Dormitory Boys – สะดุดรัก หอพักอลเวง
“รัก...ติดดิน”
Chapter 26 – By your side...เขาถามออกไปแล้ว....
.
.
.
.
.
“เฮ่ย!! ร้องไห้ทำไม!?”
อยู่ ๆ ปิ่นหยกก็โพล่งขึ้นมา
แต่เขาไม่รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังพูดกับใคร
“ไอ้ลูกเจี๊ยบ!! จะร้องหาพ่อเรอะ!?”อ้อ... นั่นพูดกับเขา
ไม่ยักรู้ตัวว่าที่เพิ่งหยดลงจากปลายคางนั่นคือน้ำตาเขาเองปิ่นหยกออกอาการลนลานน่าหัวเราะ... แต่เขากลับหัวเราะไม่ออก
“เฮ่ย ๆ ๆ ฉิบหายแล้ว แค่พ่อถีบออกจากบ้านแกอย่างร้องดิไอ้บ้า! คิดถึงบ้านใช่ปะ เดี๋ยวพาไปคืนเสด็จพ่อให้ เว้ยยย! ทำไมยิ่งพูดยิ่งร้องวะ เมิงจะไม่ขำมุกกรูหน่อยเหรอ!!?”
ร่างโปร่งหันมองซ้ายขวาหาอะไรมาให้อีกฝ่ายเช็ดหน้า ตั้งท่าจะหยิบผ้าขี้ริ้วดำปี๋บนพื้นขึ้นมาแต่คงมีความปรานีอยู่บ้างจึงเบนสายตาหาตัวเลือกอื่น สุดท้ายก็จด ๆ จ้อง ๆ อยู่ที่ชายเสื้อยืดตัวเอง ...ทำสีหน้าลังเลอยู่ครู่หนึ่ง
....ก่อนจะใช้มือยกขึ้นปาดลงบนแก้มเปียกชื้นนั้นแทน
"ไอ้เวร! ฉันต่างหากที่ควรร้อง แกบ้าเปล่าวะ”
ตาเขาแดง.. แต่ไม่มีอะไรหยดลงมา รู้ตัวอีกทีทั้งร่างก็ถูกดึงเข้าไปมากอดไว้เสียแน่น
“แล้วทำไมถึงไม่ร้อง”
“เพราะฉันเก่ง”
อาทิตย์จับได้ถึงอารมณ์ประชดประชัดน้อย ๆ ในน้ำเสียงนั้น
ปิ่นหยกผ่านเรื่องเลวร้ายตั้งมากมายมาได้อย่างไรกัน แค่เห็นแผลเป็นพวกนั้นเขาก็รู้สึกเจ็บแทนจนเหมือนจะหายใจไม่ออก ทว่าที่มาของบาดแผลกลับน่าเจ็บปวดยิ่งกว่า และทั้งหมดนั้นเจ้าตัวก็พูดมันออกมาด้วยใบหน้าเฉยเมยซึ่งนั่นทำให้เขายิ่งรู้สึกเศร้าบอกไม่ถูก
“....ก็เลยต้องร้องแทนเลย”
“ถือเป็นหนี้บุญคุณเรอะ!?”
“จะว่างั้นก็ได้... แล้วอย่าลืมชดใช้ด้วย” ร่างสูงว่า อาศัยโอกาสที่ตัวเองนั่งอยู่เหนือกว่าตรงขอบโต๊ะเอาคางวาดพาดไว้บนศีรษะอีกฝ่าย
“...เพราะฉันคิดดอกแพงมาก”
“เลววว!” ปิ่นหยกไม่นึกมาก่อนเลยว่าชีวิตนี้จะมีโอกาสได้ด่าใครด้วยคำที่กำลังจะพูดนี้ “ไอ้งก!!!”
“งกแล้วจะรักไหม”
จงหาจุดเชื่อมโยงระหว่างความงกและความรัก... ซึ่งเขาคิดว่าเขาหาไม่เจอ
“ไม่เห็นเกี่ยวกันสักนิดเลยเว้ย!”
“เข้าใจแล้ว... จะงกหรือไม่งกก็รักสินะ”
“.......”
