อน ทำงานหามรุ่งหามค่ำ
เดี๋ยวเป็นโรคกระเพาะไม่รู้ด้วยนะ”

“ไม่ต้องมาทำพูดดี ฉันจะอดทนแค่วันนี้วันเดียวเท่านั้น พรุ่งนี้ฉันจะเอานายไปคืนให้อาจารย์ชิงุเระ”

“แต่ฉันชอบห้องนายแล้วนี่” ไทกิบ่นอุบคนเดียว

“อะไรนะ?” ซุยได้ยินไม่ถนัด เลยต้องถามซ้ำ

“เปล่า… ไม่มีอะไร นั่นไงข้าวมาแล้ว กินก่อนดีกว่า”

พอคุณป้าเจ้าของร้านวางกับข้าวลง ไทกิก็จัดการโซ้ยเรียบเหมือนตายอดตายอยากมานาน
ซุยที่กำลังเขี่ยข้าวของตัวเองยังต้องผลักจานไปห่างๆ เพราะเห็นมันกินแล้วรู้สึกจุกแทน จนกินไม่ลง

“อี้อาย… อิดเออม อำไอไอ้อับอ้านอ่ะ (นี่นาย… ปิดเทอม ทำไมไม่กลับบ้านล่ะ)” ขนาดมีของกินอยู่เต็มปาก
มันก็ยังเปล่งเสียงพูดออกมาได้ เป็นความสามารถพิเศษเฉพาะตัวที่ห้ามลอกเลียนแบบ

“ไม่ใช่เรื่องของนาย” คนขี้เก๊กยังคงเก๊กตามฟอร์ม

“หรือว่านายไม่มีบ้าน เป็นเด็กเร่ร่อนเหมือนกันใช่มั้ยล่ะ” พอไม่ตอบ มันก็เล่นสรุปเองตามใจชอบ

“บ้านฉันอยู่เกียวโต พ่อแม่พี่น้องของฉันก็ยังอยู่ครบ ไม่รู้อะไรแล้วอย่ามามั่วได้มั้ย”

“ก็แค่ถามเฉยๆ อยากไม่ตอบดีๆก่อนทำไม”

ไทกิยักคิ้วแผล็บ ซุยวางช้อน เพราะเริ่มหงุดหงิดจนกินไม่ลง

“นายไม่กิน งั้นฉันกินนะ” พอซัดของตัวเองจนหมดเรียบ มันก็คว้าจานข้าวของรุ่นพี่ไปกินต่อ
หลังจากนั้นมันก็สั่งเพิ่มอีกหลายจาน เหมือนกะจะกินตุนไว้เผื่อจำศีลหน้าร้อนอย่างนั้นแหละ

หลังจากปล่อยให้มันกินจนหนำใจ เจ้ามือก็เดินไปเช็คบิล ไอ้ตัวดีที่ยืนยิ้มเผล่อยู่ข้างๆ
ทำท่าจะอ้าปากสั่งกลับไปกินต่อที่ห้อง เจ้ามือเลยต้องรีบเอามืออุดปากไว้ แล้วลากมันออกมาจากร้าน

“ฉันไม่เคยเห็นใครกินล้างกินผลาญเหมือนนายมาก่อนเลย ให้ตายเถอะ!”
ซุยเดินบ่นตลอดทาง แต่ไอ้ตัวแสบไม่สะทกสะท้าน เรดาร์ของมันยังมองหาของกินไม่เลิก
แล้วก็ไปสะดุดเข้ากับถนนสายเล็กๆแห่งหนึ่งซึ่งกำลังมีงานเทศกาล ดูท่าทางจะน่าสนุก

“นี่ๆ เข้าไปดูกันหน่อยดีมั้ย” ไทกิกระตุกแขนเสื้อชวนรุ่นพี่ที่กำลังเอือมสุดขีดกับนิสัยเอาแต่ใจของมัน

“ไม่… ดึกแล้ว กลับได้แล้วน่า ฉันต้องทำงานต่อ”

“โอ๊ย! งานของนายไม่หนีไปไหนหรอก เดินเที่ยวแป๊บเดียวเอง ไม่เห็นจะเป็นไรเลย”

แล้วมันเคยฟังเค้าซะที่ไหน พูดเองเออเองเสร็จก็ลากเค้าเข้าไปในงานเทศกาลเฉย
ถนนทั้งสายหน้าศาลเจ้าถูกเปลี่ยนเป็นร้านขายของและร้านเล่นเกมชิงของรางวัล
ผู้คนที่มาเที่ยวงานก็มีแต่คนแต่งชุดยูคาตะ ไทกิรู้สึกคิดถูกที่ยอมใส่เสื้อสุดเท่ของรุ่นพี่ออกมาเดิน
 ไม่งั้นขืนใส่ผ้าขี้ริ้วออกมาเที่ยวงานคงขายขี้หน้าแย่

“ฉันอยากเล่นอันนี้”

ไทกิเจอบ่อตกปลาทองก็คุกเข่าลงนั่ง ทำท่าตื่นเต้นเหมือนเด็กๆ แถมยังดึงคนที่ไม่เต็มใจลงมานั่งด้วยกัน
 แค่มาเดินเที่ยวงานโท่งๆแบบนี้ เค้าก็ขายขี้หน้าจะแย่อยู่แล้ว ยังจะมาชวนเล่นอะไรเป็นเด็กๆไปได้
ไทกิช้อนปลาทองในบ่อ แต่ช้อนยังไงก็ช้อนไม่ได้ซะที จนเจ้าตัวชักเริ่มหงุดหงิด

“โธ่ว้อยยย! ทำไมช้อนไม่ได้ซะทีฟะเนี่ย!” เด็กหนุ่มยกมือกุมขมับ จนเจ้าของร้านหัวเราะลั่น

“ไอ้หนู… ขืนช้อนแบบนั้น ชาตินี้ทั้งชาติก็ช้อนไม่ได้หรอก ฮ่าๆๆๆ”

พอเจอเจ้าของร้านหยามกันขนาดนี้ เลือดเดือดก็กระพือขึ้นหน้าคนดื้อ มันทู่ซี้จะช้อนปลาทองให้ได้จนน้ำกระเด็น
มาโดนหน้าซุยที่นั่งอยู่ข้างๆ ความอดทนของเค้าก็หมดแล้วเหมือนกัน รุ่นพี่คนสำคัญแย่งที่ตักปลาทองจากมือรุ่นน้อง
 แล้วช้อนทีเดียวเท่านั้น ปลาทองเจ้ากรรมก็กระโดดม้วนตัวลงไปในถุงที่รอรับอย่างสวยงาม

แปะๆๆๆๆๆๆ

เสียงชาวบ้านที่มุงดูอยู่พากันปรบมือเกรียวกราว

“โห… สุดยอด นายเท่มากเลยซุย สมแล้วที่มีชื่อเป็นน้ำ แน่มาก”

“ได้ปลาแล้วก็ไปกันได้แล้ว” ซุยยื่นปลาทองที่ว่ายอยู่ในถุงยัดใส่มือไอ้ตัวแสบ “ฉันให้นาย”

“ฮ่าๆๆๆ ดีใจด้วยนะไอ้หนู นอกจากจะมีแฟนหล่อแล้วยังใจดีอีกต่างหาก น่าอิจฉาๆ”

พอเจอแซวแบบนี้ สองหนุ่มน้อยร่วมสถาบันก็หน้าขึ้นสีทันตาเห็น แล้วคนที่หน้าบางที่สุด
ก็ต้องเป็นฝ่ายลากคนหน้าด้านอย่างมันหนีฝูงญี่ปุ่นมุงออกมา

“นายเลิกทำตัวงี่เง่าซะทีจะได้มั้ย ฉันขายขี้หน้าเค้า”

“ฉันก็ยังไม่ได้ทำอะไรซะหน่อย นายนั่นแหละ ทำตัวเป็นคุณชายเฝ้าห้อง ทุเรศ!”

ด่ากันไปด่ากันมากลางถนน จนคนเริ่มมอง พวกมันถึงเงียบ

“ฉันจะกลับแล้ว” ซุยบอกเสียงเข้ม คราวนี้ยังไง้ ยังไง ก็จะไม่ยอมตามใจมันเด็ดขาด

“อะไรกัน… ยังเดินไม่ทั่วเลย ฉันอยากไปต่อ”

“ไม่!”

“เออน่า… อย่างน้อยก็ไปไหว้พระก่อนกลับก็ได้ อีกนิดเดียวก็จะถึงแล้ว นั่นไง”

ไทกิเดินลิ่วๆนำหน้า คนดื้อยังไงมันก็ดื้ออยู่วันยังค่ำ ซุยก็เลยต้องเดินตามไปคุมต่อด้วยความเหนื่อยใจ

ในศาลเจ้า บรรยากาศเงียบและสงบกว่าข้างนอก ส่วนใหญ่ก็จะเป็นพวกคู่รักที่เข้ามาขอพรและจู๋จี๋กันเงียบๆ
 ซุยเห็นพวกคู่รักที่ยืนหวานอยู่ข้างๆแล้วกลืนน้ำลายดังเอื๊อกพร้อมก้มหน้านิ่ง แต่ไอ้ตัวป่วนมันจะรู้ตัวบ้างมั้ยเนี่ย
ว่าเข้ามาในที่ที่ไม่ควรเข้ามาซะแล้ว

ไทกิโยนเหรียญลงไปในกล่อง แล้วยืนหลับตาขอพรอยู่ตั้งนาน จนคนที่ยืนข้างๆก็ยังอดสงสัยไม่ได้
มันทำบุญแค่เศษสลึง แต่ขออะไรกันนักกันหนา พระท่านจะบ้าจี้ให้มันมั้ยล่ะเนี่ย ซุยเลยโยนเหรียญลงไปเพิ่ม

“นายไม่ขอพรเหรอ” ไอ้ตัวดีลืมตาขึ้นมาถาม มันเห็นเค้าโยนเหรียญลงไปแล้วไม่ขออะไรเลย คงสงสัย

“นายขอเถอะ ฉันไม่ชอบติดสินบนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ อยากได้อะไร ก็ต้องทำให้ได้ด้วยตัวเอง”

“ฉันรู้… นายมันแน่” ไทกิยักคิ้วกริ่ม “แต่นายทำบุญให้ฉันเนี่ย ระวังชาติหน้าจะได้เจอกันอีกนะ”

พอเจอมุกนี้เข้า ซุยแทบอยากจะลงไปงัดตู้บริจาคแล้วเอาเงินทำบุญกลับคืนมา
เจอกับมันชาตินี้ชาติเดียวก็ถือว่าซวยจะแย่ ขืนให้เจอกันอีกชาติคงไม่ไหว ยอมเป็นคนบาปซะยังดีกว่า
ระหว่างที่มันกำลังขอพรรอบสอง จู่ๆไฟในศาลเจ้าก็ดับ ก่อนจะตามมาด้วยเสียงจุดพลุดังกึกก้อง
แล้วพลุสวยๆก็เดินขบวนกันบานอวดโฉมกลางท้องฟ้า ไทกิลืมตาขึ้น แล้วเผลอจับมือคนข้างๆชี้ชวน
ให้ดูพลุด้วยความตื่นเต้น

“นี่… ซุย ดูสิ สวยมากเลย”

“ฉันเห็นมาจนเอียนแล้ว นายไม่เคยเห็นพลุหรือไง”

ไทกิอ้ำอึ้ง แล้วตีหน้าเศร้า ที่ผ่านมาเค้าถูกขังให้อยู่เฉพาะในห้องสี่เหลี่ยมแคบๆ
ขนาดดวงอาทิตย์ก็ยังลืมไปแล้วว่ารูปร่างหน้าตาเป็นยังไง แล้วพลุสวยๆแบบนี้ ตั้งแต่เกิดมาก็เพิ่งจะเคยเห็นนี่แหละ

“ฉันไม่เคยเห็นหรอก นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันได้มาเที่ยวงานเทศกาล และเห็นพลุสวยๆแบบนี้”
ซุยขมวดคิ้วมุ่น และไม่รู้เมื่อไหร่ที่เผลอไปบีบมือเล็กๆของมันแรงขึ้น

“นายไปหมกอยู่ส่วนไหนของญี่ปุ่นมาล่ะ ถึงไม่เคยเห็น”

“ใครบอกว่าฉันอยู่ที่ญี่ปุ่นล่ะ ที่ผ่านมาฉัน…” แล้วไอ้ตัวแสบที่ปกติอ้าปากพูดจ๋อยๆก็ปิดปากเงียบ
ตาสวยๆของมันเริ่มมีน้ำตารื้น แต่รู้สึกเหมือนมันกำลังฝืนไม่ให้ไหลออกมา

“ช่างเถอะ เรื่องของนาย ฉันไม่อยากรู้”
รุ่นพี่เป็นฝ่ายตัดบทไปเอง แล้วเงยหน้ามองพลุบนท้องฟ้าต่อ ไทกิตอนแรกก็ตกใจ ถึงจะรู้จักกันไม่นานนัก
 เค้าก็พอรู้ว่ารุ่นพี่คนนี้เป็นคนดีและน่านับถือ ไทกิมองไปรอบๆ เห็นคู่รักหลายคู่ยืนจับมือกันดูพลุบนท้องฟ้า
อย่างมีความสุข ไทกิเลยเผยอก้มมองมือใหญ่ที่จับมือของตัวเองไว้บ้าง

อันที่จริงมือข้างนี้ทั้งใหญ่และอุ่นมาก… พอเงยหน้าขึ้นไปมองเจ้าของที่กำลังตั้งใจดูพลุก็ยิ่งน่าทึ่ง
ทำไมเค้าถึงไม่สังเกตเลยว่ารุ่นพี่คนนี้หล่อและโดดเด่นแค่ไหน เทียบกับพวกผู้ชายที่ยืนอยู่ข้างๆ
ไม่มีใครเทียบได้เลยสักคน นี่ถ้าเค้าเป็นผู้หญิง แล้วได้มาเดินเที่ยวกับรุ่นพี่คนนี้สองต่อสอง มีหวังคงยืดพิลึก
แต่เสียดายที่เค้าเป็นผู้ชาย มันก็เลยออกจะแปลกๆไปหน่อย…

“นายจ้องหน้าฉันทำไม” คนข้างๆส่งเสียงดุ ไหนมันบอกจะดูพลุ กลับเอาแต่ยืนจ้องหน้าเค้าอยู่ได้

“ก็เปล่านี่” ไอ้ตัวดีตอบแก้เก้อ “ตอนแรกเห็นนายไม่สนใจดูพลุ แต่ตอนนี้ตั้งใจดูใหญ่ ฉันเลยว่ามันตลก”
มันย้อน แถมยังมีหน้ามายักคิ้วล้อเลียน

“แค่นี้พอใจแล้วใช่มั้ย งั้นก็กลับกันได้แล้ว”

ซุยรีบเดินหนี เพราะขืนอยู่กับมันนานกว่านี้ มีหวังคงได้โมโหจนอกแตกตายแน่ ไทกิรีบวิ่งตามมาเกาะแขนอย่างร่าเริง

“ขอบใจนะ ซุย”
ไทกิบีบมือรุ่นพี่แทนคำขอบคุณพร้อมกับยิ้มหวานให้ ก่อนจะเผ่นหนีไปเดินนำหน้า
ทิ้งไว้เพียงความอบอุ่นอ่อนโยนจากมือน้อยๆให้คนข้างหลังต้องประหลาดใจเท่านั้น…

Unn

  • บุคคลทั่วไป
Re: Red Rose < By Foggy >
«ตอบ #12 เมื่อ17-01-2008 19:15:31 »

 :m22:Chapter 6 Secret Order

“เรื่องทั้งหมดก็เป็นแบบนี้แหละ”

อาจารย์ชิงุเระจบคำสรุปทิ้งทวน หลังจากเล่าเรื่องทั้งหมดของไอ้ตัวแสบให้ศิษย์โปรดฟัง
วันนี้ซุยอุตส่าห์รีบถ่อมาหา ผอ. แต่เช้าตรู่เพื่อคืนภาระชิ้นสำคัญให้ แต่กลับกลายเป็นว่าเค้าต้องมารับรู้
ในสิ่งที่ไม่คาดฝัน

“ที่บ้านของเธอได้รับคำสั่งลับให้คุ้มกัน ‘Red Rose’ และคุณพ่อของเธอก็เลือกให้เธอรับหน้าที่นี้ด้วย”

ซุยพยักหน้าเนิบๆ ถึงแม้จะยังช็อกอยู่ งานของที่บ้าน… มีแต่งานน่าหนักใจทั้งปี

“ริเอะเค้าวางใจส่งลูกชายมาที่นี่ เพราะเค้าเชื่อว่าครูจะปกป้องไทกิได้ดีที่สุด แต่ถึงยังไงครูก็ต้องถามความสมัครใจ
ของเธอก่อน ถ้าเธอไม่รับ ครูก็คงต้องมอบหมายภารกิจนี้ให้พวกตระกูลโซมะ”

โซมะ… ตระกูลคู่แข่งของเทนโนะตั้งแต่สมัยเอโดะ ถ้าพ่อรู้ว่าเค้าปฏิเสธงาน แล้วพวกโซมะได้งานสำคัญนี้ไปล่ะก็
 เค้านั่นแหละที่จะโดนคนที่บ้านตามเก็บซะเอง

“ยังไงก็เป็นคำสั่งพ่อ ผมไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธอยู่แล้ว ถึงไม่อยากทำก็เถอะ”

“พูดอะไรอย่างนั้นเล่าซุย พ่อเธอคาดหวังกับเธอมากที่สุด เพราะเห็นว่าเธอมีพรสวรรค์
เธอน่ะทำงานนี้ได้อยู่แล้ว มั่นใจในตัวเองหน่อยสิ”

“ผมไม่เคยสนเรื่องพรสวรรค์อะไรนั่น บ้านผมทำงานก็เพราะเงิน ยิ่งงานเสี่ยงตายแบบนี้ ถ้าไม่คุ้มจริงๆ
พ่อก็คงไม่รับหรอก”

“งั้นเอาเป็นว่าการเจรจาเป็นผลสำเร็จ ครูฝากชีวิตไทกิด้วยนะซุยคุง อันที่จริงเค้าเป็นเด็กที่น่าสงสารมาก
 ครูอยากให้เธอดูแลเค้าให้ดีที่สุด”

“อาจารย์ก็รู้ว่าผมไม่เคยทำงานนอกเหนือคำสั่ง” ซุยตัดบทและเลี่ยงภาระที่ไม่จำเป็น
“แต่ผมก็รับปากได้อย่างหนึ่งว่าตราบใดที่ผมยังมีชีวิตอยู่ ไอ้บ้านั่นไม่มีทางตายด้วยมือใครแน่”

ศิษย์โปรดทำหน้ายุ่งเดินออกจากห้อง ชิงุเระเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ หยิบรูปถ่ายที่เก็บไว้ในลิ้นชักออกมาดู
ผู้หญิงในรูปถ่ายอยู่ในชุดมัธยม หน้าตาสวยมาก เธอถ่ายรูปคู่กับเด็กหนุ่มแว่นหนา หัวกระเซิง
ที่ตอนนี้ได้สลัดคราบเดิมจนแทบไม่มีใครจำได้แล้ว ชิงุเระมองดูรูปใบนั้นด้วยความคิดถึง

“เธอจะใจร้ายกับไทกิคุงเกินไปหรือเปล่าริเอะ… รีบกลับมาซะทีเถอะ เค้าต้องการเธอมากนะ
และฉันเอง… ก็เหมือนกัน”

ซุยเดินกลับขึ้นหอลมด้วยสีหน้าที่เครียดหนัก ไม่น่าเชื่อว่าไอ้เด็กแสบในสภาพผ้าขี้ริ้ว จะเป็นคนดังที่ใครๆก็หมายหัว
ตามล่า ท่าทางเค้าจะตกที่นั่งลำบากซะแล้ว

“นายไปไหนมา?”
เสียงทักที่ทำให้คนเหม่อต้องเงยหน้าขึ้นมอง ก็เห็นไอ้ตัวแสบกำลังสะพายเป้โทรมๆยืนเฝ้าอยู่หน้าห้อง

“แล้วนายล่ะ จะไปไหน?”
“ก็นายให้ฉันอยู่แค่คืนเดียวไม่ใช่เหรอ ฉันก็กำลังจะไปอยู่นี่ไง แต่นายไม่อยู่ ฉันก็ไม่รู้ว่านายมีกุญแจเข้าห้องหรือเปล่า
เลยยังไม่ล็อกห้องรอนายอยู่นี่ไง นายกลับมาก็ดีแล้ว งั้นฉันไปก่อนนะ ขอบใจมากที่ให้ฉันพักด้วยเมื่อคืน”

ไทกิสะพายเป้ขึ้นบ่าเตรียมไปหาที่ซุกหัวนอนใหม่ แต่พอเดินผ่านหน้ารุ่นพี่ขี้เก๊ก
มันกลับคว้าแขนเค้าหมับและรั้งไว้ไม่ให้ไป

“นายไม่ต้องไปไหนทั้งนั้น ฉันให้นายอยู่ต่อจนกว่าจะเปิดเทอม”

“อ้าว… ก็ไหนนายบอกจะให้ฉันอยู่แค่คืนเดียวไง”

“อาจารย์ชิงุเระสั่งให้นายอยู่ที่นี่ต่อ”

“อ้อ” ไทกิพยักหน้า ที่แท้ก็เพราะคำสั่งอาจารย์นี่เอง

“แล้วเป้นั่นก็เอาไปเก็บซะ ฉันจะพานายไปข้างนอก”

“ไปไหน?”

ซุยมองไอ้ตัวเจ้าปัญหาตาขวาง “ถ้านายไม่ถามสักครั้งจะตายมั้ย หัดหุบปากซะบ้างเถอะ ฉันรำคาญ”

“นี่… นายจะพาฉันออกไปไหนก็ไม่รู้ คิดมิดีมิร้ายหรือเปล่า แล้วจะไม่ให้ฉันถามได้ไง”
คราวนี้รุ่นพี่กวาดสายตามองไอ้ตัวดีตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ปากสวยๆเหยียดรอยยิ้มเยาะเย้ย

“อย่างนายเนี่ย หางตาฉันยังไม่อยากจะแล โทรมยังกะลูกหมา”

“หนอย… ซุย!” หมัดเล็กๆลอยคว้างเฉียดศีรษะของคนที่ก้มตัวหลบได้อย่างว่องไว

“คนอย่างนายก็ไม่เคยอยู่ในสายตาฉันเหมือนกัน อวดดีขี้เก๊กไม่มีใครเกิน ทุเรศ!”

“งั้นก็ดีแล้ว ฉันไม่สนนาย นายก็ไม่สนฉัน ต่างคนต่างอยู่ก็ถือว่าแฟร์ดี เอาล่ะ… เลิกเต้นเหยงๆไม่เข้าท่า
 แล้วเอาไอ้เป้ห่วยๆของนายไปเก็บได้แล้ว ฉันจะไปรอข้างล่าง ถ้าภายในห้านาทีนายไม่ลงไปล่ะก็
อย่าหาว่าฉันโหดก็แล้วกัน”

รุ่นพี่ขู่สำทับ แต่ไทกิได้ฟังแล้วยิ่งเดือด เค้าโยนเป้ไปโดนแก้วน้ำบนโต๊ะจนแตกกระจาย
ก่อนจะตามรุ่นพี่ขี้เก๊กลงไปข้างล่าง

ซุยพาไทกิไปที่ย่านฮาราจูกุ แหล่งศูนย์รวมแฟชั่นของวัยรุ่นญี่ปุ่น เล่นซะคนที่กำลังหลบโจทย์เก่า
ต้องหาหมวกมาคลุมหน้าคลุมตาจนมิด

“พาฉันมาที่นี่ทำไม?” มันพาเค้าเดินมาไกลโขแล้วนะเนี่ย จะว่าพามาช้อปปิ้งก็ไม่ใช่
 เพราะไม่เห็นมันจะพาแวะที่ไหนเลย เค้าก็เลยต้องถามซะหน่อย

“อย่าถามมากได้มั้ย เดี๋ยวนายก็รู้เอง”

ไม่ถามได้เรอะไอ้บ้า… พาเดินมาไกลขนาดนี้ คนเค้าก็เหนื่อยเป็นนะเฟ้ย

“นั่นไง… ถึงแล้ว”
ซุยชี้ไปยังตึกสีขาวหลังใหญ่ ที่ดูเหมือนจะเป็นสำนักงานอะไรสักอย่าง เค้าเดินตรงไปที่เคาน์เตอร์
แสดงบัตรพาสปอร์ตวีไอพี จากนั้นก็ได้รับอนุญาตให้ขึ้นไปยังสำนักงานชั้นสูงสุด บนนั้นเหมือนเป็นคลับ
ของพวกคนมีฐานะ ขนาดโซฟาที่ให้แขกนั่งยังนิ่มจนไทกิชักไม่อยากจะลุกไปไหนอีกแล้ว

“อ้าว… ซุยคุง ลมอะไรหอบนายมาล่ะเนี่ย ร้อยวันพันปีไม่ยักกะมาที่คลับ สงสัยฉันคงต้องบอกลูกน้อง
ให้เตรียมรอรับพายุฝนฟ้าคะนองลูกใหญ่ซะแล้วมั้ง”

ชายหนุ่มรูปหล่อ ผมสีเงินยวง ตาสีฟ้าเหมือนลูกครึ่ง แต่งตัวด้วยชุดสูทสีขาวภูมิฐาน
เค้าทักทายซุยเหมือนเป็นคนที่คุ้นเคยกันมานาน

“ถ้าไม่จำเป็น ฉันก็ไม่อยากมานักหรอก” ว่าแล้วก็ชี้ไปทางไอ้ตัวแสบที่ยังนอนกลิ้งเกลือกอยู่บนโซฟา
“คาน่อน… นายช่วยจัดการไอ้หมอนี่ให้ดูเป็นผู้เป็นคนหน่อยได้มั้ย”

คาน่อนเดินเข้าไปหาไอ้ตัวแสบที่ว่า ไทกิมองคนแปลกหน้าด้วยสายตาที่ไม่ไว้วางใจ
ถึงคนๆนั้นจะยิ้มหวานให้ตลอดเวลาก็ตาม

“ไหน… ขอดูหน่อยซิ” คาน่อนเชยคางคนตรงหน้าขึ้นมา
“หน้าตาสวยดี ทำไมถึงปล่อยให้โทรมขนาดนี้ล่ะ น่าเสียดายออก” คาน่อนส่ายหัว
 ก่อนจะหยิบผมที่เป็นสังกะตังขึ้นมาดู “ผมนี่ก็น่าจะเล็มแล้วทำสปาซะหน่อย”

เอ๊ะ… สปาด้วยเรอะ มันชักจะทะแม่งๆยังไงแล้วสิ ไทกิรีบส่งสายตาไปขอความช่วยเหลือจากรุ่นพี่อย่างเร่งด่วน
แต่ซุยก็แกล้งเบือนหน้าหนีทำท่าไม่รู้ไม่ชี้

“แต่ผิวสวยใช้ได้ ถ้าได้ขัดซะหน่อยล่ะก็เจ๋ง เอาเป็นว่าเรามาทำทั้งตัวเลยก็แล้วกัน”

ข้อสรุปที่ไทกิฟังแล้วแทบลมจับ โดนพามาที่แปลกๆ เจอหน้าคนแปลกๆ
แล้วยัง… จะโดนทำอะไรแปลกๆอีกด้วย ไม่เอานะ… ไม่เอา!

“จะทำอะไรก็แล้วแต่นายเหอะคาน่อน ขอแค่ให้มันพ้นสภาพลูกหมาก็พอแล้ว งั้นฉันไปก่อนนะ”

ซุยทำท่าจะเดินหนี แต่โดนไอ้ตัวดีกระโดดเข้ามากอดคอหมับ พร้อมกับร้องห่มร้องไห้
เหมือนลูกหมาที่ถูกเจ้าของเอามาปล่อยวัด

“ไม่นะ… ซุย ไหนนายบอกจะให้ฉันอยู่ด้วยไง นายจะทิ้งฉันแบบนี้ไม่ได้นะ ฉันจะไปกับนาย
จะพาฉันไปโขกสับที่ไหนก็ได้ แต่ขอร้องอย่าทิ้งฉันไว้กับตุ๊ด!”

