Dormitory Boys – สะดุดรัก หอพักอลเวง“รัก...ติดดิน” (ตอนพิเศษ)
"We've Met Before"::Artid’s POV::วันนี้วันคล้ายวันสถาปนาโรงเรียน
ผมแหงนหน้ามองป้ายเหนือบานประตูด้วยไม่แน่ใจว่าเดินมาถูกห้องหรือเปล่า
‘ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/10’ก็ถูกนี่...
ห้องเรียนวันนี้ถูกปรับให้เป็นคาเฟ่อะไรสักอย่างที่ผมไม่แน่ใจเพราะไม่เคยเข้าร่วมประชุมจัดงานสักครั้ง เพื่อนนักเรียนหญิงคุ้นหน้าคุ้นตาแต่งตัวคล้ายสาวใช้ในการ์ตูนเดินกันให้ขวักไขว่คอยบริการขนมและเครื่องดื่มแก่ผู้มาอุดหนุน เสียงพูดคุยปะปนอยู่กับเสียงหัวเราะครึกครื้น ดนตรีจังหวะสนุกสนานดังจากลำโพงหลังห้องยิ่งส่งเสริมให้ผู้คนส่วนใหญ่ในบริเวณนั้นรู้สึกกระฉับกระเฉง
ผมบิดขี้เกียจ อ้าปากหาวออกมาหวอดใหญ่
..ท่าทางผมคงเป็นคนส่วนน้อย
“อาทิตย์ ช่วยทางนี้หน่อย”
กิ๊ฟส่งเสียงเรียกพร้อมกับจดอะไรยุกยิกลงสมุดโน้ตมือเป็นระวิงไปด้วย น่าเห็นใจอยู่ไม่น้อย ผู้หญิงที่เป็นหัวหน้าชั้นของห้องบ๊วยแบบนี้คงต้องรับภาระหนักพอดู
เธอก้มหน้าก้มตาตวัดปลายปากกาจนเสร็จก่อนจะฉีกกระดาษแผ่นนั้นออกจากสมุดแล้วยัดใส่มือผม
“ฝากเอานี่ให้หัวหน้าห้องหนึ่งที แล้วรอรับของกลับมาด้วย”
ผมก้มลงมองกระดาษในมือ ตัวหนังสือแสดงรายการสิ่งของต่าง ๆ ที่น่าจะเอามาใช้ในห้องวันนี้ขยุกขยิกจนแทบอ่านไม่ออก และไม่รู้ว่าผมนิ่งไปนานเกินหรืออย่างไรเธอจึงได้หันมาส่งเสียงเร่งพร้อมกับดันหลังผมออกจากห้อง
“เร็วหน่อยค่ะคุณชาย! ลูกค้าเริ่มเยอะแล้ว”
“อา...ว่าแต่หัวหน้าห้องหนึ่งนี่ใคร”
“ปิ่นหยกไง”
“ปิ่นหยกเป็นใคร”
“หัวหน้าห้องหนึ่ง”
“กิ๊ฟกวนประสาทนะ”
สมุดในมือของเธอฟาดเข้ากลางหลังผมดังป้าบ
“ไปเร็ว ๆ”
ผมเดินเกาท้ายทอยออกจากห้อง แทรกตัวผ่านฝูงชนที่ไม่รู้มาจากไหนกันเยอะแยะทำเอาหนทางไปถึงห้อง 4/1 ดูจะไกลกว่าปกติอีกหลายเท่า งานโรงเรียนปีนี้ก็ยังใหญ่โตเหมือนเคย และการที่เปิดให้คนนอกเข้าเยี่ยมชมได้ก็ยิ่งทำให้ดูคึกคักกว่างานอื่น ๆ ซึ่งจัดเฉพาะภายในมากนัก ทั้งโรงเรียนเต็มไปด้วยสีสันละลานตาและสิ่งประดับประดาเต็มความสามารถที่แต่ละห้องจะสามารถไปขวนขวายมาตกแต่งประชันกัน นิทรรศการและการแสดงรื่นเริงของชมรมต่าง ๆ กระจัดกระจายอยู่ตรงโน้นตรงนี้แสดงศักยภาพอวดสายตาผู้มาเยี่ยมเยือนทั้งแต่เช้ายันมืด
ข้อดีหนึ่งในไม่กี่อย่างที่ทำให้ผมชอบวันสถาปนาโรงเรียนก็เพราะ หนึ่ง....วันนี้งดการเรียนการสอน สอง...วันนี้งดการเรียนการสอน และสาม...วันนี้งดการเรียนการสอน
ขาพามาหยุดอยู่หน้าป้าย ‘ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/1’ ในที่สุด ผมชะเง้อมองเข้าไปในห้อง ดูเหมือนกำลังมีกิจกรรมตอบคำถามวิชาการชิงรางวัล ทำอะไรได้เครียดสมกับเป็นห้องคิง... ว่าแต่เมื่อกี้กิ๊ฟบอกว่าหัวหน้าห้องที่ให้มาหาชื่ออะไรนะ?
