Dormitory Boys – สะดุดรัก หอพักอลเวง
“รัก...ติดดิน”Chapter 33 – มึนใหญ่และมึนเล็กฉิบหายแล้ว...ฉิบหายจริง ๆ
ถึงกับเงิบไปเลย ยกมือสวัสดีตอนนี้ทันไหมเนี่ย
อุ่นใจมารับของไปจากมือตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้เพราะเขามัวแต่วิตกจริตกับเหตุการณ์ตรงหน้า ควรคิดได้ตั้งนานแล้ว คนมึนขนาดนั้นมันจะมีสักกี่คนบนโลก และถ้ามีคนประเภทที่ว่ามากกว่าหนึ่งคนซึ่งหน้าตาก็คล้ายคลึงกันอย่างนี้น่าจะเอะใจบ้างว่าอาจเป็นญาติกันก็ได้
คำพูดต่อมาของอาทิตย์ช่วยย้ำว่าเขาไม่ได้หูฝาดแม้อยากให้เป็นอย่างนั้นแทบแย่
“คุณพ่อ...มาทำอะไรครับ”
ไม่ใช่แค่ญาติธรรมดาเสียด้วย มึนตัวพ่อมาเองเลยทีเดียว“มากินเค้ก”
“ปกติคุณพ่อไม่ทานของหวาน”
“ว่าจะลองดู”
สองพ่อลูกคุยกันประหยัดคำพูดเหมือนกลัวถูกคิดเงินค่าออกอากาศเป็นพยางค์ด้วยน้ำเสียงเนิบนาบโทนเดียวกันโดยมีปิ่นหยกยืนทำเหงื่อตกท้าทายศักยภาพของเครื่องปรับอากาศในร้านอยู่ไม่ไกลนัก ความทรงจำเมื่อตอนพบกันครั้งก่อนไหลท่วมท้นเข้าสมองเป็นน้ำป่าไหลหลาก ไม่อยากนึกถึงที่นินทาลูกชายเจ้าตัวให้ฟังเสียสนุกปาก แม้ไม่ได้เอ่ยชื่อว่าหมายถึงใครแต่ด้วยบริบทคงทำให้เดาได้ไม่ยาก แล้วแบบนี้เขาจะโดนหมายหัวเข้าแล้วหรือเปล่าถึงได้เรียกร้องขอตามมาถึงนี่
คิดได้แค่นั้นก็ให้รู้สึกน้ำลายเหนียวหนืดฝืดคอขึ้นมาทันที ลอบมองมึนใหญ่กับมึนเล็กมาเจอกันแล้วก็ตระหนักได้ว่าคนธรรมดาสามัญอย่างเขาจะยืนอยู่ตรงนี้เกะกะบรรยากาศซาบซึ้งประสาพ่อลูกอยู่ทำไม หลบไปตั้งหลักก่อนท่าจะดีกว่า ถือโอกาสช่วงที่คิดว่าไม่มีใครสังเกตถอยห่างออกมาทว่าขยับขาได้ยังไม่ทันถึงสามก้าว..
“ปิ่นหยกจะไปไหน?”เวรเอ๊ย! ถ้าจะประสานเสียงกันทั้งพ่อทั้งลูกขนาดนี้ “ทำงาน!” เขาโวยใส่มึนเล็ก จังหวะที่จะหันกลับก็ดันไปสบตากับมึนใหญ่ “...ครับ” เลยต้องลงหางเสียงต่อท้ายเพิ่มความสุภาพอย่างเสียมิได้ ยังไงก็คุยกับคนอายุมากกว่า
อาทิตย์หันกลับไปขมวดคิ้วน้อย ๆ “คุณพ่อรู้จักปิ่นหยกด้วยหรือครับ”
อีกฝ่ายไม่ตอบ แต่ยิงคำถามกลับไปแทน “เป็นเพื่อนกันเหรอ”
สองคนนี้ยังไงกัน! ถ้าเรียกเขาไว้แบบนี้แล้วจะหันกลับไปคุยกันต่อเหมือนโลกนี้มีเพียงเราสองก็ช่วยปล่อยเขาไปทำงานอย่างสงบทีเถอะ
“หืม?” อานนท์เลิกคิ้วเป็นเชิงถามอีกครั้งเมื่อเห็นลูกชายเงียบไปนานเกินควรกับคำถามง่าย ๆ แต่ทำให้อีกฝ่ายชะงัก ส่งสายตาสบกับนัยน์ตาสีดำลึกล้ำของผู้สูงวัยกว่าที่เขาอ่านไม่ออก
เด็กหนุ่มร่างสูงนิ่งงัน สีหน้าครุ่นคิด
..เพื่อนกัน...? ไม่ใช่แค่นั้นแน่นอน
แต่ถึงเวลาที่คุณพ่อควรรู้หรือแล้วหรือยัง“เป็น........เพื่อนที่โรงเรียน...”
เสียงทุ้มพึมพำโดยไม่หลบตา จงใจเว้นจังหวะแต่ละพยางค์ช้า ๆ เพื่อสังเกตปฏิกิริยาของผู้เป็นพ่อ “...เป็นเพื่อนร่วมงาน.....คนที่อยู่ใกล้ชิดที่สุดตอนนี้”
ชายหนุ่มพยักหน้า เรื่องนั้นดูจากการทักทายกันตอนเดินเข้าร้านก็พอจะบอกได้อยู่ ลูกชายเขาแทบจะกระดิกหางใส่เด็กหนุ่มอีกคนซึ่งกำลังยืนเงอะงะอยู่ตอนนี้ เป็นภาพที่ไม่นึกว่าจะได้เห็นอาทิตย์แสดงอาการอย่างนั้นกับใครอื่นนอกจากคนในครอบครัวเมื่อสมัยเจ้าตัวยังเด็ก
อาทิตย์สบตาอีกฝ่ายนิ่ง เห็นว่าคนตรงหน้าไม่ว่าอะไรจึงสูดลมหายใจเข้าลึก ยืดอกขึ้นเต็มความสูงแล้วเอ่ยเสียงหนักแน่น
“เป็นคน...รั—”
“เป็นคนร่วมห้องครับ!”ปิ่นหยกโพล่งขึ้นกลางวง ทนปล่อยเลยตามเลยไม่ไหวอีกต่อไป
“ค..คือ..ผมหมายถึงแชร์ค่าห้องพักกัน...แบบเป็น..รูมเมท”
เขาขยายความตะกุกตะกักแล้วส่งเสียงหัวเราะแกน ๆ ออกมา พยายามหยุดคิดว่าหน้าร้อนขนาดนี้สีที่ปรากฏบนผิวหน้าจะแดงไปถึงไหนต่อไหนแล้ว เกิดคาดไปมากว่าไอ้ลูกเจี๊ยบตรงหน้าจะใจกล้าบ้าบิ่นขนาดพูดอะไรอย่างนั้นกับพ่อตัวเอง ถ้าเขาขัดเอาไว้ช้ากว่านี้มันไม่สารภาพไปหมดเปลือกเลยหรือไง สายตาเหลือบมองคู่สนทนากล้า ๆ กลัว ๆ เมื่อพบว่าอีกฝ่ายไม่ได้เปลี่ยนสีหน้าจากเดิมหรือแสดงอาการติดใจสงสัยจึงพอจะโล่งขึ้นมาได้นิดหน่อย ได้โอกาสเฉไฉไปเรื่องอื่นให้ไกลประเด็นเดิม
“เห็นบอกว่าจะกินเค้ก คุณอานนท์นั่งก่อนสิครับ” เขาว่าพลางทำตัวเป็นพนักงานที่ดีผายมือไปยังโต๊ะซึ่งยังว่างอยู่ “เดี๋ยวผมเอาเมนู..”
“เปลี่ยนใจแล้ว ขอเอสเพรสโซ่ร้อนแก้วหนึ่งก็พอ”
“...อ้อ...ครับ”
“แล้วก็นั่งคุยกันก่อนสิ อาทิตย์ด้วย”
ปิ่นหยกทำหน้าเหวอ แต่แล้วเสียงผู้หญิงอีกโต๊ะก็ดังขึ้นช่วยชีวิตไว้ทันท่วงที
“สั่งเพิ่มหน่อยค่าาา~~”ไม่เคยกระตือรือร้นอยากให้บริการสาว ๆ มากเท่านี้มาก่อนเลยให้ตาย “คร้าบบบ” เขาแทบถลาออกไปจากที่ตรงนั้น หันมาขอโทษขอโพยกับชายหนุ่มหน้าระรื่นว่าคงนั่งคุยด้วยไม่ได้เพราะเป็นลูกจ้างและมีงานต้องทำ แต่ไม่ลืมทำสีหน้าอำมหิตใส่อาทิตย์เป็นเชิงขู่เข็ญทางสายตาว่าอย่าคิดพูดหรือทำอะไรโจ่งแจ้งต่อหน้าพ่อตัวเองแบบเมื่อครู่เป็นอันขาดแล้วจึงแยกตัวออกมาเป็นการด่วน
อานนท์มองตาม เผลอยักยิ้มขึ้นที่มุมปาก
“เป็นเด็กที่แอคทีฟดีนะ”
อาทิตย์มองไปรอบร้าน ท่าทางยังไม่มีใครต้องการเรียกใช้พนักงานตอนนี้ นั่งคุยกับคุณพ่อสักพักคงไม่เป็นไร
เด็กหนุ่มขยับตัวลงนั่งฝั่งตรงข้าม พอเห็นหน้ากันในระยะใกล้แบบนี้จึงเพิ่งนึกได้ว่าพวกเขาไม่ได้เจอกันมานานทีเดียว
“คุณพ่อตามเขามาเหรอครับ”
“ลูกผอมลงนะ”
“คุณพ่อรู้จักกับเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ”
“ผมยาวขึ้นด้วย”
ต่างคนต่างพูดกันไปคนละเรื่อง...
อาทิตย์โน้มตัวไปข้างหน้า ศอกค้ำไว้กับโต๊ะ “คุณพ่อยังไม่ตอบผมเลย”
อานนท์หัวเราะ นอกจากรูปลักษณ์ภายนอกที่ต่างจากเดิมแล้ว บุคลิกลูกชายของเขาก็เปลี่ยนไปด้วยนิดหน่อยเหมือนกัน
“ถ้าเป็นเมื่อก่อนลูกจะพยักหน้าเออออตามพ่อ”
เด็กหนุ่มเม้มริมฝีปาก เอนตัวกลับมาพิงพนักเก้าอี้บุนวมตามเดิม
“ขอโทษครับ”
“ขอโทษทำไม” ผู้เป็นพ่อแย้มยิ้ม ขยับตัวให้พนักงานหญิงหนึ่งเดียวของร้านเสิร์ฟกาแฟร้อนหอมกรุ่นไว้ตรงหน้า เมื่อเห็นว่าคนเสิร์ฟไม่ใช่เด็กหนุ่มคนที่เขาตามมาจึงหันกลับไปสานต่อบทสนทนา
“ไม่ได้บอกว่าไม่ดี” เขาว่าพลางหมุนแก้วกาแฟไปมา ทิ้งระยะให้ความเงียบทำหน้าที่ของมันอยู่สักอึดใจแล้วจึงพูดต่อ
“..กับเพื่อนลูกคนนั้น ก่อนหน้านี้เคยเจอกันแล้วสองครั้งโดยบังเอิญ ครั้งแรกที่โรงพยาบาล เขาบอกว่าไปกับเพื่อนคนหนึ่งที่ช่วยเขาไว้ตอนถูกมอเตอร์ไซค์เฉี่ยวจนมีแผลแตกที่หน้าผาก”
เอสเพรสโซ่รสขมกำลังดีสัมผัสปลายลิ้น บางทีเขาควรหาโอกาสมาแวะจิบกาแฟที่นี่อีก....ด้วยหลาย ๆ เหตุผล
“...ไหนเปิดหน้าผากให้พ่อดูหน่อย เพื่อนคนที่ว่าใช่ลูกหรือเปล่า”
อาทิตย์ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะยกมือปัดผมซึ่งปรกหน้าผากออกไปด้านข้าง ชายหนุ่มทุบกำปั้นลงบนฝ่ามือตัวเองเบา ๆ เมื่อเห็นรอยแผลเป็นจาง ๆ ซ่อนอยู่ใต้ปอยผมสีดำขลับนั้น ...เขาเดาไว้ไม่ผิดเลย
“เจอกันครั้งที่สองที่ซุปเปอร์มาเก็ตตอนเขากำลังซื้อของเข้าร้าน พ่อชวนเขาไปนั่งกินไอติมแล้วก็คุยนั่นนี่ เป็นเด็กที่คุยสนุกใช้ได้”
ภายใต้สีหน้านิ่ง ๆ ของเด็กหนุ่มเริ่มแฝงด้วยอาการเหวอนิดหน่อย ...ตกลงว่าผู้ชายแปลก ๆ ที่พาไปเลี้ยงไอติมซึ่งปิ่นหยกพูดถึงวันนั้นคือคุณพ่อ แล้วเขาที่ตราหน้าผู้ชายคนนั้นไปแล้วว่าเป็นพวกโรคจิตโดยไม่รู้ว่าเป็นพ่อตัวเองจะบาปมากไหม
“ตอนกลับตั้งใจจะมาส่ง แต่เขาบอกเอาจักรยานมาเอง พ่อก็ประหลาดใจตั้งแต่เห็นตัวหนังสือเขียนว่า
‘อาทิตย์’ กับ
‘ปิ่นหยก’ ที่คานจักรยานนั่นแล้ว โลกมันกลมนะว่าไหม”
“นั่นสิครับ”
“ทีนี้หายข้องใจหรือยังไอ้ลูกชาย”
“ยังครับ”
“หือ?”
“คุณพ่อตามเขามาทำไมครับ”
อานนท์เอียงถ้วยกาแฟเล็กน้อยก่อนจะยกขึ้นจิบอย่างใจเย็น น้ำเสียงหนักแน่นที่เพิ่งได้ยินช่างฟังดูต่างจากอาทิตย์คนเดิมที่เอาแต่เฉื่อยแฉะไปวัน ๆ เสียจริง อะไรบางอย่างในถ้อยคำเหล่านั้นกระซิบบอกเขาว่าเพื่อนชื่อปิ่นหยกคนนี้ของลูกชายคงไม่ใช่ระดับเพื่อนธรรมดาทั่วไป
“ตามมาเพราะรู้สึกสนใจ”
อาทิตย์เลิกคิ้ว “สนใจอะไรครับ”
ชายหนุ่มจับจ้องอาการของอีกฝ่ายไม่วางตา ท่วงท่าและสีหน้าจริงจังแบบนี้เขาไม่ได้เห็นบ่อยนัก ช่วงเวลาที่ห่างกันเพียงไม่กี่เดือนไม่น่าเชื่อว่าลูกชายเขาดูเติบโตขึ้นมากทีเดียว เขาเลี่ยงการตอบคำถามอีกครั้งแล้วหันไปถามเรื่องอื่นแทน
“ลูกรู้จักพ่อแม่ของปิ่นหยกไหม”
“......เคยเห็นในรูปครับ ปิ่นหยกบอกทั้งสองท่านเสียไปนานแล้ว”
“เสียไปแล้ว?” อานนท์ทวนคำแผ่วเบา รู้สึกโหวงเหวงขึ้นมาในอก
“ตอนนี้ผู้ปกครองคือน้าที่เป็นฝาแฝดกับคุณแม่ของเขา”
“...แฝด?”
ถึงจุดนี้ความคิดเขาล่องลอยไปไกล เธอคนนั้นก็มีฝาแฝด เพียงแต่จะใช่หรือเปล่า และถ้าใช่จริงจะเป็นคนที่ยังอยู่หรือคนที่จากไปแล้วกันแน่
“แม่ของเขากับคู่แฝดมีชื่อพลอย...เพชร...อะไรอย่างนี้?”
ครั้งนี้ความประหลาดใจฉายชัดบนใบหน้าเด็กหนุ่มโดยไม่คิดปกปิด
“คุณพ่อรู้จักหรือครับ”
อานนท์หลับตา เอนหลังพิงพนักเก้าอี้ช้า ๆ ระบายลมหายใจออกมาแผ่วเบา “....กิ่งพลอย...กับกิ่งเพชร.....ใช่ไหม”
ไม่ทันได้ลืมตามาเห็นลูกชายพยักหน้ารับ แต่ถึงตอนนี้แม้ไม่เห็นเขาก็มั่นใจว่าตัวเองมาถูกทาง
“คนไหนเป็นแม่จริง ๆ ของเขาที่เสียไปแล้วนะ” ชายหนุ่มถามเสียงอ่อนระโหย “....พลอย หรือเพชร”
จะได้ชัดเจนเสียทีระยะเวลากว่าอาทิตย์จะตอบกลับมาดูยาวนานเหลือเกิน ท้ายที่สุดเสียงทุ้มของลูกชายก็แว่วขึ้นกระทบโสตประสาท
“แม่พลอยที่เป็นแม่แท้ ๆ ของเขาเสียไปแล้วครับ”
..กิ่งพลอยไม่อยู่บนโลกนี้แล้วเหมือนมีรูโหว่ขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นกลางอกเขากะทันหัน หัวใจกระตุกไปหนึ่งวูบ ปั่นป่วนด้วยความรู้สึกอันเป็นส่วนผสมของความเศร้าโศก ประหลาดใจ ความโหยหา และเศษเสี้ยวของความยินดีที่ได้พบเด็กซึ่งเป็นลูกของเธอ
.....หรือบางที...อาจเป็นลูกของเขา...
อาจจะ...?“ถ้ามีลูกสาว...จะให้ชื่อปิ่นหยก”เขาจำที่เธอบอกได้แม่นยำ แต่ไม่นึกว่าเธอคิดจริงจังเรื่องที่ว่าขนาดนี้ แถมนี่ไม่ใช่ลูกสาวเสียหน่อย
.
.
.
“อาทิตย์ยังอยากมีพี่ชายหรือน้องชายเหมือนที่เคยบอกพ่อตอนลูกเด็ก ๆ อยู่หรือเปล่า”
เจ้าของชื่อนิ่งไป จริงอยู่ที่ตอนเด็กเขาเคยอยากมีพี่น้องที่เป็นผู้ชายด้วยกันมาเล่นเป็นเพื่อนอย่างคนอื่นเขา แต่คำถามนั้นของคุณพ่อช่างฟังดูไม่เข้ากับบทสนทนา และน่าแปลกที่มันทำให้เขารู้สึกหวั่นใจขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล
“...ตอนนี้คิดว่าไม่ครับ ทำไมคุณพ่อถึงถาม”
อานนท์เพียงแต่คลี่ยิ้มบางกลับไป ก่อนจะนึกได้ว่าตัวเองทำตัวเป็นคุณพ่อที่ไม่ดีเอาเสียเลยวันนี้ ในเมื่อเขาแทบไม่ได้ตอบคำถามลูกชายสักอย่าง
......................................................................
........................................
.
.
.
.
ปิ่นหยกลุกขึ้นยืนบิดขี้เกียจ นั่งอ่านหนังสือหลังขดหลังแข็งนาน ๆ หลังจากทำงานหนักทั้งวันเล่นเอาปวดเมื่อยไปทั้งตัว เขาหักนิ้วกร๊อบแกร๊บแก้เมื่อยแล้วเดินโซเซไปทิ้งตัวบนเตียง เอาศอกดันคุณชายร่างสูงซึ่งนอนแผ่อยู่บนนั้นก่อนแล้วให้ขยับตัวแบ่งที่นอนอย่างยุติธรรมกว่านี้สักหน่อย
“เป็นลูกเจี๊ยบอย่านอนกินที่ดิ” พูดจบก็หาวออกมาหวอดใหญ่
อาทิตย์โยนหนังสือซึ่งจ้องอยู่ตั้งนานก็ไม่ได้เข้าหัวสักนิดเอาไว้อีกฝั่ง พลิกตัวตะแคงข้างเข้าหาผู้มาใหม่บนเตียง และแทนที่จะขยับออกห่างกลับยิ่งเบียดชิดเข้ามาจนอีกฝ่ายต้องเอามือดันแผงอกไว้
“เบียดทำไม จะตกเตียงแล้วไอ้เวร!”
“...ปิ่นหยก”
เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นแผ่วเบา ปิ่นหยกรอฟังอยู่แต่ก็ไม่เห็นท่านชายมีทีท่าอยากพูดอะไรต่อจากนั้น
“อะไร เรียกแล้วไม่พูด หาเรื่องเหรอ”
เขาโวยแล้วเปลี่ยนเป็นนอนตะแคงหันหน้าเข้าหา หรี่ตาพิศมองใบหน้าคมซึ่งแม้ไม่แสดงอารมณ์ใด ๆ แต่ความเงียบผิดปกติหลังจากคุณลูกมึนเล็กแยกกับคุณพ่อมึนใหญ่ทำให้เขาคลางแคลงใจไม่หาย ระหว่างที่เขาไม่อยู่ไม่รู้ว่าสองคนพ่อลูกคุยอะไรกันเป็นนานสองนาน อยากทำตัวสอดรู้สอดเห็นหรือก็เปล่าแต่อดปฏิเสธไม่ได้เลยว่าท่าทีแปลกไปอย่างนี้ทำให้เขารู้สึก........เป็นห่วง......
“พ่อด่ารีไง” ปิ่นหยกพยายามทำขำใส่ แต่ผลออกมาไม่น่าพอใจเท่าที่ควร
“รักนะครับ”
ไม่ขำแล้วยังทำเลี่ยนกลับมาให้เสียเส้นอีก
“..อยู่ ๆ พูดอะไรวะ!”
อาทิตย์ดึงร่างโปร่งของอีกฝ่ายเข้ามาอยู่ในอ้อมแขน ปิ่นหยกดิ้นขลุกขลักอยู่พักหนึ่งแล้วก็ถอดใจ ปล่อยให้เขาเอาใบหน้าซุกลงกับกลุ่มผมสีน้ำตาลที่หอมกลิ่นแชมพูแบบเดียวกับตัวเขาเอง ถ้ากอดกันได้อย่างนี้ทั้งคืนคงเป็นเรื่องดีเพราะจะไม่มีใครดิ้นตกเตียงอย่างที่เคยเป็นบ่อย ๆ
“....รักมาก....แค่อยากบอกให้รู้”
ปิ่นหยกอยากเถียงต่อ แต่อะไรบางอย่างในน้ำเสียงเว้าวอนนั้นทำให้เขาหลับตาลงช้า ๆ โดยไม่ได้พูดอะไรออกไป
....มันอุ่น...ทั้งจากอ้อมกอดและความร้อนที่พลุ่งพล่านอยู่ในตัวเขาเอง การพบกันระหว่างพ่อลูกวันนี้อาจเป็นเรื่องเกินกว่าเขาจะเข้าใจ และมันคงมากกว่า
‘พ่อด่า’ อย่างที่เขาพยายามพูดให้ขำ เด็กหนุ่มลังเลอยู่ครู่ใหญ่กว่าจะกล้าเอื้อมมือสั่น ๆ ไปกอดตอบ อีกฝ่ายไม่มีท่าทางจะหันมาจับเขากดลงกับเตียงหรือทำอะไรมากกว่านั้นอย่างทุกที นั่นทำให้เขาทั้งโล่งใจและกังวลไปในคราวเดียวกันเพราะนี่เรียกว่าผิดปกติไปมากทีเดียว
“ไม่สบายใจก็นอนเหอะ พรุ่งนี้เช้าพระอาทิตย์ขึ้นเดี๋ยวก็ดีเอง”
เขาลากฝ่ามือผ่านแผ่นหลังกว้างแผ่วเบาเป็นเชิงปลอบประโลมพร้อมส่งเสียงพึมพำที่ไม่รู้ว่ามันจะได้ยินหรือเปล่า เป็นเขาเองที่ได้ยินเสียงย้ำคำรักอีกครั้งข้างหู ทั้งที่ถ้อยความเรียบง่ายกลับชวนให้รู้สึกหวามไหวไปทั่วสรรพางค์กาย
“รักครับ...ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น”
ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น.....?To be continued…===========================
Edit - แก้คำ้ล่อแหลมออกไปแล้วค่ะ ขอบคุณคุณ kasarus งาม ๆ ไม่ทราบจริง ๆ ค่ะ พลาดแล้ว TTvTTคุณพ่อขโมยซีนช่วงตอนสองตอนมานี้ แต่ตามเนื้อเรื่องขอนิดนึงนะคะ
เครียดไปรึเปล่า ไม่เนอะ เราไม่ถนัดดราม่าน้ำตาท่วม 5555
ขอบคุณงาม ๆ ทุกท่านที่เข้ามาอ่านค่ะ ดีใจมากเลย TTvTT
อ่านแล้วถ้าแอบงงเรื่องความสัมพันธ์รุ่นพ่อแม่ ขอสรุปสั้น ๆ (แบบไม่สปอยล์) ดังนี้ค่ะ
- แม่ปิ่นหยกจริง ๆ คือกิ่งพลอย เสียชีวิตไปแล้ว และคนที่อยู่ในความทรงจำคุณอานนท์ก็คือกิ่งพลอยนี่เอง ส่วนเรื่องพ่อปิ่นหยก...รอไปตามเนื้อเรื่องค่ะ =w=
- คุณอานนท์ตามมาก็เพราะสงสัยว่าปิ่นหยกเป็นลูกเต้าเหล่าใคร แม้ท่าทางจะเหมือนเสี่ยเลี้ยงต้อยมากกว่า (ซึ่งเราชอบนะคะ...ฮา)
- อาทิตย์รู้แค่คุณพ่อรู้จักกับแม่ปิ่นหยกมาก่อน ไม่รู้ว่าความสัมพันธ์ถึงขั้นไหนยังไง(ก็ป๊ะป๋าเล่นถามอย่างเดียวไม่ยอมเล่า) แค่รู้สึกคาใจ+กังวลกับคำพูดคุณพ่อแล้วก็เดาเอาเองค่ะ
- เบื้องลึกเบื้องหลังกว่านั้นอาจยังไม่เคลียร์ ค่อย ๆ เฉลยไปเนาะ ^^ แล้วพบกันตอนหน้านะคะ ^o^
***สารบัญคลิกที่นี่ค่ะ***