พอพ้นระยะโศกก็ท่านชายก็สวมบทหน้ามึนต่อทันทีจนเขาหมดปัญญาจะซ่อนใบหน้าร้อนฉ่าของตัวเอง มันเป็นปฏิกิริยาตอบรับซึ่งห้ามกันไม่ได้จริง ๆ และแย่เหลือเกินที่โดนหยอดเรื่อยเปื่อยมาจนป่านนี้ก็ยังไม่รู้จักชินเสียที
บ่อยครั้งที่อาทิตย์ดูเหมือนเป็นเด็กน้อยซึ่งแสดงความรู้สึกด้วยคำพูดและการกระทำตรงไปตรงมา
หากไม่นับเรื่องความเจ้าเล่ห์ที่ไม่รู้ว่าตั้งใจหรือเป็นไปโดยสันดา— เอ้อ...สัญชาติญาณ? และสีหน้าที่ดูคล้ายจะมีน้อยกว่าคนปกตินิดหน่อย หมอนั่นก็พูดตรงเสียจนบางครั้งเขาอดคิดไม่ได้ว่าเวลาบอกชอบอย่างนั้น..รักอย่างนี้ กำลังพูดจริงหรือแค่แกล้งปั่นหัวเขาเล่น
“ให้ฉันอยู่ข้าง ๆ”
เสียงทุ้มพึมพำ แล้วก็ค้างไว้แค่นั้น...
เขาไม่รู้ว่านั่นคือประโยคบอกเล่า ประโยคคำสั่ง...หรือว่าอะไร เวลาผ่านไปอีกครู่ใหญ่เด็กหนุ่มร่างสูงจึงเอ่ยต่อแผ่วเบา
“จะไม่ทำให้ต้องร้องไห้อีกแน่นอน”
...แน่นในอกไปหมด....หากไม่พูดอะไรออกมาแก้เก้อสักอย่างอาจจะแน่นจนตายไปตรงนี้เลยก็ได้
“คนอยู่ข้าง ๆ มีเยอะแยะแล้วว่ะ แม่เพชรน้องจี้งี้ คิมงี้ พี่เอมน้องอุ่นก็อีก พอละ”
โชคดีจริงที่อีกฝ่ายนั่งสูงกว่าเขา แถมยังเอาคางเกยไว้บนศีรษะ ไม่อย่างนั้นคงเห็นสภาพใบหน้าที่แทบกลายเป็นสีเดียวกับตู้ไปรษณีย์ไปแล้ว
“เพิ่มมาอีกคนน่าจะกำลังดี”
อาทิตย์พึมพำ เอื้อมมือข้างหนึ่งมาดึงมือเขาไปพลิกซ้ายพลิกขวาเล่นแล้วสอดนิ้วเข้ามาหลวม ๆ และเขารู้สึกว่าตัวเองช่างบ้ามากจริง ๆ ที่ดันเผลอคิดไปได้ว่าทำไมนิ้วมือพวกเขาถึงได้ประสานกันพอดีอย่างนี้
“คนที่ผมดำ ตาดำ คิ้วเข้ม หน้าหล่อ พ่อทิ้ง...”
เขาอ้าปากค้าง... ถือว่ามันกล้ามากที่ให้คำนิยามตัวเองแบบนั้น
“...แล้วก็ชอบปิ่นหยกสุด ๆ”
ตรงกว่านี้มีอีกไหมล่ะ!? จะได้เอามาจิ้มพุงมร่างให้ตายไปเลย!ปิ่นหยกรวมรวมสมาธิเหมือนจะออกรบ นับว่าเขาต้องใช้ความหน้าด้านมากทีเดียวกว่าจะกล้าเอ่ยปากออกไปด้วยเสียงสั่นจนอยากตบปากตัวเองให้ฟันหลุด
“....ทำไมถึงชอบ....ผู้ชาย”
อาทิตย์มองมาด้วยสีหน้าที่ทำให้เขารู้สึกเหมือนตัวเองเป็นไอ้งั่งที่มีนกเอี้ยงเกาะไหล่และไม่ใช่หุ่นไล่กา
“ก็ว่าเคยบอกแล้ว...” เด็กหนุ่มร่างสูงว่าแล้วใช้จังหวะนั้นก้มลงฝังจมูกลงบนกลุ่มผมสีน้ำตาลเข้มซึ่งยังไม่แห้งดี สูดกลิ่นแชมพูอ่อน ๆ ที่เจืออยู่พลางเอ่ยอู้อี้โดยไม่ได้ถอนใบหน้าออกมา “บอกอีกทีก็ได้ว่าไม่ได้ชอบผู้ชาย”
“...แต่ชอบนาย” เขาช่างขุดหลุมฝังตัวเอง แล้วก็ดันมีคนมากลบหลุมให้แบบไม่ต้องร้องขอเสียด้วย
“เริ่มหวั่นไหวแล้วล่ะสิ... ตอนนี้ชอบฉันบ้างหรือยัง”
“ยัง”
“ใช้คำว่า
‘ยัง’ หมายความว่าต่อไปจะชอบใช่ไหม”
จะมีสักกี่คนในโลกเบี้ยว ๆ ที่พูดอะไรก็เข้าข้างตัวเองได้หมดอย่างนี้!?