เสียงฟูมฟายของมัน ทำเอาสองหล่อถึงกับอึ้งมองตากันปริบๆ ก่อนที่คาน่อนจะเป็นฝ่ายระเบิดเสียงหัวเราะฮากลิ้ง
 แต่อีกคนกลับทำหน้าพะอืดพะอมพูดไม่ออก

“นี่น้องชาย… ถึงฉันจะเป็นคนเนี้ยบเรียบร้อยแบบนี้ก็เถอะ แต่ก็ไม่ใช่พวกไม้ป่าเดียวกันหรอกนะ
มันเป็นธุรกิจ และลูกค้าส่วนใหญ่ก็เป็นผู้หญิง ฉันก็เลยจำเป็นต้องแต่งตัวให้ดูดีหน่อย
แต่สำหรับซุยคุงล่ะก็ไม่แน่ ไปกอดมันซะแน่นขนาดนั้น ระวังมันจะเคลิ้มเอาล่ะ ฮ่าๆๆๆๆๆ”

คาน่อนเปรยให้ฟัง จนไทกิแทบกระโดดออกจากคอรุ่นพี่ไม่ทัน

“จริงอ่ะ!” แล้วไอ้ตัวดีมันก็เชื่อสนิท

“เลิกพูดพล่อยๆซะทีได้มั้ยคาน่อน เจอฤทธิ์ ‘โนะอิ’ คราวที่แล้วยังไม่เข็ดอีกหรือไง”
พอซุยพูดถึงชื่อต้องห้าม หน้าใสๆของคาน่อนก็ถอดสีซีดเผือดทันตาเห็น

“อย่าเอาชื่อเบื้องบนมาลบหลู่ได้มั้ย ฟังแล้วขนลุก” คาน่อนทำท่าชวนสยอง ก่อนจะเข้ามาจัดการภาระชิ้นสำคัญต่อ
 “เอาล่ะ… นายจะไปทำธุระไม่ใช่เหรอซุย ส่วนไอ้น้องคนนี้ไม่ต้องห่วง ฉันจะแปลงโฉมให้สุดฝีมือเลย
รับรองตอนค่ำๆพอนายมารับ ต้องจำเค้าไม่ได้แน่”

“เออ… ฉันก็เชื่อฝีมือนายถึงได้พามานี่ไงล่ะ แล้วก็ฝากวัดตัวตัดเครื่องแบบนักเรียนให้มันด้วยแล้วกัน
ขอชุดลำลองหลายๆชุดด้วยนะ ที่เอามาน่ะขยะทั้งนั้น”

ซุยสั่งครบชุด เพื่อนซี้ก็รับปาก พอมันลงไปแล้ว เค้าก็หันมาแสยะยิ้มให้ไทกิที่กำลังหวั่นใจว่าจะโดนทำอะไรบ้าง

“มาเถอะหนุ่มน้อย… ฉัน คาน่อน เอเดรียน จอมสลัดคราบมือหนึ่ง จะทำให้นายได้เป็นดาวแห่งโรงเรียนรินคังเอง ฮ่าๆๆๆๆๆๆ”

เสียงหัวเราะชวนสยองยังดังก้องติดหูไทกิ ก่อนที่เค้าจะโดนทีมงานนับสิบคนมารุมทึ้ง จนไม่รู้ตัวว่าวันนั้นทั้งวันโดนทำอะไรไปบ้าง

เวลาผ่านไปจนพลบค่ำ…. ได้เวลาที่รุ่นพี่คนสำคัญต้องกลับมารับตัวเค้าแล้ว
 
ซุยเดินคิดอยู่หลายตลบ ที่ผ่านมาถึงจะมีประสบการณ์คุ้มกันลูกค้าวีไอพีระดับประเทศมานับไม่ถ้วน
แต่การที่ต้องคอยคุ้มครองไอ้ตัวแสบกลับเป็นเรื่องที่ยุ่งยากกว่า ที่สำคัญ… ยังพัวพันกับองค์กรมืด
ที่เค้าไม่อยากยุ่งเกี่ยว พ่อเคยสอนมาตลอดว่าต่อให้ค่าจ้างแพงแค่ไหน
ก็อย่ารับงานที่เกี่ยวข้องกับ ‘Death Flowers’
แต่เพราะอะไรพ่อถึงเปลี่ยนใจ… ยอมให้เค้ารับงานเสี่ยงตายดูแลหนึ่งในสามยมทูต
…Red Rose…

ประตูกระจกเลื่อนเปิดเองโดยอัตโนมัติ คนใจลอยก็ก้าวพรวดเข้าไปข้างใน ปะทะกับใครบางคนที่ยืนรออยู่
พอเงยหน้าขึ้นมองจนเห็นเต็มสองตา คนใจลอยก็ถึงกับตะลึงจนพูดไม่ออก
หนุ่มน้อยวัยสิบหกที่สลัดคราบยาจกทิ้งไปอย่างสิ้นเชิง กำลังยืนยิ้มแป้นแล้นใส่ หน้ามันทั้งสวยทั้งใส
หวานจนไม่อยากเชื่อว่าเป็นผู้ชาย ผมถูกย้อมใหม่เป็นสีแดงอ่อน รับกับตาสีน้ำตาลอมแดงที่เจ้าของกำลังยักคิ้วให้
…Red Rose… กุหลาบสีเลือด นี่เองคือที่มาของฉายายมทูตคนสำคัญแห่ง Death Flowers

“นายมาช้ามาก ปล่อยให้ฉันรอ หิวก็หิว เบื่อก็เบื่อ เซ็งจะตายชัก”
ซุยถอนใจปลงชีวิต หน้าตาที่เปลี่ยนไปไม่ช่วยให้นิสัยแย่ๆของมันดีขึ้นสักนิด กุหลาบสีเลือดเรอะ…
 คงต้องเปลี่ยนเป็นกุหลาบโชกเลือดดีกว่ามั้ง ถ้าปากมันยังหมาขนาดนี้

“ฉันไปธุระหลายที่” คนมาช้าแก้ตัว

“นายมาก็ดีแล้ว ฉันหิวข้าวมากเลย พาไปหาอะไรกินหน่อยสิ” แล้วไอ้ตัวแสบก็กระโดดมากอดแขนคลอเคลีย
ทำตัวสมเป็นลูกหมาที่สุด

“คาน่อนอยู่ไหนฦ” ซุยทำหูทวนลม แล้วถามหาอีกคนเพื่อเคลียร์งานชิ้นแรกให้เรียบร้อย

ไอ้ตัวดีส่ายหน้า “ไม่รู้สิ… ฉันชวนคุยอยู่ดีๆ คาน่อนก็บอกว่ามีธุระ แล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย”

ซุยแอบอมยิ้ม ท่าทางเพื่อนซี้ของเค้าคงเจอฤทธิ์ปากหมาของไอ้ตัวแสบเข้าแล้วล่ะสิ

“ซุยกลับมาแล้วเหรอ”
คาน่อนออกมาในสภาพโทรมจนแทบไม่เหลือเค้าเจ้าชายสุดเนี้ยบ
ท่าทางมันจะไม่ได้เจอฤทธิ์ปากอย่างเดียว แต่อาจจะเจอฤทธิ์บาทามันด้วย

“ทั้งหมดหนึ่งล้านสามแสนเยน จ่ายสด งดเชื่อ เบื่อทวง” คาน่อนแบมือใส่หน้า พอเจอกันปุ๊บ
มันก็ทวงเงินปั๊บ เคี่ยวสมชื่อจริงๆ

“ค่าอะไรของนาย แพงตั้งขนาดนั้น”

“นี่… เพื่อน เฉพาะค่าเครื่องแบบโรงเรียนรินคังก็ชุดละแสนแล้ว
ห้าชุดรวมเซ็ตหน้าร้อนกับหน้าหนาว ทั้งหมดก็ห้าแสน นี่ฉันแถมชุดพละให้ฟรีแล้วนะ
เอาน่า… อย่าพูดมาก จ่ายมาซะดีๆ”
คาน่อนกระดิกนิ้วทวงตังค์ยิกๆ ซุยหยิบเช็คออกมาเซ็นให้อย่างหงุดหงิด

“ขอบใจมาก… ต่อไปถ้ามีอะไรให้ช่วยก็บอกนะเพื่อน ไม่ต้องเกรงใจ”

“ไม่เกรงใจอยู่แล้ว เพราะมาทีไรฉันก็เสียเงินทุกที”

“ก็นี่มันเป็นธุรกิจ บ้านนายก็ทำธุรกิจ เรื่องแค่นี้ยังไม่ชินอีกเหรอซุย”

‘ก็เพราะชินน่ะซี้ ถึงได้รู้ว่านายมันเคี่ยว…’ ซุยแอบบ่นในใจ

“งั้นฉันไปก่อนนะ”

ซุยพยักหน้าเรียกไอ้ตัวแสบที่กำลังยืนลูบท้อง คาน่อนก็เดินไปส่งที่หน้าลิฟท์

“ระวังตัวด้วยนะซุย ฉันรู้ว่านายกำลังตกที่นั่งลำบาก ถ้ามีอะไรอยากให้ช่วยก็บอก ในฐานะเพื่อนฉันไม่คิดเงิน”
คาน่อนบอกลาและยิ้มให้ ซุยยกนิ้วโป้ง แล้วพาไอ้ตัวแสบเดินจากไป

“นายกับคาน่อนเป็นเพื่อนกันมานานแล้วเหรอ?” ไอ้ตัวแสบที่เดินมาด้วยกันถาม

“ไม่เกี่ยวกับนาย”
คนขี้เต๊ะก็ยังเต๊ะอยู่วันยังค่ำ ถามอะไรก็ไม่ตอบ งก!

“อ่ะ… ฉันให้”
จู่ๆคนที่เค้าเพิ่งด่าในใจว่างก มันก็ยื่นบัตรเครดิตแพลตตินัมใบสวยหรูมาให้

“โห… ให้ฉันเหรอ” ไทกิรับมาด้วยความตื่นเต้น คงต้องขอโทษมันหน่อยแล้วที่ไปด่ามันว่างก
ทั้งที่ใจป้ำให้อะไรตั้งมากมายขนาดนี้ “รูดได้ไม่จำกัดวงเงินหรือเปล่าเนี่ย”

“อยากใช้แค่ไหนก็ใช้ไปสิ ยังไงก็เงินของแม่นายอยู่แล้ว”

คำพูดที่เปลี่ยนรอยยิ้มของคนที่กำลังดีใจให้หุบลงในพริบตา ไทกิหักบัตรเครดิตแพลตตินัมในมืออย่างไม่ใยดี
“ฉันก็กะแล้วว่าต้องเป็นแบบนี้” ซุยแอบอมยิ้มที่มุมปาก ก่อนจะยื่นบัตรเครดิตสีทองอีกใบไปให้

“ฉันไม่เอา!” ไทกิปฏิเสธเสียงแข็ง เลือดโมโหฉีดซ่านขึ้นหน้าสมฉายากุหลาบสีเลือด
“เงินสกปรกของแม่ ต่อให้ต้องอดตายฉันก็ไม่มีวันเอามาใช้ นายเก็บไปได้เลย”
ซุยจับมือเล็กๆขึ้นมา ก่อนจะยัดเยียดการ์ดทองบังคับให้มันรับไว้

“ฉันบอกว่าไม่เอาไงเล่า ฟังไม่รู้เรื่องหรือไง โธ่เว้ยยย!!” ไอ้ตัวแสบเต้นเหยงๆ ด่าผู้มีพระคุณ
ที่อุตส่าห์ให้ที่ซุกหัวนอนฉอดๆ

“ฉันรู้แล้วว่านายไม่เอาเงินของแม่นาย” ซุยตวาดกลับ จับบ่ามันไว้แน่น
เผื่อจะช่วยให้เลือดที่เดือดขึ้นหน้ามันเย็นลงบ้าง

“แต่การ์ดใบนี้เป็นของฉันเอง การ์ดของฉัน วงเงินที่เบิกจ่ายก็เป็นเงินในบัญชีฉัน
จะเอาหรือจะหักทิ้งก็เรื่องของนาย ถ้าอยากอยู่แบบอนาถาก็ตามใจ ฉันไม่อยากจะยุ่งด้วยแล้ว”

พอคนที่เคยเงียบตวาดกลับมาเป็นชุด คนที่พูดมากมาตลอดก็ได้แต่มองตาปริบๆ ซุยเดินหนีไปอย่างหงุดหงิด
งานที่ไม่น่ายาก มันก็ยังอุตส่าห์ทำให้ยากจนได้… งี่เง่าชะมัด

ไทกิยืนงงอยู่พักใหญ่ มองตามแผ่นหลังรุ่นพี่ขี้เก๊กที่เดินหนีไปลิ่วๆ ก่อนจะวิ่งตามไปกวนโมโหต่อ

“นี่… ซุย การ์ดใบนี้รูดได้ไม่จำกัดวงเงินหรือเปล่า”
มันก็ถามไปอย่างนั้น ทั้งที่ในใจคิดแผนไว้เรียบร้อยว่าจะรูดให้เกลี้ยง ปิดบัญชีแทนรุ่นพี่ขี้เก๊กซะเลย

“ฉันขอเตือนไว้ก่อน ถ้ายอดเงินในบัญชีฉันลดลงฮวบฮาบแบบไม่มีสาเหตุล่ะก็ นายคงรู้นะว่าชีวิตนายจะเป็นยังไง”
แขนเย็นๆตรงเข้าล็อกคอจอมป่วนเอาไว้ พร้อมกับทำท่าเชือดคอเป็นการข่มขู่
จนไอ้ตัวแสบได้แต่กลืนน้ำลายดังเอื๊อก

“ล้อเล่นน่าพี่ ใครมันจะไปกล้า แหะ แหะ…” ไอ้ตัวดีหัวเราะกลบเกลื่อน ก่อนจะโอบแขนกอดไหล่รุ่นพี่สุดที่รัก
เอาไว้บ้าง “ขอถามอะไรอย่างได้มั้ย?”

หน้ากวนๆที่ยื่นเข้ามาใกล้ เปลี่ยนเป็นหวานจนแทบละลาย มันจ้องตาล้วงลึกหาความในใจจนอีกฝ่ายทนไม่ไหว
ต้องรีบหันหน้าหลบ

“ก็ถามมาสิ” ซุยบอกเนิบๆ

“ทำไมนายต้องทำอะไรเพื่อฉันมากมายขนาดนี้ด้วย ยอมแบ่งที่ซุกหัวนอนให้ พาฉันไปเปลี่ยนลุค
 แล้วยังให้เครดิตการ์ดอีก นายทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร ฮึ… ซุย?”

“มันเป็นหน้าที่” คนขี้เก๊กยังกั๊กเหมือนเคย

“นายรู้ใช่มั้ยว่าฉันเป็นใคร นายไม่กลัวฉันเหรอ”

“ฉันรู้แต่ว่านั่นคือหน้าที่” คำตอบสั้นๆที่บอกชัดว่าอย่าพยายามล้วงอะไรไปมากกว่านี้เลย
 ต่อให้ตายมันก็ไม่ยอมคายออกมาหรอก “แล้วอีกอย่างนะ…”

ซุยจ้องแขนขาวเพรียวที่บังอาจลามปามขึ้นมากอดไหล่เค้าไว้อย่างจาบจ้วง

“ถึงยังไงฉันก็เป็นรุ่นพี่ หัดมีสัมมาคารวะไว้บ้างก็ดีนะ ไทกิ”

“ห๊า!!!” ไอ้ตัวแสบร้องลั่น ทำตาพราวระริกระรี้ยังกะลูกหมาที่มีคนใจบุญเก็บไปเลี้ยง
“ไหน… นายลองพูดใหม่อีกทีซิ”

“เป็นบ้าอะไรอีกล่ะ ฉันบอกให้นายมีสัมมาคารวะ ฟังภาษาญี่ปุ่นไม่รู้เรื่องหรือไง”

“ไอ้นั่นน่ะฉันรู้แล้ว (รู้เฉยๆนะ ยังไม่ได้บอกว่าจะทำ) แล้วคำต่อไปล่ะ นายพูดว่าไง”
ซุยขมวดคิ้ว กำลังงงว่าไอ้หมอนี่มันจะเอาอะไรจากเค้ากันแน่

“ฉันพูดอะไร?”
“ฮื้อ… ก็ไอ้คำสุดท้ายนั่นไง”

“ไทกิ…”

“เยส! บิงโก!”

ไอ้ตัวแสบกระโดดโลดเต้นดีอกดีใจใหญ่ จนรุ่นพี่ต้องรีบจับมันไว้ เพราะอายชาวบ้านจะแย่

“นายจะแหกปากทำไมเนี่ย”

ซุยต้องเหนื่อยด่ามันไปอีกยก แต่มันจะมีสำนึกขึ้นมาบ้างหรือก็เปล่า ยังเอาแต่ทำหน้าตาระริกระรี้
จ้องเค้ายังกะเห็นเป็นตัวประหลาด แต่ที่น่าตกใจยิ่งกว่า… ก็ตอนมันพุ่งตัวเข้ามากอดหมับกลางถนน
ชนิดไม่อายฟ้าอายดิน ไม่อายสายตาประชาชี แถมมือมันเหนียวยังกะปลาหมึก แกะยังไงก็แกะไม่ออก
คนหน้าบางก็เลยต้องยอมให้มันกอดจนกว่าจะหนำใจ
อกอุ่นๆใต้เสื้อเชิ้ตบาง จู่ๆก็ชื้นขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ พอก้มหน้าลงไปดูซุยก็ต้องตกใจอีกรอบ
 ไอ้ตัวแสบที่ไม่เคยสลดมันร้องไห้ ร้องไห้ซบอกของเค้าอยู่

“นาย… ร้องไห้ทำไม ฉันทำอะไรไม่ดีเหรอ ฉันขอโทษ”
ขอโทษกู้สถานการณ์ไปก่อน ถึงไม่รู้ว่าตังเองทำอะไรผิดไปก็เถอะ

ไทกิรีบส่ายหน้า “เปล่าเลย… นายไม่ได้ทำอะไรผิด นายแค่เรียกชื่อฉัน”

“ชื่อ?” รุ่นพี่ขมวดคิ้ว “ก็ถ้านายไม่อยากให้เรียก ต่อไปฉันไม่เรียกก็ได้”

“ไม่นะ… ไม่ใช่ ฉันอยากให้นายเรียก รู้มั้ย… นายเป็นคนแรกที่กล้าเรียกฉันว่าไทกิ”

คำเฉลยที่ซุยฟังแล้วก็ได้แต่งง แถมยังชวนให้หงุดหงิดใจขึ้นมาตะหงิดๆ

“ฉันก็ได้ยิน ผอ. เรียกนายว่าไทกิ”

“นั่นไม่เหมือนกัน คุณชิงุเระเรียกฉันว่าไทกิซัง ขนาดคุณแม่ก็ยังเรียกฉันว่าคุณไทกิ
มีแต่นายที่กล้าเรียกฉันว่าไทกิเฉยๆ”

ตกลงว่ากลายเป็นเค้าใช่มั้ยที่ลามปามบังอาจเรียกชื่อมันตรงๆ ขอโทษทีเถอะ…

“แต่ฉันก็อยากให้นายเรียกฉันว่าไทกินะ ไม่ต้องเปลี่ยนหรอก ฉันไม่ถือ”
ซะงั้น…

ซุยยกมือขึ้นกุมขมับ เริ่มรู้สึกปวดหัวขึ้นมาจี๊ดๆ เดิมทีตั้งใจจะสอนให้มันมีสัมมาคารวะเคารพรุ่นพี่อย่างเค้าบ้าง
 แต่ไปๆมาๆกลายเป็นว่าเค้าต้องเคารพคำสั่งมันซะนี่

“อย่างนาย ฉันเรียกไอ้บ้าก็ดีถมเถแล้ว”
ซุยปลงแล้วกับชีวิต ขืนตามใจมันมากไปกว่านี้มีหวังเค้าต้องโมโหจนอกแตกตายแน่

“ยังไงก็ได้ซุย ฉันไม่ถืออยู่แล้ว ฮ่าๆๆๆๆ”

ไอ้ตัวดีที่เพิ่งร้องไห้ขี้มูกโป่งมาหมาดๆ กลับส่งเสียงหัวเราะกวนโมโหจนน่าเตะ
วันนี้เป็นวันที่เหนื่อยแสนเหนื่อยและยาวนานที่สุด
เห็นที… จบภารกิจนี้เมื่อไหร่ คงต้องขออนุญาตพ่อหยุดพักงานยาวสักปีสองปีซะแล้วมั้ง


ออฟไลน์ มูมู่น้อย

  • Global Moderator
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2623
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +468/-12
Re: Red Rose < By Foggy >
«ตอบ #13 เมื่อ17-01-2008 19:45:13 »

สนุกจังเรื่องนี้  o13

ว่าแต่ไทกิเป็นถึงหนึ่งในสามยมฑูตเชียว  เก่งคอมหรือเก่งไรหว่า 

อยากอ่านต่อแล้ว  :oni2:   :oni2:

aum

  • บุคคลทั่วไป
Re: Red Rose < By Foggy >
«ตอบ #14 เมื่อ18-01-2008 13:00:20 »

สนุกจังครับ เคยอ่านแล้วแต่อ่านอีกทีก็ยังสนุกอยู่ ยังไงก็ขอให้มาต่อให้จบ นะ เป็นกำลังใจให้ครับ อิอิ  :a2:

Angle Froze

  • บุคคลทั่วไป
Re: Red Rose < By Foggy >
«ตอบ #15 เมื่อ19-01-2008 14:29:11 »

อื้ม เรื่องนี้ก็เคยอ่านแล้วเหมือนกัน จำได้ว่าสนุกๆ ขอให้มาต่อให้จบละกัน  :m1:

Unn

  • บุคคลทั่วไป
Re: Red Rose < By Foggy >
«ตอบ #16 เมื่อ21-01-2008 22:03:53 »

 :m22:Chapter 7 Senior Leader

        28 เมษายน… สามวันก่อนวันเปิดเทอม คือวันที่นักเรียนปีหนึ่งต้องรายงานตัวเข้าหอพัก

วันนี้เป็นวันแรกที่จะมีการเปิดหอฮิโนะเอ็นหรือหอไฟ ไทกิตื่นตั้งแต่เช้า แต่ก็ยังช้ากว่าซุย
แถมจู่ๆรุ่นพี่ขี้เก๊กที่อยู่ร่วมกันมาสองอาทิตย์ก็เกิดใจดีขึ้นมากะทันหัน
เก็บข้าวของแพ็กใส่กระเป๋าให้เค้าเสร็จสรรพ พอตื่นขึ้นมากะจะขอบใจซะหน่อย
พี่แกก็หายตัวไปจากห้องซะแล้ว

ตอนสาย… นักเรียนปีหนึ่งก็มารายงานตัวครบถ้วน ไทกิรออยู่หน้าหอฮิโนะเอ็นพร้อมกับเพื่อนคนอื่นๆ
สายตาก็คอยชะเง้อมองหารุ่นพี่คนสำคัญ หมอนั่นเป็นประธาน ยังไงซะก็ต้องโผล่หน้ามาให้เห็นบ้างล่ะน่า

“สวัสดี”
เสียงทุ้มนุ่มนวลจากคนข้างๆเอ่ยทัก ไทกิหันไปมอง เห็นเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวสูงไล่เลี่ยกัน
ตัวค่อนข้างผอม ผมซอยสั้นสีดำสนิท หน้าตาสวยติดออกไปทางหวาน สวมแว่นตากรอบบางสีสด
 ยิ่งทำให้หน้าละอ่อนดูคงแก่เรียน

“ฉัน… คาวาชิมะ คาโอรุ มาจากมิยางิ นายล่ะ?” เพื่อนใหม่แนะนำตัวพร้อมยื่นมือมาให้
ไทกิก็เอื้อมไปจับรับไมตรี

“โนมูระ ไทกิ”

“งั้นขอเรียกไทกิคุงก็แล้วกัน”

“ได้สิ” ไทกิพยักหน้า

“ว่าแต่นายมองหาใครอยู่เหรอ เพื่อนที่ย้ายมาจาก ม.ต้น ด้วยกันเหรอ”

“เปล่า… ฉันไม่มีเพื่อนสมัย ม.ต้น หรอก ฉันก็แค่มองเฉยๆว่าเพื่อนๆปีหนึ่งเป็นยังไงกันบ้าง”
ไทกิแก้ตัวไปเรื่อย คิดว่าซุยคงไม่ดีใจนักหรอก ถ้าเค้าจะป่าวประกาศให้คนอื่นรู้ว่าซี้ปึ้กกับประธานนักเรียน
เป็นการส่วนตัว เดี๋ยวจะโดนหาว่าเป็นเด็กเส้นเปล่าๆ (ที ผอ. ฝากมาเนี่ยไม่เส้นเลยนะจ๊ะ)

“ฉันนะฝันมาตั้งนานแล้ว ว่าอยากมาเรียนที่นี่”
“ทำไมล่ะ?”

ก็พอรู้มาบ้างว่าที่นี่เป็นโรงเรียนชื่อดัง ถ้าได้ฟังความเห็นจากคนอื่นบ้างก็คงน่าสนใจ

“อ้าว… นายไม่รู้เหรอ โรงเรียนนี้ดังมากนะ เก่าแก่พอๆกับ ม.โทได เลยล่ะ
คนที่มาเข้าเรียนก็มีแต่พวกที่มาจากตระกูลดังๆทั้งนั้น อย่างคนนั้น…” คาโอรุชี้ไปหาคนที่ใส่ชุดสูท
หวีผมเรียบแปล้

“มัตสึดะ ลูก ส.ส. คนดัง ถัดไปก็ โมริโมโต้ ทายาทเจ้าของธนาคาร…
ยาซาว่า ลูกชายเจ้าของบริษัทอัญมณี”

คาโอรุไล่ไปเรื่อย เหมือนรู้จักทุกคนเป็นอย่างดี แต่ไทกิมองแล้วก็เฉยๆ ก็แค่ลูกรวยไม่เห็นจะน่าสนใจตรงไหน จะมีพวกที่น่าสนใจกว่านี้มั้ยนะ

“แล้วนายล่ะคาโอรุ เป็นลูกนักธุรกิจหรือนักการเมืองคนไหนล่ะ” ไทกิถามโต้งๆ จนคาโอรุส่งเสียงหัวเราะพรืด

“เปล่าหรอก… ฉันก็แค่เด็กบ้านนอกคนหนึ่งที่บังเอิญหัวดีเท่านั้นเอง ฉันสอบเข้าได้คะแนนอันดับหนึ่ง
 และก็ได้รับคัดเลือกให้เป็นผู้มีสิทธิ์รับตำแหน่ง Special member”

พอได้ยินเรื่องเมมเบอร์ ไทกิก็หูผึ่งทันที

“ฉันก็เคยได้ยินมาบ้างเหมือนกัน แล้วตกลงเมมเบอร์ที่ว่ามันคืออะไรเหรอ”

“กลุ่มสมาชิกพิเศษของโรงเรียนไงล่ะ แต่ละชั้นปีจะได้รับคัดเลือกแค่สามคนเท่านั้น เ
มมเบอร์จะมีหน้าที่พิเศษในโรงเรียน มีอำนาจเหนือกรรมการนักเรียน
ที่สำคัญ… แต่ละคนยังมีความสามารถไม่ธรรมดาด้วย”

“หน้าที่พิเศษ เช่นอะไรบ้าง”

“ก็อย่าง… ดูแลความเรียบร้อยในโรงเรียน เป็นหัวเรือหลักในการจัดกิจกรรมโรงเรียน
ประสานงานระหว่างนักเรียนและอาจารย์ และก็… อีกเยอะแยะ”

“นั่นมันงานของประธานนักเรียนไม่ใช่เหรอ ก็แค่เลือกประธานนักเรียนก็พอแล้วนี่
ทำไมต้องตั้งกลุ่มสมาชิกพิเศษให้วุ่นวายด้วย”

คาโอรุมองหน้าไทกิพร้อมกับขมวดคิ้ว เค้าก็คิดว่าตัวเองมาจากบ้านนอกแล้วนะ
ไอ้หมอนี่ยังบ้านนอกกว่าเค้าอีกแฮะ

“นายเนี่ยเหลือเชื่อเลยแฮะ” คาโอรุเปรย “สมาชิกพิเศษน่ะ เป็นตำแหน่งเทพเจ้าประจำโรงเรียนเลยนะจ
ะบอกให้ นายจะทำในสิ่งที่นักเรียนคนอื่นทำไม่ได้ ไปในที่ที่คนอื่นไปไม่ได้
แม้แต่สั่งลงโทษคนในโรงเรียนจนถึงขั้นไล่ออกโดยไม่ต้องรายงานอาจารย์ก็ยังได้
แถมฉันยังรู้มาด้วยว่าตำแหน่งนี้ได้รับความร่วมมือจากรัฐบาลให้ทำงานลับด้วย
แล้วแบบนี้ใครล่ะไม่อยากเป็น”

สรุปง่ายๆก็คือตำแหน่งเบ๊กิตติมศักดิ์….ไทกิเบ้หน้า ตอนแรกคิดว่าจะเป็นอะไรที่น่าสนใจกว่านี้ซะอีก

“ฮัลโหล… เทสต์”

เสียงดังจากไมโครโฟนโหยหวน เล่นซะพวกปีหนึ่งหูแทบระเบิด รุ่นพี่ในชุดเครื่องแบบสามดาว
บ่งบอกตำแหน่งซีเนียร์ก้าวฉับขึ้นบนเวที รุ่นพี่ตัวเล็ก แต่ก็ดูน่าเกรงขาม ผมสีเข้มตาสีเข้ม
กำลังโปรยยิ้มหวานให้น้องๆปีหนึ่ง

“สวัสดีน้องใหม่ทุกคน ก่อนอื่นขอแนะนำตัวนะครับ พี่ชื่อ… อาซาโนะ ยู”

“นั่นไง… มาหนึ่งแล้ว” คาโอรุกระซิบบอก ตอนนี้เด็กปีหนึ่งพร้อมใจกันยืนขึ้นและตั้งใจฟังรุ่นพี่เต็มที่

“มาแล้วอะไร?” ไทกิกระซิบเสียงถามกลับ

“หนึ่งในสเปเชี่ยล เมมเบอร์… อาซาโนะปีสาม นักเรียนดีเด่นระดับประเทศ เค้าเก่งมาก ได้เหรียญทอง
ในการแข่งขันโครงงานโอลิมปิกระดับโลกด้วย ขนาดยังไม่จบ ม.ปลาย ก็ถูกมหา’ลัย
ดังๆทาบทามไปเป็นอาจารย์พิเศษแล้ว”

ไทกิส่ายหน้า… นักเรียนดีเด่นเรอะ ก็งั้นๆ

“ขอแนะนำรุ่นพี่อีกคนที่จะมาเป็นผู้ช่วยของพี่ในวันนี้นะครับ” ยูขยิบตาเรียกเพื่อนรุ่นเดียวกัน
ที่มายืนรออยู่ข้างเวที คนๆนี้สูงกว่ายูมาก ผิวคล้ำกว่า หน้าตาคมเข้มเหมือนมาจากทางใต้
 แต่ก็ถือว่าเป็นคนที่หล่อสะดุดตามากคนหนึ่ง

“สวัสดีครับ พี่ชื่อ… ไซโต้ โฮตารุ” รุ่นพี่จากเกาะทะเลใต้แนะนำตัวเอง เจ้าคาโอรุมันก็รีบสวนข้อมูล
ใส่เมมโมรี่ของไทกิทันที

“ไซโต้ โฮตารุ… นักกีฬาดีเด่นระดับประเทศ โดยเฉพาะกีฬายิงปืน แม่นขนาดหลับตายิงยังเข้าเป้า
แถมเรื่องต่อยตีไม่มีใครเกิน”

มันก็แค่นักเลงโตประจำโรงเรียนไม่ใช่เหรอ ไม่เห็นจะวิเศษตรงไหน…
ไทกิเริ่มจะเสื่อมศรัทธากับกลุ่มสมาชิกพิเศษ ซุยก็เป็นสมาชิกพิเศษ แล้วมันจะเพี้ยนเหมือนไอ้พวกนี้
หรือเปล่าฟะเนี่ย

“และรุ่นพี่คนสุดท้ายที่จะมาทำหน้าที่เป็นประธานในการรับน้องวันนี้…”
เสียงประกาศที่ทำให้ไทกิต้องเปลี่ยนใจเงยหน้าไปฟังต่อ
มาแล้วแหงๆ คนที่เค้ากำลังรออยู่

“ไฮบาระ โนะอิ”

อ้าว… เจ้าซุยมันเปลี่ยนชื่อนามสกุลเมื่อไหร่ฟะ?
ไทกิกำลังงง แต่ในไม่ช้าเค้าก็ได้รับคำตอบ… ร่างสูงสง่าราวกับเจ้าชายที่หลุดออกมาจากเทพนิยายกรีก
 ก้าวขึ้นเวทีอย่างสง่าผ่าเผย ร่างนั้นขาวมาก ขาวเหมือนหิมะในม่านหมอก ผมเป็นสีเงินยวง
ปล่อยยาวเงางาม สะบัดทีทุกคนต้องหันหลบเพราะแสบตาจนทนไม่ได้
ตาของเค้าเป็นสีน้ำเงินเข้มสวยสดใสเหมือนน้ำทะเล

สังเกตอาการปีหนึ่งแต่ละคนล้วนออกอาการอึ้งไปตามๆกัน แต่ก็คงไม่มีใครที่จะอึ้งมากกว่าไทกิอีกแล้ว

“ซุยล่ะ?”

