Dormitory Boys – สะดุดรัก หอพักอลเวง
“รัก...ติดดิน”Chapter 32 – คุณพ่อและลูกชายการอยู่ร่วมห้องกับคนที่จ้องจะปล้ำคุณด้วยวิธีการซึ่งอ้างว่ากำลังพยายามทำให้
‘สมยอม’ นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
ปิ่นหยกซึ้งความจริงข้อนี้เข้าไปถึงไขกระดูก
“ปล่อย! จะอ่านหนังสือ”
“ขอแป๊บนึง”
ในนามแห่งข้ารับใช้ของเทพเจ้าแห่งเงินตราและความร่ำรวย ...หยุดเอาอกแน่น ๆ นั่นมาถูหลังกรูทีได้โปรด
“ไอ้เวร!..ไปหาเสื้อใส่ดี ๆ!”
“ก็อากาศมันร้อน”
“อย่ามาแหล! แล้วนี่ใครขนลุกอยู่วะเนี่ย!” เขาชี้ไปที่ผิวตรงแขนอีกฝ่าย เพิ่งอาบน้ำเย็น ๆ หนาวจนขนลุกแล้วมันยังมีหน้ามาโกหกว่าร้อนอีก “ถ้าร้อนจริงก็อย่ามานัวเนียให้มันยิ่งร้อนสิเว้ย!”
....หรือสัมผัสแบบนี้มีแต่เขาที่ร้อนไปคนเดียวกันนะ ร้อนแม่มทั้งตัวแล้วเนี่ยอาทิตย์ยิ้มกริ่ม ขอเอาจมูกอ้อยอิ่งอยู่แถวต้นคออีกฝ่ายต่อสักหน่อยกว่าจะลุกขึ้นเดินไปแต่งตัว เขาแกล้งเล่นไปอย่างนั้นเอง ไม่ได้กะจะปล้ำจริงอะไรหรอก(แม้ว่าได้ก็ดี) ฟันยังไม่ทันหายเลยด้วยซ้ำ นักกีฬาจะลงแข่งยังต้องรอสภาพร่างกายพร้อม ประสาอะไรกับเรื่องแบบนี้จริงไหม
ช่วงนี้สอบบ่อย เป็นนักเรียนม.หกนี่ไม่ดีเลย ปิ่นหยกแทบจะแต่งงานกับหนังสือเรียนไปแล้ว น่าอิจฉาหนังสือพวกนั้นที่สุด
เขาหันไปรื้อเสื้อผ้ามาสวม ส่องดูในกระจกเห็นผมตัวเองเริ่มยาวยังไม่ได้ตัดสักที จัดการเอามือปัดปอยผมไปด้านข้างให้พ้นตาแล้วถามขึ้นลอย ๆ
“นี่..ปิ่นหยก ชอบผู้ชายผมยาวมาดเซอร์รึเปล่า”
ปิ่นหยกเงยหน้าขึ้นมาด้วยสายตาว่างเปล่า... มันเกิดบ้าอะไรขึ้นมาอีกแล้ววันนี้
เด็กหนุ่มร่างสูงยักไหล่เบา ๆ กับความเงียบที่ได้รับกลับมา “ก็เผื่อนายชอบฉันจะได้ไม่ตัด” เขาว่าพลางจับปลายผมดึงออกมาดูเล่น
“ไปโกนหัวซะไป”
ปิ่นหยกปิดหนังสือพลางเหลือบมองนาฬิกาบนโต๊ะ
ใกล้เก้าโมงแล้ว ควรลงไปดูที่ร้านเสียที วันหยุดแบบนี้คนมักเยอะกว่าปกติ หันไปเห็นอีกฝ่ายทำท่าลังเลลูบผมตัวเองไปมาแล้วก็ส่ายหน้าเบา ๆ เมื่อกี้มันรู้ใช่ไหมว่าเขาประชด ไม่ใช่ว่าเจอหน้ากันอีกทีกลายเป็นลูกเจี๊ยบหัวล้านไปแล้วนะ
“...ชอบแบบสกินเฮดเหรอ”
นั่นปะไร ทีไอ้เรื่องอย่างนี้ล่ะเก็บมาคิดจริงจัง
“ปล่อยไว้แบบนั้นแหละ” เขาคว้าผ้ากันเปื้อนมาผูกทับชุดพนักงานของร้านขณะที่เดินผ่านคุณชายร่างสูงซึ่งยืนคิดไม่ตกอย่างไร้สาระกับทรงผมตัวเอง ชะงักฝีเท้าลงตรงหน้าเพื่อเอามือไปปัดเส้นผมสีดำสนิทของอีกฝ่ายไม่ให้ปรกหน้าปรกตา
ผมนิ่มมาเชียว ทำไมมันดูคุณหนูไปหมดงี้วะ
“คิดมากอะไร หล่อฉิบหายวายป่วงแล้ว น่าหมั่นไส้!”
