Dormitory Boys - สะดุดรัก หอพักอลเวง
“รัก...ติดดิน”Chapter 12 – ปิ่นหยกกริชกลับไปพร้อมรถกระบะผุ ๆ แล้ว เป็นปิ่นหยกนั่นเองที่บอกว่าจะเดินกลับหอซึ่งอยู่แค่หน้าโรงพยาบาล ไม่ต้องรอ
อาทิตย์มองอีกฝ่ายนั่งล้างขาอยู่หน้าก๊อกน้ำ นี่ผิดจากที่เขาคาดไว้นิดหน่อย ตอนแรกคิดว่าเย็บแผลเสร็จคงจะไปเรียนต่อตามประสาเด็กทุนรักเรียนและเขาคงตามไปด้วย แต่พอเดินออกจากโรงพยาบาล ปิ่นหยกที่กระโดดหลบน้ำจากสายยางรดน้ำต้นไม้ของคนสวนแล้วเหยียบลงบนฝาคอนกรีตปิดท่อระบายน้ำซึ่งเก่าจนมีรอยร้าว ก่อนจะทรุดฮวบตกท่อไปก็ประกาศกร้าวว่าช่างหัวโรงเรียนมันแล้ววันนี้
เพราะงั้นเขาก็คงไม่มีเหตุผลจะต้องไปนั่งแกร่วในบรรยากาศการเรียนเครียด ๆ ของห้องคิงที่ไม่มีคนตรงหน้านี้อยู่ล่ะนะ“ทำไมไม่ไปเรียน?” ปิ่นหยกหันมาทำตาขวางตอนที่เขาบอกว่าจะไม่ไปเหมือนกัน
“แล้วนายล่ะ?”
“ไม่อยากไป”
“ฉันก็ไม่อยากไป”
“กวนเรอะ!?”
“คำตอบเดียวกัน งั้นนายก็กวนด้วยสินะ”
“ไอ้....!!”ถ้าไปโรงเรียนแล้วเขาจะคุยเล่นแบบนี้กับใครล่ะ?ปิ่นหยกนั่งเอาหน้าซบก๊อกน้ำอยู่ครู่หนึ่งเหมือนพยายามจะสงบสติอารมณ์ และเขาก็ตามไปทรุดตัวลงนั่งข้าง ๆ นึกเห็นใจว่าวันหนึ่งคงยาวนานมากทีเดียวหากมันเริ่มต้นด้วยการกระโดดหลบมอเตอร์ไซค์ได้แผลฉีกที่แขน พอมาโรงพยาบาลก็ไปวิ่งชนใครไม่รู้ล้มหงายหลังตามด้วยถูกเท้าคนแถวนั้นสักคนเตะโดนเข้าตรงแผลพอดิบพอดี (ซึ่งเรื่องนั้นปิ่นหยกมาเล่าให้ฟังทีหลัง) ออกมาก็ถูกนกขี้ใส่หัว เดินผ่านสวนหน้าโรงพยาบาลยังเกือบถูกคนสวนที่กำลังรดน้ำต้นไม้ฉีดน้ำใส่โดยไม่ตั้งใจ อุตส่าห์หลบทันก็ดันมาเหยียบฝาท่อระบายน้ำคอนกรีตร้าว ๆ จนหล่นพรวดลงไปทั้งขา...
“ไหวไหม?”
เขาก้มลงไปดูเมื่อเห็นว่าเวลาผ่านไปครู่ใหญ่ เผื่ออีกฝ่ายจะเผลอฟุบจนหลับไปแล้ว
“ถ้าไม่ไหวจะได้อุ้มกลับ”
คนที่ก้มหน้าอยู่ส่งเสียงครึ่ง ๆ กลาง ๆ ระหว่างถอนหายใจกับเสียงครางอย่างหงุดหงิด
“เดินเองได้ว้อย!”