ไอ้ตัวแสบเริ่มออกอาการปากหมา ยืนเสนอหน้าอยู่หัวแถวยังไม่พอ ขนาดตอนที่เพื่อนๆกำลังเงียบ
มันก็โพล่งไม่ดูกาลเทศะ คาโอรุอ้าปากค้าง จะห้ามแต่ก็ห้ามไม่ทันแล้ว

“ซุยไปไหน ทำไมไม่มา” ไอ้ตัวดีถามย้ำ โดยไม่ดูเลยว่าเจ้าชายหิมะที่ยืนขาววอกอยู่บนเวที
กำลังจ้องมันเขม็ง เหมือนเป็นศัตรูคู่อาฆาตกันมานาน เจ้าชายผู้สูงศักดิ์ก้าวลงจากเวทีอย่างสง่างาม
แล้วเดินตรงดิ่งเข้าไปหาไอ้ตัวแสบ เพื่อนๆปีสามอีกสองคนรีบวิ่งเข้ามาห้ามทัพ

“นายถามถึงซุยคนไหน?” เสียงหวานแต่เหี้ยมของเจ้าชายหิมะขาวถามเย็นยะเยือก
บอกชัดว่าตั้งใจมาหาเรื่อง

“ก็เทนโนะ ซุย ประธานหอลมไง”

คำตอบที่เปลี่ยนดวงหน้าขาววอกให้แดงก่ำเหมือนหิมะสีเลือด

“ไม่เอาน่า โนะอิ… น้องเค้าเพิ่งมาใหม่คงไม่รู้ธรรมเนียมของเรา” ยูพยายามห้าม แต่ก็โดนตวาดกลับ

“นายน่ะหุบปากไปเลย ยู!” โนะอิหันมาจ้องไอ้ตัวดีอีกรอบ “นายชื่ออะไร?”

“ฉัน…”

“โนะอิ!”

ยังไม่ทันบอก ก็มีคนเข้ามาขัดจังหวะ ยูกับโฮตารุแอบถอนใจอย่างโล่งอก
เพราะถ้าขืนให้โนะอิมันอาละวาด มีหวังคงต้องมีการตายหมู่เกิดขึ้นแน่

บัดนี้… สามอัศวินแห่งปีสองเดินเข้ามาพร้อมหน้า ทั้งที่งานรับน้องเป็นหน้าที่ของปีสามไม่ใช่ปีสอง
ซุยเดินหน้าเครียดเข้าไปหาหัวหน้าซีเนียร์ แต่สายตายังแอบตวัดไปยั้งไอ้ตัวแสบไม่ให้แผลงฤทธิ์

“ฉันมีเรื่องจะคุยด้วย ขอเวลาหน่อยได้มั้ย โนะอิ” ซุยลากจอมโวยแห่งปีสามออกไปคุยเงียบๆที่หอลม
ทิ้งใครบางคนที่แอบมองอยู่ข้างหลังอย่างไม่ใยดี

ใครบางคนที่อุตส่าห์มานั่งรอมันตั้งแต่เช้า ใครบางคนที่กำลังหงุดหงิดใจอย่างที่สุด
ใครบางคนที่กำลังจะคุ้มคลั่ง… เรียกสัญชาตญาณดิบคืนกลับมาในจิตใต้สำนึก!

“ซุย!”

“เดี๋ยว…”

มืออีกข้างของแขกไม่ได้รับเชิญจับบ่าไทกิไว้แน่น

“พี่ว่าคุณหนูอย่าเพิ่งตามไปดีกว่า กำลังร้อนด้วยกันทั้งคู่ เดี๋ยวก็มีเรื่องหรอก พี่โนะอิยิ่งยั้งมือไม่เป็นอยู่ด้วย”

ไทกิหันหลังกลับ มองรุ่นพี่ปีสองที่เข้ามาห้ามทัพ หนึ่งในนั้นดูหงุดหงิดรำคาญใจ
ทำหน้าบูดเหมือนโดนบังคับให้มาด้วย ส่วนอีกคนที่กำลังรั้งตัวห้ามเค้าไว้ดูอารมณ์ดีกว่ากันเยอะ
ขนาดช่วงคอขาดบาดตายยังใจเย็น ยิ้มได้อย่างไม่สะทกสะท้าน

“ผม …คาชิระ มิสึกิ… ดีใจที่ได้เจอนะคุณหนู” คนๆนั้นยิ้มให้ พร้อมกับถือโอกาสจับมือทักทาย
แนะนำตัวเองเสร็จสรรพ “ฝากทางนี้ด้วยนะครับพี่ยู เดี๋ยวผมกับมาซาฮิโกะจะตามไปเก็บศพเจ้าซุยมันก่อน
ไม่รู้จะโดนพี่โนะอิยำเละไปหรือยัง”

มิสึกิบอกอย่างอารมณ์ดีเหมือนเคย ก่อนจะพาพี่ปีสองอีกคนตามซุยและโนะอิขึ้นไปบนหอลม
ส่วนพี่ปีสามอีกสองคนที่เหลือก็ดำเนินการแบ่งห้องและรับน้องปีหนึ่งต่อ

ไทกิมองตามขึ้นไปบนหอลม หอนั้นยิ่งเงียบเท่าไหร่ เค้าก็ยิ่งไม่สบายใจ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ นอกจากรอเท่านั้น…

 “นี่เป็นงานของฉัน ขอร้องล่ะ… นายอย่าเข้ามายุ่ง”

ซุยสรุปให้ฟังหลังจากนั่งอธิบายมานานเกือบสองชั่วโมง

“แค่งานแน่นะ” โนะอิยังซักต่อไม่เลิก

“แน่สิ”

“นายกับหมอนั่น เป็นแค่ลูกจ้างกับเป้าหมาย”

“ใช่”

“นายไม่ได้คิดอะไรกับหมอนั่นมากกว่านี้ใช่มั้ย”

“แน่นอน”

“แล้วทำไมหมอนั่นถึงทำท่าสนิมสนมกับนายนักล่ะ”

ซุยยกมือกุมขมับอย่างสุดทน ซักไปซักมามันก็วนกลับเรื่องเดิมจนได้
ไม่รู้จะอะไรกันนักกันหนา

“ฉันขอพูดครั้งสุดท้ายนะ โนะอิ… งานนี้เป็นภารกิจของที่บ้าน”

…ใช่สิ ขืนไม่รับเค้าก็ตาย…

“หมอนั่นก็เป็นแค่เป้าหมาย”

…แถมยังเป็นเป้าหมายที่น่าปวดหัวที่สุด…

“เสร็จภารกิจเมื่อไหร่ ก็ทางใครทางมัน”

…แหงล่ะ ขืนชีวิตต้องพัวพันกับมันมากกว่านี้ล่ะก็ มีหวังอนาคตเค้าดับแน่…

โนะอิพยักหน้าช้าๆ แต่ไอ้อาการแบบนี้ก็ยังรับรองไม่ได้หรอกว่ามันจะเข้าใจแค่ไหน
“ก็ได้… ถ้านายยืนยันขนาดนั้น ฉันไม่ยุ่งก็ได้” ว่าแล้วเจ้าชายหิมะจอมโวยก็ยื่นหน้าเข้าไปใกล้ๆ
“แต่ขอบอกไว้ก่อนนะซุย ฉันไม่มีวันยกนายให้ใครแน่ ถ้าเด็กนั่นกล้าล้ำเส้นที่ฉันขีดไว้เมื่อไหร่
มันจะเปลี่ยนมาเป็นเป้าหมายของฉันทันที”

“นายจะทำให้งานฉันยากขึ้นนะโนะอิ”

“ไม่รู้… อย่าพยายามทำให้ฉันโมโหก็แล้วกัน ไม่งั้นนายคงรู้นะว่าจุดจบมันจะเป็นแบบไหน”

ในเมื่อมันดื้อด้านขนาดนี้ก็ขี้เกียจจะเจรจาด้วยแล้ว ซุยลุกจากที่นั่งเพื่อกลับไปทำงานของเค้าต่อ

“โนะอิ ฉันไม่มีสิทธิ์ห้ามนาย แต่ขอให้รู้ไว้อย่าง… ถ้าเมื่อไหร่ที่หมอนั่นเจ็บ คนที่จะตายก็คือฉัน
หวังว่าคำพูดของฉันในวันนี้คงช่วยให้นายมีสติยับยั้งชั่งใจได้บ้าง อย่าบังคับให้ฉันต้องเป็นศัตรูกับนาย”

คำพูดทิ้งท้ายที่ประธานซีเนียร์ได้แต่เก็บงำไว้ในใจ ใช่… ไม่อยากเป็นศัตรูกับซุย
แต่ก็ไม่อยากถูกแย่งของรักไปเหมือนกัน เค้าจะทนได้แค่ไหนถ้าต้องเห็นเด็กนั่นเดินลอยหน้าลอยตา
คู่กับซุย  ไม่มีทาง!

วันเปิดหอ… รุ่นพี่ปีสามส่วนหนึ่งแบ่งกลุ่มน้องๆพาทัวร์รอบหอ หอไฟเป็นหอที่เล็กที่สุด มีสี่ชั้น
 ชั้นล่างเป็นส่วนหอประชุม ห้องคอมมอนรูม และห้องครัว สามชั้นเป็นหอพัก สาเหตุที่มันเล็กที่สุด
เพราะบังคับให้นักเรียนปีหนึ่งต้องอยู่ด้วยกันห้องละสามคน จากจำนวนทั้งสิ้นสามสิบหกห้อง
แต่ยังดีที่มีเฟอร์นิเจอร์ครบและมีห้องน้ำในตัว ถ้าได้ขึ้นปีสองอยู่หอลมที่ใหญ่ขึ้นก็จะได้อยู่ห้องคู่
และพอขึ้นซีเนียร์แล้วก็จะได้อยู่ห้องเดี่ยวในหอที่ใหญ่ที่สุดคือหอน้ำ

หลังจากอธิบายกฎระเบียบของหอพักและนัดแนะวันรับน้องแล้ว พี่ปีสามก็อนุญาตให้น้องๆเข้าห้อง
และพักผ่อนตามใจชอบ

ห้อง 301…

คาโอรุจัดของเข้าตู้ แต่สายตายังเหลือบมองเพื่อนร่วมห้องทั้งสองคนตลอด
คนหนึ่งตั้งแต่ถูกรุ่นพี่ปีสามสังคายนาโทษ มันก็เอาแต่เกาะขอบหน้าต่างจ้องหอลมตาไม่กระพริบ
 ส่วนอีกคนก็เอาแต่นั่งเช็คอุปกรณ์ในกระเป๋าพก ทำยังกะจะออกไปรบอย่างนั้นแหละ

“นี่ไทกิ… นายรู้จักกับพวกรุ่นพี่ด้วยเหรอ” คาโอรุจัดของเสร็จแล้วก็เข้าไปคุยกับคนที่คุยง่ายที่สุด

“ก็นิดหน่อย เคยเจอกันช่วงรายงานตัว ก็แค่นั้น” ไทกิตัดสินใจไม่บอก อันที่จริงซุยมันพูดถูก
เค้าควรสงบปากสงบคำเอาไว้บ้าง ไม่งั้นก็อาจมีคนอื่นที่ต้องเดือดร้อนเพราะเค้าอีก โดยเฉพาะมัน…

“ปีสองที่มาวันนี้ คือสามสมาชิกที่เหลือของกลุ่มพิเศษ”

“เหรอ… แล้วไง?” ไทกิวางคางเกยลงบนขอบหน้าต่าง รอฟังเพื่อนใหม่ป้อนเมมโมรี่ใส่หัว

“คนที่ใส่แว่นตา วางมาดนิ่งๆ ท่าทางหงุดหงิดๆนั่นคือ รุ่นพี่ โอคุจิ มาซาฮิโกะ เป็นลูกชายเจ้าอาวาส
ศาลเจ้านันเซย์ ที่ฮิโรชิม่า”

“เป็นพระเหรอ” ไทกิซักต่อ พวกสมาชิกปีสองท่าทางจะน่าสนใจกว่าพวกปีสามแฮะ

“เปล่าหรอก… แต่ก็ทำงานหลายๆอย่างคล้ายพวกนักบวช เค้าเป็นคนที่เจ้าระเบียบมาก
อยู่ในกลุ่มมีหน้าที่หาข้อมูลข่าวสาร และก็เป็นคนที่ทำงานไม่เคยพลาดด้วย ส่วนคนที่เข้ามาห้ามนาย…
คาชิระ มิสึกิ… คนนี้ไม่มีอะไรโดดเด่นเป็นพิเศษ ทั้งการเรียนหรือกีฬาก็อยู่ในขั้นธรรมดา
แต่น่าแปลกที่คนธรรมดาอย่างเค้ากลับได้เข้าร่วมในกลุ่มสมาชิกพิเศษ”

“อันความคิดวิทยาเหมือนอาวุธ ประเสริฐสุดซ่อนใส่ไว้ในฝัก”

เสียงเปรยจากคนที่นั่งเงียบอยู่บนเตียงของตัวเองมาตลอด ตาสีทองเงยขึ้นมาสบกับเพื่อนร่วมห้อง
ทั้งสอง หน้าตามันชวนกวนโอ๊ยแต่ก็ดูน่ารักดี มันเสยผมสีทองสีเดียวกับดวงตาจนยุ่ง แล้วพูดต่อ

“คนที่ดูธรรมดาที่สุดนั่นแหละ เป็นคนที่อันตรายที่สุด”
ไทกิพยักหน้าเห็นด้วย… บทเรียนที่ผ่านมาสอนให้เค้าเข้าใจชีวิตอย่างถ่องแท้
คนที่ดูไร้พิษสงนั่นแหละคือจอมทำลายล้างที่น่ากลัวที่สุด

“ฉันเองก็สงสัยมานานแล้ว ว่าคนที่เอาแต่เงียบมาตลอดอย่างนายมีพิษสงอะไรจะมาโชว์พวกฉัน”
คาโอรุท้ากันเห็นๆ เด็กเรียนอย่างไอ้หมอนี่ก็ดูแค่ภายนอกไม่ได้ มันเหมือนเป็นคนที่สงบเสงี่ยมเรียบร้อย
แต่จริงๆคงอันตรายกว่าที่เห็น

“ฉันก็แค่นักเรียน ม.ปลายธรรมดา ไม่มีอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์อะไรจะไปโชว์พวกนายหรอก”
ว่าแล้วเจ้าคนที่ย้ำคำว่าตัวเองธรรมดาที่สุดก็เผ่นหนีออกจากห้องพร้อมสัมภาระในกระเป๋าพก

“ฉันว่าหมอนี่มันต้องโกหกแหงๆ ขนาดชื่อยังไม่ยอมบอกเลย” คาโอรุเปรย

“ฉันว่าทุกคนก็คงมีเรื่องที่ไม่อยากบอกคนอื่น โดยเฉพาะคนที่เพิ่งเจอหน้ากันวันแรก” ไทกิเสริม

“นั่นมันก็จริง” คาโอรุไหวไหล่ “แล้วนายกับประธานปีสองนั่นล่ะ มีความสัมพันธ์กันแค่ไหน”
ไทกิช้อนตามองเพื่อนร่วมห้อง อุตส่าห์ไม่พูดถึงแล้ว มันก็ยังเซ้าซี้จะถามให้ได้

“ไม่เกี่ยวกับนาย”
นั่นไง… ได้โอกาสใช้มุกของลูกพี่ซะเลย

“ฉันก็ถามเผื่อไปอย่างนั้น แล้วนายรู้มั้ยว่าจริงๆแล้ว เทนโนะ ซุย เป็นใคร”
ไทกิกำมือข้างหนึ่งไว้แน่น พยายามสะกดตัวเองไม่ให้แสดงออกว่าสนใจ

“ลูกชายคนที่สามจากห้าของนักคุ้มกันมือหนึ่ง พวกนี้เพื่อเงินทำได้ทุกอย่าง จะดีหรือเลวไม่สน
ขอแค่มีเงินมากพอก็ซื้อชีวิตพวกเค้าได้ ตามที่รู้มาลูกค้าส่วนใหญ่มักเป็นคนที่มีชื่อเสียง
หรือไม่ก็เป็นคนสำคัญระดับประเทศ”

คาโอรุหยุดเว้นวรรคนิดนึง พร้อมกับแอบอมยิ้มตอนที่เห็นไทกิเริ่มจะสนใจ

“แต่… ปัญหามันอยู่ที่หุ้นส่วนธุรกิจของบ้านนี้น่ะสิ …เทนโนะกับไฮบาระ…
ตระกูลนักคุ้มกันจับมือกับตระกูลนักฆ่า จะว่าแปลกก็แปลก แต่พวกเค้ามีผลประโยชน์ค้ำจุนกันอยู่
ถึงทำงานด้วยกันได้ ตามข้อตกลงของสองคนตระกูลจะไม่รับงานซ้ำซ้อน
นั่นหมายความว่าถ้าลูกค้าจ้างวานให้เทนโนะเป็นบอดี้การ์ด ไฮบาระก็จะไม่มีสิทธิ์แตะต้องคนๆนั้น
จนกว่าจะหมดสัญญาภารกิจ แต่มันก็มีข้อแม้อยู่บ้าง”

“อะไร?” ไทกิเผลอไหลตัวเข้ามานั่งฟังอย่างตั้งใจ

“ข้อตกลงมันก็แค่ลมปาก และนักฆ่ามันก็เป็นนักฆ่าอยู่วันยังค่ำ คนทำงานเสี่ยงตาย
ก็ต้องมีเรื่องผลประโยชน์มาเกี่ยวข้อง แล้วนายคิดว่าไฮบาระจะซื่อสัตย์ต่อเทนโนะแค่ไหนล่ะ”

ไทกิเผลอกลืนน้ำลายดังเอื๊อก “งั้นรุ่นพี่โนะอิก็จ้องเล่นงานซุยอยู่น่ะสิ”

“นายเนี่ยจะเรียกว่าบื้อหรือบ้าดีนะ” คาโอรุหัวเราะร่วน “วันนี้นายก็เห็นแล้ว รุ่นพี่โนะอิแคร์รุ่นพี่ซุยของนาย
ยังกะอะไรดี บางทีผลประโยชน์มันก็เทียบไม่ได้กับความรู้สึก พูดขนาดนี้แล้วคงไม่ต้องให้ฉันสาธยายนะว่าสองคนนี้มีความสัมพันธ์ล้ำลึกแค่ไหน คนมันรักมากก็หวงมาก เท่าที่รู้มาคนในความคุ้มครองของซุย
หลังจากหมดสัญญาจ้างไม่เคยมีใครตายดีสักคน ยิ่งตอนนี้ฉันได้ข่าวว่าซุยรับงานสำคัญมาชิ้นหนึ่ง
รู้สึกจะเป็นงานลับที่เกี่ยวพันกับองค์กรอันตรายระดับโลกด้วย”

ไทกิลุกขึ้นจากกรอบหน้าต่างช้าๆ บางทีรูมเมทที่เพิ่งเผ่นออกไปเมื่อกี้มันอาจจะทำถูกแล้วก็ได้
ที่ไม่มานั่งฟังหมอนี่พล่าม

“ฉันเองก็ชักจะสงสัยเหมือนกันว่านายเป็นใครกันแน่คาโอรุ ขนาดงานลับที่เค้าไม่อยากให้รู้
นายก็ยังสู่รู้มาจนได้”

ไทกิเดินออกจากห้องอย่างหงุดหงิด แต่ก็ถูกเพื่อนผู้หวังดีหยุดไว้ด้วยประโยคแถมท้าย

“นายไม่มีอะไรกับเทนโนะก็แล้วไป แต่ถ้ามีล่ะก็… ระวังไฮบาระ โนะอิ ปีสามไว้ให้ดีก็แล้วกัน
 เพราะหมอนั่นเป็นนักฆ่าโดยสายเลือด เค้าไม่ปล่อยนายไว้แน่ ถ้านายไปยุ่งเกี่ยวกับเทนโนะ”

“อ๋อ… เหรอ” ไทกิแสยะยิ้มเยือกเย็น สัญชาตญาณเก่ากำลังหวนคืนมาในจิตใต้สำนึก

“ไอ้นักฆ่าโดยสายเลือดเนี่ย ฉันเจอมาจนเอียนแล้ว ถ้าคิดว่าแน่จริงก็เชิญมาหาเรื่องฉันได้ทุกเมื่อ
ฉันไม่หนีอยู่แล้ว”

จอมปัญหาเผ่นหนีออกจากห้อง เดินไปเรื่อยๆตามทางเดินริมทะเลสาบ แล้วก็มานั่งหงุดหงิดอยู่คนเดียว
ที่ใต้สะพาน

“ขอฉันคุยด้วยหน่อยได้มั้ย”
เสียงที่ดังมาใกล้ขัดจังหวะคนกำลังใช้ความคิด ไทกิโยนก้อนหินลงน้ำไปอีกลูก

“ฉันไม่มีอะไรจะพูดกับนาย ไปซะ… ฉันขี้เกียจมีเรื่องกับพวกปีสาม” ไทกิทุ่มก้อนหินลงน้ำไปอีกลูก
 คราวนี้เล่นลูกใหญ่จนน้ำแตกกระจายเป็นฝอย แสดงว่ามันกำลังไม่สบอารมณ์อย่างที่สุด

“นายคิดได้อย่างนั้นก็ดีแล้ว แต่ไอ้ท่ากระบิดกระบวนงอนเป็นผู้หญิงเนี่ย เลิกเถอะ… มันไม่เข้าท่า”
ซุยทิ้งตัวนั่งข้างๆ มันเลยถลึงตาพรืดเข้าใส่ หนอย… ทำให้เค้าหงุดหงิดยังไม่พอ
ยังมีหน้ามาซ้ำเติมกันอีก มันน่านัก

“ใช่สิ… ฉันมันขี้งอน น่าเบื่อ น่ารำคาญสำหรับนาย แล้วนายจะมายุ่งกับฉันทำไม”

“ก็มันเป็น…”

“หน้าที่!” ไทกิสวนคำพร้อมทำสีหน้าเจ็บปวด เค้าก็รู้อยู่แล้วว่ามันต้องพูดแบบนี้
คนอย่างมันก็แค่บอดี้การ์ดรับจ้าง ทำทุกอย่างก็เพราะเงินทั้งนั้น
ถ้าเป็นไปได้มันก็คงไม่อยากมายุ่งกับเค้าหรอก

ใช่สิ… คนสติดีที่ไหนจะอยากพัวพันกับ ‘Red Rose’ บ้าชะมัด…
“ไทกิ” มือใหญ่โอบไหล่คนตัวเล็กเข้ามาใกล้ กลิ่นไออุ่นๆเริ่มทำให้คนใจแข็งลังเล
“สำหรับฉันหน้าที่ก็คือชีวิต ฉันไม่มีวันละทิ้งหน้าที่ และยิ่งไม่มีวันทิ้งนาย ตราบใดที่เรายังอยู่ในภารกิจ
ขอให้เชื่อใจฉันหน่อยได้มั้ย”

ไทกิมองหน้ารุ่นพี่คนสำคัญ ก่อนจะถอนใจเบาๆ

“อันที่จริงถ้านายลำบากใจ ฉันจะคุยกับแม่ขอให้ยกเลิกภารกิจนี้ก็ได้
ฉันก็ไม่ได้อยากมีบอดี้การ์ดซะหน่อย ฉันดูแลตัวเองได้”

“ดูแลตัวเองแบบยาจกข้างถนนเนี่ยนะ” ซุยหัวเราะ จนยาจกข้างถนนต้องหันมาค้อน

“ฉันเป็นยาจกข้างถนน ก็ยังดีกว่าเป็นมหาราชาแล้วถูกกักอยู่ในกรงขัง จะทำอะไรก็มีคนคอยทำให้
 ขนาดจะคิดก็ยังมีคนคอยคิดให้ ไม่เคยมีใครถามว่าฉันอยากเป็นอะไรหรืออยากทำอะไร
พวกเค้ากำหนดทางเดินไว้ให้ฉันหมด ขีดเส้นตายเพียงเส้นเดียวโดยที่ฉันไม่มีสิทธิ์เลือกหรือปฏิเสธ
ถึงจะอยู่ท่ามกลางคนหมู่มาก แต่ฉันก็ยังรู้สึกเหมือนอยู่ตัวคนเดียวในโลก อย่างนายเอง…
สักวันหนึ่งก็ต้องไปจากชีวิตฉัน”

“ฉันจะไม่ไปไหนจนกว่าภารกิจจะสำเร็จ” ซุยยืนยันให้มันฟังอีกรอบ

“นายคิดง่ายเกินไปแล้ว ถ้ายมทูตเริ่มเคลื่อนไหว นายก็ต้องถอนตัว ฉันเชื่อว่าที่บ้านนายต้องสั่งแบบนั้นแน่ นายยังไม่รู้จัก Death Flowers ดีพอ แต่ฉันน่ะรู้ซึ้งเลยล่ะ ถ้า White Lily หรือ Black Sakura
ออกตามล่าฉันด้วยตัวเองเมื่อไหร่ คนอื่นก็ไม่มีสิทธิ์ยุ่ง ถึงตอนนั้นฉันก็จะสู้จนกว่าจะมีคนตายไปข้างหนึ่ง”

“ฉันบอกแล้วไง… ว่าจะไม่ปล่อยให้นายตายจนกว่าจะเสร็จภารกิจ” ซุยย้ำคำอย่างหนักแน่นอีกรอบ
แต่จะเข้าหัวมันสักนิดหรือก็เปล่า เมื่อมันยังเอาแต่ทำหน้าเครียด สองมือกอดเข่าไว้แน่น

“ฉันถึงบอกไงล่ะว่านายคิดง่ายเกินไป อย่าหาว่าฉันดูถูกเลยนะซุย อย่างนายไม่ต้องถึงมือสามยมทูตหรอก
แค่องครักษ์พิทักษ์ยมทูต นายก็สู้พวกมันไม่ได้แล้ว”

“งั้นเหรอ… งั้นถ้าฉันจะให้นายเทียบระหว่างฉันกับ Red Rose ล่ะ ระดับต่างกันแค่ไหน”

คำถามนี้เล่นงานคนกำลังเครียดให้ยิ่งเครียดหนัก ไทกิหันมาจ้องหน้าคนขี้เก๊กเขม็ง
แต่พอเห็นมันมุ่งมั่นขนาดนี้เค้าก็ได้แต่ปลง

“ต่างกันลิบลับเหมือนหิ่งห้อยกับพระจันทร์บนฟ้านั่นแหละ”

“จะบอกว่านายเก่งกว่าฉันงั้นสิ”

“ถึงไม่บอกนายก็น่าจะรู้ตัวอยู่แล้ว ฉายากุหลาบสีเลือดไม่ได้เป็นเพราะความฟลุ้ก
ยมทูตก็ไม่ใช่ชื่อที่ตั้งขึ้นมาเพื่อเรียกเล่นๆด้วย ทุกคนถูกฝึกให้มีสัญชาตญาณในการฆ่าแ
ละล่าเพียงอย่างเดียวเท่านั้น อันที่จริง Red Rose ไม่เคยต้องการการปกป้องจากใคร
เพราะตัวมันเองนั่นแหละที่เป็นตัวอันตรายที่สุด”

นัยน์ตาสีแดงเย็นชาแข็งกร้าว ยามที่มันสาธยายถึงความร้ายกาจของตัวเอง
ดวงตาสีดำสนิทของซุยไล่มองมันตั้งแต่หัวจรดเท้า แล้วก็ส่ายหน้า

“ฉันก็ยังมองไม่เห็นว่า Red Rose จะมีพิษสงตรงไหน ก็แค่เด็กปากพล่อยไม่มีสัมมาคารวะคนหนึ่ง”

คำพูดของมันทำให้คนที่กำลังเครียดจัดเผยรอยยิ้มเป็นครั้งแรก ไม่ว่าจะพูดยังไงมันก็ยังแน่วแน่
ไม่มีวันแปรเปลี่ยน ถึงปากมันจะย้ำนักย้ำหนาว่าเป็นภาระ แต่ไทกิก็รู้ว่าซุยตั้งใจจะพิทักษ์เค้าอย่างจริงใจ
แขนเล็กๆเลยเริ่มลามปามขึ้นไปกอดไหล่รุ่นพี่คนสำคัญบ้าง

“แล้วเด็กปากพล่อยไม่มีสัมมาคารวะคนนี้ทำให้นายต้องปวดหัวกี่ครั้งแล้วล่ะ จำไม่ได้เหรอซุย”

“จำไม่ได้หรอก… ขี้เกียจจะจำ ขอแค่นายอย่าทำให้ฉันต้องปวดหัวมากกว่านี้ก็พอแล้ว อ้อ…
และอีกอย่างนะ เวลาอยู่ด้วยกันที่โรงเรียน นายช่วยกรุณาเรียกฉันว่ารุ่นพี่ได้มั้ย”

ไทกิยิ้มขำ ท่าทางมันจะลำบากใจจริงๆแฮะถึงต้องลงทุนอ้อนวอนเค้าขนาดนี้ งั้นถ้าไม่ช่วยก็คงไม่ได้
ขืนแกล้งมากๆเดี๋ยวมันจะกลุ้มจนช้ำในตายไปซะก่อน

“นายไม่อยากให้พี่โนะอิหึงล่ะสิ เอางั้นก็ได้ ฉันเองก็ไม่อยากมีปัญหากับใครในโรงเรียนหรอก
แค่ศัตรูนอกโรงเรียนก็มีเยอะจนรับมือไม่ไหวแล้ว”

“ถ้าได้งั้นฉันก็จะขอบใจเลยล่ะ และจะยิ่งขอบใจมากขึ้นถ้านายจะหัดสงบเสงี่ยมเจียมตัว
 ไม่ก่อเรื่องให้ฉันต้องลำบากใจอีก”

“จะพยายาม” เสียงไอ้ตัวปัญหาเริ่มแผ่วลง

“ส่วนเรื่องโนะอิ…”

ซุยเว้นวรรค ไทกิก็รีบยกมือขึ้นอุดหู เพราะไม่อยากฟังมันพล่ามถึงคนรัก

“บ้านเราเป็นหุ้นส่วนธุรกิจกัน ก็แค่นั้น”
ซุยทิ้งท้ายเอาไว้ ก่อนที่จะเดินจากไป ปล่อยให้ใครคนบางคนนั่งยิ้มระรื่นกับสายน้ำของเค้าคนเดียว.....

