Dormitory boys – สะดุดรัก หอพักอลเวง
"รัก...ติดดิน"Chapter 3 – เรื่องคืนนั้น::Pinyok’s POV::
ง่วง.....
ง่วงโคตร!
และอากาศครึ้ม ๆ ยามเช้าในช่วงต้นฤดูฝนแบบนี้ก็ทำให้ผมรู้สึกเหมือนหัวตัวเองมีน้ำหนักสักหนึ่งตันเศษ...ซึ่งสักครึ่งตันคงจะเป็นน้ำหนักของเปลือกตาซ้าย อีกครึ่งตันเป็นข้างขวา เหลือเศษเป็นน้ำหนักสมองและกะโหลก โอเค ผมเวอร์ไป แค่อยากจะบอกว่าง่วงมาก หัวจะปักพื้นทั้งที่กำลังเดินเข้าโรงเรียนอยู่แล้ว
เมื่อคืนกว่าจะได้นอนก็ปาเข้าไปตีสอง ปกติผมเป็นเด็กอนามัยดีนะครับ นอนไม่เกินเที่ยงคืน และกิจวัตรประจำวันคือตื่นตีสี่มาช่วยพี่เอมเตรียมวัตถุดิบทำเค้กกับทำความสะอาดร้านให้ทันเปิดให้บริการเวลาแปดโมง ทุกครั้งก็จะก้ม ๆ เงย ๆ อยู่ในครัวจนถึงประมาณตีห้ากว่า ๆ ออกมาจัดโต๊ะเก้าอี้ดูความเรียบร้อยในร้านถึงหกโมง อ่านหนังสือเตรียมบทเรียนล่วงหน้าอีกสักหนึ่งชั่วโมงแล้วค่อยอาบน้ำแต่งตัวเตรียมไปโรงเรียน
ส่วนตอนเย็นเลิกเรียนปุ๊บก็จะตรงดิ่งกลับมาช่วยงานที่ร้านเลย ไม่มีแวะเที่ยวเล่นที่ไหนให้เสียเวลาทำมาหากิน ร้านปิดหกโมงครึ่ง เวลาใกล้เคียงกับที่ผมเตรียมมื้อเย็นเสร็จพอดี จากนั้นพี่เอมจิต น้องอุ่นใจ และผมก็จะนั่งกินข้าวด้วยกัน ถามไถ่สารทุกข์สุขดิบ นินทาลูกค้า เล่าเรื่องที่โรงเรียน อิ่มแล้วจึงไปล้างถ้วยชามทำความสะอาดห้องครัว ตรวจเช็ควัตถุดิบและอุปกรณ์ที่ต้องใช้วันรุ่งขึ้น ส่วนใหญ่อุ่นใจก็ชอบมาช่วยบ่อย ๆ เพราะจานชามและถ้วยกาแฟช่วงเปิดร้านตอนกลางวันมันน้อยเสียเมื่อไหร่กัน จากนั้นค่อยเป็นเวลาส่วนตัวไว้อ่านหนังสือทบทวนบทเรียน
ชีวิตผมดำเนินแบบนี้ซ้ำไปซ้ำมา ซึ่งมันก็มีความสุขดี ผมได้ห้องพักในหอของพี่เอมมาหนึ่งห้องแบบไม่ต้องเสียเงินเช่า น้ำ ไฟไม่ต้องจ่าย กินอยู่ฟรี ทิปจากลูกค้าพี่เอมก็ยกให้ แถมยังได้เงินค่าตอบแทนเป็นรายเดือนส่งไปให้แม่กับน้องที่บ้านด้วย แล้วที่ต้องตั้งใจอ่านหนังสือทุกวันเพราะได้ทุนเรียนครับ ไม่อย่างนั้นคิดว่าอย่างผมจะมีปัญญาจ่ายค่าเทอมแพงหูฉีกของโรงเรียนนี้หรือ ขายไตเข้าตลาดมืดสองข้างแถมไตไอ้อาทิตย์อีกคนยังไม่พอเลย
พูดถึงไอ้ลูกเจี๊ยบปัญญาอ่อนนั่นก็ชวนให้นึกหงุดหงิด ชีวิตตั้งแต่มีมันมาอยู่ด้วยดูเหมือนจะหาความสงบสุขไม่ได้เลย!