“เป็นห่วงนะครับ เดี๋ยวเดินสะดุดอะไรอีก”
“บ้าเอ๊ย” ปิ่นหยกสบถออกมาเบา ๆ จากนั้นก็เงียบไปครู่หนึ่งแล้วพูดจึงต่อทั้งที่ยังไม่เงยหน้า มีแต่ใบหูแดงแปร๊ดที่โผล่พ้นไรผมออกมาให้เห็น “ผู้ชายเขาไม่พูดอะไรกันแบบนี้รู้หรือเปล่า”
“แบบไหน”
แบบที่เมิงพูดอยู่เป็นกิจวัตรนั่นไง..! อา....ไม่ ๆ.....ใจเย็น ๆ
“........แบบที่.......ที่ควรเอาไปใช้...จีบสาวมากกว่าพูดกับเพื่อน”
อาทิตย์เลิกคิ้ว เขาจำไม่เห็นได้เลยว่าใช้คำพูดแบบจีบสาวอะไรไปตั้งแต่เมื่อไหร่
“ไม่เคลียร์เลย ฉันไม่เคยจีบผู้หญิง”
นี่พูดจริงหรือตั้งใจกวนประสาท ปิ่นหยกกัดลิ้นตัวเองไม่ให้เผลอโวยวายก่อนจะตัดบท
“ช่างเหอะ จะกลับแล้ว”
“อย่าเพิ่งเปลี่ยนเรื่องสิ ไหนยกตัวอย่างให้ฟังหน่อย”
ดูเหมือนเขาจบแต่ท่านชายจะยังไม่จบ ปิ่นหยกที่เดินนำหน้าอยู่หันกลับไปมองคนข้างหลัง ยิ่งเห็นก็ยิ่งรู้สึกว่าน่าหมั่นไส้จริง ๆ คนที่บอกว่าตัวเองไม่เคยจีบสาวแต่ดันหยอดตลอดเวลาแบบนี้มีในโลกด้วยเรอะ! หรือทุกทีเคยแต่จีบหนุ่ม...
เขาเสียวสันหลังวาบ หรือมันจะเป็นเกย์จริง ๆ!อยากเปลี่ยนเรื่อง แต่สายตาแบบเด็กน้อยใสซื่อที่เขามั่นใจว่ามันต้องแกล้งทำแน่ ๆ แต่อาจจะแกล้งได้เนียนไปหน่อยก็ทำเอาความคิดว่าจะไม่ใจอ่อนถูกสั่นคลอน
“วิธีพูดอย่างที่แกชอบทำนั่นแหละ”
“เช่น?”
“อาทิตย์น่ารักจังครับ”
“ขอบคุณนะ นายก็น่ารักเหมือนกัน”
“แค่ยกตัวอย่างว้อย!!”อีกฝ่ายหัวเราะ “ปิ่นหยกน่ารักจังครับ”
ยังไม่ทันจะได้เถียงอะไรก็...
“ว้ายยย!!”โครม!!!!เอาล่ะ! ก่อนหน้านี้ที่เขาบอกว่าจะยังไม่นับวันนี้เป็นวันซวย ตอนนี้ขอถอนคำพูดแล้ว วันนี้ซวยมาก...ซวยบัดซบ...!! หลักฐานชิ้นล่าสุดคือกะละมังที่ครอบหัวเขาอยู่นี่แหละ เวรเอ๊ย! กะละมังมีไว้โยนเล่นจากระเบียงเรอะ! ไม่อยากจะคิดเลยว่าน้ำที่ค้างอยู่ในนั้นผ่านการซักล้างอะไรมาบ้างแล้ว เงยหน้าขึ้นไปมองหาที่มาของวัตถุปริศนาจากฟากฟ้าก็พบสาวน้อยวัยรุ่นเอามือปิดปากทำหน้าตระหนกอยู่บนระเบียงชั้นสองซึ่งคงจะเป็นหอผู้ป่วย ท่าทางจะเพิ่งทำอาวุธที่ประทุษร้ายเขาหลุดมือมาโดยไม่ตั้งใจ เกือบปรอทแตกแล้วแต่พอเห็นหน้าว่าเป็นเด็กผู้หญิงแถมยังส่งเสียงขอโทษขอโพยละล่ำละลักก็โกรธไม่ลง
“ไม่เป็นไรครับ”
เขาเงยหน้าขึ้นโบกมือให้เด็กสาวคนนั้น แต่ที่ว่าไม่เป็นไรนั่น...แท้จริงกำลังบอกกับตัวเองมากกว่า
เอาสิ! มันจะอะไรนักหนา ต่อให้เอเลี่ยนบุกโลก ท่านปิ่นหยกผู้ถึกทุยและสู้ชีวิตผู้นี้ยังไงก็ต้องรอดกลับหอให้ได้.