Unn

  • บุคคลทั่วไป
Re: Red Rose < By Foggy >
«ตอบ #17 เมื่อ21-01-2008 22:17:17 »

 :m22:Chapter 8 Special Members

สามวันผ่านไป… จนแล้วจนรอดเพื่อนร่วมห้องคนที่สามก็ยังไม่ยอมปริปากบอกชื่อ แถมยังทำตัวลึกลับ
ชอบหนีออกไปจากห้องเป็นวันๆ บางวันก็ไม่กลับมานอนที่ห้อง เจ้าคาโอรุมันก็พยายามตื๊อเหลือเกิน
เที่ยวตระเวนหาข้อมูลเพื่อล้วงความลับไอ้หมอนี่ตลอด จนจะกลายเป็นสงครามระหว่างเพื่อนร่วมห้องไปแล้ว
แต่คนที่รอดตัวสบายก็คือเค้า คาโอรุมัวแต่ยุ่งกับเพื่อนใหม่ เลยไม่มีเวลาว่างมาสนใจเค้าอีก

“อันที่จริงนายไปถามที่กองทะเบียนก็ได้นี่นา ไม่เห็นจะต้องมานั่งซีเรียสแบบนี้เลย”
ไทกิหวังดีช่วยออกความคิดให้ แต่มันดันมาค้อนเค้าซะนี่

“นายจะบ้าหรือไง กฎที่นี่เข้มงวดจะตาย เค้าไม่เปิดเผยข้อมูลนักเรียนง่ายๆหรอก”
คาโอรุทำท่าฉุน มือก็นั่งคลิกคอมหาข้อมูลยิกๆ ยังกะว่าไอ้เพื่อนร่วมห้องมัน
จะตั้งโฮมเพจโปรโมทตัวเองในเวบยังงั้นแหละ

“งั้นทำไมนายไม่ไปถามมันตรงๆล่ะ ยังไงก็เป็นรูมเมทกัน แค่ชื่อมันคงยอมบอกหรอกน่า”
 ไทกิเสนอความคิดไปอีก คราวนี้เลยโดนเจ้าคาโอรุมันสวนกลับด้วยวงค้อนที่กว้างกว่าเดิม

“ฉันไม่อยากเสียฟอร์ม”
เออนะ… ทำหยิ่งกันเข้าไป ไทกิยกมือกุมขมับอย่างอดไม่ได้

“งั้นให้ฉันไปถามให้เอามั้ยล่ะ”

“ไม่เอา! นายไม่ต้องยุ่ง”

จบข่าว!
ไทกิกลิ้งตัวลงจากเตียงแล้วเดินออกจากห้อง ปิดประตูใส่หน้ามันดังปัง
เวลาหงุดหงิดแบบนี้ท้องมันร้องดีนักแล โรงอาหารของโรงเรียนอยู่ใกล้หอพักอาจารย์
พวกปีหนึ่งกับปีสองเลยต้องลำบากเดินไกลหน่อย แต่โชคดีที่แม่บ้านทำอาหารอร่อย ถึงลำบากแต่ก็ถือว่าคุ้ม

ไทกิโกยอาหารสามสี่อย่างใส่ถาดแล้วเดินหาที่นั่ง ช่วงนี้ถึงหอทุกหอจะเปิดแล้ว แต่ยังไม่เปิดเทอม
คนเลยไม่เยอะเท่าไหร่ สายตาของไทกิแสกนอย่างรวดเร็ว จนไปปะทะกับสายตาของใครบางคน
ที่ไปนั่งหลบมุมอยู่ริมกระจก ไทกิฉีกยิ้มกว้าง ก่อนจะเดินลิ่วๆถือวิสาสะลงไปนั่งร่วมโต๊ะ

“ไง…” ไทกิเป็นฝ่ายทักก่อน หมอนั่นก็เงยหน้าขึ้นมามองเล็กน้อย ก่อนจะสวาปามบะหมี่ในชามต่อ

“หมอนั่นมันยังไม่เลิกบ้าอีกเหรอ” มันถามกลับทั้งที่ยังเคี้ยวอาหารตุ้ยๆเต็มปาก

“ก็นายเล่นไม่กลับห้อง มันก็เคืองน่ะสิ ฉันว่าถ้าเจ้าคาโอรุมันเป็นผู้หญิงนะ ลองมันสนใจนายขนาดนี้
ฉันจะช่วยยุให้เป็นแฟนกันเลยสิเอ้า”

“ประสาท!” ตาสีทองสวยส่งมาดุ ก่อนจะถามต่อ “แล้วนายล่ะ ไม่อยากรู้บ้างหรือไง”

“โอ๊ย… ฉันไม่ชอบยุ่งเรื่องชาวบ้าน ถ้านายไม่บอก ฉันก็แค่เรียกนายว่าไอ้บ้า ไม่เห็นจะยากตรงไหน”
ไทกิไหวไหล่

“ฮิโระ”
เสียงแผ่วๆที่บอกผ่านบะหมี่คำโตในปาก

“อะไรนะ?” ไทกิเอียงหัวเข้าไปฟังใกล้ๆ

“โซมะ ฮิโระ… ชื่อของฉันไง”

“แล้วมาบอกฉันทำไมเล่า ฉันไม่อยากรู้ซะหน่อย โน่น… ไปบอกเจ้าคาโอรุมันโน่น
มันน่ะอยากรู้ชื่อนายจนจะอกแตกตายอยู่แล้ว”

“เรื่องอะไร มันยิ่งอยากรู้ฉันก็ยิ่งอยากแกล้ง อยากทำตัวอวดรู้ดีนัก ลองไม่รู้สักเรื่องดูซิว่ามันจะตายมั้ย”

“นายเนี่ยก็ร้ายไม่เบาแฮะ แล้วมาบอกฉันเนี่ยไม่กลัวฉันไปบอกคาโอรุหรือไง ฉันเตือนไว้ก่อนนะ
แค่มันรู้ชื่อ มันก็ขุดบรรพบุรุษนายขึ้นมาไล่เรียงลำดับได้ทั้งตระกูลแล้ว”

“อยากบอกก็บอกสิ บ้านฉันไม่เคยปิดบังฐานะอยู่แล้ว แต่ที่ฉันไม่บอกเพราะอยากแกล้งมันต่างหาก”

“แล้ววันนี้นายจะกลับห้องมั้ย รู้สึกตอนเย็นจะมีประชุมรับน้องใหม่ด้วยนะ ฉันว่าจะไปฟังซะหน่อย”

“ล้อเล่น” ฮิโระทำหน้าเหลือเชื่อ “คนที่มีเรื่องกับพี่ปีสามตั้งแต่เปิดหออย่างนายเนี่ยนะอยากไปฟัง
อยากไปตีกับพวกรุ่นพี่ก็บอกมาเหอะ”

เพื่อนตัวแสบทำเป็นรู้ทัน จนไทกิต้องหัวเราะกลบเกลื่อน

“ฉันก็แค่อยากรู้เรื่องเมมเบอร์ เลยจะไปฟังซะหน่อย เผื่อมีเรื่องสนุก”

“แอบลุ้นด้วยล่ะสิ” ฮิโระขยับคิ้วกริ่ม

“โอ๊ย… ฉันไม่อยากเป็นหรอก หน้าที่เบ๊อย่างนั้นน่ะ แค่เห็นรุ่นพี่แต่ละคนหน้าเครียดยังกะตูดลิง
ก็เหนื่อยแทนแล้ว ฉันสละสิทธิ์แน่ๆ แค่อยากรู้ว่าเค้าจะคัดเลือกกันยังไงเท่านั้น”

แล้วสองเพื่อนร่วมห้องก็นั่งวิจารณ์เรื่องกลุ่มสมาชิกพิเศษกันต่อ หลังจากที่ได้คุยกันพักใหญ่
ไทกิถึงรู้ว่าฮิโระมีหลายอย่างที่น่าสนใจ อย่างน้อยก็เป็นคนที่มีทัศนคติคล้ายกัน
ที่สำคัญไม่พูดมากเหมือนคาโอรุด้วย อยู่ด้วยกันแล้วไม่น่าเบื่อ แบบนี้คงต้องจัดเข้าทำเนียบเพื่อนซี้ซะแล้ว

เวลาหนึ่งทุ่มตรง… เป็นเวลาสำคัญที่ปีหนึ่งทุกคนจะได้ทราบว่าใครจะได้รับคัดเลือกให้เป็นสมาชิกพิเศษ
ตำแหน่งที่ถือว่าเป็นประธานรุ่นและประธานหอกลายๆ แถมยังมีอภิสิทธิ์หลายอย่าง หลายคนคาดหวังว่า
ตัวเองจะได้รับคัดเลือก โดยเฉพาะคาโอรุหมายมั่นปั้นมือมากว่าเค้าจะได้เป็นประธานรุ่น
ทุกคนมารวมตัวกันอยู่ที่ห้องประชุมชั้นหนึ่ง รุ่นพี่ปีสองและปีสามหลายคนมากำกับสถานที่รออยู่แล้ว
 สามสหายร่วมห้องจับจองที่นั่งแถวหน้า คาโอรุนั่งลุ้นจนตัวโก่ง จนคู่อริอย่างฮิโระอดแซวไม่ได้

“ไง… เพื่อน อยากได้ตำแหน่งขนาดนั้นเชียว”

“เรื่องของฉัน นายไม่ต้องสอด ถ้าฉันได้เป็นสมาชิกพิเศษเมื่อไหร่ ฉันจะจับตานายไว้
ไม่ให้คลาดสายตาเลยคอยดู”

“โอ๊ย! กลัวตายล่ะ” ฮิโระยักไหล่ “งั้นนายก็ต้องเหนื่อยหน่อยแล้ว เพราะแค่ชื่อฉัน นายยังไม่มีปัญญาหาเลย”

ตาสีเขียวของคาโอรุกระตุกวาบ ฝากรอยอาฆาตไว้ที่หน้าฮิโระซึ่งกำลังปิดปากขำ
ไทกิโอบไหล่เพื่อนทั้งสองเข้ามาหาตัว

 “เอาน่า… ปรองดองกันไว้ พวกเรายังต้องอยู่ด้วยกันอีกนาน ตอนนี้ฟังรุ่นพี่ก่อนดีกว่า”

สองคนที่ไทกิหมายใจอยากให้มันปรองดองแยกเขี้ยวใส่กันวับ ก่อนจะสะบัดหน้าไปคนละทาง
พวกมันงอนกันยังกะผู้หญิง จนน่าจะจับมาเป็นแฟนกันให้รู้แล้วรู้รอดจริงๆ พับผ่าสิ…

ไฟในห้องถูกหรี่ลง แสงเทียนถูกจุดขึ้นโดยรอบ ทำให้บรรยากาศยิ่งมีมนตร์ขลัง
รู้สึกการคัดเลือกเมมเบอร์มันจะไม่ธรรมดาซะแล้ว ทำอย่างจะมีการสวดมนตร์อ้อนวอนเทพเจ้า
 แล้วเอานักเรียนสองสามคนมาเชือดบูชายัญ ก่อนจะให้ใครสักคนเข้าทรงแล้วชี้นิ้วเลือกเมมเบอร์
 ไทกิยิ่งคิดก็ยิ่งสนุก จนต้องปิดปากขำเงียบๆคนเดียว
ตอนพวก Death Flowers เลือกยมทูต ยังไม่เห็นจะยุ่งยากเท่านี้เลย ให้ตายสิ…

ตึงๆๆๆๆๆๆๆ

เสียงฝีเท้ารุ่นพี่สมาชิกกลุ่มพิเศษเดินเรียงหน้าขึ้นไปยืนบนเวทีครบทั้งหกคน แต่ละคนก็แต่งองค์ทรงเครื่องแบบเต็มยศ สูทสีกรมท่า ผูกเนคไทสีดำ มีดาวสีทองประดับบอกฐานะรุ่นซีเนียร์และจูเนียร์
และยังมีเข็มกลัดพิเศษรูปดวงอาทิตย์กลัดที่หน้าอกข้างซ้าย ดูแล้วเท่ไม่หยอก
ล่อซะพวกปีหนึ่งตาลุกวาวกันเป็นทิวแถว ยิ่งกระตุ้นให้หลายคนอยากได้ตำแหน่งเมมเบอร์มากขึ้น
 เผื่อปีหน้าจะได้ไปยืนเท่อยู่ตรงนั้นบ้าง ไทกิต้องแอบสะบัดหน้าออกไปอีกทาง แล้วแอบปาดน้ำตาที่กำลังไหลพราก เพราะขำมากเกินเหตุ

“สวัสดีน้องๆปีหนึ่งทุกคน”
อาซาโนะ ยู ปีสาม รับหน้าที่โฆษกประจำสภาอีกตามเคย

“อย่างที่ทุกคนได้ทราบว่าวันนี้จะเป็นวันสำคัญในการคัดเลือกสมาชิกกลุ่มพิเศษ
แทนรุ่นพี่ที่จบการศึกษาออกไปเมื่อเทอมที่แล้ว ตามกฎสมาชิก หัวหน้ากลุ่มปีสองจะได้เป็นประธานคนใหม่ ซึ่งก็คือ เทนโนะ ซุย ส่วนประธานคนเก่า คือ ไฮบาระ โนะอิ จะรับหน้าที่เป็นที่ปรึกษา ส่
วนสมาชิกที่เหลือจะรับหน้าที่ผู้ช่วย ตอนนี้การเลือกสมาชิกใหม่
จึงขอให้ประธานคนใหม่เป็นผู้ดำเนินการต่อ เชิญครับ… ซุยคุง”

รุ่นพี่ขี้เต๊ะก้าวฉับมายืนหน้าเวทีอย่างสง่าผ่าเผย เสียงทุ้มดังก้องกังวานไปทั่วห้องประชุม
โดยไม่ต้องง้อไมโครโฟนเป็นตัวช่วย

“การเลือกเมมเบอร์ อันที่จริงก็ไม่ใช่พิธีการอะไรที่ยุ่งยาก มิสึกิ… ดับเทียนแล้วเปิดไฟซะ”

“หา…”

น้องๆส่งเสียงฮือฮา เสียดายบรรยากาศชวนขลังเมื่อครู่ พี่ปีสามอดีตประธานเริ่มกระตุกหางตายิกๆ
แต่พี่ปีสองที่ได้รับคำสั่งคงรอรับมุกอยู่แล้ว แกเลยเดินลงไปสั่งเพื่อนๆให้ทำตามความต้องการ
ของประธานขี้เก๊กทันที

“ช่วงปิดเทอม สมาชิกกลุ่มพิเศษได้ส่งบัตรเชิญแนบไปกับหนังสือรายงานตัวหกใบ
หกคนนั้นคือคนที่รุ่นพี่สมาชิกแต่ละคนได้คัดเลือกแล้วว่ามีความเหมาะสมที่จะรับตำแหน่งเมมเบอร์
ขอให้คนที่ได้รับบัตรเชิญทั้งหกขึ้นมาบนเวทีด้วย”

ไทกิแกว่งคอหมุนไปรอบๆ เค้าไม่เห็นจะรู้เลยว่ามีการเตี๊ยมบัตรเชิญอภิสิทธิ์ส่งไปพร้อมหนังสือรายงานตัว
ด้วย ก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าคนที่เตะตารุ่นพี่ จนได้รับคัดเลือกให้ลงชิงดำแย่งตำแหน่งเมมเบอร์
จะมีใครบ้าง

คนแรกที่ลุก… ไม่ใช่คนอื่นคนไกล รูมเมทผู้รอบรู้ของเค้า… คาวาชิมะ คาโอรุ

“มิน่า… มันถึงคุยนักคุยหนาว่าจะได้รับคัดเลือก” ฮิโระแซวพอให้ได้ยินกันแค่สองคนกับไทกิ

“แล้วนาย ไม่ได้ไอ้บัตรนั่นมั่งเหรอ ฮิโระ”

ฮิโระแค่นยิ้มแห้งๆ “บอกตามตรงนะไทกิ ฉันไม่เห็นจะรู้เลยว่าพวกพี่เค้าเตี๊ยมกันแบบนี้ด้วย”

เพื่อนรัก!
ไทกิแทบอยากกระโดดกอดคอมันนัก ถ้าไม่ติดจะโดนเพื่อนๆคนอื่นเข้าใจผิดคิดว่าเป็นคู่ขากับมัน
ก็มันน่ามั้ยล่ะ… นอกจากนิสัยมุทะลุเหมือนกันแล้ว แม้แต่เรื่องสะเพร่า
ไม่รู้ทันชาวบ้านเค้าเนี่ยยังเหมือนกันเปี๊ยบ

ฮิโระเอ๋ยฮิโระ… ถ้านายกับฉันได้รับเลือกให้เป็นเมมเบอร์ล่ะก็ งานนี้รับรองมีเฮแน่
นักเรียนสี่คนไปยืนเรียงแถวหน้าเวทีตามลำดับ… คาโอรุ มัตสึดะ โมริโมโต้ ยาซาว่า
แต่จนรอดจนรอดคนที่ได้รับคัดเลือกอีกสองคนก็ยังไม่ยอมขึ้นเวที

“เฮ้… ไทกิ แกว่าอีกสองคนมันคิดจะสละสิทธิ์หรือเปล่าอ่ะ”

“ไม่รู้สิ แต่ถ้าเป็นฉันล่ะก็สละแน่”

“งั้นก็แสดงว่าไม่ใช่นาย ค่อยโล่งใจหน่อย” ฮิโระถอนใจ

“ทำไมล่ะ นายว่าฉันไม่เหมาะจะเป็นเมมเบอร์เหรอ”

“ก็เปล่า” ฮิโระส่ายหัวไปมา “ฉันว่านายน่ะเหมาะกว่าไอ้ขี้เต๊ะคาโอรุซะอีก
แต่ถ้าขืนในห้องมีเมมเบอร์สองคนล่ะก็ ฉันก็กลายเป็นหมาหัวเน่าน่ะสิ”

ไทกิฉีกยิ้มกว้าง ก่อนจะโอบไหล่มันเข้ามาหาตัว “งั้นนายก็มาเป็นด้วยกันสิ พวกเราสามฮามาเป็นเมมเบอร์
คงสนุกพิลึก”

ไทกิก็พูดให้ขำไปอย่างนั้น ก่อนจะได้ยินเสียงนรกประกาศก้องบนเวที

“รู้สึกยังมีอีกสองคนที่ไม่รู้ตัวว่าได้รับคัดเลือก พี่คิดว่าบัตรเชิญอาจจะถูกขว้างทิ้งตั้งแต่ตอนที่แกะซอง
 งั้นก็ขอเชิญ… โซมะ ฮิโระ และ โนมูระ ไทกิ ขึ้นมาสมทบกับเพื่อนๆบนเวทีด้วย”

ตุบ…
เสียงเจ้าฮิโระกลิ้งตกจากเก้าอี้เพราะมันกำลังอึ้งสุดๆ ส่วนไทกิไม่ต้องพูดถึง
มันกำลังจ้องหน้ารุ่นพี่คนสำคัญอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ

หนอย… ใครนะบอกให้เค้าอยู่อย่างสงบเสงี่ยมเจียมตัว แล้วทำไมต้องดันผ่าให้มาชิงตำแหน่งสั่วๆนี่ด้วยฟะ

“ฉันขอสละสิทธิ์ได้มั้ย ไหนๆพวกนายก็เลือกแค่สาม ข้างบนมีตั้งสี่คน แค่นี้ก็ถมเถแล้วน่า” ไทกิต่อรอง
เจ้าฮิโระที่นั่งข้างๆก็พยักหน้าเห็นชอบด้วย

ซุยหายใจเข้าลึกๆอย่างใจเย็น แล้วอธิบายต่อ
“การคัดเลือกผู้ท้าชิงหกคน เป็นการเสนอชื่อของสมาชิกเก่าทั้งหก รุ่นพี่แต่ละคนได้ทำงานกันอย่างหนัก
ตลอดปิดเทอม เพื่อคัดเลือกน้องๆที่มีความเหมาะสมในการรับตำแหน่ง ส่วนการตัดสินว่าใครจะได้เป็นสมาชิก  น้องๆที่เหลือจะเป็นคนคัดเลือกในวันนี้ พวกนายไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธ เพราะนี่เป็นคำสั่งของพี่
และเป็นกฏเหล็กที่สืบทอดกันมายาวนานของโรงเรียน ขอโทษด้วยโนมูระ โซมะ
ยังไงฉันก็ต้องขอให้พวกนายขึ้นมาบนเวที”

“อธิบายอะไรให้มันเข้าใจง่ายกว่านี้หน่อยได้มั้ย ทำไมพวกนายถึงมีสิทธิ์เลือกเรา
ทำไมไม่ให้ปีหนึ่งอย่างเราเลือกกันเองล่ะ ยังไงไอ้ตำแหน่งนี้มันก็เป็นเบ๊ เอ๊ย… ไม่ใช่
ตัวแทนประจำรุ่นอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ” ไอ้ตัวแสบเริ่มออกลายเต้นเหยงๆจะไม่ยอมเป็นซะให้ได้

“ตรงนี้พี่ขอเป็นคนอธิบายเองก็แล้วกันนะครับ” ยูก้าวออกมาข้างหน้า เพราะดูแล้วขืนให้คนที่ไม่มีศิลปะ
ในการเจรจาอย่างซุยพูด วันนี้ทั้งคืนก็คงเลือกกันไม่เสร็จแน่

“สมาชิกหกคนได้เสนอชื่อน้องหกคนดังนี้” ยูคลี่โพยกระดาษในมือออก “โนะอิเสนอชื่อ คาวาชิมะ คาโอรุ,
 โฮตารุเสนอชื่อ มัตสึดะ จิน, ยูเสนอชื่อ ยาซาว่า ทาเคอิ, มาซาฮิโกะเสนอชื่อ โมริโมโต้ เคน,
 มิสึกิเสนอชื่อ โซมะ ฮิโระ และ… ซุยเสนอชื่อ โนมูระ ไทกิ”

นั่นไง… ว่าแล้ว ความคิดแผลงๆแบบนี้ไม่มีใครเกิน ไทกิจ้องหน้าจำเลยที่ยังยืนเต๊ะทำเป็นทองไม่รู้ร้อน
อยู่บนเวที แต่ดูเหมือนมันจะไม่ได้เป็นเป้าหมายของเค้าคนเดียว นัยน์ตาสีฟ้าสดของรุ่นพี่โนะอิปีสาม
ก็จ้องมันเขม็งเช่นกัน

“แต่การเสนอชื่อก็เป็นแค่การคัดเลือกเบื้องต้นเท่านั้น เพื่อให้น้องๆมั่นใจว่าทุกคนที่ได้รับเลือกมีศักยภาพ
ในการทำงานเท่าเทียมกัน แต่ท้ายที่สุดคนที่มีสิทธิ์ตัดสินใจเลือกตัวแทน ก็คือน้องๆทุกคนที่อยู่ในห้องนี้”

“ให้คนที่ยังไม่รู้จักมักจี่ตัดสินใจเลือกภายในวันเดียว มันไม่ตลกไปหน่อยเหรอไง
อย่างน้อยก็น่าจะให้พวกเราหาเสียงสักอาทิตย์สองอาทิตย์แล้วค่อยมาเลือกอีกที ไม่ดีกว่าเหรอ”

เจ้าฮิโระที่ทนฟังอยู่นานเป็นฝ่ายประท้วงบ้าง แหงล่ะ… มันคงไม่ได้กะจะหาเสียงอย่างที่คุยหรอก
แต่คงจะหาวิธีให้นักเรียนทั้งชั้นปีเกลียดขี้หน้าแล้วไม่เลือกมันมากกว่า

“การหาเสียงมันก็ตุกติกได้ เพื่อเป็นการรับประกันว่าจะไม่มีการเล่นนอกเกม และเพื่อป้องกัน
ไม่ให้ใครบางคนคิดหนี ขอให้ทุกคนที่เจอหน้ากันวันนี้ ใช้ความรู้สึกแวบแรกที่เจอหน้าแล้วถูกชะตา
เลือกคนที่พวกนายถูกใจที่สุด โดยไม่ต้องไปนั่งฟังคำพร่ำเพ้อโฆษณาตัวเองให้เปลืองสมอง
เอาล่ะ… มิสึกิ มาซาฮิโกะ พวกนายดำเนินการข้างล่างต่อ ส่วนนายสองคนไม่ต้องกระบิดกระบวน
ขึ้นมาบนเวทีได้แล้ว”

ซุยสรุปทิ้งท้าย พร้อมกับส่งสายตาขู่เรียกไอ้สองตัวแสบขึ้นมายืนบนเวที ฮิโระกับไทกิไม่มีทางเลือก
จำใจต้องไปยืนตีขนาบข้างเพื่อนรูมเมทที่กำลังทำหน้าเครียด

“นายมาจากตระกูลโซมะ?” คาโอรุเค้นเสียงถามเพื่อนแค้นที่ยืนตีคู่

“ไม่ใช่มั้ง… ได้ยินเต็มสองหูแล้วยังจะถาม เพี้ยนหรือเปล่าน่ะนาย” ฮิโระประชดกลับ

“เฮอะ… เห็นนายหยิ่งขนาดนั้น ฉันก็นึกว่าจะเป็นลูกผู้ดีมีตระกูลมาจากไหน ที่แท้ก็แค่มือสังหารปลายแถว”

พอได้ยินคำสบประมาท แทนที่จะโกรธ เจ้าฮิโระกลับขยับรอยยิ้มกริ่ม แล้วเอียงตัวเข้าไป
กระซิบข้างหูเพื่อนร่วมห้อง

“หัวแถวปลายแถวไม่รู้ ที่แน่ๆฉันมาที่นี่เพราะมีภารกิจ นอนๆอยู่ในห้องก็ระวังหัวนายไว้บ้าง
ก็ดีนะคาโอรุจัง เพราะเป้าหมายของฉันอาจจะเป็นนายก็ได้ แล้วจะหาว่าไม่เตือน”

นัยน์ตาสีเขียวของผู้รอบรู้กระตุกวาบท้าทาย แสดงว่ามันไม่ได้สะทกสะท้านต่อคำขู่ของมือสังหารเลย

“ถ้าขืนนายยังประเมินคนอื่นตื้นๆแบบนี้ล่ะก็ฮิโระ นายนั่นแหละที่จะโดนเก็บซะเอง”
มันทั้งคู่แยกเขี้ยวคำรามใส่กันแง่งๆ ก่อนจะสะบัดหน้าไปคนละทาง ไม่มองหน้ากันให้เสียเส้นอีก
แต่ไทกิไม่มีอารมณ์จะห้ามทัพ เค้าค่อยๆไหลตัวเข้าไปหาคนขี้เต๊ะระหว่างที่ทุกคนกำลังตั้งอกตั้งใจเลือกสมาชิกใหม่กันอยู่

“นายเข้ามาทำไม ไปห่างๆ เดี๋ยวก็โดนฆ่าตายหรอก” ซุยส่งเสียงขู่ แต่ไอ้ตัวแสบมันดื้อ พูดยังไงก็ไม่ฟัง

“ฉันก็แค่อยากรู้ นายเป็นคนแนะให้ฉันอยู่อย่างสงบ แล้วดันผ่าเสนอชื่อฉันเป็นสมาชิกทำไม”

“ฉันไม่ได้เสนอ” ถึงตรงนี้ซุยยิ่งเครียดจัด “ฉันบอกทุกคนแล้วว่าจะไม่เสนอชื่อ
ตอนนั้นฉันยังไม่รู้จักนายด้วยซ้ำแล้วฉันจะเสนอได้ยังไง คงเป็นอาจารย์ชิงุเระที่เจ้ากี้เจ้าการ
อ้างชื่อฉันเรียกนายมาที่นี่มากกว่า”

“นายพูดจริงอ่ะ?”