ปริม....? ....ปริญญา.....? .....ปอปลา ๆ อะไรสักอย่างเหมือนจะติดอยู่ที่ปาก...ปิ่น......
“ปิ่นหยก”
เสียงผู้หญิงดังขึ้นจากข้างหลังผม
ใช่แล้ว…. ปิ่นหยก
ผมหันไปมองตามเสียงนั้น ผู้หญิงคนที่เพิ่งเรียกชื่อปิ่นหยกกำลังเดินตรงเข้าไปทักทายกลุ่มคนซึ่งยืนพูดคุยกันอยู่ไม่ไกล เด็กสาวสักคนในกลุ่มนั้นน่าจะเป็นคนที่ผมต้องไปหา
“เห็นปิ่นหยกไหม”
ผมถามขึ้นกลางวง และเด็กผู้ชายผมสีน้ำตาลเข้มหนึ่งในคนกลุ่มนั้นเงยหน้าขึ้นมองผมด้วยท่าทางประหลาดใจ
“มีอะไร?”
“มีธุระกับปิ่นหยก” ผมตอบเรียบ ๆ สายตากวาดมองผู้หญิงในกลุ่มทีละคน ไม่มีใครมีทีท่าจะออกมาบอกว่าตัวเองชื่อปิ่นหยก ยกเว้น...
“ฉันนี่แหละปิ่นหยก”
ไหนกิ๊ฟบอกว่าเป็นผู้หญิงเดี๋ยวก่อนนะ นึกดูอีกทีความจริงกิ๊ฟก็ไม่ได้บอกสักคำว่าเป็นผู้หญิง ผมคิดไปเองทั้งนั้น... ก็ดูชื่อเข้าสิ
ผมก้มลงมองคนที่อ้างว่าชื่อปิ่นหยกตรงหน้า สายตาที่มองมาของเขาเริ่มมีแววหงุดหงิดเจืออยู่บางเบา ผมสีน้ำตาลยุ่งเหยิงมีเศษสายรุ้งพลาสติกติดอยู่ ส่วนสูงดูต่ำกว่ามาตรฐานนักเรียนชายมัธยมปลายอยู่เล็กน้อย
“มีอะไร?”
เขายิงคำถามเดิมดูย้ำคิดย้ำทำ ผมยักไหล่ ผู้หญิงผู้ชายก็ช่างเถอะ เสร็จธุระแล้วผมจะได้ชิ่งหนีไปเดินเตร็ดเตร่ตามใจเสียที
กระดาษในมือถูกยื่นกลับไปแทนคำตอบ เขาขมวดคิ้วน้อย ๆ ก้มลงอ่านข้อความบนนั้นแล้วพยักหน้าหงึกหงักพร้อมกับส่งเสียงพึมพำโดยไม่ได้เงยขึ้นมา “รอแป๊บนึง” ก่อนจะเดินหายเข้าไปค้นอะไรกุกกักหลังห้องเรียน
ผ่านไปไม่นานปิ่นหยกก็เดินโงนเงนออกจากห้องพร้อมกับอุ้มลังกระดาษขนาดใหญ่เรียงกันสองชั้นซึ่งสูงท่วมหัวบังทั้งหน้าของเขาจนมิดมาด้วย “เอ้านี่ นาย! ไหวรึเปล่า”
ผมต่างหากที่น่าจะถามเขาว่าไหวไหม
โดยไม่รอคำตอบ ลังกระดาษทั้งหมดถูกยัดใส่มือผม มันหนักกว่าที่คิด เห็นตัวเล็กอย่างนี้แต่ดูท่าเขาจะถึกไม่ใช่น้อยทีเดียว
“ไม่ไปส่งนะ” เขาตัดบทไร้เยื่อใย “ฝากขอบคุณกิ๊ฟด้วยที่ให้ยืม”
จากนั้นก็เลิกสนใจผมแล้วไปพูดคุยอะไรสักอย่างกับคนกลุ่มเดิม
...........................................