ลูกค้าที่มาอุดหนุนวันนั้นล้วนลงความเห็นเป็นเสียงเดียวกันโดยมิได้นัดหมายว่าพนักงานหนุ่มร้านเค้ก รูปร่างสูง หน้าตาหล่อเหลา ผมสีดำยาวปรกตาน้อย ๆ ช่างยิ้มเก่ง....ยิ้มทั้งวัน ....ยิ้มเสียจนเห็นแล้วแทบละลายพอกับเจ้าของร้านรูปหล่ออีกคน ชวนให้นึกสงสัยว่าอะไรกันจะทำให้คนคนหนึ่งอารมณ์ดีจนหน้าบานแฉ่งได้ทั้งวันขนาดนั้น
...ตัวต้นเหตุของอาการยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กำลังก้ม ๆ เงย ๆ จดรายการของที่ขาดอยู่ไม่ไกลนั่นเอง...“วันนี้เวรใครออกไปซื้อของ”
“เวรนายไง ทำเป็นลืม” แวววันช่วยย้ำ สายตาไม่ได้ละจากเล็บซึ่งเพิ่งทาสีล่าสุดเมื่อคืนนี้ท่าทางพออกพอใจระหว่างที่ยังไม่มีลูกค้าใหม่
“ผมอีกแล้วเหรอ” ปิ่นหยกทำหน้าเซ็งมองแดดจ้านอกร้าน “เหมือนเพิ่งไปไม่นานนี้เอง”
“พี่เอมบอกว่านายซื้อของคุ้มดี ให้ไปบ่อย ๆ” เธอว่าพลางพลิกมือไปมา “สั่งห้ามส่งอุ่นใจไป รายนั้นนอกจากชอบแวะเที่ยวเรื่อยเปื่อยแล้วยังมีซื้อมั่วมาด้วยบางที”
อุ่นใจทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้แต่ไม่ปฏิเสธข้อกล่าวหา หักช็อคโกแลตบาร์แบ่งให้เขาครึ่งหนึ่งแล้วหนีไปทำงานต่อ ด้วยเหตุนี้เวรซื้อของช่วงหลัง ๆ จึงแทบกลายเป็นของเขาทั้งหมดไปโดยปริยาย
ซุปเปอร์มาเก็ตที่เดิมมีผู้คนเดินกันขวักไขว่ เฉลี่ยแล้วเขามาที่นี่สัปดาห์ละครั้งได้ เหลือบมองแคชเชียร์ตรงเคาน์เตอร์คราวนี้ไม่คุ้นหน้า กิริยาเก้ ๆ กัง ๆ ของเธอบอกให้รู้ว่าคงเพิ่งมาทำงานได้ไม่นาน ความจริงแล้วการเปลี่ยนพนักงานบ่อยไม่ใช่เรื่องดีสำหรับเขานักเพราะกว่าจะตีซี้พอให้กล้าขอของแถมโน่นนี่จากพนักงานได้ต้องใช้เวลาพอสมควรทีเดียว เริ่มสนิทกันขึ้นมาก็ไม่อยู่เสียแล้ว
ปิ่นหยกหยิบกระดาษจดรายการของที่ต้องซื้อขึ้นมาดู ลากรถเข็นแล้วเดินไล่ไปทีละจุดตามความเคยชิน จากรถเข็นว่าง ๆ ค่อยเติมเต็มด้วยนมสด น้ำตาล กระดาษชำระ ครีมเทียม แล้วก็.....