“ก็จริงน่ะสิ และยิ่งถ้ารู้ว่านายเป็น Red Rose ด้วย ให้ตายฉันก็ไม่มีทางให้นายเป็นสมาชิกแน่”

“เหรอ” ไทกิฉีกยิ้มเจ้าเล่ห์ “อันที่จริงฉันก็ไม่อยากเป็นหรอกนะไอ้เมมเบอร์เนี่ย แต่พอได้ยินว่า
ายไม่อยากให้เป็น ต่อมทะเยอทะยานของฉันมันก็กำเริบอยากเป็นขึ้นมายังไงไม่รู้
หึ หึ… ถ้าฟลุ้กได้เป็นจริงๆ คงต้องขอลองหน่อยแล้ว”

ซุยส่งสายตาสีเข้มดุ แต่มันจะกลัวสักนิดหรือก็เปล่า ยังมีการยักคิ้วล้อเลียนเค้า
ก่อนจะกลิ้งหลุนๆไปยืนตีคู่กับเพื่อนร่วมห้อง

“ฉันว่างานนี้เรามีสิทธิ์เฮแน่” ฮิโระเปรยอย่างไม่ค่อยสบายใจนัก

“หรือไม่ก็คงตายหมู่” ไทกิเผลอถอนใจตามไปด้วยอีกคน
เพื่อนๆปีหนึ่งออกอาการสนใจและมองมาทางพวกเค้าสามคนอย่างเห็นได้ชัด เหมือนเป็นโลโก้ของสมาชิก
พิเศษ ต้องยอมรับไว้อย่างว่าพวกมันสามคนหน้าตาดีและโดดเด่นกว่าใครเพื่อน
ยิ่งไทกิกล้าก่อเรื่องตั้งแต่วันแรกที่เปิดหอก็ยิ่งน่าสนใจ เจ้าฮิโระก็กล้าเถียงรุ่นพี่ฉอดๆ
คาโอรุก็เป็นผู้รอบรู้ คุณสมบัติครบถ้วนขนาดนี้ คงไม่แคล้ว…

เวลาผ่านไปร่วมชั่วโมง การลงคะแนนก็เสร็จสิ้น พวกพี่ๆนำคะแนนขึ้นมาขานให้ทุกคนเห็นกันถ้วนหน้า
ทุกคนลุ้นระทึกโดยเฉพาะคนที่อยากเป็น แต่คนที่ไม่อยากก็ออกอาการย่ำแย่ไม่แพ้กัน

“ฉันอยากตาย”
นักฆ่าเริ่มออกอาการท้อแท้ คิดทรยศต่อวิชาชีพของตัวเอง ก่อนจะยกมือกุมขมับอย่างสุดทน
ก็คะแนนมันน่ะ… นำลิ่วๆจนกู่ไม่กลับแล้ว

“ใจเย็นน่าฮิโระ มันยังไม่จบซะหน่อย” ไทกิพยายามช่วยปลอบ ทั้งที่ตัวเองก็กลุ้มพอกัน
ถึงจะประชดคุณชายสายน้ำไปอย่างนั้น แต่เอาเข้าจริงๆเค้าก็อยากอยู่แบบสงบสุขดีกว่า
ไทกิหันไปหาเพื่อนร่วมห้องอีกคน เห็นมันเครียดกว่าเจ้าฮิโระซะอีก

“ใจเย็นๆน่าคาโอรุ คะแนนของนายก็ไม่ได้ต่ำกว่าคนอื่นซะหน่อย”

“อย่าพูดมากน่า!” คนกำลังเครียดตวาดกลับ “ฉันยอมไม่ได้หรอก ถ้าต้องแพ้ไอ้นักฆ่าปลายแถวนั่น”

เออ… เอาเข้าไป คนหนึ่งอยากเป็นแต่ดันต้องลุ้นจนตัวโก่ง ส่วนอีกคนไม่อยากแต่ดันเป็นตัวเต็งซะนี่
แล้วการนับคะแนนก็มาถึงโค้งสุดท้าย ในขณะที่นักฆ่าทรุดลงไปกองบนพื้นเวที เ
พราะคะแนนมันติดโผหนึ่งในสามไปเรียบร้อยโดยไม่ต้องนับต่อ คาโอรุยังต้องลุ้นต่อ
ไทกิก็ยังภาวนาให้ตังเองรอด แต่คะแนนสูสีกันมาก เรียกว่าต้องดูกันคะแนนต่อคะแนนเลยทีเดียว

“และผู้ที่ได้รับคัดเลือกให้เป็นสมาชิกคนที่สองต่อจากโซมะ ฮิโระ ก็คือ… คาวาชิมะ คาโอรุ”

เสียงประกาศจากพี่ยู ทำให้คาโอรุที่ลุ้นใจขาดค่อยถอนหายใจได้อย่างโล่งอก
ก่อนจะเดินไปยืนขนาบข้างคู่แค้นที่กำลังกลุ้มเป็นที่สุด
มิสึกิที่ทำหน้าที่เป็นคนขานคะแนน เหลือบไปมองไวท์บอร์ด อีกสี่คนที่เหลือคะแนนเท่ากัน
แต่ผลโหวตที่อยู่ในมือเหลืออีกแค่ใบเดียวเท่านั้น

‘ขออย่าให้เป็นฉันเลย’ ไทกิภาวนาในใจ
มิสึกิคลี่กระดาษแผ่นสุดท้ายช้าๆ ท่ามกลางสายตาของทุกคนที่จับจ้อง รอยยิ้มบางๆจับบนใบหน้าหล่อเหลา
ของรุ่นพี่ ก่อนที่คำพิพากษาจะประกาศออกมาด้วยเสียงที่ดังฟังชัด

“ยาซาว่า ทาเคอิ”
เสียงเฮดังกึกก้องจากแก๊งทาเคอิ ในขณะที่ไทกิค่อยหายใจได้ทั่วท้องที่ในที่สุดก็รอดตายมาได้อย่างหวุดหวิด เค้ายังแอบส่งสายตาไปเยาะเย้ยเจ้าฮิโระที่กำลังทำหน้าเบ้เหมือนจะร้องไห้
แต่ใครจะรู้ว่าท้ายที่สุดก็ถูกดัดหลังจนได้ ฝันหวานที่เพิ่งได้มาหมาดๆไม่กี่วินาที ถูกพี่ๆทำลายจนราบ

“การคัดเลือกยังไม่จบแค่นี้ ในฐานะรุ่นพี่ที่ต้องทำงานร่วมกับสมาชิกใหม่ พวกเราหกคน
จึงมีหกคะแนนเสียงในการเลือกสมาชิกครั้งนี้ด้วย และ… ผลคะแนนทั้งหกก็อยู่ในมือของพี่แล้ว”

มิสึกิคลี่กระดาษออกทีละแผ่น ประกาศรายชื่อที่เหล่าเมมเบอร์หน้าเก่าเป็นผู้เลือกสรร

“ยาซาว่า ทาเคอิ”
เสียงแรกที่ทำให้ไทกิค่อยโล่งใจไปอีกเปลาะ ตอนนี้หมอนั่นก็มีคะแนนนำหน้าเค้าไปสองคะแนนแล้ว

“โนมูระ ไทกิ”
เออน่า… ยังเหลืออีกตั้งสี่คน เค้าคงไม่ซวยขนาดไปเตะตารุ่นพี่ที่เหลือหรอก
อย่างน้อยก็นอนใจได้เลยว่าพี่โนะอิกับซุยไม่เลือกเค้าแน่

“โนมูระ ไทกิ”
เอาล่ะสิ… ตอนนี้คะแนนขึ้นมาเสมอเจ้าทาเคอิซะแล้ว

“โนมูระ ไทกิ”
นำแล้ว…

“โนมูระ ไทกิ”
ซวยแล้ว…

“และใบสุดท้าย… โนมูระ ไทกิ”
ตายสนิท…

ไทกิยกมือกุมขมับตามเจ้าฮิโระไปอีกคน มันเป็นอย่างนี้ไปได้ยังไงฟะ ทำไมรุ่นพี่ห้าคนถึงเลือกเค้า
(ไม่ต้องสงสัยคนที่ไม่เลือก ต้องเป็นโนะอิแน่ๆ)

“ยินดีด้วยไทกิคุง” มิสึกิเข้ามาจับมือแสดงความยินดี “แต่น่าเสียดายนะที่ซุยไม่ได้เลือกนาย
ตอนที่ลงคะแนน ทั้งที่มันเป็นคนเสนอชื่อนายแท้ๆ”

อะไรนะ!
ไทกิช็อกไปอีกรอบ พอสะบัดหน้าไปหารุ่นพี่ขี้เต๊ะ มันก็พยักหน้ายืนยันหนักแน่นว่าไม่ได้เลือก
นั่นหมายความว่า …โนะอิ… ก็เป็นหนึ่งในห้าคะแนนสำคัญที่เลือกเค้างั้นเหรอ

ในที่สุด… การคัดเลือกสมาชิกพิเศษปีหนึ่งก็เสร็จสิ้น ได้ผลการตัดสินสามคนคือฮิโระ คาโอรุ และไทกิ
ทั้งสามต้องอยู่ฟังพี่ยูอบรมเป็นการส่วนตัวอีกพักใหญ่ ส่วนคนที่เหลือก็ได้รับอนุญาตให้ออกไป
ร่วมงานกินเลี้ยงที่จัดเตรียมไว้ที่ลานด้านนอก

“ทำไมนายต้องเลือกไทกิ” ซุยเดินตามไปคาดคั้นหัวหน้าซีเนียร์ โนะอิหันมาแค่นยิ้ม
ก่อนจะให้คำเฉลยที่ซุยฟังแล้วต้องเสียวสันหลัง

“ฉันก็แค่อยากให้มันมาอยู่ในสายตาฉัน เพราะถ้าเด็กนั่นทำอะไรล้ำเส้นที่ฉันขีดไว้เมื่อไหร่
ฉันก็จะเก็บมันได้ทุกเมื่อไงล่ะ”

“แต่เราตกลงกันแล้ว”

“ที่นายเสนอชื่อมันไม่อยู่ในข้อตกลงของฉัน ข้อนี้ฉันยอมไม่ได้ ในเมื่อนายอยากให้มันเป็นเมมเบอร์
ฉันก็ช่วยจัดการให้แล้ว ต่อไปก็ขึ้นอยู่กับความประพฤติของหมอนั่นเอง ไม่อยากให้ฉันฆ่ามัน
นายก็ควรอยู่ห่างๆมันไว้ หวังว่าคงเข้าใจนะซุย”

โนะอิประกาศกร้าว ก่อนจะเดินจากไป ทิ้งไว้เพียงความลำบากใจให้กับคนข้างหลัง
ซึ่งกำลังคิดหนักกับภารกิจที่ได้รับคราวนี้
เรื่องมันชักจะยุ่งยากและซับซ้อนมากขึ้นทุกทีแล้ว…

aum

  • บุคคลทั่วไป
Re: Red Rose < By Foggy >
«ตอบ #18 เมื่อ21-01-2008 22:39:53 »

สนุกดีครับ มาต่อนะครับ ขอบคุณครับผม :a2:

ออฟไลน์ มูมู่น้อย

  • Global Moderator
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2623
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +468/-12
Re: Red Rose < By Foggy >
«ตอบ #19 เมื่อ22-01-2008 06:03:25 »

สนุกมากกกกกกกกกกกกกกกกก 
ทั้งพล๊อต ทั้งการดำเนินเรื่อง
เป็นแนวแฟนตาซีที่ชอบเลย  มันส์ๆๆๆ

รออ่านต่อ บวกหนึ่งให้ Unn เลย (เรียกว่า อันรึเปล่าเอ่ย)  :oni2:  :oni2:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: Red Rose < By Foggy >
« ตอบ #19 เมื่อ: 22-01-2008 06:03:25 »





ออฟไลน์ patee

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3732
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +276/-3
Re: Red Rose < By Foggy >
«ตอบ #20 เมื่อ26-01-2008 11:00:39 »

คงจะเป็นแนวบู้นะ
น่าติดตามมาก รออ่านนะคะ

SodaSaa

  • บุคคลทั่วไป
Re: Red Rose < By Foggy >
«ตอบ #21 เมื่อ31-01-2008 23:17:42 »

เคยอ่านแล้ว ชอบมากๆ เลยเรื่องนี้ ...
มาต่อนะคะ จะรออ่านรอบสอง ...

 :mc2:

Unn

  • บุคคลทั่วไป
Re: Red Rose < By Foggy >
«ตอบ #22 เมื่อ01-02-2008 01:56:27 »

 :m22: Chapter 9 Freshy Party

งานเลี้ยงเริ่มในตอนค่ำหลังจากการคัดเลือกเมมเบอร์เสร็จสิ้น ลานกว้างระหว่างหอลมและหอไฟ
ถูกเนรมิตให้กลายเป็นบาร์บีคิวปาร์ตี้และบุฟเฟ่ต์สุดหรู ทุกคนสนุกกันสุดเหวี่ยง
แต่ก็มีบางคนที่ยังนั่งห่อเหี่ยวใจอยู่ในมุมมืด

“อ่ะ… ฉันเอามาฝาก”

ไทกิไปเลือกบาร์บีคิวมาสองสามไม้ส่งให้เพื่อนซี้ที่แอบสลดอยู่มุมหอ ฮิโระก็ช้อนตาขึ้นไปมอง
ก่อนจะนั่งกุมขมับต่อ

“แปลกแฮะ ปกติเห็นนายสวาปามเหมือนตายอดตายอยากมาทั้งชาติ แต่วันนี้กลับไม่ยอมแตะต้อง
ของกินเลย”

“ก็ฉันกินไม่ลง” ฮิโระทำท่าคลื่นไส้ ก่อนจะเขม่นสายตาไปหาอีกคนที่กำลังยืนปราศรัยอยู่กลางวงเพื่อนๆ

 “ฉันไม่ใช่ไอ้บ้านั่นนี่ ถึงทำหน้าบานอย่างกะได้เป็นนายก”

“คาโอรุเค้าหวัง พอได้เป็นเค้าก็ต้องดีใจอยู่แล้ว แต่นายกับฉันหัวอกเดียวกัน ฉันก็พอจะเข้าใจว่านาย
กลุ้มแค่ไหน แต่ถึงนั่งซึมไปมันก็แก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว ฉันว่าสู้ปล่อยเลยตามเลย
 แล้วทำตัวเหมือนเดิมดีกว่า คิดมากเดี๋ยวแก่เร็วนะ”

ไทกิช่วยปลอบ พอได้ยินอย่างนั้น นักฆ่าก็คว้าจานหมับ สวาปามบาร์บีคิวทั้งสามไม้ลงกระเพาะ
ไปอย่างรวดเร็ว

“มีแค่นี้เองเหรอ” พอกินหมดก็ถามหาเพิ่ม แสดงว่ามันหายซึมแล้วแน่ๆ

“นี่… อยากกินก็ไปเอาเองสิ ฉันไม่ใช่ทาสรับใช้นายนะ โน่นเลย…” ว่าแล้วก็ผลักมันไปกลางวง

“งก!” มันยังมีหันหน้ามาด่า แต่กรรมก็ตามสนองทันตาเห็น ทันทีที่มันเข้าไปเสนอหน้ากลางวง
ก็ถูกเพื่อนๆที่ตั้งตัวเป็นแฟนคลับรุมทึ้งจนไม่มีชิ้นดี

“ฮัลโหลเทสต์”
เสียงโหยหวนของไมโครโฟนประจำหอดังก้องไปทั่วลานกว้าง ล่อซะแก้วหูแสบแปล๊บๆ ไทกิเงยหน้าขึ้นไป
มองบนเวที เห็นรุ่นพี่ปีสองหลายคนขึ้นไปยืนเรียงหน้า พร้อมกับเข็นโต๊ะมิกเซอร์หลากสีขึ้นไปด้วย

“เอาล่ะครับ… ต่อไปเป็นประเพณีที่สืบทอดกันมายาวนาน การต่อสู้ระหว่างหอไฟและหอลม
ที่มีมาตั้งแต่ครั้งบรรพบุรุษ วันนี้จะเป็นการดวลศึกแรก ขอใช้ชื่อว่า… ไม่เมาไม่เลิก”

ฮิ้ว…… เสียงพี่ๆปีสองข้างล่างโห่รับ ในขณะที่น้องปีหนึ่งยังงงเป็นไก่ตาแตก ไทกิเริ่มเขม่นตายิกๆ
ประเพณีบ้าบออะไร ฟังดูมอมเมาเยาวชนซะไม่มี

“ศึกนี้จะแบ่งคู่ต่อสู้ฝั่งละสามคน ขอให้น้องๆคัดเลือกคนที่คิดว่าคอแข็งที่สุดออกมาดวลกับพวกพี่ๆ
หรือจะเอาสมาชิกพิเศษก็ได้ ไม่ว่ากัน” พวกพี่ๆเสนอความเห็น แต่ก็แอบอมยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์

ไทกิชักหนาวๆร้อนๆ ลำพังตัวเค้าไม่เท่าไหร่ แต่คาโอรุกับฮิโระมันจะไหวเหรอเนี่ย หน้าตาบ้องแบ๊วดูท่าทางจะคออ่อนทั้งคู่

“เอาเลย… เอาสมาชิกพิเศษ!” แถมเพื่อนๆก็ยังยุส่งอีกแน่ะ

จากนั้นไม่นานก็เกิดสงครามเล็กๆขึ้น เพราะกว่าเพื่อนๆจะผลักสมาชิกพิเศษแต่ละคนขึ้นไปบนเวที
ก็ทำเอาเหนื่อยไปตามๆกัน สามเกลอร่วมห้องยืนเอ๋อสบตากันปริบๆ

“ฉันไม่เล่นเกมบ้าๆนี่แน่” ฮิโระปฏิเสธเด็ดๆ

“ปอดแหกล่ะสิ” คาโอรุหยามน้ำหน้า “ถ้าไม่สู้ ก็ลงไปกินนมนอนดีกว่า ไป… ไอ้ขี้ขลาด”

“เรื่องอะไรฉันต้องปอด แกทำได้ฉันก็ทำได้เฟ้ย!”

ว่าแล้วนักฆ่าผู้ไม่เจียมสังขารก็คว้าแก้วเหล้าหมับ แล้วยกดื่มรวดเดียวจนหมดเกลี้ยง
ทั้งที่ยังไม่ได้รับสัญญาณเริ่มจากรุ่นพี่ด้วยซ้ำ เพื่อนๆที่อยู่ข้างล่างเฮลั่นชื่นชมในความใจถึงของมัน
 แต่แล้วฮีโร่ผู้ถูกหวังว่าจะกำชัยชนะ ก็ค่อยๆโยกร่างสูงส่ายไปส่ายมา แก้มเนียนๆขึ้นสีแดงก่ำ
ตาลอยเคลิ้ม แล้วมือที่ถือแก้วเหล้าก็ค่อยๆชูขึ้นมาเหนือศีรษะ

“เฮ… ชาย… โย…”
มันยังมีหน้าประกาศชัยชนะ ก่อนจะฟุบลงไปกอดคู่อริจนล้มลงไปด้วยกัน

“เฮ้ย! ปล่อยนะเฟ้ย ไอ้บ้าฮิโระ!! อย่ามานอนตรงนี้นะ” คาโอรุจนปัญญาจะด่าแล้ว
เพราะมันหลับปุ๋ยคาอกไปเรียบร้อย แถมยังส่งเสียงกรนจนน่าหมั่นไส้
คาโอรุเลยได้แต่ส่งสายตามาขอความช่วยเหลือไทกิ

“นายก็พามันกลับห้องสิ” ไทกิบอกสั้นๆ พยายามไม่สบตาคาโอรุ แหงล่ะ…
 เจ้าฮิโระมันเลือกล้มไปกอดคาโอรุเอง ก็ต้องให้เจ้าคาโอรุมันจัดการสิ
เรื่องอะไรเค้าต้องทนหนักแบกมันกลับห้องด้วย

“เว้ยยย!!” คาโอรุสบถอย่างฉุนเฉียว แต่ก็ต้องจำใจลากมันกลับห้อง ตัวก็หนักจะตายชัก
 ไม่รู้ชาติที่แล้วติดหนี้อะไรมันไว้ เค้าถึงต้องหงุดหงิดใจเพราะมันอยู่เรื่อย

“อ้าว… ถ้าลงจากเวทีก็ถือว่ายอมแพ้นะครับ คราวนี้ปีหนึ่งก็เหลือตัวแทนแค่คนเดียวแล้ว”
พวกรุ่นพี่ดัดหลังกันเห็นๆ พอเห็นคาโอรุลากคู่อริลงเวที ก็ประกาศกติกาใหม่ทันควัน
จนน้องๆปีหนึ่งเริ่มโห่ด้วยความไม่พอใจ แต่พวกพี่ขี้โกงก็แกล้งทำหูทวนลมซะงั้น

“เอาล่ะ… เชิญน้องคนสุดท้ายรับเครื่องดื่ม”
รุ่นพี่ยัดเยียดแก้วค็อกเทลมาให้ไทกิ เค้าก็ยกขึ้นมาดม ได้กลิ่นหวานมึนๆกระแทกจมูก ไทกิขยับยิ้มบางๆ
โธ่เอ๊ย… ที่แท้ก็ค็อกเทลธรรมดา ของแค่นี้ ‘เซกิ’ เคยหลอกให้กินแล้วไม่รู้กี่ครั้ง ก็งั้นๆ… ไม่คณามือหรอก
ไทกิกำลังจะดื่มค็อกเทล แต่ทันใดนั้นก็ถูกมือใหญ่มาคว้าแก้วไปจากมือของเค้าแล้วยกขึ้นดื่มแทน ทุกคนได้แต่อึ้งไปตามๆกัน ร่างสูงวางแก้วค็อกเทลกลับที่เดิม ก่อนจะแย่งไมโครโฟนมาประกาศ

“ฉันบอกแล้วใช่มั้ยว่าห้ามไม่ให้มีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในงานรับน้อง” เสียงประธานคาดคั้นกับเพื่อนปีสอง
ที่กำลังหงอยไปตามๆกัน “ฉันประกาศไว้ตั้งแต่ก่อนเปิดหอ พวกนายก็ยังฝ่าฝืน
ฉันคงต้องวางบทลงโทษให้เด็ดขาดซะแล้วมั้ง”

“ไม่เอาน่า ซุย… พวกเราก็แค่เล่นสนุกๆ ไม่เห็นต้องซีเรียสเลย” เพื่อนๆพยายามต่อรอง

“ไม่ได้! กฎก็ต้องเป็นกฎ มาซาฮิโกะ… ฝากชำระโทษพวกนี้แทนฉันด้วย” ซุยสั่งงานรองประธาน
 ก่อนจะหันมาจ้องไทกิอย่างเลือดเย็น “ส่วนนายมากับฉัน”

“ฉันไม่เกี่ยวนะ!” ไทกิรีบแก้ตัว

ก็จริงนี่… งานนี้เค้าไม่ได้เป็นคนเริ่มซะหน่อย แต่ซุยก็ไม่ฟัง ยังลากเค้าออกไปจากลานกว้าง
พาไปไกลจากหอจนมาถึงศาลาริมน้ำ

“ฉันไม่เกี่ยวจริงๆนะซุย พวกรุ่นพี่ต่างหากที่เป็นคนริเริ่มเกมบ้าๆนั่น”

ไทกิพยายามแก้ตัวไปอีกรอบ แต่ก็ไม่แน่ใจว่ามันจะฟังเค้าอยู่หรือเปล่า เพราะพอมาถึงศาลาริมน้ำ
มันก็ทรุดตัวลงไปกองอยู่บนม้านั่ง ก้มหน้าก้มตาพร้อมยกมือขึ้นกุมขมับ

“เฮ้… ซุย เป็นอะไรหรือเปล่า?”
ไทกิรู้สึกว่ามันผิดปกติ จึงเดินเข้าไปดูใกล้ๆ พอมันเงยหน้าที่แดงก่ำขึ้นมาเท่านั้น ไทกิก็ถึงบางอ้อ

“ฮ่าๆๆๆๆๆ นะ… นาย…”

ไทกิหัวเราะขำกลิ้ง กรีดนิ้วชี้หน้ารุ่นพี่ที่กำลังเดือดปุดๆ

“นายเมา”
ข้อสรุปที่เปลี่ยนหน้าแดงๆให้ซีดลง

“เปล่าซะหน่อย ฉันก็แค่แพ้พวกเครื่องดื่มแอลกอฮอล์” ซุยยังแก้ตัวน้ำขุ่นๆ

“โอ๊ย… ไอ้อาการอย่างนี้เค้าไม่เรียกแพ้แล้วพี่ เค้าเรียกว่าเมาต่างหาก” ไทกิย้ำ

“เออ… จะยังไงก็ช่างฉันเถอะ ว่าแต่นายคิดอะไรถึงริจะดื่มเหล้า พอเมาเดี๋ยวก็เป็นเรื่องหรอก
ฉันล่ะกลัวใจนายจริงๆ ถ้าควบคุมตัวเองไม่ได้ คิดบ้างมั้ยว่าจะทำให้คนอื่นเดือดร้อน”

“นายก็เลยมาห้ามฉันซะงั้น” ไทกิอมยิ้ม ก่อนจะเดินไปโอบไหล่รุ่นพี่คนสำคัญที่กำลังมึนเพราะฤทธิ์
แอลกอฮอล์ “จะบอกอะไรให้นะซุย ถ้ากินของแค่นี้แล้วเมา ฉันก็ไม่ใช่ Red Rose แล้ว
ปลดตำแหน่งเป็นเบ๊ของกลุ่มยมทูตดีกว่า ฉันนะโดนคนในองค์กรหลอกมอมเหล้าไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง
ยาพิษก็เคยกินมาแล้ว ต่อให้ซดบรั่นดีทั้งขวดฉันยังไม่สะเทือนเลย”

“แน่ขนาดนั้นเชียว” ซุยยังไม่เชื่อน้ำหน้า

“ไม่เชื่อก็แล้วไป ถ้าฉันโดนมอมเหล้าง่ายขนาดนั้น ก็คงไม่อยู่รอดจนถึงป่านนี้หรอก” ไทกิอวดสรรพคุณ
 “ว่าแต่นายเหอะ เรียกฉันมานี่ทำไม”

ซุยคลึงขมับเบาๆ เพราะเริ่มจะตาลายแล้ว แต่ก็ยังฝืนพูดต่อจนจบ

“ฉันแค่อยากมาเตือนนายว่าให้อยู่ห่างๆโนะอิเอาไว้ หมอนี่เอาจริงแน่ ถ้ามันลงมือเมื่อไหร่
 แม้แต่ฉันเองก็อาจจะเอาไม่อยู่”

ไทกิหัวเราะ “พูดกับใครอยู่ ฉันน่ะระดับไหนแล้ว บอกแล้วไงถึงนายไม่ปกป้อง ฉันก็ดูแลตัวเองได้”

“ฉันรู้ว่านายเก่ง แต่ฉันก็ไม่อยากให้นายปะทะกับโนะอิ ขอร้องแค่นี้ได้มั้ยล่ะ”

ไทกิพยักหน้า ก็เอาเหอะ… เค้าเองก็ไม่ค่อยอยากงัดวิชาชีพเก่ามาใช้อยู่แล้ว

“โอ๊ย…” ซุยเอนหลังพิงเสา หน้าเริ่มซีดลงเรื่อยๆ ตาก็ลายไปหมดจนแทบจะลืมไม่ขึ้นอยู่แล้ว

“นายอาการแย่มากเลยนะซุย ให้ฉันพาไปห้องพยาบาลเอามั้ย”

“ไม่ต้อง” คนปากเก่งฝืนลุกขึ้น แต่แล้วก็ไปไม่รอด เพราะทันทีที่มันลุก มันก็ล้มฟุบลงมาอีก
คราวนี้เล่นสลบเหมือดคาที่ โชคดีที่ไทกิโดดไปรับไว้ได้ทัน ไม่งั้นหัวได้ฟาดเสาตายแน่

“เฮ้ย! ซุย!!”
ไทกิพยายามปลุก แต่มันก็ไม่ตื่น ซวยล่ะสิ… เป็นเจ้าฮิโระยังพอทน แต่ซุยนอกจากจะสูงกว่า
แถมยังหนักกว่าเจ้าฮิโระหลายเท่า แล้วเค้าจะเอาปัญญาที่ไหนลากรุ่นพี่คนสำคัญกลับหอล่ะเนี่ย
มือเล็กๆประคองศีรษะนุ่มๆวางลงบนตัก สายตาก็กวาดหาคนช่วย แต่ก็ไม่มีใครผ่านมาเลยสักคน จ
นเด็กหนุ่มได้แต่ปลง แล้วก้มหน้ามองร่างสูงที่หลับปุ๋ยอีกครั้ง

น่ารักแฮะ…

ไทกิเริ่มเคลิ้ม ลูบเรียวหน้าขาวผ่องเบาๆ หน้าก็สวย แก้มก็ใส ผิวก็เนียน ขนตาก็ยาว น่ารักจริงๆ
ถึงจะอยู่ด้วยกันมาร่วมสองสัปดาห์ แต่ก็ไม่เคยเห็นมันตอนหลับซะที เห็นแล้วมันน่ามันเขี้ยวจริงๆ พับผ่าสิ…
มือไม้เริ่มทำตามอำเภอใจ ไล่กรีดไปตามริมฝีปากบางแดงระเรื่อ หน้าเล็กๆโน้มลงไปใกล้
ใกล้จนรู้สึกถึงลมหายใจอุ่น ริมฝีปากแดงก่ำนั่นก็เย้ายวนใจนัก…

“น่ารัก”
แล้วคนเผลอใจก็ประกบริมฝีปากกับคนหลับอย่างลืมตัว นุ่มมาก… หวานด้วย… ทำไมถึงหวานขนาดนี้
แค่ชิมยังแทบละลาย ลิ้นอุ่นๆจึงเผลอไผลถือวิสาสะเผยอปากร้อนผ่าวออก แล้วสอดลิ้นเข้าไปชิม
ความหอมหวานจากข้างในบ้าง
แต่ทว่า…

“ไม่ดีนะ ไม่ดี!”

