Dormitory Boys – สะดุดรัก หอพักอลเวง
“รัก...ติดดิน"CHAPTER 46 – วันชื่นมึนสุขเสียงเรียกเข้าติดเครื่องดังขึ้นจากโทรศัพท์ที่วางอยู่บนโต๊ะ ตั้งแต่ได้มันมาก็ไม่เคยมีใครคิดเปลี่ยนใหม่ให้สมกับเป็นเด็กวัยรุ่น ปล่อยใช้เสียงเดิมซึ่งถูกตั้งค่ามาแต่แรกอยู่อย่างไรก็อย่างนั้นด้วยทำหน้าที่แค่รับสายจากคนเพียงคนเดียว
“สวัสดีครับพี่อัน”
เงียบไปครู่ใหญ่จนเขาเกือบกดตัดสายหากไม่ได้ยินเสียงหัวเราะเบา ๆ จากอีกฝั่งเสียก่อน
“ทำไมเป็นอาทิตย์รับอีกแล้วล่ะ ตกลงเครื่องนี้ของใครเนี่ย?”
“ปิ่นหยกไม่ชอบพกโทรศัพท์ครับ”
“รู้ใจกันจริงน้องรัก”
“รู้มากกว่าที่พี่อันคิด”
หญิงสาวเงียบไป ทิ้งเวลาให้สมองได้อัพเดทข้อมูลล่าสุดว่าน้องชายหน้ามึนของเธอซึ่งไม่เจอกันนานเดี๋ยวนี้ปากคอเราะร้ายกว่าเดิมแบบก้าวกระโดด “น้องปิ่นล่ะ?”
“ไม่อยู่ครับ”
“ไปไหนแล้ว?”
ไปไหนอย่างนั้นหรือ...? อาทิตย์เหลือบมองร่างโปร่งบนเตียงที่กำลังหลับพริ้ม ขนาดเสียงโทรศัพท์ดังอยู่ตั้งนานก็เพียงแต่ปรือตาขึ้นมอง เห็นเขารับสายแล้วก็ฟุบลงหลับต่อเป็นตายอย่างตั้งอกตั้งใจประหนึ่งเป็นวาระแห่งชาติ ท่าทางคงหมดแรงจริง ๆ
ภาพตรงหน้าทำเขาถึงกับเผลอลอบยิ้มกับอากาศ เวลาแบบนี้ช่างน่าฟัดที่สุด
“....ไปทัวร์แดนสนธยา...มั้งครับ”
พูดจบก็หัวเราะออกมา เสียงพ่นลมแผ่วเบาดังแว่วไปถึงปลายสาย และเขาได้รับเสียงพ่นลมกลับมาจากพี่สาวเช่นกัน หากแต่มันเกิดจากการถอนหายใจไม่ใช่หัวเราะ
“เฮ้อ...พี่เป็นห่วงจริง ๆ นะเนี่ย”
“ห่วงอะไรหรือครับ”
“ห่วงว่า...” เสียงหวานเอ่ยทีเล่นทีจริง “อาทิตย์จะทำอะไรน้องปิ่นของพี่”
“ของผม” เขาช่วยแก้
มุมปากหญิงสาวยกขึ้นเล็กน้อยเมื่อได้ยินน้องชายเอ่ยย้ำแบบเดียวกับที่ได้เจอกันก่อนหน้านี้ สวนกลับมาอย่างไวเชียวให้ตาย “พี่ถามหน่อยได้ไหมว่ามาอยู่ด้วยกันได้ยังไง”
“ผมตามเขามา”
“ไม่กลัวโดนเขาหลอกหรือ”
“เขารักผม”
เต็มปากเต็มคำ ไร้ร่องร่องความลังเลในน้ำเสียง คำพูดนั้นหนักแน่นเสียจนเธอถึงกับคล้อยตามวูบหนึ่ง บางทีอาทิตย์ก็มีความมั่นใจในตัวเองเกินมนุษย์มนาไปบางเรื่อง
หรือเป็นเพราะเธอยังเข้าใจเด็กพวกนี้ไม่พอ?