พูดอย่างกับด้วยกันมานานแล้ว...เปล่าเลย ก็เมื่อวานนี้เท่านั้นแหละ แต่ทำไมรู้สึกหมดเรี่ยวแรงกับมันเหมือนเวลาผ่านมาสักเดือนได้ก็ไม่รู้
ผมเดินห่อเหี่ยวเข้าห้องเรียนโดยมีตัวต้นเหตุที่ทำลายตารางชีวิตเด็กดีของผมพังสิ้นเมื่อคืนนี้เดินตามหลังมาต้อย ๆ ไม่มีทีท่าว่าจะง่วงเลยสักนิด แน่สิ..มันตื่นโน่น...เจ็ดโมงกว่า อาบน้ำแต่งตัวกินข้าวประหนึ่งอยู่บ้านตัวเอง น่าโบกให้กะโหลกร้าวนัก!
“ไอ้ปิ่นนนน...นน...น....น......!!!!!!!” มาแล้ว... เสียงจากนรกอันคุ้นเคยทันทีที่ก้าวข้าวธรณีประตูห้อง 6/1 เข้ามา ผมสะดุ้งเล็กน้อยแล้วยืดตัวตรงอยู่ในท่าเตรียมพร้อม เพราะรู้เดียวว่าอีกวินาทีต่อมามันจะต้อง...
พลั่ก!!! หมับ!!!“อรุณสวัสดิ์!! ฟืดดดดดดดดดดดดด!!!!!”
ช่วยทักทายให้เป็นผู้เป็นคนแล้วหยุดเอาจมูกมาถูคอตรูได้ม้ายยยยยย ไอ้เพื่อนเวรนี่!
“เออ....’รุณสวัสดิ์” ผมว่าเนือย ๆ พลางดันหัวยุ่งกระเซิงที่มันพร่ำบอกว่าเซ็ตมาอย่างดีสไตล์เกาหลีของไอ้เพื่อนรักออกอย่างไม่มีปกปิดอาการรังเกียจ มันเอาหัวดันสู้อยู่พักหนึ่งแล้วก็ตัดสินใจถอยออกไปยืนทำตัวสงบเสงี่ยมแต่ยังไม่วายส่งเสียงบ่น
“ใจร้ายกับเพื่อนตลอดอะ”
เด็กมัธยมชายไทยหัวใจเกาหลีที่ยืนบ่นอยู่ตรงนี้คือ
‘คิม’ ชื่อจริงคือ
คิมหันต์ ชื่อเล่นคือ
‘คีม’ ..คีมที่เป็นเครื่องมือช่างหน้าตาคล้ายกรรไกรนั่นแหละ แต่มันดัดจริตอยากชื่อเกาหลี เลยขอให้เรียกพยางค์แรกของชื่อจริงแทน เพื่อน ๆ ก็เออออตามไป คีม ๆ คิม ๆ เรียกคล้ายกัน พวกก็ตีมึนสถาปนาตัวเองเป็นนายคิมไปเสียอย่างนั้น แม้เค้าหน้าก็พอจะถูไถไปได้อยู่เหมือนกัน คิมผิวขาว ตาตี่ไม่มีเหล่าเต๊ง ปากนิดจมูกหน่อย ทำผมสีทองปัดซ้ายป่ายขวาไปด้านข้างเกือบจิ้มเข้าไปในตาหยี ๆ โรงเรียนเอกชนก็มีข้อดีอย่างนี้ตรงที่ทำให้มันได้ปลดปล่อยอารมณ์เกาหลีออกมาเป็นรูปธรรมได้มากกว่าโรงเรียนรัฐ
คิมมีนิสัยอย่างหนึ่งซึ่งไม่รู้ว่าเกิดก่อนหรือหลังจากที่มันเริ่มคลั่งเกาหลี คือไอ้หมอนี่ชอบสกินชิพ เที่ยวมือปลาหมึกเกาะแกะคนโน้นคนนี้ไปทั่ว แต่มันบอกเว้นไว้กับสาว ๆ เพราะเคยเผลอตัวไปทำกับสาวที่เพิ่งรู้จักเลยโดนสกินชิพกลับมาด้วยการเอาฝ่ามืองาม ๆ แนบแก้มมันด้วยแรงหลายนิวตันซะหน้าหัน เล่นเอาชาไปหลายวัน ตั้งแต่นั้นมาเป้าหมายของคิมก็ดูเหมือนจะพุ่งมาที่เพื่อนผู้ชายอย่างเดียวเพื่อป้องกันคำกล่าวร้ายเรื่องหื่นกามแต่อาจจะได้ข้อครหาเรื่องหื่นเกย์กลับมาแทน