เสียงร้องห้าม ที่ส่งมาพร้อมเจ้าของร่างสูงอารมณ์ดี ซึ่งกำลังก้าวฉับๆมานั่งข้างๆ

ตั้งแต่เมื่อไหร่!
ไทกิสะดุ้งตัวหลบแทบไม่ทัน เสียดายก็เสียดายที่โดนขัดจังหวะ (แหม…) แต่ก็ตกใจมากกว่าที่คนๆนี้
เข้ามาประชิดตัวเค้าได้อย่างง่ายดาย ไม่น่าเชื่อ… ถึงเค้าจะเผลอใจ (นั่น) แต่ก็ระวังตัวตลอด
จึงไม่น่าจะมีใครเข้าใกล้ได้ง่ายๆ แสดงว่าหมอนี่ต้องระดับไม่ธรรมดาแน่
รุ่นพี่คนนั้นฉีกยิ้ม ก่อนจะหลุดคำเปรยที่ไทกิฟังแล้วต้องกลับไปทบทวนจัดระดับให้ใหม่

“จริงอยู่… ถึงซุยมันจะน่ากิน แต่แอบกินของพร่ำเพรื่อแบบนี้ไม่ดีต่อสุขภาพนะ เดี๋ยวจะท้องเสียเอาได้”

“ไม่ได้กินซะหน่อย!” ไทกิเถียง แต่หลักฐานมันฟ้องอยู่ทนโท่ พูดยังไงก็ฟังไม่ขึ้น
แต่คนๆนั้นก็ไม่ได้ว่าอะไรอีกนอกจากฉีกยิ้มที่อบอุ่น ก่อนจะดึงร่างเพื่อนซี้กลับมาพาดบนไหล่

“ฉันก็ไม่ได้ว่าอะไรนะคุณหนู แต่ซุยมันไม่ชอบให้ใครยุ่งกับมันโดยเฉพาะตอนหลับ ถ้ามันตื่นขึ้นมารู้เข้า
ต้องโกรธแน่ๆ แต่ไม่ต้องกลัวนะ ฉันไม่บอกมันหรอก” คนๆนั้นให้สัญญา

“พี่มิสึกิ” ไทกิเรียกชื่อรุ่นพี่อย่างยากเย็น เพราะความผิดมันติดคอจนพูดไม่ออก
“พี่รู้ได้ยังไงว่าผมกับเอ่อ… ซุย อยู่ที่นี่”

“ไม่ยาก… มีไม่กี่คนหรอกที่ซุยมันจะเข้าใกล้ แค่ตามกลิ่นคุณหนูมาก็เจอมันแล้ว”
คำอธิบายของมิสึกิทำให้ไทกิยิ่งเครียด คนที่รู้ว่าซุยเป็นบอดี้การ์ดเค้าอยู่ ชักจะเยอะเกินคาดซะแล้ว
 แล้วต่อไปเค้าจะปิดบังฐานะของตัวเองไปได้อีกนานแค่ไหน ไม่รู้เลย…

“ไม่ต้องห่วง” มือใหญ่วางหมับลูบหัวปุยๆของไทกิ “ฉันไม่ได้คิดร้ายกับคุณหนู ถ้าจำเป็นก็อาจจะ
เข้าเป็นฝ่ายกับคุณหนูด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้ขอตัวบอดี้การ์ดจำเป็นกลับหอก่อนนะ
สภาพนี้มันคงปกป้องใครไม่ไหวหรอก” มิสึกิประคองซุยไว้ ก่อนจะพากลับหอด้วยความทุลักทุเล

“พี่มิสึกิ!” ไทกิเรียกไว้ พร้อมกับส่งยิ้มให้ “ขอบคุณมากนะ”

“ยินดีรับใช้” รุ่นพี่ยักคิ้วกริ่ม แล้วก็จากไป
โรงเรียนนี้มีแต่คนแปลก… บางคนวุ่นวาย บางคนก็ชอบเก็บตัวเงียบ แต่ที่แน่ๆแต่ละคน
มีความสามารถเหนือชั้นไม่ธรรมดา
ชักสนุกขึ้นมาซะแล้วสิ

Unn

  • บุคคลทั่วไป
Re: Red Rose < By Foggy >
«ตอบ #23 เมื่อ01-02-2008 02:09:57 »

 :m22: Chapter 10 Sweet Three

หลังงานรับน้อง… ยูเดินกลับขึ้นห้องด้วยความอ่อนเพลีย เพราะกว่าจะไล่พวกเด็กๆกลับขึ้นไปนอนได้ก็เกือบสว่าง
 ยูเหลือบมองนาฬิกาฝาผนังที่แขวนอยู่ในห้องคอมม่อนรูมของหอน้ำ

…ตีสี่ครึ่ง… ใกล้สว่างแล้วนี่ มิน่าเค้าถึงได้เพลียนัก
ระเบียงทางเดินเปิดไฟสว่างไสว แต่ห้องทุกห้องบนชั้นห้าเงียบกริบ ก็แหงล่ะ… เพื่อนๆปีสามคงหลับหมดแล้ว
คิดๆดูไอ้งานกรรมการสมาชิกพิเศษนี่ก็เหนื่อยเป็นบ้า ใครบอกเป็นแล้วเท่ เค้าเป็นมาตั้งสามปี
แล้วก็ยังมองไม่เห็นว่ามันจะเท่ตรงไหน นอกจากจะเหนื่อยแทบขาดใจเปลืองแรงกายโดยใช่เหตุ
 แม้แต่ตอนปิดเทอมก็ยังไม่เว้น

ยูไขกุญแจเปิดห้อง ถอดเสื้อคลุมออกแล้วโยนลงไปในตะกร้า คิดว่าจะไปฟุบซักงีบบนเตียง แต่ทว่า…
หมับ…

มือที่ไวกว่าพุ่งฉิวออกมาจากเงามืด คว้าร่างบางที่กำลังถลาลงเตียงด้วยความแม่นยำ
ก่อนจะลากลงไปนอนคลุกอยู่บนเตียงด้วยกัน พอร่างบางกำลังจะประท้วง ก็ถูกริมฝีปากอุ่นประกบไว้จนแน่นสนิท

“อื้ม… โฮตารุ?” ตาหวานๆเพ่งมองฝ่าความมืด พร้อมกับดันตัวคนที่มารังแกออกห่าง รูปร่างแบบนี้เค้าพอจำได้
 แต่หน้านี่สิยังไม่ค่อยแน่ใจนัก

“นายเดาผิดแล้ว” ร่างปริศนาในเงามืดยิ้มกริ่ม “ฉัน… มาโมรุ ต่างหาก”

พอมันเฉลยจบ ไฟในห้องก็ถูกเปิดจนสว่างไปทั้งห้อง พร้อมกับร่างสูงอีกร่างก็เดินมานั่งเผละบนเตียง
ด้วยอารมณ์หงุดหงิดนิดหน่อย

“นายเดาผิดอีกแล้วนะยู เราอยู่ด้วยกันมาตั้งนาน นายก็ยังแยกฉันกับมาโมรุไม่ออกซะที ฉันชักจะน้อยใจแล้วนะเนี่ย”
 โฮตารุตัวจริงบ่นด้วยความน้อยใจ จนยูต้องโผเข้าไปกอดปลอบ

“ก็นายสองคนเป็นฝาแฝดกัน แถมรูปร่างหน้าตาก็ยังเหมือนกันเปี๊ยบ ขนาดพ่อแม่นายยังแยกไม่ออก
แล้วฉันจะไปมีปัญญาแยกพวกนายออกได้ไง ยกเว้นก็แต่…”

ถึงตอนนี้แก้มบางๆเริ่มแดงซ่าน ไม่อยากพูดต่อ จนแฝดพี่มาโมรุที่คล้องเอวอยู่ข้างหลังต้องโน้มเข้ามาใกล้
แล้วจูบซุกไซ้ซอกคอเบาๆ

“ต้องทำแบบนี้ใช่มั้ย นายถึงแยกพวกเราออก หืม… ยู?”
มาโมรุส่งสายตาหวานเชื่อมแกมเจ้าเล่ห์ แต่คนโดนเล่นงานหน้าแดงก่ำจนถึงใบหูแล้ว

“ก็… มาโมรุอ่อนโยนกับฉัน แต่… โฮจังชอบทำให้ฉันเจ็บอยู่เรื่อย”
พอได้ยินอย่างนั้นแฝดน้องก็ชักฉุนขึ้นมาตะหงิดๆ เรื่องอื่นยอมแพ้พี่ได้ แต่เรื่องนี้ยังไงก็ไม่ยอมแน่
เค้าจึงดึงร่างบางเข้ามาจูบอย่างเร่าร้อน บดขยี้ริมฝีปากหวานด้วยแรงพิศวาสจนขับสีเลือดแดงช้ำ
 เล่นงานคนรับแทบขาดใจตายคาอก

“ฉันรักนายนะ ยู” โฮตารุกระซิบบอกเบาๆ ยูก็กอดโฮตารุไว้แน่นด้วยความเคลิบเคลิ้ม

“ฉันก็รักนาย โฮตารุ”

“แล้วฉันล่ะ” แฝดพี่ก็ชักจะอิจฉา ยูเลยเชยคางแฝดพี่เข้ามาใกล้แล้วจูบเอาใจบ้าง

“มาโมรุ ฉันก็รัก”

“งั้นขอรักนายให้หายคิดถึงหน่อยนะ โฮตารุมันได้อยู่กับนายตลอดปิดเทอม แต่ฉันนี่สิถูกพ่อเรียกตัวกลับบ้าน
 นับวันรอให้ถึงวันเปิดเทอมทุกลมหายใจ คิดถึงนายจะแย่อยู่แล้ว… รู้มั้ย”

มาโมรุขโมยร่างบางมาจากอ้อมอกน้องชาย แล้วไล่จูบไปตามนวลเนื้อด้วยความนุ่มนวล
ทุกสัมผัสราวกับจะย้ำให้รู้ซึ้งถึงรสรัก ยูแอ่นกายรับด้วยความเสียวซ่าน
แทบจะละลายคาลิ้นหวานๆของมาโมรุอยู่แล้ว

“งั้นฉันไม่กวน”
โฮตารุทำท่าจะหนีเพื่อเปิดทางให้พี่ชาย แต่ก็ถูกมือเล็กๆฉุดเอาไว้อีก

“โฮจัง” ยูส่งสายตาเว้าวอน นัยน์ตาสีเข้มบ่งบอกถึงอารมณ์โหยหาไม่อยากให้โฮตารุจากไปไหน
ในขณะที่อารมณ์ข้างในกำลังพลุ่งพล่านเพราะถูกแฝดพี่วางระเบิดไปเรียบร้อยแล้ว

“ไม่เอาน่าโฮตารุ… พวกเราก็อยู่ด้วยกันสามคนมาตั้งนานแล้ว นายจะงอนอะไรอีก ยูจังอยากให้นายอยู่นะ”
มาโมรุช่วยเกลี้ยกล่อมน้องชายหัวดื้อด้วยอีกแรง

โฮตารุทำหน้าเหนื่อยใจ บางทีก็อดน้อยใจไม่ได้ แต่เพราะรักจนหมดหัวใจถึงขัดใจยูไม่ได้ซะที
มือใหญ่จึงเอื้อมไปลูบแก้มคนเอาแต่ใจที่กำลังทำตาหวานเชื่อมได้อย่างน่ารักที่สุด

“ถ้าฉันทำให้นายเจ็บ… ก็อย่าบ่นทีหลังก็แล้วกัน”
คนน่ารักผลักร่างสูงลงบนเตียงแทนคำตอบ ปากประกบลงไปเกี่ยวกระหวัดลิ้นพันนัวเนีย แต่ยังโก้งโค้งบั้นท้าย
ให้ร่างสูงอีกคนได้ลิ้มลองกับรสชาติแห่งความสุขบ้าง แฝดพี่จึงไม่รอช้า ปลดกางเกงออกจากร่างบาง
แล้วรูดลงไปกองที่พื้นพร้อมกับปราการชิ้นสำคัญ เผยให้เห็นสะโพกขาวๆนิ่มๆที่ยั่วยวนที่สุด

“อื้ม…”
มาโมรุแกล้งกัดสะโพกนิ่มๆนั้นเบาๆจนยูเผลอครางออกมา ก่อนจะก้มลงไปจูบกับโฮตารุต่อเพื่อไม่ให้อารมณ์ขาด
ตอน แต่สองมือเล็กๆก็ยังซุกซนสอดเข้าไปใต้เสื้อเชิ้ตตัวบางแล้วไต่ไปตามหน้าอกกว้างของโฮตารุ
จนไปสะดุดเข้ากับปุ่มนูนที่แข็งขืนขึ้นมาตามสัมผัสของเค้า ยูก็คลึงเล่นเบาๆอย่างได้ใจ
แฝดพี่ประกบอยู่ทางด้านหลัง เห็นร่างบางกำลังเพลินอยู่กับร่างกายของน้องชาย จึงแกล้งก้มหน้าลงไปลิ้มเลีย
ตามร่องสะโพก และจงใจเน้นย้ำอยู่ตรงช่องคับสีชมพูหวานจ๋อย ตวัดลิ้นรุกเข้าไปจนชุ่มฉ่ำ
ยูทนไม่ไหวต้องยอมคลายจูบจากโฮตารุแล้วส่งเสียงครางระงม

“อืม… แบบนี้ไม่ถนัดเลย” โฮตารุบ่นเล็กน้อย ก่อนจะไหลตัวเข้าไปนอนแผ่อยู่ใต้ร่างบางในทิศทางตรงกันข้าม
เห็นส่วนอ่อนไหวของยูซึ่งกำลังลุกชูชันด้วยแรงปรารถนาจ่ออยู่ใกล้ปาก ก็คว้าหมับกลืนเข้าไปทั้งหมด
พร้อมกับกระตุ้นอารมณ์ร่างบางให้ยิ่งปะทุด้วยการใช้ลิ้นบดขยี้หนักๆ ยูพยายามแอ่นสะโพกไปมาเพื่อหนี
ความทรมานแต่ก็ไม่เป็นผล เพราะยิ่งขยับโฮตารุก็ยิ่งรัดแน่นเหมือนกับจะกลืนกินเค้าเข้าไปทั้งตัว

“ขี้โกงนี่นาโฮตารุ พี่เล็งไว้ก่อนนะ!” แฝดพี่มัวแต่เผลอ พอเห็นส่วนสำคัญถูกน้องชายฉกไปต่อหน้าต่อตา
ก็ส่งเสียงประท้วงลั่น

“อ้ายอู๊… อ้ายอี๊… (ไม่รู้ไม่ชี้)” แฝดน้องส่งเสียงอู้อี้พร้อมกับยักคิ้วแผล็บ ทั้งที่ยังมีส่วนนั้นของยูคาอยู่ในปาก

“ฝากไว้ก่อนเถอะ” มาโมรุบ่นอุบ ก่อนจะก้มหน้าลงไปลิ้มเลียส่วนของเค้าต่อ

“อ๊ะ… อา…” ยูเริ่มจะอึดอัดและอยากหาทางระบายบ้าง จึงเลื้อยไปตามตำตัวของโฮตารุที่นอนทอดอยู่เบื้องล่าง
 รูดซิปแล้วเกี่ยวขอบกางเกงชั้นในออกเล็กน้อย อาวุธชิ้นสำคัญก็พุ่งพรวดออกมาล้ออยู่ตรงหน้า
 กล้ามเนื้อทั้งลำกำลังสั่นระริกเกร็งแน่นเต็มอัตราศึก เรื่องขนาดไม่ต้องพูดถึง
แค่ตอนที่ร่างบางครอบปากลงไปก็คับแน่นไปหมดจนแทบสำลักเพราะหายใจไม่ออก

“อู้ววว! ซี้ด… นายทำอะไรฉัน”
ทันทีที่สัมผัสได้ถึงความอบอุ่นและชื้นแฉะซึ่งกำลังหยอกล้ออยู่กับส่วนปลายของเค้า ความเสียวซ่านก็ทำให้โฮตารุ
ต้องยอมคลายของหวานออกจากปากชั่วคราว เห็นยูกำลังดูดเค้นปลายแท่งหวานๆของเค้าอย่างเมามัน
ก็เกิดอารมณ์อยากท้าทายบ้าง โฮตารุจึงกลับไปหาชิ้นส่วนน้อยๆของเค้า คราวนี้งับไว้แน่นพร้อมกดสะโพก
ของร่างบางให้แอ่นลงมาหา จากนั้นก็ขยับเข้าออกอย่างรวดเร็วทำให้เกิดการเสียดสีจนร้อนฉ่า
ร่างบางทนไม่ไหวต้องยอมคลายส่วนของร่างสูง แล้วเงยหน้าส่งเสียงครางลั่น
พร้อมกับควานเอาอากาศเข้าปอดเต็มที่

“อึก… อื้อ อย่าทำแบบนี้สิโฮจัง”
หน้าสวยๆหันไปเว้าวอน ตอนนี้เค้ายอมแพ้แล้ว เลยอยากให้ร่างสูงเห็นใจเค้าบ้าง
แต่นอกจากโฮตารุจะไม่ยอมปล่อย แม้แต่มาโมรุที่คุมทางอยู่ด้านหลังก็ยังรุมกันแกล้งเค้า

“อ๊า!!!” ยูร้องลั่น ตอนที่นิ้วเรียวยาวของแฝดพี่แทรกเข้าไปในช่องทางด้านหลัง
แถมยังควานควักกระตุ้นอยู่หลายจุด จนยูต้องสะบัดก้นเร่าเพื่อหนีความทรมานแต่ก็หนีไม่พ้น

“ทนหน่อยนะ… ที่รัก” แฝดพี่โน้มลงมากระซิบพร้อมกับสอดนิ้วที่สองและสามตามเข้าไปติดๆ
เปิดช่องทางคับให้กว้างขึ้น ยูกัดฟันแน่น น้ำตาเริ่มเอ่อคลอเบ้าเพราะทั้งหน้าหลังกำลังทำเค้าเจ็บ

“อา… อีกนิดเดียว” แฝดพี่คราง เมื่อนิ้วกระตุ้นโดนจุดสวาทร่างบางก็ผวาตัวตอบรับ เค้าจึงรีบถอนนิ้วทั้งหมด
ออกมาอย่างรวดเร็ว แล้วปลดอาภรณ์ส่วนล่างของตัวเองออกบ้าง ปล่อยอาวุธชิ้นสำคัญทะยานผงาด
จากนั้นก็จับกระชับตรงส่วนปลายค่อยๆสอดเข้าไปในตัวร่างบาง

“อึก… อือ… เบาๆนะมาโมจัง” ตาสวยๆของยูหันไปขอร้อง แฝดพี่ก็พยักหน้ารับ ก่อนจะขยับสะโพกเข้าออกช้าๆ
อย่างนิ่มนวลที่สุด แต่ไอ้ตัวน้องที่ยังงับส่วนสำคัญของเค้าไว้นี่สิยังเป็นปัญหา เพราะนอกจากมันจะไม่ยอมคลาย
ง่ายๆแล้ว ยังแกล้งเค้นแรงขึ้น ชนิดถ้าเคี้ยวแล้วกลืนลงคอได้คงทำไปแล้ว

“อ๊ะ! อา…”
ตอนแรกก็ทรมาน แต่พอมาโมรุเริ่มเร่งจังหวะจนลืมความเจ็บปวด ความสุขสมก็เข้ามาแทนที่ ยูขยับสะโพกผสาน
จังหวะระหว่างหน้าหลัง แรงเสียดสีจากทั้งสองด้านกำลังทำให้เคลิ้มจนอยากหยุดเวลาไว้แค่ตรงนี้
แต่เพราะร่างกายมีขีดจำกัดจึงไม่อาจฝืน ทันทีที่แฝดพี่โผร่างกระแทกเข้ามาจนสุด
ร่างกายของยูก็ตอบสนองบีบรัดรับไออุ่นของมาโมรุที่พวยพุ่งอยู่ในตัว
 พร้อมกับของตัวเองก็ปลดปล่อยเป็นคราบขาวขุ่นทะลักทะลายเข้าไปในปากแฝดอีกคน
ที่จ่อปากรอเก็บกวาดอยู่แล้ว

 “ต่อไปก็ตาฉัน”
โฮตารุเตรียมตัวบ้าง ดึงกางเกงที่ถูกรูดหมิ่นเหม่ลงไปกองที่พื้นอย่างไม่ใยดี ก่อนจะขยับสะโพกมน
ของคนที่กำลังหายใจหอบระรัวเข้ามาหาตัว

“อื้อ… ขอฉันพักหน่อยสิ โฮตารุ”

“ไม่เอา! ฉันทนไม่ไหวแล้วนี่ นายน่ารักมากเลยยู”
คนหัวดื้อก็ดื้ออยู่วันยังค่ำ พูดยังไงก็ไม่ฟัง ยูเลยต้องปล่อยเลยตามเลย
ยอมให้รังแกตามใจทั้งที่ความบอบช้ำจากฝีมือแฝดพี่ยังไม่ทันหาย โฮตารุแยกขาขาวเพรียวของร่างบางออก

“โฮจัง” ยูจับแขนโฮตารุไว้พร้อมกับส่งสายตาปริบๆ “เบาๆนะ”

“ฉันจะพยายาม” แฝดน้องยักคิ้วอย่างเจ้าเล่ห์ ยกขาเพรียวพาดบ่า จากนั้นก็ค่อยๆขยับร่างกายเข้าไปใกล้
 กล้ามเนื้อเร่าร้อนประชิดสะโพกยังทำให้ร่างบางหวั่นไหวจนสะท้านไปทั้งร่าง ยูหลับตาพริ้ม
รับสัมผัสกล้ามเนื้อตึงแน่นที่แทรกเข้ามาในตัวของเค้า ขาเพรียวถูกแยกออกกว้างขึ้น
แล้วคนที่รังแกก็แกล้งกระแทกร่างกายเข้ามาอย่างรวดเร็วและหนักหน่วง
จนยูแทบจะปิดปากกลั้นเสียงร้องไว้แทบไม่ทัน

“บะ… เบาหน่อยไม่ได้เหรอโฮจัง ฉันเจ็บนะ” ยูพยายามประท้วง แต่แฝดน้องก็ไม่ยอมรามือ
หมอนี่ฮอร์โมนมันพลุ่งพล่านกว่าพี่ชาย ทุกครั้งที่มีอะไรกันก็ทำเค้าเจ็บจนลุกไม่ไหวทุกที

“ก็นายน่ารักนี่ยู ฉันอยากรักนายให้มากกว่านี้” ปากก็เพ้อตลอด ส่วนร่างกายก็ขยับไปตามใจชอบ
กระแทกกระทั้นเข้าออกไม่ยั้งมือ จนทางสีชมพูมีเลือดไหลซิบๆ ยูอยากจะกรีดร้องใจแทบขาด
แต่ก็กลัวว่าเพื่อนทั้งหอจะตื่น เลยได้แต่กัดผ้าไว้แล้วส่งเสียงครางเงียบๆ

 “อึก… อ๊า… โฮจัง เร็วเข้า ฉันเจ็บ” ยูเริ่มจะทนไม่ไหวแล้ว

“โอ้วว!!” โฮตารุกระตุกครั้งสุดท้ายเพื่อรุกฆาต อาการเกร็งอัดแน่นถึงขีดสุด
รับกับแรงบีบรัดจากร่างบางจนฉีดซ่านเป็นน้ำสีขาวขุ่นเปรอะไปทั่ว
ยูเองก็ทนไม่ไหวจนต้องปลดปล่อยออกมาอีกรอบ จากนั้นทั้งคู่ก็นอนแผ่กอดก่ายกันอย่างอ่อนแรง

“เอาล่ะ… ต่อไปก็ตาฉัน”

“อะไรนะ!” ยูร้องเสียงหลง ตอนที่ได้ยินมาโมรุบอกพร้อมกับจ้องสะโพกของเค้าเขม็ง

“ไม่เอาแล้ว ขืนพวกนายสลับกันแบบนี้ ฉันก็ตายน่ะสิ”

“ไม่ต้องห่วงนะ ฉันจะเบามือ” มาโมรุอ้อนวอน แล้วคลอเคลียจูบแก้มบางๆเอาใจหลายที

“ฉันก็ด้วย” โฮตารุที่หยุดหอบแล้วก็เสนอตัวด้วยอีกคน

“มะ… ไม่นะ!!!!”
เสียงของยูหมดสิทธิ์ร้องแค่นั้น ก่อนจะโดนจับกดลงไปอีกรอบ แล้วทั้งห้องก็มีแต่เสียงครางกระเส่าตลอดทั้งคืน
จนรุ่งเช้า

Unn

  • บุคคลทั่วไป
Re: Red Rose < By Foggy >
«ตอบ #24 เมื่อ01-02-2008 02:10:33 »

 :mc4: Special chapter : Love at First Sight (3 plus)

ในวันหนึ่งวันนั้น…

ครั้งแรกที่ได้ก้าวเข้ามาที่โรงเรียนในฝันรินคัง ที่นี่สวยและคลาสสิกเหมือนปราสาทขุนนางยุโรป
จนอดรู้สึกไม่ได้ว่าอาจจะมีเจ้าชายเจ้าหญิงรูปงามโผล่มาจากที่ไหนสักแห่ง

เริ่มเข้าเรียนสัปดาห์ที่สอง ยูต้องเลือกชมรมที่จะเข้าทำกิจกรรม ตรงลานกว้างข้างหอประชุม
คือที่ๆชมรมต่างๆมาตั้งโต๊ะโฆษณาและรับสมัครสมาชิกใหม่

“เอ่อ… สนใจเข้าชมรมยิงปืนมั้ยครับ?”

รุ่นพี่มาดเท่ประจำบูธชมรมมือปืนสมัครเล่นยื่นใบสมัครมาให้ เด็กหนุ่มขยับกรอบแว่นหนา
ตาสีน้ำตาลเบิกกว้างขึ้น ก่อนจะเงยหน้ามองแผ่นป้ายผ้าเขียนมือที่แขวนไว้ด้านบน

‘รับสมัครผู้กล้า สานต่อภารกิจลับ’
“นั่น… หมายความว่าอะไรครับ” ยูอดถามไม่ได้ แค่มีชมรมยิงปืนในโรงเรียนก็ไม่ธรรมดาแล้ว
ที่ยังกล้าแขวนป้ายโฆษณาเชิญชวนซะอลังการ ทำยังกะจะขอรับสมัครหน่วยกล้าตายทำศึกอย่างนั้นแหละ

“เป็นสโลแกนของทางชมรมน่ะครับ ป้ายเนี่ยสืบทอดมาหลายรุ่นแล้ว เห็นมันขลังดี พี่ก็เลยเอามาติดบ้าง
อ้อ… พี่ชื่อ ไซโต้ มิจิรุ อยู่ปีสาม เป็นประธานชมรมคนปัจจุบัน”

รุ่นพี่คนนั้นยื่นมือมาให้พร้อมแนะนำตัว ยูก็ยื่นไปจับแบบเขินๆ

“เฮ้ย! นี่… โฮตารุ นายก็ชวนเพื่อนเข้าชมรมบ้างสิ ปล่อยให้พี่พูดคนเดียวอยู่ได้” พี่มิจิรุสะกิดร่างสูงอีกคน
ที่นั่งเต๊ะอยู่บนเก้าอี้หลังโต๊ะรับสมัคร

“พี่อยากได้สมาชิกก็เรียกเองดิ เกี่ยวอะไรกับผมด้วย” เด็กหนุ่มคนนั้นทำหน้าเบ้
ยูมองไปที่ปกเสื้อเห็นตราหนึ่งดาว แสดงว่าเป็นปีหนึ่งเหมือนกัน พอเงยมองหน้าก็เริ่มคุ้น
ที่แท้ก็เพื่อนในกลุ่มสมาชิกพิเศษนี่เอง หมอนี่มันเก๊กตั้งแต่เข้าเรียน เคยชวนคุยด้วยก็ไม่ยอมคุย
ยูหยิบกระดาษใบสมัคร ก่อนจะจรดปากกาแล้วกรอกรายละเอียดลงไป

“อ้าว… ตกลงว่าเราก็จะมาอยู่ชมรมด้วยใช่มั้ย ดีจัง… ตั้งแต่พี่เปิดบูธมาเพิ่งได้สมาชิกแค่สามคนเท่านั้นเอง”

“เอ๋! สามคน?” ยูเริ่มหวั่นใจตะหงิดๆ

“ก็น้องไงที่เป็นคนที่สาม ส่วนอีกสองคนก็น้องชายพี่เอง มา… จะแนะนำให้” พี่มิจิรุโอบไหล่น้องรัก
ที่ยังนั่งเต๊ะท่าเดิม “ไซโต้ โฮตารุ และอีกคนชื่อ มาโมรุ ตอนนี้เค้าเปลี่ยนเวรไปพัก แต่ถ้าเข้าชมรมก็คงได้เจอกัน”

ยูโค้งตัว “ผมชื่อ อาซาโนะ ยู ครับ”

“งั้นดีเลย ยูคุง… พี่ฝากบูธแป๊บนึงนะ เฝ้าดีๆล่ะทั้งสองคน” ว่าแล้วคุณพี่ผู้แสนดีก็จากไป
 ทิ้งเพื่อนร่วมชั้นปีเอาไว้ตามลำพัง แต่จนแล้วจนรอดเพื่อนใหม่ก็ยังเอาแต่เงียบไม่ยอมคุยกับเค้าเลย
และวันนั้นทั้งวันก็ไม่มีสมาชิกมาสมัครเพิ่มแต่อย่างใด

วันแรกที่เข้าชมรม… เหงาหงอยสมชื่อห้องมือปืน เพราะสมาชิกโหรงเหรงจนน่าตกใจ
รวมๆทั้งสามชั้นปีก็มีแค่แปดคนเท่านั้น ปีสามสองคน ปีสองสามคน และปีหนึ่งสามคน
ยูเลือกปืนอัดลมมาหนึ่งกระบอก พอทดสอบจนกระชับมือดีแล้วก็ลองยิงไปที่เป้า
กระสุนพุ่งฉิวเฉียดตรงกลางเป้าไปแค่เสี้ยวเดียว

“ฝีมือไม่เลวนี่” ร่างสูงขยับเข้ามาพร้อมรอยยิ้มและปรบมือให้ ยูมองตามแล้วก็ต้องขมวดคิ้ว

‘โฮตารุ? แปลกจังที่หมอนี่คุยกับเค้าก่อน’

“เป็นอะไรไป ทำไมมองหน้าฉันแล้วอึ้ง” คนๆนั้นอมยิ้ม “ฉันหล่อขนาดนั้นเชียว”
แน่ะ… ยังชมตัวเองหน้าตาเฉย จนยูแทบสำลัก

“เปล่า… ฉันแค่แปลกใจที่อยู่ดีๆนายก็มาคุยกับฉัน”

มือกร้านเริ่มเลื้อยขึ้นมาโอบไหล่ กลิ่นจากโคโลญจ์หอมๆก็ขยับเข้ามาใกล้ชิด

“ฉันมนุษยสัมพันธ์แย่ขนาดนั้นเลยเหรอ… ยู” หน้าคมเข้มกรีดยิ้ม แถมยังสบตาเค้นความจริง
จนยูต้องหันหน้าหลบ
แปลกจัง… ทำไมต้องรู้สึกใจเต้นด้วย แค่หมอนี่ทำดีเข้าหน่อย

“ฉะ… ฉันต้องไปแล้ว” ยูหาทางกลบเกลื่อนแก้เก้อ ขืนอยู่ตรงนี้ต่อไป มีหวังหัวใจวายตายแน่

“อ้าว… ไม่ซ้อมต่อเหรอ ฉันอุตส่าห์อยากซ้อมกับยู”

“เอาไว้วันหลังเหอะ” ยูเอาปืนอัดลมไปเก็บไว้ที่เดิม

คนนั้นรีบขยับตัวเข้ามาใกล้ แล้วกระซิบ “งั้นพรุ่งนี้หลังซ้อมเสร็จ เจอกันหลังชมรมนะ”

ยูช็อกไปนิด แต่ก็ยังพยักหน้ารับอายๆ แล้วรีบเผ่นออกจากห้อง ทิ้งอีกคนที่ยืนยิ้มกริ่มด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์