อาทิตย์มองมือที่กุมกันอยู่ครู่ใหญ่ เห็นว่าปิ่นหยกไม่ได้ว่าอะไรจึงได้ใจโน้มตัวเข้าไปหามากขึ้นแล้วกอดเบา ๆ จากข้างหลัง เขามองไม่เห็นใบหน้าอีกฝ่ายแต่แค่ใบหูแดงแจ๋นั่นก็เดาได้ไม่ยากว่าเจ้าตัวกำลังแสดงสีหน้าอย่างไรอยู่
ปิ่นหยกจะรู้บ้างหรือเปล่าว่าเขาต้องใช้ความพยายามขนาดไหนที่จะไม่ดึงตัวอีกฝ่ายเข้ามาจูบหรือทำอะไรมากกว่านั้นอย่างเคย จะว่าไปตั้งแต่ตอนโดนยึดสิทธิ์ความเป็นแฟนไปพวกเขาก็ไม่มีอะไรเกินเลยไปกว่าการจับมือหรือกอดกันบางครั้ง ซึ่งเรียกให้ถูกคือเขาเป็นฝ่ายกอดเองตอนเจ้าตัวเผลอทั้งนั้น ยิ่งหลังจากได้รู้เรื่องในอดีตของปิ่นหยก ความคิดจะทำอะไรบุ่มบ่ามก็เป็นอันต้องพับเก็บใส่กระเป๋าเป็นการถาวร
เขาอยากลองเริ่มใหม่อีกครั้ง อยากทะนุถนอมคนตรงหน้าให้ดีที่สุด ....จะไม่ให้ใครมาทำร้ายได้อีกแล้ว...
“ให้เวลานึกดูก่อนก็ได้ ยังไม่ต้องรีบตอบ”
....เขารอได้...
ปิ่นหยกก้มหน้านิ่ง ห่อตัวจมอยู่ในอ้อมแขนเขา ท่าทางคล้ายกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่ในหัว
...บางทีเขาอาจไม่ต้องรอนานนัก................................................
...............................
.
.
.
.
.
“นั่นอะไรครับ”
“แกงเขียวหวานไก่จ้ะ”
“หอมจัง แล้วอันนั้น?”
“ยำปลาทูนึ่ง”
“...มีไข่ต้มด้วย”
“อันนั้นเตรียมไว้ทำไข่ลูกเขยจ้ะ”
“แล้วลูกเขยเฉย ๆ มีหรือยังครับ”
“หือ?”ปิ่นหยกส่งเสียงสำลักค่อกแค่ก และเขาเปลี่ยนเรื่องทันควัน
“แม่เพชรน่ารักแล้วยังทำอาหารเก่งอีก”
“อุ๊ยตาย..ปากหวานนะเรา”
ปิ่นหยกเบ้ปาก เทหอมแดงลงกระทะด้วยสีหน้าเซ็งโลก มือเคาะตะหลิวก๊องแก๊งพลางเหลือบมองไอ้คุณชายที่กำลังคุยกระหนุงกระหนิงกับแม่เขาราวกับซี้กันมาแต่ชาติปางก่อนเป็นระยะ ประจบอย่างเดียวไม่พอยังมีหน้ามาทำเนียนเรียกแม่เพชร ๆ อยู่ได้ น่าโบกด้วยด้ามตะหลิวเป็นที่สุด
“เกะกะเว้ย” เขาบ่นก่อนจะเอื้อมมือเฉี่ยวหน้าอีกฝ่ายแทบจะสอยปลายจมูกติดไปด้วยแล้วคว้าจานมาใส่หอมเจียวที่เพิ่งขึ้นจากกระทะร้อน ๆ “ว่างนักก็หัดทำตัวให้เป็นประโยชน์มั่งสิ!”