“ฉันเห็นแกเดินเข้าโรงเรียนมาพร้อมกับไอ้คุณชายนั่น” มันพยักเพยิดไปทางไอ้ลูกเจี๊ยบยักษ์ที่ยืนเงียบอยู่ข้างหลังผมตั้งแต่แรก...พูดถึงก็ลืมมันไปเลย...แต่เดี๋ยวนะ คุณชายอะไรกัน
“ปกติต้องมีเบนซ์ประจำตำแหน่งมารับมาส่งทุกวันไม่ใช่เรอะ” คิมยังพูดต่อโดยไม่มีปิดบังอาการอยากรู้อยากเห็นแม้แต่น้อย ผมหันไปขมวดคิ้วหรี่ตามองคนข้างหลังที่ยังคงยืนทำหน้ามึนอยู่เหมือนเดิม แต่มันก็ทำเพียงแค่ยักไหล่เบา ๆ ตอบกลับมา
มีอีกอย่างที่ผมควรจะบอกเกี่ยวกับคุณคิม ไอ้หมอนี่เป็นมนุษย์หูไวตาไว ช่างสังเกต(แต่จะในเรื่องที่ควรหรือเปล่าถือว่าเป็นคนละประเด็น) ฉายาคุณคิมเจ้าพ่อแห่งข้อมูลข่าวสารของคนในโรงเรียนไม่ใช่เพียงแค่ชื่อเรียกขำ ๆ และตอนนี้คุณคิมกำลังเดินสำรวจรอบตัวคุณชาย(?)อาทิตย์ชนิดชนิดที่ว่าแบคทีเรียซึ่งซุกซ่อนอยู่ในขี้เล็บนิ้วก้อยเท้าก็คงไม่สามารถหลุดรอดสายตามันไปได้
“วันนี้เสื้อยับกว่าปกตินะ” มันเริ่มเปิดประเด็นพลางชี้ไปยังชายเสื้อเด็กหนุ่มร่างสูงที่ออกนอกกางเกงมานิดหน่อยโดยไม่สนใจผมที่ยืนทำหน้าเหวอด้วยยังงงว่าไอ้คุณคิมต้องการจะสื่ออะไร ก่อนที่มันจะใส่เป็นฉาก ๆ
“ผมยุ่งไม่ได้เซ็ท รองเท้าเปื้อนเศษดิน...ถุงเท้าก็เป็นคนละข้างกัน”
สายตาอีกสองคู่ก้มตามลงไปมองถุงเท้าที่ว่าทันที เพื่อจะพบว่าหากสังเกตสักหน่อย แม้จะเป็นสีขาวสะอาดเหมือนกันแต่สีของทั้งสองข้างก็ต่างกันอยู่เล็กน้อยจริง ๆ
ถึงจุดนี้ความตาไวเหมือนจะเล่นโฟโต้ฮันท์ของไอ้คุณคิมเริ่มทำให้ผมพาลจะสงสัยไปด้วยแล้ว มันจะอะไรกันนักหนากะอีแค่เสื้อยับ หัวยุ่ง รองเท้าเปื้อนฝุ่น และใส่ถุงเท้าผิดคู่..
“ไอ้คิม...ที่แกว่ามาฉันก็เป็นอยู่บ่อย ๆ ไม่เห็นเคยคิดจะทัก เห็นไหมวันนี้หัวก็ยุ่ง” ผมชี้ทรงผมยุ่งเหยิงของตัวเองแล้วพูดเสริมเพิ่มความน่าเชื่อถือ “เสื้อก็เยิ้นเยิน”
คุณคิมปรายตามองผมด้วยสีหน้าเหยียดหยามที่บรรจงปั้นแต่งขึ้นอย่างสมบูรณ์แบบ “นั่นมันแก วันไหนแต่งเรียบร้อยมาฉันค่อยทักละกัน”
อ้าวไอ้เบื๊อกนี่...สองมาตรฐานนะครับ! “แต่นี่คุณชายแสงอรุณ แห่งตระกูลวิจิตรนิรันดร์เลยนะเว้ย!” มันพูดเหมือนเจ้าตัวไม่ได้ยืนหัวโด่อยู่ตรงนั้นด้วย “ท่านชายที่ปกติเนี้ยบกริ๊บตั้งแต่ศีรษะจรดนิ้วหัวแม่เท้า แต่วันนี้ดันเดินเข้าโรงเรียนพร้อมลูกจ้างร้านเค้กแบบแกด้วยสภาพสุดจะเยินแบบนี้มันใช่เรื่องปกติไหม? บิดาสุดรักป่านนี้ไม่ยืนกรีดร้องอยู่ที่คฤหาสน์วิจิตรนิรันดร์แล้วเรอะ?”
