Dormitory boys – สะดุดรัก หอพักอลเวง
“รัก...ติดดิน”CHAPTER 11 – พบกันที่โรงพยาบาล::Pinyok’s POV::ผมแค่โชคร้ายนิดหน่อย...โรงพยาบาลยามสายในวันทำการคลาคล่ำไปด้วยผู้คน กริชเดินไปแจ้งบัตรผู้ป่วยให้ ส่วนผมกับอาทิตย์นั่งรอที่โซนสีเขียวของห้องฉุกเฉินในส่วนของผู้ป่วยที่ไม่ได้บาดเจ็บรุนแรง
เช้านี้อาจจะเริ่มต้นได้ไม่สวยนัก ถึงอย่างนั้นผมก็ยังไม่นับว่าเป็นวันซวยอะไร แม้ความรู้สึกเจ็บหนึบที่แขนยังขยันโจมตีไม่หยุดแต่ถ้าเทียบกับสิ่งที่เคยผ่านมาเมื่อก่อนแล้ว นี่มันก็แค่แผลมดกัดเท่านั้นเอง ที่น่าสงสารจริง ๆ ถ้าตัดเรื่องอคติของผมซึ่งบังเอิญจะมีอยู่เยอะเสียด้วยคือไอ้ลูกเจี๊ยบโข่งข้าง ๆ ต่างหาก
..อยากถามมันเหมือนกันว่าปล่อยเลือดไหลย้อยลงมาถึงปลายคาง(อีกแล้ว)สนุกไหม?
“เบื๊อกนี่...ทำไมไม่รู้จักเช็ดให้ดี ๆ”
“หือม?” มันหันมาทำหน้านิ่งเหมือนไม่รู้ว่าผมกำลังพูดถึงอะไร
ผมพ่นลมออกจมูกอย่างหงุดหงิดใจแล้วยกมือขึ้นเตรียมจะเอาหลังมือปาดของเหลวสีแดงสดบนใบหน้าที่ขนาดหัวแตกก็ยังจะหล่อจนน่าตบกะโหลกนั่นออกไปบ้าง “ไหลย้อยแล้วเว้ย! รู้ว่าปัญญาอ่อน ไม่ต้องพยายามเอาเลือดหัวตัวเองออกเยอะขนาดนี้ก็ได้”
แต่แล้วประโยคถัดมาก็ทำให้ผมชักแขนกลับทันที
“ก็รอคนใจดีเช็ดให้อยู่นี่แหละ”
ผมผลักท้ายทอยมันไปหนึ่งทีพอให้หน้าคะมำเบา ๆ บอกให้รู้ว่ากรูใจร้าย มีอะไรไหม?
“ปิ่นหยกโหดร้ายอะ”
“เพิ่งรู้เรอะ”
“อุตส่าห์ดึงตัวออกมาทันไม่ให้โดนชนแทนเจ้าโฮ่งแท้ ๆ เลย”
มันลำเลิกบุญคุณครับ.. คือที่จริงผมก็ไม่ได้ร้องขอนะ...ใช่ไหม? ที่ท่านชายหัวแตกมันก็ไม่น่าจะเป็นความผิดผม...ใช่รึเปล่า?
ถึงแม้ว่าผิวหน้าเกลี้ยง ๆ นั่นจะมีรอยแผลเป็นที่หน้าผากหลังจากนี้แต่ด้วยฐานะทางบ้านแล้ว หมอนั่นกลับคฤหาสน์ได้เมื่อไหร่ศัลยกรรมพลาสติกก็อาจจะเป็นตัวเลือกที่ไม่เลว...จริงไหม?
เพราะฉะนั้นหยุดทำสายตาเหมือนลูกหมาที่มองมาอย่างกับจะเรียกร้องอะไรสักอย่างนั่นซะทีสิเว้ย!“......”
สมมติว่ามีเสียง
‘หงิงงง’ ครางออกมาด้วยผมจะไม่แปลกใจเลย
“....................”
