Dormitory Boys – สะดุดรัก หอพักอลเวง
“รัก...ติดดิน”CHAPTER 14 – พบกันอีกครั้ง“น้องแววใส่ชุดนี้น่ารักมาก พี่นึกถึงนางเอกคอฟฟี่ปริ๊นซ์”
“ว้าย..พี่เอมชมอย่างนี้คุณน้องก็เขินแย่สิคะ”
“นางเอกคอฟฟี่ปริ๊นซ์แต่งเป็นผู้ชายไม่ใช่เหรอครับ”
แล้วท่านชายก็ถูกถาดอาหารฟาดผลัวะเข้าที่หน้าเบา ๆ ด้วยข้อหาพูดจาไม่เข้าหูสาวโสดหนึ่งเดียวของร้าน
“หน้าเกลี้ยง ๆ นั่น อยากมีแผลเหรอยะ!”
“มีแล้วครับ ขอบคุณ”
อาทิตย์ว่าพลางเปิดปอยผมที่หน้าผากโชว์แผลซึ่งยังไม่หายดีจากอุบัติเหตุครั้งก่อน และได้รับสายตาสมน้ำหน้าจากแวววันกลับมาเป็นการตอบแทน ส่วนเอมจิตยืนหัวเราะพร้อมทั้งยกมือขึ้นลูบศีรษะทั้งสองคนเบา ๆ อย่างอารมณ์ดี
“ยิ้มไว้เด็ก ๆ อุตส่าห์ฉลองชุดฟอร์มใหม่ของร้าน”
พี่ใหญ่ดูจะครึ้มอกครึ้มใจเป็นพิเศษถึงได้แจกจ่ายรอยยิ้มฟุ่มเฟือยตั้งแต่เช้าที่มีคอลัมนิสต์จากนิตยสารวัยรุ่นค่อนข้างมีชื่อมาสัมภาษณ์ร้านจนถึงตอนนี้ แม้นาน ๆ ครั้งจะทำสีหน้าหมองลงบ้างเมื่อพูดถึงน้องชายที่ไม่ได้มาอยู่ด้วยในช่วงเวลาสำคัญ
“น่าเสียดายที่อุ่นใจออกจากโรงพยาบาลไม่ทัน”
เขาพยักหน้าหงึก ๆ น่าเสียดายแทนจริงนั่นแหละ ทั้งที่อุ่นใจดูจะกระตือรื้อร้นกว่าใครที่ร้านจะได้ลงนิตยสารดัง แต่หลังจากวันที่เริ่มมีไข้วันนั้น นอนพักอยู่หออีกสองวันก็ยังไม่ดีขึ้น สุดท้ายพี่เอมเลยต้องบังคับพาไปโรงพยาบาล
สรุปว่าเป็นไข้เลือดออก...นอนโรงพยาบาลจนถึงตอนนี้เขายังคาใจอยู่บ้างเรื่องหมอกควันสีเทาอะไรสักอย่างที่อุ่นใจพูดถึงในวันแรกที่ป่วย น่าแปลกที่น้องเล็กดูจะพูดเป็นนัย ๆ ว่าใครจะเป็นอย่างไรในแต่ละวันช่วงที่เจ้าตัวไม่สบาย แต่กลับไม่รู้ตัวเองว่าจะเป็นหนักถึงกับต้องนอนโรงพยาบาลแบบนี้
แม้จะอาการดีขึ้นแล้ว แต่พี่หมอที่ชื่อหมอไอซ์ซึ่งเป็นเจ้าของไข้บอกว่าไข้เพิ่งลง และเกล็ดเลือดยังต่ำจึงไม่ให้กลับบ้าน เขาได้อยู่เป็นประจักษ์พยานถึงสายตาเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อของอุ่นใจที่จ้องมองพี่หมอเข้าพอดี สีหน้าบอกชัดเลยว่าออกจากโรงพยาบาลเมื่อไหร่ค่าเช่าห้องหมอไอซ์อาจเพิ่มขึ้นกว่าปกติด้วยแรงอาฆาตของน้องชายเจ้าของหอพักก็เป็นได้
แล้วนี่เขาเป็นพวกใส่ใจรายละเอียดเรื่องราคาอะไรต่อมิอะไรแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?เด็กหนุ่มเดินแยกไปเสิร์ฟเค้กที่โต๊ะลูกค้า ผ่านกลุ่มเด็กสาววัยรุ่นสองสามคนที่ลอบหยิบมือถือขึ้นมาเล็งเหมือนจะถ่ายรูปใครสักคนในร้านแต่เขาไม่ทันได้สังเกต สายตามองเลยไปยังประตูหน้าร้านทั้งรู้ว่าไม่มีความเคลื่อนไหวที่รออยู่
ปิ่นหยกยังไม่กลับมา...แน่สิ...ก็เพิ่งจะออกไปเมื่อกี้นี้เอง หลังสัมภาษณ์เสร็จแค่แป๊บเดียว
“......”
นาฬิกาหยุดเดินไปหรือยัง? ทำไมมันช้าอย่างนี้“เหม่ออะไรยะ!”เขาไม่ได้สะดุ้ง แต่ยอมรับกับตัวเองว่าตกใจนิดหน่อยที่อยู่ ๆ แวววันก็โผล่พรวดออกมาจากด้านหลัง เธอยืนกอดอกจ้องมองเขาอย่างพิจารณาแล้วจงใจทำหน้าเกรียนแบบที่จะไม่มีวันทำให้หนุ่มที่เธอแอบปิ๊งได้เห็นเด็ดขาดก่อนจะฮัมเพลงพร้อมกับโคลงศีรษะไปมา
“...ผู้ชายดี ๆ ....ผู้ชายดี ๆ เป็นเกย์หมดแล้วคุณจะรออะไร~~”.....อืม......เขาว่าเขาเคยได้ยินเพลงนี้นะ...มันไม่ได้ร้องอย่างนั้นไม่ใช่หรือ
“ไอ้เด็กงกนั่น แยกกันแป๊บเดียวไม่ตายหรอก ตั้งใจทำงานหน่อยไอ้น้อง” เธอว่าแล้วเอานิ้วจิ้มรัว ๆ ที่กลางหน้าผากเขาด้วยความหมั่นไส้ แวววันพูดเหมือนจะรู้อะไรมากกว่าที่เขาคิด หรือเขาแค่คิดน้อยไป?
“ผมไม่ได้เป็นเกย์ซะหน่อย” เขาพึมพำตามหลัง แต่หญิงสาวหนีไปกระเซ้าเย้าแหย่กับเอมจิตเรียบร้อยแล้ว
อา...หรือจะเป็น..................................................
.........................
“เอาล่ะ”
ปิ่นหยกจอดจักรยานไว้ตรงลานจอดรถของซูเปอร์มาเก็ต โชคดีที่ไม่ได้หิ้วท่านชายลูกเจี๊ยบมาด้วยไม่งั้นอาจจะเสียเวลามากกว่านี้ เหลือแวะที่นี่อีกที่เดียวเขาก็จะเสร็จธุระ เผลอ ๆ ยังมีเวลาแวบไปเยี่ยมอุ่นใจก่อนกลับร้านด้วยซ้ำ กำลังจะละออกมาแต่สายตาก็เหลือบไปเห็นอะไรบางอย่างเข้าเสียก่อน
ที่โครงจักรยานอลูมิเนียม มีรอยหมึกสีดำเขียนด้วยลายมือคุ้นตาอยู่บนนั้น หากมองผ่าน ๆ คงไม่ทันสังเกตเพราะจักรยานเป็นสีเหลืองดำอยู่แล้ว แต่ถ้าจ้องให้ดีก็ถือว่าชัดเจนทิ่มลูกตาอยู่ทีเดียว
เขาย่อตัวลงไปดูใกล้ ๆ นึกบ่นอยู่ในใจว่าใครช่างมือบอนมาเอาปากกาขีดเขียนอะไรลงบนของใหม่แบบนี้ แต่พอเห็นลายมือและสิ่งที่เขียนเอาไว้ในระยะประชิดจึงได้รู้ว่าคนมือบอนที่ว่าก็คงจะเป็นไอ้เจ้าของจักรยานนี่แหละ
‘อาทิตย์’ ตัวหนังสือสีดำเขียนเอาไว้แบบนั้น
ชื่อที่เขียนแสดงความเป็นเจ้าของเอาไว้อย่างกับเป็นเด็ก ๆ คงทำเขาขำออกมากลางลานจอดรถแล้ว ถ้าไม่ติดว่าต่อจากตัวอักษรที่เรียงเป็นคำว่า
‘อาทิตย์’ นั่นมันชื่อเขาด้วยไม่ใช่เรอะ!?
‘อาทิตย์ ปิ่นหยก’ไอ้หน้ามึนนั่นมันบ้าไปแล้ว!!! เขายืนสาปแช่งเป็นชุด นี่ไปเป็นเจ้าของร่วมกับมันตั้งแต่เมื่อไหร่! (ถึงเขาจะเอามาใช้บ่อยก็เถอะ)
“บ้าฉิบ! หมึกเพอร์มาเน้นท์!”
ปิ่นหยกสบถอย่างหัวเสียเมื่อเห็นมือตัวเองที่เอาไปถูกับส่วนที่เป็นชื่อเขาเองจนเป็นรอยแดงแต่ก็ยังไม่มีวี่แววว่าตัวหนังสือจะจางลงแม้แต่น้อย กลับไปเขาจะใช้มันมานั่งขัด! “ก่อนเอาชื่อใครไปใส่หัดถามเจ้าของชื่อมั่งสิว้อย!” เขาเตะเข้าที่ล้อจักรยานไปทีหนึ่ง (เบา ๆ เพราะกลัวพัง...เสียดาย) ก่อนจะถอยออกมาสองสามก้าวแล้วยืนมองตัวหนังสือบนนั้นด้วยสีหน้าเซ็งโลก
‘สีหน้าเซ็งโลก’ คือสิ่งที่เขาบอกตัวเองว่ากำลังทำอยู่ แต่ภาพซึ่งคนที่เดินผ่านมาในเวลานั้นเห็นคือ เด็กหนุ่มร่างโปร่งผมสีน้ำตาลยุ่ง ๆ พวงแก้มแดงระเรื่อ ดวงตาสีเดียวกับสีผมกำลังจ้องมองจักรยานพร้อมกับยิ้มออกมาน้อย ๆ ทั้งที่ยังพยายามเม้มปากเอาไว้
และเด็กหนุ่มคนที่ว่าจะไม่มีวันยอมรับเด็ดขาดว่าเขากำลังยิ้ม......................................
......................
............
“...ถ้าแกลลอนใหญ่ก็ตกซีซีละเจ็ดสตางค์....อืม..”
เขายืนครุ่นคิดหน้าชั้นวางน้ำยาล้างจานแล้วตัดสินใจหยิบแกลลอนขนาดสามจุดแปดลิตรลงรถเข็น “แล้วก็ทิชชู...”
ปิ่นหยกเดินถัดไปอีกล็อค เงยหน้าขึ้นก็เห็นกระดาษชำระยี่ห้อประจำที่ร้านใช้อยู่วางอยู่บนสุดของชั้นวางสินค้า ครั้งก่อนยังวางไว้เตี้ย ๆ อยู่เลย ทำไมจะต้องย้ายเอาของที่ประหยัดคุ้มราคาสุดไปไว้ที่สูงอย่างนั้นด้วยนะ
เขาเขย่งบนปลายเท้า พยายามคว้าขอบบรรจุภัณฑ์ที่มองเห็นรำไรว่าอยู่ชั้นบนสุดแต่ลึกเข้าไปอีก ไม่ใช่ว่าเขาจะตัวเตี้ยอะไรเลยนะ ส่วนสูง 170 เซนติเมตรมันก็มาตรฐานชายไทยปกติไม่ใช่รึไง และถ้าสินค้าที่เขาหมายปองมันจะวางอยู่ตามปกติไม่ใช่ถอยลึกเข้าไปด้านในแบบนี้ก็คงหยิบได้ไปนานแล้ว
เด็กหนุ่มขมวดคิ้ว ตั้งใจจะลองกระโดดดูสักที ถ้ายังไม่สำเร็จอีกจะไปตามพนักงานร้านมาช่วยแล้ว แต่ก่อนจะได้ลงมือก็มีใครอีกคนเอื้อมจากด้านหลังมาคว้ากระดาษชำระแพ็คใหญ่ที่เขาเล็งลงมาจากชั้นวางต่อหน้าต่อตา ความข้องใจสั่งร่างกายให้หันไปมองทันควัน
ชายวัยกลางคนหน้าตาคุ้น ๆ ในเสื้อยืดโปโลลำลองทว่าดูมีราคากำลังยืนอยู่ข้างหลังเขา “อยากได้อันนี้หรือ?”
อีกฝ่ายส่งกระดาษชำระแพ็คใหญ่มาให้ แทบไม่เปลี่ยนสีหน้าไปสักนิด ไม่ว่าจะตอนพูดหรือตอนที่เห็นเขามัวแต่งงไม่ยอมยื่นมือไปรับเสียทีเลยจับมันไปวางไว้ในรถเข็นของเขาแทน
ผมสีดำสนิทและดวงตาสีดำขลับนั่น... เพิ่งผ่านไปไม่กี่วันเอง แบ้วเขาจะลืมได้อย่างไร“คุณ!?”เดี๋ยวสิ...สถานการณ์แบบนี้เขาควรพูดอย่างอื่นไม่ใช่รึไง
“.....ข..ขอบคุณครับ”
ใช่แล้ว แบบนั้นแหละ ถึงจะเจอกันครั้งที่สองแต่ยังไงก็ไม่ใช่คนรู้จักอะไรอยู่ดี ขอบคุณตามมารยาทเท่านี้แล้วก็ไม่มีอะไร
เขาค้อมศีรษะน้อย ๆ แล้วดันรถเข็นไปทางอื่น เดี๋ยวคิดเงินก็เสร็จธุระแล้ว
“ปิ่นหยก”เขาสะดุ้งเฮือก รู้สึกว่าพลาดแล้วที่เป็นฝ่ายโดนรู้จักชื่อก่อน ผู้ชายคนนี้เป็นอะไรมากไหม! เขาสูดลมหายใจ เอาน่ะ...กลางวันแสก ๆ คนก็เยอะแยะ หน้าตาท่าทางก็ดูดีมีฐานะ ถึงจะบรรยากาศแปลก ๆ แต่คงไม่คิดจะทำอะไรเขาหรอกใช่ไหม
“ครับ?”
“ชื่อปิ่นหยกเหรอ”
แล้วเมื่อกี้เรียกใครวะ! ถ้าไม่ติดว่าเป็นผู้หลักผู้ใหญ่นะ! “นั่นชื่อผม”
“ปกติเวลาจะซื้อของนี่คำนวณราคาเป็นซีซีตลอดเลยเหรอ”
ชายคนนั้นเปลี่ยนเรื่องไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย สายตามองมายังข้าวของในรถเข็นของเขาอย่างสงสัยใคร่รู้พลางยิ้มคล้ายจะขบขันอยู่ในที ปิ่นหยกกำลังจะพยักหน้ารับ แต่แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าถ้าอย่างนั้นผู้ชายคนนี้ต้องเดินตามเขามาอย่างน้อยก็ตั้งแต่ตอนเลือกน้ำยาล้างจานแล้วสิถึงได้รู้ว่าเขายืนคำนวณราคาอยู่...
สตอล์กเกอร์.....?? บ้าน่า! เอาอะไรมาคิดว่าจะมีใครตามเขา
“เอ่อ...ขอโทษครับ ผมขอนอกเรื่องหน่อย คือผมไม่เคยรู้จักคุณ”
“รู้จักสิ เราเคยเจอกันแล้วครั้งหนึ่ง” อีกฝ่ายตอบกลับมาเนิบนาบ “ที่โรงพยาบาลไง”
นั่นไม่เรียกว่ารู้จักซะหน่อยเว้ย! เขาโวยวายในใจ บรรยากาศมึน ๆ แบบนี้ชวนให้นึกถึงใครอีกคนขึ้นมาตงิด ๆ โลกเรามีคนประเภทนี้เยอะเกินไปแล้วหรือเปล่า!? แต่ความคิดในหัวก็ถูกสติยับยั้งชั่งใจแปลออกมาเป็นภาษาสุภาพก่อนพูด
“นั่นยังไม่เรียกว่ารู้จักนะครับ วันนั้นผมแค่บังเอิญเดินชนคนที่ดูเหมือนจะเป็นลูกน้องของคุณเท่านั้นเอง”
“ฉันชื่ออานนท์” ชายหนุ่มพูดต่อ และสิ่งที่ฉายชัดอยู่บนใบหน้าปิ่นหยกคือคำถามที่ไม่ได้เอ่ยออกมาว่า
‘แล้วมาบอกผมทำไม’"บอกไว้...จะได้รู้จักกัน"
โดนดักทางซะงั้น“อา...ครับ..คุณอานนท์” เขาพึมพำ...แล้วยังไงต่อล่ะ? “ยินดีที่ได้รู้จักครับ”
ปิ่นหยกโค้งน้อย ๆ อีกทีแล้วดันรถเข็นหนี “ผมต้องไปแล้ว”
แต่สิ่งที่ไม่ได้คาดคิดก็คืออีกฝ่ายดันเดินตามมาด้วยนี่แหละ“ไปไหน?”
“คิดเงินครับ”
เด็กหนุ่มก้มหน้างุด ๆ แล้วเร่งความเร็วรถเข็นขึ้นไปอีก แต่อานนท์ก็สาวเท้ายาวจนตามมาทันที่แคชเชียร์นั่นเอง
“แล้วยังไงต่อ”
เขาไม่ตอบ แต่หันไปมองคนตรงหน้าอย่างหวาดระแวง หรือเขาควรจะบอกว่า
‘ไปโรงพักครับ’ อะไรทำนองนี้นะ เผื่อว่าถ้าหากคนตรงหน้าเป็นพวกมิจฉาชีพจะได้เลิกยุ่งกับเขาเสียที
“หนึ่งพันสองร้อยสิบห้าบาทค่ะ”ปิ่นหยกตัดสินใจหยุดความคิดที่ตีกันยุ่งในหัวเอาไว้ก่อนแล้วหันไปสนใจพนักงานสาวหลังเคาน์เตอร์ มือล้วงไปในกระเป๋ากำลังจะหยิบเงินที่เอมจิตให้มาจ่าย แต่กลับถูกคนน่าสงสัยที่เดินตามมายื่นธนบัตรใบละหนึ่งพันสองใบตัดหน้าเขาไปเสียก่อน
หญิงสาวรับเงินจากอานนท์โดยไม่ได้เฉลียวใจเลยสักนิด นี่ท่าทางเหมือนพวกเขามาด้วยกันขนาดนั้นเชียว?
“เงินทอนเจ็ดร้อยแปดสิบห้าบาทค่ะ”
ปิ่นหยกมองขั้นตอนการจ่ายและทอนเงินตรงหน้าตาค้าง โลกนี้มันเพี้ยนไปแล้ว คุณอานนท์นั่นสับสนอะไรอยู่หรือเปล่า!?
“คุณครับ นั่นเป็นของผมนะครับ!”
“ก็ของเธอไง”
เขาว่าพลางหิ้วถุงเดินนำออกจากร้าน ปิ่นหยกยังรีรออยู่ที่เดิมจนถูกสายตากดดันจากคนที่เข้าคิวรอจ่ายเงินอยู่ข้างหลังทำให้ต้องวิ่งตามออกมาอย่างเสียไม่ได้
“แล้วคุณแย่งผมจ่ายเงินทำไม”
“ฉันให้ ในฐานะคนรู้จักกัน”
ชายหนุ่มหยุดรออยู่หน้าซูเปอร์มาเก็ต เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเดินตามมาทันจึงหันไปยิงคำถามต่อ
“ทีนี้บอกได้รึยังว่าแล้วจะไปไหนต่อ”
ปิ่นหยกยืนอ้าปากค้างอยู่ครู่หนึ่งเลยทีเดียวกว่าจะตั้งสติได้
“ผมมีธุระต่อ แต่ก่อนอื่นเอาเงินของคุณคืนไปก่อน”
ความจริงมันก็ดีนะถ้าหากว่าคนคนนี้จะจ่ายให้จริง ๆ แต่เขาไม่เห็นความจำเป็นอะไรเลยที่คนเพิ่งเคยเจอกันครั้งที่สองโดยไม่ได้รู้จักมักจี่กันมาก่อนจะมาทำหน้าใหญ่จ่ายเงินให้คนอื่นเป็นหลักพัน เขาจะรู้ได้ยังไงว่าจะไม่มีผลอะไรตามมาภายหลัง คนเดี๋ยวนี้ก็ใช่ว่าจะไว้ใจได้เสียด้วย
อานนท์มองเงินที่ถูกยื่นมาให้ ยิ้มน้อย ๆ พร้อมกับขมวดคิ้วไปด้วย ถ้าไม่ติดว่านี่เป็นเด็กผู้ชายเขาคงคิดว่าเป็นลูกของเธอคนนั้นจริงเป็นแน่ ทั้งหน้าตา บุคลิก หรือการแสดงออกคล้ายกันเสียจนทำให้นึกถึงทุกครั้งที่มอง
เป็นไปได้ไหมว่าเธอจะเอาชื่อนั้นมาตั้งให้ลูกชาย...ไม่ใช่ลูกสาว....“เก็บไปเถอะ บอกแล้วว่าฉันให้”
“ผมไม่อยากติดหนี้คุณ”
“เป็นเด็กเป็นเล็ก ผู้ใหญ่ให้ของทำไมดื้อนัก”
“เป็นผู้ใหญ่ ทำไมใช้เงินสุรุ่ยสุร่ายนัก”
วิธีพูดจาและนิสัยช่างต่อล้อต่อเถียงนี่ก็ใช่ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนภาพในอดีตฉายซ้ำอีกครั้ง
“ก็ได้..งั้นเธอเป็นหนี้ฉันแล้ว หนึ่งพันสองร้อยสิบห้าบาทถ้วน”
ปิ่นหยกพยักหน้า เออ...ดีนะ...อยู่ดี ๆ ก็มีหนี้สินงอกเงย
“ถ้างั้นก็รับเงินไปสิครับ”
อีกฝ่ายก้มลงมองด้วยความเอ็นดูพร้อมกับดันมือเขากลับ
“ไปหาอะไรกินกัน...แล้วจะยกหนี้ให้”To be continued…ตอนที่แล้ว ขอบคุณทุกคอมเม้นต์มาก ๆ เลยนะคะ โดยส่วนตัวแล้วเราชอบหวาน ๆ ล่ะ แต่ก็กลัวว่าจะมากไป เห็นว่ารับได้ก็ดีใจ =////=
จากคอมเม้นต์ ถึงบทหวาน ๆ จะเขียนเองเขินเอง แต่ NC ก็เคยเขียน(บ้าง) เหมือนกันค่ะ

ฮาาาา แต่เรื่องนี้ก็ยังไม่ดำเนินถึงขั้นนั้นอยู่ดี *หัวเราะ*
ดึกแล้ว เริ่มเบลอ ๆ ถ้ามีคำผิดเดี๋ยวตามมาแก้ทีหลังนะคะ ราตรีสวัสดิ์ค่า ^^