........................
“ผลการเรียนดีเด่นอันดับสาม นายปิ่นหยก แววสินธุ์”
เสียงปรบมือดังกึกก้องทั่วหอประชุม ผมงัวเงียขึ้นทันลืมตามองเห็นแผ่นหลังไว ๆ ของเจ้าของรางวัลตอนกำลังเดินลงจากเวที... ชื่อคุ้น ๆ นะ รู้สึกเหมือนได้ยินบ่อยจัง
“คนนั้นเก่งเหรอ”
ผมหันไปปลุกเพื่อนร่างใหญ่ที่นั่งสะลืมสะลือไม่แพ้กันอยู่ข้าง ๆ ที่นั่งของห้องผมเกือบทั้งแถวถ้าไม่หลับไปเฝ้าพระอินทร์ก็เล่นกันอยู่ไม่สุข น้อยคนนักจะนั่งเรียบร้อยได้ตลอดพิธีการ
กริชไม่ได้หันมาสนใจผมเท่าไรนัก ท่าทางเหมือนยังไม่ตื่นแต่ก็อุตส่าห์ช่วยตอบให้
“ห้องหนึ่ง... พวกบ้าเรียน”
“เขาน่ารักออกนะ” เสียงใสดังขึ้นจากด้านหลัง หันไปมองก็เห็นเพื่อนร่วมชั้นสาวทำหน้าตาเคลิบเคลิ้ม “เคยกะจะจีบด้วย”
“แต่งกฉิบหายวายป่วง” อีกคนช่วยเสริม
อื้อหือ ทุกคนรู้จัก
“..ดูเป็นคนดัง”
มือใครสักคนผลักผมหัวทิ่มไปข้างหน้า
“ไม่ต้องห่วง เมิงดังกว่า”
“อ้อเหรอ”
“โง่อยู่ห้องบ๊วยแต่ติดอันดับต้น ๆ ที่ผู้หญิงหมายปอง แม่มไอ้พ่อรวย!”
นั่นคำชมใช่ไหม..
ตอนแยกย้ายออกจากหอประชุมวันนั้น ผมเดินสวนกับคนชื่อปิ่นหยกอีกครั้ง
สายตาหันมาสบกันด้วยความบังเอิญเพียงชั่วเสี้ยววินาทีที่เดินผ่าน คำจำกัดความของเขาซึ่งได้ยินมาจากเพื่อนสามคำสั้น ๆ ดังขึ้นในหัว
‘เก่ง น่ารัก งก’ไม่มีรอยยิ้ม... ไม่มีคำทักทาย เราเดินสวนกันไปอย่างคนไม่รู้จัก
.......................................................
.....................................
วาเลนไทน์
เทศกาลช็อกโกแลตถล่มลิ้นชัก ล็อกเกอร์ กระเป๋าหนังสือ กล่องดินสอ และทุกที่ซึ่งจะสามารถยัดวัตถุแคลอรี่สูงรสหวานในบรรจุภัณฑ์ซึ่งหวานกว่าเข้ามาซุกไว้ได้
“ได้เยอะอีกแล้วนะเมิง! หมั่นไส้!” เพื่อนตัวดีบ่นงุ้งงิ้งอยู่ข้าง ๆ ผมซึ่งนั่งเอกเขนกอยู่บนโต๊ะหินอ่อน เอาขาพาดไว้บนเก้าอี้ เลือกช็อคโกแลตและสารพัดขนมเฉพาะอันที่มีกลิ่นหรือเป็นรสวานิลลาแยกเก็บเอาไว้
“เกลียดวันนี้ฉิบหาย!”