ผมหันไปมองสำรวจมันบ้าง ก็อาจจะใช่ว่าหัวดูยุ่งนิดหน่อย เสื้อก็...ยับนิดนึง แต่โดยรวมก็ไม่ได้ว่าจะสภาพสุดจะเยินอะไรอย่างคิมกล่าวหาสักนิด ...แต่อย่างว่า ผมก็ไม่รู้ว่าของเดิมที่ว่าเนี้ยบนี่มันเคยเนี้ยบขนาดไหนไง ยิ่งก่อนหน้านี้อยู่คนละห้อง วัน ๆ ทำงานงก ๆ มีเวลาสนใจที่ไหนกัน
หลังจากปิดปากเงียบมานาน ในที่สุด คุณชายแสงอรุณหรือไอ้ลูกเจี๊ยบอาทิตย์ก็ยอมเอ่ยปากออกมาจนได้
“คุณพ่อไล่ออกจากบ้านแล้วเมื่อวานนี้น่ะ”
สาบานเลย นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ผมเห็นตาตี่ ๆ ของคุณคิมเบิกกว้างอย่างกับตอนน้องอุ่นใจเห็นไม้กายสิทธิ์ของพี่เอม (พี่เอมเรียกไม้เรียวว่าไม้กายสิทธิ์) และถ้าคุณไม่รู้ผมจะบอกให้ว่าอุ่นใจทำตาโตได้เหลือเชื่อจริง ๆ เวลาพี่เอมเอาไอ้ไม้นั่นออกมากวัดแกว่ง
“นี่นายโดนขับไล่ออกจากตระกูลแล้วเรอะ!?” คุณคิมพูดรวบรวมสติพูดออกมาได้ในที่สุด เห็นได้ชัดว่ามีการบิดเบือนข้อเท็จจริงไปจากเดิมนิดหน่อย
“ไม่ได้ออกจากตระกูล แค่ออกจากบ้านเฉย ๆ” อาทิตย์ยักไหล่ “...มาเผชิญโลกน่ะ ธรรมเนียมของที่บ้าน”
ผมมองมันอย่างไม่อยากเชื่อ พูดบ้าอะไรของมัน คุณชายตระกูลใหญ่(มั้ง)ที่โดนไล่ออกจากบ้านตามธรรมเนียมบ้าบออะไรสักอย่าง เรื่องราวยิ่งรันทดขี้หูขี้ตาไหลเมื่อต้องมาทำหน้ามึนเสนอร่างกายให้เพื่อนหนุ่มร่วมชั้นเพื่อแลกกับที่ซุกหัวนอน ชีวิตตกระกำลำบากอย่างกับนางเอกละครหลังข่าวนี่มันอะไร เดี๋ยวอีกสักพักจะมีกล้องพร้อมทีมงานโผล่พรวดออกมาจากมุมตึกเพื่อเก็บภาพผมที่กำลังทำปากอ้าค้างอย่างปัญญาอ่อนอยู่ตรงนี้หรือเปล่า
กริ๊งงงงงงงงงงงงงงงงงงง.........................!!เสียงออดยาวตอนเช้าดังขึ้นขัดจังหวะตากล้องและทีมงานที่อาจจะมุดหัวอยู่ที่ไหนสักแห่งแถวนี้เรียกให้นักเรียนหญิงชายรอบตัวพากันทยอยไปเข้าแถวที่หน้าเสาธง อาทิตย์ใช้จังหวะนี้เดินดุ่ย ๆ เอากระเป๋าหนังสือไปหย่อนไว้บนที่นั่งตัวเองริมหน้าต่างแล้วลากผมที่มีคิมเกาะแขนอีกข้างด้วยจิตวิญญาณสื่อที่ดีกัดไม่ปล่อยออกไปยังสนามหญ้าของโรงเรียนโดยไม่คิดจะชี้แจงอะไรมากไปกว่านั้น