สิ่งที่ได้รู้จากคิมหันต์ไม่ช่วยให้เธอกระจ่างกับที่มาที่ไปในความสัมพันธ์ของพวกเขานักเพราะเจ้าเด็กผู้ช่วยตัวแสบนั่นดูจะพูดจากั๊กตรงนั้นตรงนี้ไว้เหลือเกินจนน่าหมั่นไส้ หากมีเวลาเล่นด้วยคงน่าสนุกดีแต่เธอไม่ได้ว่างขนาดนั้นจึงไหว้วานสามภพผู้เป็นน้องชายคนรักของเธอให้ช่วยสักหน่อย พ่อคนนี้ก็ยียวนไม่แพ้กันน่าจะสมน้ำสมเนื้อเหมือนมวยถูกคู่ ต่อให้เอาข้อมูลอะไรเพิ่มเติมจากคิมหันต์ไม่ได้เลยอย่างน้อยก็น่าจะกันเจ้าตัวออกไปได้ระหว่างที่เธอมาแทรกแซงน้องชายที่รักและรูมเมทผู้น่าสงสัย
“แล้วอาทิตย์รักเขาไหม?”
“รัก...” เขากรอกเสียงใส่โทรศัพท์ แต่นัยน์ตาฉายแววอ่อนโยนทอดไปยังร่างที่นอนสงบนิ่งอยู่บนเตียงราวกับไม่ได้กำลังตอบคนในสาย
“รักมาก ๆ ครับ”
หญิงสาวฟังแล้วผิดสังเกตถึงกับกระแนะกระแหนออกมา “เสียงอย่างกับเมากัญชา” และเขาก็ทำเพียงหัวเราะกลบเกลื่อน
“พี่อันสบายดีหรือเปล่าครับ”
“หือ?”
“ผมรักพี่อันนะ”
โอ้...โดนหนุ่มหล่อบอกรักทางโทรศัพท์ เธอควรดีใจ“พี่ก็รักอาทิตย์จ้ะ”
“คิมบอกพี่อันยังรักกับแฟนดี ไม่ได้สนใจปิ่นหยกจริง ๆ หรอก”
อันนากัดริมฝีปาก เจ้าเปี๊ยกหัวทองนั่นเล่นเธอแล้วไง
“เขาเป็นแฟนผม” อาทิตย์พึมพำไม่รอให้อีกฝ่ายพูดแทรก ปิ่นหยกยอมหรือยังก็ไม่แน่ใจแต่เขาจะเหมารวมเสียรู้แล้วรู้รอดเพราะถามทีไรก็เอาแต่บ่ายเบี่ยงไม่ยอมตอบตรง ๆ เสียที แถมยังไล่เขาไปไถนาบ้าง ไปให้นกเอี้ยงเลี้ยงบ้างอยู่นั่นแหละ
“ถึงจะรักพี่อัน แต่ผมไม่ยกปิ่นหยกให้แน่นอนครับ”
หญิงสาวไม่ได้ตอบอะไรออกไป เอานิ้วม้วนผมตัวเองเล่นไปมาขณะที่เหม่อมองออกไปนอกระเบียงห้องพักด้วยสายตาครุ่นคิด สองพี่น้องฟังเพียงเสียงความเงียบผ่านสัญญาณโทรศัพท์อยู่ครู่ใหญ่จนผู้เป็นน้องชายเอ่ยนุ่มนวลขึ้นมา
“ดึกแล้ว ช่วงนี้ต้องอ่านหนังสือเตรียมสอบเยอะแล้วก็ทำงานด้วย แค่นี้ก่อนนะครับพี่อัน”
อันนาพยักหน้าน้อย ๆ กับลมฟ้าอากาศราวกับว่าอีกฝ่ายจะสามารถรับรู้อากัปกิริยาของเธอได้ ริมฝีปากอิ่มแบบเดียวกับน้องชายคลี่ยิ้มละไมเมื่อลมหนาวโชยเอื่อยมาต้องใบหน้า นั่นใช่น้องชายของเธอจริงหรือเปล่า...? อ่านหนังสือเตรียมสอบ? ทำงาน....? ไม่ยักรู้ว่าอาทิตย์ทำอะไรอย่างนั้นเป็นด้วย หากคุณพ่อมาได้ฟังคงดีใจไม่น้อย
“สู้ ๆ น้องรัก....” เธอกระซิบ ไม่รู้อีกฝ่ายจะได้ยินไหม
“ฝันดีจ้ะ”
“ฝันดีเช่นกันครับ”
เขาเอ่ยทิ้งท้าย รอจนเธอวางสายไปเอง นั่งมองเครื่องมือสื่อสารจากพี่สาวอยู่เนิ่นนานกระทั่งแสงจากหน้าจอหรี่ลงและดับไปในที่สุด ระแคะระคายขึ้นมาว่าพี่สาวตัวเองคงไม่ได้คิดแย่งปิ่นหยกไปอย่างที่กล่าวอ้างในเมื่อคนรักตัวเองก็มีเป็นตัวเป็นตนอยู่แล้ว ฟังจากคิมก็ดูรักกันดี จะว่าอยากกีดกันพวกเขาก็ไม่เชิง พฤติกรรมและระบบความคิดของเธอช่างชวนให้สับสนอย่างที่ไม่กี่คนจะทำอย่างนี้กับเขาได้ ขนาดตอนอยู่ด้วยกันทุกวันยังรับมือลำบาก ไม่เจอกันนานก็ยิ่งแล้วใหญ่
เด็กหนุ่มหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาจด ๆ จ้อง ๆ อีกครั้ง กดเลือกดูข้อมูลการใช้งานย้อนหลัง เบอร์ที่โทรเข้ามามีเพียงเบอร์เดียวของคนที่เพิ่งวางสายไปดังคาด มีสายไม่ได้รับอีกหลายสายไปจนถึงข้อความเตือนว่ามีคนโทรเข้าระหว่างที่แบตเตอร์รี่หมดและปิ่นหยกคงลืมชาร์จ(หรือบางทีอาจไม่คิดชาร์จเพราะเปลืองไฟ) ไม่รู้ปิ่นหยกคุยอะไรกับพี่สาวของเขาไปบ้าง แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังเชื่อใจอยู่เต็มเปี่ยมว่าอีกฝ่ายจะไม่มีวันหักหลังเขา
เสียงพลิกตัวของคนบนเตียงดึงให้อาทิตย์หลุดจากภวังค์ ดวงหน้าสงบนิ่ง คิ้วเรียวซึ่งมักขมวดมุ่นไว้อยู่เสมอคลายออกดูไร้ซึ่งความกังวล น่าให้หลับปุ๋ยอย่างนี้อยู่หรอกในเมื่อวันนี้ทั้งวันยุ่งจนแทบไม่มีเวลาพัก
ลำพังงานประจำที่ร้านอย่างทุกทีคงไม่เท่าไร แต่เข้าใกล้ปลายปีนายจ้างของพวกเขาเกิดปิ๊งไอเดียอยากแต่งร้านใหม่ขึ้นมาเตรียมพร้อมรับช่วงเทศกาลที่กำลังจะมาถึง จึงต้องมีออกแรงขนย้ายเฟอร์นิเจอร์และข้าวของกันให้วุ่นวายตั้งแต่บ่ายจนมืดสายตัวแทบขาด แถมปิ่นหยกก็ทำตัวบ้าพลังยกนั่นยกนี้ไม่ได้เจียมสังขาร สุดท้ายอาบน้ำเสร็จก็มานอนแผ่หมดท่าบ่นหงุงหงิงเรื่องปวดไปทั้งตัวจนเผลอหลับ พรุ่งนี้ตื่นมาเดาว่าคงเปลี่ยนหัวข้อเป็นบ่นเรื่องหนังสือหนังหายังไม่ได้แตะ
เด็กหนุ่มลุกขึ้นช้า ๆ รู้สึกราวกับได้ยินเสียงตัดพ้อของกล้ามเนื้อดังระงมทั่วร่าง วันนี้แค่เมื่อย แต่พรุ่งนี้คงปวดหนักทีเดียว ทำงานพอ ๆ กันเขายังเป็นแบบนี้ แล้วอย่างปิ่นหยกซึ่งโครงสร้างร่างกายเสียเปรียบกว่าตั้งเยอะจะขนาดไหน คิดไปพลางจับจ้องอีกฝ่ายไม่วางตา อากาศยามดึกเริ่มเย็นแต่ปิ่นหยกกลับสวมเพียงเสื้อยืดเนื้อบางเหมือนทุกที ผ้าห่มที่มีก็ใช่ว่าจะหนา เป็นคนไม่ค่อยสนใจดูแลตัวเองเอาเสียจริง ๆ
เขาเบียดตัวแทรกบนที่ว่างของเตียง เตียงเดี่ยวคับแคบจนผลัดกันนอนดิ้นโดนถีบหล่นเตียงมาไม่รู้ตั้งกี่ครั้งพวกเขา(ความจริงแล้วอาจเป็นเขาคนเดียว)ก็ยังดื้อดึงจะนอนเบียดกันอย่างนี้ มือยกขึ้นดึงผ้าห่มคลุมถึงลำคอร่างซึ่งนอนตะแคงอยู่ตรงหน้าแล้วรวบตัวเข้ามากอดไว้หลวม ๆ ละเลยสัญลักษณ์รูปแบตเตอร์รี่บนหน้าจอโทรศัพท์ซึ่งเปลี่ยนเป็นสีแดงเรียกร้องว่าพลังงานใกล้หมดเต็มที อีกไม่นานคงดับไปเองแต่เขาไม่นึกอยากเอามันไปชาร์จ ปล่อยทิ้งไว้จนหมดไปเลยก็ดีไม่ต้องเปลืองค่าไฟซึ่งปิ่นหยกควรให้รางวัลเขาด้วยซ้ำ
ปิ่นหยกเพียงแต่ปรือตามองกลับมาท่าทางสะลึมสะลือตอนที่มีอีกร่างเข้ามาแนบชิด ก้ำกึ่งอยู่ระหว่างความรู้สึกตัวกับห้วงนิทราซึ่งอย่างหลังคงมีอิทธิพลมากกว่า เพราะชั่วไม่กี่วินาทีหลังจากนั้นเจ้าตัวก็ทำสิ่งที่หากยังมีสติครบถ้วนสมบูรณ์คงไม่ทำแน่นอนด้วยการเบียดตัวเข้าหาอ้อมกอดอุ่น ซุกใบหน้ากับแผ่นอกกว้างเหมือนลูกแมว ก่อนทุกสรรพสิ่งรอบตัวจะนิ่งงันราวกับเวลาถูกหยุดไว้เพียงแค่นั้น
“...น่ารัก”
อาทิตย์อดไม่ได้จะงึมงำออกมา แต่สิ่งที่ทำให้หัวใจเต้นด้วยจังหวะเร็วขึ้นคือเสียง
“...อือ...อ..” มาจากดวงหน้าซึ่งซุกกับอกเขาอยู่ ไม่รู้ตอบกลับมาจริง ๆ หรือเพียงแค่คำละเมอของคนที่ยังหลับใหล...และนั่นทำให้เขาถึงกับเผลอยิ้ม
หากมีกระจกอยู่ตรงนี้เขาคงได้รู้บ้างว่ารอยยิ้มตัวเองที่มีให้คนตรงหน้านับวันก็ยิ่งอ่อนโยน
ใบหน้าคมคายก้มลงสูดกลิ่นแชมพูอ่อน ๆ บนเรือนผมสีน้ำตาลเข้ม น่าแปลกที่อากาศเย็นเยือกยามราตรีไม่ทำให้รู้สึกหนาวสักนิด กลับมีเพียงความคาดหวังอยากจมดิ่งในความมืดมิดอันเงียบงัน พร่ำภาวนาให้รัตติกาลนี้ยืดยาวออกไปตราบนานเท่านาน..
“รักนะครับ”
ลมหายใจผ่อนออกเชื่องช้า พร้อมกับที่ลมร้อนจากปลายจมูกอีกฝ่ายก็ถูกเป่ารดลงบนแผ่นอกเขาด้วยท่วงทำนองสอดประสาน ทุกพยางค์ซึ่งได้พร่ำบอกสื่อความหมายชัดเจนตามที่เคยย้ำนักหนาไม่รู้หน่าย
“ไม่ว่าพี่อันจะพูดอะไร จำไว้อย่างเดียวว่าฉันรักนาย”
คล้ายจะอุปาทานไปว่าได้ยินเสียง “...อือ...” แผ่วเบาตอบกลับมาอีกครั้ง .....................................................................
................................................
.
.
.
.
ย่างเข้าเดือนพฤศจิกายน ยังอยู่ในช่วงปิดเทอมหลังมรสุมสอบปลายภาคเสร็จสิ้น ฤดูหนาวเอ่ยคำทักทายด้วยสายลมเย็นเยียบคลอเคลียผิวกายและเช้านี้อากาศดูจะหนาวขึ้นกว่าทุกวันที่ผ่าน แม้หลายคนมักปรามาสไว้ว่าสยามเมืองร้อนจะหนาวจริงจังได้สักกี่วัน แต่ไม่กี่วันที่ว่าสำหรับห้องพักซึ่งไม่มีน้ำอุ่นและเจ้าของห้องทั้งสองต้องแซะตัวเองขึ้นจากเตียงตั้งแต่เช้ามืดในเวลาที่แสงตะวันอบอุ่นยังไม่ฉาบแผ่นฟ้านั้นไม่ใช่เรื่องน่าหัวเราะเลย
ไม่น่าหัวเราะสักนิด....หากไม่มีปิ่นหยกยืนสั่นหงึก ๆ ควงแปรงสีฟันแทบจะทะลวงปากตัวเองด้วยล้มเหลวในการควบคุมมือไม่ให้สั่นอยู่ที่ระเบียงอย่างนี้
“อ๋ำอ้าอะไอ!?(ขำบ้าอะไร!?)”เขาไม่ตอบ...และไม่หยุดหัวเราะ แล้วยังไม่ได้ทำตัวเรียบร้อยด้วยการยืนเฉย ๆ ให้ปิ่นหยกแปรงฟันไปส่งสำเนียงก่นด่าฟองเต็มปากไปอีกต่างหาก
“อ่อยเอ๊ยยย!!!(ปล่อยเว้ย)” อีกฝ่ายโวยวาย พยายามแกะมือเขาออกจากเอวโดยที่มืออีกข้างก็ยังไม่ปล่อยจากแปรงสีฟัน
“อะไรนะ?...อ่อยเอ๊ย? ปิ่นหยกต่างหากที่ชอบอ่อย”
สุดท้ายก็เป็นปิ่นหยกที่อดรนทนไม่ไหวจนหันไปบ้วนฟองทิ้งลงอ่างล้างหน้าของระเบียงเพื่อจะได้กล่าวสรรเสริญคุณงามความดีเขาในฐานะคุณแฟนแสนดีได้เต็มปากเต็มคำ(เขายกสถานะตัวเองเรียบร้อยก่อนได้รับคำอนุญาตจากปิ่นหยกตั้งแต่คุยกับพี่สาวคืนนั้นแล้ว)
“เลว! ใครอ่อยแก!”
“นาย” เขาเถียง “ดูสิ หนาวอย่างนี้ก็ยังใส่แต่เสื้อยืดคอกว้าง”
แล้วก็โดนศอกถองมาหนึ่งทีด้วยรัก “..คอมันย้วยเว้ย!”
“นั่นไง ยอมรับแล้ว” อาทิตย์ยิ้มกริ่ม ยิ่งลมเย็นเยียบโชยขึ้นมาต้องผิวก็ยิ่งกอดร่างโปร่งในอ้อมแขนแน่นขึ้นไปอีก ทำตัวเป็นอุปสรรคเต็มที่ในการบ้วนน้ำล้างปากของอีกฝ่ายซึ่งขอจบการแปรงฟันไว้แต่เพียงแค่นั้น “เสื้อผ้าอย่างนี้เห็นแล้วใจสั่นนะครับรู้ไหม”
ปิ่นหยกอยากเอาด้ามแปรงจิ้มลูกตาหรือไม่ก็ยัดจมูกมนุษย์หน้ามึนซึ่งเกาะหลังเขาหนึบหนับนี่เหลือเกิน ในเมื่อคนที่ต้องตัดพ้อว่าใจสั่นควรเป็นเขาต่างหาก นับวันยิ่งรู้สึกเหมือนจะเป็นโรคหัวใจเข้าไปทุกที ไอ้อาการคลุกวงในนัวเนียอย่างนี้ทำเขาหวิดจะโดนปล้ำวันละสามสี่หนจนต้องจับท่านชายมานั่งบังคับทำสัญญาว่าห้ามลวนลาม หยุดกระทำการล่วงละเมิดทางเพศพร่ำเพรื่อและงดเว้นการสอดใส่สิ่งใด ๆ เข้ามาในช่องทางสงวน
นึกย้อนอดีตไปได้แค่นี้ก็รู้สึกอับอายคล้ายจะระเหยหายไปกับสายลมหนาวเสียรู้แล้วรู้รอด ตอนนั้นต่อรองไปมาแทบทะเลาะกันตายกว่าจะได้ข้อสรุปว่าลูกเจี๊ยบหื่นกามจะยอมลด(และเขาโวยวายว่าไม่ใช่แค่ลด แต่ต้อง ละ เลิก)ความพยายามจะปล้ำ แต่ขอผ่อนผันเรื่องกอดจูบลูบฟัดเหมือนเดิม...
...ทว่าเหตุใดดูคล้ายมันจะมากกว่าเดิมอย่างกับจะชดเชยเรื่องห้ามปล้ำ ไม่นับมหากาพย์หัตถาครองพิภพบางครั้งบางคราวในวันที่งานไม่ยุ่งอีก บ้าฉิบ! นี่มันใช่สิ่งที่เด็กมัธยมปลายเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัยพึงกระทำกันไหม!?
ข้อตกลงวุ่นวายพวกนี้คงไม่เกิดหากไม่ใช่เพราะหลังจากเสียประตูไปครั้งแรกก็มีครั้งที่สอง...สาม...ส— ช่างเถอะ...ตามมา
ตลอดสองสัปดาห์หลังจากนั้นดูลูกเจี๊ยบกลายพันธุ์จะได้ใจทำเขาเรียนหนังสือแทบไม่รู้เรื่อง คิมหันต์ผู้เคยเป็นที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ก็ติดธุระลึกลับโน่นนี่บ่อยเหลือเกินจนไม่ค่อยได้คุยกันยาว พี่สาวคนสวยของท่านชายโทรมาบ้างแต่ไม่บ่อยนักด้วยเหตุที่ว่าเธอก็กำลังยุ่งกับการเรียนและธุรกิจของตัวเองอยู่และส่วนใหญ่เขามักไม่ได้รับ ไหนจะต้องเตรียมสอบ ไหนจะประสิทธิภาพการทำงานที่ตกลงฮวบฮาบอย่างมีนัยสำคัญจนต้องเปิดอกคุยกันจริงจังกับท่านชาย...ซึ่งคงต้องเรียกว่าเป็นการเปิดอกทั้งในเชิงรูปธรรมและนามธรรม
เปิดโจ่งแจ้งอล่างฉ่างกันทีเดียว เสียท่าไปอีกหนึ่งครั้งกว่าจะยื่นคำขาดได้สำเร็จว่าถ้ายังทำตัวเป็นลูกเจี๊ยบดื้อแพ่งเรื่องจะเป็นคุณแฟนบ้าบออะไรนั่นก็เลิกคิดไปได้เลย
และความปากไวครั้งนั้นทำให้ถูกมนุษย์หน้ามึนจอมฉวยโอกาสใช้แทนคำตอบรับเป็นแฟนกันจนตอนนี้นี่เอง“หน้าแดงจัง...หนาวหรือครับ”
“ร้อนมั้ง!”
บางทีอาจไม่ใช่คำประชด เพราะคางที่วางพาดไว้บนไหล่ทำเขาเริ่มร้อนวูบวาบไปทั้งตัวบอกไม่ถูก
“ร้อนก็ถอดเสื้อ”
ไม่พูดเปล่า มีจะช่วยถอดด้วย พ่อคนดีศรีสยามควรค่าแก่การสตัฟไว้กราบไหว้บูชา!
“บ้าเรอะ! อากาศหนาวจะตายหองแล้ว!”
“หนาวก็กอดกัน”
หน้ามึนบัดซบ! เดี๋ยวปั๊ดจับโยนลงจากระเบียงมร่างเลย!To be continued…=============================
เบา ๆ นะคะตอนนี้ พี่อันก็ยุ่ง ไม่มีเวลามาป่วน คิมหันต์ก็ยุ่ง(ยุ่งเรื่องอะไร?) ปล่อยพระเอกนายเอกเขาสวีทกันไปก่อน XD
แล้วพบกันตอนหน้าค่ะ
ปล.อยากจะกราบกรานคนอ่านงาม ๆ ที่ช่วยโหวตเมื่อรอบแรกจนเรื่องนี้ได้มีโอกาสไปโผล่ในหัวข้อนิยายฮาด้วย
ไม่รู้จะบรรยายความรู้สึกขอบคุณยังไงค่ะ เพราะเดิมก็รู้อยู่แล้วว่าไม่ได้เป็นเรื่องที่มีคนรู้จักเยอะแยะ มาได้ถึงขั้นนี้ก็ปลื้มสุด ๆ ไม่เอาอะไรละ ขอบคุณมากจริง ๆ อีกครั้งนะคะ จะพยายามอัพบ่อยเท่าที่โอกาสจะอำนวยเลยค่ะ ^o^
บังคับรับกอด(อีกแล้ว) 555

ของแถมรีพลายถัดไปค่ะ หลังจากตอนที่แล้วเบี้ยว ฮาา
ปล.จะกระซิบว่าโหวตคู่บนหัวกระทู้นี้เราตั้งค่าให้เปลี่ยนโหวตได้ล่ะค่ะ เผื่ออ่านไปแล้วเปลี่ยนใจทีหลัง 555
***สารบัญคลิกที่นี่ค่ะ***