...ทำไมเขารู้สึกเหมือนถูกจ้องอยู่...เด็กหนุ่มหันขวับไปมองด้านหลัง หญิงสาวร่างท้วมดันรถเข็นซึ่งมีที่นั่งสำหรับเด็กผ่านสายตาเขาไป บนรถมีเด็กน้อยจ้ำม่ำหน้าตาน่าเอ็นดูกำลังโบกมือมาทางเขา แก้มยุ้ยสีแดงระเรื่อบนใบหน้าซึ่งกำลังฉีกยิ้มนั้นทำเอาอดไม่ได้จะโบกมือตอบน้อย ๆ ตอนผู้หญิงคนนั้นเดินเลยไปแล้ว นึกตลกตัวเองที่ระแวงอะไรกับสายตาเด็กตัวแค่นี้ คิดไปได้ว่ากำลังถูกจ้อง
หากจะโทษคงต้องโทษไอ้หน้ามึนที่ร้านนั่นแหละที่ชอบเดินตามไม่ก็จ้องจากข้างหลังจนระแวงไปหมดอย่างนี้ โทษผู้ชายอีกคนที่เคยเจอกันแค่สองครั้งแต่ออร่าความมึนรุนแรงไม่แพ้กันคนนั้นด้วย...ชื่ออะไรนะ.....อานนท์...? จะว่าไปตอนนั้นก็พบกันที่ซุปเปอร์มาเก็ตนี่เอง ถัดจากตรงนี้ไปอีกราวสองหรือสามล็อค ช่างเป็นคนประหลาดยากรับมือจนคิดว่าไม่ต้องเจอกันอีกเลยชีวิตนี้ท่าจะ.......ดี.......
ฉิบหายแล้ว!รถเข็นถูกทิ้งไว้ที่เดิม เมื่อครู่นี้เขาคิดว่ายังเห็นเด็กคนนั้นยืนก้ม ๆ เงย ๆ อ่านกระดาษในมืออยู่เลย
ปกติอานนท์ไม่ใช่คนที่จะมาเดินเตร็ดเตร่เล่นตามซุปเปอร์มาเก็ตในวันหยุดอย่างนี้ เขาชอบนอนพักผ่อนอยู่ในห้องนั่งเล่น อ่านหนังสือดี ๆ สักเล่ม จิบกาแฟตอนบ่าย หรือไม่ก็นั่งจัดสวนในบริเวณบ้าน แต่ระยะหลังกลับแวะมาที่นี่บ่อยขึ้นไม่ว่าจะโดยตั้งใจหรือเป็นทางผ่านตอนไปธุระ เดินวนเวียนแถวชั้นวางสินค้าเดิม ๆ อยู่สักสิบยี่สิบนาที แล้วก็มักได้แต่กาแฟกระป๋องซึ่งซื้อกลับไปก็ไม่ได้ดื่มแช่เก็บไว้ในตู้เย็นที่บ้าน
ชายหนุ่มชะเง้อมองตรงตำแหน่งนั้นให้แน่ใจอีกครั้ง เหลือแต่รถเข็นจริง ๆ ทั้งที่เขาเพียงแต่หันไปมองตามเด็กตัวน้อยจ้ำม่ำโบกมือกับเด็กหนุ่มเจ้าของรถเข็นซึ่งจอดนิ่งอยู่ตรงนั้น ละสายตาไปแวบเดียวหันมาอีกทีเจ้าตัวก็ไม่อยู่เสียแล้ว