“พี่อาทิตย์ก็เพิ่งช่วยล้างผักไปเมื่อกี้ไง”
เสียงจี้หยกแก้ต่างให้เจื้อยแจ้ว เห็นอาทิตย์หันไปชูนิ้วโป้งให้จากหางตา ไปติดสินบนกันตอนไหนหรือไง เพิ่งคุยกันได้ไม่เท่าไหร่แท้ ๆ ไหงเข้ากันดีเป็นปี่เป็นขลุ่ย
“จี้ต้องเข้าข้างพี่ดิ” เขาทวงสิทธิ์กับน้องสาว ก่อนจะได้รับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์แบบเด็กสาววัยรุ่นกลับมา
“จี้ก็เข้าข้างพี่ปิ่นมาตลอดแหละ” เธอยิ้มเผล่แล้วหัวเราะเสียงใส “....แค่มีปันใจบ้างบางเวลา”
จะบ้าตาย..คนบ้านนี้โดนมันป้ายยาเสน่ห์หมดแล้ว
อาทิตย์เดินวนทั่วครัว พยายามช่วยแม้จะมึน ๆ อยู่บ้างแต่ก็มีพัฒนาการในงานครัวมากขึ้นกว่าตอนเป็นคุณชายเมื่อสมัยจะกินน้ำยาล้างจาน ที่สำคัญคือดูจะพูดมากถูกคอกับแม่เพชรของเขา ย้ำอีกทีว่า
'ของเขา' เป็นพิเศษ
“อาทิตย์ขี้อ้อนเหมือนกันนะ อยู่บ้านคงอ้อนแม่น่าดูเลยสิ”
หน้าระรื่นนั่นดูจะจ๋อยลงนิดหน่อย ปิ่นหยกลอบมองด้วยหางตาแล้วก็แอบหวั่นใจอยู่ลึก ๆ ทว่าอาทิตย์ก็เพียงแต่คลี่ยิ้มออกมาแล้วตอบด้วยถ้อยคำเรียบง่าย
“คุณแม่อยู่บนสวรรค์แล้วครับ”
กิ่งเพชรยกมือทาบอก เหลือบมองปิ่นหยกทีหนึ่งอาทิตย์ทีหนึ่งด้วยรู้สึกผิดที่ไปถามอะไรจี้จุดเข้าพอดี อดคิดไม่ได้ว่าเด็กกำพร้าแม่สองคนมาอยู่ด้วยกันในวันแม่อย่างนี้ช่างดูเป็นเรื่องตลกร้ายเสียจริง
“โอ...แม่ขอโทษ”
“เพราะงั้นวันนี้อ้อนแม่เพชรแทนได้หรือเปล่าครับ”
เยี่ยมมาก! พลิกวิกฤติเป็นโอกาส...แต่นั่นแม่กรูครับคุณชาย!.
.
.
.