“น่าสงสาร อะ กองนี้ทำบุญ”
ผมผลักกองช็อคโกแลตที่ไม่ผ่านการคัดเลือกไปให้เพื่อนชื่อบอมบ์ซึ่งกำลังสาปแช่งวันแห่งความรักอย่างเอาเป็นเอาตาย
“อาทิตย์” เขาหันมามองสีหน้าซาบซึ้ง
“เคยมีใครเคยบอกไหมว่ามึงแม่งกวนตีนหน้านิ่ง”
“เอาไว้จะยิ้มไปด้วยละกัน”
บอมบ์ยอมสละช็อกโกแลตเพื่อการกุศลหนึ่งชิ้นจากในกองเพื่อเอามาปาใส่ผมแทนคำขอบคุณ
....ทว่ากลับพลาดไปโดนใครสักคนที่เดินผ่านมาทางนี้พอดี
“โอ๊ะ!”สิ้นเสียงอุทาน... ผู้รับเคราะห์หันมาจ้องเขม็ง มีหลักฐานเป็นช็อกโกแลตชิ้นโตในห่อกระดาษลายหัวใจสีชมพูที่เพิ่งหลุดลอยจากมือเพื่อนผมถือเอาไว้ ผมสีน้ำตาลเข้มของเขาถูกลมหนาวพัดจนจากปกติก็คงจะยุ่งอยู่แล้วเลยยิ่งยุ่งเหยิงเข้าไปอีกดูน่าขำ
“ของมัน!” บอมบ์โบ้ยทันทีพร้อมกับชี้มาทางผม ซึ่งนั่นก็ถูก...แต่ปัญหาคือคุณเพื่อนที่เคารพพูดไม่หมด
สายตาดุ ๆ ของเขาเบนมาตามที่บอมบ์ชี้นำ
“ของกินใครให้เอามาโยนเล่น”
“มันให้นาย”
อ้าว...คุณบอมบ์ครับ
ผมยักไหล่ ขี้เกียจแก้ตัว มองเขาทำสีหน้างง ๆ อยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้าเออออแล้วตอบผมเสียงเรียบ
“ขอบใจ”
อ้าว... (อีกที) ปิ่นหยกครับ ง่ายดายอะไรอย่างนี้
เขารับช็อกโกแลตของผม(ซึ่งได้มาจากคนอื่นและเพิ่งบริจาคให้บอมบ์ไปเมื่อครู่)ด้วยอาการเป็นปกติสุด ๆ แล้วเอาห่อสีชมพูนั้นใส่รวมกับขนมหวานชิ้นอื่นในถุงพลาสติกลายเฮลโหลคิตตี้ใบใหญ่ที่คล้องแขนเอาไว้ ท่าทางคงได้จากคนอื่นมาไม่น้อยเหมือนกัน
...จากนั้นก็เดินหันหลังหายไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“โอ๊ย! ไอ้พวกหนุ่มป๊อบ ได้ช็อกโกแลตกันจนเฉยชาาาาา!!” บอมบ์โหยหวนเมื่ออีกฝ่ายเดินพ้นตาไปแล้ว
“ของผู้หญิงก็ได้ ของผู้ชายก็เอา ยึดไปไม่ถามสักแอะ”
“ก็นายปาใส่เขาเอง”
“กรูจะปาใส่เมิงต่างหาก”
“ไม่ต้องรักฉันขนาดนั้นก็ได้ เขินแย่”
“ถุย!!”
ผมหัวเราะ “เขารับของวาเลนไทน์ทั้งจากผู้หญิงผู้ชายเลยเหรอ”
“ไอ้ปิ่นหยกน่ะนะ?”
“อือ”
บอมบ์แกะช็อกโกแลตรสกล้วยตรงหน้าเคี้ยวตุ้ย ๆ พลางอธิบายไปด้วยเป็นฉาก ๆ
“ไอ้บ้านั่น จะเป็นหญิงชายกระเทยควายเกย์ตุ๊ดทอมดี้อะไรถ้าให้ของกินมันก็เอาหมดแหละ”
“มิน่า ลิงกังอย่างนายให้ของเขายังรับเลย”
“ท่านพ่อห้ามพูดหยาบแต่ลืมสอนไม่ให้ปากหมารึไงวะสาด!”
อีกฝ่ายบ่นปนด่าออกมาอีกสองสามประโยค แต่ผมไม่ได้ฟังแล้ว ความสนใจเปลี่ยนไปจับที่ไวท์ช็อกโกแลตซึ่งมีกลิ่นวานิลลาลอยขึ้นจาง ๆ สลับกับภาพดวงตาสีน้ำตาลเข้มของใครอีกคนที่วนเวียนแทรกเข้ามาเป็นระยะ
................................................................