.
.
.
เขารอดมาได้แล้วจริง ๆ แม้จะทุลักทุเลระหว่างทางอยู่บ้าง
“บอกแล้วว่าให้อุ้มกลับมาก็ไม่เชื่อ”
อาทิตย์บ่นเล่นทีจริงระหว่างที่พวกเขาไต่ขึ้นบันไดหอพักโดยไม่ได้แวะไปบอกพี่เอมที่น่าจะอยู่ที่ร้านก่อนว่าวันนี้โดดเรียน บางเรื่องผู้ใหญ่ก็ไม่จำเป็นต้องรู้
คนตัวเล็กกว่าหันไปเอากุญแจห้องปาใส่กะให้แสกกลางหน้าผากหรือไม่ก็จิ้มเข้าแผลเลยยิ่งดี แต่อีกฝ่ายดันหลบได้แถมยังเอามือคว้ากุญแจเอาไว้กลางอากาศอย่างเท่ หมั่นไส้เว้ย!
“รู้ว่าอยากให้ แต่กุญแจห้องมีแล้วครับ”
อีกฝ่ายโยนลูกกุญแจกลับมา เขาส่งเสียงจิ๊อย่างขัดใจพลางยื่นมือไปรับด้วยท่าที่คิดว่าเท่ไม่แพ้กันด้วยอารมณ์อยากจะเอาชนะ(บ้าง)
“ไนซ์แคช!”
อาทิตย์ตบมือแปะ ๆ และนั่นทำให้เขารู้สึกตัวว่ามัวเล่นบ้าอะไรเป็นเด็กอยู่กลางบันได เดี๋ยวก็กลิ้งหล่นลงไปสังเวยอาถรรพ์วันซวยอะไรสักอย่างอีกสักแผลสองแผลจนได้
"ไร้สาระ" เขาบ่น ละเลยความจริงที่ว่าตัวเองเป็นฝ่ายเริ่มเล่นก่อน
ประตูห้องพักชั้นสองไล่ไปตามหมายเลข....สองศูนย์หนึ่ง ห้องพี่เอม...สองศูนย์สอง ห้องน้องอุ่น....ถัดไปเป็นสองศูนย์สาม ห้องของพวกเขา แต่ปิ่นหยกกลับเดินมาหยุดอยู่ที่หน้าห้องอุ่นใจ
“เดี๋ยวแวะหาอุ่นก่อน เห็นที่โรงพยาบาลเมื่อเช้า ไม่รู้กลับรึยัง”
อาทิตย์พยักหน้า เลือกจะยืนพิงผนังรออยู่ตรงนั้นแทนที่จะเข้าห้องไปก่อน ปล่อยให้ปิ่นหยกเดินไปเคาะประตูห้องสองศูนย์สองเบา ๆ
ไม่มีเสียงตอบกลับมา
“อุ่นใจ”
ลองเคาะดูอีกครั้ง เอาหูไปแนบประตูก็ไม่ได้ยินเสียงอะไร...หรือว่าจะยังไม่กลับ?