โอเค...ผมแพ้แล้ว บ้าฉิบ! และถ้ามันจะจับได้ว่าผมแพ้สายตาแบบนั้น อีกหน่อยผมคงต้องหัดคุยกับมันแบบไม่มองหน้า
“...ขยับมาใกล้ ๆ”
แล้วท่านชายลูกเจี๊ยบก็ขยับเข้ามาอย่างว่าง่าย ติดจะใกล้เกินไปเสียด้วยซ้ำ ดีมาก...หากมีข้าวเปลือกอยู่แถวนี้ผมก็อยากจะโปรยให้เป็นรางวัลเผื่อมันจะรู้ว่าผมประชด
“บอกให้เข้าไปใกล้แล้วทำไมต้องถอยหนี”
“.....ห..หา....”
ผมเพิ่งรู้สึกว่าเอนหนีมาด้านหลังในท่านั่งที่ดูไม่น่าจะทรงตัวบนเก้าอี้อยู่ได้ ก็ใครใช้ให้เสนอหน้าเข้ามาขนาดนั้นล่ะ!
“ใกล้ไป”
ผมกดเสียงต่ำด้วยไม่อยากจะทำตัวกระโตกกระตากในที่สาธารณะมากไปกว่านี้ แต่อีกเหตุผลหลักอาจเป็น เพื่อสงบจิตสงบใจตัวเอง ผลคืออาทิตย์ที่ทำหน้าเหมือนจะไม่ได้ยินดันยื่นหน้าเข้ามาใกล้เสียยิ่งกว่าเก่าคงหวังว่าจะได้ฟังชัดขึ้น เยี่ยมเลย...ขอบใจนะ ถึงจุดนี้เริ่มหนักใจขึ้นมานิดหน่อยที่แล้วที่ไม่รู้ว่าตัวเองกลายเป็นคนช่างประชดประชันตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
มือข้างที่ไม่ได้เจ็บของผมล้วงไปหยิบผ้าเช็ดหน้าในกระเป๋าเสื้อตัวเอง จ้องมองมันอยู่ครู่หนึ่งอย่างชั่งใจ
เอาเถอะ เปื้อนได้ก็ซักได้... ถือว่าสงเคราะห์คุณชายตกยาก“อยู่ที่บ้านใครคอยตามล้างตามเช็ดให้แกนะ”
ผมถอนหายใจ เอาผ้าเช็ดหน้าแปะไว้ตรงกลางจมูกเจ้านั่นเป็นที่แรก
เป็นการถือโอกาสดันหน้ามันออกไปห่าง ๆ หน่อยด้วย แล้วก็ให้ตายเถอะ...ความคิดอยากเอาผ้าเช็ดหน้าอุดจมูกมันให้ขาดอากาศหายใจตายซะรู้แล้วรู้รอดก็ดันแวบเข้ามาในหัวอีกแล้ว แต่ดูเหมือนไอ้คนตัวโตตรงหน้าจะเริ่มรู้ตัวเลยเอนหัวไปด้านข้างเล็กน้อยพอเปิดทางเดินหายใจแล้วตอบคำถามผมเสียงเรียบ
“บัวไง ดูแลเกือบทุกอย่าง...แต่ถ้านายอยากทำแทนไว้จะบอกบัวให้”
มุขหยอดบ้า ๆ พวกนี้ผมไม่ได้คิดไปเองใช่ไหมว่ามันชักจะบ่อยเกินไปแล้ว
แต่ที่บ้ากว่าคงจะเป็นตัวผมเองที่หน้าร้อนวูบวาบทุกครั้งที่ได้ยินอะไรแบบนี้นี่แหละ“ไม่อยากเว้ย!”
ผมเลื่อนสายตาไปจับจ้องรอยเลือดสีแดงเป็นดวงที่ซึมอยู่บนผืนผ้าในมือแล้วค่อยแผ่ขยายวงกว้างออกช้า ๆ อย่างตั้งอกตั้งใจราวกับว่าถ้าเพ่งกระแสจิตให้มากพอแล้วมันจะปรากฏเป็นเลขเด็ด ทั้งที่ความเป็นจริงก็แค่อยากมองอะไรอย่างอื่นที่ไม่ใช่หน้านิ่ง ๆ แต่ดันพูดอะไรชวนให้ใจเต้นโครมครามของคนตรงหน้าเท่านั้น... แต่ครั้นจะให้ก้มหน้าหลบก็รู้สึกเสียฟอร์มชะมัด!
“...ผ้านี่ก็กลิ่นเหมือนวานิลลา”
เสียงเนิบนาบยังดำเนินต่อไปในสิ่งที่มันอยากจะพูด เห็นชัดเลยว่าไอ้บ้านี่ไม่ได้สนใจอะไรที่ผมเถียงไปสักนิด
วานิลลาแล้วยังไง เกิดอยากกินไอติมขึ้นมารึไง
“กลิ่นเดียวกับปิ่นหยก”...ตุบ.....!นั่นเป็นเสียงจังหวะหัวใจสุดท้ายของตัวเองที่ผมได้ยิน ก่อนจะรู้สึกแน่นขึ้นมาในอก และหูก็ดูจะอื้อไปหมดจนแยกแยะเสียงอะไรไม่ออก
ถ้าหัวใจผมหยุดเต้นไปซะตรงนี้ แพทย์เวรห้องฉุกเฉินจะช่วยทันไหม?“แต่สีไม่เหมือนนะ...วานิลลาสีเหลืองอ่อน”
น่าตลกที่ผมรู้สึกว่าตัวเองหูอื้อ...แต่มันกลับเลือกจะรับฟังเสียงเรียบ ๆ ของไอ้บ้านี่ชัดเจน ผมไม่รู้ว่าแสดงสีหน้าแบบไหนออกไป แต่ท่าทางมันคงเห็นว่าเป็นจังหวะที่ควรซ้ำให้ผมรู้สึกอยากลงไปตะกุยพื้นห้องฉุกเฉินแล้วมุดดินหนีหายไปเลยถึงได้พูดต่อ
“แต่หน้านายสีแดงเข้ม”
...แล้วมันก็หัวเราะ
บ้าเอ๊ย!! ใครก็ได้ช่วยย้ายผมไปไว้ในโซนสีแดงของผู้ป่วยได้รับบาดเจ็บสาหัสอาจถึงแก่ชีวิตทีเถอะกลับไปผมจะเอาเลือดมันที่ติดผ้าเช็ดหน้าผมไปทำไสยศาสตร์ ร่ายคาถาวูดูสาปแช่งให้มันเป็นหมัน ขอให้สาวไม่แล เจ้าคุณพ่อไม่รับกลับบ้าน...ไม่ได้สิ! ถ้าไม่เอากลับจะลำบากผมอีก ขอให้เจ้าคุณพ่อรีบ ๆ หิ้วกลับบ้านแต่ลำเอียงรักพี่น้องคนอื่นมากกว่า...ขอให้...ขอให้—
“ที่นี่โรงพยาบาล”เสียงทุ้มของใครอีกคนที่เกือบลืมไปแล้วว่ามาด้วยกันดังขึ้นขัดจังหวะแผนการสาปแช่งของผมจากด้านหลังทำเอาสะดุ้งแทบหล่นจากเก้าอี้ หมอนี่หายตัวไปมาได้หรืออย่างไรผมถึงไม่รู้ตัวสักนิดว่ามันมายืนอยู่ตรงนี้ แล้วยังประโยคบอกเล่าไม่มีที่มาที่ไปนั่นอีก
‘ที่นี่โรงพยาบาล’ งั้นเหรอ? ใจหนึ่งผมก็อยากถามว่าจะบอกทำไมในเมื่อรู้ ๆ กันอยู่แล้ว แต่ก็กลัวคำตอบที่จะได้ยินจึงทำเป็นไม่สนใจแล้วหันไปพูดเรื่องอื่น
“..มาตั้งแต่เมื่อไหร่”
กริชมองผมด้วยสายตาของผู้ถือไพ่เหนือกว่า....คือตอนนี้ผมรู้สึกว่าคนทั้งโรงพยาบาลแม้กระทั่งคุณยายแก่หง่อมที่นั่งหอบครอบหน้ากากพ่นยาอยู่ก็ดูจะถือไพ่เหนือกกว่าผมทั้งนั้น
“นายไม่อยากรู้หรอก...ตั้งแต่ตอนที่จะเอาหน้ามาชนกันอยู่แล้วนั่นแหละ"
พูดว่าผมไม่อยากรู้หรอก แต่เจือกบอกพิกัดซะชัดแจ้งเนี่ยนะ!อยากเถียงใจจะขาดว่าไม่ได้จะเอาหน้าไปชนกันว้อย! แต่กลับมีแค่เสียงเบาหวิวว่า “อ้อ..เรอะ” ที่ตอบออกไป
“ไปรอข้างหน้านะ”
พี่หมีตัดบทแล้วเดินออกไปโดยไม่รอคำตอบ ซึ่งการที่โผล่มาเฉย ๆ เพื่อจะพูดแค่ว่า
‘ที่นี่โรงพยาบาล’ มันชวนให้ผมรู้สึกเหมือนกำลังถูกเตือนด้วยประโยคอื่นซึ่งไม่ได้ถูกเอ่ยออกมาอย่างเช่น
‘อย่าทำอะไรประเจิดประเจ้อล่ะ’ หรือไม่ก็
‘เกรงใจหมอกับพยาบาลบ้าง’ อะไรอย่างนั้น และความคิดบ้าบอพวกนั้นก็กำลังจะทำผมเสียสติถ้าไม่มีเสียงเรียกจากพยาบาลในชุดขาวดังขึ้นเสียก่อน
“คุณแสงอรุณ วิจิตรนิรันดร์ค่ะ”
อาทิตย์ยืดหลังแล้วลุกขึ้นยืนช้า ๆ พร้อมกับหันมามองผมด้วยสายตาเหมือนจะอาลัยอาวรณ์เสียมากมาย..ถ้าผมไม่ได้คิดไปเองล่ะก็นะ จากสีหน้านั่นดูเหมือนมันกำลังเข้าใจผิดว่าตัวเองต้องไปออกศึกแถวตะเข็บชายแดนมากกว่าจะไปให้หมอตรวจ
“คุณแสงอรุณ วิจิตรนิรันดร์ค่ะ” เสียงนั้นเรียกซ้ำ ผมเอามือดันหลังมันเบา ๆ
“ไปดิ เค้าเรียกสองรอบแล้ว”
“ไม่ไปด้วยกันเหรอ?”
สิบเจ็ดขวบแล้วนะเว้ยครับ ต้องให้อุ้มไปส่งเลยไหม หลังจากทำท่าอิดออดเป็นเด็กอนุบาลไม่ยอมไปโรงเรียนพอให้เส้นความอดทนผมตึงเล่นอยู่อีกแวบหนึ่ง ท่านชายถึงได้ยอมเดินไปหาคุณพยาบาลก่อนที่จะมีเสียงเรียกครั้งที่สามตามมา แต่ก็ยังไม่วายหันมาพูดทิ้งท้าย
“รออยู่ตรงนี้อย่าไปไหนนะครับ แล้วจะรีบกลับมา”
ผมไม่รู้จะว่าไงกับมันแล้ว...หมอนี่มันดู....ยังไงดีล่ะ ระหว่างความใสซื่อและความปัญญาอ่อนเหมือนจะมีเพียงแค่เส้นบาง ๆ คั่นกลาง ผมไม่รู้ตระกูลวิจิตรนิรันดร์ของมันที่ว่ารวยนักรวยหนาเลี้ยงดูกันมาแบบไหน ลูกชายถึงได้กลายเป็นมนุษย์ประหลาดหน้ามึนที่ก้ำกึ่งแยกไม่ออกว่าจะเป็นพวกเปิดเผยตรงไปตรงมาเหมือนเด็ก ๆ หรือจะเป็นพวกเจ้าเล่ห์โดยธรรมชาติจนทำให้ผมหัวปั่นมาตลอดแบบนี้ แต่ก็อดปฏิเสธไม่ได้จริง ๆ ว่าผมรู้สึกอบอุ่นในใจอยู่ลึก ๆ ตอนได้ยินคำว่า
‘แล้วจะรีบกลับมา’ ที่ไม่มีใครพูดกับผมมานานแล้ว
“เออ รีบ ๆ กลับมา” ไม่รู้อะไรที่ดลจิตดลใจให้ผมพึมพำออกมาตอนที่มันหันหลังไปไกลแล้ว
มันน่าขำสิ้นดีเพราะสิ่งที่พูดช่างไม่เข้ากับสถานการณ์เอาเสียเลย รีบกลับอะไรกัน? แค่แยกไปตรวจกับหมอเท่านั้นเอง แถมไม่ได้เป็นอะไรกันที่จะต้องมาทำซาบซึ้งผิดจังหวะ ถึงอย่างนั้นผมก็อยากลองพูดดู...แค่เบา ๆ
ทว่าสิ่งที่ทำให้ขำไม่ออกก็คือตอนที่เจ้านั่นเอี้ยวตัวกลับมา กรีดยิ้มบนใบหน้าแบบที่้ถ้าบอกว่าพี่เอมสอนมาผมก็คงจะเชื่อ เพราะถ้ามองแบบใจเป็นกลางสุด ๆ ผมว่ายิ้มนั่นอาจจะทำคนเข่าอ่อนจนยืนไม่อยู่ได้ แต่ไม่ใช่กับผม เพราะผมนั่งอยู่บนเก้าอี้ และก็ไม่คิดจะยืนขึ้นตอนนี้เพื่อให้ใครเห็นผมทำเข่าอ่อนล้มพับเด็ดขาด
“คิด-ถึง-แล้ว-ล่ะ-สิ” ไม่ได้มีเสียงเล็ดลอดออกมา เพียงแค่การขยับปากช้า ๆ เป็นคำให้ผมเห็น แต่ก็ทำให้ได้รู้ว่าที่ผมพึมพำเมื่อกี้นั่น.....มันได้ยิน!
หูนรก!!! ถ้าได้ยินก็หัดเงียบ ๆ เอาไว้สิวะ บ้าเอ๊ย! อย่างน้อยมันก็ควรคิดบ้างว่าผมจะอับอายจนไม่รู้ควรเอาหน้าไปซุกไว้ตรงไหนแล้ว ผมเอามือซ้ายข้างที่ดีตีแก้มตัวเองรัว ๆ เรียกสติแล้วลุกขึ้นจากเก้าอี้ ยังไม่ถึงคิวผม ถ้าจะออกไปล้างหน้าล้างตาในห้องน้ำสักนิดอาจจะช่วยให้สติที่พักนี้ไม่ค่อยเฝ้าอยู่กับเนื้อกับตัวกลับมาได้บ้าง
.......................................................
.....................................
หน้าห้องฉุกเฉินผู้คนพลุกพล่านเสียยิ่งกว่าข้างใน น่าแปลกใจว่าวัน ๆ หนึ่งมีคนป่วยเยอะขนาดนั้นเชียว ท่ามกลางคนไข้และญาติมากมาย กริชที่บอกว่าจะออกมารอข้างหน้าไม่รู้ว่าหายไปไหนแล้ว
ผมมองซ้ายมองขวาหาป้ายบอกทางไปห้องน้ำ แต่สายตากลับเหลือบไปเห็นร่างของคนที่ตอนนี้น่าจะนอนพักอยู่ที่หอ
อุ่นใจ...?กับร่างสูงของใครอีกคนในเสื้อกาวน์สั้นสีขาว แม้จะหันหลังให้ แต่ผมมั่นใจว่าน่าจะเป็นใครสักคนในหอเดียวกัน
ผู้ชายใส่แว่นท่าทางเคร่งขรึม พี่หมอที่ชื่อ....ชื่ออะไรสักอย่างซึ่งนึกไม่ออก... ช่างเถอะ ที่อยากรู้คืออุ่นใจเป็นอะไรหรือเปล่าถึงมาอยู่ที่โรงพยาบาลได้
ระยะห่างไม่กี่สิบเมตร ถ้าตะโกนคงได้ยิน แต่จะมายืนแหกปากกลางผู้คนให้อับอายเล่นก็ใช่ที่ ทำเหมือนที่ผ่านมายังเจอเรื่องขายหน้าไม่พอ ผมกวาดสายตาไปทางประตูห้องฉุกเฉิน... ยังคงไม่ถึงคิวผมตรวจ เลือดที่แขนก็หยุดไหลแล้ว ไม่มีน่ามีปัญหาอะไรเลยถ้าจะวิ่งฝ่าฝูงขนจากตรงนี้
ผมเบียดตัวแทรกผ่านหน้าหญิงร่างท้วมสองคนที่ขวางทางอยู่ แต่ยังขยับไปได้ไม่ทันจะพ้นระยะหน้าประตูห้องฉุกเฉินด้วยซ้ำก็กระแทกเข้าอย่างจังกับมัดกล้ามแข็งโป๊กที่ไหล่ของใครสักคนซึ่งให้ความรู้สึกเหมือนวิ่งชนชิ้นส่วนรถถังมากกว่าร่างกายมนุษย์ และแรงกระแทกที่ว่าก็ส่งผมลงไปนั่งก้นจ้ำเบ้าลงบนพื้นแบบไม่มีอะไรจะเสียอีกแล้ว ก่อนเท้าใครสักคนซึ่งเดินกันให้ขวักไขว่อยู่แถวนั้นจะบังเอิญมาเตะเข้าที่แผลตรงแขนของผมเข้าพอดี บ้าเอ๊ย! เจ็บน้ำตาแทบเล็ด
“เป็นอะไรไหม”
ผมเกือบตอบกลับไปว่า
'เป็นสิวะ' แล้วเชียวหากไม่เห็นเข้าเสียก่อนว่าเจ้าของเสียงเป็นชายร่างบึกบึน...บึกยิ่งกว่าพ่อหมีน้อยน่ารักที่ขับรถมาส่งผมเสียอีก ที่นี่ประเทศไทยจริงเหรอวะ แขนล่ำ ๆ ที่ผมเพิ่งเอาหน้าไปกระแทกยื่นมาหมายจะช่วยพยุง ผมได้แต่เอ่ยขอบคุณแล้วยื่นมือไปดึงไว้เป็นที่ยึดเพื่อฉุดตัวเองลุกขึ้นยืนเงอะงะ
ตอนนั้นเองจึงได้สังเกตว่าข้างชายร่างใหญ่นั้นมีผู้ชายวัยกลางคนท่าทางภูมิฐานอีกคนยืนรออยู่ อายุน่าจะประมาณสี่สิบปลาย ๆ ใบหน้าที่แม้จะมีริ้วรอยตามวัยแต่กลับเสริมให้ดูเป็นผู้ใหญ่น่าเชื่อถือแสดงอาการคล้ายจะประหลาดใจอยู่เพียงแวบหนึ่ง ดวงตาดำขลับชวนให้นึกถึงใครสักคนจ้องมองมาทางผม จากนั้นจึงขมวดคิ้วพร้อมกับหรี่ตาลงน้อย ๆ อย่างใช้ความคิด และนั่นทำให้ผมรู้สึกทำตัวไม่ถูก เขาอาจหงุดหงิดที่ผมวิ่งไม่ดูทางจนทำให้เพื่อนร่างใหญ่ของเขาต้องเสียเวลา
“เอ่อ..ขอโทษครับ”
ผมเอ่ยออกมารวดเร็ว ถือโอกาสชะเง้อมองข้ามไหล่คนตรงหน้า เพียงเพื่อจะพบว่าอุ่นใจหายไปแล้ว...แย่จริง!
“คมสัน คุณช่วยเขาปัดฝุ่นตามตัวหน่อย”
ได้ยินคำสั่งอย่างนั้นจึงประเมินใหม่ว่าความสัมพันธ์ของสองคนนี้คงไม่ใช่ในฐานะเพื่อน แต่น่าจะเป็นเจ้านายกับลูกน้องมากกว่า
“ครับ”
ชายในร่างรถถังจำแลงรับคำ ก่อนจะตรงเข้ามาเอามือตบ ๆ ตามเสื้อและกางเกงเลอะฝุ่นของผม ซึ่งที่จริงมันไม่จำเป็นเลยเพราะเสื้อผ้าผมมอมแมมไปทั้งตัวตั้งแต่ตอนที่โดนดึงถลาหลบมอเตอร์ไซค์คันเบิ้มเป็นหนังแอคชั่นก่อนที่จะมาล้มหงายหลังตรงนี้เรียบร้อยแล้ว ที่สำคัญจะมีอะไรรับประกันได้ว่ากระดูกกระเดี้ยวผมจะไม่หักไปเสียก่อนจากเสียงตุ้บ ๆ ซึ่งไม่รู้ว่านั่นตั้งใจจะปัดฝุ่นหรือว่ากะเอามือฟาดผมให้น่วมไปทั้งตัวกันแน่
“พ..พอแล้วครับ ขอบคุณมาก”
“คุณปิ่นหยก แววสินธุ์ค่ะ”
ผมได้ยินแว่ว ๆ เสียงที่ดังมาจากในห้องฉุกเฉินนั่น ถึงคิวผมแล้วใช่ไหม
“ขอโทษที่ทำให้เสียเวลาครับ ผมต้องไปแล้ว”
“คุณปิ่นหยก แววสินธุ์ค่ะ” เสียงเดิมเรียกซ้ำอีกครั้ง คราวนี้ดูจะแข็งขึ้นนิดหน่อย...ควรรีบแล้ว
ผมหันหลังกลับ กำลังจะเดินกลับเข้าห้องฉุกเฉินแต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่อได้ยินชื่อตัวเองดังขึ้นจากปากชายวัยกลางคนที่ยังไม่ได้คุยกันตรง ๆ เลยสักประโยค
“ปิ่นหยก!”ผมหันหลังอีกครั้ง..หมุนครบวงแล้วตอนนี้ ตลกตัวเองที่มาเต้นระบำอะไรอยู่หน้าห้องฉุกเฉินเนี่ย
“......ครับ?”
“นั่นชื่อเธอเหรอ”
ไม่ใช่มั้ง! ผมนึกบ่นอยู่ในใจ เงยขึ้นมาก็เห็นสีหน้าแบบเดิมของเขาในเวอร์ชั่นที่เข้มข้นกว่าเก่า สายตายังคงหรี่มองมาเหมือนอยากเค้นให้ผมพูดความจริงซึ่งผมก็ไม่มีความจริงอะไรจะพูดนอกจาก..
“ครับ..นั่นชื่อผม”
“ปิ่นหยก”
เสียงคุ้นเคยของอีกคนเรียกขึ้นจากประตูห้องฉุกเฉิน...หันไปก็เห็นไอ้ลูกเจี๊ยบกำลังเดินเข้ามา บนหน้าผากมีผ้ากอซแปะอยู่เรียบร้อย จากนั้นก็ตามด้วยเสียงคุณพยาบาลคนเดิมประกาศซ้ำอีกครั้ง “คุณปิ่นหยก แววสินธุ์ค่ะ” เรียกกันเข้าไป...เกณฑ์คนทั้งโลกมาช่วยกันตะโกนชื่อผมเลยสิ
“ถึงคิวนายแล้ว”
“ไปแล้ว ๆ พอดีเมื่อกี้คุยกับคุณน้าคนนี้อยู่”
ผมกวาดมือไปยังทิศทางที่คู่สนทนาวัยกลางคนยืนอยู่เมื่อครู่ประกอบคำอธิบาย ก่อนที่สีหน้าแปลกใจของอาทิตย์จะทำให้ผมต้องหันกลับไปดู
...แล้วก็พบว่าคู่สนทนาลึกลับและลูกน้องของเขาไม่ได้ยืนอยู่ตรงนั้นเสียแล้ว...To be continued…==============================================
คุยกันท้ายเรื่อง เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องผีหรอกนะคะ... (ฮา)

หายไปช่วงนึง ติดภารกิจนิดหน่อยค่ะ เอาแต่อู้วาดรูปเล่นอยู่ด้วยล่ะ //ผิดไปแล้ว TTvTT
จะพยายามรีบมาต่อน้าาา อย่างช้าสุดสำหรับช่วงนี้ก็น่าจะสัปดาห์ละตอนนะคะ (แต่น่าจะเร็วกว่านั้นนะ อันนั้นคืออย่างช้า)
ระหว่างนี้ไปสูบรูปเด็ก ๆ ที่เฟซบุ๊คกันก่อน วาดรูปเด็กพวกนี้เราสนุกมากค่ะ หนุ่ม ๆ กระชุ่มกระชวยดีจริง <<ความคิดแบบป้าแก่ ๆ 555
ขอบคุณมาก ๆ สำหรับทุกคอมเม้นต์นะคะ แล้วพบกันตอนหน้าค่า ^^