Dormitory Boys – สะดุดรัก หอพักอลเวง
“รัก...ติดดิน”
Chapter 29 – สมมติ...อาทิตย์ผุดลุกผุดนั่งในห้องนอนคับแคบอยู่เกือบชั่วโมงแล้ว
ได้ยินเสียงตัวเองเผลอสบถออกมาสองสามครั้งโดยไม่ตั้งใจทั้งที่ในหัวยังรู้สึกโคลงเคลงน้อย ๆ คล้ายนั่งอยู่บนเรือ เอาน้ำเย็นราดศีรษะก็แล้ว ลองนอนหลับตานิ่ง ๆ ก็แล้ว ลุกขึ้นเดินไปเดินมารอบห้องก็แล้ว ทว่ายิ่งสร่างฤทธิ์สุรากลับยิ่งรู้สึกวุ่นวายใจมากขึ้นไปอีก...
เขาลุกไปเปิดไฟจนสว่างโร่ในห้อง ครู่หนึ่งก็เดินกลับมาปิดไฟอีกครั้ง ลงไปกลิ้งบนฟูกที่ปูบนพื้นได้ไม่นานก็ผลุนผลันไปเปิดไฟอีกรอบ สุดท้ายก็ยืนกดสวิทช์ไฟเล่นป๊อกแป๊กเหมือนคนโรคประสาท
ควรตามปิ่นหยกออกไปดีไหม?
แม้ปิ่นหยกทำท่าเหมือนจะไม่โกรธแล้วทว่าก็ยังดูพูดน้อยกว่าปกติชัดเจน ตั้งแต่เข้าบ้านอย่าว่าแต่เรื่องที่แทบไม่ได้ปริปากอะไรออกมา...แค่จะเงยหน้าขึ้นมองเขายังไม่มีสักแอะ หลังจากอาบน้ำแต่งตัวแบบลวก ๆ เสร็จเจ้าตัวก็หายจากห้องไปเลย ทั้งที่คิดว่าอีกไม่นานคงกลับ บางทีอาจแค่ออกไปเข้าห้องน้ำก็ได้
....แต่ตัวเขาซึ่งนั่งเคาะสวิทช์ไฟเปิดปิดจนจะพังคามืออยู่แล้วก็ยังไม่เห็นวี่แววของคนที่หายตัวไปเสียเฉย ๆ นี่คืออะไร?ความว้าวุ่นใจเร่งเร้าอยู่ในหัวจนเกินทน สุดท้ายขาก็พาเดินออกมาพ้นประตูห้องตั้งแต่สมองยังไม่ทันได้คิดว่าจะออกไปทำอะไรกันแน่
...................................................
.........................
.
.
.
.
เขายังไม่อยากกลับห้องไม่อยากเห็นหน้าตัวต้นเหตุที่ทำให้ต้องหนีมานั่งก่นด่าความปัญญาอ่อนของตัวเองอยู่หลังบ้านแบบนี้ อย่างน้อยก็รอจนกว่ามันหายเมา ใครจะรู้ว่าไอ้ปากมอม ๆ นั่นเกิดอยากพูดอะไรชวนให้หนีไปโดดน้ำตายหรือไม่ก็ไล่มันไปเกิดใหม่แทนขึ้นมาอีกตอนไหน
“นั่งเหม่ออะไรไอ้เปี๊ยก”
ปิ่นหยกสะดุ้งโหยง ไอ้เปี๊ยกเป็นชื่อที่คนโน้นคนนี่ชอบเรียกกันตั้งแต่สมัยเขายังตัวเตี้ย ๆ แกร็น ๆ แต่พอโตขึ้นมาได้สูงตั้งขนาดนี้ก็ยังไม่เห็นมีใครคิดเปลี่ยนสรรพนามให้จนต้องปล่อยเลยตามเลย หันไปมองก็เห็นผู้เป็นมารดายืนเอียงคอมองจากข้างหลังท่าทางงัวเงียขี้ตา
“...ป...เปล่าครับ” ตัดสินใจปฏิเสธไว้ก่อนทุกข้อกล่าวหาแล้วค่อยขยายความทีหลัง
“เห็นพระจันทร์สวยดี”
เธอเงยหน้า ...และพบท้องฟ้ามีแต่เมฆครึ้ม “....”