หลังจากหันรีหันขวางอยู่ครู่หนึ่ง ท่าทางคงจะไม่มีคนอยู่จริง ๆ ปิ่นหยกเลื่อนมือไปจับที่ลูกบิดประตู ออกแรงหมุนเพียงเบา ๆ แบบไม่หวังผล และผิดคาดที่พบว่ามันไม่ได้ล็อค
เด็กหนุ่มแง้มประตูออกเพียงเล็กน้อยแล้วยื่นหน้าเข้าไป สายตากวาดมองสภาพห้องคุ้นตาที่เขาเองก็เคยเข้ามาบ่อย ๆ ไฟในห้องไม่ได้เปิดไว้ มีเพียงแสงลอดผ่านรอยแยกของผ้าม่านส่องเข้ามากระทบลงบนข้าวของเครื่องใช้เห็นเป็นเงาสลัว...สิ่งที่ผิดแปลกไปมีเพียงอย่างเดียวคือภาพร่างสูงของใครสักคนนั่งอยู่ตรงขอบเตียง
ผิดห้อง?เขาถอยออกมารวดเร็วแล้วปิดประตูลงอย่างเงียบเชียบในจังหวะที่คนในห้องเหมือนจะยังไม่รู้ตัวว่ามีแขกมาเยือน สายตาตวัดไปมองเลขหน้าห้อง ห้องอุ่นใจก็ถูกแล้วนี่! ของในห้องก็เหมือนเดิมแทบจะทุกอย่าง แล้วคนในนั้นใคร?
ช่วงเวลาแห่งความลังเลใจผ่านไปครู่หนึ่ง ก่อนที่เขาจะเปิดประตูอีกครั้ง กำลังคิดว่าถ้ายิงคำถามแรกใส่ว่า
'มาทำอะไรในห้องอุ่นใจ' จะฟังดูหยาบคายไปไหม แต่แล้วภาพที่เห็นก็ทำเอาคำพูดทั้งหมดที่ตั้งใจจะเอ่ยออกมาถูกกลืนลงคอไปจนเกลี้ยง
“ข...ขอโทษครับ!” ปิ่นหยกโพล่งขึ้นทันทีที่รู้สึกตัว ก่อนจะกระชากประตูปิดแบบไม่สนใจว่าเสียงมันจะดังจนไปขัดจังหวะกิจกรรมของสองคนในห้องนั่นหรือเปล่า
“ปิ่นหยกเป็นอะไร”
คนที่ยืนรออยู่ข้างหน้าส่งเสียงทักเมื่อเห็นอาการลุกลี้ลุกลนและใบหน้าแดงเป็นลูกตำลึงสุกของอีกฝ่าย
“เปล่า!”เป็นการโกหกที่ไม่เนียนเลย...เขารู้ แต่จะให้บอกยังไงว่าเห็นอุ่นใจกับผู้ชายใส่แว่นร่างสูงที่น่าจะเป็นพี่หมออะไรสักอย่างคนนั้นกำลัง...
......จูบ......นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน...ตั้งสติก่อน นี่เขากำลังตกใจอะไรอยู่ อุ่นใจก็จัดว่าอยู่ในช่วงวัยรุ่น เวลามีความรู้สึกรักใคร่ชอบพอก็อาจจะเลือกวิธีแสดงความรักแบบนั้นได้เป็นเรื่องปกติ ถ้าอุ่นใจจูบกับผู้หญิงเขาอาจจะไม่ช็อคอย่างนี้...แต่....นั่นผู้ชาย..ไม่ใช่เรอะ!? หรือพี่หมอคนนั้นแกเป็นผู้หญิง...บ้าเหอะ! ถึงอย่างนั้นก็เถอะ....ถ้าพูดถึงเรื่องจูบกับผู้ชาย....เขาเองก็....
สายตาเหลือบไปมองคู่กรณีที่เคยมีประสบการณ์จูบขวัญผวาถึงขั้นปากแตกมาด้วยกันโดยไม่รู้ตัว จึงได้เห็นว่าพ่อคุณชายอาทิตย์ก็กำลังจ้องเขาด้วยสีหน้าดูมึน ๆ เหมือนเคย ผิดแต่สายตาออกจะแฝงความอยากรู้อยากเห็นมากกว่าปกตินิดหน่อย และนั่นทำให้สติที่ตั้งใจจะเรียกกลับมายิ่งพาลจะกระเจิดกระเจิงกู่ไม่กลับ
“เห็นอะไรในห้องนั้นเหรอ”
“เปล่า!”ก็โกหกอีกนั่นแหละ!
อาทิตย์เลิกคิ้วน้อย ๆ พร้อมกับหันไปไขประตูห้องของพวกเขา ผลักมันเปิดออกแล้วเอาแขนโอบไหล่คนข้าง ๆ ให้เดินเข้าไป
ปิ่นหยกโกหกไม่เคยเนียนสักครั้ง แต่ในเมื่ออีกฝ่ายไม่คิดจะพูดอะไรเขาก็ไม่อยากเซ้าซี้ ความจริงถ้าไม่ใช่เรื่องที่ตัวเองอยากรู้หรือสนใจเขาก็ไม่คิดจะขุดคุ้ยอะไรให้เหนื่อยแรง ติดก็ตรงที่ท่าทางวิตกจริตจนน่าสงสารของคนตรงหน้านี่แหละที่ทำให้รู้สึกอยากดึงมากอดปลอบขึ้นมา
และถ้าเขาอยากกอด..มันก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะไม่กอดนี่นะ"!!!!?"ปิ่นหยกเบิกตากว้าง ไม่ค่อยแน่ใจนักว่าเกิดอะไรขึ้น รู้ตัวอีกทีก็อยู่ในอ้อมแขนของคนที่เมื่อครู่ยังแค่โอบที่ไหล่แท้ ๆ หลังจากความพยายามจะดิ้นให้หลุดอยู่พักใหญ่ดูเหมือนจะไม่เป็นผลเขาก็ตัดสินใจว่าช่างมันเถอะ เก็บแรงไว้ทำอย่างอื่นคงคุ้มกว่า
“ไม่เป็นไรนะครับ”อืม...ถ้านี่เป็นคำพูดของพระเอกในหนังรักมันคงฟังดูโรแมนติกฉิบหายวายป่วง แต่นี่ผิดที่ผิดเวลารึเปล่าน่ะ!!?
“ฉันไม่เป็นไร แกต่างหากเป็นอะไรมากไหมเที่ยวไล่กอดคนอื่น!”
“ไม่เคยไล่กอดใครมาก่อนนะ” เด็กหนุ่มร่างสูงแก้ต่างเสียงอู้อี้ ใบหน้ายังซบอยู่บนไหล่ของคนที่ยืนตัวแข็งทื่ออยู่ในวงแขน...
ปิ่นหยกถอนหายใจ จุดประสงค์ที่บอกนี่คือเขาควรจะต้องปลาบปลื้มตื้นตันหรือว่ายังไง?
อาทิตย์สูดลมหายใจเข้าลึก
“แล้วนายก็ไม่ใช่คนอื่นด้วย”อีกฝ่ายไม่ได้ตอบอะไรแต่ก้มหน้างุดเสียจนคางชิดอก และนั่นทำให้เขาได้ใจกระชับอ้อมกอดแน่นเข้ามาอีก
....มันอุ่น....เขาชอบเวลาอยู่ใกล้กับปิ่นหยก ชอบเวลาอีกฝ่ายพยายามสอนให้เขาทำอาหารหรือทำความสะอาดร้านด้วยท่าทางจริงจัง ตอนที่พยายามลากเขาลงจากเตียงตีสี่ทุกเช้าทั้งที่ตัวเองก็ยังทำหน้าง่วงแทบลืมตาไม่ขึ้น เวลาหงุดหงิด เวลาหัวเราะ หรือเวลาที่ยกมือขึ้นมาลูบหลังของเขาเบา ๆ ทั้งที่ยังอยู่ในอ้อมกอดอย่างตอนนี้
ความจริงแล้วเขายังคิดไม่ออกเลยว่าไม่ชอบอะไรในตัวคนตรงหน้า.........................
.................
.
.
.
.
“ถ้ามีลูกสาว จะให้ชื่อปิ่นหยก”“ชอบขนาดนั้นเลยหรือ?”
เธอไม่ตอบ..แต่ยิ้มน้อย ๆ
“แล้วถ้าเป็นลูกชายล่ะ?”
หญิงสาวมุ่นคิ้วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เก็บปิ่นไม้ที่มีหยกชิ้นเล็ก ๆ ห้อยประดับเข้ากระเป๋าอย่างทะนุถนอมแล้วหันมาตอบหน้าตาย
“ยังไม่ได้คิด”
“ไม่เตรียมพร้อมเลย”
“ไม่ได้กะจะแต่งงานมีลูกเร็ว ๆ นี้ซะหน่อยนี่”
"นั่นสิ หาพ่อให้ได้ก่อนดีกว่าเนอะ"
ประโยคนั้นทำเอาเธอหันมาค้อนขวับ และเขาเพียงหัวเราะอยู่ในลำคอ ตัวเขาเองก็ไม่นึกอยากจะมีลูกหรือว่ามีครอบครัวตอนนี้เหมือนกัน ยิ่งถูกคุณพ่อปล่อยเกาะให้ใช้ชีวิตปากกัดตีนถีบตามลำพังยิ่งไม่อยากจะคิดเรื่องเอาเงินไปหาเลี้ยงครอบครัวเลย... อย่างน้อยก็จนกว่าจะเรียนจบนั่นแหละ
“ขอบคุณนะ”
เธอเอ่ยขึ้นอีกครั้ง พวงแก้มเป็นสีชมพูระเรื่อชวนมอง
“หือม? เรื่องอะไร”
“ปิ่นที่ให้มาไง”
เขาพยักหน้าช้า ๆ “อันนั้นไม่ได้มีราคามากมายหรอก เป็นของเล่นของลูกพี่ลูกน้องที่ติดกระเป๋ามา ถือว่าเป็นค่าข้าวเหนียวหมูปิ้งที่ให้กินฟรีมาตั้งนาน”
“ชิ! ทีหลังจะให้ของคน ไม่ต้องบอกก็ได้นะว่าเอาของคนอื่นมาให้น่ะ”
“ก็ได้ งั้นอันนั้นของฉันเอง ใช้ปักผมประจำ” เขาเอ่ยหน้านิ่ง
“เพ้อเจ้อ!” แล้วเธอก็หัวเราะร่วน
ผ่านไปยี่สิบกว่าปีแล้ว น่าแปลกที่เขายังจำเสียงหัวเราะของเธอในวันนั้นได้ดี...............
....
“ท่านครับ?”
คมสันเรียกพลางยื่นแฟ้มใส่เอกสารสรุปรายงานการประชุมที่ผ่านมาให้ วันนี้เจ้านายของเขาดูเหม่อลอยแปลก ๆ
“??”
“เอกสารที่ท่านเรียกครับ”
เขารับแฟ้มมาพลิกดูคร่าว ๆ แล้วตัดสินใจเก็บเอาไว้อ่านทีหลัง ทั้งที่เพิ่งเป็นคนโทรศัพท์ไปบอกให้ลูกน้องคนสนิทเอามาให้เมื่อครู่นี้เอง “ขอบใจมาก” เป็นคำตอบรับเพียงสั้น ๆ ก่อนที่คมสันจะขอตัวกลับไป
“เหม่อคิดถึงคุณอาทิตย์เหรอคะ” หญิงชราร่างท้วมวางถ้วยกาแฟลงบนโต๊ะของเขาเบามือ ใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยนั้นยังมีรอยยิ้มอบอุ่นประดับอยู่เช่นเคย บัวมักจะรู้ใจคนในบ้านเสมอ แต่ครั้งนี้เธอเดาผิด
“ไม่คิดถึงหรอกครับ ตอนนี้ไม่รู้อยู่ไหนแล้วด้วย”
“คุณนนท์ปากแข็ง ถ้าคิดถึงก็ไปรับกลับมาสิคะ จะตามหาลูกชายคนเดียวไม่น่าเหลือบ่ากว่าแรงเลย คุณอาทิตย์เพิ่งจะเป็นเด็กมัธยมเท่านั้นเอง”
“บัวคอยให้ท้ายอย่างนี้ไงครับ อาทิตย์ถึงไม่รู้จักโตสักที เอื่อยเฉื่อยแบบนั้นต้องดัดหลังซะบ้าง”
เธอถอนหายใจออกมาแผ่วเบา ริมฝีปากระบายยิ้มแบ่งรับแบ่งสู้ ในเมื่อทั้งอันนาและอาทิตย์เป็นเด็ก ๆ ที่เธอรักเหมือนลูกแท้ ๆ จะไม่ให้ห่วงได้อย่างไร
"เป็นคุณพ่อที่ใจร้ายจริง ๆ"
“ถ้าจะตามหา ผมไปตามคนอื่นยังจะดีกว่า”
“แบบคุณนนท์จะมีใครที่ต้องตามด้วยเหรอคะ”
“ไม่รู้สิครับ”
เขาตอบอย่างขอไปที นัยน์ตาสีดำขลับแบบเดียวกับคุณพ่อของเขาซึ่งส่งผ่านพันธุกรรมไปถึงลูกชายที่เป็นรุ่นหลานจับจ้องไปยังตุ๊กตาหยกรูปมังกรบนโต๊ะอย่างครุ่นคิด
...ปิ่นหยก....แววสินธุ์?ชื่อของเด็กที่เจอในโรงพยาบาลคนนั้นยังดังซ้ำไปซ้ำมาอยู่ในหู
เขาถอนหายใจยาวแล้วเอนหลังพิงพนักเก้าอี้บุนวมตัวโปรด มันเป็นเพียงข้อสันนิษฐานลม ๆ แล้ง ๆ และเขาก็ไม่ได้มีเวลามากมายจะไปเล่นไล่จับกับเด็กมัธยมไม่รู้ลูกเต้าเหล่าใครที่แค่บังเอิญทำให้นึกถึงความทรงจำเก่า ๆ ขึ้นมา
อานนท์หัวเราะเบา ๆ กับถ้วยกาแฟที่เริ่มจะเย็นชืด
"เธอน่าจะคิดไว้ตั้งแต่ตอนนั้นด้วยนะ...ว่าถ้าเป็นลูกชายจะให้ชื่อว่าอะไร"To be continued…คุยกันท้ายเรื่องปิ๊งป่อง!! คุณพ่อของอาทิตย์ค่ะ.. ทุกคนทายถูกหมดเลย (ก็ส่อซะขนาดนั้น..ฮา)
ก่อนไป แถมหมีกริชกับพี่เอมค่ะ วาดขอบคุณที่แฟนเพจได้ครบ 100+ Likes ขอบคุณมากนะคะ


ห้ามบอกว่าพี่เอมเสะกว่าน้าาา โฮรววววว เผลอวาดพี่เอมเสะไปหน่อยค่ะ(หรือวาดหมีเคะไป 555) เอาไว้แก้ตัววันหลัง
ขอบคุณมาก ๆ ทุกคอมเม้นต์ แล้วพบกันตอนหน้าค่า ^o^