...................................
“ขึ้นมอห้าก็ยังจะห้องบ๊วยอีกเรอะ”
คุณพ่อส่งเสียงบ่นพร้อมกับส่ายหน้าไปด้วยเมื่อดูใบแจ้งผลสอบคัดห้องปลายปี
“น่า คุณนนท์ เด็ก ๆ เดี๋ยวนี้ไม่นอกลู่นอกทางก็ถือว่าดีมากแล้วค่ะ” และบัวก็หนุนหลังตลอด ทำเอาคุณพ่อถอนหายใจยาว
“ลูกชายคนเดียวทำตัวเอื่อยเฉื่อยอย่างนี้ถือว่าดีตรงไหนกัน”
นัยน์ตาดำขลับแบบเดียวกับผมไม่ผิดเพี้ยนจ้องหน้าผมสลับกับใบแจ้งผลสอบแล้วก็ถอนใจอีกครั้ง “อย่างนี้จะฝากฝังให้เป็นผู้นำดูแลธุรกิจในอนาคตได้ยังไง... ส่งไปอยู่ข้างนอกแบบเจ้าอันตั้งแต่ก่อนได้เข้ามหา’ลัยซะเลยดีไหม”
ผมนึกไปถึงพี่อันที่ออกไปใช้ชีวิตอยู่ข้างนอก นาน ๆ ครั้งจึงจะติดต่อมาสักทีพลางยกมือเกาท้ายทอยไม่รู้ร้อนรู้หนาว
ไม่ทันได้เอะใจสักนิดว่าคำพูดของคุณพ่อนั้นไม่ใช่แค่ขู่........................................................
......................................
กีฬาสีของโรงเรียนที่เพิ่งผ่านไป ผมถูกบังคับลงแข่งเทนนิสชายเดี่ยว
...บังเอิญได้เหรียญทองในคาบเรียนคอมพิวเตอร์ ระหว่างที่อาจารย์กำลังบรรยายอยู่หน้าห้อง บอมบ์หันมาสะกิดผมให้หันไปสนใจภาพบนมอนิเตอร์ของเขา
“รูปเมื่อกีฬาสี สนอันไหนปะ เดี๋ยวกูจะเอาไปอัด”
บ้านบอมบ์เปิดเป็นร้านถ่ายรูป เวลามีกิจกรรมอะไรก็มักมีรูปถ่ายมาให้นั่งดูเพลิน ๆ ผมชะเง้อไปมองตามคำชวน ภาพบนนั้นเปลี่ยนไปเรื่อยจนมาหยุดอยู่ที่ภาพผมตอนกำลังรับเหรียญ
“เดี๋ยว ๆ ขอดูรูปนี้”
“อันนี้?” เขาหยุดอยู่ตรงรูปที่ผมชูเหรียญทองขึ้นมาบนแท่นรับรางวัล
“ไม่ใช่..ย้อนไปรูปนึง”
“นี่?”
“อ่าฮะ”
“เนี่ยนะ?”
“อือ..เอาอันนี้ ฝากอัดหน่อย ขอไฟล์ด้วย”
บอมบ์ทำหน้าไม่เข้าใจอยู่พักใหญ่ สุดท้ายก็พยักหน้าอย่างเสียไม่ได้ เขาคงเลิกคิดจะถามไถ่เหตุผลการกระทำของผมที่มักโดนคนอื่นมองว่าประหลาดไปนานแล้ว...
กลับถึงบ้านวันนั้น ผมสาวเท้ายาว ๆ เข้าห้อง สิ่งแรกที่ทำหลังจากวางกระเป๋ากองไว้บนพื้นคือเปิดคอมพิวเตอร์แล้วเสียบแฟลชไดรฟ์ที่ได้จากบอมบ์เข้ากับ USB เครื่องตัวเองและนั่งรอให้มันอ่านไฟล์
รูปถ่ายที่ผมขอมาถูกขยายขึ้นเต็มความกว้างหน้าจอ กลางภาพเป็นผมเองกำลังยืนทำหน้าเฉยเมยอยู่บนแท่นรับรางวัล แต่ผมไม่ได้สนใจนัก หน้าแบบนั้นของตัวเองผมเห็นจนเบื่อแล้ว
เยื้องไปทางขวาของภาพนิดหน่อย บริเวณที่กล้องไม่ได้โฟกัส.... ภาพคนกลุ่มหนึ่งกำลังหัวเราะท่าทางมีชีวิตชีวา
..หนึ่งในนั้นคือคนที่มีผมสีน้ำตาลเข้ม นัยน์ตาติดจะดุน้อย ๆ และคิ้วซึ่งมักขมวดมุ่นให้เห็นแทบทุกครั้งที่เดินสวนกัน ชื่อเขาว่าไงนะ.......ปิ่นหยก...?