ลูกชายเธอนับวันก็ยิ่งทำตัวประหลาด ตอนแรกนึกว่านอนไปเรียบร้อย เธอเดินออกมาเข้าห้องน้ำกลางดึกกลับพบร่างโปร่งของเด็กหนุ่มนั่งหันหลังเหม่อมองฟ้าเวลาค่ำมืดดึกดื่น ยืนจ้องอยู่นานก็ยังไม่กระดิกเสียจนนึกว่ากลายเป็นรูปปั้นหินไปแล้ว แต่เมื่อส่งเสียงเรียกไปเพียงเบา ๆ เจ้ารูปปั้นนั่นก็สะดุ้งเฮือกจนน่าหัวเราะ
ปิ่นหยกมองตามสายตาของคนตรงหน้า ไม่เห็นพระจันทร์สักเสี้ยวบนฟ้าก็ได้แต่แถแก้เก้อ
“...เมื่อกี้ยังมีอยู่เลย ฮ่า ๆ ๆ ดูสิแม่เพชรมาพระจันทร์หายไปเลย ของเขาแรงจริง”
จากนั้นก็โดนศอกถองเข้าให้หนึ่งทีก่อนที่แก้มจะถูกจับบิดแล้วดึงจนยืดเป็นหนังสติ๊ก
“ปากเนี่ยนะ ยิ่งโตยิ่งเหมือนไอ้ตูบ”
“ไอ้เอ้าอางอนออก!(ไม่เท่าบางคนหรอก!)” เขาเถียงสู้เสียงอู้อี้ เรียกให้หญิงสาวเลิกคิ้วกับน้ำเสียงประหลาดที่ได้ยินแล้วปล่อยมือออกจากแก้มที่กลายเป็นสีแดงแปร๊ดตามรอยนิ้ว ตอนนั้นเองจึงนึกขึ้นได้ว่าแม่เพชรไม่ได้รู้เรื่องไอ้ลูกเจี๊ยบปากหมาวันนี้ด้วยเสียหน่อย
“เมื่อกี้ว่าอะไรนะ ฟังไม่รู้เรื่อง”
“เปล่าอ้ะ”
เธอแสร้งถอนหายใจเสียงดังกว่าปกติแล้วทรุดตัวลงนั่งข้าง ๆ "ไอ้ลูกชายโตเป็นหนุ่มแล้วสินะ เดี๋ยวนี้หัดมีความลับกับแม่”
ปิ่นหยกเหลือบมองเธอด้วยหางตาพลางบ่นงุบงิบอะไรบางอย่างว่าก็โตเป็นหนุ่มมาตั้งนานแล้ว
“ดูตาซิบวมตุ่ย กินเหล้าเมาร้องไห้อีกหรือเปล่า เป็นเด็กเป็นเล็กแท้ ๆ”
...แม่เขาเข้าใจยากเสียจริง เมื่อกี้เพิ่งบอกว่าลูกโตเป็นหนุ่มเองกับปาก เขาหันมาทำหน้าเจื่อนแบบที่เธอเห็นกี่ครั้งก็อดหัวเราะไม่ได้สักทีแล้วยกมือขึ้นขยี้ตา ไม่ได้ตอบเรื่องสาเหตุของอาการตาบวมแต่ย้อนถามกลับมาแทน
“....บวมเยอะเลยเหรอ....”
“ก็นะ.. แต่ยังหล่ออยู่”
“ล้อเล่นอีกละ”
“พูดจริ๊ง” ไม่ลืมลงท้ายเสียงสูงเพิ่มความไม่น่าเชื่อถือ
“ง่ะ” เด็กหนุ่มเอานิ้วเขี่ยหยดน้ำที่หกอยู่บนพื้นเล่น ลากไปลากมาเป็นรูปตัวประหลาดกลม ๆ มีปีกอันจิ๋วสองข้าง เติมปากแหลมเล็กเข้าไปจนดูคล้ายลูกไก่พิกลแล้วก็รีบลบทิ้งเหมือนเพิ่งวาดสิ่งอันตรายลงไป
“.....แม่เพชร.....ปิ่นถามอะไรหน่อยสิ”
กิ่งเพชรไม่ได้ตอบ แต่พยักหน้าน้อย ๆ ให้รู้ว่ากำลังฟังอยู่ นั่งรอเสียจนแทบจะหลับไปตรงนั้นอยู่แล้วจึงได้ยินเสียงเด็กหนุ่มสานต่อบนสนทนา
“สมมตินะ แค่สมมติเฉย ๆ ถ้ามีคนคนหนึ่งมาทำให้เราโกรธมาก ๆ ..........มากแบบ...มาก ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ มากจนน้ำตาไหลเลย”
ปิ่นหยกหยุดพักถอนหายใจยาวเหยียด ก่อนจะเอ่ยยืนยันอย่างย้ำคิดย้ำทำอีกครั้งว่าแค่สมมติจริง ๆ แล้วถามต่อเสียงเบาหวิว
“........เราก็ควรจะเกลียดมันให้มาก ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ สุด ๆ เลยใช่ไหม?”