สี่ชีวิตส่งเสียงเฮฮากันอยู่ในครัวตั้งแม่เช้ามืดจนฟ้าสาง กับข้าวส่วนหนึ่งถูกแบ่งลงถุงไว้เตรียมใส่บาตรพระ ที่เหลือจัดใส่ถาดเอาไว้สำหรับเตรียมรับลูกค้า กิจวัตรประจำวันของบ้านดำเนินไปตามปกติ แต่เพียงแค่มีสมาชิกชั่วคราวเพิ่มขึ้นมาก็ทำให้บรรยากาศดูใกล้เคียงคำว่า
‘ครอบครัว’ ขึ้นมาอีกนิด
ปิ่นหยกหัวเราะลั่นเมื่อเห็นสภาพปากเจ่อ ๆ ของอีกฝ่าย เหงื่อเม็ดโตผุดขึ้นหน้าผากไหลหยดลงตามใบหน้าคมซึ่งเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อ
“กินเผ็ดไม่ได้แล้วตักมาทำเบื๊อกอะไร”
“ไม่คิดว่าจะเผ็ดขนาดนี้”
อาทิตย์นั่งหายใจทางปาก ผัดเผ็ดปลาดุกหรืออะไรสักอย่างนี่เผ็ดเสียจนรู้สึกจี๊ดขึ้นไปถึงในหู แสบร้อนไปหมดทั้งปากและปิ่นหยกก็เอาแต่หัวเราะชอบใจ อากาศอบอ้าวตอนเที่ยงยิ่งทำให้เขาเหงื่อแตกพลั่ก ๆ เหมือนเพิ่งวิ่งมาสักสองสามกิโลเมตร
“....มีน้ำเย็นไหม”
“อยู่ในบ้าน”
อาทิตย์ทำท่าจะลุกขึ้นจากเก้าอี้ไม้หลังบ้านซึ่งพวกเขาใช้เป็นที่นั่งจัดการมื้อกลางวันไปตามที่ปิ่นหยกว่า แต่ได้ยินเสียงอีกฝ่ายเปรยอยู่ข้างหลังจึงชะงักไปเล็กน้อย
“กินน้ำจะยิ่งกระจายความเผ็ดไปทั่วปาก แล้วทีนี้ก็พ่นไฟได้เลย”
หันไปมองก็เห็นปิ่นหยกจ้องปากเจ่อ ๆ ของเขาด้วยสีหน้าเพลิดเพลิน จากประสบการณ์ที่ผ่านมาจนถึงตอนนี้ทำให้เชื่อได้ว่าคนตรงหน้าคงมีความซาดิสม์อยู่ในตัวไม่มากก็น้อยแน่นอน
“แคปไซซิน สารอัลคาลอยด์ที่ทำให้เกิดความรู้สึกเผ็ดจากการกระตุ้นปลายประสาทที่ปากและลิ้น” อีกฝ่ายพูดต่อเรียกให้เด็กหนุ่มร่างสูงเลิกคิ้ว รู้สึกเหมือนจะมีควันพวยพุ่งออกทางหู การที่ปิ่นหยกพ่นรายละเอียดของสารให้ความเผ็ดอะไรสักอย่างเสียยาวด้วยน้ำเสียงขึ้น ๆ ลง ๆ เป็นท่วงทำนองราวกับกำลังฮัมเพลงชวนให้คิดว่าจุดประสงค์หลักคงเพื่อความสะใจเป็นการส่วนตัว
“ที่จริงกินนมก็ช่วย แต่ที่บ้านไม่มีนม” ร่างโปร่งว่าพลางดึงแขนเขาให้กลับมานั่งลงที่เดิม “แลบลิ้นดิ”
“???”
“แลบลิ้นไง ปล่อยน้ำลายหยดลงพื้นจะได้ชะเอาแคปไซซินออก”
พูดจบแล้วยังอุตส่าห์แลบลิ้นออกมาให้ดูแต่ท่าทางเหมือนกำลังล้อเลียนมากกว่า ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังทำตามที่ว่าอยู่ดี
ปิ่นหยกหัวเราะออกมาทั้งที่ยังนั่งแลบลิ้นเป็นเพื่อน ถ้าคนอื่นมาเห็นเข้าคงประหลาดใจว่าเด็กหนุ่มสองคนมานั่งจ้องตาทำลิ้นห้อยใส่กันด้วยระยะห่างแค่คืบอะไรอยู่ตรงนี้
"....."
“หน้าแกตอนนี้โคตรตลก”
“หน้านายตอนนี้โคตรน่ารัก”
ปิ่นหยกหน้าแดงพอกับเขาแล้ว...เยี่ยมเลย“นี่...ปิ่นหยก”
“อะไร”
“จูบได้ไหม?”To be continued…=======================================
แปะรูปแถม

เอามาล้างความรันทดจากตอนที่แล้วค่ะ แม้จะดราม่า แต่นั่นมันก็อดีตล่ะเนอะ ปัจจุบันมีคนซัพพอร์ตเยอะนายเอกก็ทั้งอึดทั้งรั่วอย่างที่เห็น (ฮา)
พบกันตอนหน้าค่ะ รักคนอ่าน ม๊วฟฟฟฟฟ >3<
***สารบัญคลิกที่นี่ค่ะ***