ไม่ทันได้คิดอะไรในหัว... ผมกดซูมภาพขึ้นมา พอมองชัด ๆ แล้วก็เผลอหัวเราะกับคนในรูปที่กำลังยิ้มกว้างจนตาหยี หลังจากนั่งจมอยู่บนเก้าอี้หน้าคอมพิวเตอร์อยู่อีกพักใหญ่ ไม่ได้ขยับเมาส์เลยสักนิดจนสกรีนเซฟเวอร์ขึ้นจึงรู้ตัวว่าเวลาผ่านไปถึงสิบห้านาทีตามที่ผมตั้งค่าเอาไว้
ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา เลือกเบอร์ที่ต้องการแล้วยกขึ้นแนบหู ทันทีที่มีคนรับก็กรอกเสียงลงไปแบบไม่พูดพร่ำทำเพลง
“บอมบ์ รูปที่ฝากอัดนั่น ฉันอยากได้เพิ่มเป็นรูปเล็กแบบที่พกในกระเป๋าตังค์ได้ด้วย”...............................................................
..................................
“พูดจริงหรือคะคุณนนท์”
“ผมเคยพูดเล่นเหรอครับ”
ผมเถียงในใจว่าออกจะบ่อยไป...
“คุณอาทิตย์เพิ่งจะจบมอห้าเองนะคะ”
“ไม่เขี่ยไปตั้งแต่จบมอสี่ก็ดีแล้วครับ”
อา...คุณพ่อโหมดโหด
บัวพยายามค้านหลายครั้งทว่าไม่สำเร็จ ผมเองก็ทำใจไว้บ้างนิดหน่อยตั้งแต่คุณพ่อเริ่มพูดเรื่องจะให้ออกไปอยู่ข้างนอกคนเดียวเร็วกว่าที่ควรจะเป็น ซึ่งก็คงไม่ได้ลำบากอะไรมากมาย... ในเมื่อเงินเก็บส่วนตัวก็มีพอกินพอใช้ไปอีกนาน
“เงินทั้งหมดในบัญชีพ่อจะรับฝากไว้ก่อน”
ดูเหมือนคุณพ่อจะรู้ทัน
“....อ่า..ครับ”
แต่ก็ยังเหลือบัตรเครดิต
“เอากระเป๋าเงินมา”
ผมลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอากระเป๋าหนังของตัวเองส่งให้ คุณพ่อรับไว้แล้วก็เทพรวดเดียวของทั้งหมดออกมากองอยู่บนโต๊ะ ยึดบัตรทุกอย่างไปเสียเกลี้ยง...จบสิ้นแล้ว
“อะ...รูปนั่นไม่ได้นะครับ”
คุณพ่อเลิกคิ้ว ส่ายหน้าแล้วยิ้มบาง ๆ ก่อนจะยื่นรูปถ่ายทั้งสามใบคืนมา... ใบหนึ่งเป็นรูปคุณแม่ ใบที่สองเป็นรูปถ่ายครอบครัว และใบสุดท้ายเป็นรูปถ่ายของผมบนแท่นรับรางวัลเมื่องานกีฬาสี ตามมาด้วยธนบัตรใบละหนึ่งพันบาทห้าใบที่ถูกส่งตามมา
“อันนี้แถมให้ที่สอบได้ห้องคิง”
บัวถอนหายใจยาว ทำหน้าเหมือนอยากจะร้องไห้แล้วขอตัวออกไปนอกห้องโดยอ้างว่าจะไปเตรียมของทำอาหารเช้าพรุ่งนี้ ปล่อยผมกับคุณพ่อนั่งพูดคุยเรื่องสัพเพเหระเพียงลำพังพ่อลูกอย่างที่ไม่ค่อยมีโอกาสได้ทำนัก
เรายกถึงเรื่องนั้นเรื่องนี้มาเล่าเรื่อยเปื่อยจนดึกดื่น เรื่องผมที่โรงเรียน เรื่องสมัยคุณพ่อยังเด็กและความโหดของคุณปู่ เรื่องเมื่อตอนคุณแม่ยังสาว..แล้ววนกลับมาเรื่องผมอีกครั้ง
ก่อนเข้านอนคืนนั้น คุณพ่อถามผมว่ามีคนที่ชอบหรือยัง...