“.........?”
หญิงสาวกระพริบตาปริบ ๆ ....เริ่มสงสัยขึ้นมาว่าลูกชายเธอเรียนหนังสือจนเพี้ยนไปแล้วหรือเปล่า
ยังไม่ทันได้ตอบอะไรปิ่นหยกก็บ่นหงุงหงิงต่อ
“........แล้วทำไมถึงได้เกลียดไม่ลงก็ไม่รู้...”
ถ้อยความตัดพ้อเหล่านั้นคล้ายจะพึมพำกับตัวเอง แต่ในความเงียบสงบยามค่ำคืนเช่นนี้ กิ่งเพชรได้ยินชัดเจนทุกพยางค์เต็มสองรูหู เธอพิศมองสีหน้าเหม่อลอยของเด็กหนุ่มที่ตัวเองเลี้ยงดูจนเติบโตขึ้นมาอย่างชั่งใจ มือเอื้อมไปขยี้ผมสีน้ำตาลนุ่มนิ่มของเขาแผ่วเบาแล้วระบายยิ้มอ่อนโยนขณะฟังคำที่เขายังพร่ำบ่นต่อเนื่อง
“น่าหงุดหงิดโคตร! ดูเหมือนเป็นพวกใจง่ายไปเลย.............อะ!.....แต่ว่าก็แค่เรื่องสมมติแหละ.....ฮ่า ๆ ๆ”
อาการย้ำนักย้ำหนาว่าเป็นเรื่องสมมตินั้นเต็มไปด้วยพิรุธเสียจนแม้กระทั่งเด็กอนุบาลก็คงดูออกว่าเจ้าตัวกำลังเอาเรื่องจริงมาพูดอยู่เป็นแน่
แต่เอาเถอะ...จะสมมติว่ากำลังฟังเรื่องสมมติอยู่ก็ได้“อาจจะคล้ายเวลาปิ่นทำให้แม่โกรธมาก ๆ มากแบบมาก ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ เลยล่ะมั้ง....”
เธอหยุดพักครู่หนึ่งเพื่อให้คนตรงหน้าได้ใช้เวลาคิดตาม
“.....ถึงอย่างนั้นแม่ก็ยังไม่เกลียดปิ่นเสียที”
เด็กหนุ่มชะงักไป ลมหายใจถูกผ่อนออกช้า ๆ แล้วตั้งข้อสังเกต
“ก็แม่เพชรใจดี”
“งั้นปิ่นก็คงใจดีเหมือนกัน” เธอย้อน เห็นลูกชายทำหน้ามู่ทู่กลับมาให้ได้หลุดหัวเราะอีกครั้ง
“มีเหตุผลอื่นอีกไหมแม่เพชร”
“เด็กบ้า ถามอะไรโง่จริง...”
ถึงตอนนี้เด็กน้อยของเธอนั่งรอฟังตาใสแจ๋ว
“ที่ไม่เกลียดก็เพราะแม่รักปิ่นไง”“....อ้อ............งี้เอง....”