นี่เกือบจะเข้าข่ายทำตัวเป็นสตอล์กเกอร์อยู่หรือเปล่า เขาเพียงแต่คาใจจนอยากคุยกันให้มากขึ้นกว่าเดิมเท่านั้นเอง ร่างสูงขยับขาเดินไปทางรถเข็นไม่มีเจ้าของ ก้มลงมองสินค้าในนั้น น้ำตาล ครีมเทียม นมสด เด็กคนนั้นเคยบอกว่าทำงานที่ร้านเค้กนี่นะ เขาเผลอหยิบของในนั้นขึ้นมาดู เมื่อรู้ตัวก็รีบวางกลับที่เดิม มายุ่งกับของในรถเข็นคนอื่นเป็นเรื่องเสียมารยาทมากทีเดียวแม้ไม่แน่ใจว่าเจ้าของจะยังเอาอยู่หรือเปล่าก็เถอะ
ปิ่นหยกย่อตัวกุมขมับอยู่หลังกองนมกระป๋องยี่ห้อดังที่วางเรียงซ้อนเป็นชั้นสูงใหญ่
แล้วนี่เขามาซุ่มอะไรอยู่ตรงนี้กัน เกิดมีกล้องวงจรปิดจับภาพอยู่ได้กลายเป็นเขาทำตัวมีพิรุธเหมือนจะขโมยของในร้านกันพอดี เขาไม่ได้ตั้งใจจะหนีหรือว่าอะไรทั้งนั้น เพียงแต่ขามันขยับไปเองก่อนสมองจะทันรับรู้ว่าอะไรเป็นอะไร
เป็นใครจะไม่ตกใจเมื่อกำลังนึกถึงคน ๆ หนึ่งแล้วคนนั้นก็ดันโผล่เข้ามาในลานสายตาอย่างกับจะแกล้ง รู้ตัวอีกทีก็ทิ้งรถเข็นแล้วกระโจนมานั่งหลบอยู่หลังกองนมกระป๋องพวกนี้อย่างน่าอนาถ แต่ครั้นจะให้เดินทำหน้าบานออกไปทักทายก็ใช่ที่ พลาดกระโดดเข้ามาซ่อนอยู่ตรงนี้แล้วก็รู้สึกว่าควรทำให้ตลอดรอดฝั่ง รู้อย่างนี้ไปขอให้ไอ้ลูกเจี๊ยบออกมาซื้อของแทนก็ดีหรอก
เสียงฝีเท้าจากบริเวณรถเข็นของเขาเบาลงจนเงียบไป อีกฝ่ายคงเห็นไม่มีใครเลยเดินไปแล้ว เด็กหนุ่มผ่อนลมหายใจยาว บ้าจริง ๆ ทำเป็นหนีเจ้าหนี้ไปได้
“จะหลบทำไมวะเนี่ยเรา”
“นั่นสิ..จะหลบทำไม”
“เฮ่ย!!!!!”เผลอร้องตะโกนเสียงหลง แขนชนกระป๋องนมร่วงลงมาทั้งแถบเรียกสายตาผู้คนหันมามองกันให้พรึบ อับอายไปถึงโลกหน้าเลยทีเดียว ทำไมต้องเป็นเขาอยู่เรื่อย
“ตกใจอะไรขนาดนั้น”
“ค...คุณ!”
“อานนท์” เจ้าของชื่อช่วยต่อ
“จำได้ครับ” ปิ่นหยกละล่ำละลักแล้วย่อตัวลงเก็บกระป๋องนมซึ่งกลิ้งกระจายเต็มพื้นขึ้นมา โชคดีที่เป็นกระป๋องโลหะจึงไม่แตกให้ต้องเสียเงินเสียทองเป็นค่าชดใช้ แต่หน้าเขานี่แตกละเอียดเป็นเศษเล็กเศษน้อยไปเรียบร้อย
“ดี นึกว่าลืมไปแล้ว” ชายหนุ่มว่าแล้วย่อตัวลงช่วยเก็บกระป๋องบนพื้น ปล่อยให้อีกฝ่ายกรีดร้องอยู่ในใจว่าเพี้ยนขนาดนี้ใครจะไปลืมลง(วะ)
“ปิ่นหยก”
“...ครับ”
“ปิ่นหยก”
“.......ครับ?”