และผมส่ายหน้า พยายามนึกแล้วแต่ก็ไม่เห็นมี
คุณพ่อหัวเราะเบา ๆ เดินไปส่งผมถึงห้องนอนซึ่งครั้งสุดท้ายน่าจะเป็นเมื่อสิบกว่าปีมาแล้ว
“ไหนมากอดหน่อยซิไอ้ลูกชาย”
นั่นเป็นคืนสุดท้ายที่ผมได้นอนในบ้านตัวเอง..........................................................
................................
เปิดภาคเรียนวันแรก
และเป็นครั้งแรกของผมที่ต้องหลุดกระเด็นไปจากห้องบ๊วยอันเป็นที่รักเพื่อคุณพ่อและเพื่อเงินก้อนสุดท้าย
‘ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6/1’ผมหยิบกระเป๋าสตางค์ขึ้นมาดู... ห้าพัน...ได้เยอะกว่าตอนพี่อันออกจากบ้านอีก แต่ใช้แป๊บเดียวก็คงหมด จะเอาตัวให้รอดด้วยเงินต้นทุนเท่านี้ท่าทางคงต้องโคตรงกเลยจริง ๆ
“เฮ้ หล่นแล้ว”
คนงกในตำนานเดินเข้ามาพอดี.. เขาก้มลงหยิบรูปถ่ายใบเล็ก ๆ ซึ่งไม่รู้ว่าร่วงลงไปจากกระเป๋าสตางค์ตั้งแต่เมื่อไหร่ยื่นให้ผม
“อ๊ะ...นั่นรูปคู่”
“รูปคู่ป๊ะอะไร เห็นมีนายยืนหัวโด่อยู่คนเดียว”
ผมมองหน้าเขา... ตลกดีที่ปิ่นหยกมองไม่เห็นตัวเองในรูป
แต่อย่างว่า อัดเป็นรูปเล็กอย่างนี้แล้ว ภาพคนกลุ่มคนซึ่งอยู่ห่างออกไปเลยยิ่งเล็กลงไปอีก หรือถึงมองเห็นแต่คนอื่นที่ติดมาเป็นโขยงคงทำให้ดูห่างไกลคำว่ารูปคู่สำหรับเขานัก
เมื่อไม่ได้รับคำตอบอะไร เขาก็เลิกสนใจแล้วเดินไปวางกระเป๋าตรงที่นั่งริมหน้าต่างข้างหน้าผมนี่เอง
วันนั้นทั้งวันผมเอาแต่จ้องแผ่นหลังคนข้างหน้าสลับกับสัปหงกเป็นระยะ คืนนี้และคืนต่อ ๆ ไปจะนอนที่ไหนดีก็ยังคิดไม่ตก ไปอาศัยนอนบ้านเพื่อนก่อนอาจจะไม่เลวนัก ตั้งตัวติดแล้วค่อยนึกว่าจะเอายังไงต่อ
กริ่งเลิกเรียนดังขึ้น เด็กนักเรียนค่อย ๆ ทยอยกันออกจากห้อง... ผมน่าจะแวะไปหาบอมบ์สักหน่อย
แต่ทำไมขาถึงพาเดินตามปิ่นหยกมาตั้งไกลถึงอาคารเก่าซอมซ่อร้างผู้คนนี่ได้ก็ไม่รู้สิ-The Beginning-คุยกันท้ายเรื่อง ตอนนี้ขอมอบให้สำหรับท่านที่สงสัยในความเป็นไปว่าตกลงได้ปิ๊งกันมาก่อนหรือรึเปล่าค่ะ
...ไม่ถึงกับปิ๊ง แต่มองอยู่ไม่รู้ตัว (ฮา)
อ่านตอนนี้จบก็จะกลับไปวนต่อที่เนื้อหาของตอนแรกพอดีเป๊ะ ^^
ขอบคุณงาม ๆ ที่เข้ามาอ่าน แล้วพบกันตอนหน้าค่ะ