เหมือนมีกระแสไฟฟ้าอ่อน ๆ วิ่งผ่านทั่วร่างตั้งแต่ปลายเท้าไปจนถึงขมับสองข้าง รบกวนการประมวลผลของสมองจนต้องใช้เวลาเสียนานกว่าจะเอ่ยออกมาลอย ๆ
“...รัก”
......รัก.....?“....พอรักแล้วถึงถูกทำให้โกรธยังไงก็เกลียดไม่ลงหรอก”
บ้าชะมัด...เขาไม่น่าถามเลยปิ่นหยกก้มหน้างุดแล้วพาเฉไฉออกนอกประเด็น “แย่เลย มีสาวมาบอกรักแบบนี้เขินตายกันพอดี”
“นี่เขินแม่จริงเรอะ หน้าแดงเชียว” เธอเอียงคอมองลูกชายแล้วก็ยิ่มร่า ปกติเวลาบอกว่ารักก็ไม่เห็นเคยออกอาการหน้าแดงอย่างนี้ ท่าทางคงโตเป็นหนุ่มกับชาวบ้านเขาแล้วจริง ๆ
“ดึกแล้ว รีบเข้านอนไป พรุ่งนี้กลับหอไม่ใช่เหรอ”
หญิงสาวว่าพลางขยับตัวลุกขึ้นบิดขี้เกียจ ทำท่าจะเดินกลับเข้าบ้านก็ถูกดึงแขนเอาไว้เสียก่อน
“แม่เพชร...คืนนี้ปิ่นนอนด้วยดิ”
“อะไร โตป่านนี้แล้ว”
“ทีเงี้ยบอกโต ก็ไหนตะกี้ยังเรียกไอ้เปี๊ยกอยู่เลย”
หญิงสาวพ่นลมหายใจกึ่งขำกึ่งรำคาญแล้วส่งมะเหงกใส่หน้าผากเขาหนึ่งที “แล้วเพื่อนล่ะ”
ปิ่นหยกหน้าม้านไปวูบหนึ่ง พอตั้งตัวติดจึงยักไหล่แสดงอาการไม่ใส่ใจเพื่อย้ำกับตัวเองว่าอย่าไปนึกถึงให้เสียเส้น
“เมาหลับแล้วมั้ง ช่างหัวมันเหอะ เหม็นขี้หน้า”
“ไม่ชอบขี้หน้าเขาก็อย่าพากลับมาบ้านสิ”
เธอเอานิ้วจิ้มหน้าผากลูกชายเบา ๆ “แม่ว่าอาทิตย์น่ารักออก”
“ถ้าเห็นตอนมันเมาแม่เพชรจะไม่พูดแบบนี้”
“หืม? เมาแล้วเป็นยังไง”
ลูกชายตัวดีถอนหายใจพรืด สีหน้าขัดอดขัดใจ “เมาแล้วปากหมา โคตรโกรธมัน”
“โถ ๆ หรือว่าที่ร้องไห้ตาบวมนี่เพราะทะเลาะกับอาทิตย์?”
...จุกไปเลย
ผู้หญิงทุกคนมีสัญชาติญาณน่ากลัวแบบนี้เหมือนกันหมดหรือไงนะ!?“ปิ่นหยก” เสียงทุ้มดังขึ้นขัดจังหวะ เรียกให้สองแม่ลูกหันไปมอง กิ่งเพชรเพียงแต่เลิกคิ้วน้อย ๆ ส่วนเด็กหนุ่มข้างตัวปั้นหน้าไม่ถูกไปแล้ว
เขาอุตส่าห์เสียสละเนรเทศตัวเองออกมาจากห้องมันก็ยังเสนอหน้ามาให้เห็นอีก ที่สำคัญคือกว่ามันจะเรียกออกมาแบบเมื่อครู่นี้ไม่รู้ว่ายืนฟังอยู่ตั้งแต่ตอนไหน คิดได้แค่นั้นก็ร้อนวูบอย่างกับเอาหน้าไปอังอยู่ใกล้กองไฟ ถ้าเกิดมันได้ยินไอ้
‘เรื่องสมมติ’ ของเขาตั้งแต่ต้นนี่.....
“ม...มาตั้งแต่เมื่อไหร่”
ปากไวอีกแล้ว เรื่องขุดหลุมฝังตัวเองนี่จะถนัดไปไหน อย่างน้อยเขาก็คาดหวังจะได้ยินคำตอบว่า
‘เพิ่งมา’ หรืออะไรทำนองนั้น ทว่า....
“ตั้งแต่ตอนปิ่นหยกเล่า
เรื่องสมมติ”
บางครั้งเขานึกอยากให้มันหัดโกหกบ้างก็ได้ ความร้อนตัวส่วนบุคคลทำให้เขาอับอายแทบล่องหนหายวับไปจากตรงนั้นเลยแต่แย่หน่อยที่ไม่มีปัญญาทำ
“กลับมาคุยกันเหมือนเดิมนะ ยอมให้เตะต่อยได้หมดเลย”
ไม่พูดเปล่า มือใหญ่ยื่นมาดึงแขนเขาอย่างถือวิสาสะ ไม่คิดบ้างว่าแม่เพชรก็ยืนอยู่....ตรง..........นี้.....?
“แม่เพชร!?”
หญิงสาวชะเง้อมองลงมาจากชั้นบน ตาหรี่ปรือออกอาการง่วงงุนพร้อมกับหาวออกมาหวอดใหญ่ ทิ้งให้ปิ่นหยกยืนทำหน้าเหวออยู่ที่เดิม แอบหนีขึ้นบ้านไปตั้งแต่เมื่อไหร่กัน!?
“ปิ่นนอนด้วย” เขาประท้วง “ตกลงกันแล้วไม่ใช่เหรอ”
“แม่กับจี้สองคนก็เต็มห้องแล้วไอ้ลูกชาย” เธอพึมพำกลับมาจากหน้าห้องนอน เบียดตัวเองแทรกเข้าไป ....แล้วประตูก็ถูกดึงปิดแผ่วเบา
กิ่งเพชรไม่ได้ตั้งใจจะกีดกันไม่ให้อีกฝ่ายเข้ามานอนด้วย เรื่องว่าห้องเต็มนั้นก็อาจจะใช่ แต่แค่เด็กผู้ชายอีกคนเพิ่มเข้ามาคงไม่ถึงกับไม่มีที่ให้ทิ้งตัวนอน ติดอยู่ตรงเธอดูแล้วคงกำลังมีปัญหาอะไรสักอย่างกับเพื่อนที่มาด้วยกัน และในความคิดของเธอ หากมีความไม่เข้าใจเกิดขึ้น การได้เปิดอกคุยกันน่าจะเป็นเรื่องดีกว่าวิ่งหนีปัญหา
“..............”
สุดท้ายก็เหลือกันเพียงลำพังสองคน
“ยังโกรธอยู่?”
“คิดว่าน่าโกรธไหม”
เงียบกันไปครู่ใหญ่ “น่าครับ”
ตอนนี้เขาหงอยิ่งกว่าเวลาคุยกับคุณพ่อเสียอีก ปิ่นหยกฟังจบก็ถอนหายใจยอมรับชะตากรรมแล้วเดินก้าวขาฉับ ๆ ขึ้นชั้นบน
“รู้ตัวก็ดี ไอ้เลว!”
...นี่แหละที่อยากได้ยิน แบบนี้ดีกว่าตอนนิ่งเงียบไม่พูดไม่จาเยอะ“พูดอีกทีได้ไหม”
“ไอ้เลววว!!!”“ขออีกครั้งหนึ่งครับ”
มันมึน! มันบ้า! มันโรคจิต! ท่านเทพแห่งเงินตราช่วยผมด้วย!!“อาทิตย์!!! ไอ้เล้วววววววว!!!!!”ทำไงดี...อยากให้ด่าอีกเยอะ ๆ เลยร่างสูงอาศัยความได้เปรียบของช่วงขากระโจนขึ้นบันไดทีละสองขั้น รีบร้อนเอื้อมมือตั้งใจจะคว้าตัวอีกฝ่ายไว้ให้ทันก่อนร่างโปร่งซึ่งผลุบหายเข้าไปในห้องแล้วเตรียมจะปิดประตูใส่หน้าเขา จังหวะคาบเกี่ยวระหว่างกำลังยื่นแขนเข้าไปกับบานประตูที่ถูกกระแทกกลับมาจึงงับแขนเขาซึ่งแทรกอยู่ระหว่างช่องว่างตรงกรอบประตูเข้าเต็ม ๆ แรงปะทะของไม้ฟาดเข้ามาบนแขนเจ็บจนสะเทือนไปถึงหัวไหล่
“โอ๊ย!!”“เฮ่ย!!?”
ปิ่นหยกทำหน้าตาตื่น เมื่อกี้เหมือนได้ยินเสียง
‘กร๊อบ’ ด้วยรึเปล่าวะ!!
“เป็นไรไหม!?”