เอาล่ะ...ถึงตอนนี้เราเข้าใจตรงกันนะครับ ด้วยข้อมูลที่ได้มาจากคุณคิมและคำเฉลยที่ยังทิ้งปริศนาให้ไขต่อของอาทิตย์ ผมสรุปเองในเบื้องต้นได้ว่า ท่านชายอาทิตย์นั้นที่จริงบ้านรวยครับ แต่งตัวเนี้ยบดูดีมีชาติตระกูล มีราชรถพร้อมพลขับแบบที่ผมไม่กล้าฝันถึงมารับมาส่งถึงประตูโรงเรียนทุกวัน แต่ไม่รู้ที่บ้านมันมีธรรมเนียมบ้าบออะไรจึงได้ไล่ลูกชายออกมาเร่ร่อนทำตัวเป็นสัมภเวสีแบบนี้ ส่วนเรื่องที่ว่าโดนเนรเทศแล้วทำไมดันโง่เลือกมาเกาะผมที่แสนจะยากจนแทบเอาตัวไม่รอด อันนี้ถ้าไม่โทษความบ้าของมันก็คงต้องหาสาเหตุกันต่อไป
พอนึกย้อนกลับไป ที่จริงหลังจากใช้ชีวิตกับมันเป็นเวลาหนึ่งคืน ผมก็ว่ามันดูแปลก ๆ อยู่บ้าง เมื่อคืนมันมายืนดูผมล้างจานด้วยท่าทางสนอกสนใจอย่างกับดูสารคดีดิสคัฟเวอรี่ บทสนทนา ณ กะละมังล้างจานยังชวนให้สงสัยไม่หาย
“ไอ้นี่อะไร” มันชี้ไปที่แกลลอนขนาดใหญ่ที่มีของเหลวหนืดสีเหลืองบรรจุอยู่
“น้ำผลไม้มั้ง”
มันทำจมูกฟุดฟิด “ได้กลิ่นมะนาว...กินได้ไหม”
“อย่ากินนะเว้ยยย นั่นมันน้ำยาล้างจาน ไม่มีตังค์พาไปล้างท้องนะไอ้บ้า”
หรือจะตอนอาบน้ำ
“ปิ่นหยก” มันโผล่หัวออกมาจากประตูห้องน้ำที่เปิดแง้มออกมาเล็กน้อย
“อะไร”
“ไม่มีน้ำอุ่นเหรอ”
“แล้วเห็นไหมล่ะ”
ไอ้ลูกเจี๊ยบเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะตอบกลับมา “....ไม่เห็น”
“อืม”
“แล้วไหนน้ำอุ่นล่ะ”
“บร๊ะ..! ไม่เห็นก็ไม่มีไงครับ!”
“มันช่วยให้เลือดลมไหลเวียนดีนะ ไม่มีแล้วจะอาบได้ยังไง”
“........”
ผมอยากจับมันทุ่มท่าเยอรมันซูเพลกซ์นัก เผื่อเอาหัวลงต่ำแล้วเลือดจะไปเลี้ยงสมองให้มันหายสติเสียบ้าง อาทิตย์ยังคงยืนรอหันรีหันขวางอยู่หลังประตูห้องน้ำซึ่งแง้มอยู่เท่าเดิม ผมลุกขึ้นทิ้งหนังสือเรียนที่นั่งอ่านค้างอยู่แล้วจ้ำพรวด ๆ ไปเอาเท้าถีบประตูเปิดออกดังปัง มองเห็นอีกฝ่ายเปลือยท่อนบนมีผ้าขนหนูสีขาวเหน็บเอวกำลังสาละวนกับการทำให้ฝักบัวธรรมดาสามัญกลายเป็นเครื่องทำน้ำอุ่นแล้วก็ให้อนาถใจ มือคว้าหัวฝักบัวในมือมันมาถือไว้มั่น หมุนก๊อกเปิดน้ำแรงสุด อืม...น้ำแรงดี แถมหลังฝนตกแบบนี้กำลังเย็นเฉียบได้ที่เลย แล้วก็.....