วันต่อมา… ยูมาซ้อมตามปกติ ในห้องมีคนซ้อมยิงปืนอยู่คนเดียว
หมอนั่นน่ะเอง

“งะ… ไง วันนี้มาซ้อมเร็วจัง” ยูเข้าไปทักทาย แต่มันกลับลั่นไกปืนยิกๆ ยิงเป้าบินร่วงไปเป็นสิบก็ไม่ยอมหันมาตอบ
เค้า แปลกแฮะ… ทีเมื่อวานยังทำตาหวานเชื่อม วันนี้เต๊ะอีกแล้ว

ยูอยู่ซ้อมยิงปืนกับโฮตารุพักใหญ่ หมอนั่นก็ไม่พูดอะไร ไม่ชม ไม่วิจารณ์ฝีมือเค้าเหมือนวันก่อน
ท่าทางเมื่อวานถ้ามันไม่กินยาผิดขวด เค้าก็คงฝันไปแน่ ทั้งคู่อยู่ซ้อมจนค่ำ โฮตารุก็เก็บปืนอัดลมกลับที่เดิม

“นี่… นายมีอะไรจะคุยกับฉันไม่ใช่เหรอ” ยูเรียกโฮตารุไว้ ตอนที่กำลังจะเก็บของออกจากห้อง

“ฉันเนี่ยเหรอ?” โฮตารุชี้นิ้วจิ้มมาที่ตัวเอง “ฉันจะคุยอะไรกับนาย บ้าหรือเปล่า”

“อ้าว! ก็เมื่อวานนายเป็นคนนัดฉันที่หลังชมรมตอนเลิกซ้อมไง”

“ประสาท” มันด่ามาแค่นั้น ก่อนจะสะพายกระเป๋าเดินหนีไป

นี่มันอะไร? นี่มันอะไรกัน!!!!
ยูเริ่มงงกับชีวิต เมื่อวานมันหวานอย่างกะน้ำเชื่อม แต่วันนี้คำพูดคำจาขมปี๋ไม่มีเยื่อใย
ไม่ได้… ต้องลองไปพิสูจน์หน่อยแล้ว ยูเก็บปืนแล้วแบกกระเป๋าเลี้ยวไปที่หลังชมรม

โฮตารุเดินออกจากชมรมกำลังจะกลับบ้าน ก็คิดถึงความพูดแปลกๆของยู

“หมอนั่นคงไม่เพี้ยนจนคิดเพ้อเจ้อไปเองว่าเรานัดหรอกมั้ง” สมองเริ่มทำงานลำดับความคิด
 “หรือว่า…”
ตาที่โตอยู่แล้วเบิกกว้าง ตอนนี้พอจะรู้แล้วว่าใครกันแน่ที่อ้างหน้าตาของเค้าไปนัดหมอนั่น
ซวยแน่งานนี้ หน้าตาน่ารักอย่างมันคงไม่รอดมือไอ้บ้านั่นแน่ โฮตารุเลี้ยวหลังกลับ
แล้วรีบวิ่งกลับไปที่ชมรมโดยด่วน

ที่นี่ก็เหลือเกินจริงๆ…
เปลี่ยวยังไม่พอ ยังมีลังไม้กองพะเนินระเกะระกะไปหมด แล้วมันจะนัดเค้ามาทำอะไรที่นี่ คิดๆแล้วก็งี่เง่าชะมัด
บางทีเมื่อวานมันอาจจะแกล้งเค้าให้หลงดีใจเล่นก็ได้ เค้าคิดผิดเองที่ไปเคลิ้มและเชื่อลมปากของมัน

“จะไปไหน”
มือใหญ่คว้าหมับ โอบเอวร่างบางเข้ามาหา ตรงนั้นมืดมาก แต่แสงจันทร์ที่ส่องลงมาก็พอทำให้เค้าเห็นหน้าว่าใคร

“โฮตารุ?” ยูเอ่ยชื่ออย่างไม่ค่อยแน่ใจนัก เพราะรู้สึกมันจะเปลี่ยนนิสัยอีกแล้ว

“เอ… แบบนี้จะให้ฉันสรุปว่านายถูกใจหรือผิดหวังกันแน่ ที่ได้เจอหน้าโฮตารุ” หน้าคมเข้มเริ่มเบียด
เข้ามาใกล้ ประชิดจนรู้สึกได้ถึงลมหายใจร้อนผ่าว

“ฉะ… ฉัน…” ยูพูดไม่ออก จะว่าดีใจก็ดีใจ อึดอัดก็อึดอัด มันสับสนจนบอกไม่ถูก

“นายชอบโฮตารุเหรอ”

“กะ… ก็… มั้ง ไม่รู้สิ” ยูบอกไม่ถูก เค้าชอบโฮตารุที่เคร่งขรึม แต่โฮตารุในมาดแบบนี้
ก็ทำให้เค้าแทบละลายเหมือนกัน

“แย่จัง” คนๆนั้นทำสีหน้าผิดหวังนิดหน่อย “ไม่เป็นไร ฉันจะทำให้นายเปลี่ยนใจ ฉันอ่อนโยนกว่าหมอนั่นเยอะ
มาชอบฉันดีกว่านะ”

ยูกำลังงงว่าคนๆนี้เพ้อเรื่องอะไรอยู่ แต่ยังไม่ทันคิดก็ถูกร่างสูงฉวยโอกาสประทับริมฝีปาก
ลิ้มเลียละอองนุ่มจนชุ่มฉ่ำ ก่อนจะใช้ลิ้นดุนแล้วดูดดื่มความหวานต่อจากข้างใน

“อื้ม!” ยูพยายามสะบัดหน้าออก แต่ทำยังไงก็ไม่หลุด มันยังไล่จูบจนเค้าแทบขาดใจ
“อา… น่ารักจัง” ร่างสูงยอมปล่อยปากนุ่มให้เป็นอิสระ แต่ก็ยังโลมเลียผิวเนื้อนวลเนียนต่อ
เสื้อนักเรียนถูกปลดกระดุมออกทีละเม็ด ก่อนจะไล่ริมฝีปากอุ่นๆรุกรานลงมาเรื่อยๆ
ขบเม้มตามติ่งหูซอกคอ เปลี่ยนผิวขาวๆจนแดงเรื่อ พอนิ้วมือมาสะดุดเข้ากับปุ่มนูนเค้าก็หยุด
แล้วก้มหน้าลงไปมอง

“สวยจัง สีหวานยังกะกุหลาบ” มือกร้านลูบสัมผัสปุ่มปนบนหน้าอก ร่างเล็กๆก็เริ่มออกอาการเสียวซ่าน
 แอ่นหน้าอกรับแล้วหายใจกระเพื่อมเป็นจังหวะ

“อยากให้ฉันเล่นตรงนี้ด้วยเหรอ” ร่างสูงถาม แต่ยูสติแตกไปแล้ว เลยได้แต่ครางอืออาแทนคำตอบ
 ร่างสูงจึงไม่รอช้าเขมือบเจ้าสองแต้มนั้นทันที

“อืม… สุดยอด” ปากก็ว่า ลิ้นก็เล้าโลมดูดดึงจนชุ่มฉ่ำหนำใจ ร่างเล็กๆค่อยๆเซถลาไปเอนบนกองลังไม้
ส่งเสียงครวญครางเบาๆ มือก็จับท้ายทอยร่างสูงกดไว้ ไม่ให้เลิกหยอกเอินกับปุ่มสวาท แต่ร่างสูงก็ดื้อ
ปากยังเกาะแน่นที่เดิม มือก็ไหลลงไปข้างใต้ รูดซิปกางเกงออก จากนั้นก็ลูบผ่านเนื้อผ้าชิ้นบาง

“อ๊ะ… อือ… ตรงนั้น อย่า…” ยูคว้ามือร่างสูงไว้ไม้ให้เล่น แต่ดวงตายังหลับพริ้มบอกอารมณ์สุขสม
จนร่างสูงต้องแกล้งล้วงลึกเข้าไปข้างใน ขยำขยี้ทุกส่วนจนเสียวซ่าน ร่างสูงขยับยิ้มกว้าง
ตัดสินใจกระชากอาภรณ์ชิ้นสุดท้ายออก

แล้วสิ่งที่ปรากฏ… ก็ทำให้อารมณ์สุขสมยิ่งบรรเจิด ร่างสูงมองกล้ามเนื้อชิ้นเล็กๆกำลังดิ้นเร่าเร้าอารมณ์ใ
ห้พุ่งกระฉูด มือกร้านรีบคว้าหมับตอบสนองในทันท่วงที

“อ๊า!” ร่างบางร้องลั่น กระตุกตัวตามแรงดูดที่ดึงขึ้นลงไม่ยั้ง ลิ้นข้างในก็กระหน่ำทึ้งส่วนปลาย
มือก็ชักรูดแท่งกลมกลึงจนช้ำ มันเป็นความเสียวซ่านที่ยูไม่เคยได้รับมาก่อน
อะไรบางอย่างที่อัดแน่นอยู่กำลังเรียกร้องให้ปลดปล่อย

“พร้อมแล้วสินะ” ร่างสูงคายสิ่งนั้นออกจากปาก ถึงเค้าไม่กระตุ้นต่อ ร่างบางก็คงพร้อมจะปลดปล่อยแล้ว
มือหยาบกระด้างกำแกนกลางไว้แน่น ดูร่างบางค่อยๆปล่อยน้ำรักไหลเยิ้มเหมือนครีมสดแสนหวาน
เค้าก้มลงไปลิ้มเลียเก็บทุกหยด อร่อยจนต้องดูดจากส่วนปลายที่ยังค้างคาอยู่

“อา…” ยูนอนแผ่หมดแรง ไม่คิดเลยว่าแค่ปล่อยน้ำออกมาไม่กี่หยดจะสูบเรี่ยวแรงจนไม่เหลือหรอ
 ร่างสูงค่อยๆจับขาเพรียวแยกออกจากกัน จ้องเป้าหมายสุดท้ายที่ค่อยๆเผยออกมาจนเต็มสองตา
แต่พอจะเอานิ้วเข้าไปล่วงล้ำก็โดนขัดจังหวะ…

“หยุดนะ มาโมรุ!!!”

ร่างสูงอีกคนที่วิ่งมาจนเหนื่อยร้องห้าม แต่พอเห็นร่างบางนอนหมดสภาพก็พอจะเดาออกว่าอาจมาไม่ทัน
เค้าจึงส่งสายตาสีเข้มไปจ้องคู่แฝดเขม็ง

“นายทำไปแล้ว!” โฮตารุขึ้นเสียงขู่ แต่มาโมรุกลับยักไหล่นิดๆ

“ก็เกือบเสร็จแล้ว ถ้านายไม่มาซะก่อน”

โฮตารุยิ่งฟังยิ่งโมโห กี่ครั้งแล้วที่มันใช้หน้าตาของเค้าไปหลอกกินใครต่อใคร
แถมนี่ยังมาคว้าเพื่อนร่วมห้องเค้าอีก ทนไม่ไหวแล้วนะ มือใหญ่คว้าไหล่พี่ชายแล้วดึงออกมา

“นายเลิกทำตัวแบบนี้ซะทีเถอะมาโมรุ”

“อีกเดี๋ยวน่า… ฉันก็ทำไปตั้งเยอะแล้ว อีกนิดเดียวเอง”

โฮตารุกำหมัดแน่น ก่อนจะจวกเข้าที่ปลายคางพี่ชาย

“ไปเดี๋ยวนี้ อย่าบังคับให้ฉันต้องสู้กับนาย!” โฮตารุขู่ คนเป็นพี่ลุกขึ้นมาช้าๆอย่างใจเย็น
ตวัดหางตามองร่างบางด้วยความเสียดาย แต่ก็ไม่อยากมีเรื่องกับโฮตารุ

ไม่เป็นไร… หมอนี่ยังเรียนที่นี่ตั้งสามปี ยังไงเค้าก็มีโอกาส

“ก็ได้ ฉันไปก็ได้ นายก็จัดการปลอบเพื่อนเองก็แล้วกัน” มาโมรุคว้าเสื้อผ้าตัวเองขึ้นมาแล้วเดินจากไป
คราวนี้โฮตารุขยับเข้าไปหาร่างบางบ้าง หน้าของมันบอกอาการสับสนอย่างที่สุด แต่เหนือสิ่งอื่นใด
รูปร่างของมันนั่นแหละที่กำลังจะทลายน้ำแข็งในใจจนยับเยิน โฮตารุถอดเสื้อนอกแล้วโยนไปคลุมให้

“นายลุกไหวมั้ย ถ้าไหวก็ใส่เสื้อผ้าให้เรียบร้อย ฉันจะพากลับหอ”

“นายเป็นใคร?” ยูร้องถาม จนร่างสูงอดไม่ได้ที่จะส่งสายตาไปดุ ในเวลาแบบนี้ยังมีอารมณ์มาซักอีก มันน่านัก…

“โฮตารุ” เค้าตอบสั้นๆ

“แล้วอีกคนล่ะ?”

คำถามนี้เล่นงานคนมาทีหลังอ้ำอึ้งอยู่นาน “หมอนั่นคือ… มาโมรุ เป็น… พี่ชายฝาแฝดฉันเอง”

ฝาแฝด!!!
โอ… พระเจ้า นี่เค้ากำลังถูกสองแฝดนี่ปั่นหัวเหรอ เดิมทีชอบน้อง แต่พออยู่กับพี่ก็ดันเผลอใจไปละลายตามซะนี่
แต่ก็ช่วยไม่ได้ นอกจากนิสัยแล้ว อย่างอื่นมันเหมือนกันเปี๊ยบ แล้วใครจะไปแยกออกล่ะเนี่ย

“ไปเถอะ… อยู่ตรงนี้นานๆเดี๋ยวก็เป็นหวัดตายพอดี” ร่างสูงรอนานแล้ว จึงเดินหันหลังไปคว้าแขนเล็กๆขึ้นมา
 แต่แทนที่มันจะลุก กลับดึงเค้าลงไปกลิ้งบนลังไม้ด้วยหน้าตาเฉย

“คิดจะทำอะไร?” ร่างสูงที่ถูกดึงลงไปทาบทับร่างเปลือยเปล่าถามเบาๆ สายตาสองคู่สบกันในความมืด
อีกคนอารมณ์ยังค้างคาอยู่ จึงไม่อาจปล่อยให้หลุดมือไปได้

“ไม่รู้สิ… ฉันไม่รู้ แต่มันรู้สึกอึดอัด เหมือนยังมีบางเรื่องที่ยังไม่ได้ทำ พี่ชายนายคิดจะทำอะไรฉันล่ะ”
 ยูส่งคำถามซื่อๆ จนอีกคนอยากกุมขมับ

“นายไม่รู้จริงๆเหรอว่าพี่ฉันจะทำอะไร”
หน้าเล็กๆส่ายไปมาจนน่ารัก เล่นงานทำนบหัวใจร่างสูงจนร้าวเป็นแถบๆ มือใหญ่เอื้อมไปลูบใบหน้าเล็กๆ
อย่างทะนุถนอม

“แล้วนายอยากรู้มั้ยล่ะ?” โฮตารุกระซิบ ยูก็พยักหน้ารับอายๆ “งั้นฉันจะทำให้ดู”

แล้วคำปริศนาที่ต้องบอกใบ้ด้วยการกระทำก็เริ่มขึ้น โฮตารุจับขาเพรียวแยกออกจากันอีกครั้ง
เผยให้เห็นทางคับแคบและคราบขาวขุ่นที่ยังเปื้อนอยู่ ร่างสูงจึงก้มหน้าลงไปเลีย กวาดตั้งแต่ปลายแท่งน้อยๆ
ไปจนถึงร่องก้นหวานฉ่ำ ถูลิ้นเล่นอยู่กับช่องคับจนแดงเรื่อ ทำเอาร่างบางกระตุกไหว
 แอ่นไปแอ่นมารับทุกรสสัมผัส

“ลองดูนะ ถ้าทนไม่ไหวก็บอก” ร่างสูงบอกแค่นั้น แต่ร่างบางก็ไม่เข้าใจ แล้วก็เพิ่งมารู้ตัวตอนที่นิ้วเรียวสอดแทรก
เข้ามาทางช่องคับ กระตุกระรัวหาจุดอ่อนไหว ยูปิดปากกันเสียงคราง เพราะความเสียวซ่านครั้งนี้
กำลังจะฆ่าเค้าทั้งเป็น

“อื้อ… ช้าๆหน่อยสิ” ยูร้องตอนที่โฮตารุเล่นส่งนิ้วสองและสามเข้ามาติดๆ แถมยังสอดเข้าออกอย่างรวดเร็วจนอารมณ์สวาทพลุ่งพล่านไปหมด พี่กับน้องต่างกันก็ตรงนี้… พี่อ่อนโยนกว่าปากหวาน แต่น้องขวานผ่าซาก
ยิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุ

“แค่นี้คงพอ” โฮตารุถอนนิ้วออกทั้งหมดแล้วเอามาเลีย กำลังเล็งอยู่ว่าเปิดทางแค่นี้พอจะรับตัวเค้าเข้าไปได้หรือยัง ร่างสูงใช้มืออีกข้างปลดกางเกงออก ให้บางสิ่งได้ออกมาผาดโผน นี่เป็นครั้งแรก…
ดูซิว่าสิ่งที่พี่ชายชอบนักหนามันจะหอมหวานเย้ายวนแค่ไหน

โฮตารุคว้าท่อนขาเพรียวพาดขึ้นบ่า แล้วสั่งเสียครั้งสุดท้าย

“พร้อมนะ”
พอพูดจบปุ๊บ คนฟังยังไม่ทันตั้งหลัก ร่างสูงก็กระแทกตัวผ่านช่องทางคับไม่ยั้ง ขยับสะโพกเข้าออกทั้งหนักหน่วงรวดเร็ว ทรมานร่างบางแทบขาดใจ น้ำตาไหลพรากเพราะความเจ็บ แต่ก็สุขจนไม่อยากให้หยุด
ร่างบางจึงจิกคว้าท้ายทอยร่างสูงเอาไว้ และส่งเสียงครางเพื่อผ่อนคลายความเจ็บ

“อ๊ะ… อ๊ะ… อา…” ยูส่งเสียงร้อง ร่างสูงได้ฟังก็ยิ่งได้ใจ กระตุ้นจังหวะให้แรงขึ้น
จนแม้แต่ตัวเองก็ยังหลับตาพริ้มเสพความสุขที่ได้รับ ร่างบางนั้นหวานมาก แบบนี้นี่เองมิน่ามาโมรุถึงได้ติดใจนัก

“โอ๊ย!” ร่างบางแอ่นกายเหยียดเกร็ง ครั้งสุดท้ายที่ร่างสูงส่งแรงกระแทกเข้ามาสุดตัว
พร้อมกับปลดปล่อยไออุ่นๆพวยพุ่งข้างใน เค้าเองก็ปล่อยออกมาอีกรอบจนเปรอะไปทั่วหน้าท้องร่างสูง
ร่างสองร่างหอบกระเส่าแข่งกันในความมืด แต่ก็กอดก่ายกันไว้อย่างมีความสุข

“ฉันเพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เอง ว่าความรักมันหอมหวานจับใจขนาดนี้” โฮตารุจูบหน้าผากยูแผ่วเบา
 แก้มบางๆจึงเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ

“ฉันก็เหมือนกัน” ว่าแล้วก็สอดแขน กอดแผ่นอกกว้างไว้แน่น

“แล้วตกลงนายชอบฉันหรือชอบมาโมรุกันแน่”

คำถามนี้ทำให้ร่างเล็กๆสะอึก นั่นสิ… ตอนนี้ก็ยังไม่แน่ใจว่าชอบใครกันแน่ อยู่กับมาโมรุก็อุ่นใจดี
 แต่อยู่กับโฮตารุก็เร้าใจไปอีกแบบ เลือกยากแฮะ

“โอเค… ไม่ต้องตอบก็ได้” แฝดน้องเริ่มปลง “มันก็เป็นแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว หมอนั่นชอบอ้างชื่อฉันไปหลอกคนอื่น สุดท้ายก็ไม่มีใครตัดสินใจได้แน่นอนว่าชอบใครกันแน่ นายไม่ต้องคิดมาก จะเลือกมาโมรุก็ได้
หมอนั่นเอาใจเก่ง อยู่ด้วยคงไม่เซ็ง”

“ไม่หรอก” ยูส่ายหน้า “ฉันว่านายสองคนมีดีคนละอย่าง ก็เลยทำให้เลือกยาก มาโมรุเค้าอ่อนโยนก็จริง
แต่ก็เจ้าเล่ห์ ส่วนโฮตารุถึงจะขี้เก๊กไปหน่อย แต่ก็จริงใจ ถ้าจะให้เลือกจริงๆ ฉันก็เลือกไม่ได้หรอก”

“งั้นก็ไม่ต้องเลือก” ร่างสูงที่แอบดูอยู่นานแล้วโผล่ออกมาจากเงามืด พร้อมกับยิ้มกริ่ม มองน้องชายตัวดีแล้วก็ยักคิ้ว “ไง… ไอ้เสือ ไหนบอกจะไม่ทำไง สุดท้ายเค้าก็น่ารักจนนายทนไม่ไหวใช่มั้ยล่ะ”

“หยุดเลยมาโมรุ คิดว่าฉันกับยูมีสภาพนี้เพราะใคร” โฮตารุส่งเสียงดุ

มาโมรุหัวเราะ “ฉันถึงบอกว่าไม่ต้องเลือกไง” ว่าแล้วก็เดินเข้าไปใกล้ยูที่กำลังมุดตัวอายอยู่กับอกอุ่นๆของ
โฮตารุ “ฉันรักยูจริงๆ รักตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นนายวันที่ลงทะเบียนแล้ว แต่ตอนนั้นนายก็เอาแต่มองโฮตารุจนฉันอิจฉา ฉันถึงต้องใช้วิธีนี้หลอกนายไงล่ะ ฉันขอโทษนะ”

“ฉะ… ฉันก็…” ยูเริ่มแก้ตัวไม่ออก

“ไม่เป็นไร ฉันรู้… นายชอบโฮตารุตั้งแต่แรกพบ แต่ฉันก็จะรอจนกว่านายจะชอบฉัน แล้วยินยอมพร้อมใจให้ฉันเอง”

“นี่… แล้วคิดเหรอว่าฉันจะยอม” โฮตารุประท้วงบ้าง

“อย่าทำเป็นงกไปหน่อยเลยโฮจัง เรื่องนี้ต้องให้ยูเค้าเป็นคนตัดสินเองสิ”

สองพี่น้องเถียงกันไปก็ไม่จบ จนยูได้แต่นั่งยิ้มอยู่เงียบๆ สองแฝดนี่น่ารักมากจริงๆ อยู่ด้วยคงไม่น่าเบื่อ
และจากวันนั้นทั้งสามคนก็อยู่ด้วยกันมาตลอด ถึงจะเป็นชีวิตที่แปลก แต่ทั้งสามคนก็มีความสุข
เหมือนสีสันต่างสีที่เติมเต็มให้แก่กันและกัน จนกลายเป็นความรักที่ไม่เสื่อมคลาย
และไม่อาจตัดขาดจากกันได้อีกแล้ว

Unn

  • บุคคลทั่วไป
Re: Red Rose < By Foggy >
«ตอบ #25 เมื่อ01-02-2008 02:17:49 »

 :m22:Chapter 11 First Mission

วันนี้เป็นวันแรกของการเข้าสู่ชีวิตชั้น ม.ปลาย ไทกิยืนมองตัวเองในกระจกเงาบานใหญ่
ดูกี่ทีๆก็ยังหงุดหงิดใจไม่หาย เครื่องแบบโรงเรียนรินคังเป็นสีกรมท่า ของปีหนึ่งจะติดดาวหนึ่งดวง
ไว้บนปกเสื้อด้านขวา จะว่าเท่ก็เท่อยู่หรอก แต่มันยุ่งยากพิลึก
โดยเฉพาะไอ้เนคไทกับเสื้อนอกที่คล้ายสูทเนี่ย ร้อนจะตายชัก…

“โว้ย!!! ไม่เอาแล้ว”
อีกคนที่หมดความอดทนไปแล้ว ก็ปาเนคไทลงบนเตียงอย่างไม่ใยดี มันปลดกระดุมเสื้อด้านบน
ออกสองสามเม็ด ชายเสื้อก็หลุดลุ่ยไม่เรียบร้อย ไทกิขยับยิ้มกว้าง
 อย่างน้อยก็ยังมีอีกคนที่ความอดทนสั้นเหมือนเค้า แล้วเค้าจะทนฝืนผูกเนคไทบ้าบอนี่อยู่ทำไมล่ะเนี่ย

“เฮ้อ…”
รูมเมทผู้แสนรู้อีกคนถอนใจด้วยความเหนื่อยหน่าย เบือนหน้ามองนาฬิกาบนโต๊ะหนังสือ
ใกล้จะแปดโมงอยู่แล้ว แต่พวกมันก็ยังแต่งตัวไม่เสร็จซะที

“พอเถอะไทกิ… ฉันว่าไปทั้งแบบนี้ ก็ไม่ทำให้นายกับฉันเรียนโง่ลงหรอก กะแค่ไปเรียนหนังสือ
ทำไมจะต้องประดิดประดอยอะไรนักหนา ไม่ใช่โรงเรียนสตรีนะเฟ้ย”

ฮิโระขยับตัวเข้ามาโอบไหล่เพื่อนซี้ ไทกิก็พยักหน้าเห็นชอบด้วย แต่อีกคนที่กำลังโมโหยิกๆ
พอได้ยินคำพูดกวนโมโหก็ยิ่งหงุดหงิดจนต้องเดินมาช่วยสงเคราะห์ให้

“นายไปเรียนกับฉันดีกว่าไทกิ” คาโอรุคว้าตัวเพื่อนซี้กลับมา ก่อนจะจัดการผูกเนคไท
ให้อย่างคล่องแคล่ว
“ขืนนายไปเรียนกับไอ้หมอนี่ มีหวังชีวิตได้บ้าดักดานเหมือนมันแน่”

“ต้องฉลาดแล้วชอบแส่เรื่องชาวบ้านเหมือนนายงั้นสิ ถึงจะเรียกว่าเป็นนักเรียนดีเด่น” ฮิโระสวนทันควัน
 “งั้นฉันก็ขอเป็นไอ้บ้าต่อไปดีกว่า ขืนให้ทำตัวขี้เต๊ะอย่างนายมีหวังคงคลั่งตายสักวัน”

“นักฆ่าไร้สมองอย่างนายก็คิดได้แค่นี้แหละ”

“ว่าไงนะ ไอ้ขี้จุ๊ย!!” ฮิโระตวัดมีดพกขู่ แต่คาโอรุก็ไวหลบได้อย่างคล่องแคล่ว

“อย่าคิดว่าฉันกลัวนายนะฮิโระ ถ้าอยากตายนักก็เข้ามาเลย!”
มันสองคนทำท่าจะเปิดศึกดวลกันกลางห้อง ไทกิได้แต่ถอนใจ แต่จะไม่ห้ามก็ไม่ได้
พวกมันตายน่ะยังไม่เท่าไหร่ แต่ถ้าเกิดข้าวของของหอพักพังเสียหายไป
ไม่รู้ยาจกอย่างเค้าจะมีปัญญาหาเงินมาชดใช้หรือเปล่า งั้นถึงจะฝืนใจแต่ก็คงต้องห้ามซะหน่อย

“พอเถอะน่า… ฮิโระ คาโอรุ” ไทกิโอบไหล่เพื่อนซี้ทั้งคู่เข้ามาหาตัว “ไปด้วยกันทั้งหมดนี่แหละ
ไหนๆพวกเราก็ลงเรือลำเดียวกันแล้ว ปรองดองกันไว้ไม่ดีกว่าเหรอ แล้วก็นะ… คาโอรุ
ช่วยสงเคราะห์เจ้าฮิโระมันหน่อยเหอะ ขืนประธานปีหนึ่งไปเรียนในสภาพนี้ล่ะก็ เพื่อนๆคงหมดศรัทธาเราแน่”

“ไม่เอา!!”
พวกมันประสานเสียงปฏิเสธพร้อมกัน ก่อนจะสะบัดหน้าไปคนละทาง ไทกิใช้ไม้ตายส่งสายตากระพริบปริบๆอ้อนวอนเพื่อนที่มีหัวคิดมากกว่า

“เออ… ก็ได้” คาโอรุกัดฟันรับปาก แล้วเดินไปหยิบเนคไทมาคล้องคอไอ้ตัวแสบ

“ไม่ต้องมาทำดี… โอ๊ย!!” ฮิโระร้องลั่น ตอนที่คาโอรุแกล้งกระตุกเนคไทรัดคอ

“ฟังนะไอ้นักฆ่าปลายแถว ไทกิพูดถูกแล้ว แกเป็นหน้าตาของพวกเรากลุ่มสมาชิกพิเศษปีหนึ่ง
เพราะฉะนั้นอย่ามาทำตัวชุ่ยๆให้ฉันกับไทกิขายหน้า”

ฮิโระเถียงไม่ออก ไม่ใช่เพราะโดนมันรัดคอจนพูดไม่ออก แต่เห็นหน้าเพื่อนอีกคน
ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกเลยไม่อยากเถียงมากกว่า จึงยอมยืนนิ่งๆสงบเสงี่ยมให้มันผูกเนคไทให้แต่โดยดี

“ตาน่ะมองไปไหน มองที่มือฉันนี่ ต่อไปฉันไม่สอนให้แล้วนะ วันหลังพวกนายต้องผูกเอง เข้าใจมั้ย”

“เฮ้ย… งั้นก็ช้าๆเด่ะ ใครมันจะไปดูทันเล่า”
ฮิโระโวยลั่น จนคาโอรุต้องยอมเหนื่อยคลายออกมาสอนใหม่ และกว่าพวกมันจะเข้าใจก็เล่นซะสายโด่ง
จนเข้าเรียนไม่ทัน แถมชั่วโมงแรกยังโชคร้ายเป็นวิชาภาษาอังกฤษของอาจารย์ซายะซะด้วย
สามเกลอแห่งหอไฟ เลยถูกทำโทษตั้งแต่วันแรกในการก้าวเข้าสู่ชีวิต ม.ปลาย ที่ไม่โสภาเอาซะเลย

“โอ๊ย… มันอะไรกันนักกันหนาเนี่ย”
ฮิโระบ่นอุบ มองตารางงานของสมาชิกพิเศษที่หนาเป็นปึกพร้อมกับทำหน้าเหยเก ก่อนจะผลัก
ไปกองใส่หน้าคาโอรุ แล้วจัดการเขมือบไก่ทอดในจานต่อ

ช่วงพักกลางวัน พวกเค้าไปกินข้าวที่โรงอาหารกลาง เจอกับรุ่นพี่ยูที่ขนตารางงานมาแจกเป็นปึก
แถมยังนัดเวลาประชุมสมาชิกหลังเลิกเรียนด้วย

“ฉันตัดสินใจแล้ว ฉันจะลาออก” ฮิโระบอกอย่างมุ่งมั่น ทั้งที่ยังเคี้ยวไก่ทอดเต็มปาก

“ไอ้ขี้แพ้เอ๊ย” คาโอรุยิ้มเยาะ เล่นเอาอีกคนที่กำลังจะยกมือสนับสนุนขอระเห็จตัวเองออกจากสภาด้วย
 ต้องหุบปากนิ่ง

“ใช่… พวกกระจอกออกไปน่ะดีแล้ว คนอื่นที่เค้าอยากทำงานจริงจังจะได้มีโอกาสโชว์ฝีมือบ้าง ไม่ใช่ให้พวกบ้านนอกดีแต่เปลือกขึ้นมาชูคอ”

คำสบประมาทที่ลอยลิ่วมาพร้อมหน้ากวนโอ๊ยของยาซาว่า ทาเคอิ และแก๊ง
 เดินมาล้อมโต๊ะของพวกไทกิเอาไว้ สามสหายเงยหน้าไปมองแวบเดียว ก่อนจะก้มหน้าก้มตากินต่อ

“ฉันว่าถ้ามีเงินเดือนงามๆสักหน่อย มันก็น่าสนอยู่หรอก แต่นี่เล่นใช้งานฟรี ใครมันจะโง่อยากทำ”
 ฮิโระยังบ่นต่อ

“งานที่มีเกียรติ ไม่จำเป็นต้องมีค่าตอบแทนเสมอไป” คาโอรุเปรยสั่งสอนมันไปอีกยก

“แล้วเกียรติมันช่วยให้กินอิ่มท้องได้หรือเปล่า” นักฆ่ายังเถียงไม่เลิก

คาโอรุยิ้มบางๆ “ฉันก็เพิ่งรู้นะว่าบ้านโซมะยากจน เห็นทำงานเสี่ยงตายกันงกๆ ที่แท้ก็ไส้แห้ง”

เพล้ง!!