บานประตูเปิดกว้างออกและเขาถือโอกาสแทรกตัวตามเข้าไปทันที งานนี้ต่อให้แขนเดาะก็นับว่าคุ้ม
“ใจดีจังเลย แบบนี้เจ็บตัวอีกก็ยังได้ครับ”
พอเห็นหน้าระรื่นปนมึนเวอร์ชั่นที่คุ้นเคยก็ถึงกับต้องยกมือขึ้นนวดขมับ หรือเสียงโอ๊ยเมื่อกี้แค่ตอแหลอีกแล้ว
“ปากดี! สร่างเมาแล้วเรอะ!?”
“สร่างพอจะรู้สึกผิดแทบบ้าเลยเชื่อรึเปล่า”
อาทิตย์พึมพำเสียงสลดแล้วโฉบเข้าไปแนบริมฝีปากกับมือที่กำลังวนอยู่บนขมับของอีกฝ่าย ยิ่งเห็นสีหน้าที่พยายามทำเป็นโกรธกลบเกลื่อนก็เล่นเอาอยากจูบไปทั้งตัว
"ชาตินี้จะไม่ดื่มพวกของมึนเมาอีกแล้ว”
ปิ่นหยกชักมือกลับแม้ปฏิกิริยาตอบสนองจะเชื่องช้ากว่าที่อยากให้เป็น ถึงอย่างนั้นสายตาก็ยังอดจับจ้องท่วงท่าเนิบนาบเมื่อยามท่อนแขนแข็งแกร่งนั้นเลื่อนตามมาเกาะอยู่ที่เอวเขาไม่ได้
“ถึงจะทำให้รู้ว่าปิ่นหยกชอบฉันแล้วก็เถอะ”อย่างกับโดนไฟช็อตอยู่แถวอก...ไม่คิดเลยว่าแค่หลุดปากประโยคเดียวจะนำพาหายนะมาสู่ตัวขนาดนี้
หมดปัญญาจะเถียงในเมื่อเป็นคนพูดออกไปเองเสียชัดถ้อยชัดคำจนเหมือนเป็นโซ่ตรวจดิ้นไม่หลุดจึงได้แต่ยืนนิ่งเป็นหุ่นขี้ผึ้ง ปัญหาหลักตอนนี้คือคงเป็นหุ่นขี้ผึ้งใกล้ละลายเต็มแก่แล้วเมื่อมือใหญ่ที่โอบอยู่แถวเอวเริ่มอยู่ไม่สุขพอกับปากซึ่งพ่นภาษาหมาแล้วเปลี่ยนเป็นภาษาดอกไม้ยื่นมาตอดเล็กตอดน้อยอยู่แถวปลายคาง
“.....อาทิตย์....”
เขาตะปบมือมันไว้ได้ทันก่อนนิ้วเรียวนั่นจะล้วงเข้ามาผ่านขอบกางเกงยางยืดย้วย ๆ ที่เกาะเอวเขาอยู่หมิ่นเหม่
“จะทำอะไร!?”
“ทำแบบคนรักเขาทำกันไงครับ”
เสียงนุ่มเอ่ยข้างหู ไม่ลืมจะเป่าลมร้อน ๆ ลงมาให้ต้องเผลอกลั้นหายใจไม่รู้ตัว เนื้อความที่ได้ยินดูกำกวมสองแง่สามง่ามจนไม่อยากเดาความหมาย
แต่นัยน์ตาพราวระยับสีดำสนิทนั่นชวนให้คิดว่าคงไม่ใช่เรื่องถูกศีลธรรมแน่นอนTo be continued…============================
ลูกเจี๊ยบจะได้พัฒนาร่างเป็นพ่อไก่กับเขาไหมนะ ตอนที่แล้วคะแนนตกฮวบฮาบ 5555
ขอบคุณทุกคอมเม้นต์งาม ๆ ค่ะ m(_ _)m อ่านแล้วมีกำลังใจเขียน ฮือออ อยากกดเป็ดให้ยกเล้าแต่ก็กดให้ได้ทีละตัว เอากอดเพิ่มไปแทนนะคะ

(<<ใครอยากได้เนี่ย...ฮา)
แล้วพบกันตอนหน้าค่ะ ^^
ปล.เพิ่งทำเล่น อันนี้แถมค่ะ
โอปป้ากั๊งนั่มสไตล์~~~ Ver.ครอบครัวกุ๊กไก่ 5555

//แอบไม่พริ้ว ขี้เกียจทำหลายเฟรม (ฮา)
***สารบัญคลิกที่นี่ค่ะ***