ซ่าาาาาาาาาาาาาาา............!!!! น้ำเย็น ๆ พุ่งตรงใส่หน้าคุณอาทิตย์แบบไม่ให้มีโอกาสได้ตั้งตัว...ผลคือเปียกโชกตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า
“ฮ่า ๆ ๆ ทีนี้อาบได้ยัง”
ผมขยับฝักบัวเปลี่ยนทิศไปมากะให้เปียกให้ทั่ว เห็นมันตัวสั่นเป็นลูกหมาตกน้ำแล้วก็นึกสนุกปนสงสาร แต่บังเอิญว่าความสนุกดันมีมากกว่าก็เลยเล่นซะหนักมือไปหน่อย ถ้าค่าน้ำเดือนนี้ขึ้นผิดปกติพี่เอมจะว่าอะไรไหม
“......หนาว” มันบ่น มือยกขึ้นลูบเอาน้ำออกจากใบหน้าขณะที่ผมก็ยังแกว่งฝักบัวอย่างสนุกสนาน
“ปิ่น.......” เป็นผมเองที่ไม่ทันสังเกตว่าเสียงมันดูจะนิ่งผิดปกติ “.....ปิ่นหยก”
รู้ตัวเองทีข้อมือผมก็ถูกคว้าหมับแล้วดันไปตรึงไว้กับกำแพงห้องน้ำ ฝักบัวหลุดมือตกลงกระแทกพื้นกระเบื้องเสียงดังสะท้อนก้องในห้องแคบ ๆ...ไม่อยากจะคิดเลยว่าถ้าพังไปต้องเสียค่าหัวฝักบัวใหม่เท่าไหร่....เดี๋ยวสิ ตอนนี้ที่ต้องกังวลไม่ใช่เรื่องนั้น แต่เป็นลูกเจี๊ยบตกน้ำ....หรือลูกหมาตกน้ำ...เออ...หรือคนบ้าตกน้ำ ช่างมันเถอะ!! แต่สีหน้าท่าทางมันตอนนี้ดูคุกคามมาก ผมไม่ได้ตั้งใจจะสั่นเลย...จริง ๆ นะ บางทีอาจเป็นเพราะโดนน้ำจากฝักบัวบนพื้นที่สะบัดไปมาเบา ๆ จนน้ำที่ฉีดออกมาเป็นสายพุ่งกระจัดกระจายไปทั่วเลยสั่น ๆ นิดหน่อยก็ได้
“....อ....อะไร?”
ผมทำใจดีสู้เสือ ยิงคำถามก่อนได้เปรียบ (เหรอ?)
“......หนาวครับ”
มันกระซิบเสียงแหบพร่า มือยังคงตรึงข้อมือผมไว้กับกำแพงทั้งสองข้างเสียแน่น นี่แรงคนหรือแรงควาย ใบหน้าคมยื่นเข้ามาใกล้ ใกล้จนเห็นขนตาที่มีหยดน้ำเกาะพราว นัยน์ตาสีดำสนิทดูอ่อนเยาว์ผิดกับร่างกายสูงใหญ่ที่จ้องมาสะท้อนภาพผมอยู่ในนั้น จมูกโด่งรับกับริมฝีปากอิ่มได้รูป บ้าเอ๊ย! รู้แล้วว่าหล่อไม่ต้องเสนอหน้าเข้ามาให้ผู้ชมทางบ้านดูใกล้ขนาดนั้นก็ได้ กะให้อิจฉาใช่ไหม! แล้วจะเผยอปากทำไม คิดว่าตัวเองเป็นนายแบบนู้ดเรอะ
ผมทำใจกล้าจ้องตามันกลับ เอาสิ! ยังไงผมก็เป็นเจ้าบ้านนะ...เอ่อ...ถึงแม้เจ้าบ้านจริง ๆ จะเป็นพี่เอมก็เถอะ เอาเป็นว่าผมเป็นเจ้าของห้องนี้ละกัน ต้องมีสิทธิ์เหนือกว่ามันไม่ใช่รึไง
ถึงจุดนี้เล่นเอาเปียกโชกไปหมดแล้ว แต่สงครามจ้องตาในสภาพที่แสนจะล่อแหลมก็ยังดำเนินต่อไปไม่หยุด ผมเริ่มรู้สึกหนาวขึ้นเรื่อย ๆ อย่างที่บอกว่าฝนเพิ่งตกไปเมื่อเย็น มายืนสวมเสื้อผ้าเปียกโชกเล่นสงครามประสาทในห้องน้ำแคบ ๆ ทั้งที่แขนโดนตรึงไว้ทั้งสองข้างแถมยังเสียเปรียบด้านรูปร่างอย่างแรงไม่ใช่สภาพที่เข้าท่าเอาเสียเลย ผมไม่แน่ใจว่าอย่างไหนจะหนาวกว่า ระหว่างตัวเองที่สวมเสื้อผ้าเต็มยศแต่เปียกไปหมดถึงกางเกงลิง กับอีกฝ่ายที่มีแค่ผ้าขนหนูเหน็บเอวอยู่ผืนเดียวอย่างนี้
และก่อนที่ใครสักคนจะสติแตกไปเสียก่อน....ซึ่งถึงจะเจ็บใจแต่ยอมรับก็ได้ว่าน่าจะเป็นผมเอง เหมือนสวรรค์จะเริ่มปรานีหรือจะเรียกว่ากลั่นแกล้งก็ไม่ทราบได้ เมื่อผ้าขนหนูที่เหน็บอยู่อย่างหลวม ๆ บนเอวของคนที่ยืนค้ำหัวผมอยู่ทำท่าเหมือนจะหลุดอยู่รอมร่อจากการที่อมน้ำมากไปหน่อย ที่น่าสะพรึงคือทำไมหางตาผมต้องเหลือบไปเห็นช็อตที่ปมซึ่งม้วนอยู่เริ่มจะคลายตัวออกช้า ๆ เข้าพอดีด้วยวะ!!!
........อย่าหลุดนะเว้ย! ผมพร่ำภาวนาอยู่ในใจ ....เกาะไว้ก่อน....เกาะเอวมันไว้แน่น ๆ นะน้องนะ....แต่ดูเหมือนผ้าขนหนูเจ้ากรรมจะแบกน้ำหนักของน้ำที่อุ้มอยู่จนไม่สามารถตอบรับต่อคำอ้อนวอนอย่างสิ้นหวังของผมได้อีกแล้ว....ปมยังคงคลายตัวออกเรื่อย ๆ จะเอามือไปตะครุบไว้ให้ก็โดนจับขึงอยู่......เว้ย....มัน....จะ.....หลุด.....แล้ว.......ไม่นะ....
พรึ่บ!!!!
เวรเอ๊ย!!!!ผมหลับตาปี๋ ก่อนจะรู้สึกตัวว่าข้อมือสองข้างเป็นอิสระแล้ว มันคงปล่อยมือจากผมเพื่อไปปกป้องน้องผ้าขนหนูอันเป็นปราการด่านสุดท้ายละมั้ง....แต่นั่นแค่สมมติฐานเท่านั้นนะ เพราะกว่าจะกล้าลืมตาก็เมื่อตอนที่ถลาออกมายืนหอบแฮ่กอยู่หน้าห้องน้ำเรียบร้อยแล้วนั่นแหละ ใจเต้นตูมตามจนต้องยกมือขึ้นกุมอก ไอ้หัวใจเฮงซวยนี่กะจะระเบิดซี่โครงกรูเลยใช่ไหม
.....ผมถอนหายใจยาว ๆ เมื่อเริ่มสงบสติอารมณ์ได้ ไม่รู้เหมือนกันว่าจะตื่นเต้นทำไมกับอีแค่ผู้ชายโป๊
“หนาวขนาดนี้ นายอยู่มาได้ไงแบบไม่มีน้ำอุ่นให้อาบ” เสียงจากในห้องน้ำยังตามมาหลอกหลอน ไม่ได้รู้ตัวเลยว่าทำคนอื่นจะหัวใจวายตายแล้ว ผมทรุดตัวลงนั่งบนพรมเช็ดเท้าหน้าประตูนั่นอย่างหมดแรง น้ำหยดติ๋ง ๆ จากเส้นผมและเสื้อผ้าลงมานองเต็มพื้น เดี๋ยวรอมันอาบน้ำเสร็จคงต้องไปอาบใหม่อีกรอบ ...ชีวิตผมในวันเดียวมันจะซวยซ้ำซ้อนซ่อนเงื่อนอะไรนักหนาวะ
“--หยก..........”
“....ปิ่นหยก.........”
“ไอ้ปิ่นหยกโว้ยยยย!!!!”ผมสะดุ้งสุดตัว ปากกาหลุดมือลงไปกลิ้งหลุน ๆ อยู่บนพื้น เป็นอันจบการย้อนความเหตุการณ์วุ่นวายเมื่อคืนนี้ คิมนั่นเองที่ตะโกนใส่ผม ดูจากสีหน้ามู่ทู่ของมันแล้วเดาว่าคงยืนเรียกมานานพอสมควรทีเดียว
“หลับในเรอะ!! พักเที่ยงแล้วเนี่ยนั่งนิ่งเป็นสากกะเบือเลย แล้วนี่เป็นอะไรหน้าโคตรแดง ฝันอะไรลามกอยู่รึไง”
“ไอ้เวร ใครจะเหมือนแก”
ผมยกมือขึ้นลูบหน้าลูบตา โอย..ร้อนวูบวาบไปหมด หัวก็เบา ๆ โหวง ๆ ยังไงไม่รู้ เมื่อเช้ายังเหมือนจะหนักเป็นตันอยู่เลย ส่วนหน้าคิมที่ชะเง้อมาก็ดูบิดเบี้ยวพิกล
“.....คิม...แผ่นดินไหวเหรอวะ.....” ผมถามเสียงแห้ง ตึกโคลงเคลงเหมือนอยู่บนเรือ กำลังจะยันตัวลุกขึ้นยืนก็พบว่าภาพตรงห้องเรียนตรงหน้าถูกแทนที่ด้วยแสงวิบวับจนตาพร่า...และวินาทีต่อมาทุกอย่างก็มืดมิดไปหมด เหลือแต่เพียงโสตประสาทซึ่งยังได้ยินเสียงโวยวายของคิมเหมือนจะดังมาจากที่ไกล ๆ กับเสียงทุ้มคุ้นหูของใครสักคนดังแทรกเข้ามาจากข้างหลัง
“.............ปิ่น...........ปิ่นหยก........”ผมไม่แน่ใจแล้วว่าเสียงใคร แต่ช่างเถอะ สติที่เหลืออยู่น้อยนิดบอกค่อนข้างชัดแล้วว่าไม่ใช่แผ่นดินไหวหรืออะไร นี่สินะอาการเป็นลม.....แต่เดี๋ยวก่อน........จะวูบไปตอนนี้ไม่ได้........ในเมื่อมีเรื่องสำคัญที่ยังไม่ได้บอกเลย.............
ใครสักคนเรียกชื่อผมซ้ำ ๆ ไม่ยอมหยุด หนวกหูฉิบหายตะโกนอยู่นั่นแหละ คนยิ่งต้องใช้ความพยายามในการพูดยังจะแหกปากแข่งอยู่ได้
ผมรีดเร้นพลังเฮือกสุดท้ายเพื่อขยับริมฝีปากแต่แทบไม่มีเสียงอะไรเล็ดลอดออกมา ไม่รู้จะมีคนได้ยินรึเปล่า...ถ้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์มีจริงช่วยบันดาลให้ใครสักคนรับรู้ความปรารถนาสุดท้าย(?)ของผมด้วยเถอะ...
“.....ไม่........ต้องหิ้ว.....ไปโรง’บาลนะ...............ไม่มี.....ตังค์จ่าย....."แล้วการรับรู้ทั้งหมดของผมก็ดับวูบTo be continued....คุยกันท้ายเรื่องถึงตอนนี้อยากขอโทษปิ่นหยกที่ทำให้นายเป็นคาแรกเตอร์ที่โคตรเค็มอย่างนี้ ขนาดเขียนฉากเป็นลมยังรู้สึกว่าช่างดูไม่น่าสงสารเอาเสียเลยไอ้เด็กงกเงิน 555 พระเอกนายเอกเรื่องนี้มันแข่งกันบ้าสินะ (ฮา)
คราวนี้มาในมุมมองของปิ่นหยกบ้างนะคะ เรื่องนี้จะดำเนินไปทั้งแบบสายตาบุคคลที่สามและของตัวละครในเรื่องสลับกันไป
ตอนนี้ก็ได้รู้เรื่องเกี่ยวกับอาทิตย์เพิ่มขึ้นอีกนิด ที่ดูปัญญาอ่อนไปหน่อยก็เพราะอยู่บ้านเป็นคุณหนูนั่นเอง เบื้องหลังต่าง ๆ จะค่อย ๆ ทยอยเปิดเผยในเนื้อเรื่องค่ะ แถมรอบนี้ยังได้เปิดตัวคุณคิมด้วย

ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามจริง ๆ นะคะ //โค้งงาม ๆ
และตอบยู้ซัง (YuuYuu) ค่ะ ใช่แล้วค่ะ เค้าคือเรนนี่รั่ว ๆ คนนั้นนั่นเอง XD *โผเข้าใส่* ดีใจที่ได้เจอกันในนี้อีกค่ะ โลกกลมจังเลยยยย
แล้วพบกันตอนหน้าค่ะ ^^
***สารบัญคลิกที่นี่ค่ะ***