บรรดาจานอาหารของสามเกลอถูกทึ้งลงบนพื้น แตกเพล้งๆประสานเสียงกันอย่างโหยหวนที่สุด
 ฮิโระเบิกตากว้าง มองไก่ทอดชิ้นสุดท้ายลอยละลิ่วโหม่งพื้นไปต่อหน้าต่อตา

“บังอาจเมินฉันเหรอ!” ทาเคอิกระชากคอเสื้อไทกิที่อยู่ใกล้ที่สุดขึ้นมา
“ขยะอย่างพวกนายน่ะหัดเจียมกะลาหัวไว้บ้าง อย่ามาสะเออะเทียบรัศมีกับฉัน”

ดวงตาสีเลือดของกุหลาบแดงวาววับ จิตสำนึกอย่างนักล่ากำลังจะหวนคืน
แต่ก่อนที่เค้าจะลืมตัวใช้วิชาเก่าทำร้ายใคร ไอ้พวกลูกน้องของทาเคอิสิบกว่าคน
 จู่ๆก็ล้มสลบเหมือดคาที่ โดยที่ยังไม่มีใครรู้ตัวด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้น

“คนกำลังกินข้าว มาเห่าข้างหูอยู่ได้ น่ารำคาญชะมัด”
คาโอรุสะบัดพัดดังพรึ่บ พัดกระดาษที่ไทกิคิดว่ามันหยิบมาพัดแก้ร้อนเล่นเฉยๆ กลับเป็นอาวุธสังหาร
ซัดไอ้พวกนี้จนสลบเหมือด พอมองกลับมาหาตัว มือของเจ้าทาเคอิที่จับคอเสื้อของเค้าอยู่ก็สั่นระริก
พอไทกิมองไล่ลงไปจนถึงตัวมัน ก็รู้สาเหตุว่าอะไรที่ทำให้คนจองหองอย่างทาเคอิถึงกับเสียมาด
สั่นอย่างกะลูกหมา

มีดเงินคมปลาบ… จ่อประชิดหอคอย เรื่องความคมรับประกันได้ เพราะมันเล่นฟันหนังสือของเจ้าทาเคอิ
ระบายอารมณ์ไปยกนึงแล้ว รอยเฉือนเรียบกริบงดงามไร้ที่ติ ตาสีทองของนักฆ่ากำลังเดือดพล่าน
 ก่อนจะหลุดคำเปรยที่ทุกคนฟังแล้วต้องใจหาย

“ไก่ทอด”
ฮิโระจ้องหน้าทาเคอิเขม็ง ราวกับเห็นหน้าศัตรูที่ฆ่าพ่อ

“เอาของฉันคืนมานะเฟ้ย!”
หมดกัน…

ไทกิยกมือกุมขมับ ก็พอจะรู้อยู่หรอกว่าเจ้าฮิโระมันบ้า แต่ไม่คิดว่ามันจะบ้าได้ขนาดนี้
แค่ไก่ทอดชิ้นเดียวทำท่าจะเป็นจะตายอย่างกับโดนปล้น

“เฮ้อ… ไอ้บ้ามันก็ยังเป็นไอ้บ้าอยู่วันยังค่ำ” คาโอรุส่ายหน้าด้วยความระอาใจเป็นที่สุด
แต่ก็ยังขยับรอยยิ้ม แล้วหันไปจ้องหน้าขู่ทาเคอิด้วยอีกคน “แต่ถึงยังไงคนบ้าก็ยังน่าคบกว่าพวกปัญญานิ่ม”

“พะ… พวกนายคิดจะทำอะไร รู้มั้ยว่าพ่อฉันเป็นใคร พวกนายไม่ได้ตายดีแน่”

ทาเคอิพยายามจะขู่กลับบ้าง มือสั่นๆหล่นจากคอของไทกิแล้ว ฮิโระเก็บมีดพก
เพราะรู้ว่าคงไม่จำเป็นต้องใช้อีก แต่เปลี่ยนมาหักข้อนิ้วกร๊อบๆบริหารมือแทน

“พวกที่อาศัยแต่บารมีพ่ออย่างนาย ไม่มีทางเจริญหรอกไอ้ลูกแหง่ ถ้าอยากจะยิ่งใหญ่
นายก็ต้องยิ่งใหญ่ด้วยความสามารถของนายเอง ไม่ใช่คอยเกาะบารมีคนอื่น!”

พอด่าระบายอารมณ์จบปุ๊บ ฮิโระก็เสยหมัดขวาตรงแถมให้ หน้าหล่อๆของทาเคอิบิดเบี้ยว
แล้วลอยลิ่วๆลงไปกองรวมกับพวกที่สลบเหมือดก่อนหน้านั้นแล้ว

“คนบ้าอย่างนายรู้จักใช้คำพูดหรูๆก็เป็นด้วย” คาโอรุแกล้งแซว “ถึงฉันจะไม่ค่อยชอบนายนะฮิโระ
 แต่อย่างน้อยก็ชอบมากกว่าไอ้พวกนั้น”

“เออ… ไอ้นิสัยพูดวกวนไปวนมาอย่างนายก็เลิกเหอะ ฟังแล้วรำคาญหู พูดง่ายๆเหมือนที่ชาวบ้านเค้าพูด
 มันลำบากนักหรือไงฟะ คาโอรุ”

“ก็นิดหน่อย” คาโอรุไหวไหล่

“เอาน่า… พวกนายเข้าใจกันก็ดีแล้ว” ไทกิเข้ามาโอบไหล่เพื่อนๆ โชคดีที่ครั้งนี้เค้าไม่ต้องลงมือเอง
ไม่งั้นคงต้องมีคนตายสังเวยตั้งแต่วันแรกของการเปิดเทอมแน่

“ใครเข้าใจมัน ฝันเหอะ… ฉันไปหาอะไรกินต่อดีกว่า ยิ่งโมโหก็ยิ่งหิวว้อยยย!” ฮิโระเดินหนีไปที่เคาน์เตอร์
 สั่งอาหารมาเพิ่มอีกหลายชุด

ไทกิเหลือบตาไปมองอีกคนที่กำลังส่ายหน้า

“นายก็อย่ามาหวังอะไรกับฉันนักเลยไทกิ ถึงยังไงฉันก็ไม่ชอบขี้หน้าเจ้าฮิโระ ถ้าจะให้เป็นเพื่อนกับมัน
ฉันยอมกัดลิ้นตัวเองตายดีกว่า” คาโอรุเก็บตารางงานที่พี่ยูเอามาให้กวาดลงกระเป๋า
จากนั้นก็เดินหนีไปหมกตัวอยู่ในห้องสมุดตลอดทั้งบ่าย

ไทกิมองสองเพื่อนรักแล้วก็ขยับรอยยิ้ม มันสองคนถึงจะปากแข็ง แถมขี้เต๊ะพอกันทั้งคู่
 แต่ความจริงความสัมพันธ์ของทั้งสองคนกำลังก่อตัวเป็นเส้นใยบางๆเชื่อมโยงระหว่างกัน
เส้นใยที่เรียกว่า… เพื่อนแท้

ปิ๊งป่อง…
เสียงจากรายการเสียงตามสายของโรงเรียนในช่วงหลังเลิกเรียน ถูกคั่นด้วยประกาศด่วน

‘นักเรียนปีหนึ่ง ไทกิ โนมูระ และ ฮิโระ โซมะ ขอเชิญที่ห้องคณะกรรมการพิเศษเดี๋ยวนี้ด้วยครับ
ประกาศย้ำ… ไทกิ โนมูระ…’

เสียงประกาศวนซ้ำไปซ้ำมาเป็นสิบเที่ยว ทำเอาคนที่มัวแต่นั่งเล่นเกมในห้องคอมจนลืมประชุมสำคัญ
สะดุ้งจนเกือบตกจากเก้าอี้ ไทกิหันมองคู่ซี้ที่นั่งตัวแข็งทื่ออยู่ข้างๆ แล้วเหลือบมองนาฬิกาบนฝาผนัง

หกโมงเย็น!

พระเจ้า! พระเจ้า! พระเจ้า!

คณะกรรมการพิเศษมีนัดประชุมตอนบ่ายสามโมง แต่นี่ปาเข้าไปตั้งหกโมงเย็นแล้ว
มีหวังโดนพวกรุ่นพี่ยำเละแน่

“นายทำอะไรน่ะ ฮิโระ?” ไทกิถามตอนที่เดินไปด้วยกัน แล้วเห็นมันเอาผ้าร้อนๆมาถูหน้าและโปะหน้าผาก
ก็เลยสงสัย

“ฉันจะบอกรุ่นพี่ว่าเป็นไข้ นอนซมอยู่ในห้องพยาบาลตลอดทั้งบ่ายเลย” คนกะล่อนยักคิ้วแผล็บ
ก่อนจะเพิ่มดีกรีความร้อนโดยการกระโดดโลดเต้นไปมาตลอดทาง

ไทกิส่ายหัวในความปัญญาอ่อนของมัน ก่อนจะดึงผ้าร้อนสามสี่ผืนที่มันอุตส่าห์เอาไปอุดหน้า
จนหายใจแทบไม่ออกทิ้งลงถังขยะ

“เฮ้ย!” ฮิโระรีบท้วง

“มันไม่เวิร์คหรอกเพื่อน วิธีนี้ตบตาคนอื่นไม่ได้หรอก ที่สำคัญ… เจ้าคาโอรุมันก็รู้ด้วยว่านายไม่ได้ป่วย”

“เออ… ก็จริง” ฮิโระทำหน้าสลด แล้วเดินคอตกก้มหน้าก้มตารอรับชะตากรรมต่อไป

ห้องคณะกรรมการพิเศษอยู่ที่ตึกสโมสรนักเรียน ที่นี่เป็นศูนย์รวมของชมรมต่างๆ แต่ห้องคณะกรรมการพิเศษ
ได้รับอภิสิทธิ์สูงสุด ยึดห้องชั้นบนที่โอ่อ่าที่สุดเป็นฐานทัพ

ไทกิกับฮิโระยืนเกร็งอยู่หน้าห้องคณะกรรมการ เหมือนกำลังจะโดนโทษประหารชีวิต
ทั้งคู่ตัดสินใจหมุนลูกบิดประตูแล้วแง้มออกช้าๆ

ภายใต้พระอาทิตย์โพล้เพล้ที่ส่องเข้ามาทางหน้าต่าง ทอดให้เห็นเงาร่างผอมบางกำลังนั่งอ่านหนังสืออย่างสงบที่โต๊ะตัวกลาง ไทกิกวาดสายตาไปรอบๆก็ไม่เห็นคนอื่น ก็แหงล่ะ… ป่านนี้แล้วใครมันจะอยู่รอพวกเค้า นอกจากไอ้บ้าที่ยังนั่งเป็นหัวหลักหัวตออยู่กลางห้องนั่น

“ไง” คาโอรุทักทาย พร้อมกับส่งรอยยิ้มมาให้ ไทกิเลยต้องรีบปราดเข้าไปถามด้วยความสงสัย

“นี่… เค้าประชุมกันเสร็จนานแล้วเหรอ”

“ก็ตั้งแต่ตอนที่ฉันประกาศเรียกพวกนายนั่นแหละ”

“ปั้ดโธ่! ประชุมเสร็จแล้วก็ไม่บอก แล้วจะเรียกพวกเรามาอีกทำไมฟะ” เจ้าฮิโระบ่นขรม
ตาสวยๆของคาโอรุเหลือบไปมองคู่อริ พร้อมกับเหยียดรอยยิ้มเยาะเย้ย

“ฉันอุตส่าห์เป็นตัวแทนมานั่งประชุมให้พวกนายแล้ว ยังต้องคาบข่าวไปบอกพวกนายถึงหอด้วยเหรอ
อย่างน้อยก็น่าจะมีน้ำใจเดินมารับกันบ้าง”

คำปรารภของคาโอรุทำเอาฮิโระถึงกับหนังตากระตุก ก่อนจะโน้มเข้าไปกระซิบกับเพื่อนซี้อีกคน

“ไอ้หมอนี่มันโรคจิตหรือเปล่าวะ”

“ช่างเค้าเถอะน่า… เราผิดนะ ก็ยอมๆคาโอรุมันหน่อยเหอะ” ไทกิปรามฮิโระ
ก่อนจะปราดเข้าไปกอดคออ้อนคาโอรุ “ว่าแต่… ประชุมแล้วได้ข้อสรุปอะไรมั่ง”

คาโอรุหยิบกระดาษโน้ตที่จดสรุปรายงานการประชุมให้พวกมันคนละแผ่น
ไทกิก็รีบกวาดสายตาอ่านอย่างรวดเร็ว

ภารกิจแรกสำหรับสมาชิกใหม่
‘ภารกิจชิงของรัก’

“โห… แค่ชื่อภารกิจก็เลี่ยนจนสุดจะทนแล้วนะเนี่ย” ไทกิเกาหัวแกรกๆ

‘สมาชิกใหม่ปีหนึ่ง จะต้องชิงของรักสามอย่างจากสามผู้พิทักษ์หอลม ไม่มีข้อมูลของเป้าหมาย
ต้องใช้ความสามารถของตัวเองผ่านด่านทดสอบและชิงของรักจากผู้พิทักษ์ให้ได้
เริ่มปฏิบัติภารกิจตั้งแต่ 00.00 น. จนถึง 06.00 น. ถ้าภายในกำหนดเวลายังไม่สามารถล่าของเป้าหมาย
ได้ จะถือว่าภารกิจล้มเหลว และสมาชิกใหม่ต้องได้รับการลงโทษจากผู้พิทักษ์อย่างไม่มีข้อแม้’

“แล้วไอ้สามผู้พิทักษ์หอลมนี่ใครกัน?” ฮิโระอ่านจบก็เงยหน้าขึ้นมาถาม

“ก็ต้องเป็นสมาชิกพิเศษของปีสองอยู่แล้ว ของแค่นี้ไม่น่าถาม” คาโอรุได้ช่องก็รีบสวนขวับ
แต่ยังดีที่มันไม่ต่อด้วยคำว่า ‘งี่เง่า’ ไม่งั้นคงได้ตะลุมบอนกันเองก่อนเริ่มภารกิจแน่

“แสดงว่าคืนนี้เราต้องบุกหอลม แล้วไปชิงของเป้าหมายที่ไม่รู้ว่าเป็นอะไรงั้นเหรอ” ไทกิสรุป

“อันที่จริงฉันว่าเค้าต้องการทดสอบเราตัวต่อตัวมากกว่า ไม่งั้นก็คงไม่ตั้งเงื่อนไขแบบนี้หรอก”
เพื่อนผู้รอบรู้ช่วยขยายความ อีกสองคนเลยรีบขยับเข้าไปฟังใกล้ๆ ฮิโระเงื้อแขนไปโอบไหล่ข้างที่เหลือ
ของคาโอรุบ้าง

“ช่วยพูดให้มันกระจ่างหน่อยซิไอ้คนฉลาด แต่ขอแบบย่อๆนะ น้ำไม่ต้อง”

“นายไม่ติดใจบ้างเหรอ ถ้าเค้าตั้งใจจะทดสอบเราเป็นทีมก็น่าจะให้ชิงของแค่อย่างเดียว
และคงระบุเป้าหมายให้ชัดเจนกว่านี้ หรืออย่างน้อยก็น่าจะทิ้งคำใบ้อะไรไว้บ้าง แต่นี่กลับไม่มีอะไรเลย
 บอกแค่ว่าของสามสิ่งจากสามผู้พิทักษ์ แสดงว่างานครั้งนี้ตัวต่อตัว จับคู่ลุยเดี่ยว
ตัดสินกันด้วยความสามารถของตัวเองล้วนๆ”

คำอธิบายของคาโอรุฟังดูมีเหตุผล จนเพื่อนอีกสองคนเริ่มคล้อยตาม
“ถ้าอย่างนั้น เราก็ไม่รู้สิว่าเราจะได้ดวลกับใคร” ไทกิออกความเห็นบ้าง แต่คาโอรุก็หันมาทางเค้าช้าๆ
พร้อมกับถอนใจ

“สำหรับนายฉันรู้แล้วไทกิ ว่านายจะได้ดวลกับใคร”

“หา! นายรู้แล้วเหรอ” ไทกิทำหน้าระริกระรี้ รีบเกาะแขนอ้อนเพื่อนซี้ใหญ่ “ใครเหรอ?”

“ถ้านายหวังจะได้ดวลกับพี่ซุยล่ะก็ ขอแสดงความเสียใจ”
คำบอกเล่าจากเพื่อน ทำให้หน้าระริกระรี้ของไทกิหุบสนิท

“เมื่อกี้… ก่อนที่พวกนายจะเข้ามาเดี๋ยวเดียว พี่มิสึกิบอกฉันว่าถ้าส่งไทกิไปให้เค้า
เค้าจะยอมมอบของเป้าหมายให้ทันที แล้วนายคิดว่ามันจะหมายความว่าไงล่ะ”

ไทกิเบ้หน้า… แบบนี้มันท้าทายกันชัดๆ อุตส่าห์หลงคิดว่ามิสึกิจะเป็นคนดี
 ที่แท้ก็เล็งเค้าไว้เป็นเป้าหมายตั้งแต่แรก โธ่เอ๊ย… รู้งี้ไม่น่าไปหลงคารมมันเลย พับผ่าสิ

มืออุ่นๆของเพื่อนอีกคนเอื้อมข้ามจากไหล่คาโอรุมาตบหัวดังป้าบ จนคนที่กำลังเครียดหายเครียดทันตาเห็น

“นายจะกลุ้มไปทำไมว้า น่าจะดีใจด้วยซ้ำนะไทกิ เพราะในสามคนนั้นท่าทางมิสึกิจะอ่อนที่สุด
ฉันนี่สิต้องกลุ้ม ถ้าเกิดซวยไปเจอะรุ่นพี่ซุยของนายเข้าล่ะก็ มีหวังเละ” ว่าแล้วมันก็ทำท่าขนลุกขนพอง
 จนไทกิต้องแอบอมยิ้มในความกะล่อนของมัน

“แต่ฉันไม่คิดอย่างนั้น” คาโอรุยังเครียดไม่เลิก “ในสามคนนั้น… ฉันมีข้อมูลเกี่ยวกับความสามารถของมิสึกิ
น้อยที่สุด หรือจะเรียกว่าแทบไม่มีเลยก็ได้ เค้าเก่งแค่ไหน มีความสามารถแบบไหน
แทบจะประเมินไม่ได้เลย ขืนสุ่มสี่สุ่มห้าไปสู้กันตัวต่อตัวมันก็เสี่ยงเกินไป”

“นายก็คิดมาก ยังไงศึกครั้งนี้เราก็เลี่ยงไม่ได้อยู่แล้ว คิดให้มันเป็นเรื่องสนุกไม่ดีกว่าหรือไงเพื่อน”

คาโอรุมองเขม่นฮิโระ “ฉันถึงบอกไงล่ะ ว่านายมันงี่เง่า ฮิโระ”

นั่นไง… แล้วก็หลุดออกมาจนได้ ไอ้คำต้องห้ามเนี่ย… ไทกิแอบกุมขมับเงียบๆ
หน้าขับสีเลือดฝาดของนักฆ่าหนุ่มเริ่มมีเลือดร้อนระอุฉีดซ่าน แขนที่เดิมทีกะจะโอบไหล่ด้วยความพิศวาส
 ก็เปลี่ยนเป็นล็อกคอมันแทน

“พูดใหม่อีกทีซิคาโอรุ อย่างแกมันเก่งแค่ไหนเชียว ถึงเที่ยวไปประเมินชาวบ้านเค้าฉอดๆ ฉันจะบอกอะไรให้นะ ในชีวิตจริงถึงไม่รู้ความสามารถของเป้าหมาย แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากันก็ต้องสู้ทั้งๆที่ไม่รู้นั่นแหละ”

“ก็นั่นแหละ… ฉันถึงบอกว่านายมันงี่เง่า รู้เค้ารู้เรายังไงโอกาสชนะก็มีมากกว่า ขืนนายยังทำตัวเหลาะแหละประเมินคู่ต่อสู้ไม่เป็นแบบนี้ล่ะก็ ต่อไปนายจะต้องตายเพราะอาชีพตัวเอง รู้ไว้ด้วย!”

“ไอ้คาโอรุ!!”
ฮิโระสวนหมัดจะจวกเข้าปลายคางคู่แค้น แต่มือเล็กๆก็ไวพอกัน ยกขึ้นมาตั้งการ์ดรับไว้ได้ทันท่วงที

“มาพนันกับฉันมั้ยล่ะฮิโระ ภารกิจคราวนี้ถ้านายล้มเหลว ต้องเป็นเบ๊หนึ่งอาทิตย์ ยอมทำตามคำสั่งฉันทุกอย่าง กล้ามั้ย?”

นักฆ่าไหวไหล่ “ไม่กลัวอยู่แล้ว ฉันยินดีรับคำท้าของนาย แต่ถ้านายแพ้ล่ะ”

“ถ้าฉันทำภารกิจล้มเหลวก็จะยอมเป็นทาสนายหนึ่งอาทิตย์เหมือนกัน แต่ถ้าเราทำสำเร็จหรือเกิดล้มเหลว
ทั้งคู่ก็ถือว่าเจ๊า”

“โอเค”
ทั้งสองตบมือทำสัญญา งานนี้ไม่ใช่แค่ต้องแข่งกับรุ่นพี่เท่านั้น แม้แต่ในกลุ่มเพื่อนก็ยังต้องแข่งขันกันเองด้วย
ไทกิได้แต่แอบมองอยู่เงียบๆ กลิ่นไอวันเก่าของคำว่า ‘เพื่อน’ กำลังย้อนกลับมาในจิตใต้สำนึกอีกครั้ง
เมื่อก่อนเค้ากับเพื่อนคนหนึ่งก็ต้องแข่งขันกันมาตลอดตั้งแต่เด็ก
เพื่อนเพียงคนเดียวในโลก

…เซกิ…
ป่านนี้หมอนั่นจะเป็นยังไงบ้าง ไม่รู้เลย…

“นี่… ไปหาอะไรกินกันเหอะ ฉันหิวแล้ว” เสียงจากฮิโระจอมตะกละเรียกสติไทกิกลับมาอีกครั้ง

“นายยังมีแก่ใจกินอีกเหรอ ภารกิจคืนนี้จะเจออะไรบ้างก็ไม่รู้ หัดเครียดไว้บ้างสิ” คาโอรุอดเหน็บไม่ได้
หายใจเข้ามันก็เรียกหาแต่ของกิน หายใจออกก็ของกิน น่าหมั่นไส้

“กองทัพต้องเดินด้วยท้องเฟ้ย ไม่กินตุนไว้เยอะๆแล้วจะคิดหาทางรับมือรุ่นพี่ได้ไง” คราวนี้ฮิโระ
ฉุดแขนเพื่อนทั้งสองคนเข้ามาคล้องคนละข้าง “ไปประชุมต่อที่โรงอาหารดีกว่าน่า
 กินไปวางแผนไปก็ได้ ฉันยอมเลี้ยงนายด้วยก็ได้เอ้า คาโอรุ”

“พูดเองนะ” คาโอรุยักคิ้วกริ่ม ก่อนจะยอมให้มันลากไปโรงอาหาร

เย็นวันนั้น… ทั้งสามคนก็ใช้เวลาประชุม (เถียง) กันต่ออีกพักใหญ่
ก่อนจะแยกย้ายกันไปเตรียมสัมภาระสำหรับภารกิจแรกในค่ำคืนนี้

ออฟไลน์ มูมู่น้อย

  • Global Moderator
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2623
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +468/-12
Re: Red Rose < By Foggy >
«ตอบ #26 เมื่อ01-02-2008 05:55:21 »

555 คู่กัด  อาโออิ กับ ฮิโระ  แอบรักกันป่าวเนี่ย

เรื่องนี้เป็นแนวแฟนตาซีอีกเรื่องนึงที่ชอบมากเลย  ชอบพล๊อตกับแนวการดำเนินเรื่อง  สนุก น่าติดตาม
ถ้าไม่ลงพวก NC มากไปหน่อย  กับตัวละครไม่ดูจับคู่ชายกับชายมากเกินไป  จะเยี่ยมเลย

รออ่านต่อน้า  Unn นึกว่าหายไปซะแล้ว  :oni2:  :oni2:

ออฟไลน์ Poes

  • คนแรกของหัวใจ คนสุดท้ายของชีวิต
  • Administrator
  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 11342
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2405/-22
Re: Red Rose < By Foggy >
«ตอบ #27 เมื่อ01-02-2008 06:23:54 »

 :m4:  ตามอ่านทันแล้ว  o13 สนุกมาก รออ่านต่อนะ  :m1: :m1:

ออฟไลน์ ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น

  • Administrator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6853
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1320/-22
Re: Red Rose < By Foggy >
«ตอบ #28 เมื่อ03-02-2008 17:11:39 »

ตกลงที่ซุยทำลงไปทั้งหมดนี่จะเพราะหน้าที่หรือหัวใจนะ
ถ้าไม่พูดไม่ทำลงมาให้ชัดเจน ต่อไปคงได้มีศึกล้างเลือดเกินขึ้นแน่
และไทกิคงต้องกลับมาอยู่เหงาคนเดียวอีกแน่ จากที่ไทกิ ชอบอกชอบใจการไปเที่ยวดูพลุ
แสดงว่าเป็นคนเหงามากคนหนึ่ง ถ้าต้องมาโดนคนที่รักและเคารพตัดความสัมพันธ์ที่ผ่านมา
ไม่มีค่าอะไรเลยนี่คงแย่แน่ๆ ถ้าไม่ชอบโนะอิ ก็น่าจะตัดกันไปแต่แรกๆ
ยิ่งกลัวไม่กล้ายิ่งยืดเยื้อแน่ๆ


ดูความสัมพันธ์ของตัวยู ฮาโตรุ และโมโมรุ คงเป็นแค่ในฝันของพวกชอบสวิงกี้เป็นแน่
ยากแท้จะมีใครยอมใครได้ขนาด ในเมื่อเลือกไม่ได้เลยทรีซัมไปเลย
 :m25: :m25: :m25:

แต่เอ๊ะ มิสึกิ คิดอะไรอยู่นะ ถึงได้เรียกไทกิไป หรือจะล้วงความลับอะไรไทกิกันแน่
งานนี้ซุยจะต้องออกโรงมาระวังเพื่อนเองหรือปล่าว กลายเป็นเพื่อนรักหักเหลี่ยมโหด
อิอิ
 :mc2: :mc2: :mc2:

คนเก่งเรานี่เอง ตามมาให้กำลังใจครับ

รีบๆมาโพสนะครับ รออ่านอยู่

เรื่องสนุกมากๆตามลุ้นทุกฉากทุกตอนเลยครับ
โพสที่ละตอนแต่สม่ำเสมอดีกว่านะครับ
คนอ่านจะได้ไม่ตกใจและตามอ่านทันนะครับ อิอิ

ถ้าเป็นไปได้ก็แก้ไขรีแรก กด modify หัวเรื่องว่าupdate ล่าสุดวันที่อะไร พอเห็นคนมาอัพเดทสม่ำเสมอ
เด่วก็ตามเข้ามากันเองหล่ะครับ


 :oni2: :oni2: :oni2: :oni2:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03-02-2008 21:17:53 โดย b|ueBoYhUb »

ออฟไลน์ มูมู่น้อย

  • Global Moderator
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2623
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +468/-12
Re: Red Rose < By Foggy >
«ตอบ #29 เมื่อ04-02-2008 19:57:57 »

มาดันอีกรอบ  :m4:
เรื่องนี้เป็นเรื่องแนวแฟนตาซีที่ชอบมากเลย  แต่งได้ดีมาก น่าติดตามทุกตอน  o13

คนโพส  พยายามเอามาลงให้สม่ำเสมอนะ สู้ๆ  ไม่อยากให้เรื่องนี้หายไปนะ  ชอบเรื่องนี้ เสียดาย :a2:  :a2:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด