Dormitory Boys – สะดุดรัก หอพักอลเวง
“รัก...ติดดิน”CHAPTER 16 – The taste of your kiss on my lips::Artid’s POV::ขาสองข้างของเขาทรยศเจ้าของเข้าแล้ว น้ำหนักตัวเขาก็ใช่ว่าเยอะแยะมากมาย แต่ปิ่นหยกกลับทำท่าเหมือนจะยืนไม่อยู่จนต้องถอยมาพิงกำแพงซึ่งเขาคงคิดว่าคงพอช่วยได้บ้าง ทว่าสุดท้ายขากลับสั่นจนไม่มีแรงแม้แต่จะจนพยุงร่างกายไว้ถึงกับต้องทรุดลงมานั่งกองกับพื้น แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นก็ยังไม่ใช่ทางหนีที่เข้าท่า เพราะผมย่อตัวตามลงมานั่งคุกเข่าตรงหน้าแล้วบดเบียดริมฝีปากเข้าแนบสนิทเสียยิ่งกว่าเดิมแทบจะในทันที
“.....อึก! ...อ.......อา...ทิ—อืออ”
หลังจากจูบที่สอง..........ก็ตามมาด้วยครั้งที่สาม..............และสี่......หรือผมควรจะนับรวบทั้งหมดนี่เป็นครั้งเดียว ในเมื่อแต่ละครั้งที่ปลายลิ้นเราแยกจากกัน ผมยังไม่ได้ปล่อยให้เขาสูดลมหายใจได้เต็มอิ่มเลยสักครั้ง
เท่าที่ดูจากสีหน้า...หากมองข้ามนัยน์ตาน้ำตาลเข้มฉ่ำปรือและดวงหน้าขึ้นสีแดงจัดแล้ว เขาคงอยากโวยวายหรือไม่ก็ต่อยหน้าผมสักที(หรือสองที?) ถ้าเขายังมีแรงละก็นะ มันน่ารักตรงที่แค่พยุงตัวเองโดยไม่พิงกำแพงไว้เขายังทำไม่ได้เลยด้วยซ้ำ มีเพียงเสียงหอบเรียกชื่อผมหลุดรอดมาให้ได้ยินที่บอกให้รู้ว่าเขาไม่ได้หมดลมไปแล้ว
“.....อาทิตย์!......อ๊ะ.....”อืม...ที่จริงมีคำสั่งทำนองว่า
‘หยุด!’ กับ
‘พอแล้ว’ ปนมาด้วย แต่สมมติว่าผมไม่ได้ยินละกัน
และถ้าผมไม่ได้ยินเราก็ไม่เห็นจำเป็นต้องไปพูดถึงมัน จริงไหม?ผมไล้ปลายลิ้นลากผ่านไปตามแนวริมฝีปากซึ่งเริ่มแดงช้ำของเขา ทั้งที่คิดไว้ว่าแล้วจะหยุดอยู่เพียงแค่นี้ ทว่ากลับอดใจไม่ไหวขบเม้มเบา ๆ ไปที่กลีบปากล่างจนเขาสะดุ้งเฮือก และผมชอบมากทีเดียวเพราะนั่นทำให้เขาเผลอลดการต่อต้านลงจนผมกวาดชิมรสหวานจากเขาได้ลึกเข้าไปอีก
“....อือม...มม.....” เสียงต่ำ ๆ ของผมที่ครางครือในจูบนั้นช่างฟังดูไม่คุ้นหูเอาเสียเลยแม้กระทั่งกับตัวเอง
ความจริงแล้วคือทั้งหมดที่กำลังทำอยู่นี่ก็ล้วนไม่เหมือนกับเป็นตัวเองทั้งนั้น“...วานิลลา.....”
ผมชอบวานิลลา แต่พอคิดว่ารสหอมหวานจาง ๆ นี้ติดมาจากการที่ปิ่นหยกไปใช้เวลานั่งละเอียดไอศกรีมกับคนอื่นมาก็รู้สึกเกลียดมันขึ้นมาเสียจนบอกไม่ถูก
ประสาทสัมผัสทั้งห้าของผมดูจะทำงานผิดเพี้ยนไปหมด ดวงตามองเห็นใบหน้าอีกฝ่ายพร่าเลือนพอ ๆ กับความยับยั้งชั่งใจที่เหลือบางเบาในเวลานี้ และนั่นทำให้ผมมึนงงจนต้องหลับตาลง ปลายลิ้นเกี่ยวกระหวัดซึมซาบรสหวานละมุน มือข้างหนึ่งยึดข้อมือคนตรงหน้าส่วนอีกข้างรวบที่ลำคอเนียนเพื่อดันใบหน้าปิ่นหยกให้เงยขึ้นมาในมุมที่ผมจะสามารถรุกล้ำได้ถนัดถนี่ หูไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้นนอกจากเสียงครางผะแผ่วของอีกฝ่ายจากใต้ปลายจมูกที่ยังรับรู้ได้ถึงกลิ่นกายจาง ๆ ของเขา แค่นั้นก็เพียงพอแล้วที่จะปั่นหัวผมให้แทบคลั่งตาย
สมองผมคล้ายจะหยุดประมวลผลเรื่องอื่นเสียสิ้น เหลือเพียงความคิดเดียวที่ยังหลอกหลอนซ้ำมาซ้ำไปไม่หยุดหย่อน
กลิ่นวานิลลาแบบนี้...ต้องจูบอีกกี่ครั้งกันผมถึงจะซับมันให้หมดไปจากปากของคนตรงหน้าได้?มือของเขาที่ตอนแรกพยายามดิ้นรนอย่างไร้ผล ตอนนี้เปลี่ยนมาเป็นกำแขนเสื้อผมแน่นเหมือนจะหาที่พึ่ง ซึ่งผมก็ยินดีทำหน้าที่นั้น เสียงหายใจเฮือกเหมือนคนจมน้ำของเขาทำให้ผมต้องลืมตาขึ้นมอง และผมไม่ควรจริง ๆ
ภาพใบหน้าระเรื่อของเขาฉายชัดให้เห็น หัวคิ้วขมวดมุ่น ที่หางตามีหยาดน้ำใส ๆ เอ่อคลออยู่ แพขนตาชื้นหรี่ปรือชวนมองนั่นไม่ทำให้ผมมองข้ามแววตาซึ่งคล้ายจะถูกครอบงำด้วยไฟราคะคู่นั้นไปได้เลย นี่เรียกว่าเป็นสถานการณ์ที่แย่มาก ๆ ทีเดียว
เพราะมันจะทำให้ผมไม่สามารถห้ามตัวเองได้อีกผมผละริมฝีปากออกมาอย่างเชื่องช้า ทิ้งระยะห่างเพียงแคบ ๆ เพื่อให้เขาได้หายใจเอาออกซิเจนเข้าปอดโดยที่สายตาไม่ได้ละจากดวงหน้าของเขาเลยแม้แต่น้อย ผมรู้สึกตัวเองพลาดที่ขโมยจูบปิ่นหยก แม้จะเริ่มจากแค่แนบริมฝีปากเบา ๆ ด้วยข้ออ้างเพ้อเจ้ออย่างขอวางมัดจำไว้ก่อน แต่นั่นเหมือนไปก้าวข้ามเส้นแบ่งที่มองไม่เห็น
และเลยจากเส้นนั้น....แรงดึงดูดบางอย่างกำลังทำให้ผมถลำลึกลงไปโดยไม่ทันรู้เนื้อรู้ตัว
“..........ฉัน......ม...ไม่.......”เสียงเขาสั่น หน้าเขาแดง พร้อมกับที่ผมรู้สึกใกล้คลุ้มคลั่งเต็มที
ผมสอดมือเข้าไปใต้เสื้อปิ่นหยก ผ้ากันเปื้อนซึ่งผูกอยู่ที่เอวน่าจะขัดขวางให้ทำได้ไม่สะดวกนัก แต่สำหรับกรณีที่มันหลุดหลวมไปแล้วตั้งแต่ตอนเขายังต่อต้านอยู่ การจะสัมผัสผิวเนื้อร้อน ๆ ใต้ผืนผ้าก็ไม่ใช่เรื่องลำบากอะไรสักนิด
“....อาทิตย์....ยะ....หยุ—!”อะไรนะ? เมื่อกี้บอกว่าให้หยุดหรือ..? ผมไม่เห็นได้ยินอะไรอย่างนั้นสักนิด
"...ฮึก!" เขาปิดตาแน่นพร้อมกับเชิดศีรษะไปข้างหลัง ลำคอที่โผล่พ้นคอเสื้อออกมามีเม็ดเหงื่อเกาะพราวเหมือนจะหยอกยั่ว ผมรู้...เขาไม่ได้ตั้งใจ แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ความจริงว่าภาพแบบนั้นดูเย้ายวนเกินไปเปลี่ยนแปลงที่ตรงไหน
ลุ่มหลง? มึนเมา? เคลิบเคลิ้ม? ผมไม่รู้จะเรียกความรู้สึกแบบนี้ว่าอย่างไรดี แต่แค่พริบตาหลังจากนั้นใบหน้าผมก็ฝังอยู่กับซอกคอของเขา ขบเม้มผิวเนียน ๆ ตรงนั้นจนเป็นรอยแดง หลอดลมที่คอซึ่งสั่นอยู่ใกล้หูยิ่งทำให้เสียงครางฮือของปิ่นหยกชัดเจนขึ้น พร้อมกับความคิดบางอย่างที่เด้งขึ้นมาในหัวผม
จะเป็นอะไรไหม...ถ้ามันเกินเลยไปกว่านี้?แกร๊ก!“!!!?”“ปิ่นหยก!? อยู่ข้างในรึเปล่า”
เขาสะดุ้ง หลังจากนั้นก็นั่งตัวแข็งทื่อไปเลยเมื่อเสียงเขย่าลูกบิดประตูดังขึ้นอีกครั้ง
“แค่มาเก็บของแล้วจะล็อคทำไมเนี่ยเด็กคนนี้”
อีกฝั่งของประตูคงเป็นพี่แววซึ่งกำลังยืนเขย่าลูกบิด ผมนึกชื่นชมตัวเองที่กดล็อคประตูไว้ตั้งแต่ตอนเดินตามเขาเข้ามา ส่วนกับพี่แววนี่ไม่รู้ว่าจะรู้สึกขอบคุณหรือผิดหวังดีที่ทำให้สติกระเจิดกระเจิงของผมกลับเข้าร่าง ถึงแม้จะยังอารมณ์ค้างอยู่ไม่น้อย
“ปิ่นหยกกกกกกกกกกกก!!!? อยู่ไหม ถ้าไม่อยู่เจ้จะพังประตูแล้วนะ!”ข้อความแจ้งเตือนของเธอฟังดูประหลาดนิดหน่อย ถ้าประตูล็อคก็ควรจะไปหากุญแจมาไขมากกว่าจะพังประตูไม่ใช่หรือ..?
“....อ...อยู่ครับ!! อยู่ข้างใน!” เขาตะโกนแทรกขึ้นมาน้ำเสียงตะกุกตะกัก “ค...คือผมเก็บของจะเสร็จแล้ว.....เมื่อกี้ตอนเดินเข้ามาสงสัยเผลอกดล็อคไป”
“อยู่แล้วไม่ขานนะ เปิดประตูเร็ว พี่จะเอาน้ำตาลเพิ่ม พี่เอมรอแย่แล้ว”
เขาเบี่ยงตัวหลบไปข้าง ๆ แล้วยันตัวลุกขึ้นอย่างทุลักทุเลทั้งที่ยังก้มหน้างุดไม่ยอมสบตาผมก่อนจะเดินโซเซไปเปิดประตูโดยไม่ได้พูดอะไรสักคำ ผมตัดสินใจลุกตามไปด้วย เผื่อเขาเกิดล้มขึ้นมาจะได้รับไว้ทัน
ประตูห้องเก็บของค่อย ๆ แง้มออก แต่ดูเหมือนจะไม่ค่อยทันใจพี่แววนักเธอจึงยื่นมือเข้ามาช่วยผลักดังโครม
“ทำอะไรมืด ๆ เนี่ย ไฟไม่รู้จักเปิด อ้าว....นาย!?”
ดูเหมือนพี่แววจะเพิ่งรู้ว่าผมก็อยู่ในห้องนี้ด้วย เธอชะงักอยู่แค่นั้นก่อนจะเอื้อมมือไปเปิดไฟ หลอดนีออนกระพริบสองสามครั้งแล้วส่องแสงสว่างโร่ในห้อง
พี่แววหันมามองผมอย่างพิจารณา และผมก็คิดว่าไม่พลาดในการทำสีหน้าเป็นปกติอย่างทุกที เธอขมวดคิ้วพร้อมกับเอียงคอน้อย ๆ ด้วยท่าทางครุ่นคิดก่อนจะหันไปจ้องปิ่นหยกที่ยืนก้มหน้าไม่พูดไม่จาอยู่อีกฝั่ง
ความช่างสังเกตของผู้หญิงบางทีก็ทำให้ผมรู้สึกร้อนตัวแปลก ๆ ผมเอื้อมมือไปคว้าแขนปิ่นหยกไว้และออกแรงดึงเบา ๆ ให้เขาเดิมตามมา แต่พี่แววเอามือขวางระหว่างผมและเขาเอาไว้เสียก่อน
“....พ...พี่แวว”
เขาเอ่ยออกมาเสียงสั่นเหมือนเวลาเด็กถูกจับได้ว่าทำอะไรผิดพลางเหลือบตามองเธอ “...มีอะไรรึเปล่าครับ”
“มี”ดูจากสีหน้าตกใจของปิ่นหยกแล้ว นั่นไม่ใช่คำตอบที่เขาคาดแน่นอน
พนักงานสาวหนึ่งเดียวของร้านกวาดตามองปิ่นหยกตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้วไล่ขึ้นมาที่หัวอีกรอบก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ “เฮ่อออออ........ไอ้เด็กพวกนี้”
แล้วเธอก็เอื้อมมือมาจับผ้ากันเปื้อนห้อยร่องแร่งจะหลุดแหล่มิหลุดแหล่อยู่ตรงเอวของเขา อ้อมไปผูกใหม่ที่ด้านหลังจนเรียบร้อย จากนั้นจึงหันมาจัดการกับเสื้อกั๊กยับ ๆ จวนจะตกจากไหล่รอมร่อให้เป็นทรง จุดสุดท้ายมาหยุดที่ปกคอเสื้อซึ่งแบะออกผิดปกติ สายตาจับจ้องผิวเนื้อบริเวณลำคอของเขาที่ผมเพิ่งสังเกตว่ามีรอยแดงเป็นดวงชัดเจนขึ้นมาขนาดนี้
“.....เฮ่อออออออออออออออออออ”เธอถอนหายใจยาวอีกครั้งเหมือนจะส่งไปให้ถึงสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ก่อนจะยกมือขึ้นกลัดกระดุมที่คอเสื้อของปิ่นหยกขึ้นมาจนถึงเม็ดบนสุดชิดลำคอ
“อย่าให้มันประเจิดประเจ้อนักได้ไหม แล้วทีหลังก็ไม่ใช่ที่ห้องเก็บของด้วย”
เธอว่าก่อนจะตบหลังผมและปิ่นหยกเบา ๆ แล้วเดินหายเข้าไปค้นอะไรกุกกักในห้องเก็บของ ทิ้งเราสองคนยืนทำตัวไม่ถูกอยู่หน้าห้อง หรือพูดให้ถูกคือผมแค่ยืนทำเหมือนทำตัวไม่ถูกไปด้วยเป็นเพื่อนเขาที่สภาพใกล้จะพ่นลาวาออกมาได้แล้ว
สาเหตุที่พี่แววไม่มีแฟนสักทีทั้งที่เธอออกจะดูดี...อาจเป็นเพราะเธอฉลาดเกินไป“งั้นครั้งหน้าที่ห้องละกัน”
ผมเอ่ยขึ้นลอย ๆ หวังจะผ่อนคลายความตึงเครียดในบรรยากาศ
“ลูกเจี๊ยบเฮงซวย!!! แกแมร่งเลววววว!!!!!!”ท่าทางเขาจะชอบข้อเสนอของผมมากทีเดียว....................................................................
........................................
ร้านปิดเร็วกว่าปกติ เพราะพี่เอมบอกว่าคืนนี้จะไปเฝ้าอุ่นใจที่โรงพยาบาล
“ผมไปด้วยยย”
ปิ่นหยกเสนอตัวแบบไม่ต้องเรียกร้อง ถ้าผมไม่สบายแล้วเขากระตือรือร้นอยากไปเฝ้าอย่างนี้ผมก็เต็มใจป่วยเลยนะ
พี่เอมหัวเราะพร้อมกับพยักหน้า “เดี๋ยวไปเยี่ยมด้วยกัน แต่ปิ่นไม่ต้องไปนอนเฝ้าหรอก พี่ฝากดูแลที่หอหน่อย วันนี้จะมีคนขนของเข้ามาอยู่ใหม่”
“เห? ห้องพักเต็มแล้วไม่ใช่หรือครับ”
เขาเลิกคิ้ว เชื่อแน่ว่าในหัวต้องมีความคิดประเภทที่ว่าถ้ามีห้องว่างงั้นส่งผมแยกไปอยู่ห้องนั้นดีกว่า แต่วางใจได้เพราะผมไม่ไปหรอก
“ห้องชั้นสามมีคนนึงขอย้ายออกกะทันหัน เจอผีหรือไงก็ไม่รู้นะ ตอนติดต่อย้ายออกทำสีหน้าไม่ค่อยดีเลย” พี่เอมพูดติดตลก
“แล้วพอออกปุ๊บก็มีคนขอเช่าต่อทันที”
บังเอิญจริง...“เอ้อ...แล้วพี่บอกรึยังนะว่าพรุ่งนี้ร้านปิด เห็นหมอบอกให้อุ่นใจกลับบ้านได้พรุ่งนี้ ไปเที่ยวพักผ่อนกัน ฉลองความสำเร็จของร้าน”
“ไปค่าาาาาาา!!!” คราวนี้เป็นเสียงพี่แววโดดเด้งขึ้นมา “พี่เอมน่ารักที่สุด!”
“แต่น้องแววน่ารักกว่านะ”
เสียงเครื่องยนต์กระหึ่มดังขึ้นกลบบทสนทนาหลังจากนั้น หันไปมองหน้าอาคารก็เห็นรถกระบะคุ้นตา คันที่น่าจะเป็นสมบัติชิ้นสุดท้ายตกทอดมาจากราชวงศ์ของพระเจ้าเหา คันที่ผมเห็นอีกครั้งก็ยังยืนยันว่ามันควรจะเอาเข้าไปเก็บในพิพิธภัณฑ์ได้แล้ว
แถมครั้งนี้ยังมีกระเป๋าและสัมภาระจำนวนหนึ่งวางอยู่ท้ายรถอีกด้วยพี่เอมชะเง้อมองไปยังวัตถุโบราณที่ว่า “นั่นไงที่จะย้ายเข้า ชื่ออะไรนะ...กริช? เป็นเพื่อนกันใช่ไหม ไม่ได้คุยกันมาก่อนหรอกเหรอ”
กริช? ย้ายมาอยู่หอ?ผมงงนิดหน่อย บ้านกริชอยู่ใกล้แค่นี้เองไม่ใช่หรือ แล้วจะมาอยู่ที่นี่ทำไมกัน?
แต่ช่างเถอะ ไม่เห็นเกี่ยวกับผมเสียหน่อย งานนี้ต้องขอบคุณคนคนนั้นต่างหาก
เพราะตราบใดที่ไม่มีห้องว่าง ปิ่นหยกก็จะไม่มีข้ออ้างในการเขี่ยผมกระเด็นไปอยู่ห้องอื่นนี่นะTo be continued….==============================
จะเป็นเสะ...มือต้องไว ใจต้องกล้า หน้าต้องด้าน(?)..เพราะงั้นลุยโลด!! //สุภาษิตชาติไหนกัน
เราอยากให้ฉากจูบได้อารมณ์เซ็กซี่หวาม ๆ เล็ก ๆ ไม่รู้พอไปไหวรึเปล่า น่าสงสารปิ่นหยก โดนเล้าโลมมาก ๆ ก็เสร็จละว้าาาา (พูดด้วยรัก?? 5555) =////=
ทั้งจากที่นี่และที่แฟนเพจ ความนิยมไอ้ลูกเจี๊ยบดูจะแซงหน้าคนอื่น งื้ออออ ทั้งรักและหมั่นไส้พ่อพระเอกนี่ไปพร้อม ๆ กันเลยค่ะ!(ฮา)
ขอบคุณทุกคอมเม้นต์ค่ะ จับกอดให้หมด!

แล้วพบกันตอนหน้าเน้อ