“ปิ่น—”
“เรียกผมทำไมครับ!?” ไมเกรนจะขึ้นแล้วโว้ยครับ
อีกฝ่ายหัวเราะหึ ๆ ในลำคอชวนให้เขาผวาแปลก ๆ
“ฉันชอบชื่อเธอ เพื่อนคนหนึ่งเคยบอกว่าถ้ามีลูกจะให้ชื่อนี้”
“.....อ้อ...ครับ” เพื่อนคนเดิมที่เคยโม้ให้ฟังอีกหรือเปล่าก็นึกสงสัย ทว่าไม่ได้ถามออกไปด้วยไม่อยากต่อความยาว
“แต่นั่นเขาบอกว่าถ้าเป็นลูกสาวนะ”
ปิ่นหยกทำหน้าตึงนิดหน่อย นี่กำลังจะบอกว่าเขาชื่อเหมือนผู้หญิงอีกคนแล้วสินะ ชินแล้วก็ใช่แต่บ่อยเข้ามันก็เซ็ง เขาไม่ได้ตอบอะไรแต่หันไปจัดกระป๋องนมกลับเข้าที่ให้เรียบร้อยก่อนจะมีพนักงานคนไหนเดินมาเอาเรื่อง เสร็จแล้วจึงหันไปหารถเข็นตัวเองที่จอดทิ้งขวางทางไว้นานแล้ว
“วันนี้มายังไง”
“จักรยานครับ” เขาเข็นรถหนี พยายามไม่หันไปสบตา ผู้ใหญ่ประสาอะไรกันมาทำหน้ามึนเดินตามคนอื่นต้อย ๆ แต่งตัวก็ภูมิฐานแม้จะอยู่ในชุดลำลอง ท่าทางดูดีมีฐานะไม่น่าเพี้ยนได้ขนาดนี้เลย
“ซื้อเสร็จแล้วไปกินอะไรกันไหม”
“ต้องรีบกลับไปทำงานครับ”
“ฉันเลี้ยง”
มารู้จุดอ่อนเขาอีก!! “...ไม่ไปครับ” กัดฟันปฏิเสธเสียงแข็ง จะให้ความเห็นแก่กินมาทำชีวิตวุ่นวายไม่ได้อีกแล้ว ไหนจะไอ้ลูกเจี๊ยบที่รอจิกอยู่ร้านถ้าเกิดรู้เข้าว่าเขาติดสอยห้อยตามคนอื่นไปกินฟรีที่ไหนอีก ภาพประสบการณ์ตรงครั้งก่อน ๆ ฉายซ้ำในหัวเล่นเอาใจเต้นไม่เป็นส่ำ โคตรอนาถตัวเองเป็นบ้า...ปฏิเสธของฟรีนี่ดูไม่ใช่ตัวเขาเอาเสียเลย
“นึกว่าจะชอบเวลามีคนเลี้ยงเสียอีก” อานนท์บ่นพึมพำกับตัวเอง แต่แน่นอนว่าได้ยินมาถึงเขาราวกับจงใจ
“ว่าจะหาเพื่อนไปกินล็อปสเตอร์ร้านอร่อย เดาผิดหรือนี่”
เดาถูกเต็ม ๆ เลยครับท่าน... ของฟรีนั้นกระผมแสนโปรดปราน แต่ไปไม่ได้ไง เข้าใจหน่อย อย่ายั่วมากมันจะทนไม่ไหวเอา
ปิ่นหยกก้าวขาฉับ ๆ หยิบของใส่รถเข็น สมาธิจะคำนวณราคาแทบไม่เหลือเมื่อมีผู้ใหญ่หน้ามึนเดินตามทุกฝีก้าวเหมือนชีวิตนี้ว่างจนไม่มีอะไรให้ทำแล้วนอกจากเกาะติดคอยจับจ้องทุกอิริยาบถของเขา นี่ควรแจ้งตำรวจได้หรือยัง
“คุณอานนท์...” เด็กหนุ่มหยุดเดิน ตัดสินใจหันกลับไปถามให้รู้เรื่อง ถ้ามีอะไรไม่ชอบมาพากลจะได้แจ้งผู้พิทักษ์สันติราษฎร์เอารางวัลนำจับมร่างเลย “ตามผมทำไมครับ”
อีกฝ่ายชะงักไปเล็กน้อยกับคำถามตรงไปตรงมานั้น ทำสีหน้าครุ่นคิดอยู่หนึ่งอึดใจแล้วตอบกลับมาเสียงราบเรียบ
“สนใจ”
อะไรคือ
‘สนใจ’!? ปิ่นหยกเริ่มงงชีวิต กลั้นใจถามต่อแม้มันจะฟังดูพิลึกกระทั่งกับหูตัวเอง “สนใจอะไรครับ”
“อย่างที่เคยบอก เธอทำให้ฉันนึกถึงคน ๆ หนึ่ง”
เด็กหนุ่มชักเหงื่อตก ผู้ชายคนนี้คงดูละครหลังข่าวมากเกินไปแล้ว เหมือนแล้วไง หรือแท้จริงแล้วบ้านเขาเป็นผู้ดีมีชาติตระกูลที่โดนมรสุมกระหน่ำใส่ วันดีคืนดีก็มีคนมาตามหาเพื่อจะบอกว่าพินัยกรรมของเจ้าคุณทวดได้ยกสมบัติทั้งหมดให้เป็นของเขาแต่เพียงผู้เดียว แค่เอาปานแดงรูปหัวใจตรงแก้มก้นข้างซ้าย(ซึ่งใครจะไปมี)มายืนยันตัวตน
ปิ่นหยกตบหน้าผากตัวเอง ...บ้าไปแล้ว ท่าทางเขาเองนี่แหละที่ดูละครหลังข่าวมากไป
เขาเช็คของตามรายการอีกครั้ง เมื่อเห็นว่าครบแล้วจึงรีบจ้ำอ้าวไปทางแคชเชียร์ทันทีด้วยความหวังเต็มปรี่ว่าจะได้รีบเสร็จรีบกลับ ทว่าคุณพนักงานใหม่ก็ดูเงอะงะเหลือเกิน เด็กหนุ่มยืนฟังเสียงสแกนบาร์โค้ด ปี๊บ...ปี๊บ...อย่างพยายามใจเย็นที่สุด เตรียมหยิบเงินขึ้นมารอไว้กะว่ารู้ราคาเมือไหร่จะได้รีบยัดส่งให้เลยไม่ต้องเสียท่าแบบครั้งก่อน
“หนึ่งพันสองร้อยยี่สิบเอ็ดบาทค่ะ”
การจ่ายเงินเป็นไปโดยเรียบร้อยดี โล่งใจขึ้นมาอีกหนึ่งเปลาะ ปิ่นหยกหิ้วถุงเดินออกจากร้านท่าทางสบายใจ พยายามมองข้ามความจริงว่าคนตัวสูงข้างหลังยังไม่ทิ้งระยะห่างอย่างที่ควรจะเป็น
“ร้านเค้กที่เธอทำงานอยู่ไหน”
“ทำไมเหรอครับ”
“จะไปส่ง”
เขาไม่น่าชะล่าใจเลย
“กลับเองได้ครับ”
“ไปด้วยกันหน่อย อยากอุดหนุนแต่เดี๋ยวไปไม่ถูก”
ปิ่นหยกกลอกตา ให้มันได้อย่างนี้สิ “ถ้าอยากไปกินเดี๋ยวผมบอกทางให้แต่คุณไปเอง ผมเอาจักรยานมา ทิ้งไว้ที่นี่ไม่ได้”
พูดไม่ทันขาดคำ ของทั้งหมดที่ซื้อมาก็โดนดึงไปจากมือเรียบร้อยพร้อมกับร่างสูงของชายหนุ่มที่เดินนำไปยังลานจอดรถ
“จักรยานเดี๋ยวให้คนเอาไปส่ง คันสีเหลืองดำคันเดิมใช่ไหม”
“..ช..ใช่...แต่เดี๋ยวสิ....!”
เขาวิ่งตามจนมาหยุดอยู่ต่อหน้าออดี้สีดำด้านคันงาม แม่เจ้าเว้ย นี่มันใช่รถที่คนอายุราวสี่สิบปลาย ๆ จะขับมาเที่ยวเล่นแถวซุปเปอร์มาเก็ตไหม ได้แต่ยืนตาค้างมองอีกฝ่ายที่เข้าไปนั่งในรถพร้อมถุงของเขาซึ่งถูกยึดไป แล้วประตูฝั่งที่นั่งข้างคนขับก็ถูกเปิดออกพร้อมกับคำเชื้อเชิญ
“ขึ้นมาสิ”
...เขาควรสารภาพไปตรง ๆ เลยดีไหมว่าไม่กล้าขึ้น...
พาหนะแบบนี้ควรมีไว้กราบไหว้บูชามากกว่าเอามาให้เขานั่งเล่นนะ
“เร็ว ไอ้หนู” รอนานเข้าสรรพนามก็เริ่มเปลี่ยน
ปิ่นหยกลังเลอีกหนึ่งอึดใจ... จะโดนจับไปฆ่าหมกป่าคงไม่น่าเป็นไปได้ เคยเจอกันก่อนหน้านี้แม้จะดูพิลึกไปหน่อยแต่คนตรงหน้าก็ดูไม่มีพิษมีภัยอะไร ท่านเทพแห่งเงินตราคงแต่ส่งราชรถ(ของคนอื่น)มาปลอบใจเขาเล่น ๆ เพราะฉะนั้นแล้ว...
เอาวะ!.
.
.
.
“เดี๋ยวเลี้ยวซ้ายข้างหน้าครับ”
ปิ่นหยกชี้ทาง นั่งตัวเกร็งหลังตรงเป๊ะอย่างน่าขำ เบาะหนังดำขลับหรูหรารับกับตัวรถภายนอกทำเอาเขาแทบไม่กล้ากระดิกตัวเลยทีเดียว อยากโยนรองเท้าทิ้งเสียรู้แล้วรู้รอดเพราะกลัวเหยียบตรงไหนลงไปแล้วจะติดคราบฝุ่นดิน หายใจแรงไปรถจะเป็นรอยไหมนี่...
“...ตรงนั้น ก่อนถึงโรงพยาบาล”
“ร้านนี้เอง” ชายหนุ่มมองออกไปนอกรถ “จอดตรงไหนได้บ้าง”
“ที่ลานจอดรถของหอพักก็ได้ครับ”
“อ้อ..นี่คือหอพัก”
ปิ่นหยกพยักหน้า “ชั้นล่างสุดเปิดเป็นร้านเค้ก”
รถเลียบเข้าจอดนิ่ม ๆ ในซองจอดรถ เด็กหนุ่มรีบคว้าถุงทั้งหลายซึ่งควรจะอยู่ในมือเขาแต่แรกแล้วรีบถลาลงมาเหมือนถ้าอยู่ในรถนานกว่านี้อาจจะขาดอากาศหายใจตายได้พร้อมกับคำขอบคุณตามมารยาท ทันทีที่แตะพื้นขาก็ก้าวพรวดพราดนำออกไปยังประตูทางเข้าร้าน
เสียงโมบายกรุ๋งกริ๋งใกล้กับประตูกระจกยังดังรื่นหูเหมือนเคยพร้อมกับไอเย็นจากเครื่องปรับอากาศที่ลอยเข้ามากระทบใบหน้า ปิ่นหยกเดินนำเข้าไปพร้อมกับลูกค้ากิตติมศักดิ์ซึ่งติดสอยห้อยตามมาข้างหลัง
“กลับมาแล้วเหรอ”
อาทิตย์เอ่ยทักทายเป็นคนแรก แล้วก็มีอยู่คนเดียวนี่แหละที่ทักแบบนี้เพราะเขาแค่ออกไปซื้อของเท่านั้นเองใช่ว่าหายหัวไปไหนไกล
“มาแล้ว” ปิ่นหยกตอบรับห้วน ๆ แล้วเดินเลี่ยงไปอีกทาง
เด็กหนุ่มร่างสูงจึงได้เห็นว่าข้างหลังนั้นมีใครอีกคนเดินตามมาด้วย
ชายหนุ่มผู้มาใหม่เลิกคิ้ว สีหน้าไม่เปลี่ยนไปจากปกตินักแต่นัยน์ตาสีดำสนิทแบบเดียวกับอีกคนซึ่งมองตรงเข้ามานั้นแสดงความประหลาดใจอย่างเห็นได้ชัด แม้เด็กหนุ่มตรงหน้าจะผมยาวและดูยุ่งเหยิงขึ้นเล็กน้อย ผอมลงอีกนิดหน่อย แต่ไม่ผิดแน่นอน...
“...อาทิตย์”
ปิ่นหยกชะงักกับเสียงเรียกชื่อนั้นของชายหนุ่ม...รู้จักกันหรอกเหรอ.... หรือว่าจะเป็นญาติ จะว่าไปก็หน้าตาคล้ายกันอยู่ ทำไมเขาไม่เอะใจตั้งนานแล้วนะ ดีไม่ดีอาจจะเป็น....
“คุณพ่อ!”เมื่อกี้ว่าไงนะ!!?To be continued…=====================
การกลับมาของคุณอานนท์ 555
ขอบคุณที่ช่วยแก้คำผิดค่า >3<
แล้วพบกันตอนหน้านะคะ
***สารบัญคลิกที่นี่ค่ะ***